หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

คุรุเทพ - อะไรคือพระเจ้า? นักวิทยาศาสตร์ถาม/คุรุเทพตอบ.

อะไรคือ พระเจ้า? นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายถาม คุรุเทพ บางอย่างในเรื่อง เวลาและอวกาศ และอีกมาก!

What is God? | Scientists Ask Gurudev Anything on Time, Space & More!

 

เออร์วิน ชโรดิงเจอร์(Erwin Schrodinger*) บิดาแห่งกลศาสตร์ควอนตัม(father of quantum mechanics) พูดไว้ว่า “ความหลากหลายทวีคูณที่ชัดเจนแจ่มแจ้งนั้น...ตามความสัจจริงแล้ว, มีเพียงหนึ่งจิตใจเดียวเท่านั้น.”(The multiplicity is only apparent…in truth there is only One Mind.)

         *https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%99_%E0%B8%8A%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

 

หลายพันปีมาแล้ว, คัมภีร์อุปนิษัท(the Upanishads*)ได้บอกกล่าวอย่างแน่ชัดว่า สารวัม กาลวิฑัม พรหมา (Sarvam Galvidum Brahma) ซึ่งแปลได้ว่า ทุกสิ่ง คือ หนึ่ง จิตสำนึก(everything is on consciousness). อุปนิษัท หมายถึง การนั่งอยู่ใกล้ชิดกับปรมาจารย์(sitting close to the master).

         * https://en.wikipedia.org/wiki/Upanishads

 

...นักวิทยาศาสตร์มีชื่อเสียงทั้งหลาย ถาม คุรุเทพ(Gurudev) บางอย่างในเรื่อง กาล(TIME) “กาล/เวลา(time)ดำเนินไปอย่างแตกต่างกันในจุดที่แตกต่างกันของอวกาศ(at different point in space). เรื่องนี้ได้ถูกเอ่ยถึงในคัมภีร์โบราณ(our ancient scripture)ด้วยเช่นกันหรือ?”

คุรุเทพโอ้! ใช่! ใช่! ใช่! น่าสนใจยิ่ง, ใช่.

...ในเรื่อง อวกาศ(SPACE) “อะไรคือแหล่งกำเนิดของพลังงานมหึมานี้(the source of this huge energy) ในจักรวาล(cosmos) คะ?

คุรุเทพเอาลูกเทนนิสมาใบหนึ่งและพยายามที่จะค้นหาว่าที่ไหนที่มันได้เริ่มต้น. มันจะเป็นการออกกำลังกายอย่างไร้ผล(a futile exercise).

...ในเรื่อง พระเจ้า(GOD) “พระเจ้า(the God) คือ ตัวตน(a being) หรือว่าเป็นพลังแฝง(the underlying force)ซ่อนอยู่เบื้องหลังเอกภพนี้(this universe) หรือพระเจ้า(God)เป็นแค่การสั่นสะเทือน(a vibration) ครับ?

คุรุเทพแค่การสั่นสะเทือน(vibration). คุณถูกต้องแล้ว.

ดร.สุพินัย ดาส - ศาสตราจารย์ ด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์(Dr. Subinoy Das – Indian Institute of Astrophysics, Bungalore. Professor of Astrophysics)

คุรุเทพ(Gurudev), ฤษีโบราณของเรา(our ancient richis) ได้ประมาณอายุของการรังสรรค์ปัจจุบัน(the age of the present creation)ว่าเป็นราว 10 พันล้านปี, แต่ทว่าในจารีตนิยมอื่น(tradition)มันเป็นแค่ 15,000 ปี. แต่ตอนนี้, เมื่อไม่นานมานี้กล้องโทรทรรศน์อวกาศของชาวยุโรปได้คำนวณวัดอายุจากการมองดู(looking)ที่การแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของฟอสซิล(fossil radiation)จาก บิ๊ก แบง(big bang) และเข้ากันได้อย่างชัดเจนกับการคาดหมายของฤษีโบราณนั้น. คำถามของผมก็คือว่า, พวกเขามีเส้นทาง(route)อื่นไปสู้ความสัจจริง(truth)นี้ เพราะว่าเทคโนโลยีไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้(not available)?

คุรุเทพ:  เราได้เมินเฉยอย่างใหญ่หลวงต่อความสามารถของเรา(our ability)ในการที่จะตระหนักรู้(cognize).

         คุณรู้ไหม, จิตสำนึกของเรา(our consciousness)มีความสามารถ(ability)ที่จะตระหนักรู้(cognize). ดังนั้นพวกเขาจึงได้ไปในเส้นทางแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน(the subjective route). อะไรบางอย่างที่คุณตระหนักรู้(cognize), คุณตระหนักรู้ผ่าน จิต ของคุณ(the mind*), ถูกไหม?

         * https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95

         * https://www.novabizz.com/NovaAce/Mind.htm

[จิต ในทางศาสนาพุทธแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ๑. วิถีจิต หรือ จิตสำนึก ๒. ภวังคจิต หรือ จิตใต้สำนึก

ภวังคจิต คือจิตใต้สำนึกในทางศาสนาพุทธหมายถึงเป็นกระบวนการทำงานแบบอัตตโนมัติของจิต จิตใต้สำนึกในความหมายของภวังคจิตนี้จึงอาจแตกต่างจากทางจิตวิทยา

ภวังคจิต เป็น วิบากจิต คือ จิตใต้สำนึกส่วนลึกที่สุดของจิตเป็นที่สั่งสมอารมณ์จนกลายเป็นอุปนิสัย

ภวังคจิต จะเกิดคั่นระหว่างวิถีจิตในแต่ละวาระ ทำหน้าที่สืบต่อและดำรงภพชาติ

ภวังคจิต จะเกิดขึ้นเมื่อวิถีจิตดับ และเมื่อเกิดวิถีจิตภวังคจิตจะดับลง เมื่อวิถีจิตดับลงภวังคจิตจะเกิดขึ้นมาใหม่ ถ้าไม่มีภวังคจิต พอขาดวิถีจิต จิตจะไม่มีการสืบต่อสันตติก็เท่ากับสิ้นชีวิต

ภวังคจิต ในขณะที่เปลี่ยนภพจุติใหม่สู่ชาติใหม่ จะใช้ชื่อว่า ปฏิสนธิจิตแทน ซึ่งเป็นขณะจิตแรกของแต่ละชาติ ภวังคจิตจึงสืบต่อภพในระดับเปลี่ยนชาติด้วย

ภวังคจิต คือมโนทวารเป็นอายตนะที่ ๖ อันเป็นวิบาก เป็นอัพยากฤต ซึ่งเป็นจิตตามสภาพปกติ เมื่อยังไม่ขึ้นสู่วิถีจิตรับรู้อารมณ์ จะเป็นเพียงมโน ยังไม่เป็นมโนวิญญาณ เมื่อรับอารมณ์คือเจตสิก จะกลายเป็นมโนวิญญาณ

มีพุทธพจน์ว่า “จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา" จิตที่ประภัสสรในที่นี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่าหมายถึงภวังคจิต

          *https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95]

         นี้เป็นการรับรู้ตามความเป็นจริง(an objective cognition). เมื่อคุณพลิกหันจิตเข้าข้างใน(turn the mind inward) และรับเอาอีกมิติหนึ่งของการรับรู้(take another dimension of cognition), แล้วความลับทั้งหลายมากมายก็จะเผยออกต่อเรา(reveal to us).

