หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ความตายไม่มี - ธรรมเทศนา โดย พระธรรมโกศาจารย์ พุทธทาสภิกขุ



ความตายไม่มี
พระธรรมโกศาจารย์ พุทธทาสภิกขุ


๏ ความตายเป็นจุดรวมของความกลัวทุกชนิด

          ความตายเป็นภัยใหญ่หลวงที่คุกคามคนธรรมดาสามัญทุกคน ความตายทั้งทางกายและทางวิญญาณ เป็นจุดรวมของความกลัวทุกชนิด กลัวเสือ กลัวงู กลัวผี กลัวโรค กลัวเจ็บ กลัวถูกออกจากงาน กลัวถูกตัดเงินเดือน กลัวเสียชื่อเสียง กลัวความลำบากยากจน ตลอดถึงความกลัวอย่างอื่น ย่อมรวมอยู่ที่กลัวตายตามธรรมดา หรือตายอย่างไม่มีเกียรติเป็นที่น่าอเนจอนาถ ซึ่งเป็นการตายในแง่ของศีลธรรมหรือทางวิญญาณ ถ้าเกิดไม่กลัวตายเสียอย่างเดียวเท่านั้น คนเราก็แทบจะไม่กลัวอะไรเอาเสียทีเดียว และจะเป็นอยู่ด้วยจิตใจที่สงบเย็นแสนที่จะเย็น เพราะฉะนั้น การชำระสะสางปัญหายุ่งยากอันเกี่ยวกับความตาย หรือการทำให้ความตายกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายไปเสียก็ตาม ย่อมเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ถ้าใครทำได้ถึงที่สุด ก็จะทำให้ชีวิตนี้มีแต่กำไร ไม่มีทางขาดทุนเลย ผู้ที่รู้สึกว่า “ความตายไม่มี นั้น นับว่าเป็นคนมีบุญอย่างสูงสุด เราจะทำอย่างไรกันเล่า ความตายจึงจะไม่มี หรือมีค่าเท่ากับไม่มีสำหรับเรา?

๏ เหตุแห่งความรู้สึกว่า “ความตายไม่มี”

          ความรู้สึกว่า “ความตายไม่มี” นั้น อาจมีได้หลายลักษณะด้วยกัน หรือมีทางเกิดมาจากเหตุต่างๆกัน แต่ก็ล้วนแต่ทำใมห้ไม่มีทุกข์ได้ด้วยกันทั้งนั้น ตามมากตามน้อย ตื้นลึกหนาบางกว่ากัน ทั้งนี้ย่อมแล้วแต่ว่า มูลเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึกอันนั้นมีอะไรเป็นมูลฐานที่แท้จริง คือ มาจากสัมมาทิฐิหรือมิจฉาทิฐิ และแม้ว่าจะมีมูลมาจากสัมมาทิฐิแล้วก็ตาม ก็ยังมีความตื้นลึกหนาบางสูงต่ำกว่ากันเป็นระดับๆไปอยู่นั่นเอง

๏ “ความตายไม่มี” จากมิจฉาทิฐิ

          โจรใจฉกาจ หรือสัตว์ที่กำลังเมามันด้วยโทสะหรือราคะก็ตาม ย่อมไม่รู้สึกต่อความตาย ไม่กลัวตาย และตายลงไปได้อย่างไม่มีความทุกข์ ข้อนี้เองเป็นการง่ายที่แม่ทัพหรือขุนพลอาจจะปลุกกำลังใจทหารหนุ่มของตนไม่ให้กลัวตายได้โดยง่ายดายที่สุด ปลุกด้วยราคะหรือโลภะ ในการที่จะปล้นเอาสตรีมาเป็นของตน หรือด้วยความเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติบรรพบุรุษหรือเกียรติของตนเองก็ตาม ปลุกด้วยโทสะ คือ จี้ให้ความโกรธแค้นอาฆาตพลุ่งขึ้นมาจนถึงจุดเดือดก็ตาม, ปลุกด้วยโมหะ โดยให้มัวเมาในทฤษฎีบางอย่าง เช่น ความตายไม่มี เพราะอาตมันเป็นสิ่งที่ไม่ตาย หรืออาตมันไม่อาจถูกผ่าแล่ง หรือทำให้เปลี่ยนแปลงก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ทำให้รู้สึกไม่กลัวตาย หรือความตายไม่มีด้วยกันทั้งนั้น, หากแต่ว่าความรู้สึกเช่นนี้ยังหนาไปด้วยกิเลส หรือมิจฉาทิฐิตามมากตามน้อยอยู่นั่นเอง เราควรจะพิจารณากันถึง “ไม่มีความตาย” ที่ละเอียดประณีตสุขุมยิ่งขึ้นไปกว่านี้ เพื่อความตายที่ไม่ตาย ที่เยือกเย็น ไม่เป็นของร้อนเลยกันต่อไป

