หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (12)

 

“บางทีอาจจะไม่มีการรู้แจ้งฉับพลันมากไปกว่าอันหนึ่งซึ่งเจ้าได้ค้นพบว่าบิดาของเจ้านั้นคือชายคนหนึ่ง---ที่มีเลือดเนื้อของมนุษย์.”

         -จาก “รวบรวมคำกล่าว ของ มวดดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

 

         ดยุค พูด: “พอล, พ่อกำลังสิ่งที่พ่อเกลียด, แต่พ่อต้องทำ.” เขายืนอยู่ข้างเครื่องสอดแนมพิษเคลื่อนที่ซึ่งถูกนำเข้ามายังห้องประชุมสำหรับอาหารเช้าของพวกเขา. แขนของเจ้าสิ่งนั้นแขวนห้อยอยู่เหนือโต๊ะ, ทำให้ พอล นึกถึงแมลงพิกลบางอย่างที่เพิ่งตายไปใหม่ๆ.

         ความสนใจของ ดยุค นั้นตรงออกไปนอกหน้าต่างที่ลานสนามบินและฝุ่นร้อนของมันตัดกับท้องฟ้าของยามเช้า.

         พอล มีเครื่องทัศนภาพอยู่ตรงหน้าของเขาบรรจุไว้ด้วยฟิล์มคลิปสั้นๆเกี่ยวกับการปฏิบัติทางศาสนาของชนฟรีเมน. คลิปนั้นได้รวบรวมโดยหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายของ ฮาวัต และ พอล พบว่าตัวเขาถูกรบกวนโดยการกล่าวถึงตัวเขา.

         มาห์ดี!

         ไลซาน อัน กาอิบ!

         เขาสามารถหลับตาของเขาและหวนนึกไปถึงเสียงตะโกนของฝูงชน. แล้วนั่นคืออะไรที่พวกเขาหวัง, เขาคิด. และเขาจำได้ถึงอะไรที่ แม่อธิการเฒ่าได้พูด: ควิทซาตซ์ ฮาเดรัค. ความทรงจำทั้งหลายนั้นสัมผัสความรู้สึกของเขาถึงเจตจำนงอันน่ากลัว, ทอดเงาอยู่บนโลกแปลกถิ่นนี้ด้วยความรู้สึกสนใจทั้งหลายของการคุ้นเคยที่เขาไม่อาจจะเข้าใจได้.

         “สิ่งที่น่าเกลียดชัง,” ดยุค พูด.

         “ท่านพ่อหมายถึงอะไรหรือ, ขอรับ?”

         ลีโต หันมา, มองลงมีบุตรชายของเขา. “เพราะว่าพวกฮาร์คอนเนนส์คิด ที่จะใช้เล่ห์ต่อพ่อด้วยการทำให้พ่อไม่ไว้ใจในตัวแม่ของลูก. พวกมันไม่รู้หรอกว่าพ่อนั้นไม่ไว้ใจตัวเองได้เร็วกว่า.”

         “ลูกไม่เข้าใจ, ขอรับ.”

         อีกครั้ง, ลีโต มองออกไปนอกหน้า. ดวงอาทิตย์สีขาวลอยขึ้นถึงหนึ่งในสี่ส่วนตอนเช้าของมัน. แสงสีน้ำนมสอดส่องผ่านเมฆฝุ่นที่กำลังเดือดซึ่งไหลล้นท่วมทั่วเข้าไปในหุบโตรกเขาแทรกสลับชั้นกับกำแพงโล่ห์.

         อย่างช้าๆ, พูดในน้ำเสียงที่ช้าเพื่อคุมความโกรธของเขา, ดยุค อธิบายกับ พอล ถึงเรื่องบันทึกลึกลับนั้น.

         “พ่อเองก็อาจจะไม่ไว้ใจลูกได้เช่นกัน,” พอล พูด.

