หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

อิบราฮิม ตราโอเร่ - สร้างบ้าน, ทำแม่น้ำสะอาด - ทำไม แผนการ 120 ล้านดอลลาร์ของ ตราโอเร่ ทำให้ บูกินา ฟาโซ เป็นสถานที่ดีที่สุดของอาฟริกาในการอยู่อาศัย

อิบราฮิม ตราโอเร่ - สร้างบ้าน, ทำแม่น้ำสะอาด - ทำไม แผนการ 120 ล้านดอลลาร์ของ ตราโอเร่ ทำให้ บูกินา ฟาโซ เป็นสถานที่ดีที่สุดของอาฟริกาในการอยู่อาศัย

BUILD HOMES, CLEAN RIVERS – Why Traoré’s $120M Plan Makes Burkina Faso Africa’s Best Place to Live!+

          https://youtu.be/v39Te275AZs?si=Xr9vRcOswFZm8Ngf

          ผู้นำประเภทใดกันที่จัดสรรงบประมาณ 120 ล้านดอลลาร์, ไม่ใช่เพื่อรถถัง, ไม่ใช่การประชุมสถดยอดทางการทูต, แต่เป็นการทำความสะอาดแม่น้ำทั้งหลายและที่พักพิงแก่ผู้พลัดถิ่น? ประธานาธิบดี อิบราฮืม ตราโอเร่แห่งบุณ์กีนา ฟาโซ ได้ทำ. และเมื่อเขาทำ, ความเงียบจากเวทีสากลโลกก็ระเบิดขึ้นดังสั่น.  (What kind of leader allocates $120 million, not the tanks, not for diplomatic summits, but the clean rivers and shelter the displaced? President Ibrahim Traore1 of Burkina Faso2 did. And when he did, the silence from the international stage was thunderous.)

          1 https://en.wikipedia.org/wiki/Ibrahim_Traor%C3%A9

          2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9F%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%8B

          ในโลกที่ซึ่งงบประมาณป้องกันตนเองบวมเป่งและสงครามทั้งหลายได้ไหลท่วมอยู่, ใครจะให้ความสนใจในประเทศเล็กๆของอาฟริกาตะวันตกที่กำลังเลือกการสุขอนามัยมากกว่ายุทธศาสตร์การทหาร? (In the world where defense budgets swell and wars are livestreamed, who pays attention to a small West African nation choosing sanitation over strategy?)

          การตัดสินใจของตราโอเร่ไม่ได้ทำข่าวพาดหัวตัวโตในวอชิงตันหรือบรัสเซลลิ์. ไม่มีคำสรรเสริญใดที่ในสหประชาชาติ. ไม่มีเงินช่วยเหลือใดจากฺธนาคารโลก. ไม่มีแม้กระทั่งบรรทัดเดียวในข่าวของรอยเตอร์ภาคส่วนอาฟริกา. ทำไมโลกถึงได้เงียบสงัดเมื่อประชาชาติผิวดำได้ทำการเคลื่อนไหวไปสู่การเคารพตนเองแทนที่จะพึ่งพาใต้อาณัติต่างชาติ?  (Traore’s decision didn’t make headlines in Washington or Brussels. No praise from the United Nations. No grants from the World Bank. Not even a line in Reuters Africa section. Why does the world fall quiet when a black nation makes a move towards self-respect instead of foreign dependence?)

มันเป็นเพราะว่าไม่มีผลกำไรอะไรในน้ำสะอาดหรือ? ไม่มีอำนาจต่อรองในเรื่องศักดิ์ศรีหรือ? ครั้งสุดท้ายที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศIMF ได้ทบทวนเศรษฐกิจของบูร์กีนา ฟาโซ, มันได้ติดอันดับอยู่ในท่ามกลาง 20 ประเทศยากจนที่สุดใน GDP ต่อคน. กระนั้นเป็นผู้นำของมันที่ได้ทาทายบทที่เขียนคาดหวังไว้นั้น, ไม่ใช่ด้วยอาวุธทั้งหลาย, แต่ด้วยความตั้งใจมั่น.  (Is it because there’s no profit in clean water? No leverage in dignity? The last time the IMF reviewed Burkina Faso’s economy, it ranked among the 20 poorest in GDP per capita3. Yet here was its leader defying the expected script, not with arms, but with intention.)

3 https://en.wikipedia.org/wiki/Per_capita_income

อะไรที่มันพูดเกี่ยวกับสถานะของสถานะในลำดับความสำคัญทั้งหลายของสากลโลก เมื่อรัฐบาลหนึ่งเลือกชีวิตและโลกเบือนหน้าหนึ?  นี่ไม้ใช่เรื่องราวของงบประมาณหนึ่ง.  มันเป็นการนับลงบัญชีกับผู้ซึ่งจะได้รับถูกมองเห็น, ผู้ที่ได้เป็นผู้นำ, และผู้ที่ต้องขออนุญาตเป็นอย่างแรกก่อน. (What does it say about the state of global priorities when a government chooses life and the world looks away? This is not just a story of a budget. It’s a reckoning with who gets to be seen, who gets to lead, and who must first ask permission.)

อยู่กับเราในเรื่องนี้เพราะว่านี่ไม่ใช่นิทานอีกเรื่องหนึ่ง. บอกเราว่าที่ไหนในโลกซึ่งคุณกำลังฟังเรื่องนี้อยู่ในวันนี้. (Stay with us because this isn’t just another story. Tell us where in the world are you listening from today.)

การประกาศแถลงนั้นได้ทำขึ้นโดยไม่มีพิธีการใด, ไม่มีการสวนสนามทางทหาร, ไม่มีการประชุมสุดยอดขาองนานาชาติ, แค่ประธานาธิบดี อิบราฮิม ตราโอเร่ยืนอยู่หลังแท่นปาฐกเรียบง่ายที่ในเกา กัว, ถือเอกสารอยู่หน้าเดียว. งบประมาณใหม่ของประเทศ 120 ล้านดอลลาร์, เขาพูด, ไม่ใช่สำหรับอาวุธทั้งหลาย, ไม่ใช่ทางการทูตทั้งหลาย, แต่เป็นเพื่อทำความสะอาดแม่น้ำทั้งหลายของเราและนำบ้านมาให้กับผู้คนของเรา(The announcement was made without ceremony, no military parade, no international summit, just President Ibrahim Traore standing behind a modest podium in Gao Guo, holding a single page document. The new national budget, $120 million, he said, not for weapons, not for embassies, but to clean our rivers and bring our people home.)

บูร์กีนา ฟาโซได้พูดและโลกก็นิ่งเงียบ. ทำไมงบประมาณหนึ่งที่ปราศจากลูกระเบิดทั้งหลายหล่นลงไปสู่คูร่อง? ทำไมความมีศักดิ์ศรีถึงดึงเสียงปรบมือได้เพียงเล็กน้อย? ในยุคสมัยที่การซื้อขายโดรน-ยานไร้คนขับลิการยึดอำนาจโดยทหารทั้งหลาย ท่วมท้นพาดหัวข่าวทั้งหลายกัน, ประชาชาติหนึ่งกล้าหาญที่จะลงทุนในน้ำสะอาดและบ้านเพื่อผู้ไร้ที่อยู่ได้ถูกปฏิบัติเป็นแค่เป็นแค่ข้อความหนึ่งด้านล่างหน้ากระดาษ. (Burkina Faso had spoken and the world went silent. Why does a budget without bombs fail to trend? Why does dignity draw so little applause? In an era where drone purchases and military coups flood headlines, a nation daring to invest in clean water and lost homes is treated like a footnote.)