๏ “ความตายไม่มี” จากสัมมาทิฐิ

          โดยอาศัยสัมมาทิฐิแม้ที่ยังเป็นโลกียะ คือความเชื่อกรรมว่าบุญมี บาปมี ชั่วมี ดีมี นรกมี สวรรค์มี ดังนี้เป็นต้น ก็สามารถทำให้เกิดความแน่ใจในการที่จะเป็นผู้ที่มีความรู้สึกว่าตนเป็นคนที่ได้ทำสิ่งต่างๆไว้ดีแล้ว สำหรับต่อสู้กับความตายหรือการไปสู่ปรโลก ความตายเป็นเพียง “การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกว่าเดิม” สืบไปเท่านั้น ไม่มีอะไรที่น่ากลัว, ย่อมจะเป็นการดีกว่าที่จะทรมานอยู่ในร่างกันคร่ำคร่า หรือเจ็บป่วยน่าทุเรศนี้เป็นไหนๆ ตลอดเวลาที่ผลกรรมหรือบุญบาปยังมีอยู่ เราก็ยังต้องเวียนว่ายไปไม่มีที่สิ้นสุด เรามีโอกาสที่จะทำให้ดีหรือสูงยิ่งขึ้นไป โดยอาศัยร่างกายใหม่ที่ดีกว่าเก่า และจิตใจใหม่ที่ดีกว่าเก่า การตายจึงเป็นเพียงการเลื่อนชั้นให้สูงขึ้นไปของผู้ที่มีความดีอันตนได้กระทำไว้แล้วจริงๆ
          เมื่อบุคคลนั้นมีความรู้สึกอยู่แต่ความดี ความงาม ความถูกต้อง หรือความยุติธรรมเป็นต้นของตน อย่างโชติช่วงอยู่ในภายในใจแล้ว เขาก็ลืมร่างกาย ลืมความตายเสียโดยสิ้นเชิง ยังคงเด่นอยู่ในใจแต่ธรรมที่ตนยึดถือเอาเป็นตัวตน แล้วเกิดความรู้สึกว่าตนไม่มีความตายเอาเสียจริงๆ ร่างกายกลายเป็นสิ่งที่เล็กน้อยเกินไป หรือถึงกับเป็นสิ่งที่มิได้มีอยู่ มีอยู่แต่จิตใจที่ประกอบด้วยธรรมอันไม่รู้จักตาย จึงไม่มีความกลัวตาย หรือมีปัญหาใดๆอันเกี่ยวกับความตายทั้งหมดทั้งสิ้น โรคภัยไข้เจ็บก็กลับกลายเป็นของไม่มีความหมายไปตาม ในที่สุดบุตรภรรยาก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่ต้องห่วงใย หรือมีน้ำหนักกดทับจิตใจ แม้ในขณะที่จะต้องแตกดับจากกัน, เพราะความตายก็ “ไม่มี” สำหรับเขาเหล่านั้นด้วย ความรู้สึกเช่นนี้อาจเกิดมีได้ทั้งในกรณีที่เกี่ยวกับลัทธิศาสนาและไม่เกี่ยวกับลัทธิศาสนา แต่เมื่อเกิดเป็นผลดี และมีคนนิยมทำตามมากขึ้น ก็ย่อมจะกลายเป็นลัทธิศาสนา หรือลัทธิใดลัทธิหนึ่งขึ้นมาเอง

