ยุคทอง ยุคเท โดย พระอาจารย์ชยสาโร
:
พระธรรมเทศนา ปฏิบัติธรรมบ้านบุญวันอาทิตย์ โดย พระอาจารย์ชยสาโร
ณ บ้านบุญ ปากช่อง นครราชสีมา วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
...นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต
สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง
ธัมมัง สังฆัง (..............)
ความเข้าใจในพระพุทธศาสนา ในหมู่ชาวพุทธ ในประเทศไทย
ปัจจุบันก็มีให้น่าเป็นห่วง...พอสมควร. แต่เราจะบ่นว่า สมัยไม่ก่อนไม่เป็นเช่นนี้
สมัยก่อนมันเป็นยุคทองของพุทธศาสนาก็คงไม่ใช่เหมือนกัน
ยิ่งในสมัยก่อนที่การคมนาคมไม่สะดวก และโอกาสที่จะมี ผู้รู้
และอบรมสั่งสอนในหลักที่ถูกต้อง ในการชี้แจงในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คงจะมีน้อย.
และในสมัยก่อนชาวพุทธ จำนวนมากนับถือพุทธอยู่ แต่ก็ยังบูชาผีไปด้วย
และใครเคยอ่านประวัติของครูบาอาจารย์ สายหลวงปู่มั่นรุ่นแรก
ก็ไม่ใช่ว่าท่านจะปลีกวิเวก อยู่ในป่า อยู่ในถ้ำ ตลอด.
ท่านจะเดินธุดงค์แวะไปที่ป่าช้าต่างๆระหว่างทาง เพื่อจะได้มีโอกาส
อบรมสั่งสอนชาวบ้าน และก็มักจะเน้นในเรื่องสัมมาทิฐิ และการถือพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ความสำคัญของศีล ๕ เป็นต้น.
และบางท่านก็พูดค่อนข้างรุนแรงเหมือนกัน เช่น ลูกกะหรี่ เป็นต้น
ทำให้ชาวบ้านบางกลุ่มรังเกียจท่านมาก เลยกลายเป็นเรื่อง คือท่านพูดตรงๆ
ว่านี่ไม่ใช่.
และในเรื่องความ เข้าใจถูกเข้าใจผิดใน หลักพุทธศาสนา
นี้เรา..งไม่มีหลักฐานพอจะพิสูจน์ว่ายุคไหนเป็นยุคทอง ยุคไหนเป็นยุคที่...ไม่ดี
แย่ลง. เราจะมองภาพรวมๆว่า ดูเหมือนกับว่ายุคกรุงศรีอยุธยามีอิทธิพลพวกไสยศาสตร์
พวกศาสนาผีค่อนข้างรุนแรง.
และสายหลวงปู่มั่นปรากฏ ถึงจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
โดยเฉพาะทางอีสาน. แต่ความเข้าใจผิดที่เห็นชัดในปัจจุบัน ไม่ใช่ของดั้งเดิมมันเป็น
สิ่งที่สืบมาจากอิทธิพลของตะวันตก อิทธิพลของศาสนาและวัฒนธรรมของตะวันตก.
ซึ่งเรื่องนี้ ใครจะรับอิทธิพลอะไร พอใจในสิ่งใด คำสอนของศาสนาไหน
ทุกวันนี้ก็เป็นอิสระที่จะเลือกได้ ตามความพอใจของตน.
อันนั้นอาตมาก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้.
แต่กล่าวถึงว่า การที่ทำให้เราเข้าใจในหลักพุทธศาสนาผิดไปโดยไม่รู้ตัว
ยกตัวอย่างสองสามข้อที่ ง่ายๆว่า ๑. การกล่าวถึงศีล ๕ ว่าเป็นข้อห้าม ๕
ข้อ ซึ่งในพระไตรปิฎก หรือในหลักพุทธธรรม ในconcept แนวความคิดว่ามี
ผู้มีอำนาจสูงสุด ห้ามมนุษย์ทำ หรือกระทำหรือพูดบางอย่าง โดยขู่ว่า ถ้าขืนทำแล้วจะลงโทษ
ในศาสนาพุทธเราไม่มี. แล้วถ้าถือว่ากฏศีล ๕ เป็นข้อห้าม ๕ ข้อ
ก็มีการสงสัยละว่า ใครเป็นคนห้าม. ถ้ามีคำว่า “ห้าม”ได้ มันก็อยู่ที่ตัวเราเอง
บางทีต้องห้าม ห้ามใจตัวเอง.