         “พวกมันจะต้องถูกทำให้เข้าใจว่าพวกมันได้ประสบสำเร็จ,” ดยุค บอก. “พวกมันต้องคิดว่าข้าโ.เง่าได้มากขนาดนั้น. มันต้องดูให้เหมือนจริง แม้กระทั่งแม่ของลูกก็อาจจะไม่รูได้ถึงการลวงนี้.”

         “แต่, ขอรับ! ทำไม?”

         “การตอบสนองของแม่ของลูกต้องไม่ใช่การแสดง. โอ, แม่เค้าสามารถทำได้ถึงการแสดงที่สุดยอดแหละ......แต่มากเกินไปที่จะใช้กับการนี้. พ่อหวังจะปล่อยควันใส่ผู้ทรยศ. มันต้องดูเหมือนว่าพ่อได้ถูกหลอกเสียสนิทไปแล้ว. แม่ต้องเจ็บปวดกับวิธีนี้ซึ่งจะได้ไม่เจ็บปวดกับอะไรที่รุนแรงยิ่งไปกว่า.”

         “ทำไมพ่อถึงบอกกับลูก, ท่านพ่อ? บางทีลูกอาจจะให้เรื่องนี้หลุดออกไปได้.”

         “พวกมันจะไม่เฝ้าดูลูกอยู่ในเรื่องนี้,” ดยุค บอก. “ลูกจะเก็บความลับไว้. ลูกต้องทำให้ได้.” เขาเดินไปที่หน้าต่างทั้งหลาย, พูดโดยไม่หันหลับมา. “วิธีนี้, ถ้ามีอะไรน่าจะเกิดขึ้นกับพ่อ, ลูกก็บอกแม่ถึงความสัจจริงนี้---ว่าพ่อไม่เคยแคลงใจในแม่, ไม่แม้แต่เพียงเล็กน้อยนิด. พ่ออยากให้แม่ได้รู้นี้.”

         พอล สดุดใจในความคิดเรื่องตายแฝงอยู่ในคำพูดของบิดา, พูดขึ้นอย่างเร็ว: “ไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นกับพ่อ, ขอรับ. เรื่อง---“

         “เงียบเถิด, ลูก.”

         พอล จ้องมองด้านหลังของบิดา, เห็นความอ่อนล้าที่ทำมุมของต้นคอนั้น, กับเส้นสายของไหล่หลัง, ในการเคลื่อนไหวทั้งหลายอย่างช้า ๆ.

         “พ่อแค่เหนื่อยน่ะ, ท่านพ่อ.”

         “พ่อเหนื่อย,” ดยุค เห็นด้วย. “พ่อเหนื่อยใจ. ความเสื่อมถอยอย่าน่าหดหู่ใจของบรรดา ราชสำนักทั้งหลาย ได้ทำให้พ่อทุกข์ทรมานในที่สุด, บางที. และเราเคยเป็นผู้คนที่แข็งแรงในครั้งหนึ่ง.”

         พอล พูดอย่างบันดาลโทสะขึ้นมารวดเร็ว. “ราชสำนักของเราไม่ได้เสื่อมลง!

         “ไม่หรอกรึ?”

         ดยุคหันมา, เผชิญหน้ากับบุตรชาย, เผยให้เห็นรอยดำคล้ำเป็นวงอยู่ใต้ดวงตาดุดันนั้น, ความบิดเบี้ยวดุจหยันเยาะของปาก. “พ่อควรแต่งงานกับแม่ของลูก, ทำให้แม่เป็น ดัสเชส ของพ่อ. กระนั้น.....สถานะการไม่ได้สมรสทำให้หลายราชสำนักหวังว่าพวกเขาจะร่วมเป็นพันธมิตรกับพ่อโดยผ่านการสมรสกับธิดาของตน.” เขายักไหล่. “ดังนั้น, พ่อ.....”

         “ ท่านแม่ได้อธิบายเรื่องนี้กับลูกแล้ว.”

