หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

ลักษณะที่น่าอัศจรรย์บางประการของพุทธศาสนาอย่างเถรวาท โดย : ภิกขุพุทธทาส อินทปัญโญ



ลักษณะที่น่าอัศจรรย์บางประการ
ของพุทธศาสนาอย่างเถรวาท
PUBLIC  LECTURE  ON  SOME  OUTSTANDIING
ASPECTS  OF  THERAVADA  DOCTRINE
โดย  :  ภิกขุพุทธทาส  อินทปัญโญ
BY    :   Bhikku  Buddhadāsa  indaphanna

- :       ปาฐกถาธรรมพิเศษเป็นภาษาอังกฤษ ของ ท่านพุทธทาสภิกขุ ในที่ประชุมฉัฏฐสังคายนา
         ครั้งที่ 2 ณ กรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า(เมียนม่าร์) เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2488  ตาม
         คำเชิญของอดีตนายกรัฐมนตรีอูนุ. 
(จากหนังสือ หนังสือ “ดอกโมกข์” ฉบับพิเศษ ชุด พุทธทาสวจนา  สืบทศวรรษพุทธทาส-
ภิกขุ “บัลลังก์ธรรมรถ เหนือแผ่นดินพุกาม”  ภาคผนวก : พุกามแผ่นดินสี่แสนเจดีย์,
สัมพันธ์ ก้องสมุทร : บรรณาธิการ

       เพื่อนร่วมการเกิด แก่  เจ็บ  ตาย  ทั้งหลาย!
          ข้าพเจ้า   ขอโอกาสเพื่อแสดงธรรมกถานี้  ในฐานะเป็นเครื่องหมายแห่งการแสดงความเคารพสักการะ  ของประชาชนชาวไทยทั้งปวง ต่อความยิ่งใหญ่และสง่างาม ของการทำฉัฏฐสังคายนา ในความอำนวยการของสภาพุทธศาสนาแห่งสหภาพพม่า  ภายใต้ความอุปถัมภ์ของ พณฯท่าน อัคคมหาถิริถุธัมมะ ดร.บา อู และคณะรัฐบาลของ พณฯท่าน.
          สิ่งแรก   ที่ข้าพเจ้าจะกล่าวแก่ท่านทั้งหลายในบัดนี้  ก็คือความรู้สึกปีติยินดีของผองพุทธบริษัทชาวไทยทั้งบรรพชิตและฆราวาส  ในการที่ปวงชนชาวพม่าได้พากันทุ่มเท กำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ และอื่นๆในการประกอบการทำฉัฏฐสังคายนา  อันประเสริฐครั้งนี้, เพื่อสักการะบูชาความยิ่งใหญ่และสูงส่งของพระพุทธศาสนาที่ล่วงกาลมาถึงวาระที่จะครบ 2500 ปี.  การทำเพื่อความบริสุทธิ์ผุดผ่อง  และความยั่งยืนมั่นคง ของหลักธรรมแห่งเถรวาทเช่นนี้  อย่าว่าแต่มนุษย์ทั่วไปเลย  แม้แต่ทวยเทพในแดนสวรรค์  ซึ่งกำลังเพลิดเพลินอยู่ในกามสุข ก็จักต้องหยุดการทำเช่นนั้นชั่วคราว  เพื่อมาทำอนุโมทนาสาธุการต่อกิจการของเราด้วย  โดยไม่ต้องสงสัยเลย.

          สิ่งถัดมา   ที่เป็นคุณประโยชน์ในการกล่าว  ก็คือความภาคภูมิใจ  ในการที่ประเทศทั้งสองของเรานี้  ยังคงเป็นเหมือนป้อมค่ายอันมั่นคง  ของลัทธิเถรวาทแต่ต้นมาจนบัดนี้.  แท้จริง  ลัทธิเถรวาทในผืนแผ่นดินไทย  ตามภูมิศาสตร์ในปัจจุบันนั้น ได้เคยประสบวิกฤติการณ์ ในการปะทะกันกับลัทธิอาจาริยวาท หรือมหายาน ถึงสองสมัยกล่าวคือ ในสมัยศรีวิชัยทางตอนใต้สุดของประเทศไทยครั้งหนึ่ง  และ  ในยุคสมัยที่กษัตริย์ผู้นับถือลัทธิมหายานจากต่างประเทศ  เข้ามายึดครอง  ในบางส่วนทางภาคกลางของประเทศ  อันเรียกกันว่าสมัยลพบุรีนั้น  อีกครั้งหนึ่งในระยะเวลาอันไล่เลี่ยกันคือ ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11 ถึงพุทธศตวรรษที่ 17.  แต่อย่างไรก็ตาม  ลัทธิเถรวาทในประเทศพม่า  ข้าพเจ้าคิดว่าคงไม่เคยประสบโชคชะตาอันขลุกขลักเช่นนี้.  หวังว่าเพื่อนพุทธบริษัทชาวพม่า  จักมีความเห็นใจพุทธบริษัทในประเทศไทย  ในข้อนี้  เป็นอย่างมาก.

          เรื่องถัดไปอีก   ก็คือความศักดิ์สิทธิ์อย่างน่าอัศจรรย์แห่งสัมพันธไมตรีในระหว่างประเทศของเราทั้งสอง.  มีคนกล่าวว่า  ประเทศไทยกับประเทศพม่านั้น  ในสมับบรรพบุรุษเคยวิวาทกันตลอดเวลา  แล้วจักมีไมตรีอันปราศจากความระแวง  ต่อกันได้อย่างไร.  ข้าพเจ้าต้องขอโอกาสหยุดสักนิดหนึ่งเพื่ออดกลั้นการยิ้มหัว  ในคำกล่าวข้อนี้.  จงคิดดูเถิด?  โดยแท้จริงแล้ว  กิเลสต่างหากที่ทำการวิวาทกัน, หาใช่เราไม่!  คนเรา  เมื่อถูกกิเลสครอบงำเสียแล้วนั้นไม่ได้เป็นตัวเรา  แท้ที่จริง.  แม้เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน  ก็ยังวิวาทกัน  ถึงกับฆ่ากันตาย  คู่สามีภรรยาที่รักกันอย่างยิ่งก็ยังวิวาทถึงกับเสียเลือดเสียเนื้อ  แต่หลังจากนั้นก็ยังมีทายาทสืบมาจากสามีภรรยาคู่นั้นได้อีกตั้งหลายคน!  ข้อนี้เป็นเพราะปัจจัยสำคัญอันเดียว คือความรักหรือไมตรี  อันมีรากฐานตั้งอยู่บนความเคารพในธรรมเป็นสื่อ, จึงไม่รู้จักสลาย.

          ในระหว่างประเทศของเราทั้งสองนั้น มีสัมพันธ์ปัจจัยอันประเสริฐ  ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือตัวหลักธรรมอันบริสุทธิ์แห่งเถรวาทนั่นเอง  เป็นเครื่องยึดหน่วงความรักฉันพี่ฉันน้อง  และสามารถทำลายความระแวงทั้งปวงแต่หนหลังให้หมดไปโดยสิ้นเชิง.  ไม่มีอะไรที่น่าชื่นใจสำหรับเรายิ่งไปกว่านี้อีกแล้วในโลกนี้!  ไม่มีอะไรในพิภพนี้  ที่น่าบูชายิ่งไปกว่าหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนา  ยังควบคุมหัวใจเราทั้งหลายอยู่  พายุอันร้ายกาจแห่งความอาฆาตจองเวร  จากทุกทิศทุกทางนั้น  จักไม่ก่อรูปขึ้นได้อีกเลย.  ขอให้เราจงพากันยึดมั่นหลักธรรมแห่งเถรวาทนี้  เป็นเครื่องคุ้มครองอันศักดิ์สิทธิ์  สำหรับเราโดยไม่ต้องมีการพิสูจน์ทดลองกันอีก  แต่อย่างใด.

          ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้  ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดแก่เราทั้งสองฝ่ายแล้วว่า  การเสียสละทุกอย่าง  ที่เราร่วมมือกันทำเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องของพระพุทธศาสนา อย่างเถรวาท  ไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจคนทุกคนในประเทศทั้งสองของเรา  นั่นแหละ  คือชีวิตของเรา!  ผิดไปจากนี้แล้ว  เราจักต้องตาย  ไม่ว่าในทางกาย หรือทางวิญญาณ, หรืออย่างน้อย  ก็จะได้รับความทุกข์เจียนตาย  โดยไม่ต้องสงสัยเลย.

          ลัทธิพุทธศาสนา ของบางนิกาย   ซึ่งเจือปนด้วยลัทธิพราหมณ์เป็นต้นนั้น  ย่อมไม่เหมาะสำหรับเราโดยแท้จริง  ข้าพเจ้าจึงได้ย้ำมากเป็นพิเศษ  ถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่อง  และความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของพุทธศาสนาชนิดอย่างเถรวาท,  ฉะนั้นการร่วมแรงร่วมใจกัน  ในการทำฉัฏฐสังคายนา  ซึ่งโดยเนื้อแท้  ย่อมเป็นการรักษารากฐานอันมั่งคงของหลักเถรวาทเรา  จึงเป็นเสมือนหนึ่ง  การมีคลังแห่งปัจจัย  อันเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณแห่งประเทศของเราทั้งสองโดยตรง  และของเพื่อนบ้านอื่นๆของเราทั้งโลก  โดยปริยาย.
          ข้าพเจ้าได้กล่าวอารัมภกถา  ถึงเรื่องอันเกี่ยวกับชีวิตและความตายของประเทศทั้งสองของเรา  ทั้งโดยตรงและโดยปริยาย  มาพอสมควรแก่เวลาที่จำกัดไว้ทั้งหมดเพียง 1 ชั่วโมงแล้ว.  ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงเนื้อหาของเรื่องที่จะกล่าวในวันนี้  กล่าวคือเรื่อง “ลักษณะที่น่าอัศจรรย์บางประการของเถรวาทเรา”  ต่อไปเท่าที่เวลาจะอำนวย.

          โปรดสังเกตว่าข้าพเจ้าจะกล่าวแต่เพียง  “บางประการ”  เท่านั้น, ข้อนี้เพราะว่า นอกจากเวลาจำกัดแล้ว  ความน่าอัศจรรย์ของลัทธิเถรวาทเรายังมีมากและลึกซึ้งยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร  จึงเหลือวิสัย  ที่ข้าพเจ้าจะนำมากล่าวให้หมดสิ้นได้.  แต่อย่างไรก็ตาม  ส่วนใด  ที่จะเป็นไปเพื่อความสุขสถาพรของมนุษยชาติโดยตรงแล้ว ข้าพเจ้าจะได้พยายามกล่าวถึงส่วนนั้น ก่อนส่วนอื่น.  หากข้อความตอนใด  ได้ทำให้เกิดความรำคาญ,  หรือยิ่งไปกว่านั้นแก่ท่านผู้ใดแล้วโปรดยกโทษให้  เพราะว่าเจตนาอันแท้จริงของข้าพเจ้าผู้กล่าวก็คือ  “เจตนาเพื่อเสริมสร้างสิ่งสวัสดีร่วมกัน”;  กล่าวคือ มุ่งหมายจะนำไปสู่ความเข้าใจตามหลักเกณฑ์ของเถรวาทเรา  อันถูกต้องแท้จริง เท่านั้น.

