หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เจ้าเป็นใครหรือ, มนุษย์?

เจ้าเป็นใครรึ, มนุษย์?
Who Are You, Human?  from The Most Confidential Knowledge

เจ้าเป็นใครรึ, มนุษย์? หนทางที่เราจะตอบคำถามนี้, จะกำหนดระบุถึงจุดประสงค์(purpose)และความหมาย(meaning)ของชีวิตของเรา.  ถึงแม้จะดูเหมือนว่าคำตอบนั้นง่าย, แต่ปัญหาของมนุษย์สมัยใหม่(modern humans)ก็คือว่า, พวกเขาไม่ได้ตระหนักอย่างเต็มที่ถึงว่า อะไรคือที่มนุษย์สถาปนาขึ้นมา(humans constitute).  เราจะพยายามตอบคำถามพื้นฐานของการดำรงอยู่นี้, บนพื้นฐานของปัญญาโบราณ แห่ง คัมภีร์พระเวท(the ancient wisdom of the Vedas).

พระเวท (Vedas) เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์โบราณ(ancient Holy Scripture) ที่บรรจุไว้ด้วยข้อมูล(information)ของบรรดารูปลักษณ์ทัศนคติทั้งหลายของชีวิต(all aspects of life).  ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานเหล่านั้น, คัมภีร์พระเวทได้อยู่รอดตลอดมาที่ในประเทศอินเดีย, และนี้เองที่นำไปสู่การที่ผู้คนมากมายเชื่อว่างานเขียนนี้เป็นของอินเดีย.  ที่จริงแล้ว, พระเวท(the Vedas)เป็นความรู้ของทั้งจักรวาล(universal knowledge). 

คัมภีร์โบราณ(ancient scripture)ของโลกนี้, พระเวท, บอกว่ามนุษย์(human)ประกอบด้วย 3 โครงสร้างหลัก(three main structure), กายหยาบ(physical body) กายละเอียด(subtle body) หรือ จิต(the mind) และ กายวิญญาณ(the soul) ที่เป็นแหล่งของความรับรู้ตระหนักรู้(source of consciousness). 

ความจำเป็นทั้งหลายทางกายภาพ ของ มนุษย์ (physical needs of human)
          กายหยาบทางกายภาพ(physical body)นี้ เป็นสิ่งจริงที่เห็นได้ชัดมากที่สุด(obvious reality)ตามที่คัมภีร์พระเวทบอกไว้. มีสี่ความจำเป็นพื้นฐาน(four basic needs)สำหรับกายหยาบ(physical body)นี้, อาหาร(food)/นอน(sleep)/เพศสัมพันธ์(sex)และ ปกป้อง(defense).  เราประสบกับความต้องการอย่างแรงกล้าเหล่านี้เพราะเป็นสิ่งจำเป็น(needs) และเพื่อเห็นกับการอยู่รอดสบายของร่างกาย(bodily comfort), เราจึงพยายามที่จะสนองต่อพวกเขา(satisfy them)ไปถึงเต็มเปี่ยมขอบเขต(fullest extent).  ในการที่จะเติมเต็มความต้องการในเรื่องของอาหาร(food), มีมุมมองมากมายที่มาจากการที่จะเลือก, อุตสาหกรรมอาหาร(food industry), ร้านค้าปลีกเครือข่าย(retail chain), เตา(stove), เครื่องครัว ฯลฯ. 
สำหรับการนอนหลับสบาย(comfort sleeping), ผู้คนพยายามที่จะติดตั้งอุปกรณ์ในบ้านของพวกเขาด้วยสิ่งอำนาวยความสะดวกสมัยใหม่ทั้งหลาย(modern amenities), ที่ถูกจัดหา(supplied)ให้พวกเขาโดยอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไปตลอด(ever-changing industry).
ความต้องการอย่างที่สามของกายหยาบ(body)คือการสมาคมกับเพศตรงข้าม(association of the opposite sex).  การจะได้รับสิ่งนี้(enable this), มีหลากหลายรูปแบบของการบันเทิงทางสังคม(social entertainment), ที่ชายและหญิงได้ปะทะร่วมกันเพื่อกระตุ้น(stimulate)ความสนใจในเพศตรงข้าม.  ในคัมภีร์พระเวทมีความบท(treatise)กับเรื่องนี้, กามสูตร(Kamasutra), ที่ได้มีชื่อเสียงแพร่ไปทั่วโลก, ในเรื่องความสามารถของมัน(abilities)ที่ช่วยเติมเต็มความต้องการที่สามนี้. 
ท้ายสุด, ความต้องการที่สี่ของกายหยาบ(physical body)คือความจำเป็นที่ต้องมีการปกป้องคุ้มครอง(protection).  กายหยาบ(physical body)และผู้อาศัยของมันนี้(its habitat)สามารถตกอยู่ใต้ผลร้ายของภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง(adverse climate changing), หรือถุกรุกราน(aggression)จากส่วนอีกของสภาพแวดล้อม. ผู้คนอาจจะกลายเป็นเจ็บป่วย, ได้รับบาดเจ็บ, หรือตกเป็นเหยื่อของโจรผู้ร้าย, ดังนั้น, จึงมีระบบของการปกป้องคุ้มกัน(protection)และสวัสดิการ(welfare)สำหรับร่างกาย(body)ของเรา. 
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้(achieve this goal), ในระดับปัจเจกบุคคล(individual level),  กุญแจล็อคประตู, ระบบสัญญานเตือนภัย (alarm system), แก๊สน้ำตา(tear gas), สเปรย์พริกไทย(pepper sprays), และวิธีอื่นๆอีกที่จะป้องกันตนเอง(self-defense).  ในระดับสังคม(societal level), มีบริษัทประกันชีวิตทั้งหลาย(assurance companies), กรอบบริการดูแลสุขภาพ(healthcare frameworks), และตำรวจคอยปกป้องเรา, และกองทัพที่จะปกป้องเราจากศัตรูภายนอก(external enemies). 
สังคมที่ดีกว่าจะจัดหาความต้องการ( four requirements)ทั้งสี่อย่างนี้ให้กับเรา.  มันยิ่งได้ถูกพัฒนามากยิ่งขึ้นจากมุมมองเชิงวัตถุ(material point of view).

ความจำเป็นทั้งหลายทางกายละเอียด(subtle body)ของมนุษย์
          มนุษย์ไม่ได้อาศัยแค่ขนมปังเพียงอย่างเดียวในการมีชีวิต, เขามีความจำเป็นที่ละเอียด(subtle needs)มากกว่าที่ซึ่งพวกเขาได้มาจาก.  ความจำเป็นที่ละเอียด(subtle needs), แน่นอนล่ะ, ว่ามาจากโครงสร้างที่ประณีตมากกว่า(a more fine structure), กายละเอียด(the subtle body), หรือจิตของเรา(our mind). อะไรหรือคือความต้องการของมัน.  กายละเอ้ยด(subtle body)จำเป็นต้องการ(needs)การแสดงออกของตนเองเชิง ข้อมูล(informations), อารมณ์(emotion) และสร้างสรรค์(creative self-expression).  ดังนั้นผู้คนจึงสามารถรื่นรมย์กับ อิสรภาพของการพูด(freedom of speech), อิสรภาพของการคิด(freedom of thought), อิสรภาพของการสร้างสรรค์(freedom of creation) และอิสรภาพของการเผยแพร่ต่อสาธารณะ(freedom of publication). 
          กายละเอียด(subtle body)ของเรา, ทำให้ปรากฏชัดออกมาผ่านการแสดงออกของตนเอง(self-expression)นี้, ในบางครั้งกายละเอียด(subtle body)เป็นเช่นรังสี(aura)ที่เปล่งอยู่เหนือ(transcend)กายหยาบ(physical body).  ในการที่จะบรรลุความจำเป็นต้องการของกายละเอียด(subtle body), ก็มี สถาบันการศึกษาทั้งหลาย(education institutions), สื่อ(media), อินเตอร์เน็ต(internet), ห้องสมุด(libraries), หอประชุมคอนเสิร์ทและนิทรรศการ(concert and exhibition hall), โรงละคร(theatres), ภาพยนต์(cinemas) และสโมสรของความสนใจต่างๆทั้งหลาย
 (clubs of interests).

