อลัน วัตต์ส - การเข้าใจใน”อัตตา”ของคุณ
Understanding Your Ego
- Alan Watts
https://youtu.be/TwpMTWPVE0I?si=NJxZTtkvzmt7sO1l
คุณรู้มั้ย,
การเดินทางของอัตตาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ(the biggest ego trip going)ก็คือการกำจัดอัตตาของคุณ(is
getting rid of your ego).
ความหมายที่แท้จริง. (TRUE MEANING)
อัตตาของคุณไม่ได้มีอยู่(your
ego doesn’t exist). ไม่มีอะไรต้องกำจัดออกไป(there’s
nothing to get rid of). มันเป็นมายา(it’s
an illusion), ดังที่ผมได้พยายามที่จะอธิบาย,
แต่คุณยังคงต้องการที่จะถามว่าฉันจะหยุดมายานั้นได้อย่างไร(still
want to ask how to stop the illusion).
ทีนี้, ใครกำลังถามรึ?(who’s asking?)
ผมหมายถึงว่า,
คุณคิดในความรู้สึกทั่วไป(you think in the ordinary sense)ที่ซึ่งคุณใช้คำว่า “ฉัน” นั้น(in which you use the
word I).
ฉันจะสามารถหยุดระบุตัวฉันเองด้วยตัวที่ไม่ใช่ฉันได้อย่างไร?(how
can I stop identify myself with the wrong me?)
เอาละ, คำตอบนั้นง่ายๆก็คือคุณทำไม่ได้(the
answer is simply you can’t).
ชนคริสเตียนทั้งหลายเอาสิ่งนี้เข้ามาในวิถีของพวกเขา(the
Christians put this in their way),
เมื่อพวกเขาพูดว่าประสบการรับรู้อันลี้ลับนั่นก็คือของขวัญแห่งพระมหากรุณาธิคุณจากสวรรค์(that
mystical experience is a gift of divine grace).
พิโธ่เอ๋ย(man),
แล้วก็ช่างเป็นประสบการณ์นี้ที่ไม่สามารถที่จะบรรลุเสียเหลือเกิน(as
such cannot achieve this experience).
มันเป็นของขวัญจากพระเจ้า(it’s a
gift of god).
และถ้าพระเจ้าไม่ได้ให้มันแก่คุณ(if god
doesn’t give it to you). ก็ไม่มีหนทางใดที่จะได้มันมา(there’s
no way to getting it).
ตอนนี้เป็นความจริงอย่างมั่นคง(now
that is solidly true)ว่า, คุณ ไม่สามารถ
ทำอะไรได้เลย กับมัน(you can’t do anything about it). เพราะว่าคุณไม่ได้มีอยู่(because you don’t exist).
พูดโดย
อลัน วัตต์ส. (SPOKEN BY ALAN WATTS)
เอาละ, คุณบอกว่า,
นั่นช่างเป็นข่าวที่ช่างน่าหดหู่ใจนัก(that’s a pretty depressing news).
แต่ประเด็นทั้งปวง(the whole point)ก็คือ,
มันไม่ได้เป็นข่าวอันน่าหดหู่ใจ(it isn’t depressing news).
มันเป็นข่าวอันน่ารื่นรมย์(it is the joyous news).
มีบทกวีเซนหนึ่ง, ที่วางเอามันไว้เหมือนเช่นนี้(which puts
it like this).
การพูดถึงมัน(talking about it),
มันหมายถึงประสบการณ์รับรู้อันลึกลับ(means the mystical experience), ซาโตริ(SATORI1 – การรู้แจ้ง). การตระหนักรู้ว่าคุณคือพลังงานชั่วนิรันดร์ของจักรวาล(the
realization that you are the eternal energy of the universe).
1 https://en.wikipedia.org/wiki/Satori
เหมือนที่จีซัสได้ทำ(like
Jesus did).
มันว่าไว้อย่างนี้,
คุณไม่สามารถยึดกุมจับมันเอาไว้ได้(you
cannot catch hold of it),
หรือไม่ที่คุณจะสามารถกำจัดมันออกไปได้ด้วย(nor can you get rid of it).
ในการไม่สามารถที่จะเอามันมาได้ คุณก็ได้มัน(in not
being able to get it you get it).