          บัดนี้ข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงความน่าอัศจรรย์ของความเป็นเถรวาทบางอย่าง บางประการ สืบไป ดังต่อไปนี้:-

(ก)                 พระพุทธศาสนาอย่างเถรวาท  เป็นลัทธินิกายที่โลกยอมรับ  ว่าประสบความสำเร็จในการรักษาหลักอันบริสุทธิ์ผุดผ่องดั้งเดิมไว้ได้  โดยมีหลักการ  ที่ยอมให้มีแต่การเพิ่มเข้า  เพียงเพื่อรักษาความเคร่งครัดของหลักเดิม  ไปตามเดิม  รังเกียจ  เกลียดกลัวการถอดถอนเปลี่ยนแปลง  แก้ไข  ของเดิม  แม้ในเรื่องเล็กน้อยที่สุด.

ในการกล่าวถึงความน่าอัศจรรย์ประการแรกของเถรวาทเรานั้น  ก่อนอื่นทั้งหมด  ควรจะได้ทราบกันเสียก่อนว่า  ในปัจจุบันนี้  เป็นที่เชื่อถือกันอย่างแน่นอนแล้วว่า  ไม่ว่าพุทธศาสนาลัทธินิกายไหน  ล้วนแต่มีพระไตรปิฎกเป็นของตัวเอง  และล้วนแต่มีสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาใหม่เรื่อยๆ  ตลอดเวลายุคแรกๆและยุคถัดมา  ด้วยกันทั้งนั้น.  ข้อนี้เป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่อย่างชัดแจ้ง  โดยไม่ต้องมีการพิสูจน์กันอีก.

สำหรับฝ่ายเถรวาทเรา  มีความแปลกประหลาดเป็นพิเศษ  ในข้อที่เราไม่มีหลักการ ที่ให้สิทธิพิเศษอันถูกต้องเพื่อการแก้ไขสิ่งต่างๆ ที่พระศาสดาทรงบัญญัติไว้แล้ว  ไม่ว่าจะเป็นข้อที่เล็กน้อยเพียงไร  หรือเพื่อประโยชน์อะไร  ทั้งๆที่พระพุทธองค์เองได้ทรงอนุญาตไว้  ให้แก้ไขสิ่ง
เล็กๆน้อยๆได้  ในวันที่จะเสด็จปรินิพพาน1, ความเป็นเถรวาทอันเคร่งครัดเช่นนี้ได้มีมาตั้งแต่ครั้งที่สงฆ์มีพระมหากัสสปเป็นประธาน  ได้ประกาศตั้งเป็นสถาบันขึ้นไว้ในฐานะเป็นความสำเร็จชิ้นสุดท้าย  แห่งการทำปฐมสังคายนา มาทีเดียว2  เพื่อเป็นเครื่องมือป้องกันการเพิกถอนแก้ไขทุกๆอย่าง  แม้จะเล็กน้อยเพียงไร.
สำหรับการเพิ่มเข้านั้น  หากเราจะมีบ้าง  ตามที่เชื่อกันเป็นส่วนมาก,  ก็มีแต่การเพิ่ม  เพิ่มคุ้มครองหรือสนับสนุนของเก่า  ให้ยังคงเคร่งครัด  หรืออธิบายหลักของเดิม  ไปตามแนวเดิม  ให้กว้างขวางออกไปเท่านั้น.  ของเดิม กับของเพิ่มเติม  ยังอยู่ในร่องรอยอันเดียวกันเสมอ.  ข้อนี้  ผิดจากหลักการของลัทธินิกายฝ่ายอื่นจากเถรวาท  ซึ่งมีการกระทำที่เป็นการแก้ไขของเดิมออกไปจากหลักเดิมตามมากตามน้อย เอาทีเดียว.

เถรวาทเรา  ไม่มีการเพิ่มเติมในลักษณะที่เป็นการงอกเงย  เรื่อยเปื่อยไปตามอำนาจของกาละเทศะ  หรือสิ่งแวดล้อมอย่างอื่น  จนกระทั่งสูญเสียหลักเดิม  เช่น  กลายกลับไปเป็นลัทธิที่มีพระเป็นเจ้า  หรืออาตมัน  โดยปริยายหรือโดยตรง  หรือยิ่งกว่านั้นถึงกับกลายกลับไปเป็นไสยศาสตร์  โบรม  โบราณต่างๆอีก.  เรายอมรับว่า  มีความขลาดเขลาต่อการกระทำเช่นั้น.  เรายินดีที่จะรับคำกล่าวว่าขี้ขลาดตาขาวต่อการกระทำเช่นนั้น  อย่างชื่นตา.  แต่ก็  เพราะความขลาดนี้เอง ที่ได้เป็น,  และกำลังเป็น  เครื่องช่วยรักษาความเป็นเถรวาทของเราไว้ได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง  ตั้งแต่ต้นมา.  ขอให้เรายังคงขลาดโดยทำนองนี้  กันสืบไปเถิด.  การเพิ่มของเรา แม้หากจะมีมากเพียงไรก็ตาม  ต้องเป็นเพียงการเพิ่ม  เพื่อเป็นบริวารแวดล้อม  หรือสนับสนุนของเดิม  ให้เด่นชัดเคร่งครัดยิ่งขึ้นถึงที่สุดเท่านั้น.

ถ้าเผอิญมีของผิดปลอม  ปนติดเข้ามาบ้างเพราะอำนาจเหตุการณ์บางอย่างบังคับ  ก็จะมาปราฏอยู่ในลักษณะที่เข้ากันกับเนื้อแท้ของลัทธิเดิมไม่ได้  โดยตัวมันเองเป็นเครื่องแสดงเอง.  พระพุทธองค์ได้ทรงวางหลักซึ่งเรียกกันว่า “มหาปเทสส์” ไว้อย่างเฉียบขาดสองหมวด, หมวดหนึ่ง สำหรับฝ่ายธรรม 3 และอีกหมวดหนึ่ง สำหรับฝ่ายวินัย4 เพื่อเป็นเครื่องวินิจฉัยความผิดถูก  ของสิ่งซึ่งเกิดเป็นปัญหาขึ้นทุกๆประการ.  ในที่สุด สิ่งที่ปนปลอมเข้ามาเหล่านั้น  เมื่อถูกพิสูจน์โดยหลักมหาปเทสนั้นแล้ว  ก็ตกอยู่ในสภาพที่ใครๆ อาจเห็นได้ชัดเจน  ว่าเป็นของแปลกปลอมเข้ามา  และจะร่วงหล่นไปเองในที่สุด.  แม้จะยังหลงเหลืออยู่ในคัมภีร์ใดบ้าง  ก็คงจะอยู่ในสภาพที่ไม่มีใครสนใจ,  เพราะลักษณะแห่งความขัดแย้งต่อหลักเดิมของมันนั่นเอง.

1มหาปรินิพพานสูตร,  มหา.  ที.  (10/178/141)
2บาลี  ปัญจสติกขันธ์  จุลวรรค  วินัยปิฎก.  (7/385/620)
3มหา.  วิ. (5/131/92)
4 มหาปรินิพพานสูตร.  มหา. ที (10/91/70)

นี้แล นับว่า เป็นความน่าอัศจรรย์ประการแรกของเถรวาท  และมีรากฐานอันมั่นคง  ตั้งอยู่บนพระพุทธวจนะในมหาปรินิพพานสูตร1  ที่ว่า

“ยาวกีวญฺจ  ภิกฺขเว ภิกฺขู  อปญฺญตฺตํ    ปญฺญเปสฺสนฺติ,  ปญฺญตฺตํ    สมุจฺฉินฺทิสฺสนฺติ, ยถาปญฺญตฺเตสุสิกฺขาปเทสุ  สมาทาย  วตฺติสฺสนฺติ, วุฑฺฒิเยว ภิกฺขเว  ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา  โน  ปริหานิ”  ดังนี้ ซึ่งมีใจความว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!  ภิกุทั้งหลาย  ยังไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ,  ไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว,  คงสมาทานศึกษาในวิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด  อยู่เพียงใด  ก็เป็นที่หวังความเจริญได้  ไม่มีความเสื่อม  อยู่เพียงนั้น”  ดังนี้.


(ข)               พุทธศาสนาอย่างเถรวาทมีอริยอัฏฐังคิกมรรคเป็นหลักสำคัญ  และเห็นกันได้ชัดอยู่แล้วว่า  เป็นหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกันอยู่  กับชีวิตมนุษย์โดยตรง, ซึ่งถ้าปราศจากหลักธรรมหมวดนี้เสียแล้ว  ไม่มีใครในโลกไหนๆก็ตาม  สามารถมีชีวิตอยู่เป็นปรกติสุขได้,  หรือสามารถดำเนินไป  จนลุถึงความรอดพ้นหรือนิพพานของตนได้.  ดั่งนั้น  จึงใช้เป็นหลักปฏิบัติได้  ทั้งเพื่อผลทางฝ่ายโลกิยะ  และโลกุตระ.

ขอให้ทุกคน  ถือเอาอริยอัฏฐังคิกมรรค  ในฐานะเป็นหัวใจของพุทธศาสนา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งของฝ่ายเถรวาท, โดยปราศจากความความลังเลจงทุกคนเถิด,  พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า “อยเมวาริโย  อฏฐงฺคิโก  มคฺโค  ฯลฯ  อทํ  วุจฺจติ  ภิกฺขเว  พฺรหฺมจริยํ, 2  -ภิกษุทั้งหลาย  เรากล่าวอริยมรรคมีองค์แปดนี้ว่า  เป็นตัวพรหมจรรย์”  ดังนี้, ซึ่งหมายถึงเป็นตัวพุทธศาสนา.

อริยมรรค  มีองค์แปดนี้  มิใช่อะไรอื่น  นอกไปจากการทำถูก  หรือพยายามทำให้ถูก  ในองค์ประกอบ  8  ประการ  คือ  ในความคิดเห็น,  ความมุ่งหมาย,  การพูดจา,  การทำงาน,  การเลี้ยงชีวิต,  การพากเพียร,  การมีเครื่องระลึกประจำใจ,  และการตั้งใจแน่วแน่  เป็นอันเดียวอันบุคคลจะต้องทำกัน  ในทุกๆแบบ  ของการดำรงชีพ  ในฐานะเป็นศิลปะแห่งการครองชีวิตนั่นเอง,  สิ่งนี้สิ่งเดียวเท่านั้นที่พอจะเรียกได้ว่า  พุทธศิลปะ  อย่างถุกต้องตรงตามความหมายของคำๆนี้.



