หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ป.อ. ปยุตฺโต - จิตทำงานอย่างไร?

 จิต ทำงานอย่างไร? - สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ป.อ.ปยุตฺโต)

- วัดญาณเวศกวัน สามพราน นครปฐม 27 ก.ค. 2519

 

...ไม่รู้จะนึก พูด อะไร...เอาว่าท่านอยากรู้เรื่องอะไร ก็เป็นแบบคุยกันสิ อะไรก็ได้ นึกอะไรขึ้นมาก็คุยกันถามกัน องค์เก่าก็ได้ องค์ใหม่ก็ได้

...ก็ขอกราบเรียนถามท่านพระเดชพระคุณอาจารย์ครับ คือ ท่านในทางการแพทย์ก็ถือว่า จิต เนี่ยะ เป็นการทำงานจากสมอง ก็อยากทราบว่า ในทางพุทธศาสนานี้ จะอธิบายในเรื่องจิตอย่างไรครับ.

...โอ้โห....การถามเรื่องใหญ่เลยนะ มันก็เรื่องสำคัญเลย เป็นเรื่องที่ เป็นนามธรรมลึกซึ้ง แล้วก็เป็นตัวที่มาทำงานที่เรามาพูดต่อไปเรื่อยๆ เราจะตอบเรื่องจิต เราก็เอาจิตเนี่ยะมาใช้งาน ใช่มั๊ย?

จิต ก็เป็นเรื่องของ ส่วนสำคัญของชีวิต ถ้าว่าตามหลักพุทธศาสนาแบบว่า เอาตัวหลักพื้นฐานนะ อย่างที่เราบอกว่า เอ้อ! ธรรมชาติเนี่ยะ มีของมันอยู่ตามธรรมดาถ้าเรียกว่า “ธรรม” สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ตามธรรมดา.

ทีนี้ธรรมเนี่ยะ ที่คนทั่วไปรู้จักก็เรียกว่ารูปธรรม. รูปธรรมก็พวกวัตถุอะไรต่างๆพวกนี้ พร้อมทั้งความเคลื่อนไหว ความเป็นไปของมันเนี่ยะ เรียกว่า รูปธรรม. “รูป” นั่นแหละ พูดสั้นๆ.

ทีนี้พุทธศาสนาบอกว่ามันไม่ใช่มีแค่ “รูป” มันมี “นาม”ด้วย. ก็เลยเป็น “รูป-นาม”. ถ้าพูดยาวก็ว่า ธรรม มี ๒ คือ รูปธรรม กับ นามธรรม. ทีนี้ ถ้าพูดให้สัน้ลงไปก็เหลือ รูป กับ นาม.

และชีวิตของคนเราเนี่ยะ ก็ประกอบด้วย รูปกับนาม. เวลาเราพูดถึงคนสั้นๆเราก็เรียกว่า นามรูป มันกลับกันซะนี่ รูปกับนามนั่นแหละ. เวลามารวมกันเราเรียกว่า นามรูป.

ดังนั้นชีวิตเราตอบสั้นที่สุดก็คือ นามรูป.

ก็มีแค่ส่วนที่เป็น นาม กับส่วนที่เป็นรูปเนี่ยะ.

แล้วถ้าหากจะพูดให้แยกแยะชัดเจนลงไป ก็จะไปขยายว่า เอ้อ รูปนี่แยกไปเป็นอะไรบ้าง แล้วก็นามแยกเป็นอะไร. ถ้าแยกอย่างง่ายที่สุดก็แยกนามเป็น ๔ เป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างที่เราได้เรียนกันแล้ว. รูปตอนนี้ยังไม่แยก.

ก็ รูป ๑ นาม ๔. ก็เรียกจัดเป็นกองๆเรียกว่า ๕ กอง ๕ ขันธ์. ก็เป็นเบญจขันธ์ หรือ ขันธ์ ๕ (the Five Aggregates).

เนี่ยะ...ชีวิตเราก็อย่างเนี๊ยะ.

นี้เราจะเห็นว่าชีวิตมนุษย์ หรือที่เรียกว่า ชีวิต เนี่ยะ มันก็ต่างจากพวกวัตถุทั้งหลายที่มีแต่รูปธรรม. เพราะมันมี นามธรรม ด้วย.

ทีนี้ นามกับรูปก็เป็นชีวิตของเรา. งั้นเราก็ไม่ใช่มีเฉพาะรูปอย่างเดียว มีนามด้วย. ๒ ส่วนได้ประกอบกัน.

ทีนี้มันมีปัญหา ที่มนุษย์เถียงกันมาว่า นามก็คือจิตใจ ด้านจิตใจ มันมีจริง หรือมันเป็นเพียงผลจากรูป?

พวกนักวิทยาศาสตร์ฝ่ายวัตถุนิยมนี้มักจะถือว่า นาม/จิตใจ ไม่มี. เป็นเพียงผลของรูป.

ก็เถียงกันมา อีกพวกหนึ่งถือว่า นามจึงละถึงจะมีจริง. ไอ้รูปนี้ไม่มีอ่ะ. รูปนี่ปรากฏเพราะมีนาม. ถ้าไม่มีนาม(ก็)ไม่มีรูปปรากฏ. แล้วรูปที่แท้เป็นไงก็ไม่รู้ นามมันก็บอกเราตามที่มันก็บอกเรา ตามที่มัน เนี่ยะ จิตมันคิดมันเห็นมันรู้มันรับทราบอย่างไร ที่จริงมันเป็นยังไงก็ไม่รู้นะ ไอ้วัตถุที่เราเห็นเนี่ยะ. มันเป็นอย่างที่เรา(ว่า)นี้หรือเปล่า? เอ้อ...เราก็ไม่รู้นะ. เรารู้ไปตามที่ เรียกง่ายๆ จิตมันบอก. เพราะเช่นนั้นพวกนี้จึงบอกว่า คนที่จริงนะ รูปสิไม่มี. มันมีแต่นาม.

ที่เรารู้เรานึกว่า มันมี มันเป็นยังงั้นยังเงี๊ยะ จริงรึเปล่าก็ไม่รู้ จิตมันบอกเท่านั้นเอง.

มันก็เถียงกันมายังงี้นะ ไม่รู้กี่พันปีแล้ว.

ทีนี้มาวิทยาศาสตร์น่ะ ก็เป็นฝ่ายที่เอาแต่วัตถุมานำ นานมากแล้วที่วัตถุ มุ่งไปที่ว่า เอ้า...จะถือว่าอะไรมีจริงก็ต้องตรวจสอบพิสูจน์สัมผัสได้ ด้วยตาหูจมูกลิ้นกาย. ถ้าไม่งั้นแล้วก็ ไม่ยอมรับ เนี่ยะ ก็ถือกันมายังงี้นะวิทยาศาสตร์. ถือกันมา ถือกันมา จนกระทั่งมาถึงเมื่อไม่นานนี้เอง ขึ้นศตวรรษเนี่ยะ นักวิทยาศาสตร์ก็เกิดสงสัยขึ้นมา เข้ายุคที่ถือว่าเจริญที่สุด. เกิดมีนักวิทยาศาสตร์ที่หัวก้าวหน้าเป็นผู้นำทางด้านฟิสิกซ์ บอกว่า ไอ้ที่วิทยาศาสตร์ได้รู้กันมา เข้าใจกันมา แล้วภูมิใจกันมานักว่าตัวเองเนี่ยะเป็นผู้เข้าถึงความจริง ที่แท้นะ ยังไม่ถึงเลย. บอกว่า วิทยาศาสตร์จะนำเราให้เข้าถึงความจริงได้แค่ เงาของความจริง.