และเมื่อมองว่าศีลธรรมเป็นเรื่องการ”ห้าม”
และมี”ผู้ห้าม” มันก็ธรรมดาก็จะมีคนจนวนไม่น้อยอยากทำการต่อต้าน. เหมือนวัยรุ่น
พ่อแม่สอนอะไรที่เป็นเหตุเป็นผล เพราะฉะนั้นสิ่งที่แนะนำก็ถูกอยู่แล้ว
แต่เมื่อสอนลูกลักษณะขู่ ห้าม ก็มักจะเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ คือ ไม่ทำ.
โดยไม่ได้สนใจว่า ควรหรือไม่ควร แต่ว่าไม่อยากจะต้องทำเพียงเพราะถูกขู่.
และในเรื่องของศีลธรรมในทางพุทธธรรม
เราเริ่มจากการวิเคราะห์ ชีวิตของมนุษย์หรือธรรมชาติของมนุษย์ ง่ายๆ
เริ่มตั้งแต่รากหญ้า ไม่ได้เอาความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น.
เริ่มต้นว่า คนเรานี้อยากอยู่ด้วยกันอย่างไร? อยากอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
หรืออยากอยู่ด้วยกันอย่างมีความทุกข์ อยากอยู่ด้วยกันอย่างสมานสามัคคีกรืออยากอยู่ด้วยกันอย่างขัดแย้ง
ทะเลาะเบาะแว้งตลอดเวลา. ก็น่าจะตอบได้ทุกคนว่า อยากจะอยู่อย่างมีความสุข
อย่างสมานสามัคคีมากกว่า.
คำถามต่อไปว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ต้องอยู่ด้วยกันอย่างไร?
ต้องมีหลัก...ร่วม(กัน)อย่างไร? มีกฎ มีข้อวัตรปฏิบัติ มีธรรมเนียม มีข้อตกลงในชุมชน
อะไรบ้าง? ซึ่งจะได้รับประกันว่าจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
และไม่อยู่ด้วยกันอย่างเป็นทุกข์.
พุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า สมาชิกครอบครัวและสมาชิกที่ชุมชน
ต้องสมาทานศีล คือ ต้องเห็นโทษ เห็นทุกข์ เห็นปัญหา ของการกระทำบางอย่าง
แล้วต้องปณิธานต้องตั้งอกตั้งใจ แล้วต้องสมาทานทางการว่า ข้าพเจ้าจะไม่ทำ
ในสิ่งนั้น หรือไม่พูดอย่างนั้น.
เมื่อเป็นเช่นนั้น การประกาศให้คนทุกคนรอบข้าง หรือว่านี่คือความตั้งใจของข้าพเจ้า
และไม่ใช่ถูกบังคับอะไรรอก แต่ตั้งใจทำอย่างที่ตัวเองว่า
และทำอย่างนี้ทุกคนจะสบายใจ ทุกคนก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข.
ก็เป็นการให้ความรู้สึกปลอดภัยสบายใจกับตน และทุกคนผู้ที่
ผู้ทรงศีล ผู้ถือศีลด้วยกัน จะมีการไว้วางใจซึ่งกันและกันสูง.
และการไว้วางใจกันจะเป็นปัจจัยสำคัญของความสุข ในชุมชน. ไม่ว่าครอบครัว
ไม่ว่าชุมชนไหนก็ตาม ขาดความไว้วางใจเมื่อไหร่ มีความระแวงกันเมื่อไหร่
ยากที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข.
ดังนั้นเรื่องของศีลธรรมในทางพุทธศาสนา
เราเรียกว่าเป็นการใช้ปัญญา ใช้สติ ใช้ปัญญา
ในการจัดสรรความเป็นอยู่ในสังคม ผู้ถือศีลถือว่าเป็นผู้ฉลาด
เพราะเป็นผู้ที่มีปัญญาในการอยู่ร่วมกันในสังคม
ในลักษณะที่เอื้อต่อสิ่งที่ทุกคนต้องการ คือความสุข และความสามัคคี.
อย่างไรก็ตาม ในการรักษาศีลแต่ละข้อให้ตรงกับอุดมการณ์และสิ่งที่ตั้งใจไว้...ไม่ยาก...ไม่ได้ง่ายเลย...ยาก.
นั้นเราจะเห็นว่าถ้าเราไม่เจอสติ ไม่ฝึกความอดทน ไม่เจริญเมตตาภาวนา
ไม่ให้อภัยการล่วงละเมิดของคนรอบข้าง เป็นต้น
ก็ยากที่จะทำได้ตรงตามที่ตั้งจำไว้. และต้องมีปัญญาช่วย คือต้องฝึกตน.
ชีวิตของชาวพุทธ เป็นเรื่องการฝึกตน.
การรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง. โดยเอาเป้าหมาย ๒ ด้าน คือ
ประโยชน์ และความสุขของตัวเอง พร้อมกับการสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์
และสิ่งที่เอื้อต่อความสุขให้กับคนอื่น. ๒ อย่างนี้ต้องสมดุลย์กัน ไปด้วยกัน.