1 มหาปรินิพพานสูตร,  มหา.  ที.  (10/91/70)
2 มหาวารวรรค.  สํ.  (ไทย  19/31/112)


เพราะเหตุที่หลักธรรม  หมวดนี้  อยู่ในวิสัยที่วิญญูชนตามปกติ  จะเข้าถึงได้1 นี่เอง  พระพุทธองค์จึงได้ตรัสว่า  อัฏฐังคิกมรรคนี้เป็น  เอหิปสฺสิโก  คือ  เปิดเผยให้แก่ทุกคน  หรือทุกคน ต้องมาดูและปฏิบัติ,  พระพุทธองค์ทรงยกย่องธรรมหมวดนี้  โดยเกียรตินามว่า  เป็น “หนทาง” 
หรือ  “กระแส”2 ซึ่งพื้นฐานของมัน  มีความลาดเอียงเทไปทางนิพพานอยู่ตามธรรมชาติ3  สามารถทำบุคคลผู้ก้าวลงไหลเลื่อนตรงไปยังพระนิพพาน  โดยไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้  อย่างน่าอัศจรรย์.  ดั่งนั้น  จึงจัดว่าเป็นทางแห่งนิพพานสำหรับทุกคนโดยแท้!

          องค์ประกอบประการแรก  กล่าวคือ  การปฏิบัติถูกต้องในทางความคิดเห็น  หรือเรียกได้สั้นๆ ว่า  ความเข้าใจอันถูกต้อง(สัมมาทิฏฐิ)นั้น  ย่อมประมวลเอาปัญญา หรือ ความเข้าใจอันถูกต้องทุกชนิด  เข้าไว้ทั้งหมด  เช่น  โลกุตตรปัญญา  ในเรื่องอริยสัจสี่ประการ4 อันเกี่ยวกับความทุกข์และความดับทุกข์โดยตรง,  เรื่องกฏแห่งการปรุงแต่งกันและกัน  เกิดขึ้นเป็นลำดับๆ ของสิ่งทั้งปวงซึ่งเรียกว่า กฏแห่งปกิจจสมุปบาท,5 เรื่องลักษณะอันเด็ดขาดตายตัว  ของสิ่งทั้งปวง ที่เรียกว่า  ไตรลักษณ์  คือ  อนิจฺจํ-ทุกขํ-อนตฺตา, และเรื่องกฏแห่งกรรม  หรือกฏแห่งเหตุและผล, ซึ่งทุกๆเรื่อง  เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว  จะนำให้เกิดผลอย่างเดียวกัน  กล่าวคือเกิด  นิพพิทา  ความหน่ายต่อโลกิยธรรมทั้งปวง;  ยิ่งกว่านั้น,  คำว่าสัมมาทิฏฐินี้ยังครอบคลุมตลอดลงไปถึงปัญญาอย่างโลกิยะ  ที่เป็นกุศลที่สามารถนำบุคคลเข้าถึงประโยชน์สุขอย่างโลก  ทุกชนิดอีกด้วย.

พระพุทธองค์ได้ตรัสเรียก  ความเข้าใจอันถูกต้อง(สัมมาทิฏฐิ)  ไว้อย่างเร้าใจคนทุกคน  ว่า “รุ่งอรุณแห่งกุศลธรรมทั้งมวล”.5  และอีกอย่างหนึ่งว่า “รุ่งอรุณแห่งการแทงตลอดจตุราริยสัจ”6.  ซึ่งเป็นนิมิตอันแสดงล่วงหน้าว่านิพพาน  หรือ  ความดับสนิทของปวงทุกข์  จักต้องมีมาโดยแน่แท้ดุจเดียวกับรุ่งอรุณในเวลารุ่งสาง  เป็นนิมิตของเวลาเที่ยงวัน  อันจักตามมาอย่างแน่นอนฉันใดก็ฉันนั้น.

1  มหาโควินทสูตร,  มหา.  ที.  (ไทย 10/285/234).  และ มหาวาร.  สํ (19/23/69) และ  จตุก.  อํ  
    (21/329/245)
2  มหาวาร.  สํ.  (ไทย.  19/434/1430).
3  มหาวาร.  สํ.  (ไทย.  19/49/189 และ ฯลฯ)
4 บาลีมหาสติปัฏฐานสูตร, มหา.  ที. (ไทย  10/348/299).
5  นิทาน.  สํ.  (ไทย.  16/21/44),  และ ติก.  อํ.  ( ไทย.  20/227/501).
6  และ3 ทสก.  อํ (ไทย.  24/254/121).  และ มหาวาร. สํ (ไทย. 19/552/1720)

                   ทุกคนอาจมองเห็นความจริงในข้อที่ว่า  เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ  หรือความเข้าใจอันถุกต้อง  อย่างสมบูรณ์แล้ว  ความมุ่งหมายอันถูกต้อง  การพูดจา  การทำการงาน  การเลี้ยงชีวิต  การพยายาม  การมีสติครองตน  และการปักใจแน่ว  อย่างถูกต้อง  ย่อมเกิดตามขึ้นมาโดยลำดับ  และต่อนั้นไป  ก็จะลุถึงความพ้นทุกข์ทุกประการได้ในเวลาอันควร.  ความจริงข้อนี้  มีกล่าวไว้ใน
บาลีอังคุตตรนิกาย1 ว่า “สมฺมาทิฏฐิสมาทานา  สพฺพํ  ทุกขํ  อุปจฺจคุ, - คนล่วงพ้นความทุกข์ทั้งปวงได้  ด้วยการสมาทานสัมมาทิฏฐิ”  ดังนี้.  ดั่งนั้น  พระองค์จึงทรงยกย่องสัมมาทิฏฐินี้  ว่าเป็น
“รุ่งอรุณของความรอดพ้น” ผล  จึงเท่ากับว่าพระองค์ได้ทรงประทานความหวังอันใหญ่หลวงไว้กับพวกเรา อย่างน่าอัศจรรย์,  เราควรพยายามรีบบำเพ็ญสัมมาทิฏฐิ  อันเป็นองค์ประกอบองค์แรก  ของอริยมรรคนั้น  ด้วยความขยันขันแข็งและซึมทราบ  ในพระกรุณาคุณจริงๆ.
          ความหวังอันใหญ่หลวงนั้น  คือความจริงที่ว่าเมื่อใด  เราเพ่งพิจารณาอย่างจริงจัง  เพื่อให้เกิดความเห็นแจ้ง  ที่เรียกให้ถูกต้องในทีนี้  ว่าสัมมาทิฏฐิ  ชนิดที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น  เมื่อนั้นเราจะได้สมาธิประเภทเดียวกันกับที่เรียกว่า  อนันตริยสมาธิไม่มากก็น้อย  พร้อมกันในขณะนั้น  โดยไม่ต้องเจตนา  และในลักษณะที่มีส่วนสัดสมกันกับการเห็นแจ้งนั้น  ทุกคราวไป.

          ตามกฏธรรมชาติแล้ว  ไม่มีผู้ใดสามารถเพ่งพิจารณาสิ่งใด  โดยปราศจากสมาธิที่เกิดขึ้นเอง,  ถ้าเป็นการเพ่งของสัตว์ตามธรรมชาติธรรมดา, สมาธิที่พลอยเกิดนั้น ก็เป็นอย่างธรรมดา,  ถ้าเป็นการเพ่งพิจารณาอย่างมีระเบียบและตามหลักวิชา  สมาธิที่พลอยเกิดนั้นก็ต้องเป็นอย่างมีระเบียบและเป็นหลักวิชาไปตามกัน.  เมื่อใด เพ่งพิจารณาเพื่อสัมมาทิฏฐิ  ให้ยิ่งขึ้นไปอีก  เมื่อนั้นสมาธิก็เบ่งตัวสูงขึ้นไปตาม จนเป็นบาทฐานที่เพียงพอแก่การเกิดของสัมมาทิฏฐิอย่างเป็นอัตโนมัติ.

          ถ้าปราศจากสัมมาทิฏฐิเสียแล้ว  เราก็ไม่ทราบว่าจะเพ่งพิจารณาได้อย่างไรกัน.  กำลังของสัมมาทิฏฐิที่มีอยู่ก่อน  นั่นแหละ  จะส่งเสริมกำลังของสมาธิที่กำลังทำหน้าที่ของมันอยู่ตลอดเวลา.  แล้วสมาธิที่เกิดขึ้นใหม่  ก็จะย้อนกลับไปส่งเสริมกำลังของสัมมาทิฏฐิที่กำลังจะเกิดใหม่  โดยส่วนสัดของกำลังที่เหมาะสมกันอีก.  เกี่ยวกับความจริงเรื่องนี้  พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า  “นตฺถิ ฌานํ  อปญฺญสฺส,  นตฺถิ  ปญฺญา  อฌายิโน, ยมฺหิ  ฌานํ    ปญฺญา  จ,    เว  นิพฺพานสนฺติเก.  –ฌาน  ไม่มีแก่ผู้ที่ไม่มีปัญญา,  ปัญญา  ไม่มีแก่คนที่ไม่มีฌาน,  ผู้ใดมีทั้งฌานและปัญญา  ผู้นั้น อยู่ใกล้นิพพาน”2 ดังนี้. ของสองอย่างนี้  เป็นปัจจัยเกื้อกูลต่อกัน,  ดั่งนั้น  จึงไม่มีใครสามารถมีสมาธิโดยไม่มีปัญญา  หรือมีปัญญาโดยไม่มีสมาธิ.  ของสองสิ่งนี้ส่งเสริมกันและกันอยู่  อย่างอัตโนมัติ  คือเป็นกันเอง.
         
1 จตุก. อํ  (ไทย.  21/68/49)
2 บาลีภิกขุวรรค,  ธ.  ขุ  (ไทย.  25/65/35)

ความเป็นอัตโนมัติ  หรือเป็นไปเอง  ในเรื่องนี้จะเห็นตัวอย่างได้  จากการยิงศร.  เมื่อคนจับคันศรและลูกศรขึ้น  เล็งตรงไปยังสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น  เขาไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งเจตนาเพื่อให้เกิดสมาธิ.  เจตนาเพื่อให้เกิดสมาธินั้น ย่อมเป็นไปเองตามธรรมชาติ  และพร้อมกันกับการเล็ง,  ถ้าความรู้ในวิธีที่จะยิงให้ถูกมีอยู่  อย่างแน่นแฟ้น  สมาธิในการเล็ง  ก็แน่นแฟ้นเอง.  ความรู้ หรือความแน่ใจ  ย่อมเพิ่มกำลังให้แก่สมาธินั้น  ตลอดเวลา, โดยทำนองเดียวกันนี้, ความเข้าใจอันถูกต้องในคุณค่าของความหลุดพ้นที่ตนมุ่งหมาย  ย่อมก่อให้เกิดกำลังแก่สมาธิ  โดยไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่นได้,  และตรงตามคำที่ตรัสว่า  “นตฺถิ  ฌานํ  อปญฺญสฺส” ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น.  ฉะนั้นจงพยายามระดมกำลังเพ่งพิจารณา  เพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิยิ่งๆขึ้นไปเถิด  มันจะดึงดูดให้เกิดสมาธิชนิดที่เพียงพอและเหมาะสม  แก่การที่จะใช้  เพื่อพิจารณานั้น  อยู่ในตัวเองและพร้อมกัน  นั่นเอง.  โดยปรกติ  ผู้ที่มีอนามัยดีมีสติปัญญา  ย่อมทำเช่นนั้นได้  อย่างน่าพอใจ