แต่นั่นได้เป็นประเด็นที่ตรงชัด. ประธานาธิบดี ตราโอเร่ไม่ได้กำลังจัดแสดงเพื่อถล้องถ่ายทั้งหลายของตะวันตก. เขาได้กำลังเขียนบทใหม่, หนึ่งนั้นไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากใคร. แม่น้ำทั้งสามสาย, มูฮูนBlack Volta4 , นาซีนอนRed Volta5 และนาคัมเบWhite Volta6 ครั้งหนึ่งได้เป็นเส้นเลือดแห่งชีวิต ในบูร์กีนา ฟาโซ. แต่หลายทศวรรษมาของเหมืองร้างที่ผิดกฎหมาย, และการทิ้งนำจากเมืองใหญ่ได้ปล่อยให้พวกเขาสำลักอยู่กับน้ำเสียนั้น. รอบๆฝั่งทั้งหลายของพวกเขา, ครอบครัวพลัดถิ่นทั้งหลายได้อาศัยอยู่ในความไม่มั่นคง. ไม่มีที่ดิน, ไม่มีตราสาร, ไม่มีอนาคต.  (But that was precisely the point. President Traore wasn’t performing for the cameras of the west. He was writing a new script, one that didn’t need permission. The three rivers, Mouhoun, Nazinon and Nakambe had once the arteries of life in Burkina Faso. But decades

of neglect, illegal mining, and urban runoff had left them choking with waste. Around their banks, displaced families lived in limbo. No land, no deeds, no future.)

          4 https://en.wikipedia.org/wiki/Black_Volta

          5  https://en.wikipedia.org/wiki/Red_Volta

          6  https://en.wikipedia.org/wiki/White_Volta

          ดังนั้น, อะไรที่ได้มีความหมายเมื่อประธานาธิบดีผู้หนึ่ง เลือกแม่น้ำทั้งหลายอยู่เหนือกว่ากองทหารทั้งหลาย. อะไรคือข่าวสารที่มันได้ส่งมา เมื่อประมุขแห่งรัฐตัดสินใจว่าโคลนนั้นสำคัญมากยิ่งไปกว่าเครื่องยศเหรียญตรา? ภายใน 48 ชั่วโมงของแถลงการณ์นั้น, มากกว่า 30,000 ผู้คนก็ออกมาสู่ถนนทั้งหลาย. ไม่ใช่เพื่อประท้วง, แต่เพื่อเป็นหนึ่งเดียว.  (So, what does it mean when a president chooses rivers over regiments? What message does it send when a head of state decides that the MUD matters more than medals? Within 48 hours of the announcement, more than 30,000 people took to the streets. Not in protest, but in unity.)

ชาวไร่ชาวนา, ครู, ข้าราชการพลเรือนทั้งหลาย, แม้กระทั่งทหารประจำการทั้งหลาย, แต่ละคนถือมาซึ่งเครื่องมือทั้งหลายแทนที่จะเป็นคำบัญชาการ. สิ่งสกัด, ถังน้ำ, คราด, รถเข็นของทั้งหลาย. ไม่มีใครรอคอยคำแนะนำเป็นทางการทั้งหลายใด. พวกเขาแค่ออกมาแสดงให้เห็น. ไม่มี NGO ได้มาประสานจัดงานเรื่องนี้. ไม่มีเจ้าหน้าที่องค์กรต่างชาติได้จ่ายเงินให้พวกเขา. นี่ไม่ใช่การรณรงค์เลือกตั้ง. มันเป็นการบันดาลใจมาชุมนุมกัน. (Farmers, teachers, civil servants, even off duty soldiers, each carrying tools instead of demands. Chisels, buckets, rakes, wheelbarrows. No one waited for official instructions. They simply showed up. No NGO had coordinated this. No foreign agency had paid them. This wasn’t a campaign. It was a calling.)

และประธานาธิบดี ตราโอเร่, เขาไม่ได้เฝ้าดูสังเกตการณ์จากหอคอยสำนักงานอาคารสูงใด. เขาได้อยู่ที่นั่นในนอกเครื่องแบบ, สวมถุงมอ. ดันรถเข็นเคียงข้างไปกับนักศึกษามหาวิทยาลัยทั้งหลาย. บางคนจำเขาได้. ส่วนใหญ่ก็แค่ทำงานกันไป. ข้างนอกประเทศนั้น , ความสับสนได้เข้าครองบัลลังก์. นักวิเคราะหก์ทั้งหลายบนโทรทัศน์ฝรั่งเศสได้ถามกันราวกับว่าบูร์กีนา ฟาโซได้สูญเสียวิสัยทัศน์ทางยุทธศาสตร์ไปแล้ว. หนึ่งนั้นเป็นนักการทูตเกษียณแล้วในกรุงบรัสเซลลิ์ได้เหน็บแนมว่าการสวุขอนามัยนั้นไม่สามารถหยุดลัทธิญิฮาดลงได้หรอก.  (And President Traore, he didn’t monitor the movement from a high-rise office. He was there in plain clothes, glove on. Pushing a cart alongside university students. Some recognized him. Most just worked. Outside the country, confusion reigned. Analysts on French television asked if Burkina Faso had lost strategic vision. One retired diplomat in Brussels sneered that sanitation doesn’t stop Jihadism7.)

7 https://en.wikipedia.org/wiki/Jihadism

แต่อะไรล่ะถ้ามันทำได้?  อะไรถ้าความภาคภูมิใจในตนเองในเพื่อนบ้านของใครคนหนึ่ง, ความเป็นเจ้าของถนนของใครคนหนึ่ง, ความเชื่อในรัฐบาลของใครคนหนึ่ง เป็นเช่นกำแพงป้องกันไฟอย่างแรกต่อความพังพินาศลง? (But what if it does? What if pride in one’s neighborhood, ownership of one’s street, belief in one’s government is the first firewall against collapse?)

งบประมาณนั้นไม่ได้เป็นแค่เรื่องเงิน.  มันเป็นการประกาศนโยบาย, เส้นๆหนึ่งที่ขีดลงบนผืนทราย.  ในภาคพื้นทวีปหนึ่งที่บ่อยครั้งมักจะเป็นเช่นขวดหนึ่งของอภิมหาอำนาจทั้งหลาย, นี่คือการพูดของประธานาธิบดีหนึ่ง, “เราจะแก้ไขบาดแผลทั้งหลายของเรา ก่อนที่จะขายผิวหนังของเรา.”  (The budget wasn’t just about money. It was a manifesto, a line in a sand. In a continent often as a battle for superpowers, here was a president saying, “We’ll fix our wounds before we sell our skin.”

หัวข่าวตะวันตกส่วนใหญ่เมินเฉยต่อมัน. มีจำนวนน้อยที่ได้ค้นพบมัน, ตีกรอบมันเป็นเช่นนโยบายประชานิยมนอกรีต. บทึความหนึ่งกระทั่งบรรยายถึง ตราโอเร่ เป็นเช่นนักอุดมคติแต่ขากประสบการณ์. ขาดประสบการณ์อะไรรึ? อิบราฮิม ตราโอดเร่ผุดขึ้นมาจากตำแหน่งยศทั้งหลายไม่ใช่โดยไปเข้าร่วมงานจัดเลี้ยงของนานาชาติทั้งหลาย แต่รอดชีวิตมาจากการซุ่มโจมตีทั้งหลาย, โดยการเดินไปกับผู้พลัดถิ่นจากหมู่บ้านทั้งหลาย, โดยการปฏิเสธที่จะหลบหนีเมื่อกองกำลังต่างชาติลากดึงออกมา. อะไรมากไปกว่านั้นที่ชายคนหนึ่งต้องพิสูจน์อีกรึเพื่อที่จะได้ถูกเรียกว่า สามารถทำได้? (Western headlines mostly ignored it. The few that did cover it framed it as unorthodox populism. One article even described Traore as idealistic but inexperienced. Inexperienced? Ibrahim Traore rose through the ranks not by attending international banquets but by surviving ambushes, by walking with displaced villagers, by refusing to flee when foreign troops pulled out. What more must a man prove to be called capable?)

