คนแก่กับเด็ก
จะเทศน์ให้ฟังถึงเรื่อง
“คนแก่กับเด็ก” ซึ่งมันอยู่ห่างไกลกันนัก คนแก่ทำอย่างไรจึงเรียกว่าคนแก่
เด็กทำอย่างไรจึงเรียกว่าเด็ก แล้วมันวิเศษกว่ากันอย่างไร จะเทศน์ให้ฟังตอนยนี้
พระพุทธเจ้าทรงเทศนาว่า
โย จ วสฺสสตํ อปสฺสํ อุทยพฺพยํ
เอกานํ ชีวิตํ
เสยฺโย ปสฺสโต อุทยพฺพยํ
คนแก่
คือคนไม่พิจารณาถึงเรื่องความสิ้นความเสื่อมของชีวิตของตน มีอายุตั้งร้อยปี
ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย สู้เด็กมันเกิดวันนั้นไม่ได้ เด็กเกิดวันนั้น
แต่หากมันมีความคิดความอ่าน พิจารณาเห็นความเสื่อมความสิ้นไปของสังขารร่างกาย
อันนั้นประเสริฐกว่า ท่านว่าอย่างนั้น ท่านเปรียบเฉยๆนี่แหละ ไม่ใช่ความจริง
เด็กเกิดวันนั้นมันจะรู้จักพิจารณาอะไร ท่านเปรียบคนแก่กับเด็กเท่านั้น
คนแก่
ที่ไม่รู้เดียงสาอะไร เฒ่าเสียดาย ตายเสียเปล่า ท่านว่าอย่างนั้น เฒ่าแดดเฒ่าฝน
ไม่คิดถึงชีวิตของตน ไม่เป็นผลอะไรแก่ตนเลย มัวเมาประมาทไปกับลูกหลาน
มัวเมาประมาทไปกับสิ่งของ เก็ยบโน่นเก็บนี่ สะสมอะไรต่ออะไรต่างๆมากมาย
กลัวแต่ลุกหลานจะไม่ได้อยู่ไม่ได้กิน กลัวแต่ลูกหลานจะไม่มี กลัวจะจน
อันเราจนไม่รู้ตัว คนแก่ของเรามักเป็นอย่างนั้น อาตมาก็แก่คนหนึ่งเหมือนกัน
มันต้องมักเป็นอย่างนั้น
ท่านจึงสอนให้คนแก่รู้ตัว คนแก่ควรจะทำตนให้เป็นตัวอย่างกับคนหนุ่ม
ให้กับเด็ก ตัวอย่างในทางที่ดี รู้จักสุภาพเรียบร้อย รู้จักพูดจาอ่อนหวาน
ไม่พูดกระโชกโฮกฮาก ไม่พูดเหยียดหยามคนอื่น ไม่ทำอะไรให้วุ่นวี่วุ่นวายวู่วาม
ไม่รู้จักมัธยัสถ์รักษาตัว ให้เป็นแบบอย่างแก่เด็ก
เรื่องคนแก่ที่ไม่หยุด
ยังไม่เพียงพอ เราต้องรู้ดีทุกๆคน เราแก่มาแล้วเราต้องรู้ทุกๆคน รู้อยู่แต่ว่ายับยั้งไม่ได้
พูดอะไรต่างๆกระโชกกระชาก พูดโฮกฮาก สิ่งที่ไม่ควรพูดก็พูด เอาแต่ใจตน ไม่ได้อะไรตามใจตนแล้วก็เกิดโทสะมานะ
อันนั้นแหละเป็นเหตุเป็นครูเด็กๆ เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ควรที่จะนำเด็กในทางที่ชั่ว
อันเมื่อเด็กชั่ว ก็เชื่อว่ามันชั่วยิ่ง ด่าว่าด้วยประการต่างๆ