ความจำเป็นทั้งหลายทาง กายวิญญาณของมนุษย์(the human soul).
          ดูเหมือนว่าการวิเคราะห์(analysis)ถึงกายหยาบและกายละเอียด(the physical and subtle bodies) สามารถบริบูรณ์ครบตามคำบรรยาย(description)ถึงบุคคลใด.  วิชาสรีรวิทยา(physiology)ศึกษาถึงเรื่องกายหยาบ(the physical body). จิตวิทยา(psychology)ศึกษาเรื่องกายละเอียด(subtle body), แต่มทั้งหมดเพียงแค่นี้หรือที่บอกระบุถึงบุคคลใดคนหนึ่ง.  ความจำเป็นต้องการทั้งหมดมีเพียงแค่นี้หรือที่เรามองหา. 
คัมภีร์พระเวท(Vedas)บอกว่ายังมีความต้องการที่ละเอียดมากยิ่งกว่า, ที่มาจากเบื้องลึกของวิญญาณ(the depth of the soul) ที่ซึ่งเล็กละเอียดยิ่งไปกว่าร่างจิต(mental body)ของเรา.  ตามที่คัมภีร์พระเวท(Vedas)บอกไว้, วิญญาณ(the soul)นั้น, เป็นรูปลักษณ์ของข้าพเจ้า(aspects of I) ที่เป็นไร้สิ้นสุด(eternal) และไม่เปลี่ยนแปลง(unchanging), ในขณะที่กายหยาบและละเอียด(physical and subtle bodies)มีการเปลี่ยนแปลง.
อะไรคือความจำเป็นต้องการ(needs)และคุณลักษณะของวิญญาณ(characteristics of the soul), ความจำเป็นต้องการของวิญญาณ(the needs of the soul)นั้นคือ นิรันดร(eternity), ความรู้อันสมบูรณ์สิ้น(comprehensive knowledge)และความสุข(happiness).  แล้วผลผลิตของความไม่ถาวร(product of temporality)นี้ที่มีแรงปรารถนาของความนิรันดรอย่างไรได้ล่ะ.  ตัวอย่างเช่น กายหยาบ(physical body)ของเรานี้อาจต้องการเพียงแค่ธาตุ(elements)ที่มันประกอบเข้าด้วยกัน(composed of), ถ้าอะไรบางอย่างภายในของเราเกิดปรารถนา(desire)ถึง ชีวิตนิรันดร(eternal life), และนี่คือธรรมชาติที่แท้จริงของความตั้งใจ(true nature of the Willing) นั่นคือ ความตระหนักรู้(consciousness - สติสัมปชัญญะ)ความตระหนักรู้(consciousness-สติสัมปชัญญะ)นี้เป็นเครื่องหมายของวิญญาณ(sign of the soul)หรือ?
ความจำเป็นต้องการอย่างที่สองของวิญญาณ(the second need of the need) soul)คือ ความรู้ที่สลับซับซ้อน(comprehensive knowledge). สิ่งนี้แตกต่างไปจาก โลกียวิสัย(mundane).  ความรู้ที่ใช้ได้จริงและเหมาะสม(practical and applicable knowledge)จำเป็นต้องการเพื่อที่จะสร้างสรรค์ความสบายทางวัตถุ(create material comfort).  ความรู้ทางจิตวิญญาณ(spiritual knowledge)ไปไกลโพ้นเลยจากสภาวะใช้การได้ทางวัตถุในทุกวัน(everyday material practicality), และให้คำตอบต่อคำถามที่ไม่มีคำตอบทั้งหลายของชีวิต(unanswered questions of life). เราเป็นใคร? เรามาจากที่ไหน? อะไรคือความหมายของชีวิต(what is the meaning of life?).  นั่นเป็นความรู้ประเภทนี้หรือที่วิญญาณจำเป็นต้องการมากที่สุด (the soul needs the most)? 
ความต้องการอย่างที่สามของวิญญาณ(the third requirement of the soul) คือ ความปรารถนาที่จะมีความสุข(desire to be happy)และรื่นรมย์ปีติ(enjoy)ในทุกโอกาส(all circumstances).  นี่คือหลักฐาน(evident)ในทุกการเคลื่อนไหว(movements)ของพฤติกรรมของเรา(our behavior).  เรามักจะมองหาเสมอถึง สถานที่ที่สะดวกสบาย, อาหารอร่อย, เลือกเสื้อผ้าที่สมัยนิยมและสวมสบาย(fashionable and comfortable clothes), ฟังเพลงที่ไพเราะ, พยายามดิ้นรน(striving)ที่จะติดต่อสื่อสาร(communicate)กับผู้คนที่น่าสนใจ(interesting people) ฯลฯ  ดังนั้นพูดได้ว่า ทุกคนกำลังพยายามที่จะให้ได้สิ่งที่ดีสุดจากชีวิต(to take the best from life).  ตามที่คัมภีร์พระเวทกล่าวไว้, นี้คือการที่พันธะสัญญา(our commitment)ของเราสู่ความเป็นเลิศได้อย่างไร, ซึ่งเราครั้งหนึ่งได้คบหาสมาคม(in contact) กับการประกาศอย่างไม่ได้ตระหนักรู้โดยตัวมันเอง(unconsciously manifests itself).
ดังนั้น, นี้คือความจำเป็นต้องการของสติสัมปชัญญะ-ความตระหนักรู้(the needs of consciousness) กระจายฟุ้งออกมาจากวิญญาณ(emanating from the soul).  อย่างชัดเจนว่าพวกเขาขัดแย้ง(in conflict)กับความสามารถอันจำกัดของร่างกายภาพ – กายหยาบ (limited abilities of the physical body)สิ่งนี้สร้างสรรค์สำนึกภายใน(inner sense) ของความไม่พึงพอใจในชีวิต(dissatisfaction in life) ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานะเจริญทางวัตถุ(material prosperity).  ตามสถิติแล้ว, เปอร์เซนต์ที่สูงที่สุดของการฆ่าตัวตาย, เกิดจากสาเหตุความไม่พอใจภายในตน(internal discontent, นี่นำไปสู่สำนึกของการดำรงอยู่อย่างไร้ความหมาย(sense of meaningless existence) ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศที่ส่วนใหญ่พัฒนาทางการเงินไปมากที่สุด(the most financially developed countries).

ธรรมชาติของ สติสัมปชัญญะของมนุษย์ (The nature of human consciousness)
          วิทยาศาสตร์สมัยใหม่(modern science)อ้างเอาว่า สติสัมปชัญญะ(consciousness) คือผลผลิตของสสารที่จัดรวมเข้าด้วยกันอย่างยิ่งยวด(highly organized matter) หรือ สมอง(brain).  อย่างไรก็ตาม, การวินิจฉัยนี้(assertion) ก็ยังเป็นที่ถกเถียงได้อยู่(debatable).  ในอันที่จริงแล้ว, สสารที่จัดรวมเข้าด้วยกันอย่างยิ่งยวด(highly organized matter)นี้, ตัวของมันเองต้องการการเข้าถึงที่รู้สึกตัว(conscious approach) หรือการยักย้ายจัดการอย่างมีไหวพริบปัญญาของสสาร(intelligent manipulation of matter), ดังนั้นเอง, คำจำกัดความ(definition)นี้ได้ในตัวเอง. ในสิ่งเพิ่มเติม, ไม่มีธาตุเคมี(chemical elements)ใดตามลำพังในร่างกายของเรา, ครอบครอง(possess)สติสัมปชัญญะ(consciousness) รวมทั้งเซลสมอง(brain cells) ไม่มีการผนึกกัน(no combination)ของธาตุ(elements)เหล่านี้ที่จะให้กำเนิด(generate)สติสัมปชัญญะ(conscious-ness), แต่อย่างไรก็ตาม(nevertheless), เราแต่ละคนมี สติสัมปชัญญะ.
          ในภาษาสันสกฤตของคัมภีร์พระเวท(Vedas Sanskrit), สติสัมปชัญญะ ถูกเรียกในคำ(term)ว่า ชีวะ(Jiva-ชีวิต), อีกคำคือ อัตมะ(Atma-วิญญาณ) ที่แปลว่า ประกายของพลังงานจิตวิญญาณ(spark of spiritual energy) หรือแค่ว่า จิตวิญญาณ(the soul).  บรรดานักวิทยาศาสตร์ที่ International bhakti vedanta institute ได้ออกคำแนะนำ(introduction)อย่างฉับไวในคำศัพท์วิทยาศาสตร์ของ วิญญาณ (spirit) กำหนดให้ชื่อตาม สติสัมปชัญญะของแต่ละคน(individual consciousness) หรือ จิตวิญญาณ (soul). มันกำหนดขึ้น(come about)มาจาก คำในภาษาอังกฤษว่า spirit.  spirit – soul.
          อนุภาคของสติสัมปชัญญะ (particles of consciousness) เป็นสิ่งแตกต่างในพื้นฐาน (fundamentally different) จาก อนุภาคที่เล็กที่สุดของวัตถุ (the smallest particles of matter) เช่น อิเลกตรอน โปสิตรอน ฯลฯ
          คุณสมบัติหลักของ อนุภาควิญญาณ(spiriton) คือ
1)    เป็นผู้แบกรับชีวิต(the bearer of life)
2)    จำนวนของอนุภาควิญญาน(spiriton)นั้น เป็นอนันต์(infinite)
3)    อนุภาควิญญาณ(spiriton)ไม่สามารถถูกสร้าง(created) หือถูกทำลาย(destroyed)ได้ มันเป็น ธรรมชาตินิรันดร์(eternal nature)
4)    อนุภาควิญญาณ(spiriton)มี สติสัมปชัญญะ(consciousness) และเจตจำนงอิสระ(freewill)
5)    อนุภาควิญญาณ(spiriton)มี ธรรมชาติเฉพาะตัว (personal nature)

ในเมื่อ อนุภาควิญญาณ(spiriton) เป็นสมาชิกของประเภทพลังงานขั้นสูง(higher energy) ที
เป็นสิ่งตรงข้ามกับวัตถุ(in contrast to matter) ซึ่งเป็น พลังงานขั้นต่ำที่สุด(the lowest energy), มันจึงไม่มีคุณลักษณะเชิงวัตถุ(material characteristics). และดังนั้นเอง, มันจึงไม่สามารถถูกตรวจพบ(detected)ได้ด้วยการทดลองทางกายภาพ(physical experiment). อย่างไรก็ตาม, ยังมีสัญญาน(indirect signs)โดยอ้อมบางอย่างที่เราสามารถลงความเห็นได้ถึงการปรากฏมีอยู่ของ อนุภาควิญญาณ(spiriton)ในสสารวัตถุ(matter).

คุณลักษณะที่ 1
          เมื่อสสารวัตถุ(matter)นั้นว่างเปล่าจากการปรากฏมีของ สติสัมปชัญญะ(consciousness-การตระหนักรู้) หรือ อนุภาควิญญาณ(spiriton), มันก็จะเฉื่อยชา(inert) หรือ ตาย(dead).  เมื่ออนุภาควิญญาณ(spiriton)อยู่ข้างในสสารวัตถุ(matter), สสารวัตถุนั้นก็จะแสดงออกมาให้เห็นถึงสัญญาน(signs)ของชีวิต(life). เหมือนดังเช่น เครื่องจักรที่ไม่มีชีวิต(inanimate machine)กำลังแสดงสัญญานชีวิตเมื่อมีใครคนหนึ่งจุดสตาร์ทเครื่องมัน.
คุณลักษณะที่ 2
          สสารวัตถุในตัวของมันเองถูกทำให้มีคุณลักษณะ(characterized)ด้วยเนื้อหาระดับต่ำของข้อมูล(a low content of information) หรือขาดซึ่งรูปทรงภายนอกจำเพาะ(specific external shape), นอกเสียจากโครงสร้างของอะตอมและโมเลกุล(atomic and molecular structure). การปรากฏมีของอนุภาควิญญาณ(spiriton)ในสสารวัตถุเติมเต็มมันด้วยเนื้อหาข้อมูลในระดับสูง(high informative content), และให้รูปทรงคอนกรีตและจำเพาะ(concrete and specific form)แก่มัน. ในการที่จะเข้าใจในเรื่องนี้, แค่เปรียบเทียบโครงสร้างตาตารางผลึกของแร่ต่างๆ(crystal lattice structure of minerals) กับโครงสร้างซับซ้อนอย่างที่สุดของเซลล์สิ่งมีชีวิต(extremely complex stricture of living cells).


คุณลักษณะที่ 3
          การปรากฏมีของ อนุภาควิญญาณ(spiriton)ในสสารวัตถุ(matter)ดำเนินงาน(runs)ระบบจักรกล(mechanism)ของกระบวนการเผาผลาญอาหาร(metabolism), ซึ่งจะไม่สังเกตเห็นได้ในสสารวัตถุไร้ชีวิต(inert matter).

คุณลักษณะที่ 4
          เครื่องจักรที่ไม่มีชีวิต(inanimate machine)มีแนวโน้มที่จะเสียรูปทรง(shape)ของมันในระหว่างการเปลี่ยนร่าง(transformation), แต่สสารวัตถุที่มี อนุภาควิญญาณ(spiriton)ระหว่างการเปลี่ยนร่างและการงอกใหม่ทดแทน(transformation and regeneration) ไม่ได้สูญเสียรูปร่างอันซับซ้อนและจำเพาะ(complex and specific form)ของมันไป. สสารวัตถุที่ตายไม่สามารถผลิตซ้ำ(reproduce)ตนเอง, แต่สสารวัตถุที่มีชีวิตสามารถทำได้. ตัวอย่างเช่น, เครื่องจักรไม่ได้ให้กำเนิดเครื่องจักรน้อยๆออกมาเองได้, แต่ต้นไม้ทิ้งเมล็ด(seeds)เอาไว้เบื้องหลังซึ่งต้นไม้ใหม่ได้ก่อกำเนิดขึ้นมาจากดเมล็ดนั้น.

คุณลักษณะที่ 5
          สสารวัตถุตาย(dead matter - ไม่มีชีวิต)เติบโต(grows)ได้ก็ด้วยเพียงการสะสมตัวของมวลภายนอก(external mass accumulation), แต่ อนุภาควิญญาณ(spiriton)ภายในสสารวัตถุกระตุ้น(stimulates) การเติบโตของสสารวัตถุจากภายใน, แสดงให้เห็นถึงกระบวนการที่ซับซ้อน(complex process) ของการพัฒนาสติสัมปชัญญะ(consciousness development).  ผลึก(crystal)นั้นแค่เติบโตขึ้นในปริมาตร(volume)โดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติพื้นฐาน(fundamental qualities)ทั้งหลาย, แต่ชีวอินทรีย์ที่มีชีวิต(living organism)นั้น เติบโตเปลี่ยนแปลง(growing changing)สติสัมปชัญญะ(consciousness)ของมันและส่งผ่านทะลุไปตามลำดับขั้นอายุ(age)เช่น ทารก(infancy)/เด็ก(childhood)/วัยรุ่น(adolescence)/ผู้ใหญ่(adulthood)/ชรา(old).

คุณลักษณะที่ 6
          ผลกระทบที่มีต่อ(affected)ของสสารวัตถุไร้ชีวิต(inert matter) ปรากฏออกมาแต่เพียงต่อต้านอย่างเฉยนิ่ง(passive resistance)ของวัสดุนั้น(material). การปรากฏมีของ อนุภาควิญญาณ(spiriton)ในสสารวัตถุได้สร้างสรรคกลไก(mechanism)ของการปรับตัว(adaptation)ต่ออิทธพลภายนอก(external influences), และบงการ(manifest)ตนเองเป็นการมีปฏิกิริยาต่าต้านขัดขืน(active resistance)ต่ออุปสรรคสิ่งกีดขวาง(obstacles).  ตัวอย่างเช่น, การพยายามที่จะตีลูกบอล, การต่อต้านขัดขืนก็จะมีแค่ที่ระดับโมเลกุล(molecular level), แต่ถ้าคุณตีสิ่งมีชีวิต(creatures)ที่มี อนุภาควิญญาณ(spiriton) มันก็จะวิ่งหนีไป, หรือไม่ก็แสดงออกถึงปฏิกิริยาต่อต้านขัดขืน(active resistances)ที่สสารไร้ชีวิต(dead matter)ไม่สามารถมีได้. เมื่ออากาศหนาวเย็น, เราก็สวมเสื้อผ้าหนาอบอุ่น, เมื่ออากาศร้อนก็เปิดหน้าต่างกว้างและสวมใส่เสื้อผ้าบางเบา.  ในวิถีทางนี้, อนุภาควิญญาณ(spiriton)มีอิทธิพลต่อเราให้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม(environment).

          นอกเหนือจากดังกล่าวมาแล้ว, สติสัมปชัญญะ(consciousness)นั้นมีธรรมชาติ(nature)ที่แตกต่างไปจากธรรมชาติของร่างกายภาพ(nature of physical body). หลักการนี้และยังได้รับการเข้าใจโดยองค์ประกอบโดยอ้อมบางอย่าง(indirect factors)ในการให้ชื่อ(naming)ส่วนต่างๆของร่างกาย(body), เราพูดว่า นี่มือของฉัน/นี่หัวของฉัน/นี่ขาของฉัน คือร่างกายของฉัน. เราไม่ได้พูดว่า ฉันเป็นร่างกาย. พูดถึงร่างกายของฉัน, เราหมายถึงว่า ร่างกาย(body)นั้นมีเจ้านาย(the boss), นั่นคือ จิตวิญญาณ(the soul).
          เมื่อญาติพี่น้องตาย, สมาชิกครอบครัวจะคร่ำครวญว่า คุณจากไปไหน. แน่นอนละว่า, การยืนยัน(assertion)นี้ส่อความนัย(imply)ว่า ร่างกาย(body)นั้นได้ถูกทิ้งไปโดยใครบางคนผู้เป็นตัวตนจริง(true person), ผู้เป็นเจ้าของร่างกายนั้น(the owner of the body).
          ปราศจากสติสัมปชัญญะของจิตวิญญาณ(consciousness of the soul), ร่างกายนี้ก็หมดคุณค่าทั้งหมด(all values)ของมัน, และถ้าไม่ได้ถูกฝังลงไปในดิน ก็ถูกเผา(cremated)    . ความจริงที่น่าสนใจ(interesting fact)คือ การที่องค์ประกอบทางเคมี(chemical composition)ของร่างกายที่ตายกับที่มีชีวิตอยู่ต่างเหมือนกันทั้งหมด(completely identical).  มากไปกว่านั้นคือ ความตายนั้นเป็นขบวนการ(instantaneous process)ทันทีและบังเกิดขึ้นเมื่อความปรารถนา(the lust)ของดวง
ตาหายไป, และในการต่อสู้ดิ้นรนที่ปราศจากทักษะ(skilless cope) ปรับแก้การตรวจฟังทางไฟฟ้า(fixing electrical auscultation) x’ ในสมองแสดงให้เห็นเป็นเส้นตรง(straight line).  ถ้าคุณเอาเวลาช่วงระยะ(time interval)ระหว่างชั่วขณะที่คนยังคงมีชีวิตอยู่, และชั่วขณะที่เมื่อถูกค้นพบว่าเขาได้ตายแล้ว, สำหรับคาบเวลาที่ไร้ความหมายนี้(insignificant period of time), ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปได้บังเกิดขึ้นในระดับโมเลกุล(molecular level). 
ในเมื่อมันจำเป็นต้องการพลังงานใหญ่กว่านับไม่ถ้วน(infinitely larger energy), คำถามต่อไปสำหรับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายก็คือว่า, ทำไมคนเราถึงได้ตาย ถ้าในขณะเวลาของการตายนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยในโครงสร้างทางชีวเคมี(biochemical structure).  คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์(scientific explanation)เพียงอย่างเดียวก็คือว่าทอดวางอยู่ในความจริงที่ว่า, ในเวลาของการตายนั้น, ร่างกายได้แยกออกจาก(separated) จิตซิญญาณสติสัมปชัญญะ(consciousness soul).  เหตุผลที่แท้จริงสำหรับการมีชีวิต, ก็เพราะว่า สติสัมปชัญญะ(consciousness)นั้นไม่ใช่วัสดุ(non-material) และไม่มีมวล(mass), มันได้แยกออกไปจากร่างกายในทันทีนั้น, โดยปราศจากการใช้พลังงานใด.  จากนั้นเอง, ขบวนการแยกองค์ประกอบออกจากกัน(process of decomposition)ของร่างกาย, ก็เริ่มต้นเดินหน้า(progress)อย่างรวดเร็ว(rapid). นี้ก็เป็นเพราะ สติสัมปชัญญะ(consciousness)มีธรรมชาติชั่วนิรันดร์(eternal nature) ยับยั้งขบวนการทำลาย(destructive processes)ทั้งหลายนี้ได้เมื่อยังคงอยู่ในร่างกาย. และเมื่อธาตุนิรันดร์นี้ออกไปจากร่าง(body), ก็ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้วที่จะยับยั้งขบวนการของการแยกองค์ประกอบเสื่อมสลาย(process of decompo-sition) นี้ได้.

จากประสบการณ์ของการตายในระหว่างการรักษา(clinical death), ยังยืนยัน(confirm)ได้อีก, ถึงธรรมชาติอันแตกต่างระหว่างสติสัมปชัญญะ(consciousness)กับร่างกาย(body). ราว 30 เปอร์เซนต์ของผู้รอดชีวิต(survivors)ของการตายในระหว่างการรักษา(clinical death) จำได้ถึงประสบการณ์การออกจากร่าง(out of body) และทำซ้ำ(reproduce)ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวดในเหตุการณ์สำคัญเหล่านั้นที่พวกเขาได้สังเกตจากเวลาเมื่อร่างกายภาพ(physical body)ของพวกเขาได้ปราศจากชีวิต(lifeless).
สิ่งนี้ยืนยันถึงข้อความยืนยัน(assertion)ของคัมภีร์พระเวท(Vedas)ว่า, จิตวิญญาณ(the souls)คือแหล่งกำเนิดของประสาทสัมผัส(original senses).
ประสาทสัมผัสอันละเอียดอ่อนเหกล่านี้ของจิตวิญญาณ(subtle senses of the soul)ถุกเชื่อมโยงสัมพันธ์กับประสาทสัมผัสกายภาพ(related to physical senses) ยังช่องพลังงานอันละเอียดอ่อน(subtle energy channels)ในร่างกาย.  ช่องพลังงานละเอียดอ่อนเหล่านี้ที่ระดับสุทธิ(gross level) เปลี่ยนรูป(transform) ไปเป็นระบบประสาท(nervous system), และนั่นเชื่อมติดต่อไปยังสมอง(brain)และประสาทภายนอก(eternal senses).  มันเป็นประสาทด้านใน(inner senses)เหล่านี้เองที่อนุญาต(allow)ให้เราได้มองเห็นความฝันทั้งหลาย(dreams)เมื่อดวงตาภายนอกของเราปิด.  นั่นคือการที่นักพยากรณ์ตาบอดชาวบัลกาเรียน, บังก้า ได้มองเห็นอนาคต, และปรากฏว่าบีโธเฟ่นที่หูหนวกได้ยินดนตรี. 

กรอบความคิดเรื่องจิตวิญญาณ ตามอ้างอิงของประสบการณ์ส่วนบุคคล
(the concept of the soul according to subjective experience)

          ความแตกต่างระหว่างจิตวิญญาณ(the soul) กับ ร่างกาย(the body), นั้นไม่ได้ถูกสะท้อน(reflected)ออกมาแต่เพียงในคัมภีร์ทั้งหลายเท่านั้น.  แต่ยังมีในนักวิทยาศาสตรบางคน, ตัวอย่างเช่น ในปี 1886 ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยมอสโค, โลพาติน(Lopatin Lev),  ได้ตีพิมพ์บทความที่ชื่อว่า(entitled) “กรอบความคิดเรื่องจิตวิญญาณ ตามอ้างอิงประสบการณ์ส่วนบุคคล”, ความคิดหลักของงานของเขานี้(main idea of his work) ก็คือว่า, ภายในร่างกายนั้นมี เนื้อหาของผัสสะ(การรับรู้-perceptions)ซึ่งกุมกระบวนการทางกายภาพและจิตใจ(capture the physical and mental processes), ที่บังเกิดต่อ(occur to)เราอยู่เหนือเวลา(over time).
          ผัสสะอย่างยิ่งของอารมณ์(very perception of emotion) หรือกระบวนการ(process) ลุกขึ้นมา(arise)ก็เพียงต่อเมื่อ เนื้อหาของผัสสะ(subject of perception)นั้นยืนเคียงข้างด้วยความเคารพต่อ กระบวนการ หรือวัตถุเคลื่อนไหว ใดๆที่รายรอบตัวมัน. 
          ตัวอย่างเช่น, การนั่งอยู่ในรถไฟ, เรารู้สึกถึงการเคลื่อนไหว(motion)สัมพันธ์ไปกับ(relative) วัตถุที่หยุดนิ่ง(stationary object). แต่เมื่อคุณมองดูตัวรถไฟที่วิ่งขนานมากับของเราในความเร็ว(speed)ที่เท่ากัน, และในทิศทางเดียวกัน(direction), ความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว(sense of movement)ได้สูญเสียไป.
          ในอุปมา(analogy)นี้, ศาสตราจารย์โลพาติน ประกาศว่า ถ้าสติสัมปชัญญะภายใน(inner consciousness)ของเรา ได้สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพกายภาพและจิตใจของเราแล้ว, ดังนั้นมันก็มีธรรมชาติแตกต่าง(different nature) และถูกตั้งอยู่โพ้นไปจากเวลา(situated beyond time).  และในเมื่อวัตถุทั้งหมดนั้นกำลังเคลื่อนที่ผ่านทะลุเวลา(through time), ดังนั้น จิตวิญญาณ(the soul) จึงไม่ใช่ วัตถุ(Material).
          ข้อพิสูจน์โดยอ้อมอีกอันหนึ่ง(another indirect proof)ว่า สสาร และสติสัมปชัญญะนั้นมีธรรมชาติที่แตกต่างกัน, คือการที่ สติสัมปชัญญะ กำลังพยายามอย่างต่อเนื่อง(is constantly trying) ที่จะเอาชนะ(overcome) กฏของธรรมชาติ(laws of nature) ที่ล่ามโซ่ตรวน(fetter)อิสรภาพของเราไว้.
          ถ้าสติสัมปชัญญะ(consciousness)เป็นผลผลิตของสสารวัตถุ(matter), มันก็ควรจะนอบน้อมเชื่อฟังต่อ กฏของโลกวัตถุ(laws of the material world), แต่เรากำลังเป็นประจักษ์พยานในแนวโน้มตรงข้าม(opposite tendency). สติสัมปชัญญะ(consciousness)กำลังพยายามอย่างแน่วแน่(constantly)ที่จะหลบหนีกฏหยาบๆเหล่านี้(harsh law), วิทยาศาสตร์ได้ประดิษฐ์หนทางที่จะอเอาชนะแรงโน้มถ่วง(gravity), มองหาหนทางที่จะมีความอมตะ(immortality) และความสุชชั่วนิรันดร์(eternal happiness) ซึ่งโดยคำจำกัดความคือ เป็นไปไม่ได้ในร่างวัตถุชั่วคราวนี้(temporary material body). ดังนั้น, ระหว่างความจำเป็นต้องการของ จิตวิญญาณ(the soul)และความสามารถอันจำกัดของ ร่างกาย(body), มีความขัดแย้งอันคงที่(constant contradiction) ที่ขัดขวางการปรากฏชัดเต็มที่(full manifestation) ของสามคุณลักษณะ(qualities)ของ จิตวิญญาณ, ไร้กาลเวลา(eternity) รู้(knowledge) ปีติสุข(bliss).  มันเห็นได้ชัดว่า สติสัมปชัญญะ มีคุณสมบัติ(properties) แตกต่างจากวัตถุ. มันน่าสนใจว่า, คำจำกัดความของวัตถุที่ เลนิน บ่งชี้โดยอ้อมว่า, เราที่เป็นเช่นพลเมืองภายใต้การปกครอง(subjects)ของการรับรู้ทางจิตใจ (mental perception)นั้น, ได้แตกต่างไปจากร่างกายของเรา(our bodies).  ตามคำจัดกวามนี้, สสารวัตถุ (matter)คือ รูปธรรมความเป็นจริง(objective reality)ถูกให้มาแก่เราในรูปของ ความรู้สึก(feelingห-เวทนา) และสัมผัส(sensations) เป็นอิสรภาพของพวกมัน.  ถ้าสสารวัตถุ(the matter)ได้ถูกให้มาแก่เรา, เพราะฉะนั้น, เราจึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งอของมัน.  คำจำกัดความนี้ฟังดูมีเหตุผล(make sense)ก็แต่เพียงถ้าเราได้ยอมรับว่านั่น เราคือผู้บรรทุกจิตวิญญาณ(souls carriers) ของปัจจเจกสติสัมปชัญญะ(individual consciousness), ยอมรับว่า ร่างกาย(body)เป็นเช่นชุดสูทชีวภาพ(biological suit).  ยังคงมีคำถามเปิดอีกหนึ่งว่า ใครคือผู้ที่มอบให้ชุดอันหรูหรา(sophisticated costumes)เหล่านี้แก่เรา, แต่เพิ่มเติมซับซ้อนอีกมากมายในภายหลัง.
          กระนั้น, ร่างกาย(body) จิตใจ(mind) จิตวิญญาณ(soul) ต่างเป็นเครือญาติเกี่ยวข้องเดียวกันและกัน (same relation to each other), เหมือนดังบอลลูนอากาศร้อน, จิตวิญญาณ(soul)พากเพียรพยุงตะกร้าร่างกายภาพ(physical body)ขึ้นไปซึ่งคอยดึงรั้งจิตวิญญาณ(soul)และคล้องแขวนสายสลิงจิต(slings psyche)เชื่อมติดยึดเข้ากับบอลลูนกับตะกร้า, หรือ จิตวิญญาณ(the soul) เข้ากับร่างกาย(the body).
          อีกตัวอย่างหนึ่ง, ที่แสดงให้เห็นว่าร่างกาย(body)เป็นเครื่องจักรกล(machines), จิตวิญญาณ(the soul) ที่ซึ่งอยู่ในเปลือกกายละเอียด(the subtle body shell), ผู้โดยสาร(a passenger) – กันอย่างไร.  มันยังคงที่จะค้นหาออกมาว่าใครคือผู้ขับบังคับเครื่องจักรกลที่ซับซ้อนนี้(this complex machine) ชัดเจนเลยว่า, ไม่ใช่จิตวิญญาณ(the soul).
อภิมหาสติสัมปชัญญะ – จิตวิญญาณขั้นสูงกว่า
(Superconsciousness – Higher Soul)