และอะไรที่มันได้พูดถึงการจัดลำดับความสำคัญทั้งหลายของสากลโลก เมื่อการจัดงบประมาณหนึ่งสำหรับรถถังกลับได้รับคำยกย่อง, แต่งบประมาณสำหรับห้องน้ำทั้งหลายได้รับคำถากถางเยาะเย้ย? ในโบโบ ดิอูลาสโส, ผู้นำท้องถิ่นทั้งหลายได้หันการประกาศสุเหร่าประจำสัปดาห์มาสู่การทำความสะอาดร่วมกัน

 พระคาธอลิคทั้งหลายได้อวยพรสรรเสริญต่อท้องน้ำทั้งหลาย. แม่ค้าหญิงทั้งหลายของตลาดได้รวมตัวกันที่แผงทั้งหลายของพวกเขาเป็นพื้นที่ถูกสุขอนามัย.  (And what does it say about global priorities when a budget for tanks earn praise, but a budget for toilets earn ridicule?  In Bobo Dioulasso, local leaders turned weekly mosque announcements into clean up coordination. Catholic priests blessed riverbeds. Market women organized their stalls by sanitation zones.)

ความริเริ่มนั้นไม่ได้มาจากเบื้องบนสู่ด้านล่างอีกต่อไป. ทันได้กลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงในสำนึกที่แท้จริงที่สุด. เด็กๆเขียนเรียงความในหัวเรื่องของโรงเรียนว่า, “ทำไมฉันทำความสะอาดถนนของฉันใ” สื่อสังคมตามกระแสไปด้วยภาพถ่ายทั้งหลายของชายสูงอายุกำลังล้างทำความสะอาดร่องน้ำ, วัยรุ่นกำลังซ่อมบ่อน้ำ, ทหาร, ครั้งหนึ่งเคยเคลื่อนกำลังพลก็ต่อเมื่อมีเรื่องจลาจลขัดแย้งเท่านั้น, ในตอนนี้ได้เคลื่อนพลมาแจกจ่ายถุงมือ.   (The initiative was no longer top down. It had gone viral in the truest sense. Children write essays in school titled, ‘Why I cleaned my street.” Social media trended with photos of old men clearing gutters, teenagers repairing wells, the army, once deployed only for conflict, now deployed to distribute gloves.)

มันสามารถเป็นความแข็งแกร่งแท้จริงทอดวางอยู่ในการฟื้นฟูนี้ได้หรือไม่? นั่นคือรัฐหนึ่งกลายเป็นอธิปไตยไม่ได้เป็นโดยการปกครองแล้ว, แต่โดยการมีเกียรติ.  ในขณะเดียวกันธนาคารโลกได้คงการต่อรองทั้งหลายต่อไปอีกกับการให้เงินกู้ทั้งหลายเพื่อโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคนี้. ไม่มีเลยที่ได้เอ่ยถึงแม่น้ำทั้งหลาย. ที่แผงกระดานด้านข้างของUN, ตัวแทนยูโรเปียนได้เขียนให้สังเกตเอาไว้ว่า, “เอาละ, เรามาดูกันว่าความกระตือรือร้นนี้จะไปได้นานสักเท่าไหร?”  (Could it be that real strength lies in restoration? That a state becomes sovereign not by dominating, but by dignifying. Meanwhile the World Bank continued negotiations on regional infrastructure loans. None mentioned the rivers. At a UN side panel, a European delegate remarked, “Well, let’s see how long this enthusiasm lasts.”)

แต่บูกีร์นา ฟาโซ, พวกเขาไม่ได้รอการรับรองเห็นด้วย. พวกเขากำลังรอดวงอาทิตย์ขึ้นที่จะได้กลับไปทำงาน.  ไม่มีใครจ่ายเงินข้างพวกเขา. ไม่มีใครสร้างทำพวกเขา. พวกเขาได้แสดงออกมาเพราะงบประมาณหนึ่งได้ถูกเขียนไว้อย่างจริงใจ, ได้รับการหนุนด้วยเหงื่อซึ่งได้ให้คำอนุญาตแก่พวกเชาที่จะเชื่อและศรัทธา.  และเป็นครั้งแรกในหลายปี, ที่แม่น้ำทั้งหลายได้เริ่มต้นกระซิบอีกครั้ง.  (But Burkina Faso, they weren’t waiting for endorsement. They were waiting for Sunrise to get back to work. No one paid them. No one made them. They showed up because a budget written in sincerity, backed by sweat had given them permission to believe. And for the first time in years, the rivers began to whisper again.)

ไม่ใช่แค่ด้วยน้ำ, แต่ด้วยบทเพลงหนึ่ง. ผู้หญิงตนหนึ่งได้ยินและบอกกับลูกชายของเธอ, “ลูกเห็นผู้ชายตรงโน้นที่ทำความสะอาดนั้นตรงโน้นไหม? นั่นคือประธานาธิบดีของเรา.” ในประเทศที่ซึ่ง 40% ของประชากรมีชีวิตอยู่ใต้เส้นขีดความยากจน, อะไรที่ตราโอเร่ได้จุดประกายไม่ใช่การกุศล. มันคือความกระจ่างแจ้ง. ถ้าโลกไม่ได้ให้เกียรติแก่เรา, พวกคุณจะทำอย่างไรล่ะ?  (Not just with water, but with song. A woman was heard telling her son, “You see that man over there cleaning? That’s our president.” In a country where more than 40% of the population lives under the poverty line. What Traore ignited wasn’t charity. It was clarity. If the world does not respect you, what do you do?)

บูกีร์นา ฟาโซเลือกที่จะเริ่มต้นด้วยขยะ. มีอยู่เวลาหนึ่งที่แม่น้ำทั้งหลายของบูร์กีน่า ฟาโซ ได้ร้องเพลง. มูฮูนได้ไหลผ่านท้องทุ่งทั้งหลายของข้าวฟ่างและมะม่วง, เป็นน้ำของมันที่หล่อเลี้ยงนำพาหลายชั่งรุ่นคนของชาวประมง. นาซีนอนหล่อเลี้ยงปศุสัตว์และเด็กๆทั้งหลายเป็นเช่นกัน, เห่กล่อมชาวหมู่บ้านทั้งหลายในอ้อมแขนโคลนตมของมัน. นาคัมเบถูกเรียกว่าแม่น้ำแห่งมารดาทั้งหลาย, ถูกเล่ากันว่าที่จะนำพรมาสู่ระหว่างการเกิดและเก็บเกี่ยว. แต่นั่นได้มีมาก่แอนที่เหมืองแร่ทั้งหลายมาถึง. ก่อนที่บริษัทต่างชาติทั้งหลายได้มาถึงพร้อมคำมั่นสัญญาทั้งหลายและปั๊มฉีกทึ้งผืนดินและสูบถ่ายตะกั่วลงไปสู่ก้นบึ้งแม่น้ำทั้งหลายนี้.  (Burkina Faso chose to start with the trash. There was a time when the rivers of Burkina Faso sang. The Mouhoun flowed through fields of millet and mango, its waters guiding generations of fishermen. The Nazinon fed cattle and children alike, cradling villages in its muddy arms. The Nakambe called the river of mothers, was said to carry blessing between birth and harvest. But that was before the mines came. Before foreign companies arrived with promises and pumps tearing into the earth and bleeding mercury into the riverbeds.)

ก่อนหน้านั้นที่เมืองใหญ่ทั้งหลายจะแผ่ขยายออกไปโดยปราศจากแผนผังใดและหลั่งไหลน้ำเสียและขยะทั้งหลายลงไปในแม่น้ำ. มันได้ทำอะไรกับผู้คนเมื่อแม่น้ำทั้งหลายลืมที่จะหายใจ?  ในราวปี 2020, ทั้งสามแม่น้ำนี้ได้ถูกมองว่าได้ตายไปแล้วในทางนิเวศวิทยา. ไม่มปลา, ไม่ไหล, ไม่มีน้ำที่สามารถดื่มกินได้. กระนั้นหลายสิบของหลายพันก็ยังคงอาศัยอยู่ฝั่งแม่น้ำของพวกเขานี้.  (Before cities expanded without plans pouring sewage and trash into sacred water. What does it do to a people when their rivers forget how to breathe? By 2020, all three were deemed ecologically dead. No fish, no flow, no drinkable water. Yet tens of thousands still lived on their banks.)