มันชั่วมันเลวยิ่งกว่าเลว เราเลวกว่าเขาแล้วไม่ว่า ไม่รู้ตัวเอง
อย่างเช่นความโกรธ
เกิดโกรธขึ้นมาก็พูดกระโชกโฮกฮากเสียงดัง อันที่แท้จริงนั่น
เรามันเสียงดังกว่าเขาเสียอีก เขาเสียงดังไม่เท่าเรา ของเรามันดังยิ่งกว่าเขา
อันนั้นเรียกว่าเราเลวกว่าเขา อย่าเข้าใจว่าเราดีกว่าเขา
นี่พูดถึงเรื่องเด็กกับผู้ใหญ่
ผู้เฒ่าผู้แก่เข้าใจว่าดีทั้งหมด อย่างที่ท่านเทศน์ไว้ว่า คนแก่เฒ่าไม่รู้จักพิจารณาถึงชีวิตสังขารของตน
ว่าแก่เฒ่าชำรุดทรุดโทรมไปแล้ว มีอายุตั้งร้อยปี ก็ไม่มีประเสริฐอะไรเลย
ยิ่งอยู่ไปนานเท่าไร ยิ่งเป็นเครื่องรกโลก คนไม่ดีอยู่นานปีเท่าไร ยิ่งรกโลก อันนั้นเป็นเป็นคนแก่ในทางที่ไม่ดี
คนแก่ของคนไม่เหมือนต้นไม้
ต้นไม้แก่เท่าไรมันยิ่งมีแก่นแข็งแรงขึ้นทุกที แก่ของคนไม่เหมือนแก่ลูกไม้ผลไม้
ลูกไม้แก่เท่าไรยิ่งสุก ยิ่งหวาน แก่เหมือนมะพร้าวค่อยยังชั่วหน่อย
แก่เท่าไรยิ่งมัน อันนั้นก็ยังดี
ความแก่ของคนนั่น
อย่าพูดถึงเรื่องผมหงอกผมขาวแล้วจึงเรียกว่าแก่ แท้ที่จริงมันแก่มาตั้งแต่เกิด
มันเปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับ มันแก่มาโดยลำดับ แต่ไม่ได้พิจารณาถึงความแก่ของเรา
ก็ไม่รู้เรื่องคนแก่ อยู่ด้วยความเพลิดเพลินด้วยความมัวเมา
มัวเมาเข้าใจว่าเราจะไม่แก่ แท้ที่จริงแก่ทุกวี่ทุกวัน
เข้าใจว่าเราจะไมเจ็บ
มัวเมาประมาท แต่แท้ที่จริงมันก็เจ็บอยู่ทุกวัน
เจ็บไข้นั้นเข้าใจว่าล้มหมอนนอนเสื่อ จึงเรียกว่าไข้ ไม่ใช่อย่างนั้น คำว่า “ไข้”
ว่า “อาพาธ” ในที่นี้หมายถึงความเมื่อย ความหิวกระหาย ความหิวโหย
อยากกินนั่นกินนี่ มันป่วยไข้ด้วยกันทั้งนั้น ตายก็เข้าใจว่าเราจะไม่ตาย
ความประมาทมัวเมาเหล่านี้
ท่านเปรียบได้ว่า เกิดในวันนั้นแต่หากรู้จักความเสื่อมความสิ้นไปของสังขารร่างกาย
ก็ประเสริฐกว่าคนแก่นั้นเสียอีด คนเราเกิดขึ้นมามันเป็นเอง อย่างที่โบราณท่านว่า หนามมันคมตั้งแต่ออกมาทีแรก
ธรรมดาหนามนั้นมันคมตั้งแต่ผลิออกมาทีแรก คนเราจะมีสติปัญญาเฉียบแหลม มันต้องคมมาตั้งแต่เบื้องต้นเหมือนกัน
คนคืออะไร?