เมื่อคุณพูด, มันนิ่งเงียบ(when
you speak, it’s silent).
เมื่อคุณนิ่งเงียบ,
มันพูด(when you’re silent, it speaks).
ทีนี้, ในการไม่สามารถที่จะเอามันมาได้(in not
being to get it), ก็เพราะว่าความรู้สึกทั้งปวงนี้(this
whole feeling)อะไรที่กฤษณะมูรติ(Krishnamurti2)กำลังพยายามที่จะอธิบายต่อผู้คน(is
trying to explain to people), ตัวอย่างเช่น,
ทำไมคุณถามถึงวิธีการ?(why do
you ask for a method?)
ไม่มีวิธีการใด(there is no method).
วิธีการทั้งหลายทั้งหมดนั้นเป็นแค่เล่ห์กลทั้งหลาย(all
methods are simply gimmicks).
เพื่อที่จะการเสริมความเข้มแข็งให้กับอัตตา/ตัวตนของคุณ(for
strengthening your ego).
แล้วเราจะไม่ทำนั่นได้อย่างไร?(so how
we not do that?)
เขาบอกว่า,
คุณกำลังยังคงถามหาวิธีการ(you’re still asking for a method), มันไม่มีวิธีการ(there’s no method).
ถ้าคุณเข้าใจจริงๆว่าอะไรที่คุณว่าคือ
“ฉัน”(if you really understand what you I is), คุณจะมองเห็นว่า
ไม่มีวิธีการใด(you will see there is no method).
น่าเศร้า(so sad).
แต่มันไม่ใช่(but it’s not).
นี่คือเพลงสวด(a gospel2- พระกิตติคุณ), เป็นข่าวดี(the
good news). เพราะว่าถ้าคุณ
2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5
ไม่สามารถบรรลุถึงมัน(because
if you cannot achieve it),
ถ้าคุณไม่สามารถเปลี่ยนรูปตัวคุณเอง(if you cannot transform
yourself), มันหมายความว่า(it means)นั่นคืออุปสรรคหลักใหญ่(that
the main obstacle)ต่อวิสัยทัศน์อันลี้ลับ(to
mystical vision)ได้พังพินาศลง(has
collapsed)ที่ได้เป็นคุณ(that was you).
เกิดอะไรขึ้น?(what’s
happening?)
คุณไม่สามารถทำอะไรใดๆได้กับมัน(you
cannot do anything about it).
คุณอยู่ที่จุดสิ้นสุดของปัญญาทั้งหลายของคุณ(you
‘re at your wits end).
อะไรที่คุณกำลังจะทำรึ?(what
are you going to do?) ฆ่าตัวตายรึ?(commit
suicide?)
แต่สมมติว่าคุณแค่หยุดมันไปสักพักหนึ่ง(put
that off a little while), รอดูว่าอะไรจะบังเกิดขึ้น(wait
and see what happens).
คุณไม่สามารถ(you
can’t)ควบคุมความคิดทั้งหลายของคุณ(control your thoughts).
คุณไม่สามารถควบคุมความรู้สึกทั้งหลายของคุณ(you
can’t control your feelings).
เพราะว่าไม่มีตัวควบคุม(because
there is no controller).
คุณคือความคิดทั้งหลายของคุณ(your
feelings)และความรู้สึกทั้งหลายของคุณ(your feelings).
และพวกนั้นก็กำลังวิ่งตามไปด้วย(they
are running along), วิ่งตามไป, วิ่งตามไป.
แค่นั่งลงและเฝ้าดูพวกมัน(just
sit and watch them).
นี่ไงพวกมันไป(here
they go). คุณยังคงหายใจ, ไม่ใช่รึ?(you’re still breathing, aren’t
you?)
ยังคงงอกผมของคุณอยู่(still
growing your hair) ยังคงมองเห็นและได้ยิน(still
seeing and hearing) คุณกำลังทำนั่นอยู่รึ?(are
you doing that?)
ผมหมายถึงว่า,
การหายใจนั้นเป็นอะไรบางอย่างที่คุณทำรึ?(is breathing something that
you do?)