ครอบครัวทั้งหลายพลัดถิ่นมาจากท งตอนเหนือ, อพยพลี้ภัยสงครามแออัดกันแน่นอยู่ในที่พักพิงชั่วคราว, ดื่มกินด้วยธารน้ำพิษเดียวกันที่ได้พาเอาโรคภัยไข้เจ็บมายังหมู่บ้านทั้งหลายของพวกเขา. แม่รายหนึ่งชื่ออะวาได้เฝ้าดูลูกทารกของเธออาเจียนน้ำสีน้ำตาลออกมาและได้แค่สวดภาวนา. เด็กชายคนหนึ่งชื่อไอดริสสาได้เกิดผดผื่นบนผิวหนังของตนจากการอาบน้ำที่ไหลมา. แพทย์หนุ่มรายหนึ่งในซอร์โกได้หยุดนับจำนวนผู้ป่วยจากการบริโภคโคล่า เพราะเขาหมดอุปกรณ์ตรวจ. (Families displaced from the North, war weary refugees crammed into makeshift shelters, drinking from the same poison stream that carried disease unto their homes. A mother named AWA watched her baby vomit brown water and prayed. A boy named Idrissa developed skin lesions from bathing in the runoff. A young doctor in Zorgo stopped counting Cola cases when he ran out of test kits.)

(The state kept records. The world looked away. But Traore’s project was announced, it wasn’t just promise of cleanup that moved people. It was the idea that someone at the very top had remembered the rivers had names. In the days that followed, something unusual happened. No salaries were promised, no contracts awarded. Yet, tens of thousands volunteered for what became the most extensive civilian-led sanitation effort in the nation’s history.)

กับเจ็ดวันต่อเนื่องกัน, จากรุ่งอรุณไปจนถึงความร้อนที่สูงขึ้นอย่างรุนแรง, ที่ฝั่งแม่น้ำเต็มไปด้วยรผู้คนทั้งหลาย, กำลังขุด, กำลังขนยก, แยกแยะ. ย่ายายทั้งหลายช่วยดึงพลาสติกออกอจากช่องร่องรู. วัยรุนทั้งหลายขุดเอาถึงน้ำมันขึ้นสนิม, ท่อแตกหัก, และเศษซากอะไรทั้งหลายที่ถูกทิ้งไว้จนลืมกันขึ้นออกมาจากผืนดิน. อะไรบังเกิดขึเมื่อสิ่งเสียทิ้งของเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาได้ถูกนำขึ้นมาจากผิวพื้นนั้น?  (For seven consecutive days, from dawn until the heat grew violent the riverbanks filled with bodies, digging, lifting, sorting. Grandmothers pulled plastic from silt. Teenagers unearthed rusted oil cans, broken pipes, and long forgotten scrap. What happens when the buried waste of 10 years is brought to the surface?)

เรื่องราวทั้งหลายอะไรที่ขยะเหล่านี้บอกเล่าเมื่อมันไม่ได้ถูกซุกซ่อนหลบอยู่อีกต่อไป?  พวกเขาพบเข็มฉีดยาทั้งหลายใกล้กันกับคลีนิคที่ได้กระจายกันอยู่, แหวนแต่งงาน, ห่อของช่วยเหลือที่หมดอายุ, กระดูกสัตว์ทั้งหลาย. เด็กชายคนหนึ่งถือเอาตำราเรียนฝรั้งเศสที่ขาดวิ่นขึ้นมาแล้วถามว่า. “นี่เคยเป็นของเรารึ?” ไม่มีการประชุมแถลงต่อผู้สื่อข่าว, ไม่มีการตัดริบบิ้น. (What stories does the trash tell when it’s no longer hidden? They found syringes near shuttered clinic, wedding rings, expired aid packages, animal bones. One child held up a torn French textbook and asked. “Was this ours?” There were no press conferences, no ribbons cuttings.)

แต่บางอย่างได้เปลี่ยนถ่านไป. ในตอนสิ้นสุดสัดห์นั้น, ปลาได้กลับคืนมาเป็นส่วนหนึ่งของมูฮูน. ที่โรงพยาบาลกลางของคูดูกู, จำนวนการรับผู้ป่วยท้องเสียได้หล่นลงมาราว 40%. เด็กๆทั้งหลายได้กระโจนลงสระน้ำทั้งหลายที่ไม่เคยได้มีอยู่เลยมาก่อนหนึ่งปีแล้ว. ไม่ใช่โครงการหนึ่งได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว, แต่เพราะว่าแผ่นดินได้ถูกสัมผัสด้วงยความมุ่งมั่นใส่ใจอีกครั้ง.  (But something shifted. By the end of the week, fish had returned to parts of the Mouhoun. At the Central Hospital in Kudugu, diarrhea admissions dropped by 40%. Children splashed in shallow pools that hadn’t existed a year before. Not because a project was completed, but because the land had been touched with intention.)

อำนาจชนิดไหนกันที่รัฐบาลได้ปลดล็อคเมื่อมันปฏิบัติในเรื่องสุขอนามัยอย่างที่ไม่ใช่เป็นแค่การให้บริการ, แต่เป็นเช่นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์? เมื่อการทำความสะอาดได้ไปถึงฝั่งตลิ่งทั้งหลายใกล้มหาวิทยาลัยอูอาดูกู, นักศึกษาทั้งหลายกลุ่มหนึ่งกำลังทำงานกันอยู่เข่าจมลงไปในปลักโคลนลึกได้หยุดลงเพื่อให้ชายอายุมากกว่าผ่านไป. เขาไม่ได้มีตราเครื่องหมายอะไร, ไม่มีผู้คอยดูแล, แค่มีถุงมือและถุงผ้าแบกอยู่บนไหล่. พวกเขาในภายหลังตระหนักขึ้นมาได้ว่านั่นเป็นประธานาธิบดี ตราโอเร่. ไม่มีกล้างถ่ายภาพทั้งหลายติดตามเขา. ไม่มีสุนทรพจน์วาทกรรมได้แสดง. เขาเคลื่อนที่จากกองขยะหนึ่งไปยังอีกกองหนึ่งหยิบขึ้นมา, แยกแยะ, พยักหน้า, แล้วเคลื่อนต่อไป. นักศึกษาคนหนึ่งกระซิบว่าล “เขาสามารถอยู่ไปทั่วทุกแห่งเลย. และเขาก็มายังที่นี่.  (What kind of power does a government unlock when it treats sanitation not as a service, but as a sacred duty? When the cleanup reached the banks near Ouagadougou University, a group of students working knee deep in sludge paused to let an older man pass. He wore no insignia, no entourage, just gloves and a sack over his shoulder. They later realized it was President Ibrahim Traore. No cameras followed him. No speech was made. He moved from pile to pile lifting, sorting, nodding, then moving again. One student whispered, “He could have been anywhere.” And he came here.)

ในภาคพื้นทวีปหนึ่ง, ที่ซึ่งความเป็นผู้นำนั้นระบุได้กด้วยระยะที่อยู่ห่างเกินไปเท่าใด, อะไรที่มันหมายถึงเมื่อประมุขของรัฐ มาปรากฏตัวให้เห็นพร้อมด้วยพลั่ว? ไม่ได้เพื่อคำสรรเสริญ, หรือเพื่อทางการเมือง, แต่เพราะว่าสิ่งด้วยเช่นกันได้เป็นมรดกตกทอดมาของเขา.   (In a continent where leadership is too often defined by distance, what does it mean when a head of state shows up with a shovel? Not for praise, not for politics, but because this too was his inheritance.)