นี่คือคำตอบของวิทยาศาสตร์ ในยุคที่เจริญที่สุด พอเจริญที่สุดแล้วกลับเลย.

แต่ก่อนแล้วภูมิใจ อะไรต่ออะไรนี่ จะถือว่าเป็นจริงได้ ต้องวิทยาศาสตร์ยอมรับ.

นักวิทยาศาสตร์พวกนี้ก็ เกิดความสงสัย ว่าไอ้ที่ว่า วิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นจริงน่ะ ที่ว่า ตรวจสอบได้ เห็นด้วยตาได้ยินด้วยหูอะไรต่างๆเนี่ยะ มันจริงรึเปล่า?

ไอ้ที่เรามาบอกว่าเป็นยังงั้นน่ะมันผ่าน จิตทั้งนั้นเลย.

ผลที่สุด ก็ไม่รู้ว่า ไอ้ที่จิตที่ไปรู้เนี่ยะ คืออะไร?

และถ้าไม่รู้ จิต ที่เป็นผู้รู้แล้ว และไอ้ที่สิ่งที่จิตมันรู้มันบอกเราเนี่ยะ มันเป็นยังไง?

แล้วเราจะรู้ว่ามันผิดมันถูกยังไง? มันเป็นจริงยังไง?

คล้ายๆว่า เราไปบอกว่าไอ้สิ่ง สิ่งที่ดูที่เห็นที่ได้ยินเนี่ยะ เป็นยังงั้นยังงี้ แต่ใครเป็นผู้ดูผู้รู้ ผู้ได้ยิน และไอ้นั่นมันยังล่ะ มันบอกถูกบอกผิด.

พวกนักวิทยาศาสตร์ก็กลับมาตั้งต้นใหม่ ตอนนี้ก็เลยลอย ตอนนี้ก็กลายเป็นยุคที่วิทยาศาสตร์กำลัง กลับมาสู่การค้นหาความจริงกันอีกครั้งหนึ่ง แทบจะเริ่มต้นเลย.

ก็มาถามเค้า จิต คืออะไร?

แล้วทีนี้ก็มีนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามจะตอบเรื่อง จิต แม้กระทั่งคิดว่า ไอ้คอมพิวเตอร์นี่มันจะมีจิตได้มั้ย? ว่างั้นอะไรยังงั้นนะ. กลายเป็นว่าไปๆมาๆมัน วนอยู่นี่เอง. นักวิทยาศาสตร์ไปๆมาๆในที่สุด ไปถึงระดับมันก็ไปเป็นนักปรัชญา แต่เป็นนักปรัชญาอีกแบบ เรียกว่านักปรัชญาวิทยาศาสตร์. ก็หมายความมันไปถึงจุดที่ ตัวเองไม่อาจจะรู้ชัด มันก็อยู่ด้วยระดับของการใช้ปัญญา เชิงเหตุผล อะไรต่างๆเหล่าเนี้ยะ.

ก็เนี่ยะ ก็ยังเป็นเรื่องที่ เรามาอยู่ในโลกปัจจุบันแล้วก็ ว่าไปตามความเจริญของโลกที่วิทยาศาสตร์เป็นผู้นำ ในการที่จะมาตรวจสอบพิสูจน์ความจริงต่างๆ. แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็บอกทำนองว่า...คล้ายๆว่า ก็คล้ายๆกับพระพุทธศาสนา คือไม่ต้องอยู่ด้วยความเชื่อ ให้พิสูจน์ความจริง. แต่ในที่สุดคนที่พูดกันเนี่ยะ เวลาพูดอันว่าอันนี้เป็นวิทยาศาสตร์ก็เชื่อกันตามวิทยาศาสตร์บอก. ใช้มั๊ย? เชื่อตามนักวิทยาศาสตร์บอก ตัวเองไม่ได้เห็น ก็อยู่ที่เชื่ออีกอ่ะแหละ ก็เลยไม่ไปไหน.

พุทธศาสนาก็บอกว่า เชื่อกับรู้ ศรัทธา-ปัญญา เนี่ยะ มันเป็นตัวที่ว่า อาศัยต่อกัน.

ศรํทธานั้นเป็นตัวที่จะ ชักจูงหรือเป็นตัวนำ หรือเป็นตัวเริ่มตนให้ แล้วก็ เป็นตัวจับจุดที่จะได้ตรวจสอบ ศึกษาค้นคว้าไปหาปัญญา.

นี้ก็ ความรู้อย่างไอ้เรื่องจิตเนี่ยะ ก็ต้องถือแบบเดียวกับวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์ถือจักษ์.

ทีนี้ จิต มันก็ต้องประจักษ์กับตัวเอง ต้องประจักษ์กับตัวมันเอง. ตอนนี้ไอ้ที่เราไปประจักษ์ รูปก็เห็นด้วยตา เราไปนึกว่า อันนี้เป็นวัตถุ เราก็จะประจักษ์แต่ณวัตถุ. แต่ที่จริงวัตถุนั้นก็ไม่ประจักษ์. เราบอกว่าว่าตาเห็น เรานึกว่าตามันเห็นจริง. เปล่า! เราเห็นด้วยตาเท่านั้นหรือ? เวลาเห็นจริงๆเนี่ยะใครเห็น? ต้องไปถึงจิตใช่มั๊ย? จิตใจรู้ ไอ้ที่รู้เนี่ยะ รู้ที่จิตใจ.

ในทางพุทธศาสนาเนี่ยะ มีการแยกแยะเรื่อรูปธรรมชัดเลย. เพราะว่า เอาอย่างตาเห็นเนี่ยะ เรานึกว่าเห็นอะไรล่ะ? เห็นไม้ เห็นอะไรเนี่ยะ นี่มันเป็นความจริง ๒ ชั้นนะ. พอเราเห็นนี่ท่านบอกว่าเห็นแต่แสง เห็นสี แม้แต่สัณฐานรูปทรงกลมเหลี่ยมอะไรต่างๆน่ะ จิต ฮ้า! จิตเป็นผู้บอก ก็มหายความว่ามันไปต้อง...ไปสู่การสรุปของจิตอีกที จึงออกมา. เพราะเช่นนั้นรูปแบบนี้ท่านไม่ถือว่าเป็น รูปที่ประจักษ์.

กลมสี่เหลี่ยมเนี่ยะ เป็นเรื่องที่จิตน่ะ เอาจากความรู้ขั้นที่หนึ่ง ที่สัมผัสด้วยทางตาเนี่ยะ แล้วจิตมันไปประมวลอีกที่หนึ่ง. แล้วบอกว่าสัณฐานมันเป็นยังไง. เพราะเช่นนั้น ไอ้ตามันไม่ได้รู้สัณฐาน. มันรับรู้ได้แค่สี แสง แค่นั้นเอง. แล้วก็ไอ้จิตนี้ก็จึงประมวล. แล้วก็ มันจึงสรุปออกมาเป็นรูปร่าง เป็นทรวดทรง. เพราะเช่นนั้นหลายเป็นว่า แค่ตาเนี่ยะ มันไม่พอ. มันได้แค่นั้นเอง.