คุณมองเห็นที่ผมหมายความถึง?(do you
see I mean), คุณได้จัดรวมองค์การปฏิบัติงานทั้งหลายของดวงตาของคุณ?(do you
organize the operations of your eyes),
และรู้อย่างแน่ชัดถูกต้องว่าจะทำงานแท่งและกรวยทั้งหลายเหล่านั้นอย่างไรในจอประสาทตารึ?(know
exactly how to work those rods and cones in the retinas?)
คุณทำนั่นรึ?(do you
do that?)
มันบังเกิดขึ้นเอง(it
happens).
ดังนั้นคุณสามารถรู้สึกได้กับสิ่งที่บังเกิดขึ้นทั้งหมดนี้(so you
can feel all this happening).
การหายใจของคุณกำลังบังเกิด(your
breathing is happening). การคิดของคุณกำลังบังเกิด(your
thinking is happening). ความรู้สึกของคุณกำลังบังเกิด(your
feeling is happening). การได้ยินของคุณ, การเห็นของคุณ,
เมฆทั้งหลายกำลังบังเกิดข้ามท้องฟ้า(the clouds are happening across
the sky). ท้องฟ้ากำลังบังเกิดเป็นสีฟ้า(the
sky is happening blue). ดวงอาทิตย์กำลังบังเกิดการส่องแสง(the
sun is happening shining).
นั่นไงล่ะ(there it is).
ทั้งหมดนี้บังเกิดขึ้น(all
these happening)และขออนุญาตให้ผมแนะนำแก่คุณได้รู้จักว่านี่แหละคือตัวคุณเอง(and
may I introduce you this is yourself).
สิ่งนี้เริ่มต้นที่จะเป็น(this
begins to be)ภาพทัศน์ของที่ว่าคุณจริงๆแล้วคือใคร(a
vision of who you really are)และนั่นคือหนทางที่คุณปฏิบัติหน้าที่การงาน(that’s
the way you function).
คุณปฏิบัติหน้าที่การงานโดยการบังเกิดขึ้น(you function by happening)นั่นคือที่จะพูดได้ว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ(spontaneous
occurrence).
และนี่ไม่ใช่สถานการณ์อันไม่น่าพึงใขทั้งหลาย(not
a state of affairs)ที่คุณควรจะตระหนักรู้(you should
realize).
ผมไม่สามารถเป็นไปได้ที่จะเทศนามันแก่คุณ(I
cannot possibly preach it to you), เพราะว่านาทีที่คุณเริ่มต้นการคิด(the
minute you start thinking)ผมควรเข้าใจนั่นได้(I
should understand)ว่านี่คือความคิดโง่เขลานี้อีกแล้ว(that
this is this stupid notion again), ของการที่ผมควรจะนำมันมาพูดถึง(of I
should bring it about)เมื่อไม่มีคุณที่จะนำเกี่ยวกับมันมาได้(when
there is no you to bring about).
เห็นมั้ย,
ว่าทำไมผมไม่ได้กำลังเทศนาสั่งสอน(I’m not preaching).
คุณสามารถได้แต่เทศนาต่ออัตตา/ตัวตนทั้งหลายเท่านั้น(you
can only preach to egos).
ทั้งหมดที่ผมสามารถทำได้(all I
can do)คือพูดคุยถึงเกี่ยวกับอะไรที่เป็น(about
what is).
มันสร้างความขบขันให้กับผมที่จะพูดคุยเกี่ยวกับอะไรที่มันเป็น,
เพราะว่ามันอัศจรรย์(it’s wonderful).
ผมรักมัน(I love
it).
และนั่นเองที่ผมชอบที่จะพูดคุย(and
therefore I like to talk). ถ้าผมได้ค่าจ้างจากมัน(if I
get paid for it), แล้วผมก็หาเลี้ยงชีพของผมได้(then I
make a my living). และผู้คนที่มีเหตุผลก็ได้รับเงินค่าจ้างจากการทำอะไรที่พวกเขารื่นรมย์ในการทำ(and
sensible people get paid for doing what they enjoy doing).
นี่นะ, นี้คือ, การเข้าไปถึงเรื่องทั้งปวงในที่นี้คือ
ไม่ที่จะเปลี่ยนศาสนาอะไรคุณ(the whole approach here is not to
convert you), ไม่ได้ที่จะทำให้คุณกลับใจมา(not to
make you over), ไม่ได้ที่จะทำให้คุณดีขึ้น(not to
improve you). แต่เพื่อที่จะให้คุณได้ค้นพบ(but
for you to discover).