         “ไม่มีอะไรเอาชนะได้รับความจงรักภักดีสำหรับผู้นำได้มากไปกว่าบรรยากาศของความกล้าหาญ,” ดยุค พูด. “พ่อ, เพราะเช่นนั้น, กำลังไถพรวนบรรยากาศของความกล้าหาญ.”

         “ท่านพ่อเดินนำได้ดีแล้ว,” พอล ค้าน. “ท่านพ่อปกครองได้ดี. คนทั้งหลายติดตามท่านพ่ออย่างเต็มใจและรักท่านพ่อ.”

         “กองกำลังโฆษณาประชาสัมพันธ์ของพ่อเป็นหนึ่งในที่ดีที่สุดของพ่อ,” ดยุค พูด. อีกครั้ง, เขาหันไปจ้องมองออกไปยังแอ่งทุ่งนั้น. “มีความเป็นไปได้สำหรับเราที่นี่บน อาร์ราคิส ที่ยิ่งใหญ่กว่าซึ่งจักรวรรดิสามารถสงสัยไว้ได้. กระนั้นบางครั้งพ่อคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าเราวิ่งหามัน, แยกตัวออกไปกบฏ. บางครั้งพ่อปรารถนาให้เราสามารถจมกลับเข้าไปสู่ความไร้ชื่อเสียงในท่ามกลางผู้คน, เป็นน้อยลงที่จะเปิดเผยตัวต่อ.....”

         “พ่อ!

         “ใช่, พ่อเหนื่อยแล้ว,” ดยุค พูด. “ลูกรู้ไหมว่าเรากำลังใช้เศษที่เหลือของเครื่องเทศนี้เป็นวัตถุดิบและได้มีโรงงานของเราเองเพื่อผลิตฟิล์มเบส?”(filmbase - เป็นศัพท์บัญญัติของนิยายเรื่องนี้ – หมายถึงแผ่นเยื่อพื้นฐาน/คล้ายกับพลาสติก สำหรับใช้ในเป็นวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ต่างๆ*)

https://scifi.stackexchange.com/questions/183228/how-do-the-fremen-make-plastic

         “ขอรับ?”

         “เราต้องไม่ขาดแคลนฟิล์มเบส,” ดยุค บอก. “มิเช่นนั้น, เราจะสามารถท่วมท้นหมู่บ้านเมืองด้วยข้อมูลข่าวสารของเราได้อย่างไรล่ะ? ผู้คนต้องเรียนรู้ว่าเราได้ปกครองพวกเขาดีเช่นไร. พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรถ้าไม่ได้บอกกับพวกเขา?”

         “พ่อควรจะได้พักบ้าง,” พอล พูด.

         อีกครั้ง, ดยุคหนหน้ามายังบุตรชายของเขา. “อาร์ราคิส มีข้อได้เปรียบอีกอย่างที่พ่อเกือบลืมที่จะพูดถึง. เครื่องเทศคือทุกอย่างของที่นี่. ลูกหายใจมันและกินมันในเกือบทุกอย่าง. และพ่อพบว่าเรื่องนี้บอกให้รู้ถึงภูมิคุ้มกันธณรมชาติอย่างชัดเจนต่อบางยาพิษธรรมดาส่วนใหญ่ของคู่มือสำหรับนักลอบสังหาร. และจำเป็นต้องมีการเฝ้าดูทุกหยดของน้ำใช้ไปกับการผลิตอาหาร---การปรับปรุงยีสต์, การปลูกพืชไม่ใช่ดิน(ไฮโดรพอนิกส์ (hydroponics) คือ การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน โดยให้รากแช่อยู่ในน้ำที่มีธาตุอาหารพืชละลายอยู่ และส่วนลำต้นและส่วนอื่นๆ จะอยู่เหนือระดับสารละลาย โดยมีวัสดุพยุงไว้อย่างเหมาะสม), เคมาวิท(chemavit), ทุกอย่าง---ภายใต้การการควบคุมเฝ้าดูอย่างเข้มงวดที่สุด. เราไม่สามารถฆ่าผู้คนกลุ่มขนาดใหญ่ของประชากรเราด้วยยาพิษ---และเราไม่สามารถถูกโจมตีได้ด้วยวิธีนี้, เช่นกัน. อาร์ราคิส ทำให้เรามีศีลธรรมและจริยธรรม.”

