เหนือทางออกของสนามบิน
อาร์ราคีน, ถูกแกะสลักไว้อย่างหยาบๆราวกับด้วยเครื่องมืออย่างเลว,
มีจารึกถึง มวด’ดิบ ที่ต้องทบทวนซ้ำหลายกาล.
เขามองเห็นมันในราตรีแรกของ อาร์ราคิส,
ได้ถูกพามายังฐานบัญชาการของดยุคเพื่อเข้าร่วมการประชุมครั้งแรกเต็มคณะทำงาน. ถ้อยคำทั้งหลายในจารึกเป็นการแก้ต่างว่าสำหรับผู้ที่กำลังเดินทางออกไปจาก
อาร์ราคิส, แต่พวกเขาพลาดไปกับความสำคัญมืดเข้มบนดวงตาของเด็กชายผู้เพิ่งจะหลบหนีอย่างเฉียดใกล้ของแรงปัดป่ายแห่งมรณะ.
พวกเขาพูดว่า: “โอ ท่านผู้รู้ว่าเราทุกข์ทรมานที่นี่,
อย่าได้ลืมเราในคำสวดภาวนาทั้งหลายของท่าน.”
---จาก “คู่มือ เรื่อง มวด’ดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน
“ทฤษฎีของการทำสงครามคือการเสี่ยงที่ได้คำนวณไว้,”
ดยุค กล่าว, “แต่เมื่อมันมาถึงการเสี่ยงต่อครอบครัวของท่านเอง, องค์ประกอบของ
การคำนวณ ก็จมลงไปใน.....สิ่งอื่น.”
เขารู้ว่าตนเองนั้นไม่ได้ดึงรั้งโทสะของเขาเอาไว้ให้ดีอย่างที่ควร,
และเขาหันร่าง, ก้าวยาวๆลงไปตามความยาวของโต๊ะนั้นและกลับมา.
ดยุคและ พอล
อยู่กันตามลำพังในห้องประชุมที่สนามบิน. เป็นห้องว่า-ปลอดเสียง, ตกแต่งไว้เพียงโต๊ะยาวแค่นั้น,
มีเก้าอี้สามขารูปแบบโบราณอยู่รอบมัน,
และกระดานแผนที่และเครื่องฉายภาพอยู่ที่ปลายด้านหนึ่ง. พอล
นั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้กระดานแผนที่นั้น.
เขาบอกต่อบิดาของเขาถึงการประสบกับเครื่องล่า-สังหารนั้นและรายงานถึงผู้ทรยศที่คุกคามเขา.
ดยุค หยุดลงที่ตรงข้าม พอล,
ทุบโต๊ะ. “ฮาวัต บอกกับพ่อว่าทำเนียบนั้นปลอดภัยแล้ว!”
พอล พูดอย่างลังเล: “ลูกก็โกรธ, ด้วยเหมือนกัน---ในทีแรก. และลูกก็โทษ ฮาวัต.
แต่การคุกคามนั้นมาจากด้านนอกของทำเนียบ. มันง่าย, ฉลาด, และตรง.
มันคงจะได้รับความสำเร็จกับการนี้ถ้าไม่เพราะการฝึกฝนมาที่ลูกได้รับจากท่านพ่อและคนอื่นๆ---รวมทั้งจาก
ฮาวัต.”
“และลูกก็ยังแก้ต่างให้เขาอยู่หรือ?”
ดยุค ถามสั่ง.
“ใช่ครับ.”
“เขาชราแล้ว. แค่นั้นเอง.
เขาน่าจะ---”
“เขาฉลาดด้วยมากประสบการณ์,”
พอล พูด. “ความผิดพลาดของ ฮาวัต มีมากกี่ครั้งหรือที่พ่อหวนนึกได้?”
“พ่อควรจะเป็นผู้แก้ต่างให้เขาเองมากกว่า,”
ดยุค พูด. “ไม่ใช่ลูก.”
พอล ยิ้ม.
ลีโต นั่งลงที่หัวโต๊ะ,
วางมือลงเหนือมือของบุตรชายของเขา. “ลูก.....เป็นผู้ใหญ่เร็วขึ้นนะ, ลูกพ่อ.”
เขายกมือของตนขึ้น. “มันทำให้พ่อดีใจ.” เขาเผชิญเข้ากับรอยยิ้มของบุตรชาย. “ฮาวัต
จะโทษตัวเอง.
เขาจะโกรธตรงใส่กับตนเองมากยิ่งขึ้นกับเรื่องนี้ยิ่งกว่าเราทั้งคู่รวมกันที่จะเทลงใส่เขาได้.”
พอล เหลือบมองไปที่หน้าต่างดำมืดเลยจากกระดานแผนที่นั้นไป,
มองไปยังความดำมืดของราตรี. แสงไฟในห้องสะท้อนจากราวที่ระเบียงที่ด้านนอกนั้น.
เขามองเห็นการเคลื่อนไหวและจำได้ถึงรูปร่างของยามรักษาการณ์ในเครื่องแบบอะไทรดิส.
พอล มองกลับมาที่ผนังสีขาวด้านหลังของบิดาของเขา,
แล้วลงมายังผิวหน้าเป็นมันวาวของโต๊ะ, เห็นมือของตนเองกำเป็นหมัดแน่นตรงนั้น.
ประตูด้านตรงข้ามกับดยุคเปิดผางออก.
ธูเฟอร์ ฮาวัต ก้าวผ่านมันเข้ามาชรามากขึ้นและยับย่นกว่าที่เคย.
เขาเดินย่างลงไปตามความยาวของโต๊ะ, หยุดยืนระวังตรงต่อหน้า ลีโต.
“ใต้เท้า, “ เขาพูด,
กล่าวตรงข้างหน้ายังจุดเหนือศีรษะของ ลีโต,
“ข้าได้เพิ่งเรีนรู้ว่าข้าได้ทำงานล้มเหลวต่อท่าน. มันจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ข้าต้องเสนอตัวรับโทษ---”
“โอ,
นั่งลงแล้วหยุดทำตัวเป็นคนโง่เถอะ,” ดยุค บอก. เขาโบกมือไปที่เก้าอี้ตรงข้ามกับ
พอล. “ถ้าท่านทำผิดพลาด, มันก็ในเรื่อง การประเมินสูงมากเกินไปต่อพวกฮาร์คอนเนนส์.
จิตใจตื้นๆของพวกมันคิดได้แค่อุบายตื้นๆ. เราไม่ได้ใส่ใจในอุบายตื้นๆทั้งหลายนั่น.
และลูกชายของข้าได้ชี้ชัดออกมาด้วยความเจ็บปวดมหาศาลให้กับฉันว่าเขาผ่านสิ่งใหญ่โตนี้มาได้ก็ด้วยการฝึกฝนจากท่าน.
ท่านไม่ได้ล้มเหลวในการนั้น!”
เขาตบพนักพิงของเก้าอี้ที่ว่างอยู่นั้น. “นั่งลงสิ, ข้าบอก!”
ฮาวัต จมลงไปในเก้าอี้นั้น.
“แต่---”
“ข้าจะไม่ฟังในเรื่องนี้อีก,”
ดยุค พูด. “เหตุนั่นเป็นอดีต. เรามีเรื่องกดดันอีกมาก. คนอื่นๆอยู่ที่ไหนรึ?”
“ข้าขอให้พวกเขารออยู่ที่ด้านนอกนี้ตอนที่ข้า---”
“เรียกพวกเขาเข้ามา.”
ฮาวัต มองเข้าไปในดวงตาของ
ลีโต: “ใต้เท้า, ข้า---”
“ข้ารู้ว่าใครคือเพื่อนแท้ทั้งหลายของข้า,
ธูเฟอร์,” ดยุค บอก. “เรียกพวกเขาเข้ามาเถิด.”
ฮาวัต กล้ำกลืน. “ทันทีเลย,
ใต้เท้า.” เขาหมุนร่างในเก้าอี้, ตะโกนเรียกไปที่ประตูที่เปิดอยู่: “เกอร์นีย์, พาพวกเขาเข้ามาได้แล้ว.”
ฮัลเล็ค
นำกลุ่มทหารเข้ามาในห้อง,
เจ้าหน้าที่คณะทำงานดูท่าทางเคร่งเครียดดุดันตามหลังมาด้วยผู้ช่วยที่หนุ่มกว่าและผู้ชำนาญการเฉพาะด้านทั้งหลาย,
มีบรรยากาศความกระหายอยู่ในท่ามกลางพวกเขา. เสียงครูดสั้นๆดังก้องไปทั่วห้องขณะที่คนเหล่านั้นเลื่อนเก้าอี้นั่งลง.
กลิ่นจางๆของกาแฟราชัค*(rachag stimulant)โชยหอมลงมาตามโต๊ะนั้น.
http://www.glossaria.net/en/dune/rachag
“มีกาแฟสำหรับผู้ที่ต้องการมันนะ,”
ดยุค พูด.
เขามองตรวจตราคนของเขา,
คิดว่า: พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี. ใครก็อาจทำให้เลวร้ายไปไกลกว่านี้ได้กับสงครามเยี่ยงนี้.
เขารอให้กาแฟถูกนำเข้ามาจากห้องที่อยู่ติดกันและถูกบริการให้,
สังเกตเห็นได้ว่ามีความเหนื่อยล้าปรากฏอยู่บนใบหน้าของบางคน.
ทันทีนั้น,
เขาก็สวมหน้ากากของประสิทธิภาพการเงียบของเขา, ยืนขึ้นและเรียกความสนใจของพวกเขาด้วยงอเคาะข้อนิ้วลงที่โต๊ะ.