๏ จิตเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อม

          เนื่องจากจิตเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน มันจึงเปลี่ยนไปตามสิ่งที่แวดล้อม สิ่งแวดล้อมที่กล่าวนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความคิด ความรู้ และความเชื่อที่ได้รับเพิ่มมากขึ้นทุกวันจนกว่าจะแตกดับ สิ่งแวดล้อมเหล่านี้เอง ที่นำจิตไปสู่ความเป็นมิจฉาทิฐิ หรือสัมมาทิฐิในระดับต่างๆกัน สัมมาทิฐิแต่ละระดับ ก็เป็นอุบายทำจิตให้ประสบความราบรื่นได้โดยควรแก่ระดับของตนๆในเมื่อมิจฉาทิฐิทำให้เกิดได้แต่ความบ้าหลังระส่ำระสายหรือบ้าบิ่นเป็นอย่างสูง เมื่อจิตได้รับอุบายที่ดีในทางความเชื่อหรือทางสติปัญญาก็ตาม ก็สามารถทำใฝห้เอาชนะการคุกคามของความตายได้โดยไม่ต้องสงสัย

๏ ความเกิดดับเป็นเพียงการไหลเวียนของเหตุปัจจัย

          อุบายเป็นเพียงเครื่องเรืองปัญญาที่สามารถทำจิตใจให้อยู่เหนือความตายโดยเด็ดขาดจริงๆนั้น ต้องเป็นเรื่องสัจธรรม หรือปรมัตถธรรมโดยตรงและถึงที่สุดด้วย ฉะนั้นจึงตกเป็นหน้าที่ของสัมมาทิฐิชั้นที่เป็นโลกุตตระ หรือโลกุตตรปัญญาที่สามารถมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสุญญตาอยู่โดยประจักษ์ การเห็นความเป็นอนัตตาของนามรูปได้ทำให้เห็นความไม่มีตัวตนของจิตเอง มีแต่นามธรรมซึ่งสักว่าเป็นธรรมชาติธรรมดาตั้งอยู่คู่กับรูปธรรม ซึ่งก็ไม่มีตัวตนอันแท้จริงยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก ความเกิดเป็นเพียงกระแสของการไหลเวียนเรื่อยไป จนกว่าจะหมดเหตุหมดปัจจัย เราเข้าใจว่ามีคนเราที่เกิดที่ตายก็เพราะความเข้าใจผิดในข้อนี้ แม้ที่สุดแต่ว่าความเกิดดับของจิต ซึ่งโดยปรมัตถ์จัดเป็นการเกิดตายที่ถูกต้องนั้น ก็ยังมิใช่การเกิดตายอยู่นั่นเอง เป็นเพียงการไหลเวียนของสิ่งที่เป็นเพียงธรรมชาติ เพราะอำนาจของเหตุปัจจัย

๏ ความตายไม่มีสำหรับจิตที่มองเห็นสุญญตาอย่างถูกต้อง

          ความหมดเหตุหมดปัจจัยแห่งการไหลเวียนที่แท้จริง มีมูลมาจากการเห็นสุญญตา คือความที่นามรูปหรือสิ่งทั้งปวง เป็นของว่างจากตัวตนโดยสิ้นเชิง ข้อนี้ทำให้เห็นควงามที่ไม่มีการเกิด ไม่มีใครเกิดมาแต่แรก แล้วจะมีใคตายได้อย่างไร เพราะฉะนั้นความตายจึงไม่มี เพราะว่าการเกิดหรือการตั้งอยู่ดับไปก็มิได้มีการเห็นอย่างนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการตายตามความหมายธรรมดาหมดความหมายไปอย่างเดียว แต่ได้ทำให้ความเกิดดับของจิตที่กำลังเกิดอยู่ พลอยหมดความหมายไปด้วย จิตจะเกิดดับอยู่ได้อย่างไรก็”ม่มีความรู้สึกว่าเราคิด เรารู้สึก เราดีใจ เราเสียใจ หรือเราทุกข์ เราสุข ในที่สุดแล้วความรู้สึกว่าความตายจะมีมาแต่ไหน การเห็นสุญญตาทำให้ไม่มีตัวคนเราหรือตัวตนของใครเลย มีแต่ “สุทธิธมฺมา ปวตฺตนฺติ – ธรรมชาติล้วนๆไหลไป” จิตไม่มีความรู้สึกว่า เราเกิดขึ้น เรามีอยู่ เราดับไป ฉะนั้นจึงไม่มี “ความตาย” ความตายไม่มีสำหรับจิตที่มองเห็นสุญญตาอย่างถูกต้อง
          ทำไมจึงต้องใช้คำว่า “อย่างถุกต้อง” ทั้งนี้เพราะเหตุว่า สุญญตาที่ไม่ถูกต้อง คือเป็นมิจฉาทิฐิอยู่บางอย่างหรือไม่ตรงตามหลักของพุทธศาสนาก็ยังมีอยู่ ลัทธิบางลัทธิถือว่าจิตเป็น “สิ่งอมตะ” คือ ไม่รู้จักตาย ตายแต่ร่างกาย แล้วจิตไปหาร่างกายเอาใหม่ ลัทธิเช่นนี้ไม่ใช่พุทธศาสนา และขัดต่อหลักที่ว่ามีการเกิดและการตั้งอยู่ แล้วจะให้มันไม่มีดับหรือตายนั้นน่าขบขัน จิตก็เวียนไปในวงของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเรื่อยไป จนกว่าจะหมดเหตุหมดปัจจัยก็แล้วกัน ตลอดเวลานั้นไม่มีเราสักขณะเดียว เมื่อเห็นความไม่มีเราอย่างนี้แล้ว จิตจะดับ หรือกายจะดับไปชั่วขณะหนึ่ง ตามอำนาจของความเปลี่ยนแปลง ความตายก็เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ดี เพราะความตายเป็นเรื่องของสิ่งที่เรียกว่า “เรา” ต่างหาก