         พอล เริ่มต้นที่จะพูด, แต่ ดยุค ตัดบทเขาเสียก่อน, บอกว่า: “พ่อต้องมีใครบางคนที่พ่อสามารถพูดสิ่งเหล่านี้ให้ฟังได้, ลูก.” เขาถอนหายใจ, เหลือบมองกลับไปยังภูมิทัศน์แห้งแล้งนั้นที่กระทั่งดอกไม้ก็ได้จากไปแล้วในตอนนี้---ถูกเหยียบย่ำโดยเครื่องเก็บรวบรวมน้ำค้าง, เหี่ยวแห้งภายใต้ดวงอาทิตย์รุ่ง.

         “บน คาลาดาน, เราปกครองด้วยอำนาจของทะเลและอากาศ” ดยุค พูด. “ที่นี่, เราต้องคุ้ยเขี่ยหาเอาจากอำนาจของทะเลทราย. นี่คือมรดกของลูก, พอล. อะไรที่จะตกเป็นของลูกเมื่ออะไรก็ตามเกิดขึ้นกับพ่อน่ะหรือ? ลูกจะต้องไม่กบฏแยกตัวออกจากราชสำนัก, แต่เป็นกองโจรกับราชสำนัก---ดำเนินการออกล่า.”

         พอล ควานหาคำพูด, พบว่าไม่มีอะไรที่จะพูดได้. เขาไม่เคยเห็นบิดาของเขาสิ้นหวังถึงขนาดนี้เลย.

         “เพื่อครอง อาร์ราคิส,” ดยุค พูด, “ผู้นั้นต้องได้เผชิญกับการตัดสินใจที่อาจจ่ายไปด้วยความนับถือตนเองของผู้นั้น.” เขาชี้ออกไปนอกหน้าต่างยังแถบป้าย อาร์ราคีน สีเขียวดำที่กำลังห้อยจากเสาค้ำที่ริมขอบของลานสนามบิน. “แถบป้ายเกียรติยศนั้นสามารถกลายมาเป็นความหมายของสิ่งชั่วร้ายมากมายได้.”

         พอล กล้ำกลืนน้ำลายลงผ่านลำคอที่แห้งผาก. คำพูดของบิดาของเขาแบกมาด้วยความไร้ประโยชน์, สัมผัสของความเชื่อในชะตากรรมที่ทิ้งให้เด็กชายตกอยู่กับอารมณ์ว่างเปล่าในอกของเขา.

         ดยุค แผงยาต้านความอ่อนล้าออกมาจากกระเป๋า, กลืนมันลงไปเลยเช่นนั้น. “อำนาจและความกลัว,” เขาพูด. “เครื่องมือของศิลปะการทูต. พ่อต้องสั่งเน้นลงไปใหม่กับการฝึกฝนยุทธวิธีกองโจรสำหรับลูก. ในฟิล์มคลิปนั่น---พวกเขาเรียกลูกว่า มาห์ดี---ไลซาน อัล-กาอิบ---เป็นที่ดุจพึ่งสุดท้าย, ลูกใช้ประโยชน์จากมันให้เต็มที่.”

         พอล จ้องมองบิดาของเขา, เฝ้าดูไหล่ทั้งคู่ที่เหยียดออกเมื่อได้กลืนกินยานั้นลงไปและมันเริ่มทำงาน, แต่จำได้ถึงคำพูดของความกลัวและลังเล.

         “อะไรไปกักตัวนักนิเวศน์นั่นไว้อยู่นะ?” ดยุค บ่นพึมพำ. “พ่อบอกกับ ฮาวัต ให้ไปเอาตัวเขามาแต่เช้า.”

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น