         และน่าสนใจอย่างยิ่งที่มันเข้ากันได้ดีมากกับอะไรที่เราเห็นจากการรับรู้ตามความภาวะวิสัยจริง(from the objective cognition).

         เพราะว่าความสัจจริงคือสิ่งเดียวกัน(the truth is the same).

ดร. เทพนัธ ภาณจัน(Indian Institute of Science, Bungalore. Ph.D Student of Chemical Engineering.):

         คุรุเทพครับ, มีมากมายกฎทั้งหลายบนพื้นฐานทางฟิสิกส์(many physics-based laws)อยู่ในคัมภีร์โบราณมากมาย(in many ancient scriptures), เช่น กฎของการเคลื่อนที่(laws of motion)ใน คานัด สัมหิตา(Kanad Samhita), กระทั่งยาวนานกว่านั้น, นิวตัน(Sir Isaac Newton*)

         * https://en.wikipedia.org/wiki/Isaac_Newton

ได้ค้นพบใหม่อีกครั้งในกฎทั้งหลายเหล่านี้. คล้ายกันในเรื่อง แรงโน้มถ่วง(gravity), แนวความคิด DNA และปรมาณู(concept of DNA and atoms) ฯลฯ. เช่นนั้นแล้วทำไมงานประพันธ์ชาวตะวันตกเหล่านี้ถึงได้รับการสนใจและการอ้างอิงอย่างมโหฬารนักล่ะครับ?

คุรุเทพจิตวิญญาณ(the spirit)ที่จะทำการค้นคว้าวิจัย(to do research)นั้น, นิสัยอารมณ์เชิงวิทยาศาสตร์(the scientific temper)ยึดเอาที่นั่งด้านหลัง(took the back seat).

         นั่นคือที่เมื่อเราแพ้(lost).

         และนี่เป็นเพียงบางส่วนเพราะว่าไม่มีการสนับสนุน(no support)จากองค์การ(the establishment). ประเทศนี้ถูกปกครองโดยผู้บุกรุก(ruled by invaders)ทั้งหลายมานานและวิทยาศาสตร์ก็ไม่เคยได้รับการส่งเสริมสนับสนุนในยุคสมัยเหล่านั้น. นั่นควรจะเป็นเหตุผลหนึ่ง.

         อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเราพินิจพิจารณาสิ่งทั้งหลายว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากเกินไป(too sacred)และหวงจำกัดท้องถิ่นมากเกินไป(too localized)และผู้คนเก็บรักษามันไว้กับตัวเอง. พวกเขาเพียงแค่จะถ่ายทอดส่งต่อให้กับลูกหลานของตนเองเท่านั้น. พวกเขาจะทดสอบลูกศิษย์ทั้งหลายของตนว่าพวกนั้นจะมีความสามารถด้วยหรือไม่(capable), และแล้วก็ไม่มีใครผ่านการทดสอบเหล่านั้นและพวกเขาก็เลยไม่ส่งต่อไปให้ใครคนใด(don’t pass on to anybody).

         นั่นคือการที่การถ่ายทอดของความรู้(the transfer of knowledge)ถูกหยุดยั้งชะงักลง(was hampered). และจิตวิญญาณของการสืบค้นและใฝ่รู้เชิงวิทยาศาสตร์(spirit of enquiry and scientific temper)ก็ที่ไหนสักแห่งถูกตัดหาง(was curtailed).

         อย่างที่สามก็คือ, เมื่อประเทศนี้กำลังเผชิญหน้ากับการท้าทายที่มากมายเกินไป(so many challenges), การท้าทายต่อความมั่นคง(security challenges), อาหาร(food)และความอดอยาก(famine), ด้วยศาสตร์ทั้งหมดเหล่านี้, ก็เลยไปยึดที่นั่งอยู่ด้านหลัง.

         แต่กระนั้นเราก็ยังคงต้องควรสดุดี(salute)ผู้คนเหล่านั้นซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็ได้ธำรงไว้(maintained)คัมภีร์ตำราดั้งเดิมทั้งหลาย(the original books)มาโดยตลอดดังนั้นอย่างน้อยที่สุดเราก็สามารถรู้ในตอนนี้ได้ถึงสิ่งทั้งหลายนั้นว่ามีอยู่จริง(do exist).

         ศูนย์(zero), มโนคติในเรื่องศูนย์(concept of zero), ปูรนะมาธะ ปูรนะมิธัม(poornamatha poornamitham*), มนตร์นี้ที่ทุกคนสวดภาวนา(recites). แต่ไม่เคยเชื่อมโยงสิ่งนี้เข้ากับศูนย์(zero). สูตรของศูนย์ทั้งปวง(the whole formula of zero) ถูกบอกเอาไว้ในนั้น ปูรนะมาธะ ปูรนะมิธัม ปูรนาธ ปูรนะมุฑาสชยาธิ(poornamatha poornamitham poornath poornamudaschyate). นั่นคือเต็มนี้คือเต็ม(that is full this is full).

และเมื่อนี้เต็มออกมาจากความเต็มนั่น(that fullness), กระนั้นความเต็มนั่นก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม(remains the same). และเมื่อความเต็มนี้ถูกหักออกจากนั่น(is subtracted from that), แล้วอีกครั้งที่ความเต็ม(fullness)ยังคงอยู่.

ศูนย์(zero)หักออกจากศูนย์(zero)ก็เป็น ศูนย์(is zero). ศูนย์(zero)เติมเข้าไปกับศูนย์(zero) ก็เป็น ศูนย์(zero).

คุณรู้ว่าเราไม่เคยจะมองมนตราทั้งหลาย(mantras)จากมุมนี้.

เหมือนกันกับที่ถ้าคุณฟังต่อการสวดรุฑราม(Rudram chanting) หรือที่เรียก ชามีธิ ศรีชามี(chamethi srichame*), เลขคี่ทั้งหมดได้ถูกสวดท่อง(all odd numbers are chanted). และแล้วเลขคู่ท้ะงหลาย(even numbers)ก็ถูกสวดท่อง.

ฉันหมายความว่ามีการคำนวณ(computing)อย่างแน่ชัดว่ากำลังบังเกิดขึ้นที่นั้น. และสูตรลับเหล่านี้(these secret formulas) ต้องได้ถูกค้นพบขึ้น(have to be explored). กระทั่งเลขจำนวนทั้งหลายที่พวกเขาเคยจำได้(used to remember).

เหล่านี้ถูกเรียกว่า อวาธาน(Avathan), มีเทคนิคหนึ่งที่เรียกว่า อวาธาน(Avathan). ถ้าคุณพูด 50 จำนวนเลขจากจากความแตกต่างทั้งหมดในการเรียงสลับลำดับที่และรวมกลุ่มกัน(from all different permutations and combinations), ไม่ว่าในลำดับเรียงลำดับต่อเนื่องกันอย่างไร(in whatever sequence) ที่คุณพูดมา, บุคคลเหล่านั้นฟังเพียงแค่ไม่กี่สองสามวินาที, พวกเขาจะพูดซ้ำในสิ่งเดียวกันและในจัดระเบียบเดียวกัน(same thing in the same order).