บางคนไม่เห็นแก่ตัวเลย คิดว่าคนดีต้องทำเพื่อคนอื่น
อย่างไม่เอาตัวเองเลย ทำอะไรเพื่อตัวเองถือว่าเห็นแก่ตัว บอกว่า ไม่ทำหรอก
คนดีไม่ทำ. แต่ถ้าคิดอย่างนั้นฟังเพลิดเพลินก็น่าชื่นชม เป็นพระโพธิสัตว์
แต่ในความเป็นจริงถ้ามุ่งประโยชน์ มุ่งความสุขของคนอื่น ละเลยความสุข
ประโยชน์ของตัวเอง ทำไม่ได้นาน. จะทำอย่างยั่งยืนเป็น ๕ ปี ๑๐ ปี เป็น ๒๐
ปีตลอดชีวิตนี้ ทำไม่ได้. เพราะว่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายบ้าง
มีผลกระทบต่อจิตใจ ในที่สุดคือความท้อแท้ใจ หมดแรง เป็นต้น.
ดังนั้น เพื่อสร้างความสุข สร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวมในระยะยาว
เราต้องแบ่งปันเวลาให้กับตัวเองด้วย เพราะเมื่อไปด้วยกัน. เมื่อถ้าเทียบกับรถยนต์
สมมติว่าเราขับรถไปส่งเด็กไปโรงเรียน ทุกวันๆไม่คิดสตางค์ ถือว่าเป็นบุญเป็นกุศล
เอาเด็กหลายๆบ้านที่ทางบ้านไม่มีรถ ไม่มีปัญญาไปส่งลูกถึงโรงเรียน ไปรับกับไปส่ง.
แต่ถ้า...ถ้าทำอย่างนี้ทุกวันๆ แต่ไม่เคยดูแลรถ ไม่สนใจดูรถ ว่าไม่มีเวลา
ในที่สุดรถก็พัง แล้วเมื่อทำไม่ได้.
ตัวอย่างง่ายๆ ว่าต้อง ตัวเราด้วยตัวเขาด้วย เครื่องอุปกรณ์ด้วย
การอุปกรณ์ด้วย ต้องไปด้วยกัน.
เพราะเช่นนั้น ศีล ถือว่าเป็นข้อห้าม อันนี้ก็คือ
เอาแนวความคิดจากศาสนาอื่นมาใส่...ไม่ถูก. ไม่ถูกกรณี. เราไม่ได้พูดว่า
ใครถูกใครผิดอะไร มันไม่ได้เกี่ยว. มันเกี่ยวที่ว่า ถ้าเป็นศาสนาอิสลามก็ต้องมองแบบอิสลาม.
เป็นคริสต์ก็มองแบบคริสต์. เป็นพุทธก็มองแบบพุทธ.
อย่าไปเอามาปนกัน. มันก็ทำให้สับสน.
เรื่องการแปลก็เหมือนกัน. การแปลก็ทำให้สับสน.
ดังนั้นการแปลศัพท์...ศัพท์เทคนิค ทางพุทธศาสนาเป็นภาษาอังกฤษ นักแปลรุ่นแรก
มักจะเป็น...เป็นผู้นับถือศาสนาอื่น และบางทีจะเป็นผู้มิชชั่นนารี เป็นต้น.
แล้วในการที่ ผู้ที่แปลคัมภีร์ของศาสนาอื่น และต้องการให้คนไทยยอมรับ
ก็ใช้ศัพท์ของพุทธมาแปล...ของศาสนาอื่น เพื่อจะให้เห็นว่า โอ้
มันคล้ายกันเหมือนกัน ไม่ใช่ของแปลกแยก.
อันนี้ก็เป็น...เป็นเรื่องของท่าน เราก็คงห้ามไม่ได้
แต่อย่างน้อยในเมื่อคนไทยเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น มีความรู้มากขึ้น
ก็ไม่ได้หยุดคิดวิเคราะห์ เลยทำให้เกิดความเข้าใจผิด. ตัวอย่าง คำว่าบาป.
ทำบาป. ทีนี้ในศาสนาคริสต์มีการสอนเรื่อง”ซิน” sin”. อันนี้จะแปล sin ว่าอย่างไร? ในเมื่อศาสนาพุทธ
ชาวพุทธไม่มี...ไม่เชื่อในเรื่องพระผู้เป็นเจ้า. ก็เลยเอาแปลว่าบาป.
มันคล้ายแล้วก็ยังห้อยคงไว้พอจะจับ...จับconceptได้บ้าง. ไม่ยังงั้นไม่รู้จะแปลอย่างไร.
แต่พอคนไทยอ่าน บาปคืออะไร? บาปคือศีล. กลายเป็นว่า
บางทีก็ชินconceptของศีลมากกว่าของบาป ก็เข้าใจว่าอันเดียวกัน.