ในระยะที่สองของโครงการของประธานาธิบดี อิบราฮิมตราโอเร่ก็ไม่ได้ถ่ายทอดทางโทรทัศน์. ไม่มีพิธีกรรมขุดฝังวางศิลาฤกษ์ทั้งหลาย, หรือการตัดริบบิ้นขนาดยักษ์ทั้งหลาย. แต่ 40 ล้านดอลลาร์จากงบประมาณแห่งชาติได้ถูกหันทิศทางมายังบางอย่างที่ไม่ได้เคยมีอยู่มาก่อนในบูร์กีนา ฟาโซหลายทศวรรษ. กลับมาอีกครั้ง. มากกว่า 18.000 ครอบครัวที่แตกกระจายโดยความขัดแย้ง, ธุรกรรมเหมืองแร่, หรือประกาศเวนคืนขับไล่ทั้งหลาย ได้ถูกมอบให้หนึ่งสิ่งที่พวกเขาได้หยุดวาดหวังไปนานแล้ว, บ้านที่ถาวรหนึ่งหลัง. อะไรที่มันหมายความถึงที่จะได้รับกุญแจดอกหนึ่ง ภายหลังจากการอยู่เต้นท์มาหลายปี?  (The second phrase of President Ibrahim Traore was not televised. No groundbreaking ceremonies, no giant cutting ribbons. But $40 million from the national budget was redirected towards something that had not existed in Burkina Faso for decades. Return. More than 18,000 families scattered by conflict, mining deals, or eviction notices were given the one thing they had stopped expecting, a permanent home. What does it mean to receive a key after years of tents?)

อะไรที่มันหมายความถึงเมื่อรัฐบาลหนึ่งบอกกับคุณว่าไม่ต้องย้ายไปไหนอีก? บ้านทั้งหลายนี้ไม่ได้หรูหรา, ไม่มีหินอ่อน, ไม่มีรั้วรอบชุมชนหมู่บ้านทั้งหลาย. แต่พวกมันมีชื่อ. แต่ละกลุ่มได้ถูฏสร้างขึ้นใกล้หนึ่งในแม่น้ำทั้งหลายที่ได้ฟื้ถูกนฟูกันกลับมานั้น. มูฮูน, นาซีนอน, นาคัมเบ, และตั้งชื่อไปตามนั้น.  (What does it mean when a government tells you not to move again? The homes were not luxurious, no marble, no gated compounds. But they had names. Each cluster was built near one of the rivers being restored. Mouhoun, Nazinon, Nakambe, and named accordingly.)

ความคิดนี้ง่ายๆ, เพื่อที่จะนำน้ำที่ครั้งหนึ่งสร้างความยั่งยืนให้พวกเขากลับมา. ข้างในบ้านทั้งหลาบคือสิ่งทั้งหลายที่หลายคนไม่ได้เคยรู้จัก. พื้นปูกระเบื้อง, ห้องน้ำสะอาด, หลังคาแผงโซลาร์เซลให้พลังงานไฟฟ้าแก่หลอดไฟส่องสว่างและวิทยุทั้งหลาย, และสำคัญมากยิ่งที่สุด, เอกสาร. (The idea was simple, to bring people back to the water that once sustained them. Inside the houses were things many had never known. Tiled floors, clean toilets, rooftop solar panels powering light bulbs and radios, and most crucially, documents.)

เป็นครั้งแรก, หลายพันคนได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการของความเป็นเจ้าของ. ไม่ใช่แค่ที่พักพิง, แต่คือหลักแหล่ง. อะมานในกลุ่มบ้านนาซีนอนถือเอกสารรับรองความเป็นเจ้าของของเขาไว้พระคัมภีร์. เพราะนี่คือครั้งแรก, เขาพูดว่า, “ลูกชายของผมมีอ่างล้างจาน, และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้วิธีเปิดก๊อกน้ำนั้น.” ความยากจนอะไรที่ทำให้น้ำจากก๊อกรู้สึกเหมือนิการปฏิวัติ?  (For the first time, thousands received formal proof of ownership. Not just shelter, but standing. Aman in the Nazinon block held his certificate like scripture. For the first time, he said, “My son has a sink, and for the first time I know how to turn on a tap.” What kind of poverty makes water from a faucet feel like a revolution?)

และความเป็นผู้นำชนิดอะไรกันที่กล้าที่จะเรียกนั่นว่าการปฏิวัติอย่างเร่งด่วน? เด็กๆทั้งหลายกลับมายังโรงเรียนโดยปราศจากการเดินสองชั่วโมงฝ่าฝุ่น. ผู้หญิงหยุดการต้มทุกหยดของน้ำด้วยความหวาดกลัว. ผู้สูงอายุได้นอนหลับโดยปราศจากเสียงสะบัดของผนังพลาสติกกระพือรัวในสายลม. พาดผ่านกำแพงทั้งหลายของชุมชนไดแป็นจิตกรรมผนังที่ไม่ใช่ภาพนักการเมืองทั้งหลายจริยธรรมไม่ใช่นักการเมืองทั้งหลาย แต่เป็นภาพของแม่น้ำ, ครอบครัวและการเก็บเกี่ยวพืชผล. (And what kind of leadership dares to call that revolution urgent? Children returned to school without walking two hours through dust. Women stop boiling every drop of water in fear. The elderly slept without the sound of plastic walls flapping in the wind. Across the compound walls were murals not of politicians but of rivers, families, harvests.)

การแสดงประกาศในศิลปะนั่นของสถานที่นี้ได้ตกเป็นของไม่ใช่กับผู้บริหารจัดการรัฐ แต่เป็นของผู้คนของมัน. ถ้าเรื่องราวนี้ได้เคลื่อนไหวกับคุณ, เขียนความคิดของคุณมาในช่องความคิดเห็นทั้งฟลาย. และถ้าคุณศรัทธาในอะไรที่ประธานาธิบดี ตราโอเร่กำลังทำ, พูดคำอาเมนมาที่ข้างล่างนี้. บ้านตำบลมูฮูน, ย่ารายหนึ่งได้เปิดประตูให้กับผู้มาเยือนทั้งหลายและกล่าวขออภัย, ไม่ใช่เพราะบ้านของเธอเล็ก, แต่เพราะเธอไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยที่จะรับรอง. “ฉันเสียเครื่องครัวของฉันไปหมดที่ในตอนเหนือ.” (A declaration in art that this place belonged not to an administration but to its people. If this story moves you, write your thoughts in the comments. And if you believe in what President Traore is doing, say amen below. In the Mouhoun housing district, a grandmother opened her door to visitors and apologized. Not because her house was small, but because she had nothing left to offer. “I lost my kitchen in the North.”)

เธอได้อธิบ่ายว่า, “แต่ที่นี่ฉันมีหลังคาและนั่นเป็นอะไรมากยิ่งกว่าที่ฉันร้องขอ.” ทำไมมันถึงผู้ยากจนก็ยังคงถูกสอนให้ขออภัยเพื่อความอยู่รอดของชีวิต? ทำไมเป็นเช่นนั้นกับการช่วยเหลือของโลกอันท่วมท้นด้วยงบประมาณเก่าแก่ที่ผ่านมาทั้งหลาย? ทำไมการจดจำได้ทั้งหลายจากที่ห่างไกลต้องมาถึงพร้อมตราเครื่องหมายของต่างชาติ?  (She explained, “But here I have a roof and that is more than I ever asked for.” Why is it that in a world flooded with aid budgets, the poor are still taught to apologize for surviving? Why must recognition aways arrive with foreign logos?)

ในแผนการของตราโอเร่, ไม่มีหุ้นส่วนนานาชาติที่ได้รับตราเครื่องหมายเอาไว้ที่ผนังทั้งหลาย. ไม่มีผู้บริจาคทั้งหลายบินเข้ามาเพื่อการถ่ายรูปทั้งหลาย. หลายเซ็นทั้งหลายมีเพียงเหล่านั้นของรัฐและของดินเท่านั้น. ชข่าวสารนั้นได้กระจ่างชัด. นี้ไม่ใช่การกุศล. นี้คือความเป็นพลเมือง. วิศวกรท้องถิ่นทั้งหลายได้ถูกจ้าง. คนทำอิฐทั้งหลายจากเมืองต่างๆได้จัดส่งเสบียงสิ่งของวัสดุทั้งหลาย. นักศึกษามหาวิทยาลัยทั้งหลายจากอะกาเดซจัดกันมาเยี่ยมชมงานในพื้นที่ก่อสร้าง, ให้คำปรึกษาในเรื่องการระบายน้ำ, การต่อสายแผงโซลาร์, และระบบจัดการของเสีย.  (In Traore’s plan, no international partners were branded on the walls. No donors were flown in for photo ops. The only signatures were those of the state and the soil. The message was clear. This was not charity. This was citizenship. Local engineers were employed. Brick makers from towns supplied the materials. University students from Agadez conducted site visits, advising on drainage, solar wiring, and waste systems.)