          สำหรับเรื่องเกี่ยวกับสมาธิ  ทั่วๆไป  นั้น  พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในบาลีอังคุตตรนิกาย1 ว่ามีอยู่ 4 ประเภทด้วยกัน คือ (1) สมาธิเพื่อการชิมความสุขอย่างสูงในปัจจุบันทันตาเห็นในชาติ นี้,  นี้  ได้แก่การเจริญรูปฌานสี่มีปฐมฌานเป็นต้น.  (2)  สมาธิเพื่อให้เกิด  ญาณทัสสะ  ซึ่งเป็นตาทิพย์ชนิดหนึ่ง, นี้  ได้แก่การเจริญอาโลกสัญญาและทิวาสัญญา.   (3) สมาธิเพื่อความสมบูรณ์ของสติ และสัมปชัญญะ,นี้  ได้แก่การเพ่งพิจารณาดูการเกิดขึ้น  การตั้งอยู่  และการดับไปของเวทนา  สัญญา  และวิตก.  (4) สมาธิเพื่อดับอาสวะทั้งสี่,นี้  ได้แก่การเพ่งพิจารณา  ดูการก่อขึ้น  และการสลายไปของเบญจขันธ์  อันประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน.
          จากเรื่องนี้ เราอาจเห็นได้ชัดว่า  ในบรรดาสมาธิทั้งสี่ประเภทนั้น  สมาธิประเภทที่สี่  ก็คือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา  หรือสัมมาทิฏฐิ  ตามที่กล่าวไว้ทั่วๆไป ไปในคัมภีร์นั่นเอง, การเจริญสมาธิประเภทนี้  เห็นได้ชัดทีเดียวว่า เป็นการเจริญปัญญาโดยตรง, ข้อนี้  ทำให้เห็นสมว่า คำว่า “ทำสมาธิ” คำนี้  มีความหมายกว้างกว่าที่เข้าใจกันอยู่ทั่วๆไป  ซึ่งมักจะหมายถึงกันแต่เพียงการทำรูปฌาน 4 อย่างเท่านั้น.  เพราะฉะนั้น สมาธิตามหลักแห่งการปฏิบัติที่แท้จริงนั้น  ไม่สามารถแยกจากปัญญา  หรือสัมมาทิฏฐิไปได้เลย.  สมาธิตามหลักของฝ่ายเถรวาท  จักต้องไปด้วยกันกับปัญญา  ที่มุ่งต่อจุดหมาย  คือวิมุติเสมอไป ไม่โดยเปิดเผย  ก็ต้องโดยเร้นลับ  โดยไม่มีทางจะเป็นอื่นไปได้.  มันไม่ใช่เป็นเพียงการนั่งสงบๆและติดต่อกันไปดังที่เข้าใจกันโดยมากเลย. !

          สำหรับสัมมาสมาธิ  ที่เป็นองค์ประกอบ  ของอัฏฐังคิกมรรคโดยตรง นั้น  ในบาลีทั่วไป  พระพุทธองค์ได้ตรัสระบุไว้เป็น  รูปฌานทั้งสี่, และทรงระบุไว้  ในบาลีมหาจัตตารีสกสูตร2 ว่า  ได้แก่เอกัคคตาจิต  ที่แวดล้อมล้อมและนำทางโดยสัมมาทิฏฐิ  ที่รู้ดีรู้ชอบ  ว่าอะไรผิดอะไรถูกฯลฯ

1 บาลี  โรหิตัสวรรค,  จตุก.  อํ.  (ไทย.  21/57/41).
2 บาลี  มหาจัตตารีสกสูตร,  อุปริ, ม.  (ไทย.  14/180/253)


เป็นต้น.  เพราะฉะนั้นสมาธิ  ที่จะมีลักษณะว่า เป็น “สัมมา” ไปได้นั้น  จักต้องอาศัยกำลังของสัมมาทิฏฐิ  เสมอไป, ถ้ามิฉะนั้นแล้ว  รูปฌานทั้งสี่นั้น  จักตกไปเป็นรูปฌานของฝ่ายลัทธิๆอื่นๆเช่นดาบส เป็นต้น, ไม่สามารถจะเป็นองค์ประกอบของอัฏฐังคิกมรรคไปได้  และไม่สามารถนำไปสู่จุดหมายปลายทางของพุทธบริษัท  กล่าวคือ  นิพพาน ได้.  จากข้อเท็จจริงอันนี้ ย่อมเห็นได้ว่า  สัมมาทิฏฐิ กับ สัมมาสมาธินั้น  จักต้องควงแขน  ไปไหนไปด้วยกันตลอดเวลา  จึงจะเป็นหลักธรรมอันถูกต้องของฝ่ายเถรวาทเรา.

          ข้อที่น่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้นอีก  ก็คือว่า  เมื่อใด สัมมาทิฏฐิ  หรือ  ความเข้าใจอันถูกต้อง  กำลังทำหน้าที่อยู่อย่างดีแล้ว  จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นเลย  ในการเจริญองค์แห่งมรรค  ที่เหลืออยู่อีก 6 องค์1  กล่าวคือ  สัมมาสังกัปโป-ความมุ่งหมายอันถูกต้อง,  สัมมาวาจา-การพูดจาอันถูกต้อง,  สัมมากัมมันโต-การทำการงานอันถูกต้อง,  สัมมาอาชีโว-การดำรงชีพอันถูกต้อง,  สัมมาวายาโม-การพยายามอันถูกต้อง,  และสัมมาสติ-การมีสติเครื่องครองตัวอันถูกต้อง,  ธรรมชาติของสัมมาทิฏฐินั้น  ย่อมรู้สิ่งทั้งปวงดี  ว่าอะไรถูกอะไรผิด, อะไรทำได้  อะไรไม่มีทางที่จะทำได้, อะไรมีผลควรทำ  และอะไรไม่มีผลคุ้มค่าของการทำ, อะไรต้องทำอย่างไร ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น.  และยิ่งไปกว่านั้นอีก  ก็คือว่า  อำนาจความเห็นอย่างถูกต้อง  ของสมาธินั้นเองช่วยผลักดันบุคคลให้ทำไปแต่ในแนวแห่งความรู้ที่ถูกต้องหลีกเลี่ยงไม่ได้.  ดั่งนั้น  ด้วยอำนาจของสัมมาทิฏฐินั้น  โดยนั่นเอง, คนเราจึงสามารถมี  และต้องมี  การมุ่งหมาย  แต่ในจุดหมายที่ถูกต้อง,  พูดจาแต่ในการพูดที่ถูกต้อง, ประกอบกรรม  แต่ในกรรมที่ถูกต้อง, ดำรงชีพแต่ในวิถีทางที่ถูกต้อง, ขวนขวายแต่ในความพยายามที่ถูกต้อง, ทำสติ  แต่ในทางแห่งการทำสติที่ถูกต้อง  โดยไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงเลยโดยสิ้นเชิง.  เพราะเหตุดังกล่าวนี้.  องค์ประกอบแห้งอัฏฐังคิกมรรค 6 องค์ที่เหลือนี้  จึงเป็นของไม่ยาก  ที่จะปฏิบัติ  เพราะอำนาจแห่งสัมมาทิฏฐิ  นั่นเอง.

                   เมื่อพิจารณาดูกันอีกทางหนึ่ง  ยังจะเห็นได้ต่อไปอีกว่า  องค์แห่งมรรคที่เป็นประเภทศีล  คือสัมมาวาจา  สัมมากัมมันโต  และสัมมาอาชีโว  นั้น  ต้องมีหิริโอตตัปปะ  และอินทรียสังวร  เป็นต้น  สนับสนุนให้เต็มเปี่ยม.  อาศัยอำนาจของสัมมาทิฏฐิอีก  นั่นเอง  ที่ธรรมะประเภทที่เป็นเครื่องสนับสนุนนี้  จะมีขึ้นได้โดยง่ายอย่างน่าอัศจรรย์.  แม้องค์มรรคประเภทสมาธิ  คือสัมมาวายาโม  สัมมาสติและสัมมาสมาธิเอง  ซึ่งต้องการธรรมะ  ที่มีหน้าที่สนับสนุน เช่น  กายปัสสัทธิ  เป็นต้น  ธรรมเหล่านั้นก็สามารถมีมาโดยง่าย  ด้วยอำนาจของสัมมาทิฏฐิดังกล่าวแล้ว  อีกนั่นเอง.  ดังนั้น สัมมาทิฏฐิ  จึงเป็นทั้งผู้ทำโปรแกรมการเดินทาง  และเป็นทั้งมัคคุ-

1 ทกส,  อํ.  (ไทย.  24/254/121)

เทศก์เสร็จไปในตัว  แก่องค์มรรคองค์อื่นๆทั้งสิ้น  จนถึงกับพระพุทธองค์ทรงประทานเกียรตินามให้  ในบาลีมหาจัตตารีสกสูตรว่า “ปุงพพฺคมา,1 –ผู้นำหน้า” ดังกล่าวแล้ว.  แม้ในองค์แห่งมรรคที่เป็นกลุ่มปัญญา  ได้แก่สัมมาสังกัปโป  และสัมมาทิฏฐิเอง  ก็เช่นเดียวกัน  จักต้องมีวิธีแห่งการบำเพ็ญให้เกิดขึ้น  ภายใต้การนำของสัมมาทิฏฐิด้วยกัน  ที่ก้าวล่วงหน้าไปแล้วนั้นเท่านั้น.

          โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ในกรณีที่โลกุตตรสัมมาทิฏฐิ  เป็นเจ้ากี้เจ้าการแล้ว  อำนาจของสัมมาทิฏฐิชนิดนี้  สามารถกำจัดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นทุกชนิดจากองค์มรรคที่เหลืออีก 6 องค์  ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น, หรือแม้ของทั้ง 7 องค์ คือรวมสัมมาสมาธิเข้าด้วยกัน.  ความเห็นแจ้ง  ที่เกิดจากโลกุตตรสัมมาทิฏฐิ  ในตัวอย่าง 4 ประเภท  ที่กล่าวแล้วข้างต้นนั้น  อาจสรุปให้เหลือสั้นๆแต่เพียงว่า “ไม่มีอะไรที่น่าเอา,  ไม่มีความเป็นเช่นใดที่น่าเป็น, สำหรับเรา”  ดังนี้  เมื่อจิตของผู้ปฏิบัติเต็มอยู่ด้วยสัมมาทิฏฐิที่มีหลักว่า “ไม่มีอะไรน่าเอา ฯลฯ” ดังนี้แล้ว.  มิจฉาทิฏฐิ  มิจฉาสังกัปโป  มิจฉาวาจา  มิจฉากัมมันโต  มิจฉาอาชีโว  มิจฉาวายาโม  มิจฉาสติ  และมิจฉาสมาธิ  ย่อมไม่มีช่องทาง  ที่จะเหลืออยู่ในจิตของบุคคลนั้นได้เลย.  และที่แน่นอนยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก  ก็คือว่า  จิตขนิดนั้น  จักน้อมไปเองจากความเป็นผิด (มิจฉัตตะ) ทุกๆประการ  ไปสู่ความถูก (สัมมัตตะ) ทุกๆอย่างในลักษณะที่สมบูรณ์, และในที่สุด, ก็จักดำเนินต่อไปจนกระทั่งลุถึง  “ความดับสิ้นเชิง” คือ  นิพพาน  อันเป็นที่สิ้นสุดเด็ดขาดของความทุกข์ทั้งปวง  พร้อมทั้งต้นเหตุของมัน  เพราะอำนาจความที่ไม่เกาะเกี่ยวผูกพันอยู่  ในสิ่งใดๆในโลกไหนๆ.  ความเป็นไปได้ถึงเพียง  มีขึ้นได้  เพราะอำนาจของสัมมาทิฏฐิที่ว่า  “ไม่มีอะไรที่น่าเอา, ไม่มีความเป็นเช่นใด  ที่น่าเป็น, สำหรับเรา”  ดังนี้  อย่างเดียวเท่านั้น.
         