เพราะแปลกันยังงั้นแปลว่าอันเดียวกัน. อันนี้คือการด่วนสรุปที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด.
ทีนี้คำว่า บาป ตามหลักพุทธศาสนาแปลว่า กรรมไม่ดี
ทำกรรม คำว่ากรรม. กรรมคือการกระทำ.
จะเป็นการกระทำซึ่งประกอบด้วยจิต. เจตนา. ทีนี้คำนี้ถึงแปลยาก
คือถ้าจะแปลว่ากรรมเป็นภาษาอังกฤษ. ในภาษาอังกฤษ การกระทำไม่ได้แยกว่า ๒
ประเภท. ในการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา. ไม่ประกอบด้วยเจตนา. ไม่มีศัพท์เฉพาะ.
ทีนี้คำว่า บาป คำว่า sin
มันต่างกันไหม? มันต่างกันสิ. เพราะบาปก็คือ เมื่อไหร่ เราทำอะไร เราพูดอะไร
เราคิดอะไร ด้วยเจตนา ตั้งใจทำ ตั้งใจพูด ตั้งใจคิด และความตั้งใจนั้นประกอบด้วยsinเสมอ ตั้งใจจะทำอะไรเพราะโกรธ
ตั้งใจจะพูดเพราะอิจฉา ตั้งใจนั่งคิดเพลินด้วยความพยาบาท เป็นต้น.
นี่เรียกว่าเป็นบาปกรรม. บาปกรรมก่อเกิดด้วยการกระทำ ด้วยการพูด
ด้วยการคิด. และชื่อว่าบาปก็เพราะว่า เมื่อมีเจตนา ซึ่งประกอบด้วยกิเลสแล้ว
นั้นจะส่งผลในอนาคต.
เราก็คงคุ้นเคยกับคำว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว.
อันนี้ก็คือพูดง่ายๆ อาจจะง่ายเกินไป.
ถ้าจะพูดให้ชัดกว่านี้หน่อย เราก็จะพูดว่า ทำดีได้ความดี
ทำชั่วได้ความชั่ว.
ในเรื่องนี้ดู...ดูตัวอย่าง สมมติว่าเราอยู่ เราทำงาน
มีเพื่อน...เพื่อนงานคนหนึ่งนิสัยไม่ดี แต่ว่าเราก็อดทน อดทน อดทน ทนได้
อึดอัดนิดหน่อยก็ทน ทนได้ทนได้ทนได้. จนกระทั่งวันหนึ่ง
พฤติกรรมเขาก็ค่อนข้างร้ายแรง พอดีกับวันที่เรากำลังไม่สบาย เหน็ดเหนื่อย
หรือมีปัญหาอย่างอื่น กำลังเครียด เพราะตัวเรารู้สึกความอดทนน้อยกว่าวันธรรมดา
เพราะความผิดปกติทางกายด้วย เพราะอารมณ์วุ่นวายด้วย ลุอำนาจแก่ความโกรธ
ไปด่าเขาเลย. ทีนี้วันรุ่งขึ้น ไปทำงาน
คนที่ว่าไม่น่ารักนั่นน่ะ ก็มีพฤติกรรมไม่ดีเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยน.
อย่างนั้นอาตมาว่า โอกาสที่เราจะด่าเค้าเนี่ยะ มากขึ้น โอกาสที่จะอดทนน้อยลง
เพราะเราสร้างความเคยชินใหม่. เพราะแต่ก่อนนี้นึกไม่ออก จะพูด ไม่พูดไม่พูดไม่พูด
แต่สุดท้ายเราพูดแล้ว เหมือนกับไปมีร่อง ร่องนี้ครั้งเดียวมันก็ยังไม่ลึกเท่าไหร่
แต่ถ้ามันครั้งที่ ๒ พูดซ้ำ มันเหมือนจะ...ร่องนี้มันจะลึกลงไปหน่อยนึง.
เพราะเช่นนั้น ความไม่ดี ในจิตใจนี้ ความโลภ ความโกรธ
ความหลง เหมือนเป็นร่อง. และทุกครั้งที่เราทำอะไรด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยความโลภ
อยากได้อยากมีอยากเป็น การกระทำ การพูด การคิดปรุงแต่ง เช่นนั้น มีผลทำให้ร่อง
ของความโลภ ลึกลงไปน้อยนึง หน่วยหนึ่ง. คิดพูดทำด้วยความโกรธอีกร่องความโกรธก็ลึกลง
และมีการกระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เมื่อขาดสติ จิตก็พร้อมที่จะตกร่อง.
และถ้าร่องลึกๆหลายร่องเนี่ยะ...อันตรายทันที.