๏ หมดตัวเราเท่านั้น ความตายจึงไม่มีอย่างแท้จริง

          สำหรับสิ่งอมตะนั้นหาใช่จิตไม่ มัรเป็นสิ่งธรรมชาติธรรมดาฝ่ายตรงข้ามอีกฝ่ายหนึ่ง และจะเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ต่อเมื่อจิตหมด “เรา” แล้วจริงๆเท่านั้น เพราะมองเห็นสิ่งๆนี้เอง ที่ทำให้ย้อนมองเห็นชัดฝ่ายข้างนี้ว่า จิตไม่ใช่ตัวของจิตหรือของใคร จิตเป็นเพียงธรรมชาติฝ่ายที่ไหลเวียน ในเมื่อสิ่งอมตะเป็นธรรมชาติฝ่ายที่ไม่ไหลเวียน ในพุทธศาสนาจึงไม่มีจิตอมตะ, จะมีได้ก็เพียงจิตที่รู้แจ้งในสิ่งซึ่งเป็นอมตะ แล้วตัวจิตเองก็หมดความเป็นตัวเรา เพราะจิตกลายเป็นเพียงธรรมชาติไป เหมือนกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงโดยเสมอกัน จิตที่ลุถึงความรู้อันสูงสุดเช่นนี้ ย่อมรู้ว่า “ความตายไม่มี” โดยแท้จริง และแถมยังรู้จัก “สิ่งที่ใม่รู้จักตาย” จริงๆอีกด้วย แล้วความตายจะมีมาแต่ไหน?
          บทความนี้อาจจะต้องเก็บไว้อ่านเล่นเวลาดึกสงัด จึงจะเป็นผลดีก็เป็นได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังจะต้องคิดทบทวนกันหลายหน หรือถึงกับทบทวนกันไปเรื่อยๆโดยไม่มีหยุด จนกว่าจะเห็นว่า “ความตายไม่มี” แล้วโดยแท้จริง ทั้งนี้เพราะว่าความรู้สึกว่า “ความตายไม่มี” นั้นมีอยู่หลายชั้น หลายระดับ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น มันมาจากความบ้าเลือดบ้าบิ่นก็เป็นได้ แล้วแต่กรณี และให้ผลตื้นลึกหนาบางต่างๆกัน ความตายไม่มีต่อเมื่อความเกิดไม่มี ความเกิดไม่มีก็เมื่อตัวเราไม่มี ถ้าผิดจากหลักอันนี้ก็เป็นเพียงความตายที่ไปซ่อนเร้นหลบมุมอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง หาใช่ “ความตายไม่มี” อย่างแท้จริงไม่ ยังไม่อาจดับทุกข์ได้เด็ดขาดเลย “ตัวเรา” คู่กับ “ความเกิด” “ความเกิด” ก็ต้องคู่กับ “ความตาย” หมด “ตัวเรา” จริงๆเท่านั้น ความตายจึงจะไม่มีอย่างแท้จริงเช่นเดียวกัน



-: จากหนังสือ “ธรรมานุสรณ์ พระธรรมเทศนาเพื่อการพ้นทุกข์ – มรณานุสติธรรม” น. 65-72, จัดพิมพ์โดย ธรรมสภา ศูนย์หนังสือพระพุทธศาสนา.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น