ข้อที่น่าอัศจรรย์ที่สุด  เกี่ยวกับเรื่องนี้  ก็คือ อริยมรรคมีองค์แปดนี้  สามารถทำให้โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์!  เกี่ยวกับความจริงข้อนี้  พระพุทธองค์  ได้ตรัสไว้ในราตรีที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน  ว่า  “อิเม    สุภทฺทภิกขู  สมฺมา  วิทเรยฺยํ,  อสุญโญ โลโก  อรหนฺเตหิ  อสฺส, - ดูก่อนสุภัททะ!  ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้  พึงอยู่ได้โดยชอบไซร้  โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์”2 ดังนี้.  คำว่า อยู่โดยชอบ นั้น  หมายถึง ชอบ 8 ชนิด  ในอัฏฐังคิกมรรค นั่นเอง.  ข้อนี้เป็นเพราะเหตุว่า  พระองค์ได้ตรัสไว้ในคราวเดียวกันนั้นว่า  ในธรรมวินัยที่ไม่มี  อริยมรรคมีองค์แปด  ย่อมไม่มีสมณะที่ 1-2-3-4,  คือพระโสดาบัน  พระสกทาคามี  พระอนาคามี  และพระอรหันต์  ตามลำดับ, และว่า  อริยมรรคมีองค์แปดนั้น  มีในธรรมวินัยของพระองค์.3
1  มหาจัตตารีสกสูตร,  อุปริ.  ม.  (ไทย.  14/180/254).
2  บาลี  มหาปรินิพพานสูตร.  (ไทย.  10/176/138).
3  บาลี  มหาปรินิพพานสูตร.  (ไทย.  10/175/138).

          ทำไมอริยมรรคมีองค์แปด  จึงสามารถทำโลกไม่ให้ว่างเว้นจากพระอรหันต์เล่า?  ความจริงข้อนี้  เป็นสิ่งที่ทุกคนจะเห็นได้ไม่ยากเลย.  เมื่อบุคคลใดเป็นอยู่ด้วยความถูกต้อง 8 ประการ  มีความเข้าใจอันถูกต้อง  เป็นต้น  และมีความตั้งใจมั่นชอบเป็นที่สุด  ดังนั้นแล้ว  ความเป็นอยู่ของ
บุคคลนั้น  ย่อมเป็นการตัดอาหาร  ของกิเลสทุกชนิด  และทุกชั้น ไปในตัว,  กิเลส  ตกอยู่ในฐานะถูกล้อมปิดทางมาแห่งอาหาร (บอยคอต) หมดทั้งทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย  และใจ  จนผอมหนักเข้า  และตายไปเองในที่สุด.  เพียงแต่ทุกคน เป็นอยู่ ให้ถูกต้องตามหลักของ อัฏฐังคิกมรรค  เท่านั้น  กิเลสจะขาดอาหาร  และตายไปเอง  ตามลำดับ.  เมื่อกิเลสสิ้นไปในอันดับที่เรียกว่า สมณะที่หนึ่ง  คือโสดาบันแล้ว  ย่อมแน่นอนที่จะเลื่อนขึ้นไปจนถึงชั้นที่สี่คือพระอรหันต์  อย่างไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้.1 ฉะนั้นจึงนับว่าเป็นความหวังอันใหญ่ยิ่ง  สำหรับทุกคน, เพราะการพากเพียรทำ  เพียงเพื่อบรรลุความเป็นสมณะที่ 1 นั้นไม่เป็นการเหลือวิสัยสำหรับใครเลย.

          การทำจิตให้แจ่มอยู่ด้วยการพิจารณาจริงที่ว่า “ไม่มีความเพลิดเพลินอะไร  ที่ควรยึดถือ, ไม่มีอะไรที่น่าเอา, ไม่มีความเป็นอะไรที่น่าเป็น, สำหรับเรา” นั่นเอง จะทำให้จิต ผละจากสิ่งทั้งปวง น้อมไปสู่ “ความดับ ไม่มีอะไรเหลือ” อยู่เป็นปรกติ, เพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องผูกพันเอาไว้.  เมื่อจิตแน่วอยู่กับความจริงข้อนี้  ความเข้าใจก็ถูกต้องอย่างยิ่งอยู่แล้วในตัว  ความมุ่งหมายก็น้อมไปเพื่อนิพพาน  อยู่ในตัว วาจา, การงาน, การเลี้ยงชีพ, ความเพียร สติ  และสมาธิ  ก็ไม่มีทางที่จะผิด, กลับเป็นความถูกต้องถึงที่สุดอยู่ในตัว  และตลอดเวลา  เป็นมรรคมีองค์แปด  ที่สมบูรณ์อยู่จริง, ตลอดเวลาเหล่านั้นเป็นการตัดอาหารของกิเลสอยู่ตลอดไป  ในที่สุดก็มีกิเลสน้อย  จนเป็นสมณะอันดับใดอันดับหนึ่ง  หรือถึงอันดับที่สุดคือเป็นพระอรหันต์ได้ จริง.

          นี้  คือความมหัศจรรย์ข้อสุดท้าย  ของอริยมรรคมีองค์แปด  ที่ทำโลกให้ไม่ว่างจากพระอรหันต์  โดยวิธีที่ทุกคน  พอจะทำได้,  นับว่าเป็นข้อน่าอัศจรรย์  ประการที่สอง  ของเถรวาทเรา  ซึ่งน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง.

(ค)               หลักพุทธศาสนาอย่างเถรวาท  มีความมุ่งหมายที่จะอยู่เหนืออำนาจของการปรุงแต่งเสกสรรทุกชนิด  รวมทั้งอำนาจของสิ่งที่เรียกกันว่า  พระเป็นเจ้าด้วย  ซึ่งสรุปแล้ว  จำแนกได้เป็น 3 อย่าง  คือ  อำนาจการสร้าง  อำนาจการควบคุม  และอำนาจการทำลาย.  นิพพานซึ่งมีธรรมชาติเป็นอชาต-อภูต-อมต นั้น  เป็นสภาพที่อยู่นอกเหนืออำนาจ  ทั้งสามนั้น เถรวาทเราจึงถือว่าเป็นบรมธรรม.

คำว่า “พระเป็นเจ้า” ตามที่อธิบายไว้ในลักษณะต่างๆกัน  ในคัมภีร์ต่างๆ ของทุกๆลัทธินั้น  เมื่อนำเข้ามาจับกันกับหลักธรรมของพุทธบริษัทแล้ว  อาจสรุปได้เป็น 3 ประเภท  คือ   พระเป็นเจ้าผู้สร้าง,  พระเป็นเจ้าผู้ควบคุม,  และพระเป็นเจ้าในขณะที่ทำการสร้างโลก  และสิ่งต่างๆทุกชนิด,  ทำนองเดียวกับที่พระเป็นเจ้าผู้ควบคุม  ในขณะที่ ทำการควบคุม  ดูแลสิ่งต่างๆให้เป็นไปตามอำนาจ, และ พระเป็นเจ้าผู้ทำลายล้าง  ในขณะที่ทำโลกนี้ให้อันตรธาน  ไปอีกครั้งหนึ่ง  เป็นยุคฯ.

ตลอดเวลาที่อำนาจในการทำเช่นนั้น ยังเป็นไปเหนือจิตมนุษย์  หรือมนุษย์ยังมีอุปาทาน  เชื่อถือในความเป็นเช่นนั้นอยู่เพียงใด  เขาก็ยังจะต้องเป็นผู้ถุกสร้าง  ถุกควบคุม  และถุกทำลายล้าง  อยู่ได้เพียงนั้น  บางศาสนาได้มอบอำนาจทั้งสาม  นี้ไว้ในพระเป็นเจ้าองค์เดียว  และบางศาสนา  จำแนกให้แก่พระเป็นเจ้า  ตั้งสามองค์  หรือมากว่า.  แต่ข้อนี้  ไม่มีความสำคัญที่จะต้องคำนึงถึง.  ความสำคัญอยู่ที่ว่า จะมีพระเป็นเจ้าองค์เดียวหรือหลายองค์ก็ตาม  ผู้นับถือพระเป็นเจ้า  ย่อมมีหน้าที่ที่จะต้องบูชาและอ้อนวอนต่อพระเป็นเจ้านั้นๆ  โดยทำนองเดียวกันหมด.

การที่ต้องตกอยู่ในอำนาจ 3 ชนิด  ของสิ่งที่เรียกกันว่าพระเป็นเจ้าในทำนองนี้  แม้จะได้อยู่ในสวรรค์ของพระเป็นเจ้าเอง  พุทธบริษัทไม่ยอมถือว่าเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ  หรือ  เป็นอิสรภาพ  หรือเป็นความรอดพ้น  หรือเป็นความหมดทุกข์โดยสิ้นเชิง  ซึ่งเรียกว่านิพพาน  แต่อย่างใด,  การตกอยู่ใต้อำนาจทั้งสาม  ในลักษณะเช่นนั้น  ชื่อว่ายังตกอยู่ภายใต้อำนาจการเปลี่ยนแปลงยังจะต้องหมุนเวียนไป  ในวนของวัฏฏสงสาร,  ยังอยู่ภายใต้การควบคุมดลบันดาลของสิ่งอื่นๆอย่างน้อย  ก็ของความหวังในอันที่จะเกิดในโลกที่ตนปรารถนา  หรือการจำเป็นอยู่ในโลกที่ตนปรารถนานั้น  ไปตลอดกาลนิรันดร  โดยปราศจากอิสรภาพ  ในการที่จะ  “ไม่อยู่  หรือไม่เป็นอะไรเลย” ของจิตใจที่บริสุทธิ์แล้ว.
พุทธบริษัท  ผู้มุ่งหวังแต่จะออกไปให้พ้นอำนาจหมุนเวียน  ของการสร้าง  การควบคุม  และการทำลายล้างอย่างว้ำซาก  ไม่มีที่สิ้นสุดนั้น  ย่อมพิจารณาเห็นว่า  การได้เพียงสวรรค์  ในลักษณะเช่นนั้น  นั้น  ยังเป็นของที่เป็นเพบื้องต้นเกินไป  หรือต่ำเกินไป  ยังยอมรับนับถือไม่ได้,  เขาเหล่านั้นมุ่งมาดแต่จะได้  อิสรภาพที่ถึงที่สุด  ความรอดที่ถึงที่สุด  การทำลายความถูกผูกพันที่ถึงที่สุด  แม้แต่การถุกผูกพันให้จำต้องอยู่ในสวรรค์นิรันดรนั้นเองด้วย.  การปราศจากความผูกพันทุกชนิด  ที่ถึงที่สุดจริงๆนั้น  ย่อมนำมาซึ่งภาวะแห่งคงวามเกษม  (คือไม่มีอำนาจอะไรครอบงำ) อันสูงสุดแท้จริง, และทั้งเป็นชนิดที่อาจรับได้ในชีวิตชาตินี้เอง.  อำนาจดลบันดาล  ในการสร้าง  การควบคุม  และการทำลายล้าง  ย่อมไม่มีอิทธิพลใดๆเหนือจิตที่เป็นอิสระจากเครื่องผูกพัน  โดยประการทั้งปวงคือทั้งที่เป็นของมนุษย์และของสวรรค์.  ภายใต้การนำของพระพุทธองค์  พุทธบริษัทได้พิจารณาเห็นความจริง  ดังต่อไปนี้  คือ :-
(1)              อำนาจธรรมชาติในการสร้างสิ่งต่างๆที่ทำอะไรบางอย่าง  ให้ได้นามว่า  พระเป็นเจ้าสร้างนั้น  คือ อวิชชา  (สภาพที่ปราศจากความรู้ ว่าอะไรเป็นความทุกข์ และอะไรเป็นความดับสนิทของความทุกข์.)  ซึ่งทำหน้าที่ในการสร้างหรือปรุงแต่ง  (อภิสังขาร) สิ่งต่างๆขึ้น  โดยลำดับๆตามกฏในบาลีที่ว่า  “อวิชฺชา  ปจฺจย  สงฺขารา, สงฺขาร  ปจฺจยา  วิญฺญาณํ ฯลฯ”.  จนกระทั่งเกิดมีมนุษย์ที่เต็มอยู่ด้วยกิเลส  และทำโลกนี้  ให้ปั่นป่วนไปด้วยวิกฤติการณ์นานาประการ.