อ้าว! แล้วไอ้ที่จิตมันไปสรุปว่า มันเป็นทรงกลม ทรงเหลี่ยม ทรงอะไรเงี่ยะ เอ้อ! แล้วมันจริงรึเปล่าล่ะ? กลายเป็นว่าไม่แน่ใจแล้ว. นักวิทยาศาสตร์ก็บอก ไม่...ไม่แน่ใจละ ว่าไอ้นี่มันเป็นความจริงตามที่ว่า. คือตอนแรกก็ไปหลงว่า เอ้อ-เราเห็นด้วยตามันชัดอยู่แล้วนะ ว่าวัตถุนั้นมันเป็นยังงั้นยังงี้. เปล่า! ไม่รู้จริงว่าที่จริงมัน ๒ ชั้น มันรับรู้ด้วยตามาชั้นแล้วจิตมันมาประมวลอีกที่หนึ่ง.

ตกลงก็บอกว่า เนี่ยะมันกลายเป็นว่า ไอ้ตัวผู้ดูผู้รู้เนี่ยะ นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้. เมื่อไม่รู้แล้วมันก็ ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้. ก็เลยเข้าถึงความจริงไม่ได้ ตกลงก็ตันตรงนี้.

ทีนี้ทางพุทธศาสนาจะว่ายังไง?

ก็เราก็มาแยกแยะ. คือในแง่หนึ่ง พุทธศาสนาจะคล้ายกับวิทาศาสตร์ในแง่ที่ว่า ต้องเอาประจักษ์. แต่ประจักษ์นี่พุทธศาสนายอมรับหมด ๖. ของนักวิทยาศาสตร์นี้รับ ๕. ใช่มั๊ย? ตาหูจมูกลิ้นกาย ก็แค่วัตถุ รูปธรรม. นี้ทางพุทธศาสนายอมรับจิตด้วย. จิตก็ต้องประจักษ์. อย่าง ความโกรธ ความอะไรเงี๊ยะ ความรัก อะไรเงี๊ยะ อะไรไปประจักษได้มั๊ย นอกจากจิต? ประจักษ์ไม่ได้ เป็นจิตใช่มั๊ย? อนันนี้เป็นประจักษ์เลย. แล้วมันก็ยังมาทำหน้าที่ที่มาประสาน.

กลายเป็นว่าในที่สุดที่เรารับรู้เข้ามาทั้ง ๕ ทางที่เป็นรูปธรรม ก็มารวมที่จิตหมด. แล้วจิตเป็นผู้สรุปอีกที. ในที่สุดจิตกลายเป็นตัวรวม ที่จะได้ความรู้.  ที่เราได้มารู้อะไรต่ออะไร เรามาพูดกันเนี่ยะ เวลานักวิทยาศาสตร์รู้อะไรแล้วมาสื่อสารคนอื่นเนี่ยะ มันเป็นการประมวลผลของจิตของตัวเองแล้ว. มันไม่ได้พูดตรงตามภาวะของรูปธรรมแล้ว.

ดังนั้น ถ้าไม่เข้าใจจิตอันนี้มันก็ไปไม่ได้.

ทีนี้มันก็กลายเป็นว่า ต้องเข้าใจเรื่องจิต. จิตก็ต้องประจักษ์ด้วย. นี้ประจักษ์ก็การทำงานของจิตเป็นอย่างไร?

แล้ว...ตามพุทธศาสนาก็บอกว่า ชีวิตเป็นนามรูป ก็มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม.

ท่านบอกว่า ไอ้ ๒ อย่างเนี่ยะ มันอิงอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่แยกกัน. อันนี้จะไปบอกว่า วัตถุอย่างเดียวมี หรือรูปอย่างเดียวมี จิตไม่มี เป็นผลจากรูป ก็ไม่ใช่ หรือนามอย่างเดียวมีก็ไม่ใช่. แยกกันก็ไม่ใช่อีก. ต่างหากกันก็ไม่ใช่.

แต่นี้...ไอ้นี่มันเป็นเพียงสิ่งที่อาศัยซึ่งกันและกัน แต่ท่านถือว่าเป็นสภาวธรรม มันมีอยู่. นามธรรมกับรูปธรรมก็ทำงานอาศัยซึ่งกันและกันไป. ท่านไม่มาถือว่า อันไหนมีอีกอันไม่มี ไม่ใช่ยังงั้น. ต้องอยู่ด้วยกันต้องอาศัยซึ่งกันและกัน.

ก็รวมกันก็เรียกสั้นๆว่า นามรูป.

แล้วถ้าแยกแยะออกไปก็แยก นามก็แยกไป แยกขั้นต้นก็ ๔. รูปก็...เป็นส่วนที่ว่า ไม่ละเอียดซับซ้อนก็เลย พูดกลางๆเอาไว้ เพราะเป็นที่อาศัย...อาศัยของนามไว้ก่อน. และถ้าจะแยก ก็แยกเป็น มหาภูตรูป อุปาทายรูป* จะแยกกันยังไงก็ไปแยกกันอีกที. ตอนนั้นก็ นักแยกเหมือนกัน

*https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B_(%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98)

พุทธศาสนาก็แยกแยะ. คือก็เป็นลักษณะอันหนึ่งในแง่ว่า หนึ่งก็เอาประจักษ์ แต่ของพุทธศาสนาเอา ๖ ไม่เอา ๕. สอง ก็เป็นนักแยกแยะวิเคราะห์ ของเขาก็วิเคราะห์แยกแยะ เราก็แยกทั้งรูปธรรมนามธรรม แต่ไอ้เรื่องนามธรรมนี้เค้าไม่เอา เลยไม่ยุ่ง ในพุทธศาสนานี้ถือว่านามธรรมนี่แหละสำคัญ จิต. ก็เลยแยกแยะเรื่องจิตนี้มากเป็นพิเศษ จนกระทั่งการทำงานของจิตมาทำงานเป็นยังไง? เป็นขณะขเหนอะเกิดดับยังไงยังไง? ก็เลยมาเอาเรื่องนี้ละเอียดกว่า.

ทีนี้ ในความสัมพันธ์ระหว่าง จิต กับ กาย อีก.

นักวิทยาศาสตร์เมื่อเจริญขึ้นว่า ตัวเน้นเรื่องวัตถุหรือรูปธรรมเนี่ยะ เค้าก็ศึกษาเป็นเรื่องรูปธรรมหมด. เช่นว่า เวลามีอารมณ์ความรู้สึกนี้ขึ้นมา  เอ้อ มีสารอะไรในสมองหลั่งลงมา เช่น คนมีความสุข เออ ก็ไปตรวจดูสารเคมี ในสมองก็มีสารนี้ เอ๊อ ต่อไปเราก็จะเก่งเนี่ยะ ก็จับได้แล้วใช่มั๊ย? ว่า เวลามีอารมณ์ยังงี้ แล้วเราก็ต้องการอารมณ์ที่ดี อารมณ์ไม่ดีอันนี้มีสารยังงี้ อารมณ์ดีอันนี้มีสารยังงี้. เอ๊อ! เราก็จับได้แล้ว อารมณ์อันนี้ดี มีความสุข เอ้า สารนี้ออกมา จำไว้. มีความรู้สึกเมตตา ความรักมีสารอะไรหลั่งออกมา ยังงี้เป็นต้น.

ต่อไปก็ เอ๊อ เราก็จะปรุงแต่งคนได้ เอ้อ! ต่อไปเนี่ยะ เวลาพอจำไม่สบายเราก็ เตรียมสารนี้ไว้ ใช่มั๊ย? เอ๊อ! พอเขามีความทุกข์ ใจขุ่นมัว เดือดร้อนวุ่นวาย ว้าเหว่ เราก็ฉีดสารนี้ปั๊บ แหมมันก็มีความสุข ยิ้มแฉ่ง อะไรยังงี้อ่ะนะ. (จะกลายเป็นสารเสพย์ติดรึเปล่าครับ?-ผู้ฟัง) นี่แหละ นี่แหละ.