นี้เป็นเกือบความทรงจำเหมือนรูปถ่าย(a photographic memory).

การปรับความทรงจำของคุณที่จะพูดออกมา(attuning your memory to say) ชาตะ อวธานิ(Shata Avdhani)หมายถึง 100 ตัวเลข. คุณสามารถพูดต่อไป, 28, 29, 48, 89, 34 และพวกเขาก็จะพูดทวนซ้ำมันในการเรียงลำดับเดียวกัน(the same sequence).

เหล่านี้คือความสามารถทั้งหลาย(abilities) ที่จิตสำนึกของเรามี(our consciousness has), คุณง่ายๆก็แค่ต้องปรับแต่งกับมัน(attune to in). คุณง่ายๆก็แค่ต้องเรียนรู้และฝึกฝนปฏิบัติมัน(simply have to learn and practice it). ฝึกฝนตนเองในสิ่งนี้(train yourself in this).

ดร. รวี ชานการ์(Dr. Ravi Shankar, Indian Institute of Technology, Delhi. Chair Professor of Decision science): เราส่วนใหญ่มีความรู้สึกของความเป็นปัจเจก(a feeling of individuality)และความรู้สึกสำนึกของการมีชีวิต(a sense of being) ที่แตกต่างจากบุคคลอื่น, สำนึกของความเป็น-ฉัน(a sense of I-ness - ตัวกู).

         แล้วแต่ละเซลล์ของร่างกายนี้(each cell of the body)ก็มีความรู้สึกสำนึกของความเป็น-ฉัน(also have this feeling of I-ness)ด้วยเช่นกันหรือไม่ครับ?

         และในด้านขำขันนะครับ, คุรุเทพ(Gurudev), ไวรัส(virus)นี้มีความรู้สึกของความเป็น-ฉันด้วยเช่นกันไหมครับ?

คุรุเทพ:  นี่นะ, ความรู้สึกของตัวฉัน(I-ness)เป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นนะที่ฉันสามารถรู้ได้. (หะหะหะ)

         ดังนั้นถ้าไวรัส(virus)มีความรู้สึกของความเป็น-ฉัน(the feeling of I-ness), ไวรัสสามารถรู้ได้เพียงแค่นั้นแหละ.

ดร. รวี ชานการ์:  จริงมากเลย, จริงมากครับ.

คุรุเทพ:  นั่นคือทำไมพวกเขาถึงพูดว่า เมื่อฉันรู้ถึงท่าน, ฉันก็กลายเป็นท่าน(When I know you, I become you). คุณรู้ถึงพรหมัน, คุณก็กลายเป็นพรหม(you know Brahman you become Brahman).

         รู้จักคุณ, คุณก็กลายเป็นคุณ(knowing you, you become you).

         ดังนั้นผู้ที่รู้ถึงพรหมัน(Brahman), เขาก็กลายเป็นพรหม(Brahman).

ดร.อภิเษก ราช(Dr. Abhishek Raj, Indian Institution of Technology, Patna. Professor of Machanical Engineering)

คุรุเทพครับ, วิทยาศาสตร์สมัยใหม่บอกว่าวัตถุ(matter)นั้นไม่มีอยู่(does not exist). ทั้งหมดที่เราเห็นนั้นคือการสั่นสะเทือน(all that we see is vibration).

         ดังนั้นแล้วพระเจ้า(God)คือ...พระเจ้าคือสิ่งที่มีตัวตนอยู่หรือว่าเป็นแรงกำลังที่แฝงเร้นอยู่เบื้องหลังเอกภพนี้(God a being or underlying force behind this universe) หรือว่าพระเจ้า(God)เป็นแค่การสั่นสะเทือน(vibration).

คุรุเทพ:  นี่การสั่นสะเทือน(this vibration). คุณพูดถูกแล้ว.

         พระเจ้า(God) คือ อาสธิ ภาธิ ปรีธิ(Asthi Bhathi Preethi).

         อาสธิ(Asthi) – มันคือ, มันส่องสว่าง(shines) หรือ มันแสดงออกมา(exhibits), และ ปรีธิ(Preethi), มันคือรัก(love). และรัก(love)นั้นเป็นแค่ความสั่นสะเทือน(a vibration), มันไม่ได้เป็นวัตถุ(substance).

         และโลก(the world is)นี้ก็คือ นามะ(nama) และ รูปะ(roopa), นามและรูป(name and form).

ดร.อภิเษก ราช:  แบบว่า, ผมสัมผัส(touch)ขวดใบหนึ่งหรือวัตถุบางอย่าง(some object), มันดูเหมือนของแข็ง(rigid), แต่วิทยาศาสตร์(science)บอกว่ามันเป็นความสั่นสะเทือน(vibration).

         ดังนั้นแล้ว, จากบริเวณใดของจิตสำนึกของผม(from which realm of my consciousness) ที่ผมสามารถประสบรับรู้นั่นได้ครับ?(can experience that)

คุรุเทพ:  เอาละ, เมื่อคุณอยู่ในสภาวะการตื่นของจิตสำนึก(in a waking state of consciousness) คุณสัมผัส(touch)ขวดใบหนึ่ง, คุณรู้สึก(feel)ว่าคุณกำลังสัมผัสขวดใบนั้น.

         สมมติว่ามือของคุณได้ชาหมดความรู้สึก(your hands are numb) และคุณสัมผัส(touch)ขวดใบหนึ่ง, คุณก็ไม่ได้รู้สึก(feel)ว่าขวดนั้นอยู่ที่นั่น.

     ในสภาวะการนอนหลับของจิตสำนึก(a sleep state of consciousness) คุณอาจจะได้สัมผัส

ขวดใบหนึ่ง, คุณก็กระทั่งไม่รู้ว่านั่นเป็นขวดใบหนึ่ง. คุณอาจจะคิดว่าคุณกำลังถือบางกะทะอยู่(gadha).

กระแสประสาทการรับรู้ของคุณ(your sensory perception) มีกฏเกณฑ์จัดทั้งหมดอยู่(all limitation). หลังจากที่ถือก้อนน้ำแข็งในมือของคุณ(ไปสักพัก-ผู้แปล), แล้วไปแตะอะไรสักอย่าง(something)และมันก็จะดูเหมือนว่ามันร้อนมาก.

ดังนั้นมันคือการรับรู้ทั้งหมด(all perception - สัญญา/ความหมายรู้*). ไม่ว่าสัญญาณ(signal) อะไรก็ตามที่สมองของคุณได้รับ(your brain gets), แค่คุ้นเคยใช้ในสัญญาณทั้งหลายในแถบที่ชัดเจนหนึ่ง(used to a certain band of signals).

คุณเห็นบางพื้นที่ทั้งหลายว่ามืดมาก, แต่แมวไม่ได้เห็นว่ามันมืด.