(2)               อำนาจธรรมชาติในการควบคุมสิ่งทั้งปวงที่ทำอะไรบางอย่าง  ให้ได้นามว่า  พระเป็นเจ้าผู้ควบคุมในทุกที่ทุกหนทุกแห่งนั้น  คือ  กฏแห่งกรรมของธรรมชาติ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่ง  ก็คือ  กฏแห่งความเป็นเหตุและผลอันเนื่องกัน  ซึ่งสัตว์ผู้ยังตกอยู่ภายใต้อำนาจความยึดถือในความดีความชั่ว  ได้ผูกพันตัวเองเข้าไว้กับกฏนั้นโดยอาศัยอำนาจแห่งอวิชชา ของสัตว์นั้นๆเอง  อีกนั่นเอง.

(3)               อำนาจธรรมชาติในการทำลายล้าง  ซึ่งทำอะไรบางอย่าง  ให้ได้นามว่า  พระเป็นเจ้าผู้ทำลายล้างนั้นเหมือนกัน,  ได้แก่อวิชชา  ที่อยู่ในรูปผู้ทำลายล้างนั้นเหมือนกัน,  ได้แก่อวิชชา  ที่อยู่ในรูปของตัณหาสามชนิด  ซึ่งทำสัตว์โลกให้เดือดพล่านอยู่ด้วยความทะยานอยากและความขวนขวายนานาชนิดและมึนเมาในกามคุณรวมทั้งในความมั่งมีและอำนาจวาสนาอย่างปราศจากหิริและโอตตัปปะ  จนกระทั่งเผชิญกันกับความพินาศของตนเอง.

พวกเถรวาทเรา  มีวิธีการที่ทำให้เกิดการเห็นแจ้งแทงตลอดว่า  อวิชชาอย่างเดียวนี่เอง,  แต่อยู่ในรูปลักษณะต่างๆกัน, ที่บันดาลให้เกิดอำนาจสร้างสรรค์ควบคุม  และทำลายล้าง  ขึ้นในโลกทุกโลก  แล้วผูกพันสัตว์ทั้งหลาย, ทั้งที่เป็นมนุษย์และมิใช่มนุษย์, ในโลกนั้นๆให้ติดอยู่ภายใต้อิทธิพลของอำนาจนั้นๆ  จนกระทั่งต้องวนเวียนอยู่ในกองทุกข์  ดังตกอยู่ในกระแสน้ำวนไม่มีที่สุด.

พวกเรายังได้เห็นแจ้ง  ต่อไปอีกว่า  หน้าที่ทางฝ่ายเรา  ผู้เป็นสัตว์ที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วนี้  ก็คือจะต้องทำการต่อสู้  เพื่อทำลายรากเหง้าของอำนาจที่ทำการสร้าง การควบคุม และการทำลายล้าง นั้นเสีย,  ซึ่งได้แก่อวิชชาดังกล่าวแล้วข้างต้นนั้นเอง.  เราไม่สามารถจะมอบตัวไว้กับความกรุณาของสิ่งที่เรียกกันทั่วๆไปว่า  พระเป็นเจ้าซึ่งมีหน้าที่แต่จะสร้าง  จะควบคุม  และจะทำลายล้าง  แล้วย้อนกลับไปตั้งต้นใหม่  ในรอบใหม่  ไม่มีที่สิ้นสุดเสียอย่างเดียว,  ถ้ารวมพระเป็นเจ้า  เป็นองค์เดียว  ก็คือ อวิชชา,  ถ้าแยกเป็น 3 องค์  ก็คือ  อภิสังขาร, กรรม, และตัณหา !
โดยการปฏิบัติตามอริยอัฏฐังคิกมรรค  อันพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนไว้  ดังกล่าวแล้วข้างต้นนั่นเอง  เราจะสามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่า  วิชชา  อันเป็นคู่ปรับของอวิชชาขึ้นมาได้, สิ่งนี้เอง  จะช่วยให้เรารู้เห็นสิ่งทั้งปวงถูกต้องตามความเป็นจริง  จนถึงกับจิตของเรามีโลกุตตรปัญญา  มองเห็นความจริงอันสูงสุด  ที่ว่า  “ไม่ว่าในโลกไหนๆไม่มีอะไรที่ควรยึดถือเอา,  แม้แต่สวรรค์ของพระเป็นเจ้า, ไม่ว่าในภพวิธานใดๆไม่มีภาวะอย่างไหน  ที่น่าไปเป็นไปอยู่, แม้ที่สุดแต่จะเป็น ตัวเรา เอง  ซึ่งแท้จริงเป็นเพียงมายาของความยึดถือว่าตัวตน  อันเกิดจากอวิชชาเท่านั้น.  ไม่มีความจำเป็นที่ตจะต้องเที่ยวสอดส่ายหาความเป็นอย่างใดๆ, แม้ที่สุดแต่การเป็นเทพเจ้าหรือสัตว์สวรรค์ของพระเป็นเจ้าเหล่านั้น.


“ความมี ตัวเรา ของเรานี้  ก็มิใช่อะไรอื่นนอกไปจากผลิตผลแห่งมิจฉาทิฏฐิของจิต.  เมื่อใดจิตหมดจดจากมิจฉาทิฏฐินี้แล้ว  เมื่อนั้นความรู้สึกว่า  ตัวเรา ก็หมดไป  เหลืออยู่แต่จิตที่บริสุทธิ์  ซึ่งเหนืออำนาจการเสกสรรบันดาลของพระเป็นเจ้าทั้งหลาย,  จิตที่บริสุทธิ์นั้นไม่ต้องการอะไร,  ไม่มีภาวะอย่างใด  ที่จะต้องเป็น,  ไม่มีภพ  ที่จะต้องอยู่,  ไม่มีสิ่งผุกพัน  ที่จะต้องเปลื้อง, และไม่มี ตัวเอง ที่จะต้องแบกต้องขน.  เพราะฉะนั้น  มันจึงม่มีความจำเป็นที่จะต้องการให้ใครช่วยเหลือ,  และทั้งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรนนิบัติใครที่ไหนเลย.”
“ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้  จิตที่บริสุทธิ์จึงอยู่นอกขอบเขตอำนาจการเสกสรรบันดาล  ของพระเป็นเจ้าทั้งหลาย  ไม่ว่าเป็นไปในทางสร้าง  หรือในทางควบคุม  หรือในทางทำลาย!  นี้แล  คือ  อิสรภาพอันสูงสุด,  ความรอดพ้นอันสูงสุด,  ความหลุดจากข้อผูกพันอันสูงสุด, และความดับทุกข์ทั้งปวงอันสูงสุด, ซึ่งมีได้  ในชีวิตชาตินี้เอง,  โดยไม่ต้องรอคอยโลกพระศรีอารย์  หรือสวรรค์ของพระเป็นเจ้าชนิดใด สิ่งนี้เป็นคุณประโยชน์อันสูงสุด  ที่มนุษย์อาจทำให้มีแก่ตนได้  ในชาติทันตาเห็นนี้  และสมตามพระพุทธวจนะที่ว่า  นิพฺพานํ  ปรมํ  วทนฺติ  พุทฺธา – พุทธบุคคลทั้งหลาย  กล่าวนิพพานว่าเป็นบรมธรรม 1  ดังนี้,  สิ่งนี้เป็นปัจจัตตัง  จะรู้ได้เข้าใจได้  ก้ต่อเมื่อเข้าถึงด้วยตนเอง;  และอยู่นอกเหนือความเข้าใจของกลุ่มชนที่ติดแน่นอยู่ในลัทธิที่เอาแต่จะแทรกฝิ่นให้แก่ประชาชนเสียท่าเดียว.”
พุทธศาสนาอย่างเถรวาท  ไม่มีเมืองพระเจ้าเมืองสวรรค์ที่ไหน  ไว้เป็นเหยื่อล่อมหาชน,  ไม่มีพระเป็นเจ้าที่เป็นตัวเป้นตน  หรือสิ่งใดๆอื่น  สำหรับให้คนยึดมั่น,  นอกจากมีแต่พระรัตนตรัย  กล่าวคือ  ภาวะแห่ง  ความสะอาด-สว่าง-สงบ ของจิตที่บริสุทธิ์  จริงๆแล้ว  ในภายในของบุคคลนั้นๆเอง  ตั้งอยู่ในฐานะแทนที่  พระเป็นเจ้าเพื่อให้เขาทำให้ประจักษ์ขึ้นในใจตน.  ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้เอง  พุทธศาสนาอย่างเถรวาทเรา  จึงอยู่ในฐานะที่ใครๆ ไม่สามารถจะจัดเข้าไว้ในกลุ่มที่เป็น  “ยาเสพติดของประชาชน” ได้แต่อย่างใดเลย.