          วิทยาศาสตร์ในตอนนี้เพียงแค่การเริ่มต้นที่จะเข้าใจว่าถึงความสลับบซ้อน(complex)อย่างไรของขบวนการทั้งหลายนี้ของ สัญญา (perception-การรับรู้ตระหนักรู้), การย่อยสลายแปรสภาพ(digestion), การเผาผลาญ(metabolism) และขบวนการทั้งหลายเช่นนี้อื่นอีก.  แต่ขบวนการสลับซับซ้อนขั้นสุดยอดเหล่านี้(super complex processes) ได้กำลังยึดครองอยู่ในร่างกายอย่างถาวรโดยปราศจากจิตสำนึก(conscious)ใดของเราเข้าไปมีส่วน(participation). แล้วอย่างไรกันหรือที่ระบบกลไกสลับซับซ้อนนี้(complex mechanism) ทำงานโดยปราศจากจิตสำนึก(conscious)ของใครคนใดไปควบคุม.  ในการที่จะเข้าใจปริศนานี้, เราจะขอเสนอสมการเพิ่มเติม(additional function)อันหนึ่ง,ชื่อ อภิมหาสติสัมปชัญญะ (superconsciousness), ที่ซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งถัดไปของ จิตวิญญานปัจเจก (individual soul) และควบคุมการกระทำของร่างกาย(activity of the body).  อภิมหาสติสัมปชัญญะ หรือ มหาจิตวิญญาณสูงสุด (supreme soul) คือผู้ขับขี่ควบคุมร่างกาย(driver of the body)  อะไรคือเครื่องหมาย(sign)ของการปรากฏให้เห็นของอภิมหาสติสัมปชัญญะ(superconsciousness)ในร่างกาย(the body), ก็พาเราย้อนกลับไปหาการอธิบายเรื่อง 3 ร่าง(three bodies) ที่เราต้องถามว่า, อะไรที่คอยเก็บรักษาให้จิตวิญญาณนิรันดร์(eternal soul)ให้อยู่ในร่างกายชั่วคราว(temporary body)นี้ได้, อะไรคือแรงพลัง(the force) ที่เอาเราไปอยู่ในสถานการณ์แตกต่างกันไปที่เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้.  อย่างชัดเจนเลยว่า, เราไม่ได้มีอิสรภาพอย่างสมบูรณ์ในชีวิตนี้.  บ่อยครั้ง, แรงพลังบางอย่างปรับแต่ง(adjust)แผนการของเรา.  แรงพลังแห่งโชคชะตา(force of Destiny) นี้มาจากที่ไหนหรือ?....  https://en.wikipedia.org/wiki/Higher_consciousness

          ในผังภาพนี้(diagram) เราเห็นว่าร่างกายภาพ(physical) และร่างละเอียด(subtle body) อยู่ที่ด้านหนึ่ง, และจิตวิญญาณ(the soul)อยู่ที่อีกด้านหนึ่ง, มีปัจเจกภาพส่องแสงประกาย(shining personality) ที่กำลังเชื่อมติดต่อ จิตวิญญาณ(the soul)กับร่างกาย(the body). คัมภีร์พระเวท(Vedas) เรียกมันว่า อภิมหาสติสัมปชัญญะ(superconsciousness) หรือ อภิมหาจิตวิญญาณ(super soul) ปรมัตตมะ(Paramatma) ในภาษาสันสกฤต. 

ด้วยสาเหตุจากการปรากฏของอภิมหาสติสัมปชัญญะ(superconsciousness)ในร่างกาย(body)แบบขบวนการสลับซับซ้อน(complex processes), ดังเช่น ขบวนการเผาผลาญ(metabolism), การย่อยสลายแปรสภาพอาหาร(digestion) และการรับรู้(perception – สัญญา) ที่ได้เกิดขึ้น, อภิมหาสติสัมปชัญญะ(superconsciousness)คือแหล่งกำเนิดของ ญาณ(intuition-การรู้เอง), สัญชาตญาน(instinct), แรงดลใจ(inspiration), พุทธิปัญญา(enlightenment-การรู้แจ้ง), และวจนะแห่งสัมปชัญญะ(voice of conscience).  ขบวนการเหล่านี้ได้บังเกิดขึ้นอย่างถาวรในร่างกาย(body)และจิตใจ(psyche)ของเรา, แต่เราไม่กระทั่งที่จะเข้าใจถึงระบบจักรกลของขบวนการเหล่านี้(the mechanism of these processes).  ดังนั้นพวกเขาจึงได้บังเกิดขึ้นยึดครองโดยปราศจากการมีส่วนของจิตสำนึกของเรา.  แต่เราอย่างน้อยที่สุดก็พบว่า, ขบวนการหนึ่งอันสลับซับซ้อนและต่อเนื่องนี้(complex and sequential process) ที่ไม่ได้ถูกกำกับโดยจิตสำนึกของใคร. แบบว่า, ยานพาหนะทั้งหลายที่ไหลเลื่อนไปบนถนนแห่งการค้า(road trade), หรือการไหลเลื่อนทางการเงิน(financial flows) จะถุกกำกับโดยผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย(specialists)อย่างสอดคล้อง(in accordance)ด้วยกฏกติกาที่แน่ชัด(certain rules).  มันอาจจะดูเหมือนกับว่าในสายตาผู้ชมที่ไม่ละเมียดลไมในอะไรนัก(unsophisticated viewers), บรรดาขบวนการสลับซับซ้อนทั้งหมดในร่างกายนี้, บังเกิดขึ้นด้วยตนเอง.  แต่บุคคลที่มีเหตุผล(reasonable person) เข้าใจได้ว่า, เบื้องหลังของทุกขบวนการอันปราดเปรื่องและวางแผนมานี้(intelligent and planned process), ย่อมมีปัญญาปราดเปรื่องของใครบางคนอยู่(someone’s intelligence).  และถ้าไม่ใช่เราที่กำกับขบวนการเหล่านี้ในร่างกาย(the body) แล้วงั้นใครล่ะ?

          ว่าถึงตัวอย่างหนึ่งของ ญาณ (intuition-การรู้เอง) ก็ยังถูกเรียกว่า สัมผัสที่หก(six sense). มีสัมผัสอยู่ 5 อย่างมากที่สุด, เสียง(sound), สัมผัส(touch), ภาพ(sight), รส(taste) และกลิ่น(smell).  ญาณ(intuition) หรือ สัมผัสที่หก หมายความว่า, ผมไม่ได้ได้ยิน(heard), ได้สัมผัส, หรือได้เห็น, แต่กระนั้นก็ตาม, ผมรู้(know) หรือมีความรู้สึกว่าอะไรบางอย่างกำลังจะบังเกิดขึ้น.  โดยรูปแบบ(typically)แล้ว, ข้อมูลทั้งหลายเข้ามาสู่สติสัมปชัญญะ(consciousness)ของเรา ผ่านทางสัมผัส(senses), แต่คำว่า นิมิต(premonition-การแสดงให้เห็นล่วงหน้า) หมายความว่า เราสามารถได้ข้อมูลจากอนาคต ก่อนที่เหตุการณ์จะบังเกิดขึ้น, และแทงเจาะเข้ามาในสัผัส(senses)ของเรา.  สิ่งนี้สามรถเป็นได้อย่างไร? คำอธิบายที่มีเหตุผลเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือว่า เราได้รับมันมาจากใครบางคนผู้ที่โพ้นเลยไปจากกาล(beyond time), และได้เข้าถึง(access)ทั้งอดีตและอนาคต. สิ่งนี้ถูกเรียกว่ามี ประสบการณ์อภิมหาสัมผัส(supersensible experience), หรือ ญาณ(intuition).
          ที่น่าสนใจ, ญาณของสัตว์(animal’s intuition)ทำงานได้ดีกว่าพวกมนุษย์(humans). ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? สติสัมปชัญญะของปัเจกสัตว์(individual animal) มีให้เห็นชัดว่าน้อยกว่าของมนุษย์, และ ปรมัตมะ(Paramatma) หรือ อภิมหาสติสัมปชัญญะ(superconsciousness) ในหัวใจของสัตว์ช่วยในการมีชีวิตอยู่แค่เป็นเช่นพ่อแม่แบ่งปันปัญญา(wisdom)กับลูกเล็ก, และกำกับการกระทำทั้งหมดของเขาขณะที่เขายังเป็นเด็ก.
          พวกสัตว์ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์และหนังสือด้วย, ไม่ได้ฟังข่าวล่าสุดและไม่ได้หมกหมุ่นจุ่มศีรษะลงไปในมหาสมุทรอันไร้ที่สิ้นสุดของ เครือข่ายคอมพิวเตอร์(internet), ดังนั้น, พวกเขาสามารถได้ยินชัดเจนใน”เสียง”(voice)นี้ของ ปรมัตมะ(Paramatma)ข้างใน และบางครั้งพวกเขาสร้างความแปลกใจให้กับเราด้วยการหยั่งรู้ล่วงหน้า(นิมิต-premonition)อย่างไม่ผิดพลาด.  แต่มนุษย์ได้มีสติปัญญา(developed intelligence) มากกว่า, และสติสัมปชัญญะระดับสูงกว่าในหัวใจของพวกเขา, ให้อิสรภาพส่วนบุคคล(personal freedom)แก่พวกเขา, ซึ่งโชคไม่ดี(unfortunately) มักจะถูกใช้ไปในทางที่ผิด.
          ช่องการรับรู้ภายนอกทั้งหลาย(outer channels of perception)ของมนุษย์ได้ท่วมล้น(overloaded)ไปด้วยข้อมูล(information), และกระนั้น, พวกเขาก็เกือบจะหนวก(deaf)กับเสียงจากภายใน(inner voice)นี้. 
          ธันวาคม ปี ค.ศ.2004, ชายฝั่งอินโดนีเชียและศรีลังกา ถูกกระแทกด้วยคลื่นสึนามิ(tsunami)เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวใต้ทะเล, ผู้คนหลายหมื่นเสียชีวิต, แต่ในท่ามกลางพวกสัตว์, ไม่มีความเสียหายจากภัยพิบัตินี้.  คลื่นกระแทกเข้าหาชายฝั่ง, สัตว์ทั้งหมดพากันไปจากแนวชายฝั่งนั้น,แล้วเพราะสัมผัสได้ถึงอันตราย. ภายใต้อิทธิพลของ เสียงที่สูงกว่า(higher voice), พวกสัตว์ได้ทำสิ่งน่าทึ่งทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา. เชื้อโรคเข้าสู่แมว, โดยปราศจากความรู้ทางการ(formal knowledge)ทางพฤกษศาสตร์(botany), พวกแมวก็ค้นหาพืชยาสมุนไพร(medicinal herbs)รักษาได้อย่างง่ายดาย.  นี่หมายความว่าใครบางคนรู้ถึงคุณภาพการรักษาของสมุนไพร(healing quality of herbs), และความจำเป็นต้องการของแมว, แล้วนำพวกเขามาร่วมกัน. 
โดยทั่วไปแล้ว, มนุษย์พยายามที่จะอธิบายสิ่งต่างๆเช่นนี้ด้วยศัพท์ทางสิ่งลึกลับที่เรียกว่า สัญชาตญาน(instinct).  แต่ถ้าคุณค้นหาดูในพจนานุกรม, คำว่า “สัญชาตญาน(instinct)” นั้นถูกอธิบายว่า เป็นแรงกระตุ้นอย่างมีเหตุผลที่มาจากภายใน.  แล้วอะไรล่ะที่อยู่ภายในร่างกาย, นอกเสียจากอวัยวะที่ไร้ซึ่งปัญญา.  อีกครั้งที่เรากลับมายังความคิดของเรื่อง อภิมหาสติสัมปชัญญะ(superconsciousness) ในหัวใจ(in the heart).  พวกนกปราศจากความรู้ทางภูมิศาสตร์ที่แม่นยำไม่ตกหล่น, พากันบินสู่ทางใต้หรือทางเหนือ.  พวกมันสร้างรังอันซับซ้อน และแมงมุมถักทอใยอันประณีต, นั่นคือข้อสรุป(epitome) ของวิศวกรรมอันสมบูรณ์.  ผึ้งสะสมน้ำผึ้ง(honey), รวงผึ้งใหม่ช่องที่แปดเหลี่ยมที่อุดหนุนช่วยอย่างสมบูรณ์แบบแก่การอนุรักษ์.  อย่างชัดเจน, ด้วยความรู้อันแน่นอนเช่นนี้, สามารถมาจากแหล่งต้นกำเนิดที่ที่สมบูรณ์แล้ว(perfect source)เท่านั้น.
รูปเดียวกันของ ปรมัตมะ(Paramatma) หรือ พระเจ้า(God) ในหัวใจ(in the heart), มันคือเป้าประสงค์ของการทำสมาธิ(subject of meditation) ของบรรดาโยคี(yogi)ตามที่ศาสตร์นิพนธ์โยคะสูตรของ ปตัญชลี (treatise yoga Sutra of Patanjali) -*ท่านปตัญชลี (Patanjali) ได้ชื่อว่าเป็นมหาโยคีผู้มีประสบการณ์ในเรื่องสมาธิ ท่านได้เขียนโศลกซึ่งถือเป็นพระสูตรแห่งโยคะเรียกว่า โยคะสุตรา ( Yoga- Sutra) ถือว่าเป็นพระสูตรบทแรก*  รูป(form)นี้อยู่ในทุกอะตอมของการสร้างสรรค์(every atom of creation), โดยเฉพาะ, โครงสร้างอันซับซ้อนของ อะตอม(the complex structure of the atom). ขอบคุณสำหรับธรรมชาติที่แผ่ซ่านไปทั่วของเขา(his pervasive nature), เชาวน์ปัญญาสากลนี้มีพิกัดกับกรรม(karma) หรือโชคชะตาของบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมด(fate of all living entities), โดยควบคู่กันไปพร้อมกัน.
ตอนนี้เรามีความเข้าใจเต็มเปี่ยมว่า อะไรประกอบขึ้นมาเป็นบุคคล(what constitutes of a person) คือ จิตสำนึกเบื้องต้นของปัจเจกตน (primary the individual consciousness), จิตวิญญาณ(the soul) หรือ สภาวะจิต(psyche) ของร่างละเอียด(subtle body), และร่างกายภาพ(physical body).  ร่างทั้งหมดนี้ได้ถูกเชื่อมโยงกัน(linked)ด้วยพลังงานของ ปรมัตมะ(energy of Paramatma) หรือ อภิมาสติสัมปชัญญะ(supreme consciousness) ในหัวใจ(the heart).



หลักคำสอนของการกลับชาติมาเกิดใหม่
(The doctrine of reincarnation)

ถ้าจิตสำนึกมีธรรมชาติอันนิรันดร์(eternal nature) และ ร่าง(the body) นั้นเป็นแค่ชั่วคราว(temporary), อะไรเกิดขึ้นกับจิตสำนึก(consciousness)ในขณะของการตาย(the moment of death of the body) , อ้างอิงตามกฏทรง (กฏการคงอยู่ของพลังงาน - energy conservation law), มันไม่ควรหายไป. มันไปที่ไหน? มันได้ร่างอะไรอีก(what body does it get) และทำไม? แล้วนี่เองก็ยกเอาคำถามมาที่ การกลับชาติมาเกิดขึ้นใหม่(reincarnation).  การกลับชาตมาเกิดใหม่ไม่ใช่ความเชื่อของชนอินเดียการย้ายถิ่นฐานของจิตวิญญาณ(transmigration of the soul), แต่เป็นการปรากฏให้เห็นชัดของ “กฏทรงพลังงาน – the energy conservation law https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99 ที่ระดับของศีลธรรมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์(the moral and spiritual level).  ถ้าชีวิตนี้ได้บรรลุเป้าหมาย(attained) ที่ระดับแน่ชัดของการพัฒนา(a certain level of development), มันต้องถูกปกป้องไว้(be preserved)เพื่อที่ว่าจิตวิญญาณ(the soul)จะได้สามารถดำเนินต่อไปในมรรคของความสมบูรณ์(path of perfection)ในรูปลักษณ์ที่สูงขึ้นของชีวิต(higher forms of life).
เช่นเดียวกัน(similarly), ถ้าจิตสำนึก(consciousness)ได้ถูกลดระดับลง(degraded), กฏแห่งรูปลักษณ์ของชีวิต(law forms of life) ต้องให้ความเจ็บปวด(pain)ต่ออัตตชีวิตเช่นนั้น(such living entity) โดยการสอนถึงบทเรียนแห่งชะตากรรม(a lesson of fate), ซึ่งหมายความว่าการกลับชาติมาเกิดใหม่นั้น, จัดระเบียบแบบแผนการจับคู่จำเพาะเจาะจง(formalizes a particular match) ระหว่างระดับที่แน่ชัดของจิตสำนึก(a certain level of consciousness) กับ ร่างหยาบรวมนี้(the gross body).
เป็นสิ่งยากที่คนเราจะยอมรับต่อความคิดที่ว่าจิตวิญญาณ(the soul) สามารถเข้าไปในร่างใหม่ได้ภายหลังการตาย.  เพื่อช่วยให้เราได้เข้าใจกันในเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ซึ่งอยู่ภายใน(internal reincarnation), เราต้องมองไปที่การกลับชาติมาเกิดใหม่ที่อยู่ภายนอก(external reincarnation)ของพวกเขา, ซึ่งบังเกิดขึ้นกับเราทุกวินาที.  นี่หมายถึงอะไรหรือ, นี้หมายถึงว่าเราได้เปลี่ยนร่างทั้งหลายของเรา(change our bodies) หลายเท่าทวีคูณครั้ง(multiple times) ,แม้กระทั่งในช่วงชีวิตเพียงครั้งเดียว.  เพื่อเห็นมัน, แค่มองดูรูปถ่ายทั้งหลายของตัวคุณเองที่ผ่านมาหลายปีแล้ว.  วิทยาศาสตร์บอกว่าในทุกเจ็ดปี, แต่ละเซลล์ในร่างกายของเราได้ถูกแทนที่ด้วยเซลล์อันใหม่ทีละน้อย.  สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับระบบกระบวนการเผาผลาญอาหาร(metabolism ด้วยแต่ละการหายใจ, ทุกการจิบน้ำ, ทุกชิ้นของอาหาร, สสาร(matter)ได้ถูกกลืนกิน(ingest) เข้าไปในร่างกายของเรา, สสารเก่า(old matter)ก็ออกมาผ่านทางระบบขับถ่าย(excretory system).
ขบวนการของการเปลี่ยนใหม่อย่างสม่ำเสมอของเซลล์(process of constant renewal of cells), ทำให้ร่างกาย(the body)เป็นเหมือนสายธารไหลไปช้าๆ(slow stream).  เมื่อเรามองดูแม่น้ำ, มันอาจจะดูเหมือนว่าเป็นแม่น้ำเดียวกันอันเดิม, แต่มันมีน้ำใหม่(new water)อยู่เสมอที่ไหลมาจากภูเขาทั้งหลาย.  เช่นเดียวกัน(similarly), การเปลี่ยนถ่าย(exchange)อย่างเต็มที่ และเนื้อเยื่อไขมัน(fatty tissues)ของร่างกาย(the body)บังเกิดขึ้น(occur)ทุกๆเดือน.  เยื่อบุเคลือบ(mucosa)ของกระเพาะอาหาร(stomach)เปลี่ยนใหม่(update)ในทุกห้าวัน, ผิวหนังกลายเป็นของใหม่ในทุกห้าสัปดาห์ ฯลฯ.  ตามความเป็นจริงแล้ว, นี้หมายถึงว่าร่างกาย(the body) ที่เป็นเช่นอะไรถาวรคงที่(permanent)นั้นไม่ได้มีอยู่(does not exist). แต่ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงได้บังเกิดขึ้นอย่างช้าๆ, เราก็เลยไม่ได้สังเกตเห็น.
เปลวไฟของเทียนไขเช่นเดียวกัน – ดูเหมือนจะถูกติดตรึง(be fixed) เข้ากับดวงตาที่ไม่สมบูรณ์(imperfect eyes)ของเรา, แต่ถ้าคุณมองดูมันด้วยดวงตาแห่งความรู้(eyes of knowledge), มันดับไปในทุกๆขณะ.  เปลวไฟบางอันถูกทำให้ดับและอันอื่นก็ปรากฏขึ้นมา.
ความประทับใจที่ผมยังมีอยู่ก็เป็นเช่นเดียวกัน, คือเพียงแค่ธรรมชาติที่เกิดขึ้นตลอดเวลาของสติสัมปชัญญะ(consciousness-ความตระหนักรู้, การไหลเนื่องของอนุภาควัตถุทั้งหลาย(material particles)ยังร่างกาย(the body)ที่ห่อหุ้มจิตวิญญาณนี้(the soul), กำลังเปลี่ยนแปลงรูปร่างภายนอกของเราในทุกสองสามปี(every few years). สิ่งนี้ถูกเรียกว่าการเกิดใหม่ภายใน(internal reincarnation), นั่นคือการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย(the body)ในหนึ่งชีวิต. ที่จริงแล้ว, ร่างของเด็ก(the child’s body)ไม่ได้ดูเหมือนร่างของผู้ใหญ่(the body of adult). และร่างผู้ใหญ่ของมนุษย์ก็แตกต่างไปจากร่างเสื่อมสภาพของคนชรา(the body of a decrepit old man).
กระนั้น, การเกิดใหม่ภายใน(inner reincarnation) เป็นความจริงที่ถูกสังเกตเห็นได้(observed fact)แห่งชีวิตของคนที่เห็นได้กระจ่างชัด.
แล้วอะไรคือกรณีของการเกิดใหม่ภายนอก(external reincarnation), ในบทกวีจากคัมภีร์พระเวท, ภควัตคีตา(bhagavad-gita), คือสภาวะของการตามติด, แค่จิตวิญญาณ(the soul)ในชีวิตหนึ่งผ่านไปจากร่างของเด็ก(child’s body)เข้าไปสู่ร่างของคนหนุ่มสาว(body of young man), แล้วก็ไปสู่ร่างของคนชรา(old man’s body). และเมื่อถึงเวลาของการตาย(the tome of death), มันก็ไปสู่ร่างใหม่(new body).  การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้รบกวนผู้ที่ได้ตระหนักรู้ถึงธรรมชาติจิตวิญญาณของพวกเขา(spiritual nature).
เช่นนี้เอง, การเกิดใหม่ภายนอก(external reincarnation) คือขบวนการ(the process)ของธรรมชาติเดียวกันเฉกเช่นการส่งผ่าน(transition)จากร่างเด็ก(child’s body) เข้าไปสู่ร่างคนหนุ่มสาว(the body of a young man). การมองดูการเกิดใหม่ภายนอก(external reincarnation) นั้นค่อนข้างยาก, แต่ในบางครั้งก็เป็นไปได้. ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็น่าจะเป็นหนอนผีเสื้อ(caterpillar), ซึ่งเกือบจะอยู่ต่อหน้าต่อตาของเรา, เปลี่ยนร่างไปเป็นผีเสื้อ(butterfly), หลังจากที่ได้ใช้เวลาบางส่วนอยู่ในรังดักแด้(cocoon).
สำหรับการเกิดใหม่ของมนุษย์(human reincarnation)ในระดับเชิงวิทยาศาสตร์นั้น,  มีศาตราจารย์ชาวอเมริกันด้านจิตเวชศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งเวอร์จิเนีย, เอียน สตีเวนสัน ได้ทำการศึกษาในสาระสำคัญของเรื่องนี้มาเกือบเสี้ยวหนึ่งของศตวรรษ. เขามีเอกสารบันทึกกรณีการเกิดใหม่(documented of reincarnation)หลายร้อยที่เป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์. ดังตัวอย่างเช่น, ในกรณีของ ชุกลา(Shukla), ลูกสาวของคนขับรถไฟชาวเบงกาลี, เกมโปรดของเธอคือการเหวี่ยงหมอนในอ้อมแขนของเธอ, เรียกเธอในชื่อว่า มีนา(Meena). เด็กสาวเชื่อมโยง(related)กับ มีนา(Meena)ในฐานะลูกสาวของเธอ, และบอกกับทุกๆคนเกี่ยวกับพ่อของมีนา และพี่น้องสองคนของเขา(his two brothers).  ตามการอ้างถึงของชุกลา(Shukla), พวกเขาอาศัยอยู่ที่เมืองบัทบาร์. และนั่นคือทำไมเธอได้ขอให้พ่อแม่ของเธออยู่ตลอดเวลา, ให้พาเธอไปที่นั่น. พ่อของชุกลา(Shukla’s father)พบว่าที่ในบัทบาร์นั้น, มีผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่ชื่อ มุนนา(Munna)ที่ตายไปเมื่อหลายปีก่อน, และมีลูกสาวเล็กๆที่ชื่อ มีนา(Meena).  ความจริงนั้นทำให้พ่อของชุกลา(Shukla’s father) แน่ใจว่าลูกสาวของเขาเป็น ผู้หญิงคนนี้, มุนนา(Munna)ในชีวิตอดีตของเธอ(her past life), และเมื่อครอบครัวนี้ได้ไปถึงเมืองบัทบาร์, ชุกลา(Shukla)ก็พาทุกคนอย่างไม่มีผิดพลาดไปยังบ้านที่ซึ่ง มุนนา(Munna)ได้เคยใช้ชีวิตอาศัยอยู่, แล้วในท่ามกลางคนแปลกหน้า 30 คน, เธอก็จำได้อย่างไม่มีผิดพลาดกับสามีของมุนนา(Munna’s husband), แม่สามี, พี่สามี และลูกสาว-มีนา(Meena).  รายละเอียดทั้งหมดนี้ได้ตรวจสอบกันอย่างถี่ถ้วน(carefully checked)และถูกยืนยัน(confirmed).