ก็นี่แหละครับที่ว่า . คือไปๆ ก็ไปทางวัตถุเกินไป มันหลง มันก็นึกว่า เอ้อมันจะปรุงแต่งมนุษย์ได้ตามชอบใจ.

ทีนี้ว่า เวลาเอาเข้าจริงมันเป็นเช่นนั้นรึเปล่า?

ความจริงน่ะ...ไอ้ที่จริงระบบธรรมชาติที่ว่ามันเป็น ความประสานของรูปธรรมนามธรรมเนี่ยะ มันต้ององค์ประกอบพร้อมบริบูรณ์ มันจึงเป็นยังงั้น. ทีนี้ เราเอาไอ้สารอันนี้ไป มันสอดคล้องกับระบบทั้งหมดรึเปล่า?

เอ้าว่า ไอ้สารที่มันเป็นตัวทำให้เกิดอารมณ์อย่างนั้น จริงหรือ? หรือว่า เมื่อมนุษย์มีความรู้สึกอย่างนี้ มีอารมณ์อย่างนี้แล้วก็สารนี้ๆมันก็มี เพราะว่า มันเป็นปัจจัยต่อกันระหว่างนามรูป.

หนึ่ง ถ้าเราอยู่ด้วยสารที่เรารุงแต่ง ต่อไปเนี่ยะมนุษย์ก็จะ หนึ่ง ขึ้นต่อวัตถุนั้น. ไม่สามารถจะทำตัวให้มีความสุขได้ เช่นอย่างเนี๊ยะ. จะมีความสุขได้ต้องเอาสารนั้นมาฉีด. ถ้าไม่ได้ฉีดก็เป็นอันว่าแย่แล้ว เอ้อนี่ก็กลายเป็นหนึ่ง ขึ้นต่อมันแล้ว. ขึ้นต่อมัน จะเรียกเสพย์ติดหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็คือหมดอิสรภาพ ต้องขึ้นต่อมัน. สอง มันมีผลอะไรต่ออีก? ในขบวนการระบบของมันน่ะ พอเข้าไปแล้วเนี่ยะ. เพราะมันไม่ได้กลมกลืนเป็นไปในระบบของมันเอง มันก็ไปเกิดความขัดแย้ง เพราะว่า สภาพที่เป็นจริงมันไม่เป็น. มันไปเป็นตัว...ไอ้ตัวเนี๊ยะมันเป็นตัวแปลกปลอมเข้าไป ไปบังคับต่างหาก ทำให้ขบวนการที่มันไม่เป็นจริงน่ะ มันออกอาการนี้ เพราะไอ้ตัวนี้สารนี้มันออกมาเวลามีอารมณ์นั้น. มันก็เลยไปบังคับให้เกิดอารมณ์นี้ขึ้นมา. แต่อารมณ์เนี๊ยะนา ไอ้สารนี้มันไปขัดกับระบบทั้งหมด. ต่อไปก็อีกนานจึงรู้ว่า เกิดปัญหาขึ้นมา. มีเรื่อง มีความขัดแย้ง มีอะไรต่ออะไรออก...แปรปรวนทางร่างกายทางจิตใจอื่นอีก.

อ้าว! ทีนี้ว่า ถ้าเรารู้ว่า เอ้อ! รมีความสุขอย่างนี้ดี เราควรจะมียังงี้. ฉันจะบอกว่า เราฝึกตัวได้ มนุษย์นี่เป็นสัตว์ที่ฝึกตัวเองได้. เราก็มาฝึก เราจะเรียกว่าฝึกจิตหรืออะไรก็ตาม มันก็คือฝึกกระบวนของชีวิตนั่นเองน่ะ. ไอ้วิธีพูดนี่ก็คือว่า ที่จริงมันไม่ได้ฝึกเฉพาะจิตหรอก แต่ว่ามันเป็นจุดเน้น ใช่มั๊ย? ความจริงเวลาเราฝึกเราไม่ได้ฝึกเฉพาะจิตหรอก.  มันฝึกทั้งระบบ. ระบบชีวิตเนี่ยะ กระบวนการที่จะให้เป็นยังงั้น แต่ว่าจิตเป็นตัวนำ. หรือเป็นแกนก็ได้ หรือเป็นส่วนประกอบสำคัญ. แล้วก็ ฝึกตัวเราตามกระบวนการนั้น ซึ่งเราจะเห็นว่าในเวลาฝึกเนี่ยะ บางทีก็มีวัตถุเข้ามา ผสมเอยะเลย...เช่น จะให้สติมันเกาะเนี่ยะ เราต้องอาศัยรูปธรรมอาศัยวัตถุ อย่างนี้เป็นต้น. ทีนี้เราฝึกจิต. ฝึกแล้วเวลานั่นไอ้ความรู้สึกหรืออารมณ์ที่เราต้องการมันก็เกิดขึ้น. ไอ้สารนั้นมันก็มาล่ะ ใช่มั๊ย? มันก็เป็นธรรมดาของมัน. เพราะสารนั้นเป็นตัวฝ่ายวัตถุที่มันจะ ได้กลมกลืนกันกับระบบของมัน เพราะว่า มันเป็นระบบของรูปกับนามที่มีทั้งกายทั้งจิต. กายมันก็จะต้องสอดคล้อง เพื่อจะให้จิตที่มันมีความเป็นไปยังงี้ดำเนินไปได้. มันต้องอาศัยร่างกายนี่ เป็นทางเดินของมัน เป็นที่ทำงาน. มันจะเดินไปได้ยังงั้น มันก็ต้องให้มีสารมีอะไรต่ออะไร กระบวนการของฝ่ายกายนี่มารับ. มาสอดคล้องกันจึงไปได้ ใช่มั๊ย?

อ้า...เพราะเช่นนั้นมันก็สอดคล้องอย่างนั้น ทีนี้พอเราฝึกได้ชำนาญ เมื่อเราต้องการเมื่อไหร่ เราก็ทำจิตให้เป็นยังงั้น ความสุขอย่างนั้นก็เกิดขึ้นได้. ระหว่างที่ว่า เวลาต้องการสุขยังงี้ก็เอาสารนั้นมาฉีด และการที่ว่าฝึกตัวเองได้ดี แล้วก็นึกอยากจะให้มีอารมณ์นั้น เมื่อไหร่ก็ทำได้ เอาอันไหนล่ะ?

เอ้อ! ใช่มั๊ยล่ะ? เนี่ยะ...ทีนี้ มนุษย์ไม่รู้หรอก นึกว่าตัวเก่ง จะเป็นเจ้าแห่งธรรมชาติ. ต้องการยังไงก็ได้ ใช่มั๊ย? ก็เลยมาศึกษา ที่จริงก็ไปเอาปรากฏการณนั้นมาส่วนหนึ่งแง่หนึ่ง แล้วก็เอามาใช้. ที่จริงไม่รู้หรอกว่า ไอ้ปรากฏการณ์อันเนี๊ยะ มันเป็นเพียงปัจจัยตัวหนึ่งในกระบวนการนั้น ซึ่งอาจจะไปเกิดความขัดแย้งอะไรต่ออะไรเยอะแยะ.

เพราะเช่นนั้น เลยกลายเป็นว่า ไอ้กระบวนการวิทยาศาสตร์เนี่ยะ ไม่สมบูรณ์ แล้วก็เลยกลายเป็นว่า เกิดปัญหาอะไรต่ออะไรมากมาย.

อันนี้ก็อยากจะให้ฟังหลักอันหนึ่ง คือ มนุษย์เนี่ยะมักจะติดในหลักที่ผิด ความเข้าใจที่ผิดอันหนึ่ง. ก็คือมนุษย์น่ะคิด เรื่องเหตุผล แม้แต่พวกที่เจริญมาก ก็เรียกว่า เอ้อ! คิดมีเหตุมีผลแล้วเนี่ยะ คือขั้นเหตุผลก็ถือว่าเจริญขึ้นเยอะแล้ว ไม่ใช่อยู่เรื่อยเปื่อยเลื่อนลอย คิดเป็นเหตุเป็นผล. แต่โดยมากจะมาตกอยู่ในทิฏฐิ หรือในแนวคิดที่เรียกว่า เหตุเดียวผลเดียว. คือจะมองว่า เอ้อ! เราต้องการผลยังงี้ เราก็ทำเหตุนี้. เมื่อทำเหตุนี้แล้วไอ้ผลนี้ก็จะเกิดขึ้น.

แล้ววิทยาศาสตร์เนี่ยะ ก็ไปติดในความคิดนี้เป็นหลักใหญ่อยู่. แต่ว่าเขาไม่ได้ติดทีเดียวนะ เวลาเขาดำเนินการเขาก็รู้ เค้าเรียกว่าตัวแปรอะไรเป็นต้น. แต่ทีนี่ว่า ไอ้ตัวความคิดพื้นฐานเนี่ยะ มันยังไปติดอยู่ คือไม่ได้เอาไอ้หลักการนี้มาเป็นตัวมองทั้งหมด. เวลามองเป็นเหตุการณ์นี่ก็จะมองเหตุเดียวผลเดียวเนี่ยะ แล้วเอาตัวอื่นประกอบ. ก็เลยบางทีไม่ชัด ก็เลยทำให้เกิดปัญหามาก.

ทีนี้พุทธศาสนาเนี่ยะ ถือว่า ลัทธิเหตุเดียวผลเดียว นี้ผิด.

เค้าเรียกว่า เอกะการณวาท* ลัทธิเหตุเดียวผลเดียว มีเหตุหนึ่งก็เกิดผลอันหนึ่ง.

เอ้า! ฉันปลูกเมล็ดพืชข้าว เกิดข้าวขึ้นมา ก็เป็นเหตุเป็นผล ใช่มั๊ย? มนุษย์ทั่วไปก็จะคิดยังงี้ นึกว่าอย่างนั้น. พุทธศาสนาบอก มองให้ดีนะ...ระวังน่ะจะผิด.

นี่แหละ เพราะมนุษย์มองเหตุเดียวผลเดียวเนี่ยะ ทำให้เกิดความพลาดขึ้นมา.  เช่นอย่างเรื่องของการแพทย์ เรื่องของเคมี ที่ทำไปทำมาตอนหลังเนี่ยะก็ได้ความเข้าใจขึ้นเยอะ ก็ได้ระมัดระวัง.

เราก็นึกว่า ทำอันนี้ขึ้นมา เราก็ต้องการผลอันนี้ ผลก็คือเกิดจากเหตุ. เราต้องการผลนี้ ผลเกิดจากเหตุ เหตุของมันคืออะไร? ค้นให้ได้.  แล้วเราก็ทำเหตุนั้นแล้วก็จะได้ผล. อันเนี่ยะวิทยาศาสตร์ก็พยายามสืบค้นอันเนี่ยะจนกระทั่งทำอะไรต่ออะไรเป็นผลสำเร็จมากมาย.

ทีนี้ปรากฏว่า ได้ผลจริง ทำอะไรต่ออะไรออกมา ได้ผลเป็นยาเป็นอะไรเป็นสารเคมีมาใช้ในเรื่องของ กระบวนการต่างในชีวิตความเป็นอยู่ ในการรักษาโรคอะไรต่างๆเนี่ยะ ได้ผลเยอะเลย. แต่ว่า ต่อมาก็เริ่มมีคำว่า ผลข้างเคียง(side effect).

เอาละ...เอ้อ ปรากฏว่ามันไม่ใช่แค่นั้นน่ะ ไอ้ผลที่ตัวเองต้องการได้ แต่ปรากฏว่ามันมีผลอื่นขึ้นมาด้วย. แล้วบางอย่างนี่ร้ายแรงมาก.

ทำให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มระวัง. ก็มันเลยกลายเป็นว่ามี ผลข้างเคียง มีผลติดตาม ผลพลอยผลพ่วง อะไรต่างๆเหล่านี้. เยอะหมดเลย.

นี่คือ...ท่านบอกว่า ผลหนึ่ง ก็ไม่ใช่เกิดจากเหตุเดียว แต่เกิดผลหลากหลายจากปัจจัยอันหนึ่ง ผลอันหนึ่งก็จากปัจจัยหลากหลาย ที่เกิดผลอันหนึ่งเนี่ยะ ปัจจัยมันเยอะแยะ เราไปเอาจับที่เหตุตัวเดียว. ก็อย่างที่ยกตัวอย่างบ่อยๆง่ายๆ เช่น ท่านจะปลูกมะม่วงเนี่ยะ เราก็บอกว่า เอ้อ ต้นมะม่วงเป็นผล แล้วอะไรเป็นเหตุ เราก็นึกว่าเม็ดมะม่วง. ถูกมั๊ย? เราก็บอกว่า เอ๊อ ต้องมีเม็ดมะม่วงเป็นเหตุ ก็ถูกอ่ะสิ. แต่ไม่มีเม็ดมะม่วง หรือว่าไม่มีหน่อไม่มีไอ้...เค้าเรียก ตอเตอ...ตามกระบวนการของมันน่ะ ม่มีเหตุอันนั้นแล้วก็ผลก็เกิดไม่ได้. แต่ทีนี้ ถ้าเอาเม็ดมะม่วง มาแล้วก็ให้มันเกอิดเป็นต้นมะม่วงเลยได้มั๊ย? ก็ไม่ได้. ต้องมีปัจจัยพร้อม. ท่านเรียกว่า ต้องปัจจัยพร้อม. ก็เอาเม็ดมะม่วงไปปลูกลงในดินมีปุ๋ยมีน้ำมีอุณหภูมิมีอากาศแก๊ส อะไรต่างๆเนี่ยะ พรั่งพร้อม. เมื่อปัจจัยพรั่งพร้อมแล้ว ผลจึงเกิด. นี่ยังเงี๊ยะ.

อันนี้ก็เอาละ ในแง่ผลอย่างหนึ่ง เกิดจากปัจจัยหลากหลาย. ก็ง่ายแหละ ชี้ก็เห็นเลย.

ในทางกลับกันเนี่ยะ ปัจจัยอันหนึ่งเนี่ยะ ส่งผลหลากหลาย. ไอ้ตอนนี้แหละ ที่ว่า เวลาเราต้องการผลอันหนึ่งเนี่ยะ เราทำเหตุนั้น เราก็มองเฉพาะผลที่เราต้องการ. เราไม่ได้ดูว่าที่จริงไอ้เหตุหรือปัจจัยที่เราทำน่ะ มันไปส่งผลอื่นอีกเยอะแยะ. ตรงนี้แหละที่มันเป็นปัญหา. คือเราเริ่มเรียนรู้ได้ก่อนตรงที่ว่า ผลเนี่ยะมันเกิดจากเหตุและมีปัจจัยหลากหลายให้พร้อม อันนี้ได้เรียนรู้ขึ้นมาแล้วก็พยายามทำ. หาปัจจัยให้พร้อม. แต่ว่าไอ้ตอนที่ปัจจัยหนึ่งเนี่ยะมันเกิดผลหลากหลาย ตอนนี้ไม่ได้มอง.