ความคิดความอ่านมันต้องแปลกเพื่อน มันไม่เหมือนเพื่อน
คิดอย่างเพื่อนแต่มันไม่เหมือนเขา อาตมายังจำได้คำโบราณท่านว่า คิดอย่างเขา
แต่อย่าให้คิดอย่างเขา แต่ให้คิดอย่างเขา คือคิดอย่างเขานั่นแหละ
แต่ไม่เหมือนเขา มันแปลกเขา มันมีแวววาวในตัว
เช่น
ธรรมดาเกิดมาต้องรู้จักตัวของเราดีทุกคน แต่เด็กบางคนที่ผิดแปลกมันจำไม่ลืมเลย
ตั้งแต่เกิดจำไม่ลืม มันผิดแปลกเพื่อนแล้วนั่น มันให้มีแตกต่างอยู่ในนั่นแหละ
บางคนเกิดขึ้นมาแล้ว เกิดความศรัทธาเลื่อมใส ที่จะบวชในศาสนา มันเป็นอย่างนั้น
บางคนเกิดขึ้นมาแล้ว
มาคิดถึงชีวิตร่างกายของตน หรือคนอื่นทั่วไปหมดทั้งโลก
ทำไมหนอคนเราถึงต้องเกิดขึ้นมา ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
อย่างนั้นแหละมันให้มีอยู่ในนั้น
ทำไมคนเราเกิดขึ้นมาแล้วถึงต้องมาเบียดเบียนกันและกัน มันให้มีอยู่ในใจของเขา
ทุกคนมันมีอยู่คนละอย่างไม่เหมือนกัน อันนั้เนเรียกว่าแหลมคมมาแต่เบื้องต้น
ตั้งแต่เกิดมาทีแรก
ครั้นเมื่อเติบโตได้ศึกษาเล่าเรียน
เกิดความรู้ความฉลาด ก็ได้จากอันนั้น จนกระทั่งตั้งตัวตั้งตนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ได้
ก็ดำเนินตามแนวความคิดความฉลาดแหลมคมของตน ที่เป้นมานั่น อย่างนี้จะเป็นวาสนาบารมีก็ใช่
หรือบางคนไม่คิดไม่นึกอะไรเลย เฉยๆเรื่อยๆเป็นไปตามบ้านตามเมืองตามหมู่ตามเพื่อน
เขาจะทำอะไรก็ทำอันนั้น เขาคิดอะไรก็ไปตามเรื่องตามราวกับของเขา
นี่จะเรียกว่าวาสนาก็ใช่
แต่ว่า
นิสัยวาสนานั่นเราต้องช่วย วาสนาส่งเสริมมาให้เขาเป็นผู้เป็นคน
ให้เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด นั่นเรียกว่า วาสนาช่วยเหลือ
ให้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แต่เราต้องช่วยวาสนาอีกทีหนึ่ง
ไม่ใช่จะให้แต่วาสนาช่วยเราอย่างเดียว เมื่อเราไม่เป็นเช่นเราภาวนาไม่เป็น
บุญวาสนาก็ไม่มี เราต้องหัดต้องทำต้องอบรม นี่เรียกว่าเราช่วยวาสนา
บุญบารมีของเราไม่มี เราทำไม่เป็นไม่รู้ไม่เข้าใจ เราต้องพิจารณา ต้องคิดต้องนึก
ต้องจำต้องตั้งสติ พิจารณาให้รอบคอบรอบรู้ เรียกว่าเราช่วยวาสนา
จะไปให้แต่วาสนาส่งเสริม อยากจะเป็นอยากจะได้ คอยท่าวาสนาส่งเสริม อย่างนั้นไม่ได้
การเกิดมาเรียกว่ามาสร้างบารมี
มาสร้างวาสนา การกระทำนั่นแหละเป็นการสร้างบารมี สร้างวาสนา ทำให้มันเคยชินจนชำนาญ จนติดนิสัย
ตั้งสติกำหนดพิจารณาอันใด ก็ให้มันแน่วแน่เต็มที่ เมื่อเรายังไม่เคยปฏิบัติ
สติสตังก็ยังไม่แน่วแน่ ฟุง้งซ่านส่งส่ายคือสติไม่มี เมื่อเรามาหัดสติเข้า
แล้วควบคุมจิตอยู่ ให้แน่วแน่อยู่กับที่ เมื่อเราหัดได้แล้ว
เรียกว่าช่วยวาสนาให้เจริญขึ้น ดีกว่าแต่ก่อน ดีกว่าไม่ได้หัด
เมื่อทำให้มันดีอย่างนั้นแล้ว จะเอาอย่างไรกันอีกล่ะคราวนี้ จะเอาที่ไหน เมื
อเห็นตัวเราแล้ว เมื่อเราอบรมฝึกฝนเห็นตัวของเราแล้ว มันเป็นไปอย่างนั้นแล้ว
ก็ดีขึ้นแล้ว อย่างเช่น เราละชั่ว แต่ก่อนไม่เคยละ
หรือไม่เคยพิจารณาเรื่องความชั่ว คราวนี้เรามารักษาศีล
มาอบรมจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในศีล ก็รู้จักว่า อ้อ! มันผิดข้อนั้นๆ ตรงนั้นๆ เราก็ระมัดระวัง เราก็ตั้งใจรักษาความดี
ตั้งสติมั่นอยู่ตลอดเวลา นั่นก็เป็นการช่วยเหลือนิสัยวาสนาของเรา
มันก็ดีขึ้นแล้ว
นี่พอภาวนาเข้านิดๆหน่อยๆ
ก็อยากจะให้บรรลุมรรคผลนิพพาน โอย!