งานธรรมฑูต  ของลัทธิเถรวาท  สามารถดำเนินไปได้ทั่วโลก  โดยปราศจากกองทัพ  และปราสจากจากเหยื่อล่อหรือสินจ้างใดๆตลอดถึงพิธีรีตองอันครึกครื้น  สวยงามต่างๆในทางวัตถุนิยม  แต่สามารถดำเนินไปได้  ด้วย รสแห่งธรรมปฏิบัติ  ที่มีให้ชิมล่วงหน้าทันที  ที่แม้แต่ลองปฏิบัติ ;  หรือด้วยอำนาจความมีเหตุผล  อันอาจเป็นที่เข้าใจได้  ด้วย รสแห่งธรรมปฏิบัติ  ที่มีให้ชิมล่วงหน้าทันที  ที่แม้แต่ลองปฏิบัติ ;  หรือด้วยอำนาจความมีเหตุผล   อันอาจเป็นที่เข้าใจได้ 
1 บาลีมหาปทานสูตร  มหา,  ที.  (ไทย.  10/57/54)
ไปตั้งแต่แรก เริ่มได้ยินได้ฟังทีเดียว  นั่นเอง.  ประวัติศาสตร์  แห่งสากลศาสนาของโลกทุกยุคทุกสมัยเป็นเครื่องพิสูจน์อันเพียงพอ  ในข้อนี้.

          นี่แหละ  คือความน่าอัศจรรย์ประการที่สามของลัทธิเถรวาท  ที่สามารถแยกตัวเองออกมาเสียได้  จากกลุ่มของการเป็น  “ยาเสพติดของประชาชน”  ดังกล่าวแล้ว.

(ง)              เถรวาทเรา  มีพระรัตนตรัย  ชนิดที่เป็นของในภายในของตนเอง  เป็นที่ตั้งแห่งการเข้าถึงด้วยปัญญา  ในลักษณะแทนที่แห่งพระเป็นเจ้าในภายนอก  ของลัทธิอื่นๆ  ซึ่งยึดกันด้วยภักดีอย่างเดียว,  ดังนั้น  จึงมีแต่ “พระเป็นเจ้าสำหรับปัญญา”  ไม่ใช่พระเป็นเจ้าสำหรับความภักดี!

พระรัตนตรัยแห่งลัทธิเถรวาทโดยเฉพาะ  ซึ่งกล่าวได้ว่าอยู่ในฐานะแทนที่พระเป็นเจ้าในลัทธิอื่นๆนั้น  มีหลักที่จะต้องพิจารณาให้เห็นชัด  เป็น 2 ความหมายด้วยกัน  ดังต่อไปนี้ :-
ความหายชั้นนอก   ในตอนต้นๆสำหรับผู้แรกศึกษานั้น  พระรัตนตรัยมีถึง 3 อย่างโดยจำนวนคือ (ก) พระพุทธเจ้า  หมายถึงผู้ที่ได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง  แล้วทรงสอนสิ่งที่ได้รู้แจ้งนั้น  แก่ผู้อื่น.  (ข) พระธรรมเจ้าหรือสัจจธรรม  อันพระพุทธเจ้าได้ตัรสรู้แล้วทรงสอนนั้นเป็นสิ่งที่ต้องสอน  ต้องปฏิบัติ  ต้องทำให้แจ้ง  เพื่อความรอดพ้นของบุคคลที่เข้ามาปฏิบัตินั้นเอง.  (ค) พระสงฆ์เจ้าคือหมู่ชนที่ได้ฟังพระองค์สอน  แล้วเข้าใจ  ปฏิบัติแล้วเห็นแจ้งในสิ่งๆเดียวกันกับที่พระองค์ทรงเห็น  และโดยทำนองเดียวกันกับพระองค์ทรงทำมา.
ถ้ากล่าวโดยสรุปแล้ว  ก็คือ  พระพุทธเจ้า  เป็นผู้ตรัสรู้แล้วสอนพระธรรม,  พระธรรม  ทั้งที่อยู่ในรูปของปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ  เป็นสิ่งทึ่ต้องทำให้เห็นแจ้งแล้วสอนสืบๆกันไป,  พระสงฆ์  คือ  หมู่ชนที่ประพฤติตามพระพุทธเจ้า  เพื่อผลอันเดียวกัน.  รัตนะทั้งสาม  ในลักษณะที่กล่าวนี้อาจเรียกได้,  หรืออย่างน้อยที่สุด ก็อาจขนานนามให้กรณีนี้  ว่า “พุทธิก-ตรีมูรติ”, หรือพระเป็นเจ้าใน 3 ปรากฏการณ์, ซึ่งเมื่อกล่าวตามความคิดของพุทธบริษัทเรา  โดยเทียบกับลัทธิอื่นแล้ว  ก็คือ  “พระเป็นเจ้า” (ซึ่งในกรณีนี้ ได้แก่พุทธภาวะ)  1. สิ่งที่สามารถทำให้อะไรบางอย่าง ได้นามว่า “พระเป็นเจ้า” และทำชนบางพวกให้เข้าถึงความเป็นอันเดียวกัน  “พระเป็นเจ้า” 1. และหมู่ชนที่สามารถเข้าถึง หรืออาจเข้าถึงโดยแน่นอนข้างหน้า ในความเป็นอันเดียวกันกับ “พระเป็นเจ้า” 1.  รวมเป็น 3 อย่างด้วยกัน ดังนี้.

แต่ใน  ความหมายชั้นลึก  สำหรับผู้ที่มีความเห็นแจ้ง  และมีความรู้สึกสูงแล้วนั้น  พระรัตนตรัยมีเพียงอย่างเดียว  โดยถือเอาคุณสมบัติภายในเป็นประมาณตามหลักที่ว่า  “เอกีภูตมฺถโต – โดยอรรถ  อันลึกซึ้งแล้ว  รัตนะทั้งสาม เป็นของอย่างเดียวกัน” ดังนี้, ของสิ่งเดียวนี้  ได้แก่ตัวสภาวะของ  “บรมเขมธรรม แห่งความ  สะอาด-สว่าง-สงบ,”  (อันพอจะเรียกให้สั้นลง เพื่อความสะดวกสืบไป  แต่เพียงว่า “3 ส”) นั้นเอง;  อันจะปรากฏแก่จิต  ในเมื่อจิตมีความบริสุทธิ์ถึงระดับใดระดับหนึ่ง  ตามที่กำหนดไว้แล้วเป็นชขั้นๆ, นี่แหละ  คือพระรัตนตรัยตัวแท้  หรือหัวใจของพระรัตนตรัยที่ทำคนบางคนให้ได้นามว่า พระพุทธเจ้า ; ทำหมู่ชนบางหมู่  ให้ได้นามว่าพระสงฆ์ ; และทำตัวเอง  ให้ได้นามว่าพระธรรม,  ตลอดกาลไม่มีกำหนด.

ทำไมข้าพเจ้าจึงกล่าวเช่นนี้  ในกรณีหลังนี้?  ทั้งนี้  เพราะอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่า  เมื่อพิจารณาดูถึงบุคคลที่ได้ตรัสรู้และสอน,  ก็จะพบว่า  ได้ตรัสรู้และทรงสอนเพื่อให้เข้าถึงภาวะแห่ง  “บรมเขมธรรม แห่ง 3 ส.”  ดังกล่าวแล้วข้างต้นนั่นเอง  และสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีประจำอยู่อยู่ในพระหฤทัยของพระองค์  ในฐานะเป็นแก่นสารทั้งหมดของพระหฤทัยนั้น  แต่อย่างเดียว  อยู่ตลอดเวลา,  และเพราะเหตุที่พระองค์ทรงมีสิ่งๆนี้ประจำอยู่ในพระหฤทัย  แทนที่จะมีกิเลส  พระองค์จึงได้พระนามว่า  “พระพุทธเจ้า”  ถ้าสิ่งๆนี้ไม่มีพระหฤทัยแล้ว,  พุทธภาวะก็หมดไป,  สิ่งสำคัญสิ่งนี้  อันได้แก่ภาวะแห่ง “บรมเขมธรรม” นั้นต่างหาก, หาใช่มนุษยภาวะไม่  ที่เป็นองค์แท้  ของพระพุทธเจ้า.  จิต  พร้อมทั้งกาย  อันเป็นฐานรองรับนั้น  เป็นเพียงเปลือกหรือเพียงภาชนะสำหรับรองรับภาวะแห่ง “บรมเขมธรรม” นั้นเท่านั้น.

เมื่อกล่าวกันถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทราบและทรงสอน,  ท่านทั้งหลายจะเห็นได้สืบว่า  สิ่งนั้น  ก็คือสิ่งๆเดียวกันกับตัวภาวะแห่ง  “บรมเขมธรรมของ 3 ส.”  ซึ่งพระองค์ทรงมีประจำอยู่ในพระหฤทัยของพระองค์เองตลอดเวลาอีกนั่นเอง.  ถ้ากล่าวอีกอย่างหนึ่ง ในกรณีนื้มีความสำคัญที่จะต้องมองให้เห็นชัด  อยู่ 3 ลัษณะคือ  :  (1) ในทางทฤษฎี  สิ่งที่สอนๆกันนั้น  ก็ได้แก่ทฤษฎีหรือวิธีการณ์  แห่งการที่จะได้มาซึ่งภาวะแห่ง “บรมเขมธรรม” นั้น.  (2) ในทางปฏิบัติ  สิ่งที่ปฏิบัติกันนั้น  ก็ได้แก่การปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งภาวะแห่ง  “บรมเขมธรรม” นั้นอีกนั่นเอง.  และ (3) ซึ่งเป็นขั้นสุดท้าย, ซึ่งข้าพเจ้าขอเรียกเอาเองว่า  “ในทางการเห็นแจ้ง”  เพราะไม่มีคำอื่นที่จะเรียกให้ดีกว่านี้ได้นั้น,  สิ่งที่มีสำหรับการเห็นแจ้งแทงตลอดนั้น  ก็คือ  ภาวะแห่ง “บรมเขม-ธรรมของ 3 ส.” นั้นโดยตรง.  โดยเหตุนี้  สิ่งที่พระองค์ทรงแสวง  ทรงพบ ทรงปฏิบัติ ทรงรับผลของการปฏิบัติ  แล้วทรงสอนสืบมานั้น  ก็ไม่มีอะไรอื่น  นอกไปจากภาวะแห่ง “บรมเขมธรรมของ 3 ส.” นั้น  ฉะนั้น  สภาวะแห่ง “บรมเขมธรรม” นั่นเอง  เป็นองค์ธรรมแท้  โดยใจความอันถุกต้อง, และมีปริยัติกับปฏิบัติ  เป็นเสมือนหนึ่งแผนที่  และการเดินทางไปตามแผนที่, และมีปฏิเวธ  หรือการเห็นแจ้งแทงตลอดนั้นเป็นการถึงที่สุดของการเดิน.