ความถี่(the frequency) ที่เราอาศัยอยู่ใน, โลกของการรับรู้ของเรา(our perceptual world) นั้นถูกจำกัดไว้อย่างมาก(is very limited). การมีชีวิตดำรงอยู่(existence) มีพิสัยของการรับรู้ที่มหึมา(has a huge range of perception).

ความสามารถ(capacity)ของเลนส์ของดวงตาเรา(the lens of our eyes)นั้นถูกจำกัดไว้อย่างมาก(is very limited). นั่นคือทำไมคุณใช้กล้องจุลทรรศน์และนั่นเป็นเลนส์ที่ใหญ่ขึ้น(a bigger lens). ผ่านสิ่งนั้นคุณมองดู, แล้วดังนั้นคุณก็สามารถที่จะเห็นรับรู้อะไรที่ดวงตาเปล่าเปลือยนั้นไม่สามารถมองเห็นได้. แต่สิ่งทั้งหลายนั้นได้มีอยู่จริง(do exist). ไม่ใช่หรือ?

แค่เพราะว่าฉันไม่ได้มองเห็นมัน, ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ได้มีอยู่(exist).

ดร. บานานี จักราบรตี(Dr. Banani Chakraborty, Indian Institute of Science, Bangalore. Scientist DNA Nanotechnology.):

         คุรุเทพคะ, ในธรรมชาติ, การสะสมรวบรวมของวัตถุทำให้มีสูงสุด(maximizes)ในกระบวนการทางกายภาพ(entropy*)และความสับสนยุ่งเหยิง(chaos) กับเวลา(time). แต่สำหรับ

         *https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%B5

ชีวิตที่จะบังเกิดขึ้น(for life to happen), มันจำเป็นต้องการระบบโครงสร้างองค์กร(needs organization). แล้ว, คุรุเทพคะ, จากความสับสนยุ่งเหยิง(chaos) ชีวิต(life)ได้ปรากฏขึ้น(appeared) หรือว่าถูกบงการขึ้นมา(manifested)คะ?

คุรุเทพ:  ความสับสนยุ่งเหยิง(chaos)เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต(life).

         ความเป็นระเบียบเรียบร้อย(orderliness) และ ความสับสนยุ่งเหยิง(chaos) คือสองด้านของเหรียญเดียวกัน(two sides of the coin).

         กระบวนการทางกายภาพ(entropy) เป็นส่วนมากยิ่งของกระบวนการริเริ่มสร้างสรรค์(very much part of creative process).

         แล้วนั่นคือทำไมในยุคสมัยโบราณ(in the ancient time) พวกเขาได้บอกไว้ว่า, ใช่, เมื่อกระบวนการสร้างสรรค์ดำเนินไป(the creative process continues) มันได้กลายไปเป็นการทำลาย(destructive).

         ดังนั้นการทำลาย(destruction) ก็คือส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์(creation) เช่นกัน.

         และในระหว่างหลักของการผดุงรักษา(the maintenance principle)คือที่ซึ่งเราพูดว่าควรจะมีกระบวนการทางกายภาพเป็นศูนย์(should be zero entropy).

ดร. โมนิกา  ปาตาเนีย(Dr. Monica Patania, AUMS Rishikesh. Associate Professor, Department of Medicine.):

         ท่านคุรุเทพคะ, ในทางวิทยาศาสตร์, มีสองสำนักทางความคิด(two schools of thoughts). หนึ่งนั้นบอกว่า วัตถุมาก่อน, แล้วจิตสำนึกถึงได้ตื่นขึ้น(matter comes first, then consciousness arose). แต่เมื่อไม่นานมานี้, นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายบางรายกำลังบอกว่า จิตสำนึกนั้นคือมูลฐานและวัตถุจึงได้ตามมาทีหลัง(consciousness is fundamental and matter comes later). อันไหนที่เป็นความจริง(true) คะ?

คุรุเทพ:  ฉันจะบอกว่านั่นเป็นความคิดเชิงเส้น(a linear thinking).

         สิ่งหนึ่งตามอีกสิ่งหนึ่งมา(one after another).

         ทำไมมันทั้งหมดไม่บังเกิดขึ้นอย่างพร้อมกันในเวลาเดียวกัน(happen simultaneously)?

         ฉันคิดว่ามันเป็นเชิงวิทยาศาสตร์มากกว่า, ที่จะคิดอย่างทรงกลม(spherical). เราไม่จำเป็นต้องค้นหาจุดใดจุดหนึ่งว่าเป็นจุดกำเนิดตั้งต้น(don’t need to find one spot of origin) สำหรับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง(for anything).

         เราไม่จำเป็นต้องบอกว่ามีต้นมะพร้าวต้นกำเนิดแรกเดิม(originated)อยู่ที่ เคราลา(Kera;a) หรือที่ในฮาวาย(Hawaii).

         มันบังเกิดขึ้นได้อย่างไร(how did it happen), คุณรู้ไหม? ว่ามะพร้าวได้ลอยผ่านไปถึงยังฮาวาย(float through to Hawaii)ตลอดทางนั้นแล้วได้แตกหน่อ(get sprouted)ที่นั้นอีกครั้ง.

         ไม่.

         ทุกสิ่งสามารถบังเกิดขึ้นได้อย่างพร้อมกันในทุกแห่งหน(everything can happen simultaneously everywhere).

         ในสัมผัสความหมายนี้, ความเป็นไปได้ทั้งหลายมากยิ่งกว่าของอะไรที่เราควรจะเรียกว่าเป็นการคิดแบบทรงกลม(as spherical thinking)เป็นที่จำเป็นต้องการ(is needed). การคิดแบบเส้นตรง(the linear thinking) ในการที่เราพูดบางอย่างว่าเริ่มต้นที่ไหนสักแห่ง(begins somewhere) และสิ้นสุดลงที่หนสักแห่ง(ends somewhere). ดังนั้นเราก็เลยค้นหาจุดกำเนิดบางอย่าง(some origin) สำหรับทุกสิ่ง(for everything). ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น. ที่จริงแล้ว(in fact)มันไม่ใช่.

ดร. รัตนา ปาล, (Dr. Ratna Pal, Indian Institute of Science Education Research, Barhampur. Professor of Mathemetics):

         คุรุเทพคะ, วิทยาศาสตร์บอกว่าพลังงาน(energy) ไม่สามารถถูกสร้างสรรค์(be created)หรือถูกทำลายได้(can neither be created nor be destroyed). แล้วอะไรคือแหล่งกำเนิด(the source) ของพลังงานมหึมาในจักรวาลนี้คะ?(of the huge energy of this cosmos). มันปรากฏออกมาได้อย่างไร?

คุรุเทพอีกครั้งที่ฉันกำลังพูดว่า เรากำลังพยายามที่จะค้นหาแหล่งกำเนิด(the source) สำหรับบางสิ่งบางอย่าง(something) ที่ไม่มีการเริ่มต้น(has no beginning).

         มี “คำ”(word) ที่ใช้ในคัมภีร์โบราณเรียกว่า “อนาอฑี(anaadi*)” หมายถึง ไร้จุดเริ่มต้น(beginningless).

         * https://www.yogapedia.com/definition/8229/adi-anadi

         และ “อนันต์(anant*)”, ไร้จุดสิ้นสุด(endless)(endless).

         *https://www.shabdkosh.com/dictionary/hindi-english/%E0%A4%85%E0%A4%A8%E0%A4%82%E0%A4%A4/%E0%A4%85%E0%A4%A8%E0%A4%82%E0%A4%A4-meaning-in-english

         แล้วเอกภพ(universe)นี้เริ่มต้นขึ้นที่ไหนรึ? (where does this universe begin?)

         มันไม่ได้เริ่มต้นที่ไหน.

         นี่นะ, ถ้าคุณเอาลูกเทนนิสมาใบหนึ่งและพยายามที่จะค้นหาว่ามันเริ่มต้นที่ไหน(where did it begin), มันเป็นการออกกำลังกายที่ไร้ประโยชน์(be a futile exercise). เพราะว่าทุกจุด(every point) คือจุดเริ่มต้น, และทุกจุดก็สามารถเป็นจุดสิ้นสุด(can be the end) ได้เช่นกัน. ถูกไหม?

ดร. ชโยธสนา รานี โกมารกิรี(Dr. Jyothsna Rani Komaragiri, Indian Institute of Science, Bangalore. Professor of Physics.):

         คุรุเทพคะ, วิทยาศาสตร์ได้ทำการค้นพบทั้งหลายอย่างน่าทึ่ง(amazing discoveries) อย่างเช่นการค้นพบของ อนุภาคพระเจ้า(God particle), หลุมดำ(black hole) และพยานหลักฐานโดยอ้อม(indirect evidence)ของสสารมืด(the dark matter*).

         *https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%94

         มีการเอ่ยถึงใดๆถึงสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ในคัมภีร์โบราณ(ancient scriptures)ของเราไว้บ้างหรือไม่คะ?

คุรุเทพมีอยู่หนึ่ง สุคตะ(Sukta) ซึ่งถูกเรียกว่า สุคตะ แห่ง การสร้างสรรค์(Sukta of Creation) ในคัมภีร์ฤคเวฑ(Rigveda*).

มันถูกเรียกว่า นาสาฑิยะ สุคตะ ตะมะ อาสิฑ ตะมะสะ(Nasadiya Sukta aasid Tamasa*). นั่นหมายความว่า ตะมะทั้งหลาย(the tamas - ตม/ความมืด ความเศร้าหมอง-อวิชชา). ความมืด(the darkness)ที่ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยความมืด(was developed by darkness) ในตอนเริ่มต้น(in the beginning).

นาอสะฑาสิ โนสะฑาสิ ทะฑะ(Naasadasi nosadasi tada*).

ต่างก็ไม่ได้มีทั้งดำรงอยู่และไม่ดำรงอยู่(there was neither existence nor non-existence).

เมื่อคุณอ่านสุคตะ(Sukta)นั่น, มันเป็นสิ่งสับสนมากยิ่ง(very confusing)สำหรับคนทั่วไป(a lay person - ฆราวาส). พวกเขาจะไม่เข้าใจมันได้เลย.

ในตอนเริ่มต้น(in the beginning) ต่างก็ไม่ได้มีนี่และนั่น(there was neither this nor that).

ความมืด(darkness) ถูกพัฒนาขึ้นด้วยความมืด(darkness).

ดังนั้นจึงได้มีการอธิบายอย่างมากยิ่งสองชนิดของความมืด(very much explain two types of darkness). หนึ่งนั้นคือสิ่งห่อหุ้มทั้งหลาย(one that envelopes)อีกอันหนึ่งนั้นคือสิ่งที่ถูกห่อหุ้ม(another gets enveloped).

ดังนั้นนั่นสามารถเป็น สสารมืด(could be dark matter) และ พลังงานมืด(dark energy).

และมันบอกไว้ว่ามันคือ พลังงาน(energy).

คุณก็รู้ว่า มีข้อมูลเหล่านั้นมากมายซึ่งเป็นที่ลี้ลับและวิทยาศาสตร์(a lot of those mystical and scientific data). แต่โชคไม่ดีที่, ผู้คนผู้รู้ถึงคัมภีร์โบราณ(know the ancient scripture), พวกเขาไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาตร์(have no knowledge of science) และเหล่าผู้อยู่ในด้านวิทยาศาสตร์(in science) พวกเขาก็ไม่ได้ทำความพยายามใดที่จะมองดูเข้าไปในคัมภีร์โบราณทั้งหลาย(the ancient scriptures). ที่ไหนสักแห่งเราต้องทำสะพานให้กับช่องว่างนี้.

ดร. อารนับ รอย(Dr. Arnab Roy, Indian Institution of Science. Aluminus, Ph.D. in Biology):

         เหตุการณ์ทั้งหมดในอดีตและอนาคตทั้งหลาย,พวกเขานั้นมีอยู่จริง(actually exist)ในที่อื่นใดมากไปกว่าจิต(mind)ของมนุษย์เราหรือไม่ครับ?

         และถ้าไม่เป็นเช่นนั้น, แล้วเวลา(time)ก็เป็นความคิดเชิงทฤษฎี(a theoretical concept)ที่ถูกเราสร้างสรรค์ขึ้นหรือ(created by us)?

คุรุเทพ:  เหตุการณ์ทั้งหลาย(events)ที่ดเป็นพลังงาน(as energy), พวกนั้นมีอยู่จริง(do exist).

         เพราะพลังงาน(energy) ไม่มีวันสามารถถูกทำลายได้.

         แต่เหตุการณ์(event) ที่เป็นการบังเกิดทางกายภาพ(physical happening), ไม่เช่นนั้น.

         เช่นเดียวกันในจิต(in the mind) คุณรู้ไหม, ในทางจิต, เหตุการณ์ทั้งหลายมีอยู่(exist) เป็นความทรงจำ(as a memory). ความทรงจำเป็นเพียงแต่(nothing but) ความยาวคลื่น(wave length) หรือรูปของพลังงาน(a form of energy).

         ในความหมายนี้(in this sense), ใช่, ในบันทึกอากาชิคทั้งหลาย(in Akashik records)ทั้งหมดที่ได้บังเกิดขึ้นในอดีตได้มีอยู่จริง(do exist).

         มันเป็นไปได้ที่จะถ่ายข้อมูล(download)พวกนั้นออกมาด้วยเช่นกัน.

ดร. อมิต กุปตะ(Dr. Amit Gupta, Advisor Center for Diabetes Care, Greater Noida. Diabetelogist)

         คุรุเทพครับ, คัมภีร์ทั้งหลายบรรยายถึงการมีอยู่ของชีวิต(existence of life) หรือการมีอยู่(being) ในโลกาอื่นทั้งหลาย(other lokas). พวกเขาหมายอ้างถึงผู้ต่างดาวทั้งหลายหรือ(the aliens)? พวกเขามาเยือนโลกนี้หรือ(visit the Earth)?

คุรุเทพ:  ทั้งหมดเป็นไปได้(all possible).

         เราเรียกพวกเขาว่าผู้ต่างดาว(aliens) เพราะว่าเราไม่มีความรู้(knowledge) เกี่ยวกับพวกเขา, ถูกไหม? และคุณก็ไม่สามารถปฏิเสธการมีอยู่ของผู้ต่างดาวได้(deny the existence of aliens) เดพราะการที่ความรู้ของพวกคุณมีถูกจำกัดไว้มาก(very limited).

         และแน่นอนว่ามี, มีอาณาจักรทั้งหลายอยู่มากมาย(many realms), ระนาบทั้งหลายมากมายของการมีอยู่(many planes of existence).

         นี่นะ, สมองของเรา(our brain) เป็นแค่เครื่องวิเคราะห์ความถี่(a frequency analyzer).

         เรารู้แค่เพียงว่า, แค่สิ่งทั้งหลายเฉพาะอย่างหนึ่ง(only certain things). ความถี่ของเราเป็นที่ถูกจำกัดมาก.

         แต่ผ่านสมาธิ(through meditation) คุณมีความสามารถที่จะรับได้(the capacity) ที่จะสามรรถขยายช่วงกว้างของความถี่(band width). ความถี่ทั้งหลายของคุณ.

         แล้วภาพทัศน์(visions)อื่นมากมาย, อาณาจักร(realms)อื่นอีกมากมายก็สามารถถูกค้นพบได้.

ดร. คีตากริชนัน รามาฑุรัย(Dr. Gitakrishnan Ramadurai, Indian Institute of Technology, Chennai. Professor of Civil Engineering):

         ท่านคุรุเทพ, ด้วยความก้าวหน้าในปัญญาประดิษฐ์(advancement in artificial intelligence), ท่านคิดว่าเครื่องจักรกล(machines) สามารถกลายเป็นตระหนักรู้(sentient) เหมือนกับมนุษย์ทั้งหลายไหมครับ?

คุรุเทพ:  เอาละ, งั้นพวกเขาก็ไม่ได้เป็นเครื่องจักรกล(machines) อีกต่อไปแล้ว.

         ดังนั้นแล้วนั่นคืออะไรที่คุณพูดว่า  โอ เราได้สร้างสรรค์ชีวิต(have created a life)หนึ่งขึ้นมานี่. ดังนั้นแล้วความเป็นไปได้นั้น(the possibility) ก็มีอยู่ที่นั่นเสมอ.

ดร. รามจันทรา วี(Dr. Ramchandra V, Chairperson Sri Sri Holistic Hospital. Cardiologist.):

         คุรุเทพครับ, อะไรคือความแตกต่างระหว่างสมอง(the brain) กับ จิต(the mind)?

และที่ไหนซึ่งความคิดทั้งหมด(all thoughts) กำเนิดจาก(originate from)ที่นั้น? และความคิดเหล่านี้(these thoughts) เป็นพลังงานมูลฐาน(primal energy)ในบรรดาสิ่งสร้างสรรค์ทั้งหมด(all creations)และเอกภพนี้(this universe) หรือไม่ครับ?

คุรุเทพ:  ไม่ใช่. สมอง(brain)นั้นอยู่ในที่แห่งหนึ่ง(one place). คุณรู้ใช่ไหม? ในฐานะที่เป็นหมอ(doctor) คุณย่อมรู้.

         แต่จิต(mind) อยู่ไปทั่วตัวคุณ(all over you).

         ความทรงจำของคุณ(your memory) ถูกเก็บไว้(is stored) ในทุกส่วนของร่างกายนั้น(in every part of the body). ทุกเซลล์(cells)มีความทรงจำ(has memory).

         เมื่อเราช่างมีชีวิตเหลือเกินและมันเป็นจิต(mind)หรือจิตสำนึก(consciousness)ที่คอยทำให้เรามีชีวิตยิ่งขึ้น(keep us very alive).

         และจิตสำนึก(consciousness)อีกที่มากมายแตกต่างกันในประโยชน์หน้าที่(has many different functions) - ความทรงจำ(memory), เชาวน์ปัญญา(intellect), ความสามารถในการรับรู้(perceptual ability), ซึ่งเราพูดว่ารูปลักษณ์ของจิตสำนึก(aspect of consciousness)ที่คุณรับรู้(perceive)โดยมัน. โดยทั่วไปแล้ว, คำศัพท์พระเวท(Veda terms)ทั้งหลายคุณเรียกนั่นว่าเป็นจิต(mind)หรือความตระหนักรู้(awareness). แล้วรูปลักษณ์อื่นของมันนั้นคือเมื่อจิตสำพนึก(consciousness)เดียวกันนี้เล่นบทบาทของการทำการตัดสินใจ, พิจารณาตัดสิน, จัดแจงเลือก(role of decision making, judging, discriminating). และมีอีกหนึ่งรูปลักษณ์ของจิตสำนึกเดียวกันนี้(consciousness)คือ อัตลักษณ์(identity - คุณลักษณะเฉพาะ). มันระบุคุณลักษณะเฉพาะของตัวมันเองกับบางอย่าง(identify itself with something).

         ดังนั้นมันคือทำไมมันถูกเรียกว่า อันธคะคาระนะ ชาฑุชทะยะ (anthakkarana chadushtaya*). สี่รูปลักษณ์ที่แตกต่างกันของจิตสำนึก(the four different aspects of consciousness).

         สมองเป็น บูมบ็อกซ์(boom box* – เครื่องรับวิทยุและเล่น/บันทึกเสียงแบบพกพา), แต่ความถี่ทั้งหลาย(frequencies) ที่ได้รับการจัดแสดงในมัน(get exhibited in it), คือ จิต(the mind).

         *https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B9%8C

         สมอง(brain)ถูกตั้งอยู่ตำแหน่งในจุดหนี่งทางกายภาพ(a physical spot) แต่จิต(mind)นั้นอยู่ทั่วไปทั้งหมด.

         มันจะเป็นการผิดได้ที่คิดว่า ว่าคลื่นวิทยุเหล่านั้น(those radio)มีอยู่แค่เพียงในบูมบล็อค(boombox)นั้น, มันอยู่ไปทั่วทั้งห้องต่างหาก. เหมือแนกับที่จิต(mind)ของเรานั้นอยู่ในทั่วทั้งร่างกายนี้.

ดร. ทุสรา อลุนี(Dr. Tushara Aluni, MD Sri Sri Holistic Hospital. Eye Specialist.):

         คุรุเทพคะ, ในฐานะจักษุแพทย์(ophthalmologist)ดิฉันได้เห็นเด็กๆตาบอดมากมายที่สามารถอ่านได้(being able to read), สามารถระบุได้ต่อวัตถุและสีทั้งหลาย(identify objects and colors)หลังจากผ่านกระบวนการสหัชญาณ(the Intuition Process). มันช่างน่าทึ่งมาก. มีคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์(scientific explanation)ใดหรือไม่คะสำหรับปรากฏการณ์นี้(this phenomenon)?

คุรุเทพ:  ฉันจะทิ้งนั่นไว้ให้กับนักวิทยาศาสตร์ที่จะค้นคว้าวิจัยต่อไปให้มากยิ่งขึ้น.

         มันเพียงแค่แสดงออกมา(exhibits), สาธิตให้เห็น(demonstrates)ว่า เราไม่ได้ใช้ 100% ในความสามารถรับได้ของสมองของเรา(our 100% brain capacity). ในทางการใช้ชีวิตปกติทั่วไป(in normal course of life).

         แต่ถ้าเราฝึกฝนสมองของเรา(train our brain)ให้ทำหน้าที่ประโยชน์ที่แตกต่างออกไป(to function differently)หรือฝึกฝนรูปลักษณ์กระบวนการรับรู้เหล่านั้นของตัวเราเอง(those cognitive aspects of ourselves), เราก็สามารถทำสิ่งทั้งหลายได้มากมาย, เราสามารถที่จะมองเห็นกระทั่งถูกปิดตาไว้(blindfolded).

         มันเหมือนกับว่าทุกคนมีสิบนิ้ว, แต่ไม่สามารถนำเอาดนตรีออกมาจากสิบนิ้วเหล่านั้นได้.

         มันเป็นเรื่องของการฝึกฝน(a matter of training).

ดร. รัจหุวีร์ เรา(Dr. Raghuveer Rao, Indian Institute of Science, Bangalore. Professor of Civil Engineering):

         ท่านคุรุจีครับ, ทุกเส้นทางวิทยาศาสตร์(every scientific path)ที่ได้พังทะลายค้นคว้าวิจัยออกมาเป็นประหายหนึ่งของสหัชญาณ(a spark of intuition), และแล้วถูกตามมาโดยตรรกะ(logic). นั่นหมายความว่า เราต้องก้าวพ้นเอาชนะ(have to overcome)ต่อตรรกะ(the logic)และสหัชญาณ(the intuition)นั้น, เพื่อตระหนักได้ถึงปรมัตถสัจจ์(to realize the ultimate reality)หรือ?

คุรุเทพ:  ในภควัฑ คีตา(Bhagavad Gita), พระกฤษณะ(Lord Krishna)บอกว่า ยุ บุฑเธ พารา ตัตตวา สะ(yu buddhe para tattwa sa*). นั่นคือที่โพ้นเลยจากพุทธิ(beyond the buddhi), นั่นคือซึ่งความสัจจริง(reality).

         แต่ในการที่จะไปถึงที่นั้น(to get there), พุทธิ โยคะ(buddhi yoga)คือแก่นสำคัญ(essential). คุณเป็นหนึ่งเดียวกับปัญญา(unite with intellect).

         ไม่ใช่การละทิ้งปัญญา(discarding intellect), ละทิ้งตรรกะ(discarding logic).

         คุณไปที่จุดสูงของตรรกะ(the height of logic)และอยู่เหนือ(transcend)นั้น.

         คุณจำเป็นต้องการตรรกะ(you need logic).

         โชคไม่ดีที่ผู้คนได้เข้าใจผิด(misunderstood), พวกเขาได้พูดว่า ถ้าอะไรบางอย่างที่โพ้นเลยจากตรรกะไป(beyond logic) ก็หมายความว่าคุณหลบเลี่ยงตรรกะนั้น(shun the logic).

         ไม่ใช่การหลบเลี่ยงตรรกะ, แต่ไม่ติดจนขยับไม่ได้ในตรรกะ(not getting stuck in logic).

         จะกินขนมพุดดิ้ง(to eat pudding)คุณจำเป็นต้อวงมีช้อน(the spoon). แต่คุณไม่สามารถเคี้ยวช้อนนั้นได้. ด้วยช้อนนั้นคุณตักและเอาขนมพุดดิ้งเข้าไปในปาก. แต่เมื่อคุณเริ่มต้นการเคี้ยวช้อนนั้น, คุณก็ไม่มีฟันเหลืออยู่.

         ตรรกะ(logic)เป็นแก่นสำคัญ(essential)ที่จะได้วิจญาณ(vigyan – science/ศาสตร์).

         ความรู้(knowledge)ทั้งสอง, ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์(scientific knowledge)และความรู้เชิงจิตวิญญาณ(spiritual knowledge), ตรรกะ(logic)เป็นแก่นสำคัญ(essential).

         แต่คุณไม่อาจติดอยู่ในตรรกะได้(cannot get stuck in logic). เพราะว่าตรรกะ(logic)นั้นพึ่งพาอยู่กับความรู้ที่ผ่านมาของเรา(our previous knowledge).

         อะไรที่เราเรียกว่าตรรกะ(logic)เป็นภาวะการเชื่อมโยงแห่งความรู้ที่เราได้รู้จัก(the connectivity of known knowledge).

         และความรู้ของเรา(our knowledge)นั้นมีอยู่อย่างถูกจำกัด(is limited).

         เมื่อเรายอมรับว่าความรู้ของเรานั้นถูกจำกัด(our knowledge is limited), ดังนั้นแล้วเราก็ต้องยอมรับว่าตรรกะของเราก็ย่อมถูกจำกัดด้วยเช่นกัน(our logic is also limited).

         ตรรกะของเรา(our logic)ไม่สามารถเกินเลยไปกว่าความรู้ของเราได้(cannot surpass our knowledge).

ดร. อนันต์ คุปตะ(Dr. Anant Gupta, Sleep Specialist.):

         คุรุเทพครับ, หนึ่งในสามของชีวิตเราถูกใช้ไปในการนอน, กระนั้นก็ยังคงมีความลี้ลับ(a mystery). ท่านจะกรุณาบอกกับเรา, ท่านคุรุเทพ, ว่าอะไรที่บังเกิดเกิดขึ้นอย่างแท้จริง(exactly happen)ต่อจิตสำนึกของเราครับ(our consciousness) ในตอนที่เรากำลังนอนหลับอยู่?

คุรุเทพ:  มันเป็นหนึ่งในสภาวะทั้งสามของจิตสำนึก(one of the three states of consciousness)ที่ชีวิตมนุษย์ไปผ่าน(human life goes through).

         การตื่น(waking), การฝัน(dreaming), การนอนหลับ(sleeping).

         ดังนั้นการรู้ถึงการนอนกหลับ(knowing the sleep)ในตัวมันเองช่วยคุณในการที่จะอยู่เหนือการนอน(to transcend sleep).

         และนี้คือรูปแบบหนึ่งของการทำสมาธิ(one type of meditation).

         มหารชิ ปตัญจรี(Maharshi Patanjari*)พูดไว้ว่า สวาปนะ นิทราวะลัมพาลัมพา(swapna nidravalumbalumba*).

ความรู้(knowledge)ของการนอนหลับและฝันทั้งหลายสามารถช่วยให้คุณที่จะอยู่เหนือพวกนั้นทั้งสอง(can help you to transcend them both)และประสบรับรู้ถึงสภาวะที่สี่ของจิตสำนึก(experience of fourth state of consciousness).

การนอนหลับเป็นความลี้ลับ(mystery)และเราทั้งหมดก็มีชีวิตอยู่กับความลี้ลับนั้น(all live that mystery)โดยปราศจากการตระหนักรู้ว่ามันเป็นความลี้ลับ(without realize it is a mystery).

ดร. อนันต์ คุปตะคุรุเทพครับ, หลายล้านผู้คนทั่วโลกต่างมีปัญหาเรื่องการนอนหลับทั้งหลายเหมือนเช่น การนอนไม่หลับ(insomnia), โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังโควิด(after COVID). แล้วอะไรครับที่เราสามารถทำเพื่อปรับปรุงคุณภาพของการนอนหลับของเรานี้ได้(to improve the quality of our sleep)?

คุรุเทพ:  เมื่อจิตนี้(the mind)ได้ติดขยับไม่ได้อยู่กับแค่เหตุการณ์ทั้งหลายที่ได้บังเกิดขึ้นในอดีต, หรือสิ่งทาบซ้อนทับ(superimpose)อะไรที่อาจจะบังเกิดขึ้นในอนาคต, ในตัวของมันเอง(in itself), และ

         แล้วความยุ่งยากเดือดร้อนของการนอนหลับบังเกิดขึ้น(sleeping trouble happens).

         ดังนั้นการทำให้ขยายกว้างขึ้นในทัศนภาพของผู้หนึ่ง(broaden one’s vision)เกี่ยวกับชีวิต(about life), เกี่ยวกับเอกภพ(about the universe).

และฝึกฝนอะไรเหมือนเช่น ปราณยามะ(Pranayama), โยคนิทรา(Yognidra), สมาธิ(meditation), สุฑารฌาณ กริยา(Sudarshan Kriya), ทั้งหมดเหล่านี้สามารถช่วยผู้คนออกจากการนอนไม่หลับได้(out of insomnia), การนอนหลับที่ไม่สงบวุ่นวาย(the sleep disorder).

ดร. สุเมฆา มิตตาล(Dr. Sumegha Mittal, AUM Delhi. Deparyment of Psychology.):

         ท่านคุรุเทพคะ, โลกคู่ขนาน(parallel world)มีอยู่(exist)หรือไม่คะ? ผู้คนที่เป็นโรคจิตผิดปกติ(psychosis), พวกเขาได้มีประสบการณ์รับรู้จริงกับโลกคู่ขนานทั้งหลายเหล่านี้หรือคะ? และเราจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาผ่าทางความเชื่อทางจิตวิญญาณ(through spirituality)ได้อย่างไร?

คุรุเทพคุณรู้ไหมว่าผู้คนที่เป็นโรคจิตผิดปกติ(psychosis)ก็เหมือนเข็ม(หน้าปัดวิทยุ-ผู้แปล)ที่ติดอยู่กับระหว่างสองสถานีวิทยุ(needle stuck between two radio stations).

         ที่เห็นในรถยนต์เมื่อคุณปรับหาคลื่นสถานีหนึ่ง(tune a station), ในบางครั้งคุณได้สองสถานีขึ้นมาด้วยกัน. มีข่าวขึ้นมาอันหนึ่งและมีดนตรีขึ้นมาอันหนึ่งในเวลาเดียวกัน.

         คุณเคยมีประสบการณ์รับรู้ชนิดนี้กันบ้างไหม?

         นี่คืออะไรของประสบการณ์รับรู้ในโรคจิตผิดปกติ(the psychosis).

         อาณาจักรที่แตกต่างกัน(different realms)นั้นมีอยู่จริง(do exist).

         คุณไม่สามารถปฏิเสธการมีอยู่(deny existence)ของอาณาจักรทั้งหลายมากมายนั้น(many realms).

         ดังที่ฉันพูดไว้ในตอนต้นนี้, สมองของเรา(our brain)เป็นแค่เครื่องวิเคราะห์คลื่นความถี่(a frequency analyzer).

         แต่โรคจิตผิดปกติ(psychosis)นั้นเป็นอะไรที่แตกต่างอย่างมากยิ่ง(so much different).

         แล้วก็กระบวนการรับรู้(cognition).

         เมื่อคุณได้รับรู้(cognize)ระดับที่แตกต่างกันของการมีอยู่(different levels of existence), มันก็เป็นที่กระจ่างชัดเท่ากับ, เท่ากับในตอนนี้ที่เรากำลังนั่งอยู่และกำลังพูดคุยกัน.

         จิตผิดปกติ(psychosis)คือการปนเปผสมกันของความเป็นจริงทั้งหลาย(a mix up of realities).

ดร. สันฑีป กุลการณี(Dr. Sandeep Kulkarni, Indian Institution of Kharapur. Professor of Petrolium Engineering.):

         คุรุเทพครับ, วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า(has established)เวลา(ime)เดินแตกต่างกัน(run differently)ที่จุดซึ่งแตกต่างกันในอวกาศ(in different point in space), เพราะว่าแรงโน้มถ่วง(the force of gravity)นั้นแตกต่างกัน. เหมือนเช่นว่า หนึ่งชั่วโมงใกล้หลุมดำ(black hole)สามารถเป็นหลายวันบนโลกเรา(on earth).

         ในแนวความคิดนี้ของเวลา(in this concept of time)ที่เดินไปแตกต่างกัน(running differently) แล้วก็ยังถูกเอ่ยถึงในคัมภีร์โบราณทั้งหลายของเราด้วยเช่นกันหรือ?

คุรุเทพ:  โอ้, ใช่, ใช่, ใช่เลย. อย่างน่าสนใจมาก, ใช่เลย.

         มันวันธาระทั้งหลาย(the Manvantharas)อยู่ที่นั่นและมันได้เริ่มต้นอย่างไร(how they started)และเวลา(time)มากเท่าไหร่ที่ใช้ในการกดจิ้มกลีบของดอกบัวด้วยเข็มหนึ่ง, ที่ถูกเรียกว่า ตริตี(triti). ร้อยตริตี(triti)เป็นหนึ่งลูบ(lube).

         ดังนั้นหนึ่งนั้นคือการคำนวณเวลา(one is the calculation of the time).

         สองนั้นคือ เวลาของอาณาจักรที่แตกต่างกัน(time of different realms).

         อะไรที่คือหนึ่งปีสำหรับเราก็เป็นแค่หนึ่งวันของเทวาทั้งหลาย(the devas).

         360 วันของเทวา(360 Deva Days) เท่ากับ 1 วันของเทวา วัช(1 Deva Vasha).

         12,000 วันของเทวา วัช(Deva Vashas) เท่ากับ 1 มหายุค(1 Mahayuga).

         71 มหายุค(71 Mahayugas) เท่ากับ 1 มันวันตระ(1 Manvantra).

         14 มันวันตระ(14 Manvantras) เท่ากับ 1 กัลป์(1 Kalpa).

         2 กัลป์(2 Kalpas) เท่ากับ 1 วันของพรหม(1 Brahma Day).

         360 วันและคืนของพรหม (360 Brahma Days&nights) เท่ากับ 1 ปีของพรหม(1 Brahma Year).

         100 ปีของพรหม(100 Brahma Years) เท่ากับ 1 พรหม กาล(Brahma Kaal).

         ช่วงชีวิตของมนุษย์ก็คือ 100 ปี(Human Lifespan – 100 years).

         ช่วงชีวิตของพรหม ก็ย่อมเป็น 310,000,000,000,000 ปี! (Brama’s life span – 310,000,000,000,000 years).

         https://youtu.be/6hXEZysidiU