อันนี้ก็คือ ทำชั่วได้ชั่ว. ทำชั่ว หมายถึง ทำพูดคิด
มีเจตนาซึ่งประกอบด้วยกิเลส ทุกครั้ง. ว่าไม่ได้จบอยู่ในตัว.
ในขณะนั้นเราอาจจะคิดเช่นนั้น อาจจะคิดว่า อ้า สะใจ เออ ดีแล้ว จะได้ระบายความรู้สึกออกไปซะที
แต่ว่าไม่จบ. เพราะมันสร้างความ เป็นไปได้ที่จะทำเช่นนั้นต่อไปมาก เพิ่มมากขึ้น.
นี่ก็คือตัวกรรม.
ซึ่งกรรมชั่วคือ กรรมไม่ดี คือกรรม...คือ การกระทำที่เจตนาประกอบซึ่งกิเลส.
ฉะนั้นบาป...ทุกวันนี้เค้าใช้คำเหมือนว่า บาป
เหมือนเป็นคำ อุทาน...หรือว่าเป็นคำ ขู่. อย่าไปทำยังงั้นนะมันบาป
ซึ่งฟังแล้วน่ากลัว. เอาเป็นชื่อของการกระทำ.
ดังนั้นเรื่องของศีล ถือว่าเป็นคนละความหมายไปเลย.
คนละความหมายก็คือ มีพระเจ้าผู้เป็นเจ้า และอัลลาห์ ที่มีคำสั่งว่า
ห้ามอย่าให้ทำอย่างนั้นอย่างนั้น อย่างนี้อย่างนี้ ต้องเชื่อฟังต้องทำตาม. ถ้าฝืน
แล้วก็ถือว่าเป็นsin. sinก็คือ
สิ่งที่คือฝืนความต้องการความประสงค์ของ สิ่งสูงสุดในศาสนา และผู้มีอำนาจสูงสุด.
และในเมื่อมีconcept
หรือเป็นความเชื่อเช่นนั้น และมีความหวังว่า ถ้าอำนาจอยู่กับผู้สร้างกฎ
หน้าที่เราก็คือเชื่อฟังในกฏ ทำตามกฎ. ไม่ทำตามกฎ
เราก็ยังมีความหวังว่า ขอให้ท่านยกโทษได้เพราะท่านมีอำนาจสูงสุด.
เพราะฉะนั้นเรื่องsinก็มีการ...ก็มีพิธีกรรม
มีการสารภาพ มีการขอโทษ มีการยกโทษ อย่างนี้เป็นต้น. ซึ่งเป็นพิธีกรรมในศาสนานั้น.
ในศาสนาพุทธบางที ก็เคยังคนของพวกศาสนาเราเนี่ยะ
ว่าสู้ของเขาไม่ได้ ไม่มีการล้างบาป. อ้าว เค้าไม่ได้ล้างบาป เค้ามีพิธีล้างsin.
S-I-N. แต่บาปกับศีล ไม่ใช่อันเดียวกัน. เป็นคนละเรื่องกัน.
นี้ก็เพราะเกิดความสับสน เรื่องนี้.
ดังนั้นพุทธองค์จึงมีไอ้...บาปนี้ต้องทำยังไง?
มีมั๊ยที่จะชำระบาป. ก็มีเหมือนกัน. ก็พระ...วันอุโบสถ
ก่อนเข้าพิธีสวดปาติโมกข์ พระมีพิธีปลงอาบัติ. การปลงอาบัตินี้ก็มี
๓ คำตอบ. หนึ่ง ยอมรับว่าผิด ยอมรับผิดชอบว่าผิด ในบางข้อ. ข้อที่สองก็คือ
เป็นการยอมรับว่าเห็น เห็นว่าทำไม่...คือไม่ใช่ว่ายอมรับว่าทำ
ข้อที่สองนั้น ยอมรับว่าไม่ดี เห็นแล้ว เห็นแล้วว่าไม่ดี.
และขั้นที่สาม ก็คือความ....ข้อที่สามนี้สำคัญที่สุดก็คือ ตั้งใจว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีกต่อไป.
ถ้ายอมรับผิด เสียใจที่ทำความผิด แต่ไม่ตั้งใจจะกลับตัวต่อไป
อย่างนั้นไม่ถือว่าเป็นการชำระ.
นี้ต้องยอมรับเหมือนกัน การชำระบาป ตามรูปแบบนี้
มันก็ยังไม่สมบูรณ์ทีเดียว เพราะถ้าเรายังได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิม สิ่งที่กระตุ้น
สิ่งยั่วยุ มีเหมือนเดิม จิตใจก็ยังอ่อนแอเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะสัญญาตัวนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ทำอีกต่อไป
ถึงเวลาแล้วก็คงอดไม่ได้.