กระทั่งการตั้งชื่อในแต่ละกลุ่มบ้านก็ดำเนินตามเจตนารมณ์. “เรียกมันตามชื่อแม่น้ำ,ตราโอเร่แนะนำ. ดังนั้น, พวกเขาจะไม่มีวันลืมว่าอะไรได้พาพวกเขาจากมาและพาพวกเขากลับไป. สหประชาชาติไม่ได้ออกแถลงการณ์อะไรในเรื่องนี้สักหนึ่ง. สหภาพยุโรปเองก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร.  แต่ภายในบูร์กีนา ฟาโซ, อะไรบางอย่างได้ก่อหวอดลึกๆ. อะไรคือน้ำหนักของประตูหน้าที่ไม่มีใครสามารถพังมันลงมาได้รึ?  อะไรคืออำนาจที่มอดวางอยู่ในเด็กคนหนึ่งซึ่งรู้ว่าที่ไหนที่ห้องนอนของพวกเขาเป็น, ไม่ใช่แค่เพียงคืนนี้, แต่พรุ่งนี้ด้วย?  Even the naming of each home block carried intent. “Call it by the river,” Traore instructed. So, they will never forget what they were taken from and what they return to. The UN did not issue a statement. The EU made no comment. But inside Burkina Faso, something deeper stirred. What is the weight of front door that no one can knock down? What power lies in a child knowing where their bedroom is, not just tonight, but tomorrow?)

และอะไรที่มันพูดถึงประธานาธิบดีผู้ปฏิเสธที่จะขออนุญาตในการจะทำอะไรซึ่งประสวัติศาสตร์อันยาวนานได้ปฏิเสธเสมอมา? พวกเขาเรียกมันว่าการปฏิวัติบึ้ม. แต่ไม่มีใครออกคำสั่ง. ไม่มีแถลงการณ์ประกาศทั้งหลาย, ไม่มีการสั่งการจากเมืองหลวงประเทศ, แค่การชุมนุมเคลื่อนไหว. อะไรที่ได้เริมต้นเป็นเช่นปฏิบัติการทำความสะอาดบนตลิ่งฝั่งของแม่น้ำทั้งหลาย ได้จุดปะทุอะไรบางอย่างลึกไปกว่า.  (And what does it say about a president who refuses to ask permission to do what history has long denied? They called the Boom Revolution. But no one gave the order. There no manifestos, no command from the capital, just movement. What began as a cleanup operation on riverbanks had ignited something deeper.)

ข้ามผ่านไปทั่วบูกีร์นา ฟาโซที่ในตลาด , สุเหร่า, ค่ายทหารและสนามโรงเรียนทั้งหลาย, ไม้กวาดได้ถูกยกชูขึ้นเหมือนธงชัย.  มันไม่ได้เกี่ยวกับแค่สุขอนามัย. มันเกี่ยวกับเกียรติ. ในตลาดกลาง คูดูกู, กลุ่มหนึ่งของผู้หญิงได้เริ่มต้นรวมตัวกันทุกรุ่งอรุณวันเสาร์. พวกเขานำเอาถุงมือ, รถเข็นของ, และสบู่ทำกันเองทั้งหลายมา. ผู้นำของพวกเขา, อดีตแม่ค้าชื่ออะลามาตาคล้องนกหวีดและตะโกนบอกแนะนำในอารมณ์ของฝึกทหาร. เรากวาดล้างทำเพราะนี้คือบ้านของเรา, เธอบอก. และบ้านต้องเป็นที่ถูกรัก. (Across Burkina Faso in markets, mosques, barracks, and schoolyards, brooms were raised like flags. It wasn’t about hygiene. It was about honor. In the Koudougou Central Market, a group of women began organizing at dawn every Saturday. They brought gloves, wheelbarrows, and homemade soap. Their leader, a former trader named Alamata, wore whistle and barked instructions with military precision. We sweep because this is our home, she said. And home must be loved.)

ที่ในโบบา ดิว ลาสโส, โรงเรียนมัธยมได้จัดประกวดเรียงความที่ดีที่สุดของนักเรียนในเรื่องการพิจาณาตัดสินสภาพแวดล้อม.  กระดาษหนึ่งถูกตั้งหัวเรื่องว่า “ฝุ่นที่เราสมควรได้รับ” เสนอให้มีวันทำความสะอาดเดือนละครั้งทั่วประเทศ. เรียงความนั้นได้ไปถึงโต๊ะรัฐมนตรีบริหาร. และหนึ่งสัปดาห์ถัดมา, มันได้กลายเป็นนโยบายของชาติ.  (In Boba Deu lasso, a middle school ran a contest for the best student essay in environmental justice. One paper titled “The Dust We Deserve” proposed monthly cleanup days across the country. That essay reached the desk of a government minister. A week later, it became national policy.)

ทหารทั้งหลายได้เข้ามาร่วมโดยปราศจากพิธีกรรมฉลอง. ในอูว่าฮิกายา, ทหารหมวดหนึ่งมาถึงในชุดสนามเต็มที่, ไม่ได้เพื่อตรวจลาดตระเวน, แต่เพื่อที่จะกวาด. พวกเขาเติมถุงทรายทั้งหลายด้วยขยะ, แบ่งปันอาหารมื่อเที่ยงกับพลเรือนทั้งหลาย, และจากไปอย่างเงียบๆก่อนตะวันตกดิน.  (Soldiers joined without ceremony. In Uwahiguya, platoon arrived in full fatigues, not to police, but to sweep. They filled sandbags with trash, shared lunch with civilians, and left quietly before sunset.)

ในเทนโคดูกู, นักเรียนศิลปะหูหนวกได้ออกแบบแผ่นปิดเป็นลำดับชุดต่อเนื่องกันที่ชื่อว่า, “บูกีร์นา หายใจ.”  พวกมันถูกนำไปพิมพ์และติดไปตามรถยัสทั้งหฟลาย, คลินิก, และแผงค้าเร่ทั้งหลาย. ข่าวสารนั้นไม่จำเป็นต้องการเสียง, แค่สี, ความเคลื่อนไหวแลพะความภาคภูมิใจ.  อะไรที่มันหมายความถึงเมื่อเหล่าผู้ซึ่งครั้งหนึ่งได้หลงลืมไป ได้เริ่มต้นที่จะนำการเปลี่ยนแปลง? ครูทั้งหลายแก้ไขเขียนบทเรียนขึ้นมาใหม่เพิ่มเติมการบริหารจัดการของเสียและสาธารณสุข. (In Tenkodogo, a deaf art student designed a series of posters titled, “Burkina Breathes.” They were printed and plastered across buses, clinics, and kiosks. The message needed no sound, just color, movement and pride. What does it mean when those who once forgotten start leading the change? Teachers rewrote lessons to include waste management and public health.)

อิหม่ามทั้งหลายได้ให้คำสวดภาวนาถึงการให้บริการรับใช้ดูแล. นักบวชทั้งหลายให้บริการอวยพรที่มุมถนนทั้งหลาย. หัวหน้าหมู่บ้านทั้งหลายสั่นกระดิ่งเพื่อเป็นสัญญาณการเริ่มต้นวันทำความสะอาดในแต่ละเดือน. ไม่มีกหารตั้งงบประมาณ, ไม่มีการประชุมผู้สื่อข่าว, แค่การร่วมมือกันผ่านวิทยุชุมชน. ป้ายเขียนด้วยมือทั้งหลายและตวามไว้วางใจ. และผู้คนก็มากัน. พวกเขามาไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาได้รับค่าจ้าง, แต่เพราะว่าพวกเขาได้รับคำเรียกหา.  (Imams delivered sermons about stewardship. Priests held blessing services on street corners. Village chiefs rang bells to signal the beginning of each month’s clean day. No budget line, no press conference, just coordination through community radio. Handwritten signs, and trust. And people came. They came not because they were paid, because they were called.)

เด็กๆลบภาพเขียนบนกำแพง/ผนังของโรงเรียนออก. ช่างเครื่องกลทั้งหลายได้รวบรวมยางรถเก่าและหลอมมันไปเป็นก้อนอิฐทั้งหลาย.  พยาบาลเกษียณแล้วทั้งหลายทำความสะอาดหอพักผู้ป่วยหลังคลอด, แล้วจัดสอนปฏิบัติพวกเขาในเรื่องสุขอนามัยที่ใต้ต้นสะเดา.  อะไรได้เริ่มต้นเป็นเช่นความริเริ่มทางการเมืองได้กลายเป็นสัญชาตญาณประจำชาติ(Children wiped graffiti off classroom walls. Mechanics gathered old tires and melt into bricks. Retired nurses clean maternity wards, then taught hygiene workshops under neem trees. What had begun as a political initiative became a national instinct.)

ในคายา, กลุ่มช่างตัดเสื้อผ้าได้เย็บเครื่องแบบสีเขียวทั้งหลายด้วยคำ Nettoyeurs - ผู้ทำความสะอาด พาดอยู่ที่ข้างหลัง. พวกเขาแจกจ่ายให้ฟรี. ใครคนใดก็มาเข้าร่วมได้ พวกเขาไม่ใช่เป็นของรัฐบาล. พวกเขาเป็นตัวตนของเขา. เมื่อประธานาธิบดี อิบราฮิมได้ถูกถามเกี่ยวกับ การเคลื่อนไหวอย่างเติบโตขึ้นนี้, เขาได้พูดแต่เพียงอย่างนี้ว่า, ผู้คนของบูร์กีนา ฟาโซไม่ได้รอคอยคำสั่ง. พวกเขาไปตามความที่เก็นของตน.  (In Kaya, a group of tailers stitched green uniforms with the word Nettoyeurs across the back. They handed them out freely. Anyone could join they weren’t government issue. They were identity. When President Ibrahim was asked about the growing movement, he said only this. The people of Burkina Faso do not wait for orders. They follow vision.)

และบางทีนั้นคืออะไรที่ได้เขย่าโลกมากที่สุด. ไม่ใช่ด้วยขนาดของการกระทำ, แต่เป็นความเงียบรายรอบมัน. คุณจะอธิบายอย่างไรถึงการปฏิวัติที่ปราศจากความรุนแรง, การเคลื่อนไหวที่ไม่มีศัตรู, การรณรงค์ที่ไร้อัตตา? (And perhaps that’s what shook the world most. Not the scale of the action, but the silence around it. How do you explain a revolution with no violence, a movement with no enemy, a campaign with no ego?)

ในตอนสิ้นสุด 6 เดือนแรก, มากกว่า 80 ตำบลได้นำวันทำความสะอาดมาใช้ต่อ. โรงพยาบาลทั้งหลายได้มองเห็นอัตราการติดเชื้อลดลงจนสามารถวัดได้. การเข้ามาเรียนที่โรงเรียนได้เพิ่มสูงขึ้นในหลายพื้นที่ด้วยสุขอนามัยที่ปรับปรุงดีขึ้น. อาชญากรรมเมืองลดลงในระหว่างการจัดกิจกรรมนำชุมชนทั้งหลาย. มันเป็นเพราะไม้กวาดหรือความศรัทธา?  (By the end of 6 months, more than 80 districts had adopted the monthly clean day. Hospitals saw a measurable decline in infection rates. School attendance rose in areas with improved sanitation. Urban crime fell during community LED events. Was it the broom or the belief?)

ในคำพูดขแองอิหม่ามท่านหนึ่ง. “เมื่อมือทั้งหลายของผู้คนได้เคลื่อนไป, จิตวิญญาณของประชาชาติก็ตามมา.” และมันไม่ได้เป็นแค่ในเมืองใหญ่ทั้งหลาย. ในหมู่บ้านชนบท, ผู้ดลีเยงปศุสัตว์ทั้งหลายได้ทำเครื่องหมายวันทำความสะอาดโดยการตกแต่งเส้นทางต้อนพาไปกินหญ้าด้วยหอินทาสีทั้งหลาย. วัยรุ่นทั้งหลายได้จัดรูปกองกำลังทำความสะอาดขึ้น, ทำดนตรีประกอบในขณะที่พวกเขาได้ล้างกวาด. ชาวประมงได้สร้างถังสำหรัดักขยะในแม่น้ำ. นักโทษของคุกได้ทำความสะอาดไปกับเด็กนักเรียนของท้องถิ่น.  (In the words of one imam. ‘When the hands of the people move, the soul of the nation follows.” And it wasn’t just in cities. In rural villages, cattle herders marked clean day by decorating their grazing routes with painted stones. Teenagers formed clean brigades, making music as they swept. Fishermen created floating bins for river trash. Prison inmates cleaned school alongside local students.)

บูกีร์นา ฟาโซได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่แข็งแรงกว่านโยบาย. พวกเขาได้ค้นพบจังหวะ. และในจังหวะนั้นคือความเข้าใจใหม่ของพลังอำนาจ, ได้ใช่ถูกกำหนดมาจากเบื้องบนแต่เติบโตงอกงามขึ้นมาจากเบื้องล่าง. พวกเขาคือพลเมืองทั้งหลายและพลเมืองก็ไม่ได้จำเป็นต้องการการได้รับอนุญาตที่จะใส่ใจ. พลเมืองก็ไม่ได้จำเป็นต้องการการปรบมือที่จะแสดงกระทำ. พลเมืองไม่ได้รอคอย.พวกเขานำ. (Burkina Faso had found something stronger than policy. They had found rhythm. And in that rhythm was a new understanding of power, not imposed from above but grown from below. Because a people who stand up without being told are no longer subjects. They are citizens and a citizen does not need permission to care. A citizen does not need applause to act. A citizen does not wait. They lead.)

ในโบสถ์ทั้งหลาย, บาทหลวงจบบทสวดภาวนาของวันอาทิตย์ด้วยเพลงทั้งหลายเกี่ยวกับการทำความสะอาดและศักดิ์ศรีของตนเอง. หนึ่งวงประสานเสียงได้กลายเป็นมีชื่อเสียงไปทั่วภูมิภาคนี้. เราได้กวาดไม่ใช่เพราะเราสกปรกแต่เพราะเราเป็นอิสระ. นักจัดรายการวิทยุเริ่มกระจายเสียงกับการเตือนทั้งหลายถึงวันทำความสะอาด, เติมมุขตลกและคติสุภาษิตทั้งหลายเพื่อที่จะคอยให้สีสันเบาลงแต่หนักแน่น.  (In churches, congregations ended Sunday Mass with songs about cleanliness and dignity. One chorus became popular across regions. We sweep not because we are dirty but because we are free. Radio host began opening broadcasts with clean day reminders, adding humor and proverbs to keep the tone light but firm.)

ในบางโรงเรียน, ครูทั้งหลายได้คอยใส่ใจในบันทึกทั้งหลายเหมือนปฏิทินไม้กวาด. แต่ละวันที่ได้ทำความสะอาดก็จะได้เครื่องหมายสีทอง. ในหมู่บ้านทั้งหลายที่ไม่มีน้ำประปาใช้, สภาเยาวชนได้ติดตั้งอ่างน้ำควบคุมทั้งหลายพร้อมทั้งสบู่ที่ทำขึ้นกันเองจากไขมันกากต้นเซีย. พวกเขาตั้งชื่อให้มันว่าสถานีใส่ใจ. (In some schools, teachers kept attendance records shaped like a calendar broom. Each cleaned day earned a golden Mark. In villages with no running water, youth councils installed command basins with soap made from shea residue. They named these corners stations of care.)