ตอนนี้ก็เริ่มละ โอ! ไม่ได้แล้ว ไปทำเหตุปัจจัยเข้าอันหนึ่งเนี่ยะ ไอ้ที่เราต้องการผลอันนั้นน่ะได้จริง แต่มันเกิดอะไรอีกบ้าง ทีนี้สิ ถ้าผลข้างเคียงไอ้ตัวเนี๊ยะ ตามไม่ไหว ไอ้ตรงนี้แหละเท่าที่ตามไม่ไหวเนี่ยะ นักวิทยาศาสตร์จะแย่ลง. คือพอต้องการผลอันหนึ่งก็ จับเหตุปัจจัยอันนั้นให้ได้ แม้แต่ปัจจัยประกอบอื่นก็เพื่อผลอันนี้เท่านั้น. แต่ตัวไท่ได้รู้ว่า ไอ้ที่ทำเหตุปัจจัยเล่านั้นน่ะ แต่ละอันละอันมันส่งผลของมันเองเยอะแยะเลย.

สมมติว่าเราเอาเหตุปัจจัยมาทำให้เกิดผลที่เราต้องการอันเดียว แล้วเราไปทำเหตุปัจจัยตั้งยี่สิบเนี่ยะ แล้วไอ้ยี่สิบนั้น แต่ละอันมันส่งผลตั้งเท่าไหร่? นี่แหละครับ จุดที่จะตัน.

ตอนนี้วิทยาศาสตร์ตามไม่ไหว เชื่อมั๊ย? ท่านเห็นมั๊ยว่าตามไม่ไหวเลย?

แล้วเห็นมั๊ยว่า ตามไม่ไหวเลย? ไอ้ปัจจัยยี่สิบอันที่ ให้เกิดผลที่ตัวต้องการนั้นน่ะ มันส่งผลอะไรบ้าง? เป็นจุด จะเรียกว่าจุดบอดเลยก็ได้ ที่จะเป็นปัญหามาก.

ทีนี้ กระบวนการของธรรมชาติที่มันเป็นของมันน่ะ ก็คือเหตุปัจจัยมันพรั่งพร้อมของมัน ใช่มั๊ย? มันจะเกิดผลอันนั้น แล้วเวลามันส่งผลมันก็ส่งไป...มันเป็นความ...สัมพันธ์ของมันในระบบของมันเอง. มันก็เลยเกิดสมบูรณ์ขึ้นมา. ทีนี้ พอเราทำยังงี้มันเกิดไม่สมบูรณ์แล้ว. แล้วเราตามไม่ไหว เนี่ยะ! จะเป็นจุดที่ลำบากกับวิทยาศาสตร์มาก. แล้วจะทำยังไง ตามไหวเหรอ ใช่มั๊ย?

นี่แหละครับ (ผู้ฟัง......เกิดภาวะโลกร้อน) นี่แหละ นี่แหละตัวอย่าง.

นี่ก็คือการที่วิทยาศาสตร์ภูมิใจ และนึกไม่ถึง. ต่อมาถึงตอนหนึ่ง จะเริ่มอะไรกันเนี่ยะ วุ่นวายกันแล้วจะแย่ล่ะสิ. ตอนนี้ก็เลยสำนึกขึ้นมา.

แล้วทีนี้ก็พอเกิดยังงี้ หนึ่งทางนักปราชญ์ทางวิทยาศาสตร์เองก็เกิดพูดขึ้นมายังงี้ สองก็ปรากฏการณ์ที่เป็นผลจากความเจริญทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีทำขึ้นมา แล้วมันมีผลข้างเคียงมีผลพลอยที่ไม่ดีขึ้นมา มนุษย์เริ่มเกิดการไม่ไว้วางใจวิทยาศาสตร์ ก็เลย...วิทยาศาสตร์จึงเริ่มเสื่อมความนิยม.

ทีนี้มนุษย์นี่มันเสียอย่าง(คือ-ผู้ถอดความ) สุดโต่ง. พอว่าเสื่อมความนิยมวิทยาศาสตร์ ก็หันไปหาไสยศาสตร์อีก ก็เลยกลายเป็นคนไม่เอาเหตุเอาผลอีก. อย่างนี้เรียกว่าสุดโต่ง.

ดังนั้น ท่านให้สำนึกให้มีสติ ระมัดระวัง คืออย่างน้อยเราก็เตือนใจตัวเองว่า อย่าประมาทนะ ว่าเรารู้หมด. นักวิทยาศาสตร์นึกว่าตัวรู้พอ แล้วไปทำยังงั้นเข้า. ดังนั้นท่านจึงให้ไม่ประมาท. ทำอะไรต้องคำนึงถึงเหตุปัจจัยให้รอบที่สุด ทำไมจำเป็นต้องทำ? ก็ทำแต่ว่าไม่ประมาทนะ ต้องรู้ว่าที่เรารู้เนี่ยะ อาจยังไม่พอ ต้องศึกษากัน.

ทีนี้อย่างเนี๊ยะ ก็เรื่องจิตเรื่องวัตถุเนี่ยะ. ท่านไม่ให้ไปบอกว่า เนของตายตัวอย่างนั้น.

สภาวธรรมมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เรานึก เป็นขาวเป็นดำเป็นแดงอะไรไป เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไปตายตัว. ก็เรียกว่า สภาวธรรมก็มีอยู่ของมันตามธรรมชาติ. แต่มันไม่ได้มีอยู่เป็นเด็ดขาด โดดเดี่ยว ต่างหากจากกัน. มีอยู่ในระบบความสัมพันธ์ เนี่ยะ มันสัมพันธ์กัน.

อ้าว! แล้วเมื่อกี้ท่านถามอะไร? ตอบรึยังเนี่ยะ? (ผู้ฟัง....น่าจะตอบไปแล้วอ่ะครับ) ถ้าตอบไปแล้วก็ใช้ได้...โมทนา.

 ก็ลองถามกันดู คุยกันดูกันไปเรื่อยๆ....เนี่ยะ มัน มนุษย์จะต้องพยายามช่วยกันอีกเยอะ.

ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด มาก เรื่องนามธรรม. ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ก็มาสนใจเรื่องนามธรรมเนี่ยะ. เพราะว่ามันเป็นส่วนที่ละเอียดมาก. แล้วมันกลายเป็นว่า ตัวเองที่ไปศึกษา ที่เรียกว่า ไปค้นคว้าวิทยาศาสตร์น่ะ ไอ้ตัวเองที่เป็นส่วนสำคัญเนี่ยะ มันไปอยู่ที่จิตซะ. แล้วเป็นกลายเป็นส่วนที่ตัวเองเข้าใจน้อยที่สุด. แล้วเมื่อไม่เข้าใจ เราก็ไม่รู้สิ่งที่มันเข้าใจด้วย. ว่าไอ้ที่มันเข้าใจน่ะ ถูกหรือผิด.