ถ้าคุณรู้จริงๆถึงวิถีที่คุณเป็น(if you
really knew the way you are)สิ่งทั้งหลายก็คงจะมีสติ/เหตุผลกันปกติขึ้น(things
would be sane).
แต่คุณเห็นมั้ย, คุณไม่สามารถทำนั่นได้(you
can’t do that). คุณไม่สามารถทำการค้นพบนั่นได้(you
can’t make that discovery), เพราะว่าคุณอยู่ในวิถีของคุณเอง(because
you on tour own way).
ยิ่งนานเท่าไหร่ที่คุณคิดว่าฉันคือฉัน(so
long as you think I’m I), ก็ยิ่งนานเท่าที่อุปาทาน/ภาพลวงนั้นปิดกั้นมันไว้(so
long as that hallucination blocks it).
และอุปาทาน/ภาพลวงนั้นหายไปได้(and
the hallucination disappears),
ก็แต่เพียงในความตระหนักรู้ของมันเองไร้ประโยชน์(only in the
realization of its own futility),
เมื่อท้ายที่สุดคุณได้มองเห็น(when at last you see)ว่าคุณไม่สามารถทำได้(you
can’t do it). คุณไม่สามารถทำตัวคุณเองให้เปลี่ยนแปลงได้(you
cannot make yourself over).
คุณไม่สามารถกำกับควบคุมจิตของคุณเองได้(you
cannot control your own mind), เห็นมั้ย,
เมื่อคุณพยายามที่จะควบคุมจิตนั้น(when you try to control the
mind).
ครูสอนโยคะมากมาย(a
lot of yoga teachers)พยายามทำให้คุณที่จะควบคุมจิตของคุณเองเป็นหลักใหญ่(try
to get you to control your own mind mainly)เพื่อที่จะพิสูจน์ต่อคุณว่าคุณไม่สามารถทำมันได้(to
prove to you that you can’t do it).
ไม่มีอะไรที่คุณรู้ก็คือ(there’s
nothing you know),
คนโง่ผู้ที่ยืนกรานในความโง่เขลาของตนเองจะกลายเป็นผู้ฉลาดได้(a fool
who persists in his folly will become wise).
ดังนั้นพวกเขาจึงทำอะไรก็คือพวกเขาเร่งความโง่เขลานั้นให้เร็วขึ้น(so
what they do is they speed up the folly).
แล้วคุณก็ได้การมีสมาธิ(and
so you get concentrating).
แล้วคุณก็สามารถมีจำนวนมากอย่างแน่ชัดในความสำเร็จอย่างผิวเผินตื้นๆและย่นย่อ(can
have a certain amount of superficial and initial success)โดยกระบวนการอย่างทั่วไปที่เรียกกันว่าสะกดจิตตนเอง(by
a process commonly called self hypnosis).
และคุณสามารถคิดว่าคุณกำลังสร้างความก้าวหน้า(and you can think you’re
making progress), และครูที่ดีจะปล่อยให้คุณไปตามหนทางนั้นสักระยะหนึ่ง(a
good teacher will let you go along that way for a while)จนกว่าเขาโยนจริงๆใส่คุณด้วยอันหนึ่งว่า(until
he really throws you with one), ทำไมคุณกำลังมีสมาธิ(why
are you concentrating)?
นี่นะ,
ชาวพุทธทำกันในหนทางนี้(Buddhism works this way).
พระพุทธเจ้าบอกว่า, ถ้าคุณทุกข์, คุณมีความทุกข์เพราะว่าคุณมีตัณหา/ความอยาก(you
suffer because you desire). และความอยากทั้งหลายของคุณ(your
desires) นั้นคือไม่ว่า ไม่สามารถบรรลุได้(unattainable)หรือได้รับความผิดหวังอยู่เสมอ(always being
disappointed)หรืออะไรบางอย่าง(or something).