แม้กระทั่งตลาดก็ได้เปลี่ยนแปลงไป. แผงขายทั้งหลายได้ห่อสินค้าในใบตองกล้วยแทนที่จะเป็นพลาติก. พ่อฆ่าเนื้อสัตว์วางเนื้อขายนอยู่บนเสื่อทอที่ทำความสะอาดในแต่ละวัน. เด็กๆได้รับการฝึกให้สุนัขช่วยคุ้ยดึงขยะแทนที่จะคอยแต่วิ่งไล่แพะทั้งหลาย. ไม่มีการลงโทษ, ไม่มีการปรับ, แค่เปลี่ยนปรับวัฒนธรรมก่อนที่ใครคนใดสามารถที่จะหยุดมันได้. และนั่นบางทีเป็นส่วนพื้นฐานที่สำคัญยิ่งของทั้งหมด. (Even markets changed. Vendors wrapped produce in banana leaves instead of plastic. Butchers laid out meat on wove mats cleaned thrice daily. Children trained their dogs to retrieve trash instead of chasing goats. No decree had mandated any of it. There were no sanctions, no fines, just culture shifting before anyone could stop it. And that maybe the most radical part of all.)

อะไรถ้าการปฏิรูปที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายไม่ได้ถูกประกาศแถลงที่ในรัฐสภา แต่ได้กระซิบผ่านไปตามครัว, ห้องเรียนและการสวดภาวนาในตอนรุ่งเช้า?  อะไรถ้าการปฏิวัติฟังดูเหมือนเสียงหัวเราะในถนนที่เคยมีกลิ่นเหม็น?  บูร์กีนา ฟาโซไม่ได้กำลังรอควอยให้ถูกช่วยชีวิต. มันได้เริ่มต้นแล้วที่จะช่วยชีวิตตนเอง. ผู้คนไม่ได้จำเป็นต้องการถูกบัญชา. พวกเขาจำเป็นต้องการแค่ถูกเรียกชื่อที่ถูกต้องแท้จริง.  (What if the greatest reforms aren’t announced in Parliament but whispered through kitchens, classrooms and chants at dawn? What if revolution sounds like laughter in a street that used to stink? Burkina Faso wasn’t waiting to be saved. It had already started saving itself. A people do not need to be commanded. They only need to be called by their true name.)

สื่อสากลนานาประเทศในท้ายสุดก็ได้รายงานข่าวถึงการปฏิวัติระดับรากหญ้าของบูร์กีนา ฟาโซ, เรียกมันว่าแบบจำลองราคาต่ำ, แต่ผลกระแทกสูง. กัปตัน อิบราฮิมข่าวล่าสุดได้เริ่มต้นวนโพ้นเลยไปแพร่กระจายในหมู่บ้านแห้งแล้งทั้งหลายและทำตลาดให้คึกคักแพร่หลาย. ผู้แทนชาวอาฟริกันได้มาถึงจากกานา, เคนยา, และเซเนกัล เพื่อสังเกตการณ์. พวกเขาส่วงคณะทูตเมาเพื่อเป็นประจักษ์พยานรถขุดดินที่เปลี่ยนไปเป็นเครื่องสูบน้ำได้, ห้องน้ำทั้งหลายถูกสร้างก่อนที่เส้นพรมแดนจะถูกขีดกันใหม่, และศักดิ์ศรีความภาคภูมิใจได้ถูกฟื้นคืนกลับมาโดยปราศจากการกู้ยืม.   (International media finally reported on Burkina Faso’s grassroots revolution, calling it a low cost, high impact model. Captain Ibrahim latest news began to circulate beyond parched villages and bustling markets. African delegates arrived from Ghana, Kenya, and Senegal to observe. They sent envoy to witness excavators turned into pumps, toilets built before borders redrawn, and dignity restored without loans.)

อะไรบังเกิดขึ้นเมื่อประเทศที่มีรายได้เล็กๆได้เขียนขึ้นใหม่ในกฎทั้งหลายของการพัฒนา(What happen when a small low-income country rewrites the rules of development?)

ตราโอเร่พูดอย่างดเรียบง่าย. “เราไม่ได้รอคอยใคร. เราเพียงแต่จำเป็นต้องการซึ่งกันและกันเท่านั้น. ไม่มีIMF, ไม่มียักษ์ใหญ่ตะวันตกทั้งหลาย, ไม่มีตราสัญลักษณ์ต่างชาติบนกำแพง, แค่หัวใจ, มือ, และความหวัง.” (Traore spoke plainly. “We did not wait for anyone. We only needed each other. No IMFs, no Western grants, no foreign logos on walls, just hearts, hands and hope.”)

สมบัติมรดกนั้นได้วิ่งลึกลงไปกว่าบ้านทั้งหลาย. เด็กในโรงเรียนในตอนนี้ฮัมบทเพลงหนึ่งที่ได้กำเนิดจากการรณรงค์. สะอาดแม่น้ำ, ใจผ่องแผ้ว. มันได้สอนอยู่ในบทเรียนทั้งหลาย, ดี้องกันในที่ประชุม, และได้ส่งผ่านต่อกันไปในหมู่พี่น้องทั้งหลาย.  ผู้ใหญ่แบ่งปันเทคนิคเหนือเตาไฟทั้งหลาย. ทำปุ๋ยหมักจากเปลือกกล้วยได้อย่างไร, ถักตาข่ายเพื่อถัวลอยน้ำได้อย่างไร, จะเปลี่ยนการทำความสะอาดแม่น้ำไปเป็นพิธีประจำสุดสัปดาห์ได้อย่างไร.  (The legacy runs deeper than houses. School children now hum a song born from the campaign. Clean river, pure heart. It’s taught in lessons, sung at congregations, and passed between siblings. Adult share techniques over hearths. How to compost banana peels, how to weave nets for floating bins, how to turn river cleanup into weekend ritual.)

อะไรประเภทไหนกันที่ความเป็นผู้นำในการรื้อถอนความจำเป็นต้องการการพาดหัวข่าว? ประชาชาติประเภทไหนกันด้วยมือของตนเอง, แล้วสอนต่อชนรุ่นอายุถัดไปให้ทำเช่นเดียวกัน? เพราะว่านั่นคือแรงกระแทกที่แท้จริง.  (What kind of leadership dismantles the need for headlines? What kind of nation itself with its own hands, then teaches the next generation to do the same? Because that is real impact.)

คำถามทั้งหลายในตอนนี้กำลังฝังรากทั้งในออนไลน์และออฟไลน์.  ไปไกลแค่ไหนที่แบบจำลแงนี้จะแผ่นขยายได้? ประธานาธิบดีคนใหม่ของเซเนกัล หรือไนจีเรียจะนำวิสัยทัศน์กลับไปสู่บ้านหรือไม่? อะไรที่กัปตัน อิบราฮิมเป็นตัวแทนให้กับผู้นำผิวดำในอาฟริกา?  อะไรที่การตื่นขึ้นของบูร์กีนา ฟาโซมีความหมายต่อภาคพื้นทวีปนี้?  (Now questions are taking root online and offline. How far will this model spread? Will the next president of Senegal or Nigeria bring home this vision? What does Captain Ibrahim represent for black leadership in Africa? What does Burkina Faso’s awakening mean for the continent?)

ถ้าเรื่องราวนี้กังวาลสะท้อนไปกับคุณ, จงแบ่งปันมันต่อไปบนWhatApp. เหมือนอะไรที่คุณได้เห็น. กดติดตามช่องของเรา. เรืองราวทั้งหลายอีกมากมายของการฟื้นคืนกลับมาและการปฏิวัติของคนผิวดำ.  ขอบคุณสำหรับการอยู่ในที่นี้. เราหวังจะพบกับคุณอีกในครั้งต่อไป.  (If this story resonates with you, share it on WhatsApp. Like what you’ve seen. Subscribe to our channel. More stories of black resilience and revolution. Thank you for being here. We’ll see you in the next story.)

https://youtu.be/v39Te275AZs?si=-wweS9Nt77f-Gz1k

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น