ดังนั้น พร้อมกับความตั้งใจที่จะไม่ทำ อะไรที่ไม่ดีต่อไป
เราก็ต้องนั่งคิดทบทวนว่า อะไรที่เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เราผิดพลาดในเรื่องนี้บ่อยๆ.
แล้วจะป้องกันยังไง ถึงจะไม่ทำอย่างนั้นอีกต่อไป.
คือเวลาเราเดือดร้อนใจ เราอาย เราเสียใจ ที่เราทำอะไรผิด
มันก็พูดได้และจริงใจ ไม่ใช่โกหกใช่มั๊ย?. จะไม่...จะไม่ทำอย่างนั้น. แต่ว่าขาดเกิดปัญญาที่คิดว่า
แล้ว...แล้วจะต้องเปลี่ยน จะต้องมีความเปลี่ยนแปลงในชีวิตอย่างไรบ้าง? จึงจะได้ทำตามที่สัญญาไว้.
ที่เห็นบ่อยๆก็คือ คนผิดพลาด คนผิดพลาดแล้วยอมรับผิด
แล้วก็ตั้งใจจริงๆ ไม่อยากจะเป็นคนแบบนี้ ไม่อยากจะทำอย่างนี้ต่อไป แต่ไม่ฉลาด
ในการที่จะปรับวิถีชีวิต ให้เอื้อต่อการไม่ทำ
ปล่อยให้ทุกสิ่ทุกอย่างเอื้อต่อการกระทำซ้ำเติม. สุดท้ายก็เผลอไป ผิดพลาดไป
แล้วก็จะทำให้เกิดความรู้สึกรังเกียจตัวเอง มองตัวเองในแง่ร้าย ว่าเราเป็นคนแย่มาก
บอกว่าจะไม่ทำพอถึงเวลาก็ทำอีก ทำเหมือนเดิม.
ที่จริงมันไม่ใช่ว่ามีตัวเราที่...ตัวเราที่เที่ยงแท้ถาวรที่เป็นตัวไม่ดี
มันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัยทั้งนั้น.
ปัญญาในพุทธศาสนาเนี่ยะ...สองคำแค่นี้ว่า
เหตุปัจจัย อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้การกระทำ
อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้การไม่กระทำ อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้สิ่งใดยาก
อะไรเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้มันง่าย. อะไรเป็นเหตุปัจจัยของความเจริญ
อะไรเป็นเหตุปัจจัยของความเสื่อม อะไรเป็นเหตุปัจจัยของการประสบความสำเร็จ
อะไรเป็นเหตุปัจจัยของการล้มเหลว.
และต้องศึกษาตรงนี้ ไม่ใช่เรื่องชะตากรรม ไม่ใช่เรื่องพรหมลิขิต.
เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย.
แล้วมนุษย์เรามีข้อดีที่ว่า เราสามารถพัฒนาสติปัญญาของเราให้จับหลักได้
ปรับตัวได้.
มนุษย์เป็นสัตว์ที่เปลี่ยน...เปลี่ยนได้.
ก็มีตัวอย่างมากมาย เปลี่ยนง่ายไหม? ก็ไม่ง่าย แต่มันไม่เหนือวิสัย
แต่ถ้าใครเปลี่ยนตัวเองล่ะ โอ้จะมีความสุข อย่างยิ่ง. แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ผู้ที่เคยประมาทในกาลก่อน
แล้วก็กลับตัวเป็นคนดี เป็นกำลังกับคนจำนวนมากนะ คนที่กำลังสู้ สู้กับกิเลส
ถ้าเห็นคนอื่นที่เคยจมอยู่ในกิเลสเหมือนกัน แต่ว่าชนะใจตัวเองได้
นับว่าเป็นบุญของคนนั้นมาก. เค้าอาจจะคิดว่าทำเพื่อตัวเองหรอก แต่ที่จริงนั้นก็เป็น
เหมือนกับเป็น ประทีบ เป็นแสงสว่าง ให้คนอื่นที่อยู่ในความมืดว่า โอ เขาทำได้
เราก็ทำได้เหมือนกัน.
อันที่...ที่พูดตั้งแต่ต้นก็คือ ทุกวันนี้คนขาดการศึกษาหลักพุทธธรรม
และประมาท นึกว่าเข้าใจ โดยเฉพาะชนชั้นกลาง ในเมืองในกรุงเทพ. มีความ
บางที...มีความรู้ผิวเผินและความรู้ผิดๆถูกๆ บางทีอันตรายกว่า
ไม่รู้เลยซะเลยและยอมรับด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน.