ดังนั้นถ้าตัดตัณหา/ความอยากออกไปได้(so
cut out desire)ดังนั้นสาณุศิษย์ดำเนินไป
ตามวิถีนั้นและพวกเขากระทืบลงบนความอยาก(stamped
on desire), กระโดดไปอยู่เหนือความ
อยาก(jumped on desire),
เชือดคอความอยาก(cut the throat of desire), และโยนความปรารถนาทิ้งไป(and
threw out desire). แต่เมื่อพวกเขาได้กลับมาและพระพุทธองค์ได้กล่าวว่า,
พวกเธอยังคงมีความอยากที่จะไม่อยากอยู่(but you’re still
desiring not the desire). หะหะ!
แล้วพวกเขาก็สงสัยใจว่าจะกำจัดพวกนั้นได้อย่างไร(how
to get rid of that).
แล้วเมื่อคุณเข้าใจนั่นว่านั่นเป็นสิ่งไร้สาระ(so
when you that that’s nonsense).
มันก็เป็นไปตามธรรมชาติที่จะเข้ามาท่วมท้นหาคุณด้วยความสงบ(there
naturally comes over you a quietness).
และการบอกว่า
คุณไม่สามารถควบคุมจิตของคุณได้(and saying you cannot control
your mind).
คุณตระหนักรู้ว่าไม่มีตัวควบคุม(you
realize there is no controller).
อะไรที่คุณเอามาเป็นผู้คิดของความคิดทั้งหลาย(what
you took to be the thinker of thoughts)ก็เป็นแค่หนึ่งในความคิดทั้งหลายนั้น(is
one of the thoughts).
อะไรที่คุณเอามาเป็นผู้รู้สึกของความรู้สึกทั้งหลายนั้น(what
you took to be the feeler of feelings)ที่เป็นอาการของกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรั้ง(which
was that chronic muscular strain)ก็เป็นแค่หนึ่งในความรู้สึกทั้งหลายนั้น(is
just one of the feelings).
อะไรที่คุณเอามาเป็นผู้รับรู้ประสบการณ์ของประสบการณ์รับรู้นั้น(what
you took to be the experiencer of experience)ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของประสบการณ์รับรู้นั้น(is
just part of the experience).
ดังนั้นจึงไม่มีอะไรใดเลย(so
there isn’t any)ของผู้คิดของความคิดทั้งหลาย(thinker
of thoughts), ผู้รู้สึกของความรู้สึกทั้งหลาย(feeler of feelings).
เราเข้าไปสู่ความผูกพัน(get
into that bind)เพราะว่าเรามีกฎไวยากรณ์อันหนึ่งhave
a grammatical rule), คำ-กิริยาทั้งหลายต้องมีคำ-กรรมทั้งหลายต่อท้าย(verbs
have to have subjects).
และเรื่องขบขันเกี่ยวกับเรื่องนั้นก็คือคำ-กิริยาทั้งหลายนั่น(that
verbs)เป็นกระบวนการทั้งหลาย(are processes)และคำ-กรรมทั้งหลาย(subjects)นั้นเป็นคำ-นามทั้งหลาย(nouns)ที่ถูกได้คาดว่าจะเป็น “สิ่ง-ทั้งหลาย(which are supposed to be
things)”.
แล้วคำ-นามหนึ่งเริ่มต้นคำ-กิริยาหนึ่งได้อย่างไร?(how
does a noun start a verb?)
สิ่งนั้นเอากระบวนการหนึ่งใส่เข้าไปในการกระทำได้อย่างไร?(how
does the thing put a process into action?)
อย่างชัดเลยว่า,
มันไม่สามารถทำได้(obviously, it can’t).
แต่เราก็มันดึงดันอยู่เสมอว่าเป็นเช่นนั้นว่ามีกรรมนี้(always
insist that there is this subject)ที่เรียกว่าผู้รู้(the
knower). และไม่มีผู้อื่นรู้แล้วก็ไม่สามารถเป็นการรู้ได้(and
without no other can’t be knowing).
เอาละ,
นั่นเป็นแค่กฎของไวยากรณ์อันหนึ่ง(a grammatical rule). มันไม่ได้เป็นกฏของธรรมชาติอันหนึ่ง(isn’t a rule of
nature).
ในธรรมชาติ,
มีแค่การรู้(in nature, there’s just knowing).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น