ตกลงเนี๊ยะ เลยกลายเป็นว่าเหมือนกับนักปรัชญาในยุคต้นน่ะ พวกนั้นก็เถียงกันแยกเป็นสองพวก. พวกหนึ่งว่าจิตมีจริง พวกหนึ่งว่าวัตถุมีจริงจิตไม่มี อะไรเนี่ยะ. ตั้งแต่ยุคนั้นก็แสดงว่า นักปราชญ์ท่านก็เก่ง แต่ก็เถียงกันไปแบบว่ามักจะไปสุดโต่ง. แบบพวกที่ว่าจิตเท่านั้นมีจริงก็บอกอย่างนี้. บอกว่าวัตถุที่เราเห็นเรารับรู้ได้ยินเนี่ยะ มันมีจริงรึเปล่า? มันรู้จากจิต จิตบอกเรา แล้วมันบอกยังไงเราก็เชื่อไปตามนั้น.

คนตาบอดมา ก็รู้จักไม้จากหู ถูกมั๊ยฮะ? จริงไม่จริง? อ้าว! เอ้อ ไม้เป็นยังไงก็เคาะ พอเคาะได้ยินไม้ เอ้อ ไม้คืออย่างนี้ แล้วไม้ในความเข้าใจของคนตาบอดน่ะ เป็นยังไงครับ? ...ก็เสียงป๊อกๆๆเลยนั่นคือไม้ ใช่มั๊ย? เอ้อ นั่นนั่นก็คือไม้.

ทีนี้ถ้าเราไม่มีตาไม่มีหู ก็มีแต่ลิ้นรับรส. เอ้า อยากจะรู้ไม้เป็นยังไง ก็เอาลิ้นไปลิ้มดู.  อ้า แล้วพวกลิ้นนี้ก็เก่งนะครับ ท่านเรียกว่าอินทรีย์ไง. อินทรีย์เนี่ยะ มารับรู้. แล้วถ้าฝึกดีเนี่ยะ มันจะคมชัดมาก. อย่างคนสมัยโบราณเนี่ยะ เช่น อย่างเรื่องว่า เหรียญจริงเหรียญเก๊ เหรียญปลอมอะไรยังงี้ คนสมัยโบราณเค้าก็เก่งเหมือนกันนะ. พวเนี๊ยะ หนึ่งคลำ บางทีไม่ต้องเห็นเลย ใช่มั๊ย? บางทีก็ อ้าว เห็นก็...ช่วยให้รู้แล้ว. บางคนนี่ไม่ต้องเห็น คลำรู้เลย ใช่มั๊ย? อ้า บางคนนี้ลิ้นสัมผัสแตะ ก็รู้เลย. มันแยกวัตถุ โลหะชนิดต่างๆได้.

เนี่ยะ ประสาทสัมผัสของมนุษย์แต่ละอย่างเนี่ยะ มันฝึกได้. มีความคมชัด. อย่างง่ายๆอย่างตาเรานี่นะ ก็คมชัดไม่เท่ากัน. อย่างชาวเขา เขาอยู่มาเขาไม่มีพวกวิทยาศาสตร์ บางทีเก่งกว่าพวกในเมืองอีกง พอเห็นแดดแบบเนี๊ยะ บอกว่าวันนี้จะมีฝนหนัก. แดดหยั่งงี้ สียังงี้ ดูออก. นั้นนี่ตา. ประสารทสัมผัสคมมาก. แต่คนในเมืองไปไม่รู้เรื่องเลย.

อ้าว หูก็เหมือนกัน หูคนตาบอดบางคนนี่ ได้ยินรถมา บอกได้เลยว่า รถสายไหน เอ้อ มียังงี้ใช่มั๊ย? นะ...หรือรู้ความกระเทือน. ประสาทสัมผัสเนี่ยะ มีความสามารถของมัน.

อย่างหมอเหมือนกัน หมอสมัยก่อนนี้ เก่งมาก. พอมองเห็นคนไข้เดินเข้ามาเนี่ยะ ท่าทางลักษณะนี้ก็บอกได้ก่อนขั้นหนึ่งละ. มีหวังเป็นโรคอย่างนี้. เอาละตานะ. หรือช่างเครื่องยนต์เก่งๆน่ะ เอ้า ลองเปิดเครื่องดูซิ มันเสียอะไร? พอได้ยินเนี่ยะ บางทีแทบจะบอกเลยได้ว่าเสียที่ไหน.

เนี่ยะคือประสาทสัมผัสของมนุษย์ ความคมของอินทรีย์.

ทีนี้มนุษย์ถ้าไม่ฝึกเนี่ยะ อินทรีย์พวกนี้ก็จะด้าน จะหยาบ. อย่างหมอปัจจุบันเนี่ยะ ถ้าไม่ได้ฝึกในการที่ตรวจคนไข้อะไรต่ออะไรมากนะ พอคนไข้มาก็สั่งเข้าเครื่อง เอ้า เข้าเครื่อง เข้าเครื่อง. เครื่องตรวจให้หมด. เสร็จแล้วกลายเป็นว่า ต่อไปเนี่ยะ ถ้าเกิดไม่มีเครื่องเนี่ยะ ตัวเองตรวจไม่ได้แล้ว. แย่เลย ถูกมั๊ยเนี่ยะ?

นี่ล่ะครับ. เพราะฉะนั้นจึงต้องไม่ประมาท. แม้จะมีเครื่องมือช่วย เราต้องบอกว่า เครื่องมือเทคโนโลยีนี้ มาเสริมความสามารถเรา อย่าให้เราขึ้นกับมัน. หลักการสำคัญเลย.

ทีนี้มนุษย์สมัยนี้ ไม่ฝึกอินทรีย์ กลายเป็นว่าไปๆมาๆ ขึ้นต่อเทคโนโลยี.

พอไม่มีเทคโนโลยี อยู่ไม่ได้. หมดเลย ทำอะไรไม่ได้เลย. เป็นมากแล้วนะเดี๋ยวเนี๊ยะ...ตั้งแต่เครื่องเลขน่ะ. สมัยก่อนนี้ พอเข้าเรียนประถม ต้องท่องสูตรคูณ มีเลขคิดในใจ ถูกมั๊ย? สมัยก่อนมีวิชาเลขคิดในใจ. ต้องคิดเลขในใจกันให้เก่งเลย. เด่วนี้คิดไม่ออกแล้ว. (ผู้ฟัง...รุ่นผมยังได้เรียนเรื่องพวกนี้..เครื่องคิดเลขก็ยังไม่ให้ใช้.) ใช่มั๊ย? เอ้อ แล้วเดี๋ยวนี้เป็นไง? (ผู้ฟัง...เดี๋ยวนี้ก็พกเข้าไปในห้องสอบไม่ได้).

เนี่ยะ...บางทีบางคนนะ เด็กๆสมัยนี้หรือคนขายของเนี่ยะ ไม่มีเครื่องคิดเลข คิดไม่ออก. ฉะนั้นอินทรีย์คมชัดเนี่ยะสำคัญน่ะครับ. อย่าไปประมาท ถ้าฝึกไว้ได้ ดีที่สุด.

แล้วมนุษย์จะมีความเป็นตัวของตัวเอง อย่างมีอิสรภาพ แล้วให้เทคโนโลยีมาเป็นเครื่องเสริม. อย่ากลายเป็นว่าพอมีมันแล้วเราหมดอิสรภาพ. แล้วต้องขึ้นต่อมัน.

อันนี้ อย่างหมอที่ว่า เอ้า ตาดู รู้ บางทีสัมผัส แตะนิด รู้ เป็นโณคอะไร? ใช่มั๊ย? เนี่ยะ เรื่องความคมชัดของอินทรีย์เนี่ยะ สำคัญมาก. ทีนี้ อินทรีย์เหล่านี้มันก็เป็นเรื่องว่า มันมาช่วยให้ชีวิตเรา เข้าถึงไอ้ความรู้ความเข้าใจต่างๆเหล่านี้.

อ้าว ตะกี้ผมจะตอบเรื่องอะไร เลยพูดเรื่อยเปื่อยมาเรื่องความคมชัดของอินทรีย์แล้ว. อา ช่วยทวนคำถามอีกที. ไม่ใช่...เมื่อกี้มาเรื่องอะไรแล้ว อันนั้นไปขั้นหนึ่งแล้ว. เอ้อ เมื่อกี้ว่าจะพูดตอบอะไรนะ. ใครถามอีกหรือเปล่า? (ผู้ฟัง.....)เหรอ....เลยพูดเรื่อย ไปในสมองชักจะแย่แล่ว อินทรีย์ชักจะเสื่อมแล้ว.

ก็นี่แหละครับเพราะอินทรีย์นี่สำคัญ. ดังนั้น อินทรีย์มันก็ทำงานของมัน เราต้องฝกให้ดี. แล้วการเข้าถึงความจริงก็อาศัยอินทรีย์เหล่าเนี๊ยะ ที่จะรับรู้.

เอ้อ เมื่อกี้ต้องการจะมาถึงบทสรุปอันหนึ่ง แล้วก็เลยลืมไปเลย. คืออธิบายเรื่องความคมชัดของอินทรีย์เพื่อจะมาตอบอันนี้ เลยลืมไปเลยว่า ตัวประเด็นที่ต้องการคืออะไร พูดไปพูดไปเพลิน.

เอา เดี๋ยวคุยกันไปก็นึกออกเอง. อ้ะ ก็นิมนต์ มีอะไรก็ถาม.

(ผู้ฟัง...ถ้างั้นไม่ว่าจิตคืออะไร แต่ว่าทางที่ดี สิ่งที่เราควรจะสนใจก็คือสภาพ ทำยังไงจิตกะรูปเนี่ยะ ทำงานให้มันสอดคล้องกัน...)ให้...ให้เกิดผลเป็นประโยชน์มากที่สุด. แล้วก็ฝึกมันไป. ฝึกมันไปแล้วต่อไปเนี๊ยะ มันจะเกิดความรู้ประจักษ์. รู้ประจักษ์แม้แต่จิตเองก็ต้องฝึกให้มันเกิดความรู้เข้าใจ.

อย่างเราจะรู้จิต ก็ต้องรู้ด้วยจิต รู้สภาวะของมันเนี่ยะบางคนก็ไม่รู้เพราะไม่เคยได้ดูตัวเอง. ดูจิตดูใจของตัวเอง นะ...มีสิ่งที่พระเรียกว่าเจตสิก. สิ่งที่ประกอบกับจิต ความรู้สึกอะไรต่างๆเหล่าเนี๊ยะ มันเกิดขึ้น มันเป็นไปยังไง. พระพุทธเจ้าก่อนที่จะตรัสรู้ พระองค์ก็...เล่าถึงพระองค์ก่อนตรัสรู้ไว้ พระองค์เนี่ยะ มีความรู้สึกเกิดขึ้น พระองค์ก็ตามดูมัน ว่ามันเกิดขึ้นยังไง มันเป็นไปยังไง มันดับไปยังไง จนกระทั่งพระองค์เนี่ยะ ก็เข้าใจจิตของพระองค์ จากการู้เนี่ยะ ตามดูมันไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปยังไง.

ในการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปก็คือกระบวนการของมัน เป็นไปยังไง. แล้วมันก็ส่งผลเป็นปัจจัยต่อกัน อย่างที่ว่ามันเป็นความสัมพันธ์. มนุษย์จะไม่เข้าใจความจริงเฉพาะศึกษาสิ่งนั้นหรอก มันเข้าใจจากรู้ความสัมพันธ์ กับส่วนอื่นๆด้วย. ปัจจัยทั้งหลายอื่นๆอีกมันมาสัมพันธ์กันหมด.

อันนี้ มาดูจิตของตัวเอง เห็นความเกิดดับอะไรต่างๆแล้ว มันก็จะเข้าใจส่วนนาม. แล้วส่วนนามมันก็ไปโยงกับส่วนรูป. แล้วมันจึงจะค่อยๆเรียกว่า ประจักษ์ความจริงขึ้นไป. ประจักษ์จากการที่...ก็ดูจากสภาวะที่มันเป็นไปในแต่ละขณะ. เพราะเราจะรู้ เข้าใจ ก็คือขณะนั้น ต่อจากนั้นแล้วก็เป็นอดีต. มันก็เป็นสัญญา สิ่งที่จำไว้ ก็ระลึกขึ้นมา ก็เป็นภาพแหละ มันไม่ใช่ของจริง ใช่มั๊ย?

พอมันผ่านขณะนั้นไปเนี่ยะ มันก็เป็นสิ่งที่เก็บไว้ในความทรงจำ ระลึกขึ้นมามันก็เป็นภาพ. ถ้าเราจะดูของจริง ก็ต้องในตอนที่มันกำลังเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป.

ก็เลยในที่สุด พระท่านก็สอนว่าให้ดูความจริงจากความจริง.

อ้าว! ความจริงคือความจริงยังไง ก็คือในขณะที่มันกำลังเป็นอยู่เนี่ยะ เพราะว่ามันผ่านไปขณะหนึ่งแล้ว มันเป็นสัญญาไปแล้ว มันเป็นความจำไปแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว มันเป็นภาพไปแล้ว.

ทีนี้มนุษย์ก็ไปศึกษาเอาจากภาพเนี่ยะส่วนมาก ก็ต้องยอมรับว่านั่นคือยังไม่ใช่ของจริง. เราต้องเลยมาศึกษาทุกระบบ.

ท่านบอกว่า รูปเกิดดับขณะหนึ่งน่ะ จิตดับ ๑๗ ขณะ. ก็หมายความ จิตมันมีความเกิดดับ หรือมีความเป็นไปเนี่ยะรวดเร็วมาก. รูปธรรมมันก็เร็วอยู่แล้วนะ ความเกิดดับนี่น่ะ.

ดังนั้นมันเป็นเรื่องที่ว่า ไม่รู้จะใช้ศัพท์อะไร ก็เรียกว่า ละเอียดอ่อน. แต่ว่าเอาในแง่ประโยชน์ในการใช้ก่อน คือ หนึ่งก็การรู้ความจริง รู้สภาวะ. สองก็การใช้ประโยชน์ หรือทำให้เป็นประโยชน์.

นี้ยังไงก็ตาม ตอนนี้ก็คือว่า มันเกิดประโยชน์ขึ้นมา จากการที่เราฝึก เราศึกษา มันก็เกิดประโยชน์. ในการที่เกิดประโยชน์ต่างๆ นอกจากประโยชน์หยาบๆที่เอามาใช้ในชีวิตประจำวันก็คือ ประโยชน์กับตัวชีวิตเอง ก็คือ ในขณะที่เราทำประโยชน์เหล่าเนี๊ยะ เราก็ฝึกรูปธรรมนามธรรมของเราไปตัวชีวิตเอง รูปธรรมนามธรรมมันก็พัฒนาขึ้นไป. มันก็มีความชำนาญมีความสามารถเพิ่มขึ้น.

มีอะไรมั๊ยครับ? เอาสิ มีอะไร คุยกัน มันก็หวิวๆ ร่างกายมันก็ไม่ค่อยถ่งถ่าย เตรียมไว้ มีคำถามอะไร วันนี้ก็เอาคุยกันเท่านี้ก่อน.

https://youtu.be/CuWCnM_j6pA

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น