มรรคผลนิพพานนั่นเอาไว้ก่อนเถิด เอาเท่านี้เสียก่อน
รักษาสติควบคุมจิตให้มันตั้งมั่นอยู่ ให้มันแน่วแน่นี่เสียก่อน
มรรคผลนิพพานเอาไว้ต่างหาก มรรคผลนิพพานไม่ใช่ใครจะมายื่นให้
ไม่มีใครมาหยิบยานให้หรอก หยิบยื่นให้ได้แต่เพียงแค่หัดสติ
ทำสมาธิให้แน่วแน่เท่านั้น หยิบยื่นให้ได้เพียงแค่นั้น ถ้าเอามันก็ได้
ถ้าไม่เอามันก็ไม่ได้ ถ้าทำอันนี้แก่กล้าแล้ว มรรคผลนิพพานมันก็ค่อยเป็นไปเอง
มันไหลมาเอง
นี่เราพูดถึงเรื่อง
“คนแก่กับเด็ก” เมื่อคนแก่ไม่ทำประโยชน์อะไร เกิดมาก็ไม่มีประโยชน์เลย
อายุมากเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์ สู้เด็กๆไม่ได้ เด็กมีอายุวันเดียว
แต่หากมันช่างคิดช่างนึก ช่างพิจารณาถึงความเสื่อมความสิ้นของสังขารร่างกาย
ว่ามันเป็นจริงย่างนั้นๆ ก็ดีกว่าคนแก่ นี่เปรียบเทียบคนแก่กับเด็ก
เอาละ.
***************
คำโบราณท่านว่า
คิดอย่างเขา
แต่อย่าคิดอย่างเขา
แต่ให้คิดอย่างเขา
นำนั่งสมาธิ
อธิบายให้ฟังแล้ว
คนแก่สู้เด็กไม่ได้ คราวนี้เราจะให้ดีกว่าเด็ก เด็กเกิดวันนั้นมันพิจารณาอย่างไร
มันจึงดีกว่าคนแก่
เราต้องเอาตัวของเรา
พิจารณาตัวของเราคนแก่นี่แหละ ว่าเรานี้แก่แล้ว ความแก่เรามีอยู่ประจำตัว
เอาความแก่เป็นอารมณ์ตรงนั้นก็แก่ ตรงนี้ก็แก่ เนื้อหนังมังสา รูปร่าง อัตภาพ
ผิวพรรณ ทุกสิ่งทุกอย่างแก่หมด ซูบซีดไปทุกสิ่งทุกอย่าง เหี่ยวแห้งไปหมด
เนื้อหนังมังสะหายไปไหน มันจึงเหี่ยวแห้ง ค่อยหมดสิ้นไป มันหายไปไหน?
พิจารณาตรงนั้นแหละ แล้วมันจะดำเนินไปยิ่งกว่านั้นอีก
มันจะเป็นอะไรอีก? มันเหี่ยวแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
หนังจะเหี่ยวแห้งไปจนติดกระดูก จนกระทั่งหลุดออกจากกระดูก เหลือแต่กระดูกแล้ว
กระดูกจะเป็นอย่างไร มันก็ต้องกองอยู่ที่ดิน จะให้อยู่ยืนยาวนักก็อยู่ไม่ได้
เมื่ออาศัยไม่ได้มันก็หนี ตกลงเขาเรียกว่าอสุภะ ซากอสุภะ ยังเหลือแต่ซาก
ตัวมันหนีไปแล้ว
แล้วเราจะยึดอะไรถืออะไร?