“เอาละ,
ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย,” เขาพูด, “อารยธรรมของเราปรากฏวาได้ล่มสลายลงลึกเกินไปในนิสัยเคยชินของการรุกล้ำซึ่งเราไม่สามารถกระทั่งยอมรับเชื่อฟังคำสั่งง่ายๆของอำนาจสั่งการได้โดยปราศจากการผิดพลาดผุดขึ้นมาเช่นวิถีเก่าๆ.”
เสียงหัวเราะในลำคออย่างแห้งแล้งดังขึ้นรอบโต๊ะ,
และ พอล ได้ตระหนักว่าบิดาของเขาได้พูดถึงอย่างชัดเจนถึงการทำให้ถูกต้องด้วยน้ำเสียงที่ถูกต้องชัดเจนเพื่อยกอารมณ์รู้สึกให้ดีขึ้น.
กระทั่งวี่แววของความเหนื่อยล้าในน้ำเสียงของเขาก็ออกมาอย่างถูกต้อง.
“ข้าคิดว่าอย่างแรกเราควรที่จะเรียนรู้คือถ้า
ธูเฟอร์ ได้มีอะไรที่จะเพิ่มเติมจากรายงานของเขาในเรื่องของพวก ฟรีเมน,” ดยุค พูด. “ธูเฟอร์?”
ฮาวัต เหลือบตาขึ้น.
“ข้ามีเรื่องเหตุด้านเศรษฐกิจที่ต้องเข้าไปในนั้นภายหลังจากรายงานทั่วไปของข้า,
ใต้เท้า, แต่ข้าสามารถบอกได้เลยในตอนนี้ว่าพวกฟรีเมนนั้นปรากฏมากกว่ามากยิ่งที่จะเป็นพันธมิตรทั้งหลายที่เราจำเป็นต้องการ.
พวกเขากำลังรอคอยอยู่ในตอนนี้ที่จะเห็นว่าพวกเขาสามารถไว้วางใจเราได้,
แต่พวกปรากฏออกมาอย่างเปิดเผย. พวกเขาได้ส่งของบรรณาการมาให้เรา---สติลสูท(stilsuits)*จากโรงงานผลิตของพวกเขาเอง.....แผนที่ที่ถูกต้องของพื้นที่ทะเลทรายทั้งหลายรายรอบที่มั่นซึ่งพวกฮาร์คอนเนนส์ทิ้งไว้ข้างหลัง.....”
เขาเหลือบมองลงไปตามโต๊ะ.
“รายงานข่าวกรองของพวกเขาด้พิสูจน์แล้วว่าน่าเชื่อถือได้ทั้งสิ้นและได้ช่วยเราเป็นอย่ามากในการพิจารณาตัดสินใจในข้อตกลงกของเรากับ
ตุลาการการถ่ายโอน.
พวกเขายังได้ส่งหลายสิ่งเล็กๆน้อยๆบางอย่างมาให้อีก---เครื่องเพชรพลอยสำหรับท่านหญิง
เจสสิกา, น้ำมันเครื่องเทศ, ลูกกวาด, ยา.
คนของข้ากำลังตรวจสอบทั้งหลายนั้นอยู่ในตอนนี้. ปรากฏว่าไม่มีเล่ห์กลใด.”
“ท่านชอบคนพวกนี้หรือ,
ธูเฟอร์?” คนหนึ่งถามมาจากผลายโต๊ะ.
ฮาวัต
หันไปเผชิญหน้าผู้ถามนั้น. “ดันแคน ไอดาโฮ บอกว่าพวกเขาควรจะได้รับการนับถือชื่นชม.”
พอล
เหลือบมองยังบิดาของเขา, กลับมาที่ ฮาวัต, เสี่ยงถามออกไป: “ท่านเคยได้ข้อมูลใหม่มาบ้างไหมว่าพวกฟรีเมนนี้มีกันอยู่มากเท่าไร?”
ฮาวัต มองมายัง พอล.
“จากขบวนการผลิตอาหารและหลักฐานอื่น, ไอดาโฮ
ประมาณการว่าในถ้ำซับซ้อนที่เขาไปเยือนประกอบด้วยผู้คนราวหนึ่งหมื่น, ทั้งหมดนั้น.
หัวหน้าของพวกเขาบอกว่าเขาปกครองสิฐคาม(seitch)ของสองพันครัว.
เรามีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ามีชุมชนสิฐคามเช่นนี้อยู่มากมายมหาศาล.
ทั้งหมดดูเหมือนจะให้ความสวามิภักดิ์ต่อใครบางคนที่เรียก เลียต(Liet).
“นั่นเป็นบางอย่างใหม่,”
ลีโต พูด.
“มันควรจะเป็นความบกพร่องในส่วนของข้า,
ขอรับ. มีหลายสิ่งชี้แนะว่า เลียต นิ้อาจจะเป็นเทพพื้นเมือง.”
ชายอีกคนตอนปลายโต๊ะกระแอมในลำคอ,
“มันแน่ชัดหรือไม่ว่าพวกเขายุ่เกี่ยวกับพวกลักลอบขนของเถื่อน?”
“กองคาราวานลักลอบขนของเถื่อนรายหนึ่งออกจากสิฐคามนี้ไปขณะที่
ไอดาโฮ อยู่ที่นั่น, บรรทุกหนักด้วยเครื่องเทศ.
พวกเขาใช้ฝูงสัตว์เลี้ยงและบ่งบอกว่าพวกเขาเผชิญกับการเดินทางสิบแปดวัน.”
“มันปรากฏ,” ดยุค พูด.
“ว่าพวกลักลอบขนของเถื่อนเหล่านั้นได้เพิ่มปฏิบัติการขึ้นเป็นสองเท่าระหว่างช่วงเวลาของสถานการณ์วุ่นวายนี้.
เรื่องนี้สมควรได้รับบางความคิดอย่างระมัดระวัง.
เราไม่ควรจะกังวลมากเกินไปในเรื่องยานรบฟรีเกทไร้ทะเบียนที่กำลังออกไปจากดาวเคราะห์นี้---มันทำเช่นนี้เสมอ.
แต่การมีพวกเขาพ้นออกไปจากการสังเกตการณ์ของเรานั้น---นั่นไม่ใช่เรื่องดี.”
“ท่านมีแผนการหรือ, ขอรับ?”
ฮาวัต ถาม.
ดยุค มองยัง ฮัลเล็ค.
“เกอร์นีย์, ข้าต้อการให้ท่านเป็นหัวหน้าคณะผู้แทน, เป็นทูตถ้าเจ้าจะเป็น,
ในการติดต่อพวกนักธุรกิจผจญภัยเหล่านี้.
บอกพวกเขาว่าข้าจะไม่สนใจปฏิบัติการของพวกเขาตราบใดที่พวกเขาให้ศักดินาอากร(tithe)หนึ่งในสิบ. ฮาวัต นี้จะประเมินสินบนนั้นและทหารหน่วยรบต่อไปนี้ที่ถูกเรียกให้ไปปฏิบัติการของพวกเขาจะได้รับค่าจ้างเป็นสี่เท่าของจำนวนนั้น.”
“จะเป็นอะไรถ้าจักรพรรดิได้ข่าวตามลมของเรื่องนี้?”
ฮัลเล็ค ถาม. “เขาหวาดระแวงมากอยู่แล้วกับกำไรทั้งหลายของเขาใน โชอัม,
ใต้เท้า.”
ลีโต ยิ้ม: “เราจะเอาศักดินาอากรนี้เข้าคลังอย่างเปิดเผยในนามของ ชัดดัม ที่ ๔
และหักมันออกอย่างถูกกฎหมายตามค่าใช้จ่ายหมายเกณฑ์สนับสนุนของเรา.
ให้พวกฮาร์คอนเนนส์ต่อสู้กับนั่น!
และเราก็จะรีดเอากับพวกท้องถิ่นทั้งหลายที่โตอ้วนจากภายใต้ระบบของฮาร์คอนเนนส์.
ไม่มีสินบนอีกต่อไปแล้ว!”
รอยยิ้มบิดขึ้นมาบนใบหน้าของ
ฮัลเล็ค. “อาหห์, ใต้เท้า, ชกใต้เข็มขัดอันงดงาม. ข้านี้อยากเห็นใบหน้าของเจ้าบารอนซะเหลือเกินตอนที่มันได้เรียนรู้ในเรื่องนี้.”
ดยุค หันมาที่ ฮาวัต.
“ธูเฟอร์, ท่านได้สมุดบัญชีพวกนั้นที่ท่านว่าท่านสามารถซื้อได้แล้วหรือ?”
“ใช่ขอรับ, ใต้เท้า.
พวกมันกำลังถูกตรวจดูในรายละเอียดอยู่แม้ตอนนี้. ข้าได้กรองพวกมันแล้ว,
และสามารถให้ประมาณการอย่างหยาบๆได้.”
“ว่ามาเลย, งั้น.”
“พวกฮาร์คอนเนนส์
เอาไปหนึ่งหมื่นล้านโซลาริสออกจากที่นี่ทุกๆสามร้อยกับสามสิบวันมาตรฐาน(Standard
days).”
การอ้าปากค้างไม่มีเสียงวิ่งไปรอบโต๊ะนั้น.
แม้กระทั่งในหมู่ผู้ช่วยหนุ่มทั้งหลาย, บางคนที่เคยทำท่าเบื่อหน่ายบ้างอยู่ก่อน,
ก็ผลุดขึ้นนั่งตัวตรงและแลกเปลี่ยนสายตาที่เบิกกว้างต่อกัน.
ฮัลเล็ค พึมพัม: “ ‘กับพวกมันจะดูดเอาความอุดมของท้องทะเลและจากทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทราย.’
”
“เห็นหรือไม่,
ท่านสุภาพบุรุษ,” ลีโต พูด.
“มีใครคนใดในที่นี้ที่สุดใสซื่อที่เขาคิดว่าพวกฮาร์คอนเนนส์จะเก็บของเงียบๆลงกระเป๋าแล้วเดินจากไปจากทั้งหมดของที่นี่เพียงเพราะ
จักรพรรดิ ได้ออกคำสั่งนั้นหรือ?”
มีการสั่นศีรษะตามปกติ,
พึมพำเห็นด้วย.
“เราจะต้องเอามันมาที่ปลายของดาบ,”
ลีโต พูด. เขาหันไปยัง ฮาวัต.
“เรื่องนี้ได้เป็นจุดดีที่จะรายงานในเรื่องเครื่องมือ.
มากมายแค่ไหนกับเครื่องเลื้อยทราย, เครื่องเก็บเกี่ยว, โรงงานเครื่องเทศ,
และอุปกรณ์สนับสนุน ที่พวกมันทิ้งไว้ให้เรา?”
“ครบถ้วนเต็ม,
ตามที่บอกไว้ในรายการสิ่งของแห่งจักรวรรดิจากการตรวจสอบบัญชี โดย ตุลาการการถ่ายโอน,
ใต้เท้า,” ฮาวัต พูด. เขาแสดงอาการให้ผู้ช่วยส่งแฟ้มมาให้เขา,
เปิดแฟ้มนั้นออกตรงหน้าของเขาบนโต๊ะ. “พวกมันละเลยที่จะเอ่ยถึงว่ามีอยู่น้อยไม่ถึงครึ่งของเครื่องเลื้อยทรายที่สามารถใช้การได้,
ว่ามีเพียงแค่ราวหนึ่งในสามมียานบรรทุก(carrall)ที่จะบินพวกนั้นไปยังทะเลทรายเครื่องเทศทั้งหลายได้---ว่าทุกอย่างที่พวกฮาร์คอนเนนส์ทิ้งไว้ให้เรานั้นพร้อมที่จะพังและร่วงเป็นชิ้นๆออกจากกันได้.
เราจะโชคดีที่ยังมีครึ่งหนึ่งของเครื่องมืออยู่ในปฏิบัติการและโชคดีกว่านั่นถ้าสี่ส่วนของมันยังคงทำงานได้ไปถึงหกเดือนจากตอนนี้.”
“มากพอควรดังที่เราได้คาดหวังเอาไว้,”
ลีโต พูด. “ประมาณการของกิจการเป็นอย่างไรบนพื้นฐานของเครื่องมือเช่นนี้หรือ?”
ฮาวัต
เหลือบลงดูแฟ้มของเขา.
“ราวเก้าร้อยกับสามสิบโรงงาน-เก็บเกี่ยวผลผลิตที่สามารถถูกส่งออกมาได้ในสองสามวันนี้.
ราวหกพันสองร้อยกับอีกห้าสิบของยานออร์นิธ็อปเตอร์(ornithopter)สำหรับการสำรวจ, สอดแนม, และสังเกตการณ์สภาพอากาศ...ยานบรรจุเครื่องเทศ(carryall), ต่ำกว่าหนึ่งพันเล็กน้อย.”
ฮัลเล็ค พูด: “จะราคาถูกกว่าไหมถ้าเปิดการเจรจาใหม่อีกครั้งกับ กิลด์
สำหรับการอนุญาตให้โคจรยานรบฟรีเกทเป็นดาวเทียมตรวจอากาศ?”
ดยุค มองที่ ฮาวัต.
“ไม่มีอะไรใหม่ที่นั่น, เอ๋, ธูเฟอร์?”
“เราต้องแสวงหาลู่ทางใหม่สำหรับตอนนี้,”
ฮาวัต พูด. “ตัวแทนของกิลด์. เขาแทบไม่ได้ทำมันชัดแจ้ง---หนึ่ง เมนทาต
กับอีกหนึ่ง---ว่าราคานั้นเกินเอื้อมของเราไปและจะยังเป็นอยู่เช่นนั้นไม่ว่าเราพัฒนาการเอื้อมยาวออกไปขึ้นแค่ไหน.
ภารกิจของเราคือการหาให้เจอว่าทำไม, ก่อนที่เราจะเข้าไปหาเขาอีกครั้ง.”
ผู้ช่วยคนหนึ่งของ ฮัลเล็ค
ที่ปลายโต๊ะหมุนตัวอยู่ในเก้าอี้ของเขา, แทรกขึ้นมา: “ไม่มีความยุติธรรมในเรื่องนี้เลย!”
“ยุติธรรม?” ดยุค
มายังชายผู้นั้น. “ใครถามหาความยุติธรรมกันล่ะ? เราสร้างความยุติธรรมสร้างความยุติธรรมให้กับตัวเราเอง.
เราสร้างมันที่นี่บน อาร์ราคิส---ชนะหรือไม่ก็ตาย.
เจ้าสำนึกเสียใจที่จับสลากมาร่วมกับเรารึ, ขอรับ?”
ชายนั้นจ้องกลับมาที่ ดยุค: “ไม่, ขอรับ. ท่านไม่อาจหันกลับได้และข้าก็สามารถทำอะไรได้แต่ติดตามท่านไป.
ขออภัยการโพล่งออกไปของข้าด้วยขอรับ, แต่.....” เขายักไหล่.
“.....เราต้องทั้งหมดรู้สึกขื่นขมกับเวลานั้น.”
“ความขื่นขมนั้นข้าเข้าใจดี,”
ดยุค พูด. “แต่เรามาเลิกกล่าวโทษเรื่อวความยุติกันตราบนานเท่าที่เรามีอาวุธและอิสรภาพในการใช้พวกมัน.
มีใครที่เหลือของพวกเจ้าโกรธแค้นความขื่นขมอีกไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้น,
ปล่อยมันออกมา. นี่เป็นสภาฉันท์เพื่อนที่ใครคนใดก็ควรพูดจากใจของเขาออกมาได้.”
ฮัลเล็ค กระสับกระส่าย, พูด: “ข้าคิดว่าอะไรที่คับแค้นใจทั้งหลาย, ใต้เท้า,
คือที่เราไม่มีอาสาสมัครจากมหาราชสำนักอื่นเลย. พวกเขาตั้งท่านเป็น ‘ลีโต ผู้เที่ยงธรรม’ และให้คำมั่นสัญญาของมิตรภาพชั่วนิรันดร์,
แต่ก็เพียงตราบนานเท่าที่มันไม่ทำให้พวกเขาต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรขึ้นมา.”
“พวกเขายังไม่รู้ว่าใครกำลังจะชนะในการแลกเปลี่ยนนี้,”
ท่านดยุค พูด. “ราชสำนักส่วนใหญ่ได้โตอ้วนมาโดยการเสี่ยงพนันเพียงเล็กน้อย. ใครก็ไม่สามารถจะกล่าวโทษพวกเขาได้อย่างแท้จริงสำหรับเรื่องนี้; ใครนั้นทำได้แค่หมิ่นแคลนพวกเขา.” เขามองมาที่ ฮาวัต.
“เราได้ถกเถียงกันถึงเครื่องมือ.
ท่านกรุณาที่จะฉายภาพสองสามตัวอย่างเพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับเจ้าหน้าที่เหล่านี้กับเครื่องจักรพวกนี้ได้ไหม?”
ฮาวัต พยักหน้ารับ,
ส่งสัญญานไปที่ผู้ช่วยของเขาที่เครื่องฉายภาพ.
ภาพฉาย-โซลิโด 3 มิติปรากฏขึ้นบนผิวโต๊ะราวหนึ่งส่วนสามจาก ดยุค.
บางคนที่อยู่ไกลกว่าตามยาวของโต๊ะลุกขึ้นยืนเพื่อมองให้เห็นดีขึ้น.
พอล เอนร่างข้างหน้า,
จ้องมองเครื่องจักรนั้น.
เทียบสัดส่วนจากภาพขนาดเล็กได้ด้วยการมีภาพคนยืนรายรอบมันอยู่ด้วย,
สิ่งนั้นราวร้อยยี่สิบเมตรในความยาวและกว้างเกือบสี่สิบเมตร.
มันเป็นความยาวพื้นฐาน, ร่างเทอะทะเคลื่อนที่อยู่บนชุดรางกว้างอิสระ.
“นี่คือโรงงานเก็บเกี่ยวผลผลิต,”
ฮาวัต พูด. “เราเลือกอันหนึ่งในการซ่อมแซมดีแล้วมาเป็นภาพฉายนี้.
มีชุดเครื่องขุดตักแดรกไลน์(dragline outfit)หนึ่งที่มาพร้อมกับกลุ่มทำงานแรกของพวกนักนิเวศวิทยาจักรวรรดิ,
ด้วย, และมันยังคงทำงานได้อยู่...ถึงแม้ว่าข้าจะยังไม่รู้ว่าอย่างไร....หรือทำไม.”
“ถ้าหนึ่งนั้นคือที่พวกเขาเรียกว่า
‘มาเรีย เฒ่า,’ มันเป็นของพิพิธภัณฑ์,” ผู้ช่วยนั้นบอก.