แม้เมื่อจะกล่าวกันถึงหมู่ชน  ที่ฟังธรรมเข้าใจแล้วปฏิบัติจนได้รับผลอย่างเดียวกันกับพระองค์นั้นเล่าหมู่ชนเหล่านั้น  ก็ได้แก่  หมู่ชนผู้มีความเข้าใจในการที่จะทำตนให้ลุถึงสภาวะแห่ง “บรมเขมธรรม” นั้น,  หมู่ชนผู้ปฏิบัติเพื่อลุถึงภาวะแห่ง “บรมเขมธรรม” นั้น,  และในที่สุดก็คือหมู่ชนผู้ที่ได้ลุถึงภาวะแห่ง “บรมเขมธรรม” นั้น  แล้วมีสิ่งๆนี้  เป็นแก่นสารประจำใจแต่อย่างเดียวไปจนตลอดชีวิต  อีกนั่นเอง.  สิ่งที่เขาเข้าใจ,  แล้วปฏิบัติและเห็นแจ้งแล้ว  อันมีอยู่ในใจเขา  นั้นต่างหากที่เป็นองค์พระสงฆ์เจ้าองค์แท้,  หาใช่ลำพังกายกับใจล้วนๆไม่.  ใจพร้อมทั้งกาย  ซึ่งเป็นเสมือนฐานรองรับนั้น  คงเป็นได้แต่เปลือก  หรือภาชนะ สำหรับรองรับสภาวะแห่ง “บรมเขมธรรม” นั้น  ไปตามเดิม.

เพราะเหตุดังกล่าวมา  ตัวสภาวะแห่ง “บรมเขมธรรม ของ 3 ส.”  ดังที่กล่าวมาแล้วนั้นเท่านั้น  ที่เป็นตัวแท้ของพระรัตนตรัยทั้งสามรัตนะคือ  พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.  ผู้ใดสามารถทำสภาวะแห่ง “บรมเขมธรรม” นั้นให้ปรากฏในใจของตนได้แล้ว  ผู้นั้นชื่อว่าได้มีพระรัตนตรัยอันแท้จริง  ชนิดที่ครบทั้ง 3 รัตนะ  พร้อมกันในคราวเดียว,  เพราะเป็นสิ่งที่มีลักษณะเป็น 3 ใน 1 อยู่ในตัวเอง  โดยเด็ดขาด, เป็นของผู้นั้นจริงๆโดยไม่มีทางจะเป็นอื่นไปได้.

สรุปความว่า  พระรัตนตรัย  ซึ่งนับเป็นสามโดยจำนวน  ตามความหมายชั้นนอกๆนั้นก็ดี, หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ที่นับเป็น  หนึ่ง โดยความหมายในชั้นลึก  ดังกล่าวแล้วข้างต้นก็ดี,  ย่อมตั้งอยู่ในฐานะแทนที่พระเป็นเจ้าของลัทธิอื่นๆในศาสนาอื่นๆ ที่มีการถือพระเป็นเจ้า  ในฐานะวัตถุสูงสุด  โดยทำนองเดียวกัน.  ผู้ที่เข้าถึงพระรัตนตรัยในลักษณะเช่นนี้ได้  ย่อมชื่อว่าเข้าถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ “พระเป็นเจ้า” แต่เป็นพระเป็นเจ้า  ตามความหมายของพวกพุทธบริษัท,  จึงปราศจากหน้าที่แห่งการสร้าง  การควบคุม  และการทำลายล้าง  สิ่งใดๆโดยสิ้นเชิง  นี่แหละคือ  “พระเป็นเจ้า” ของพวกเถรวาทเรา!  ถ้าหากเราประสงค์จะมีกะเขาบ้างและเป็นพระเป็นเจ้าสำหรับการเข้าถึงด้วยปัญญา  โดยวิธีที่กล่าวแล้วข้างต้น,  ไม่ใช่สำหรับยึดถือ  ด้วยความภักดีหรือความไว้ใจอย่างเดียว.

นี้แล  ความน่าอัศจรรย์ประการสี่  ของพุทธศาสนาอย่างเถรวาท.

เพื่อนร่วมการเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  ทั้งหลาย!  เวลาขอบการปาฐกถาจะได้สิ้นสุดลงแล้ว.  ข้าพเจ้าขอถือโอกาส  สรุปความว่า  ประเทศของเราทั้งสองจักต้องมีพระพุทธศาสนา  อย่างเถรวาท  ฮํฯฐณฺศู?(โ(ฮ.  ฌ)ฯฌ๕รื่องหล่อเลี้ยงชีวิตและวิญญาณ  พร้อมทั้ง  เป็นเครื่องรักษาสัมพันธไมตรี  พร้อมกันไปในตัว, ลัทธิเถรวาทเรามีความบริสุทธิ์อยู่ดังเดิมได้  ซึ่งในโลกนักศึกษาต่างยอมรับรอง  ในข้อนี้จึงยังคงเป็นสิ่งที่ควรเทิดทูนและยึดไว้,  อัฏฐังคิกมรรคเป็นหัวใจของลัทธิ  สามารถทำโลก  ไม่ให้ว่างจากพระอรหันต์  ในลักษณะที่ไม่เหลือวิสัยคนทุกคน  ซึ่งเมื่อทำให้ถุกวิธีแล้ว  จะง่ายดายเหมือนของเบาลอยน้ำออกไปสู่ทะเล.  เป็นหลักที่ใช้ถือปฏิบัติได้ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายโลกุตตระ.  เรามีความมุ่งหมายที่จะอยู่เหนืออำนาจเร้นลับ  แห่งการส้ราง  การควบคุม  และการทำลายของสรรพกิเลส  กล่าวคือ  การลุนิพพาน  ตามแบบของเถรวาทเรา  ซึ่งมีสภาพเป็น  อชาต-อภูต-อมต  ไม่น้อมไปเพื่อความมีตัวตน  หรือมีการอยู่ในโลกของพระเป็นเจ้าแต่อย่างใด.  เรามีพระรัตนตรัยแท้  ชนิดที่เป็นความสะอาด-สว่าง-สงบ ของจิตที่หมดกิเลส  เป็นที่พึ่ง  เป็นที่สักการะ  แทนที่แห่งพระเป็นเจ้าของลัทธิอื่นๆ.  การกระทำของเราเป็นการช่วยตัวเอง  อยู่ตลอดเวลา,  มีเหตุผลชัดเจน  อำนวยประโยชน์ที่จำเป็นแก่ชีวิตได้จริงๆ จนไม่อยู่ในวิสัยที่ใครๆจะกล่าวว่า  เป็นยาฝิ่นของประชาชนดังได้กล่าวแล้ว, และสามารถต่อสู้  หรือทำลายอิทธิพลของลัทธิวัตถุนิยมได้จริง.  เราทั้งหลายก็อยู่ในสภาพที่จะรู้  จะเข้าใจ  จะปฏิบัติ  และเห็นแจ้งในผลของการปฏิบัติ, ตลอดจนถึงกับสามารถสั่งสอน  สืบต่อๆกันไปได้จริง, เพราะว่า มีจิตใจสูงพอ  ที่จะเข้าใจในเรื่องจิต  หรือวิญญาณ  ที่สูงไปกว่าเรื่องของวัตถุ,  และในเรื่องโลกุตตระซึ่งเร้นลับจากเรื่องโลกียะทั้งหลายได้นั่นเอง.
เมื่อกล่าวอย่างสำนวนภาษาไทย, เพราะข้าพเจ้าไม่สามารถทราบสำนวนภาษาอื่น,  ข้าพเจ้าขอกล่าวว่าเราต้องไม่เป็นแรด.  เพราะแรด  ไม่สามารถที่จะฟังเสียงปี่อันไพเราะ, โลกุตตระธรรมนั้น  บรรเลงอันไพเราะอยู่ตลอดเวลา, ถ้าเราเป็นแรด เราก็จะไม่ไดยิน, เมื่อ 500 ปีเศษ ก่อน คริสสักราชมาแล้ว  ในประเทศกรีก  ซึ่งโลกถือกันว่า เป็นดงปราชญ์,  เฮรัคคลิตัส (Heraclitus)1  ได้เป่าปี่ให้แรดทั้งหลายของเขาฟังอย่างเหนื่อยเปล่า!  เขาเกิดพ้องสมัยกันกับพระพุทธองค์  ห่างกันไม่กี่ปี  ได้โฆษณาทฤษฎี “แปนตา  เร,-ทุกอย่างไหล” ของเขา  ซึ่งมีใจความว่า  สิ่งทั้งปวง  หรือที่รวมเรียกกันว่า  โลกนี้เป็นเพียง  ความไหลเนื่องกันไม่ขาดสาย  เหมือนความดับติดต่อกันของไฟที่กำลังลุกโพลงๆอยู่,  “แปนตา เร – ทุกอย่างไหล” ของเขานี้  ก็คือ  “สพฺเพ  สงฺขารา  อนิจฺจา” ของพระพุทธองค์นั่นเอง.  แต่คนทั้งหลายในที่นั้น  ฟังม่รู้เรื่องเลย  แล้วยังกลับหาว่าเขาเป็น  “มนุษย์ลึกลับ”  ทั้งนี้  ก็เพราะไม่ใช่อะไรอื่น  นอกไปจากประเทศกรีก  ในสมัยนั้นเป็นดงแรด  แห่งปรัชญาวัตถุนิยม  นั่นเอง.  แรดเหล่านั้นฟังเรื่องทางฝั่งโลกุตตระไม่เข้าใจ  ทั้งที่โลกยกย่องกันว่าเป็นเมืองนักปราชญ์ มาจนกระทั่งทุกวันนี้.

เราทั้งหลาย  จงภูมิใจเถิดว่า  เราฟังเพลงแห่งโลกุตตรธรรมของพระพุทธองค์ได้ยิน  และเข้าใจ.  เราไม่ยอมเป็นแรด  แห่งลัทธิที่เป็นยาเสพติดของประชาชน  เพราะมัวหวังผลเป็นวัตถุนิยม  ทั้งในเมืองมนุษย์และเมืองสวรรค์อย่างแน่นอน.  ปรัชญาเถรวาท  ต้องเป็นมโนนิยมโดยเด็ดขาด  จึงมุ่งผลเป็นนิพพาน  คือความอยู่นอกเหนืออำนาจของสิ่งทั้งปวง  อันเป็นที่ตั้งแห่งความลุ่มหลง  จนถูกสร้าง  ถุกควบคุม  ถุกทำลายล้าง  วนเวียนไปไม่มีที่สิ้นสุด.  ประเทศของเราเหลืออร่ามไปด้วยกาสาวพัสตร์.  นั่นมันเป็นเครื่องหมายของผู้อยู่เหนืออำนาจของผู้สร้าง  ผู้ควบคุม  ผู้ทำลายล้าง, เป็นเครื่องหมายของแสงสว่างหรือปัญญา  ซึ่งเป็นเครื่องหมาย  ของความบริสุทธิ์  ดับทุกข์ทั้งหลายได้สิ้นเชิง, ไม่มีทางที่จะกลับเป็นทุกข์ได้อีกต่อไป.

1 เฮรัคคลิตัส,  536-470 B.C.
  นี้แล  คือความน่ามหัศจรรย์แห่งหลักธรรมอันประเสริฐ  ของเถรวาทเรา  โดยสรุป  รวมทั้งความน่ามหัศจรรย์แห่งความเป็นเถรวาทิน  ของพวกเราเอง  ทุกคนด้วย.  เราต้องรักษาคุณสมบัติอันนี้ไว้  ให้เหมือนเกลือรักษาความเค็มของมันเองไว้ได้  ตลอดกาลนิรันดร  ฉันใดก็ฉันนั้น  จงทุกคนเทอญ.

จาก : น.ส.พ. พุทธศาสนา  ปีที่ 23 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2498



1 ความคิดเห็น: