อลัน วัตต์ส - อะไรคือ จิตสำนึก
What is Consciousness? - Alan Watts About The Pattern Of Life
https://youtu.be/MTf6yd734Dc?si=o1y4iuMHZXL1OMPV
ความสนใจ/มนสิการ(attention)ของเราได้ถูกจับยึดไว้โดยรูปด้านหน้ามากกว่าฉากหลัง(is
captured by the figure rather the background).
โดยพื้นที่ปิดล้อมมากกว่าพื้นที่กระจัดกระจาย(by
relatively enclosed area rather than the diffused area).
และโดยอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวมากกว่าโดยอะไรที่ค่าอนข้างอยู่นิ่ง(by
something moving rather than what is relatively still).
และต่อทั้งหมดของปรากฏการณ์เหล่านั้นที่อยู่ในวิถีนี้(and to
all those phenomenon that in this way)ดึงดูดความสนใจของเรา(attract
our attention)เราถือเอาคุณลักษณะนี้คือระดับสูงของความเป็นจริงมากยิ่งไปกว่ารายอื่นๆที่เราไม่ได้สังเกตเห็น(we
attribute high degree of reality than the ones we don’t notice).
นั่นก็เพียงเพราะแค่ชั่วขณะหนึ่ง(that’s
only because for the moment)ที่สิ่งเหล่านั้นสำคัญมากกว่าต่อเรา(those
are more important to us).
จิตสำนึก(Consciousness),
นี่นะ, เป็นเรดาร์ที่กำลังกวาด/สแกนสภาพแวดล้อมเพื่อเฝ้าระวังสิ่งยุ่งยากเดือดร้อน(is a
radar that is scanning the environment to look out). แค่ในหนทางเดียวกันเป็นเรดาร์ของเรือ(just
the same way as the ship’s radar)ที่กำลังกวาดตรวจจับมองหาโขดหินหรือเรือลำอื่นๆ(is
looking for rocks or other ships).
และเรดาร์เช่นนั้น, ไม่ได้สังเกตเห็นถึงพื้นที่ว่างอันกว้างใหญ่(does
not notice the vast areas of space)ที่ซี่งไม่มีโขดหินและเรืออื่นทั้งหลาย(where
there are no rocks or no other ships).
ดังนั้นในหนทางเหมือนกัน(in the same way),
ดวงตาของเรา(eyes)หรือค่อนข้างเป็นจิตสำนึกที่เลือกสรรมากกว่าที่อยู่เบื้องหลังดวงตานั้น(or the
selective Consciousness behind the eyes)ที่เพียงแต่ให้ความสนใจต่ออะไรที่เราคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญ(only
pays attention to what we think is important).
ผมอยู่ที่ชั่วขณะของการระแวดระวังรู้นี้ขอบรรดาพวกคุณทั้งหมดในห้องนี้(I am
at this moment aware of all of you in this room), ของทุกรายละเอียดการแต่งกายของคุณแต่ละคน(of
every single detail of your clothing), ของใบหน้าพวกคุณ(of
your faces)และอะไรอื่นอีกทั้งหลาย,
แต่ผมไม่ได้กำลังสังเกตเห็นมันทั้งหมด(but I’m not noticing it all)และเช่นนั้นเองที่ผมจะไม่สามารถจำได้ในวันพรุ่งนี้(therefore
I will not be able remember tomorrow)อย่างชัดเจนถูกต้องว่าพวกคุณแต่ละคนท่าทางเป็นอย่างไร(exactly
how each one of you looked)และอะไรที่คุณได้กำลังแต่งกายอยู่(what
you were wearing).
เพราะว่าอะไรที่ผมได้สังเกตเห็นได้ถูกจำกัดอยู่กับสิ่งทั้งหลาย(what I
notice is restricted to things)ที่ผมคิดว่าสำคัญเป็นพิเศษเฉพาะ(I
think particularly important).
ถ้าผมได้สังเกตเห็นหญิงสาวที่สวยเป็นพิเศษบางรายในหมู่ผู้ฟัง(if I
notice some particularly beautiful girl in the audience),
แล้วผมก็จะสังเกตเห็นได้ด้วยว่าเธอเธอแต่งกายสวมใส่อะไร,
และนั่นน่าเป็นที่สามารถจำได้(would be memorable).
แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว,
เราให้ความสนใจแต่เพียงอะไรที่ชุดของคุณค่าทั้งหลายบอกเราว่าควรจะให้ความสนใ(we
only pay attention to what our set of values tells us we ought to pay
attention). แต่ค่อนข้างชัดเจนว่า, พวกคุณ,
ในฐานะปัจเจกชนอย่างสมบูรณ์(as a complete individual)เป็นมากๆยิ่งไปกว่าระบบตรวจจับ/สแกน(much
more than the scanning system).
พวกคุณอยู่ในความสัมพันธ์ทั้งหลายกับโลกภายนอก(in relationships with the
external world)ที่โดยรวมส่วนใหญ่มีความสอดประสามกันอย่างน่าอัศจรรย์(that
on the whole are incredibly harmonious).
และด้วยวิถีเช่นนี้(and so in this way)เราได้มีวิถีค่อนข้างแคบในวิสัยทัศน์จำกัดนี้ของการมองยังสิ่งทั้งหลาย(have
this rather myopic way of looking at things)และเราก็กรองออกไปจากความสนใจ(we
screen out from attention),
สิ่งใดก็ตามที่ไม่มีความสำคัญในขณะนั้น(anything that is not immediately
important).
สำหรับระบบการตรวจจับ/สแกนหนึ่งนั้น(to a
scanning system), ตั้งอยู่ฐานของการรับรู้ถึงอันตราย(based
on sensing Danger). แต่ค่อนข้างชัดเจนว่า,
คุณในฐานะปัจเจกชนอันสมบูรณ์(as a complete individual), เป็นมากยิ่งไปกว่าระบบตรวจจับ/สแกน(much more than the scanning system).
คุณอยู่ในความสัมพันธ์ทั้งหลายกับโลกภายนอกที่โดยรวมส่วนใหญ่มีความสอดประสานกันอย่างน่าอัศจรรย์.
การย้อนกลับไปหาการอธิบายภาพนี้ของทุกร่างที่มีชีวิต(go back to this illustration of every living body),
ก็คืออะไรบางอย่างเหมือนเปลวไฟของเทียนไขเล่มหนึ่ง(is
something like the flame of a candle). พลังงานทั้งหลายของชีวิต(the
energies of life)ในรูปของ อุณหภูมิ(temperature), แสง(light), อากาศ(air)และอาหาร(food)และอะไรอื่นอีกมากมาย,
กำลังไหลหลั่งเวียนผ่านไปทั่วตัวคุณทั้งหมดในขณะนี้(are
streaming through all at this moment)ในวิถีการประสานสอดคล้องกันอย่างงามสง่าอลังการอย่างยิ่งเป็นที่สุด(in the most magnificently harmoniously
way).
และของพวกคุณทั้งหมดก็เป็นความงดงามยิ่งไปไกลกว่าเปลวไฟของเทียนไขใดๆ(and your all of you far more beautiful
than any candle flame).
แค่กำลังนั่งอยู่ในเก้าอี้ทั้งหลายเหล่านี้(just sitting in these chairs), แค่กำลังไป(just
going), คุณรู้มั้ย,
เพียงแค่ว่าเราช่างคุ้นเคยกับมันมากเหลือเกินเท่านั้น(we
are so used to it).
เราก็พูดถึงเรื่องนั้น, แล้วไง(so what), แสดงอะไรบางอย่างที่น่าสนใจให้ฉันเห็นสิ(show me something interesting), แสดงอะไรบางอย่างที่ใหม่ให้ฉันเห็น(show me something new), เพราะว่ามันเป็นคุณลักษณะของจิตสำนึก(it’s a characteristics of
Consciousness)ที่มันจะเมินเฉยต่อสิ่งเร้า(ignores stimuli)เมื่อสิ่งใดก็ตามนั้นคงที่อยู่นิ่งเฉย(when anything is constant). เมื่อสิ่งใดนั้นอยู่นิ่งคงที่, มันก็พูดว่า, โอเค
นั่นมันปลอดภัย(it’s
safe)มันอยู่ในถุง(it’s in the bag), ไม่จำเป็นต้องไปสนใจอีกต่อไป(needn’t pay attention to anymore).
และเช่นนั้นเอง,
เรากำจัดออกไปอย่างเป็นระบบจากการสำนึกรู้ของเรา(we
eliminate systemically from our awareness),
สิ่งงดงามทั้งหลายทั้งหมดที่กำลังดำเนินไปอยู่ตลอดเวลา(all
the gorgeous things that are going on all the time).
และแทนที่จะแต่เพียงกลายมาเพ่งจับบนสิ่งทั้งหลายที่เป็นตัวก่อความยุ่งยากเดือดร้อน(and instead only become focused on
things, the Trouble things)ที่อาจบังเกิดขึ้นเพื่อพลิกคว่ำทำให้สิ้นไป(that might happen to upset it)ซึ่งนั่นก็เป็นการถูกต้อง,
แต่เรากลับไปทำให้มากขึ้นเกินไปกับมันอีก(but
we make too much of it).
เราทำให้มันมากขึ้นเกินไปที่เราไปแยกแยะวินิจฉัยให้เป็นตัวของเราเอง,
ฉัน, อัตตา ด้วยเรดาร์นั้น(we
make so much of it that we identify ourselves, I, Ego with the radar), ด้วยเครื่องมือแก้ปัญหา(with the Troubleshooter). และนั่นก็เป็นแค่ชิ้นส่วนเล็กจิ๋วเท่านั้นของสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งหมด(only a tiny fragment of one’s total
being).
ดังนั้นถ้าคุณได้ตื่นรู้อย่างแท้จริง(if you do become aware)ที่คุณไม่ได้กำลังทำง่ายๆแค่ระบบกลไกตรวจจับ/สแกน(that you are not simply that scanning mechanism), แต่คุณเป็นชีวอินทรีย์มีชีวิตของคุณอย่างสมบูรณ์(but you are your complete
organism), แล้วอย่างรวดเร็วเปลี่ยนกลับ(then swiftly in turn)เป็นเช่นผลที่ตามมาของการนั้น(as a consequence that)คุณกลายเป็นสำนึกรู้ว่า(you
become aware that)ชีวอินทรีย์ของคุณนั้นไม่ใช่วิถีที่คุณคิดเกี่ยวกับมัน(your organism is not the way you think
about it)เมื่อคุณมองที่มันจากจุดยืนของสำนึกของจิต(from the standpoint of conscious), จากจุดยืนของอัตตา(from the standpoint of the ego).
จากจุดยืนของอัตตา(from the standpoint of the ego)ชีวอินทรีย์ของคุณเป็นอะไรแบบยานพาหนะ(your organism is your kind of vehicle), รถยนต์ของคุณที่คุณนั่งอยู่ข้างในไปไหนต่อไหน(automobile in which you go round).
แต่จากจุดมองทางกายภาพ(from a physical of view), ชีวอินทรีย์ของคุณอีกครั้ง(your organism is again), เป็นเหมือนเปลวไฟของเทียน(the candle flame)หรือวังวน(the whirlpool). มันเป็นอะไรบางอย่างของรูปแบบอย่างต่อเนื่อง(is something which is a continuous
patterning)หรือกิจกรรมของเอกภพทั้งปวง(activity of the whole Cosmos).
กุญแจ(the key), กุญแจความคิดในที่นี้(the key idea here)คือรูปแบบ(is pattern).
เรามาสมมติกันว่า,
ผมกำลังจะขอยืมการอุปมาของบัคมินสเตอร์ ฟุลเลอร์มาใช้(I’m going to borrow a metaphor from
Buckminster Fuller1). สมมติว่าผมมีเชือกเส้นหนึ่ง
1
https://en.wikipedia.org/wiki/Buckminster_Fuller
(have a rope), และชั้นหนึ่งของเชือกนี้(the one section of this rope)ได้ทำด้วยป่านมะนิลา(made
of manila hemp), อีกเปลือกชั้นถัดมาเป็นฝ้าย(next section is cotton), อีกเปลือกชั้นหนึ่งถัดมาเป็นไหม(the next section is silk), อีกเปลือกหนึ่งถัดมาก็เป็นไนลอน(the next section is nylon)และอะไรอื่นอีก(and
so on).
ทีนี้เขาผูกเงื่อนปมหนึ่งในเส้นเชือกนี้(now we tie a knot in this rope), แค่เงื่อนธรรมดาปมหนึ่ง(just
an ordinary one over knot)และคุณหาเจอได้โดยเอานิ้วหนึ่งของคุณเข้าไปในปมเงื่อนนั้น(find by putting your finger in the
knot)คุณสามารถเคลื่อนย้ายมันลงไปได้ตลอดเส้นเชือก(you can move it all the way down the
Rope).
ทีนี้,
ในขณะที่ปมเงื่อนนี้เดินทางไป(as the
knot travels),
ส่วนของมันที่ทำด้วยป่านมะนิลาอย่างแรกของทั้งหมด(it’s
first of all made of manila hemp)แล้วก็ส่วนที่ทำด้วยฝ้ายของมัน(it’s then made of cotton), แล้วก็ส่วนที่ทำด้วยไหมของมัน(and then it’s made of silk), แล้วก็ส่วนที่ทำด้วยไนล่อนของมัน(it’s then made of nylon)และอะไรอื่นอีก, แต่ปมเงื่อนนั้น(the knot)ยังคงไปต่อเรื่อยๆ(keeps
going on)นั่นคือความซื่อตรงของรูปแบบ(that’s the integrity of pattern)รูปแบบที่ดำเนินต่อไป(the
continuing pattern)ที่คืออะไรซึ่งเป็นคุณ(which is what you are). เพราะว่า, คุณรู้มั้ย, คุณอาจจะเป็นไปหลายๆปี(you might would be for several years)คุณอาจเป็นมังสวิรัติชน(you
might be a vegetarian),
คุณอาจเป็นชนกินเนื้อ(might
be a meat eater)และอะไรอื่นอีกมากมายนั้น.
และคุณก็รู้, รัฐธรรมนูญของคุณ(your
Constitution)เปลี่ยนไปตลอดเวลา(changes all the time), แต่ผู้คนทั้งหลายที่เป็นเพื่อนของคุณยังคงจดจำคุณได้(but people’s your friends still
recognize you)เพราะว่าคุณยังคงขึ้นเวทีอยู่ในการแสดงเดิม(you’re still putting on the same show), มันเป็นรูปแบบเดิม(the
same pattern)นั่นคือปัจเจกบุคคลซึ่งสามารถจำได้(that is the recognizable individual).
แต่เราได้รับการฝึกฝนในภาษาของเราถึงโครงสร้างยิ่งยวดในภาษาที่เราพูดคุยกัน(we are trained in our language the very
structure of the language we talk)เป็นอุบายหลอกลวงเราเข้าไปในความเข้าใจผิด(deceives us into misunderstanding).
นี้เพราะว่าเมื่อเรามองเห็นรูปแบบหนึ่ง(when we see a pattern), เราถามว่ามันทำด้วยอะไร(what’s
it made of).
เหมือนเช่นคุณมองเห็นโต๊ะตัวหนึ่ง(you
see a table),
มันทำด้วยไม้หรือ?(is it
made of wood),
หรือว่ามันทำด้วยอลูมิเนียม(is it
made of aluminum).
แต่แล้วเมื่อคุณสืบค้นลงไปว่าอะไรคือไม้(when you inquire into what is wood)และไม้(wood)ต่างจากอลูมิเนียม(aluminum)ต่างกันอย่างไร. สิ่งเดียวเท่านั้นที่นักวิทยาศาสตร์หกนึ่งสามารถบอกคุณได้ก็คือ
ความแตกต่างกันในรูปแบบทั้งหลาย(the
only thing a scientist can tell you is the different patterns)นั่นที่จะพูดว่า,
โครงสร้างที่แตกต่างของโมเลกุลของทั้งสองสิ่งนั้น(the
different molecular structure of the two things). และโครงสร้างโมเลกุลไม่ได้เป็นคำอธิบายของที่สิ่งบางอย่างนั้นทำด้วยอะไร(a molecular structure is not a
description of what something is made of).
มันเป็นแค่คำอธิบายว่า
การเต้นรำอะไรที่มันกำลังแสดงอยู่(a
description of what dance it is performing), อะไรที่เคลื่อนไหวทั้งหลาย(what motions), ซิมโฟนีประเภทอะไร(what
kind of symphony).
เช่นนี้ก็เพราะว่า, อย่างพื้นฐานง่ายๆก็คือ,
ปรากฏการณ์ทั้งหมดของชีวิตนั้นก็คือดนตรี(basically all phenomena of Life are
Musical).
และทองคำแตกต่างจากตะกั่ว(gold differs from lead)ในทางอย่างแน่ชัดในหนทางเดียวกันกับที่วอลท์ซแตกต่างจากบีเซอเกอร์(a
waltz differs from a Beserker).
มันเป็นการเต้นรำที่แตกต่างกัน(a different dance), และไม่มีสิ่งใดที่เป็นการเต้นรำ(there isn’t anything that’s dancing)ที่เป็นคำอธิบายซึ่งเรายอมรับ(that is a description we get into)เพราะว่าเรามีสองจุดของการพูดในไวยากรณ์ของเรา(we have two spots of speech in our
grammar). เรามีคำนาม(nouns)กับคำกิริยา(verbs), และคำกิริยา(verbs)ถูกสมมติคาดว่าจะอธิบายการกิจกรรมทั้งหลายของคำนาม(is supposed to describe the activities
of nouns).
และนี่คือง่ายๆของสัญญนิยม/กติกาในการพูดกัน(this is simply a Convention of speech). คุณมีภาษาได้ก็แค่มีคำกิริยาอยู่ในมัน(could have a language with only verbs
in it), คุณไม่จำเป็นต้องมีคำนามใด(you
don’t need any nouns)หรือคุณสามารถมีภาษาด้วยเช่นกันด้วยคำนามหนึ่งเท่านั้นและไม่มีคำกิริยา(you
could also have a language with a nouns only with no verbs),
และมันก็น่าจะเป็นการอธิบายอย่างสมบูรณ์อย่างเพียงพอ(it
would perfectly adequately describe)ว่าอะไรกำลังดำเนินไปในโลกนี้(what’s going on in the world).
ดังนั้นถ้าคุณได้คุ้นเคยกับการพูดด้วยส่วนหนึ่งกับภาษา(if you used to speaking with a part
with language)ที่มีหนึ่งส่วนของการพูด(that had one part of speech). เอ้อ,
คุณสามารถพูดได้แค่มากเท่าที่เราสามารถทำได้ด้วยทั้งสอง(you could say just as much as we can
with two).
และเป็นที่กระจ่างชัดมากมายกว่าเพียงแต่ครั้งแรกมันจะฟังดูเคอะเขิน(only at first it would sound awkward)แต่ในไม่ช้าคุณได้คุ้นเคยเข้าใจกับมัน(you’d soon get used to it). และเมื่อคุณได้คุ้นเคยกับมัน,
มันก็จะเป็นเรื่องของสามัญสำนึก(it
would be a common sense)นั่นคือการสร้างรูปแบบทั้งหลายของโลกไม่ได้เป็นอะไรบางอย่างของสิ่งที่กำลังสร้างรูปแบบนั่น(that the patterning of the world is not
some kind of stuff that’s patterning).
คุณไม่จำเป็นต้องเสาะหาข้อความสาระที่ขีดเส้นใต้ไว้กระนั้น(don’t have to seek for a substance
underline though),
นี้คือการสร้างรูปแบบ(this
is patterning),
และเราทั้งหมดเป็นเช่นนั้น(we’re
all that).
ต่อบุคคลผู้ที่ได้ตื่นขึ้นจริงๆ(to a person who really wakes up), คุณในไม่ช้าอย่างยิ่งได้ตระหนักรู้(you very soon realize)ว่าการมีอยู่ของคุณ(your
existence)ไม่ใช่อะไรบางอย่างที่เป็นแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆไร้ความหวัง(is not something that is just hopeless
little creature)ซึ่งได้เผชิญหน้าอย่างทันทีทันใดกับโลกภายนอกอันยิ่งใหญ่(that suddenly confronted with a great
big external world)ที่ดำเนินไปและกัดกินเขา(that goes and eat him up).
ทุกๆสิ่งเล็กจิ๋วที่สุดที่ได้มาเป็นชีวิต(every little tiniest thing that comes
into being), ทุกๆแมลงวันผลไม้จิ๋วๆ(every minute fruit fly), หรือ NAT, หรือแบคทีเรีย(bacterium), ผมจะไปไกลยิ่งถึงการพูดว่าเป็นเหตุการณ์(I will go so far as to say is an event)ซึ่งเกิดขึ้นกับเอกภพทั้งปวงนี้พึ่งพาอยู่(upon which this whole Cosmos depends).
สิ่งนี้ไปทั้งสองหนทาง(this thing goes both ways). มันไม่ใช่แต่เพียงว่าทุกชีวอินทรีย์จิ๋วๆที่มีชีวิตอยู่(that every little organism which
exists)พึ่งพาอาศัยอยู่กับสภาพแวดล้อมทั้งหมดของมัน(depends on its total environment), ในทางกลับกัน(the
reverse), ก็เป็นความจริงด้วยเช่นกันว่า,
สภาพแวดล้อมทั้งหมดก็พึ่งพาอาศัยกับแต่ละและทุกๆชีวอินทรีย์จิ๋วๆเหล่านั้นด้วย(that the total environment depends on
each and every one of those little organisms).
ดังนั้นคุณสามารถพูดได้ว่า, จักรวาลนี้(this universe)ประกอบอยู่ด้วยของการเรียบเรียงจัดการรูปแบบ(consists of a an arrangement of
pattern), ในทุกเหตุการณ์(in which every event)เป็นสิ่งสำคัญต่อสิ่งทั้งปวง(is essential to the whole thing).
https://youtu.be/MTf6yd734Dc?si=RZZAjucg1n0s2WJy
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น