“ข้าคิดว่าพวกฮาร์คอนเนนส์เก็บมันเอาไว้เป็นเช่นงานต้องโทษ,
คำขู่ที่แขวนไว้เหนือหัวของพวกคนงาน.
ทำตัวให้ดีไม่งั้นเจ้าจะถูกมอบหมายให้ทำงานกับ มาเรีย เฒ่า.
มีเสียงหัวเราะลงลูกคอออกมารอบโต๊ะ.
พอล รั้งตนเองแยกออกมาจากความขบขันนั้น,
ความสนใจของเขามุ่งเพ่งบนภาพฉายนั้นและคำถามทั้งหลายที่เติมลงมาเต็มจิตใจของเขา.
เขาชี้ไปที่ภาพบนโต๊ะ, ถาม: “ธูฟอร์,
มีหนอนทรายที่ใหญ่โตขนาดที่จะกลืนนั่นไปได้ทั้งหมดไหม?”
ความเงียบปักหลักลงอย่างรวดเร็วกับโต๊ะนั้น.
ดยุค สบถออกมาด้วยลมหายใจ: ไม่---พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความจริงทั้งหลายในที่นี้.
“มีหนอนทั้งหลายในทะเลทรายตอนลึกที่สามารถเขมือบโรงงานนี้ได้ในหนึ่งคำ,”
ฮาวัต พูด.
“ทำไมเราไม่ติดตั้งโล่ห์ป้องกันกับมันล่ะ?”
พอล ถาม.
“อ้างอิงตามรายงานของ
ไอดาโฮ,” ฮาวัต พูด, “โล่ป้องกันเป็นอันตรายในทะเลทราย.
โล่ห์ขนาดร่างกายจะเรียกหนอนทรายทุกตัวได้ในระยะหลายร้อยเมตรโดยรอบ.
มันกลายเป็นว่าเรากำลังขับมันเข้าไปในพื้นที่สังหารล่ะ.
เรามีคำบอกเของพวกฟรีเมนกับเรื่องนี้และไม่มีเหตุผลใดที่จะกังขามัน. ไอดาโฮ
ไม่เห็นมีหลักฐานใดของอุปกรณ์โล่ห์ป้องกันเลยในสิฐคามเหล่านั้น.”
“ไม่มีทั้งหมดเลยรึ?” พอล
ถาม.
“มันเป็นเรื่องยากที่จะปิดบังเครื่องมือชนิดนี้ในท่ามกลางหลายพันคน,”
ฮาวัต พูด. “ไอดาโฮ ได้รบอิสระที่จะเข้าไปในทุกส่วนของสิฐคาม.
เขาไม่เห็นโล่หรือหลักฐานบ่งชี้ว่าพวกนั้นได้มีการใช้มันเลย.”
“พวกฟรีเมนสามารถมีวิธีทำให้โล่พลังไร้ประสิทธิผลได้ไหม?”
พอล ถาม.
“มันดูจะไม่เป็นเช่นนั้น,”
ฮาวัต พูด. “มันเป็นไปได้ในทางทฤษฎี,
แน่นอน---เครื่องตอบโต้ชาร์จประจุไฟฟ้าสถิตใหญ่ขนาดเมืองนั้นคาดว่าสามารถทำกลเม็ดเช่นนั้นได้,
แต่ไม่มีใครเคยสามารถทำการทดลองนั้นได้.”
“ข้าไม่ชอบการไร้คำตอบในคำถามของเรื่องสำคัญเช่นนี้,”
ลีโต พูด. “ธูเฟอร์,
ข้าต้องการให้ท่านสั่งการในลำดับความสำคัญบนสุดเพื่อคลี่คลายปัญหานี้.”
“เราได้ทำการในเรื่องนี้อยู่แล้วขอรับ,”
เขากระแอมในลำคอ. “อ้า—ห์, ไอดาโฮ ได้บอกมาอย่างหนึ่งซ
เขาไม่น่าจะผิดพลาดในเรื่องทัศนคติของพวกฟรีเมนกับโล่ห์พลังที่ว่านี้.
เขาบอกว่าพวกนั้นกระทั่งยังเห็นเป็นเรื่องขบขันกันมันด้วยซ้ำ.”
ดยุค ขมวดคิ้ว, แล้วว่า: “ประเด็นภายใต้การถกเถียงนี้คือ เครื่องมือจัดการเครื่องเทศ.”
ฮาวัต
ส่งสัญญานไปที่ผู้ช่วยของเขาที่เครื่องฉายภาพ.
ภาพ-โซลิโดของโรงงานเก็บเกี่ยวถูกแทนที่ด้วยภาพของยานมีปีกที่ดูแคระเล็กเมื่อเทียบกับผู้คนที่ยืนรายรอบมันอยู่.
“นี่คือยานบรรทุกแครี่ออล์(carryall),” ฮาวัต พูด. “มัน ‘ธ็อปเปอร์ที่สำคัญมีขนาดโต,
ที่หน้าที่ใช้การโดยลำพังของมันคือจัดส่งเครื่องเทศอย่างเต็มที่ในทรายไปยังโรงงานนั้นเมื่อหนอนทรายปรากฏขึ้น.
พวกนั้นมักจะปรากฏตัวขึ้น.
การเก็บเกี่ยวเครื่องเทศนี้เป็นขบวนการของการเข้าไปเอาและออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้.”
“น่ายกย่องว่าเหมาะเจาะกับจริยธรรมของพวกฮาร์คอนเนนส์เป็นอย่างยิ่ง,”
ดยุค ว่า.
เสียงหัวเราะระเบิดขึ้นมาและดังเกิน.
ยานออร์นิธ็อปเปอร์(ornithopter)ขึ้นมาแทนที่ยานบรรทุกแคร์รี่ออล์ในภาพฉายนั้น.
“ ‘ธ็อปเตอร์นี้เป็นแบบสากลนิยมทั่วๆไป,”
ฮาวัต พูด. “การปรับเปลี่ยนจุดหลักใหญ่ขยายให้พิสัยทำการของมันไกลขึ้น.
การดูเพิ่มพิเศษได้ถูกใช้ในบริเวณที่สำคัญปิดผนึกต่อทรายและฝุ่น.
มีแค่หนึ่งในสามที่ใช้โล่พลัง---โยนทิ้งน้ำหนักของเครื่องกำเนิดโล่พลังออกไปเพื่อพิสัยทำการที่มากขึ้น.”
“ข้าไม่ชอบในเรื่องการลดพลังโล่ป้องกันทั้งหลายนี้,”
ดยุค บ่นอุบอิบ. และเขาคิดว่า: นี่เป็นความลับของ
ฮาร์คอนเนน รึ?
นี่มันหมายถึงว่าเราจะไม่กระทั่งสามารถหลบหนีกับยานรบฟรีเกทที่มีโล่ห์พลังทั้งหลายถ้าทั้งหมดหันมารุมเรางั้นหรือ?
เขาสะบัดศีรษะอย่างแรงเพื่อขับไล่ความคิดนี้ออกไป, แล้วพูด:
“มาว่ากันถึงประมาณการของงานกันเถอะ. กำไรของเราคาดว่าจะออกมาเป็นเช่นไร?”
ฮาวัต
พลิกไปอีกสองหน้าในสมุดบันทึกของเขา.
“หลังจากประเมินค่าการซ่อมแซมและเครื่องมือที่สามารถใช้การได้,
เราได้ทำการประมาณการแรกบนค่าใช้จ่ายการปฏิบัติงาน.
มันอยู่บนพื้นฐานโดยธรรมชาติของตัวเลขค่าเสื่อมราคาสำหรับส่วนเผื่อความปลอดภัยล้วนๆ.”
เขาหลับตาลงในภ่วะกึ่งกวังค์ของเมนทาต, พูด:
ภายใต้การจัดการของพวกฮาร์คอนเนนส์,
การบำรุงรักษาและเงินเดือนถูกยึดไว้ที่สิบสี่เปอร์เซนต์.
เราจะโชคดีถ้าทำมันได้ที่สามสิบเปอร์เซ็นต์ในตอนแรก. ด้วยองค์ประกอบการกลับมาลงทุนและการเติบโตทางบัญชี,
รวมทั้งเปอร์เซ็นต์ของ โชอัม และค่าใช้จ่ายทางทหาร, กำไรต่ำสุด(profit
margin)จะถูกลดลงไปอีกจนเหลือแคบมากแค่ หกหรือเจ็ดเปอร์เซ็นต์
จนกว่าเราสามารถแทนที่เครื่องมือที่หมดสภาพนี้ได้.
ตอนนั้นเราก็น่าจะดันมันเพิ่มขึ้นไปได้ถึง สิบสองหรือสิบห้าเปอร์เซนต์ที่มันควรจะเป็น.”
เขาเปิดตาขึ้น.
“นอกเสียจากว่าใต้เท้าจะประยุกต์เอาวิธีการของพวกฮาร์คอนเนนส์มาใช้.”
“เรากำลังทำงานเพื่อสร้างฐานดาวเคราะห์นี้ให้แข็งแกร่งและมั่นคงถาวร.”
ดยุค พูด. “เราต้องรักษาเปอร์เซ็นต์ขนาดใหญ่ของความสุขผู้คน---โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
พวกฟรีเมน.”
“มากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
พวกฟรีเมน,” ฮาวัต เห็นด้วย.
“อำนาจสูงสุดของเราบน
คาลาดาน,” ดยุค พูด, “ขึ้นอยู่กับอำนาจทางทะเลและอากาศ. ที่นี่,
เราต้องพัฒนาบางอย่างที่ข้าเลือกจะเรียกว่าอำนาจทางทะเลทราย.
ข้าขอให้ความสนใจของพวกท่านมุ่งไปที่การขาดโล่ห์พลังของยาน ‘ธ็อปเปอร์.”
เขาสั่นศีรษะของตน. “พวกฮาร์คอนเนนส์พึ่งพาอาศัยอยู่กับการหมุนเวียนเอาจากดาวเคราะห์นี้โดยบุคคลากรหลักบางส่วนของพวกเขา.
เราไม่กล้าเสี่ยงเช่นนั้น. แต่ละจำนวนชุดใหม่จะมีส่วนแบ่งที่เร้าใจของมัน.”
“งั้นเราก็จะต้องพึงพอใจกับผลกำไรที่น้อยไปไกลนี้และการเก็บเกี่ยวที่ลดลง,”
ฮาวัต พูด.
“ผลผลิตของเราในสองฤดูกาลแรกน่าจะลงมาหนึ่งในสามจากค่าเฉลี่ยของพวกฮาร์คอนเนนส์.”
“เช่นนั้นแหละ,” ดยุค พูด,
“ตรงตามที่เราได้คาดหวังเอาไว้. เราจะต้องเคลื่อนให้เร็วกับพวกฟรีเมน.
ข้าอยากได้กองกำลังห้ากองพันเต็มที่ของฟรีเมนก่อนที่การตรวจการแรกของ โชอัม.”
“นั่นไม่มีเวลามากนัก,
ขอรับ.” ฮาวัต พูด.
“เราไม่มีเวลามาก,
อย่างที่พวกท่านรู้กันดี. พวกนั้นจะมาที่นี่ด้วยทหาร ชาร์เดาการ์
ปลอมตัวเป็นพวกฮาร์คอนเนนส์ในโอกาสแรก.
มากมายเท่าไหร่ที่ท่านคิดว่าพวกเขาจะส่งยานเข้ามาได้ล่ะ, ธูเฟิอร์?”
“สี่หรือห้ากองพันที่พอจะบอกได้,
ขอรับ. ทั้งหมดนั้น. ถ้าค่าใช้จ่ายการขนส่งทางทหารของกิลด์
เป็นเช่นในตอนนี้.”
“ดังนั้นห้ากองพันของฟรีเมนบวกกองทหารของเราเองก็น่าจะทำมันได้.
เรามามีเชลยชาร์เดาการ์สักเล็กน้อยเดินพาเหรดอยู่ต่อหน้าของ สภาแลนด์สราอาดด้วยแล้ว
และเหตุเรื่องทั้งหลายก็จะแตกต่างไปอีกมาก---กำไรหรือไม่กำไร.”
“เราจะทำให้ดีที่สุด,
ขอรับ.”
พอล มองบิดาของเขา,
กลับมาที่ ฮาวัต, ทันใดนั้นก็สำนึกได้ถึงอายุอันมหาศาลของ เมนทาต,
ระแวดระวังว่าชายชราได้รับใช้มาสามชั่วรุ่นของ อะไทรดิส แล้ว. อายุ.
มันแสดงออกมาในแวววาวของต้อกระจกในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น,
ในแก้มแตกระแหงและเกรียมด้วยสภาพอากาศต่างถิ่น,
ในส่วนโค้งห่อลงของไหล่และริมฝีปากเรียวบางมีรอยคล้ำม่วงของน้ำเมาสาโฟ(sapho
juice)*.
https://dune.fandom.com/wiki/Sapho
พึ่งพาอาศัยมากเกินไปกับชายชรานี้,
พอล คิด.
“เราตอนนี้อยู่ในสงครามของการลอบสังหารทั้งหลาย,”
ดยุค พูด, “แต่มันไม่ได้รับผลสัมฤทธิ์เต็มขนาด. ธูเฟอร์,
สถานะของกลุ่มพวกนี้ของพวกฮาร์คอนเนนส์ที่นี่เป็นอย่างไร?”
“เรากำจัดไปสองร้อยกับห้าสิบเก้าของผู้คนตัวหลักของพวกมัน, ใต้เท้า.
ไม่มีมากไปกว่ามสามหน่วยย่อยของฮาร์คอนเนนที่ยังคงเหลืออยู่---อาจจะราวหนึ่งร้อยคนในทั้งหมดนั้น.”
“พวกมือเท้าฮาร์คอนเนนส์ที่ท่านกำจัดไปนี้,”
ดยุค พูด, “พวกนั้นมีฐานะทรัพย์สินไหม?”
“ส่วนมากพวกมันอยู่ฐานะดี, ใต้เท้า---ในระดับชนชั้นผู้ประกอบการ.”
“ข้าต้องการให้ท่านออกใบยอมรับสัตย์ปฏิญาณประทับเหนือลายเซ็นทั้งหลายในแต่ละคนของพวกนั้น,”
ดยุค บอก. “ทำสำเนาแฟ้มให้กับ ตุลาการการถ่ายโอน.
เราจะถือตามฐานะตำแหน่งกฎหมายว่าพวกนี้อยู่ภายใต้การกระทำผิดสัตย์ปฏิญาณ. ยึดทรัพย์สินของพวกนั้น,
เอามาทุกอย่าง, พลิกค้นครอบครัวของนั้น, ถลกพวกเขา. และทำให้แน่ใจด้วยว่า เดอะ
คราวน์ (จักรพรรดิ-ผู้แปล)ได้สิบเปอร์เซ็นต์ของมัน.
มันต้องเป็นการถูกกฎหมายทั้งสิ้น!”
ธูเฟอร์
ยิ้ม, เผยให้เห็นฟันมีคราบสีแดงติดอยู่ใต้หลังริมฝีปากสีแดงม่วง.
“การรุกที่ล้ำค่าเช่นของปู่ของท่านเลย, ใต้เท้า.
มันน่าละอายทีข้าไม่ได้คิดออกมาได้เสียแต่แรก.”
ฮัลเล็ค
ขมวดคิ้วข้ามโต๊ะมา, สร้างความแปลกใจในความบึ้งตึงลึกๆบนใบหน้าของ พอล.
ขณะที่คนอื่นๆกำลังยิ้ม, และผงกศีรษะรับ.
มันผิด,
พอล คิด. นี่จะเพียงแต่ทำให้ผู้อื่นต่อสู้หนักมากขึ้นไปหมด.
พวกเขาไม่ได้อะไรจากการยอมจำนนเลย.
เขารู้ดีถึงการไม่มีขีดกั้นของของการประชุมที่แท้จริงว่าคือกฎที่ใช้ในระบอบปกครองแบ่งชนชั้น(kanly)*, แต่เรื่องนี้เป็นอะไรของการเคลื่อนไหวที่สามารถทำลายพวกเขาเองได้แม้ว่ามันจะให้ชัยชนะแก่พวกเขาก็ตาม.
https://dune.fandom.com/wiki/Kanly
“
‘ข้าได้เป็นผู้แปลกหน้าในที่แปลกถิ่น,’ ” ฮัลเล็ค อ้างคำพูด.
พอล
จ้องดูเขา, จำได้ถึงคำอ้างอิงนั้นว่ามาจาก โอ.ซี. ไบเบิ้ล, สงสัยอยู่ในใจ:
เกอร์นีย์, เอง, ก็หวังให้จบสิ้นกับแผนการหลอกลวงนี้ด้วยรึ?
ดยุค
เหลือบมองไปที่ความมืดนอกหน้าต่างทั้งหลายนั้น, มองกลับมายัง ฮัลเล็ค. “เกอร์นีย์,
มีมากเท่าไรของพวกคนงานทะเลทรายทั้งหลายที่ท่านชักชวนให้อยู่กับเราได้?”
“สองร้อยแปดสิบหกในทั้งหมด,
ขอรับ. ข้าคิดว่าเราควรจะรับเอาพวกเขานี้และพิจารณาตนเองว่าได้โชคดีแล้ว.
พวกเขาทั้งหมดจัดอยู่ในประเภทมีพร้อมใช้งาน.”
“ไม่มากกว่านี้รึ?”
ดยุค ห่อปากของเขาไม่พอใจ, แล้วว่า: “เอาละ, ส่งคำบอกออกไป
ตาม---”
การรบกวนที่ประตูแทรกขัดเขาเข้ามา.
ดันแคน ไอดาโฮ ผ่านยามรักษาการณ์ที่นั้นเข้ามา,
รีบเดินลงมาตามความยาวของโต๊ะและค้อมลงเหนือหูของ ดยุค.
ลีโต
โบกมือให้เขาถอยไป, พูด: “พูดออกไปเลย, ดันแคน.
ท่านสามารถเห็นได้ว่านี่เป็นคณะเสนาธิการ.”
พอล
ศึกษา ไอดาโฮ, ทำเครื่องหมายเน้นจำในการเคลื่อนไหวทั้งหลายดุจแมว,
ปฏิกิริยาที่ฉับไวที่ทำให้เขาเป็นเช่นครูอาวุธที่ยากจะเลียนแบบได้.
ใบหน้ากลมเข้มของ ไอดาโฮ หันมายัง พอล,
ดวงตาในเบ้าลึกนั้นไม่ส่งแววใดที่ทักทายว่าคุ้นเคย, แต่ พอล
จดจำได้ถึงหน้ากากของความสุขุมเยือกเย็นที่ปิดบังความตื่นเต้นไว้.
ไอดาโฮ
มองไปตามความยาวของโต๊ะ, พูด:
“เราเราได้จัดการกองกำลังหนึ่งของนักรบรับจ้างฮาร์คอนเนนส์ปลอมแปลงตัวเป็นพวกฟรีเมน.
พวกฟรีเมนเองได้ส่งคนเดินสารมาเตือนถึงกลุ่มปลอมแปลงนี้. ในการโจมตี, อย่างไรก็ดี,
เราพบว่าพวกฮาร์คอนเนนส์ได้ดักทางผู้เดินสารฟรีเมนได้---ทำร้ายเขาสาหัส.
เรากำลังนำเขามายังที่นี่เพื่อรักษาโดยแพทย์ของเราตอนที่เขาเสียชีวิต.
ข้าได้เห็นว่าบาดแผลนั้นสาหัสมากอย่างไรของชายผู้นั้นและหยุดเพื่อรักษาก่อนเท่าที่ข้าจะทำได้.
ข้าทำให้เขาแปลกใจในการที่พยายามจะปลดเปลื้องบางอย่างออกจากตัวเขา,” ไอดาโฮ
เหลือบมองมายัง ลีโต. “มีดเล่มหนึ่ง, ใต้เท้า,มีดเล่มหนึ่งที่ดูแล้วว่าท่านจะไม่เคยเห็นกันมาก่อนเลย.”
“คริสไนฟ์(crysknife)?” ใครบางคนถาม.
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นมัน,”
ไอดาโฮ พูด. “ขาวดังน้ำนมและเรืองรองด้วยแสงราวกับของตัวมันเอง.” เขาเอื้อมมือเขาไปในเครื่องแบบ,
ดึงฝักมีดเล่มหนึ่งที่มีด้ามเป็นสันสีดำซึ่งยื่นออกมาจากมัน.
“เอาคมมีดไว้ในฝักของมัน!”
เสียงนั้นดังมาจากประตูเปิดที่อยู่ปลายสุดของห้อง,
เป็นเสียงที่ก้องกังวานและเสียดแทงซึ่งทำให้พวกเขาทั้งหมดลุกขึ้น, จ้องมองไป.
ร่างสูงในชุดคลุมยืนอยู่ที่ในประตูนั้น,
ถูกกั้นไว้ด้วยดาบขวางไขว้ของยามรักษาการณ์.
ชุดคลุมสีน้ำตาลไหม้อ่อนๆห่อมิดชิดชายผู้นั้นนอกจากช่องว่างระหว่างหมวกคลุมหัวกับผ้าดำบังหน้าซึ่งเผยออกให้เห็นดวงตาสีฟ้าล้วนคู่นั้น---ไม่มีสีขาวอยู่ในพวกมันทั้งสิ้น.
“ให้เขาเข้ามาเถิด,”
ไอดาโฮ กระซิบ”
“ผ่านชายนั่นมา,” ดยุค บอก.
ยามรักษาการณ์ลังเล,
แล้วลดดาบของพวกตนลง.
ชายนั้นเคลื่อนอย่างรวดเร็วเข้ามาในห้อง,
ยืนตรงข้ามกับ ดยุค.
“นี่คือ
สติลจาร์, หัวหน้าของสิฐคามที่ข้าไปเยือน,
ผู้นำของพวกนั้นผู้ที่ได้ส่งคำเตือนเราในเรื่องกลุ่มปลอมแปลงตัวนั้น,” ไอดาโฮ พูด.
“ยินดีต้อนรับ,
ขอรับ,” ลีโต พูด. “และทำไมเราไม่ควรถอดฝักออกจากมีดนี้?”
สติลจาร์
เหลือบมองยัง ไอดาโฮ, พูด:
“ท่านได้สังเกตการณ์ประเพณ๊ทั้งหลายของการรักษาความสะอาดและเกียรติใมหมู่ของพวกเราแล้ว.
ข้าจะยอมให้ท่านได้เห็นคมมีดนั้นก็ต่อผู้ที่ถือว่าเป็นสหาย.”
สายตาจ้องของเขากวาดผ่านไปตามคนอื่น ๆ ในห้อง. “แต่ข้าไม่รู้จักผู้อื่นเหล่านี้.
ท่านจะยอมให้เขาแปดเปื้อนต่ออาวุธทรงเกียรตินี้หรือ?”
“ข้าคือ
ดยุคลีโต, “ดยุค พูด. “ท่านจะยอมให้ข้าได้เห็นคมมีดนี้ไหม?”
“ข้าจะยอมให้ท่านได้รับสิทธิ์ที่จะถอดฝักของมัน,”
สติลจาร์ บอก, และ, ขณะที่มีเสียงบ่นพึมพัมของการประท้วงดังขึ้นรอบโต๊ะ,
เขายกมือของเขาขึ้น, มืออะนมีเส้นปูดโปนดำ.
“ข้าขอเตือนว่านี่เป็นมีดของผู้ที่คือสหายของท่าน.”
ในความเงียบที่รอคอยอยู่,
พอล ศึกษาชายผู้นั้น, สัมผัสได้ถึงรังสีของพลังที่ส่งคลื่นออกมาจากตัวเขา.
เขาคือผู้นำ---ผู้นำของชนฟรีเมน.
ชายที่อยู่ใกล้ตอนกลางของโต๊ะตรงข้ามกับ
พอล บ่นพึม: “เขาเป็นใครกันถึงมาบอกเราถึงอะไรคือสิทธิที่เรามีบนดาว
อาร์ราคิส นี่?”
“ได้พูดกันว่า
ดยุคลีโต อะไทรดิส ปกครองด้วยการยอมรับต่อผู้ถูกปกครอง,” ฟรีเมนนั้นพูด.”
กระนั้นข้าต้องบอกท่านถึงวิถีของมันกับเรา: ความรับผิดชอบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ตกสู่เหล่าผู้ที่ได้เห็นคริสไน้ฟ์นี้.”
เขาผ่านสายตาลึกลับนั้นข้ามไปยัง ไอดาโฮ. “พวกนั้นคือของเรา.
พวกนั้นจะต้องไม่อาจออกไปจาก อาร์ราคิส ได้โดยปราศจากการยินยอมของเรา.”
ฮัลเล็ค
และอีกหลายคนอื่นๆเริ่มที่จะลุกขึ้น, แสดงโทสะบนใบหน้าของพวกเขา. ฮัลเล็ค พูด: ท่านดยุคลีโต เป็นผู้ตัดสินใจเท่านั้นว่าอะไรจะไม่---“
“สักครู่ก่อน,
ได้โปรด,” ลีโต พูด, และความอ่อนโยนมากของน้ำเสียงของเขาหยุดยั้งพวกเขาไว้. เรื่องนี้ต้องไม่ปล่อยให้หลุดมือไปได้,
เขาคิด. เขาแสดงตนต่อฟรีเมนนั้น: “ท่านขอรับ,
ข้าให้เกียความเคารพและนับถือเกียรติของผู้ใดก็ตามที่ให้ความเคารพนับถือต่อเกียรติของข้า.
ข้าเป็นหนี้บุญคุณต่อท่านจริงแท้. และข้าชดใช้หนี้ของข้าเสมอ. ถ้ามันเป็นจารีตประเพณ๊ของท่านว่ามีดนี้จะต้องอยู่ในฝักในที่นี้,
มันก็จะเป็นไปตามคำสั่งนั้น---โดยข้า.
และถ้ามีหนทางอื่นใดที่จะให้เกียรติต่อผู้ตายในการให้ความช่วยเหลือเรา,
ท่านต้องบอกแก่เรามาได้เลย.”
ฟรีเมนนั้นจ้องมองยัง
ดยุค, แล้วอย่างช้าๆดึงผ้าบังใบหน้าออกไปข้างๆ,
เผยให้เห็นจมูกเรียวบางและริมฝีปากอวบเต็มใรเคราดำแวววาวนั้น. อย่างตั้งใจ,
เขาก้มลงไปเหนือปลายสุดของโต๊ะ, บ้วนน้ำลายลงบนผิวหน้าขัดมันวาวของมัน.
ขณะที่ชายรอบโต๊ะเริ่มจะพุ่งพรวดขึ้นมายืนอีก,
เสียงของ ไอดาโฮ ก็ระเบิดขึ้นดังลั่นห้อง: “หยุดก่อน!”
ทันทีที่ความหยุดนิ่งพุ่งจู่โจมเข้ามา,
ไอดาโฮ พูด: “เราขอบคุณท่าน, สติลจาร์,
สำหรับของขวัญด้วยความเปียกชื้นของร่างกายท่าน.
เราขอรับมันในจิตวิญญาณของมันด้วยที่ถูกมอบมา.” และ ไอดาโฮ
ก็ถ่มน้ำลายลงบนโต๊ะตรงหน้าของ ดยุค.
เลี่ยงออกไปด้างข้างจาก ดยุค, เขาพูด:
“จำถึงความล้ำค่าแค่ไหนของน้ำในที่นี่, ขอรับ. นั่นเป็นของขวัญแห่งความเคารพ.”
ลีโต
เอนกายลงในเก้าอี้ของตนเอง, จับสายตาของ พอล ที่มองมาได้, ยิ้มเล็กน้อยอย่างสลดใจบนใบหน้าบุตรชายของเขา,
สัมผัสได้ถึงการผ่อนคลายอย่างช้าของความตึงเครียดรอบโต๊ะขณะที่ความเข้าใจคืบคลานมายังคนของเขา.
ฟรีเมนนั้นมองยัง
ไอดาโฮ, พูด: “ท่านได้รับการวัดค่าอย่างดีที่ในสิฐคามของข้า,
ดันแคน ไอดาโฮ. มีพันธการใดกับความสวามิภักดิ์ของท่านต่อดยุคของท่านไหม?”
“เขากำลังขอให้ข้าสมัครเข้าร่วมกับเขาน่ะ,
ใต้เท้า,” ไอดาโอ พูด.
“เขาจะยอมรับการสองสวามิภักดิ์ไหมล่ะ?”
ลีโต ถาม.
“ท่านปรารถนาให้ข้าไปเข้าร่วมกับเขารึ,
ขอรับ?”
“ข้าปรารถนาให้ท่านได้ทำการตัดสินใจของตนเองในเรื่องนี้,”
ลีโต พูด, และเขาไม่สามารถเก็บความเร่งรีบเอาไว้ได้ในน้ำเสียงของเขา.
ไอดาโฮ พิจารณาฟรีเมนนั้น. “ท่านจะยอมให้ข้าอยู่ภายใต้สถานะเช่นนั้นไหม,
สติลจาร์? จะได้มีหลายครั้งเมื่อต้องกลับมารับใช้ดยุคของข้า.”
“ท่านต้อสู้ได้ดีและท่านทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อสหายของเรา,”
สติลจาร์ พูด. เขามองมายัง ลีโต. “ขอให้เป็นเช่นนี้เถิด: ชายไอดาโฮนี้รับเก็บรักษาคริสไน้ฟ์นี้ถือเป็นเครื่องหมายของความจงรักภักดีของเขาต่อเรา.
เขาต้องถูกทำให้สะอาด, และทารพิธีกรรม, แต่เรื่องนี้สามารถทำให้เสร็จสิ้นได้.
เขาจะเป็น ฟรีเมน และทหารของอะไทรดิส. เคยมีมาก่อนสำหรับเรื่องนี้: เลียท รับใช้สองเจ้านาย.”
“ดันแคน?”
ลีโต ถาม.
“ข้าเข้าใจ,
ใต้เท้า,” ไอดาโฮ พูด.
“เป็นอันเห็นด้วย,
งั้น,” ลีโต พูด.
“น้ำของท่านคือของเรา,
ดันแคน ไอดาโฮ,” สติลจาร์ พูด. “ร่างของเพื่อนของเรายังคงอยู่กับดยุคของท่าน.
น้ำของเขาคือน้ำอะไทรดิส. มันคือการเชื่อมยึดระหว่างเรา.”
ลีโต
ถอนหายใจ, เหลือบมอง ฮาวัต, จับได้ถึงสายตาของเมนทาตเฒ่า. เขาพยักหน้า,
การแสดงออกของเขาน่าพึงพอใจ.
“ข้าจะรออยู่ที่ข้างล่าง,”
สติลจาร์ พูด, “ขณะที่ ไอดาโฮ ทำการอำลากับสหายของเขา. ตูร็อก
เป็นนามของสหายผู้ตายของเรา. จำไว้ว่าเมื่อถึงเวลาที่จะปลดปล่อยจิตวิญญาณของเขา. ท่านคือสหายของ
ตูร็อก.
สติลจาร์
เริ่มหันออกไป.
“ท่านจะกรุณาอยู่อีกสักครู่ได้ไหม?”
ลีโต ถาม.
ฟรีเมน
นั้นหันกลับมา, สะบัดผ้าบังหน้าให้เข้าที่ด้วยกิริยาเคยชิน,
ปรับบางอย่างภายใต้สิ่งมัน. พอล สังเกตเห็นอะไรคล้ายกับท่อเรียวเล็กก่อนที่บังหน้านั้นจะเข้าที่.
“มีเหตุผลใดหรือที่ให้อยู่?”
ฟรีเมน นั้นถาม.
“เราจะขอให้เกียรติท่าน,”
ดยุคพูด.
“เกียรติต้องการให้ตัวข้าอยู่ ณ ที่อื่นในเร็วนี้,” ฟรีเมน พูด.
เขายิงชำเลืองไปยง ไอดาโฮ อีกครั้ง, หมุนตัวและเคลื่อนออกผ่านยามรักษาการณ์ที่ประตู.
“ถ้าฟรีเมนคนอื่นๆเป็นเช่นเขา,
เราคงทำงานด้วยได้ดีซึ่งกันและกัน.” ลีโต พูด.
ไอดาโฮ
พูดในน้ำเสียงแห้งแล้ง: “เขาเป็นตัวอย่างที่ดี, ใต้เท้า.”
“ท่านเข้าใจนะว่าอะไรที่ท่านกำลังจะต้องทำ,
ดันแคน?”
“ข้าคือเอกอัครราชทูตต่อพวกฟรีเมน,
ใต้เท้า.”
“ต้องพึงท่านมาก,
ดันแคน. เรากำลังจำเป็นต้องการอย่างน้อยห้ากองพันทหารของคนเหล่านั้นก่อนที่ ชาร์เดาการ์
เคลื่อนทัพมาหาเรา.”
“เรื่องนี้จะใช้บางอย่างในการทำ,
ใต้เท้า. พวกฟรีเมนเป็นกลุ่มอิสระอย่างค่อนข้างมาก.” ไอดาโฮ ลังเล, แล้ว: “และ, ใต้เท้า, มีสิ่งอื่นอีกหนึ่งอย่าง.
หนึ่งในพวกนักรบรับจ้างที่เราซัดล้มไปนั้นได้พยายามที่จะเอามีดนี้จากสหายฟรีเมนของเราที่เสียชีวิต.
นักรบรับจ้างนั้นบอกว่ามีรางวัลจากฮาร์คอนเนนส์ให้หนึ่งล้านโซฮาริสสำหรับผู้ที่จะนำมันไปให้ได้หนึ่งเล่ม.”
แก้มของ
ลีโต ยกขึ้นในอาการของความแปลกใจที่ชัดเจน.
“ทำไมพวกมันถึงต้องการมีดพวกนี้สักเล่มหนึ่งถึงขนาดนั้นรึ?”
“มีดนั้นได้มาจากเขี้ยวของหนอนทราย; มันเป็นสัญลักษณ์ของพวกฟรีเมน, ใต้เท้า. ด้วยมัน,
ผู้มีดวงตาสีฟ้าสามารถเจาะเข้าไปได้ในทุกสิฐคามของแผ่นดินนี้. พวกเขาสอบถามข้ามากมายนอกเสียจากว่าข้าเป็นที่ถูกรู้จักแล้ว.
ข้าไม่ได้มอง ฟรีเมน. แต่...”
“ไพเตอร์
เดอ ฟรีส์,” ดยุค พูด.
“ชายเจ้าผู้เล่ห์เยี่ยงปีศาจร้าย, ใต้เท้า,” ฮาวัต พูด.
ไอดาโฮ สอดมีดสวมฝักนั้นเข้าไปในเสื้อเครื่องแบบของเขา.
“พิทักษ์มีดนั่น,” ดยุค พูด.
“ข้าเข้าใจ,
ใต้เท้า.” เขาตบแปะที่ตัวรับส่งสัญญานบนเครื่องเข็มขัดของเขา.
“ข้าจะรายงานมาให้เร็วเท่าที่จะทำได้. ธูเฟอร์ มีรหัสเรียกของข้า.
ใช้ภาษายุทธการ.” เขาทำความเคารพ, หันตัว, และรีบตามฟรีเมนนั้นไป.
พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของเขารัวลงไปตามระเบียงทางเดิน.
สายตาของความเข้าใจผ่านไประหว่าง
ลีโต และ ฮาวัต. พวกเขายิ้ม.
“เรามีอะไรต้องทำอีกมากมาย,
ใต้เท้า,” ฮัลเล็ค พูด.
“และข้ากักตัวพวกท่านไว้จากงานของพวกท่าน,”
ลีโต พูด.
“ข้ามีรายงานเรื่องฐานตอนหน้าทั้งหลาย,
“ ฮาวัต พูด. “จะให้ข้ารายงานในเวลาอื่นไหม, ใต้เท้า?”
“มันจะใช้เวลานานไหม?”
“ไม่สำหรับการบรรยายสรุป.
มันบอกว่าในท่ามกลางพวกฟรีเมนนั้นมีมากกว่าสองร้อยของฐานตอนหน้าเหล่านี้ที่ได้สร้างขึ้นที่นี่บนอาร์ราคิสระหว่างช่วงเวลาสถานีทดลองทางพฤกษศาสตร์ทะเลทราย.
ทั้งหมดคาดว่าได้ถูกละทิ้ง,
แต่มีหลายรายงานว่าพวกนั้นถูกปิดผนึกไว้ก่อนที่จะถูกทิ้งร้าง.”
“มีเครื่องมืออยู่ในพวกนั้นหรือ?”
“อ้างอิงตามรายงานที่ข้าได้รับมาจาก
ดันแคน.”
“พวกนั้นตั้งอยู่ตำแหน่งไหนหรือ?”
ฮัลเล็ค ถาม.
“คำตอบต่อคำถามนั้น,”
ฮาวัต พูด, “นั้นเป็นอย่างเดียวเสมอ: เลียท รู้.”
“พระเจ้า
รู้,” ลีโต บ่มอุบอิบ.
“บางทีอาจจะไม่เช่นนั้น,
ขอรับ,” ฮาวัต พูด. “ท่านได้ยินที่ สติลจาร์ ใช้นามนี้.
เขาอาจจะหมายถึงบุคคลที่มีตัวตนจริงๆได้ไหม?”
“รับใช้สองเจ้านาย,”
ฮัลเล็ค พูด. “มันฟังดูเหมือนคติพจน์ทางศาสนา.”
“และท่านควรจะรู้,”
ดยุค พูด.
ฮัลเล็ค
ยิ้ม.
“ตุลาการการถ่ายโอน
นี้,” ลีโต พูด, “นักนิเวศวิทยาจักรวรรดิ—คายนิ์ส...เขาจะไม่รู้ว่าฐานทัพพวกนี้อยู่ที่ไหนรึ?”
“ใต้เท้า,”
ฮาวัต เตือน, “คายนิ์ส ผู้นี้เป็นคนรับใช้ของจักรวรรดิ.”
“และเขาก็อยู่ไกลห่างจาก
จักรพรรดิ,” ลีโต พูด. “ข้าต้องการฐานเหล่านั้น.
พวกนั้นน่าจะถูกใช้เก็บวัสดุทั้งหลายที่เราสามารถกู้คืนและใช้ในการซ่อมแซมอุปกรณ์ทำงานของเราได้.”
“ใต้เท้า!” ฮาวัต พูด. “ฐานเหล่านั้นตามกฎหมายแล้วยังเป็นศักดินาขององค์จักรพรรดิ.”
“ภูมิอากาศที่นี่โหดร้ายพอที่จะทำลายอะไรก็ได้,”
ดยุค ว่า. “เราสามารถโทษไปที่สภาพอากาศได้เสมอ. เอาตัว คายนิ์ส
ผู้นี้มาและอย่างน้อยค้นหาให้เจอว่าฐานพวกนี้ยังมีอยู่.”
“
’ระวังภยันตรายที่จะยึดครองพวกมัน,” ฮาวัต พูด. “ดันแคน
บอกแน่ชัดในเรื่องหนึ่ง: ฐานเหล่านั้นหรือความคิดของพวกนั้นได้ยึดถือสำคัญในส่วนลึกบางอย่างของพวกฟรีเมน.
เราอาจจะกลายเป็นบาดหมางกับฟรีเมนถ้าเราบุกยึดเอาฐานพวกนี้.”
พอล
มองดูใบหน้าทั้งหลายของผู้คนรายรอบพวกเขา,
เห็นความเอาจริงเอาจังของวิธีที่พวกเขาตามติดในทุกคำพูด.
พวกเขาปรากฏออกมาให้เห็นความลำบากใจลึกๆต่อทัศนคติของบิดาของเขา.
“ฟังเขาเถิด, ท่านพ่อ,” พอล พูดในน้ำเสียงต่ำ. “เขาพูดความสัจ.”
“ใต้เท้า,”
ฮาวัต พูด,
“ฐานพวกนั้นสามารถให้วัสดุในการซ่อมแซมทุกชิ้นอุปกรณ์เครื่องมือที่ถูกทิ้งให้เรา,
กระนั้นก็อยู่เกินเอื้อมมือไปในแง่เหตุผลทางยุทธศาสตร์. มันจะเป็นการไม่รอบคอบที่จะเคลื่อนไหวโดยปราศจากความรู้ที่เหนือกว่า.
คายนิ์ส ผู้นี้มีอำนาจชี้ขาดจากราชจักรวรรดิ. เราต้องไม่ลืมเรื่องนั้น.
และพวกฟรีเมนคล้อยตามเขา.”
“ทำมันอย่างนุ่มนวล,
งั้น,” ดยุค บอก. “ข้าปรารถนาที่จะรู้แค่ว่าถ้าฐานพวกนั้นยังมีอยู่อีก.”
“ตามบัญชาท่าน,
ขอรับ.” ฮาวัต เอนกายกลับ, หลุบตาของเขาลง.
“เอาละ,
งั้น,” ดยุค พูด. “เราได้รู้ว่าอะไรที่มีอยู่ข้างหน้าของเรา---งาน.
เราได้ฝึกมาเพื่อมัน. เรามีบางประสบการณ์ในมัน.
เรารู้ว่าอะไรคือรางวัลและทางเลือกทั้งหลายนั้นก็ชัดเจนพอแล้ว.
พวกท่านทั้งหมดได้รับภารกิจของท่านแล้ว.” เขามอง ฮัลเล็ค. “เกอร์นีย์, ดูแลสถานการณ์เรื่องพวกลักลอบขนของเถื่อนนั่นก่อนเป็นอย่างแรก.”
“ ‘ข้าจะไปสู่พวกกบฏที่พำนักอยู่ในแดนแห้งแล้ง,’
” ฮัลเล็ค ร่ายกวี.
“สักวันข้าจะจับชายผู้นี้ให้ปราศจากคติพจน์
และเขาก็จะดูเหมือนไร้เสื้อผ้า,” ดยุค พูด.
เสียงหัวเราะในลำคอดังกังวานขึ้นรอบโต๊ะ,
แต่ พอล ได้ยินถึงความพยายามในการนี้ด้วย.
ดยุค
หันมาที่ ฮาวัต.
“ตั้งฐานบัญชาการขึ้นอีกอันสำหรับข่าวกรองและการสื่อสารบนพื้นชั้นนี้, ธูเฟอร์.
เมื่อท่านเสร็จพร้อมแล้ว, ข้าจะต้องการพบท่านอีก.”
ฮาวัต
ลุกขึ้น, เหลือบมองไปรอบห้องราวกับกำลังมองหาการสนับสนุน. เขาหันไป,
และเดินนำขบวนออกไปจากห้อง. คนอื่นๆเคลื่อนไหวตามอย่างเร่งรีบ,
เลื่อนลากเก้าอี้ของพวกตนไปกับพื้นห้อง, ม้วนเข้าหากันเป็นปมของความสับสน.
มันจบลงด้วยความสับสน,
พอล คิด, จ้องมองหลังทั้งหลายของพวกคนสุดท้ายที่ออกไป, ก่อนหน้านั้นเสมอ, คณะทำงานจบลงด้วยบรรยากาศแหลมคม.
การประชุมนี้ได้ดูเหมือนแค่เพื่อหยดออกมา,
ทรุดโ?รมลงไปด้วยความขัดสนทั้งหลายของตัวมันเอง,
และด้วยการขัดแย้งเพื่อเด็ดยอดมันออกไป.
เป็นครั้งแรก,
พอล ปล่อยให้ตัวเขาที่จะคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้จริงของการพ่ายแพ้---ไม่ได้คิดถึงมันออกมาจากความหวาดกลัวหรือเพราะว่าการเตือนอย่างเช่นที่แม่อธิการเฒ่าบอกไว้,
แต่เงยหน้าขึ้นเผชิญมันเพราะการประเมินต่อสถานการณ์ของตน.
บิดาของเขากำลังสิ้นหวัง, เขาคิด. เรื่องทั้งหลายไม่ได้เป็นไปด้วยดีสำหรับเราทั้งหมดเลย.
และฮาวัต---พอล
นึกหวนถึงว่าเมนทาตเฒ่าได้มีอาการเช่นไรระหว่างการประชุม---ลังเลเป็นนัย,
สัญญานบอกถึงความวุ่นวายใจ.
ฮาวัต
กำลังเดือดร้อนใจอยู่ลึกๆโดยบางอย่าง.
“ดีที่สุดที่เจ้าจะพักที่นี่ตลอดคืนนี้นะ,
ลูก,” ดยุค พูด. “มันจะรุ่งเช้าในไม่ช้านี้แล้ว, ถึงอย่างไร. พ่อจะส่งข่าวไปบอกแม่ของเจ้า.” เขาลุกขึ้นยืน, ช้าๆ, อย่างแข็งทื่อ.
“ทำไมเจ้าไม่ดึงเก้าอี้พวกนั้นมาหากันและเหยียดตัวนอนบนมันพักสักหน่อยล่ะ.”
“ลูกไม่เหน็ดเหนื่อยอะไรนัก,
ขอรับ.”
“ตามใจเจ้าเถอะ.”
ดยุค
ไขว้มือไปข้างหลังของตน, เริ่มก้าวเดินขึ้นลงไปตามความยาวของโต๊ะนั้น.
เหมือนสัตว์ในกรง,
พอล คิด.
“พ่อกำลังจะหารือเรื่องความเป็นไปได้ที่มีคนทรยศกับ
ฮาวัตหรือ?” พอล ถาม.
ดยุค
หยุดตรงข้ามกับบุตรชาย, พูดกับหน้าต่างทั้งหลายที่ดำมืด. “เราได้หารือเรื่องความเป็นไปได้นี้มาหลายหนแล้ว.”
“หญิงชรานั่นค่อนข้างแน่ใจในตัวเอง,”
พอล พูด. “และข่าวสารที่แม่อธิ---“
“การป้องกันล่วงหน้าได้ดำเนินการไปแล้ว,”
ดยุค พูด. ขามองไปรอบห้อง, และ พอล สะดุดจำในแววตาล่าเหยื่อในดวงตาของบิดาของเขา.
“อยู่แต่ที่นี่. มีบางอย่างเกี่ยวกับฐานบัญชาการทั้งหลายที่พ่อต้องการจะหารือกับ
ธูเฟอร์.” เขาหันร่าง, ก้าวยาวๆออกไปจากห้อง,
พยักหน้าสั้นๆกับยามรักษาการณ์ที่ประตู.
พอล จ้องมองยังที่บิดาของเขาได้ยืนอยู่. ที่นั้นได้ว่างเปล่าแม้ก่อนที่ ดยุค จะออกจากห้องแล้ว. และเขาหวนนึกถึงคำเตือนของหญิงชรานั้น: “...สำหรับผู้เป็นบิดา, ว่างเปล่า.”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น