แต่การที่มองพุทธศาสนา
เป็นศาสนาในรูปแบบเดียวกับศาสนาของตะวันตก นี่คือจุดที่ทำให้เกิดความเสื่อมลง
อย่างเช่นการที่เอาคำสอนข้อใดข้อหนึ่ง แล้วถือว่านี่คือเอกลักษณ์ของพุทธศาสนา
คือคนที่ไม่เข้าใจเรื่องของศาสนา เข้าใจว่าทุกศาสนา...ศาสนาคือศาสนา
เป็นเรื่องการเชื่อ เป็นเรื่องการเอาอะไรสักอย่างเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แล้วศาสนาจะต่างกันก็เพียงว่า
สิ่งที่คนเชื่อไม่เหมือนกัน. ชาวฮินดูก็เชื่อในอย่างหนึ่ง อิสลามก็อย่างหนึ่ง
คริสต์ก็อย่างหนึ่ง ซิกส์ก็อย่างหนึ่ง คือมันศาสนาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าสิ่งที่ เป็นหลักความเชื่อ
ในแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน.
แต่จะมองพุทธศาสนาอย่างนี้ ไม่ได้.
อย่าง...ชาวต่างชาติจะมองพุทธศาสนาอย่างนี้ เค้าถึงหาคำสอนที่เป็นเอกลักษณ์
ถือว่านี่ อ๋อ พุทธ อันนั้นเป็นศาสนาที่เค้าเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด.
อันนี้ก็จะเป็น...เป็นเอกลักษณ์เลย. เค้าก็ไม่เชื่อเรื่องพระพุทธเจ้า
เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด.
แต่ทางพุทธเรา มีคำสำคัญคำว่า สัจจะรัตน์
พุทธองค์ฝากคำนี้ไว้เหมือนกับเป็นการปฏิรูปศาสนาทีเดียว และพุทธองค์บอกว่า อย่าเพิ่งยืนยันเค้า
๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ในสิ่งทีตัวเองไม่ได้สัมผัสเป็นประสบการณ์ตรง ถ้าจะเชื่อสิ่งใด
ไม่ห้าม และความเชื่อเป็นกำลัง. แต่ความเชื่อต้องประกอบด้วย
ความอ่อนน้อมถ่อมตนว่า ข้าพเจ้าเชื่ออย่างนี้ ด้วยเหตุผลอย่างนี้ อย่างนี้อย่างนี้อย่างนี้
แต่ก็เป็นแค่ ความเชื่อ นะครับ ผมยัง...อ้า ผมยังไม่รู้เองหรอกครับ
ระลึกชาติไม่ได้ แต่ผมพอใจจะเชื่อในเรื่องนี้ เพราะเหตุผลอย่างนี้.
ก็ถือว่าเรามีเหตุผลสนับสนุนความเชื่อ แต่ไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เพราะฉะนั้นต้องจริงแน่.
นี้ถ้าเรามีศรัทธาในปัญญาของพระพุทธเจ้า เราอาจจะเชื่อถึง
๙๕ เปอร์เซ็นต์ ๙๗ เปอร์เซ็นต์ แต่อย่ามันถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์. จะผิดหลัก.
พุทธองค์ไม่ต้องการถึงนั้น.
ดังนั้นสิ่งใดที่เราเชื่อไว้ก่อน
เราก็ยอมรับว่านี่คือความเชื่อ. สิ่งที่เรารู้เอง เราก็พูดว่า อันนี้ก็ตัวทีมันรู้เอง.
ฉะนั้นในเมื่อเราเจอสิ่งที่ มองไม่เห็น หรือว่ามันจินตนาการไม่เป็น
จินตนาการไม่ได้. พุทธองค์จึงบอกว่า อย่าหรือว่าโบราณของไทย อย่าลบหลู่.
เชื่ออย่างไม่มีเหตุผล อย่างไม่มีหลักฐาน งมงาย นั้นก็ไม่สรรเสริญ. แต่ปฏิเสธ
โดยไม่มีหลักฐานและพิสูจน์ไม่ได้ นั้นก็คืองมงายเหมือนกัน. นั้นเรากำลังศึกษาอยู่
กำลังเรียนรู้อยู่ แต่การเชื่อในเวียนว่ายตายเกิด
เราถือว่าเชื่อไว้ก่อนแบบ...เป็นแบบสมมติฐานที่จะใช้ในระหว่างการพัฒนาตน
อันนั้นก็จะถูกหลักของ...ของพุทธธรรม.
แล้วก็มีข้อสังเกต ข้อคิดข้อหนึ่งว่า คนเรานี่จะเชื่อ ในจินตนาการตัวเองมาก.
หมายความว่า สิ่งใดที่จินตนาการไม่ออก ไม่สามารถนึกภาพได้ นึกไม่ออก
เรามักจะสรุปว่า เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นไม่น่าจะมีจริง ก็เป็นอันว่า เราถือว่าจินตนาการของเราเป็นใหญ่.
จะตัดให้เราด้วยหลักเหตุผลอะไรที่เราถือว่า ไอ้การจินตนาการได้และจินตนาการไม่ได้ เป็นตัวพิสูจน์ว่า...ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีจริงไม่มีจริง.
เห็นมั๊ย?
ถ้าหากว่าเราย้อนกลับไปในอดีต เล่าให้นักปราชญ์ หรือว่า...เล่าให้ใครเค้าฟัง
ใครก็ได้ ฟังเรื่องโลกปัจจุบัน ให้คนในสมัยรัชกาลที่ ๑ ฟัง. เค้าจะจินตนาการไม่ออก
จินตนาการไม่ออก เค้าก็คงสรุปว่า ไม่เชื่อหรอก เป็นไปไม่ได้. ว่าอาตมาต้องกลับไปเนี่ยะ
ตัวนี้เค้าเรียกว่าโทรศัพท์ โยมแม่อาตมาอยู่อังกฤษ หมื่นกว่ากิโล
เนี๊ย...อาตมากดตรงนี้กดเดียวแล้วเห็นหน้าได้ โอ้โห มันจะเป็นได้ยังไง.
คือสิ่งที่ คนเราจินตนาการไม่ได้ ก็เป็นเรื่องของจินตนาการ
ไม่ใช่เรื่องของความจริง. ทุกวันนี้คนจินตนาการสวรรค์นรกไม่ออก. เค้าก็เลยสรุปว่าไม่จริง.
และแต่ก่อนคนเค้าดูจิตรกรรมฝาผนังบ่อยๆ เค้ามีสัญญา(ความจำได้หมายรู้/perception
- ผู้ถอดความ)อยู่ในใจ เค้าเลย...พูดถึงสวรรค์นรก
เค้าเลยนึกภาพได้ จินตนาการได้ เพราะมี...มี สัญญา(perception)อยู่ในใจ. เพราะเช่นนั้นเค้าก็ไม่ปฏิเสธ
แต่ว่าผิดทั้งสองคู่เลยนะ ก็คือ ถ้าคน...เรียกว่า สวรรค์นรกจริง เพราะว่าหลับตานี้เห็น...เห็นได้เพราะเคยดู
จิตรกรรมฝาผนัง. แต่อีกคนนึ่ง หลับตา...นึกไม่ออก ก็สรุปได้ว่า ไม่มีหรอก เพราะอะไร
เพราะว่าหลับตานี้มองไม่เห็น นึกไม่ออก.
อันนี้ก็เป็นเรื่องของ สัญญา(perception). คือเรื่องของสมอง ของคน ไม่ใช่เรื่องความจริง.
สวรรค์นรกมีจริงหรือว่าไม่มีจริง มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับจินตนาการของใคร.
ในเรื่องของสวรรค์นรก เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
ก็ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ เราอยู่ในระหว่างการศึกษา ว่าชาวพุทธถือว่าเราเป็นนักศึกษาชีวิต.
เราถึงความเป็นชาวพุทธด้วยการสนใจว่า ชีวิตนี้คืออะไร เราเกิดมาทำไม
เราเกิดมาเพื่ออะไร.
เราอยู่ในโลกนี้ถ้าโชคดี อาจจะอยู่ถึง ๘๐-๙๐ ปี. แล้ว ๘๐-๙๐ ปีนี้
จะใช้ยังไง มันถึงจะคุ้มค่า ที่ได้มาเกิด คนเราควรจะให้อะไรไว้กับโลกมั๊ย? และควรจะมุ่งมั่นแต่การเอาตัวรอด
ด้วยการทำมาหากิน สะสมทรัพย์สมบัติ เงินทอง มัน...มันแค่นี้เหรอ? ถามว่า ตอบสนองความต้องการได้...ที่แท้จริงในจิตใจของเราได้?
หรือมีอะไรที่ลึกกว่านั้นดีกว่านั้น?
ดังนั้นในลัทธิศาสนาทั่วไป มุ่งมั่นที่จะให้คำตอบ
ปัญหาของมนุษย์ ให้มีคำตอบแบบเบ็ดเสร็จ ไม่ต้องคิด สบายใจ.
พุทธศาสนานี้แหวกแนว ทวนกระแส ต้องการให้เราคิด ต้องการให้เราสงสัย
ต้องการให้เราวิเคราะห์ ต้องการให้เราใช้ปัญญา อะไรเป็นอะไร ชีวิตคืออะไร
มันควรจะเป็นอย่างไร.
ชีวิตของมนุษย์ที่ดีที่สุดต้อง...ต้องยังไง?
เอาล่ะ
วันนี้อาตมาก็ได้ให้ข้อคิดพอสมควรกับเวลา.
(หัน ธัมมะยัง ธัมมะกะถา...ฯลฯ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น