ไม่มีเครื่องยึด พิจารณาลงอย่างนั้น เอาเฉพาะกายนี่แหละ
เราพิจารณาอย่างนี้ก็จะชนะเด็ก การพิจารณาความเสื่อมความสิ้นก็พิจารณาอันนี้แหละ
ให้เห็นอยู่ตลอดเวลา พิจารณาอยู่ทุกเมื่อ มันจะเห็นคุณค่าภายหลัง เมื่อเจ็บเมื่อป่วยตอนโนมันจึงค่อยเห็น
พิจารณาให้เห็นตามเป็นจริงเสียในเวลานี้ เมื่อถึงคราวมันเป็นจริงขึ้นมา
จิตใจจะไม่เดือดร้อนวุ่นวาย มีแต่ความสงบเยือกเย็น
พิจารณาเอาไว้ให้มากๆ
ให้สมกับที่ว่าเป็นนักภาวนา เป็นนักกัมมัฏฐานนักภาวนา นักกัมมัฏฐานมันต้องเก่ง จึงจะเรียกว่า
“นัก” ให้มันชำนาญเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้
เมื่อมันแก่เฒ่าชรามา ถึงคราวนั้นแล้วจะได้อาศัย
ถ้ารอไว้จวนจะตายเสียก่อนค่อยพิจารณา จวนจะตายเสียก่อนจึงค่อยให้มันเห็น โอย! ถึงเวลานั้นมันไม่ได้หรอก ต้องพิจารณาเวลานี้ละ
ให้มันชำนิชำนาญ มันจะเห็นคุณประโยชน์ในเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย จะเห็นตามความเป็นจริง
คือเราหัดพิจารณาของที่เป็นจริงเหล่านั้นแล้เว คราวนี้เราป่วยไข้ก็จะเห็นว่า
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นจริงเหมือนดังที่เราภาวนา ดังที่เรารู้เห็นอยู่นั้น
มันก็ปลงลงไปได้ มรณานุสติก็อยู่ในนั้น
คนเรามีการสิ้นสุดในขณะนั้นแหละ
ทำอะไรๆทั้งหมดมันสิ้นสุดลงในขณะนั้นทั้งนั้น ทำดีก็ได้ในขณะนั้น
ทำชั่วก็เห็นในขณะนั้น อย่างที่อธิบายมาแล้วเรื่อง
กรรมนิมิต-คตินิมิต
ที่เราทำอยู่นั้นเรียกกรรมนิมิต ทำดีอยู่เสมอๆ มันก็เห็นชัดอย่างนั้น
เมื่อพิจารณาอย่างนั้นอยู่ เวลามันจะเกิดกรรมนิมิต มันก็เห็นอย่างนั้น
เวลามันจะแตกจะดับก็ชัดอยู่อย่างนั้น คตินิมิตคือที่ๆ จะไปเกิดในภูมิอะไรต่างๆก็ปรากฏให้เห็นให้รู้
เราไม่ได้แต่งเอาหรอก
นี่แหละสิ่งที่ต้องช่วยตัวเอง
ไม่มีใครช่วย หมู่เพื่อนก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี ไม่มีใครไปช่วยได้
เราช่วยตนเองทั้งนั้นแหละ เวลาเราจะตายไม่ทราบว่าเราจะตายตรงไหน ตายในป่าในรก
รถคว่ำตายก็มี ตกน้ำตายก็มี ใครจะไปตามแนะนำพร่ำสอนกัน ก็ต้องพึ่งตนเองน่ะซี
***************
วาสนาช่วยเราแล้ว
แต่เราต้องช่วยวาสนาอีกทีหนึ่ง
ไม่ใช่จะให้แต่วาสนาช่วยเราอย่างเดียว
การกระทำนั่นแหละ
เป็นการสร้างวาสนา
สร้างบารมี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น