อีกกรณีหนึ่งเกิดขึ้นกับคนไข้ชาวอเมริกันของเอียน สตีเวนสัน, ผู้อยู่ในภาวะถอยกลับไปโดยการสะกดจิต(hypnotic regression state)ได้พูดในภาษาที่ไม่มีใครรู้จัก(unknown language).  คำพูดนี้ได้ถูกบันทึกไว้และเล่นกลับให้นักภาษาศาสตร์ทั้งหลายฟัง. ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า, นั่นเป็นภาษาท้องถิ่นหนึ่งของชนสวีดีช, พูดกันโดยผู้อาศัย(inhabitants)อยู่ในแถบพื้นที่เฉพาะ(certain area)แห่งหนึ่ง. ในช่วงชีวิต(lifetime)นี้, สตรีผู้นี้ไม่เคยเดินทางไปยังสวีเดนเลย, ไม่ได้เคยศึกษาภาษาต่างประเทศทั้งหลาย, และไม่ได้สนใจในวัฒนธรรมของสวีเดนแต่อย่างใด. ปรากฎการณ์นี้, เมื่อผู้คนเริ่มต้นที่จะพูดภาษาต่างประเทศที่พวกเขาไม่ได้เรียนมาในช่วงชีวิตนี้, ถูกเรียกว่า ปรากฏการณ์เซโนกลอสซี่(xenoglossy phenomenon).  คำอธิบาย(exolanation)อย่างเดียวเท่านั้นที่พอจะเหมาะได้สำหรับในปรากฏการณ์นี้, ก็คือสมมติฐานว่า(assumption), ในชีวิตอดีต(past life)ของเธอขณะที่จิตวิญญาณ(a soul)เป็นพาหนะของจิตสำนึก(carrier of consciousness), เธอได้อาศัยอยู่ที่ในสวีเดน. หลังจากนั้น, เป็นไปตามกฏของเหตุและผล(obeying the law of cause and effect), เธอได้รับ(received)ร่างใหม่(a new body)ที่ใน อเมริกา. อย่างธรรมชาติ, ภาษาของเธอจากชีวิตอดีต(past life), ได้ถูกทำให้(rendered)ไร้ประโยชน์(useless) เพราะได้เข้าไปสู่ในสภาวะใต้สำนึก(subconscious).  แต่ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะเจาะ, มันได้เปิดทำงานขึ้น(activated).
คำอธิบายอื่นๆอย่างมีเหตุผลของปรากฏการณ์ซีโนกลอสซี่(xenoglossy phenomenon)ยังไม่มีอยู่(exist).
ภควัตคีตา(Bhagavad gita)เปรียบเทียบขบวนการกลับชาติมาเกิดใหม่(reincarnation), เหมือนเฃช่นกับการเปลี่ยนเสื้อผ้า(change of clothing). แค่ดังเช่นคนละทิ้ง(discard)เสื้อผ้าเก่าและสวมอันใหม่. ดังนั้น, จิวิญญาณ(the soul)ละทิ้งไปจากร่างเก่าและชำรุดนั้น, แล้วได้รับ(acquire)ร่างใหม่(a new body).
คำถามมีขึ้นมาตามธรรมชาติ(naturally arise)ว่า, ทำไมเราถึงจำไม่ได้ถึงชีวิตอดีตของเรา(our past lives). คำตอบนั้นง่าย, ถ้าเราจะจำได้ถึงทั้งหมดของชีวิตอดีตของเรา, หรืออย่างน้อยหนึ่งในพวกนั้น, เราก็คงมีบุคลิกภาพแตกแยกออก(personality split). เราคงจะไม่เข้าใจได้ว่าเราเป็นใคร, และเราจำเป็นต้องทำอะไร. ถ้าคุณเปิดใช้งานหลายแอพจนเกินไปบนคอมพิวเตอร์ของคุณในเวลาเดียวกันพร้อมกันไป, มันจะหยุดนิ่ง(freeze)เพราะว่าไม่มีความทรงจำ(memory)เพียงพอที่จะรับมือได้กับพวกมัน. เช่นเดียวกัน, ถ้าเราได้รับความทรงจำทั้งหมดของชีวิตอดีตของเรา(a memory of all our past lives)ก็จะร่วงหล่นลงไปสู่อาการมึนงง(a stupor).

ดังนั้นเอง, ปรมัตมะ(the paramatma), อภิมหาจิตสำนึกในหัวใจ(super consciousness in the heart) ให้เราเพียงแค่ความทรงจำที่มากพอเท่าที่จำเป็นเท่านั้น, สำหรับสารัตถะหน้าที่ตามปกติ(normal functioning)ของร่างกายนี้(this body). พร้อมด้วยการหายไปของร่างที่แล้วของเรา(disappearance of our previous body), ความทรงจำที่ได้เชื่อมโยง(associated)กับร่างนั้น(that body)ก็ได้สูญเสีย(lost)ไปด้วยเช่นกัน.
อย่างไรก็ตาม, ไม่ใช่ว่าทั้งหมดจะสูญไปโดยไม่มีร่องรอย(a trace). โครงงานเหล่านั้น(those programs)ที่เราไม่ได้ทำให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์(completed) ในชีวิตอดีต(past life), ได้ถูกขนย้าย(transferred) เข้ามาในชีวิตนี้(this life), และแสดงออกมาให้เห็น(manifest)เป็นเช่นความปราดเปรื่องตามธรรมชาติทั้งหกลาย(natural talents)ในด้านเฉพาะ(particular areas).  ตามองค์ปประกอบที่ว่านี้(according to this factor), เราสามารถเข้าใจได้ถึงว่าเราได้ทำอะไรในชีวิตอดีตของเรา. และโครงงาน(program)อะไรที่เรายังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์.
ตัวอย่างเช่น, โมซาร์ตได้บอกว่าเขาไม่ได้เขียนดนตรี, แต่แค่จดจำมันได้. ชีวิตในวัยเด็กของเขา, เขาได้วิวรณ์(revelations)ขององค์ประกอบที่จัดวางของดนตรีทั้งหลายนั้น(revelations of musical compositions)ไปแล้ว.
บนทัศนียภาพของการกลับชาติมาเกิดใหม่(the perspective of reincarnation), เขาแค่กระจายเสียง(broadcasted)ประสบการณ์ดนตรีของชีวิตอดีตของเขา. ตรรกะของการกลับชาติมาเกิดใหม่นั้นง่าย(simple), ดังทุกวันนี้เรายังคงดำเนินการทำอะไรที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ของเมื่อวานนี้, จำได้ถึงมันหลังจากหยุดพักข้ามคืนไปแล้ว, คล้ายคลึง(similarly)คล้ายคลึงกับหลังการตาย(after death), ที่คือการหยุดพักข้ามชาติระหว่างการเกิด(incarnations), เราได้รำลึกถึงได้โดย อภิมหาจิตสำนึก – ปรมัตมะ(Paramatma)ของอะไรที่เราจำเป็นต้องทำ.

กูนา – สามคุณภาพของธรรมชาติสสารวัตถุ (Gunas – three qualities of material nature)
ระบบกลไกของการกลับชาติมาเกิดใหม่(the mechanism of reincarnation) แสดงนัยออกมาว่าแม้ในชีวิตนี้, เรากำลังสร้างหุ่นจำลอง(modeling)การเกิดใหม่ในอนาคตของเรา(future incarnation) โดยความคิด(thoughts), ความปรารถนา(desires) และการกระทำ(actions)ทั้งหลายของเรา. ในการที่จะตัดสินใจ(determine), เส้นเสมือนสมมติเวคเตอร์ของการกลับมาเกิดใหม่(the vector of reincarnation) ก็คือ, ถ้าเราขึ้นไป(up), ลงมา(down) หรือ อยู่(stay)ที่ระดับ(level)เดียวกัน, เราจำเป็นต้องเข้าใจแนวความคิด(concept)ดังเช่น กุนา(guna) หรือคุณภาพของธรรมชาติแห่งสสารวัตถุ(quality of nature material).
คัมภีร์กล่าวไว้ว่า, วัตถุ(matter)ที่ให้ผลต่อจิตสำนึก(consciousness) เป็น พหุมิติ(multi-dimensional).  ตามคัมภีร์พระเวท, วัตถุ(matter)สามารถถูกปรากฏในคุณภาพสามประการร่วมกัน (a combination of three qualities), คือ ความดี-คุณธรรม(goodness), กิเลสตัณหา(passion) และ อวิชชา(ignorance).
ตามอักขระ(literally), คำว่า “กุนา”(guna) แปลว่า เชือก(rope). เชือกทั้งหลาย(ropes)มักจะถูกใช้เพื่อผูกมัดผู้ขัดขืน(the rebels)ทั้งหลาย. ดังนั้น จิตวิญญาณ(the soul)ได้ถูกข่มเหง(having abused)อิสรภาพของมัน, ไปยังสถานที่ของการคุมขังที่อิสรภาพต่ำสุด(the place of minimum freedom imprisonment). ที่ซึ่งสสารวัตถุธรรมชาติผูกมัดไว้ด้วยแรงที่มองไม่เห็นทั้งหลาย(unseen forces) หรือ กุนา(gunas) – เชือก(ropes).
อีกทั้งก็ยังสามารถถูกเปรียบเทียบกับเครื่องกรองทั้งหลาย(filters)ที่ปิดบัง(conceal) จิตสำนึกของจิตวิญญาณ(consciousness of the soul) ในยังหลากหลายขีดระดับ(degrees). ในหนทางเดียวกัน, วิถี(modes)สามารถถูกเปรียบเทียบ(be compared)ด้วยสามแม่สี(three primary colors), เหลือง(yellow), แดง(red)และน้ำเงิน(blue), ซึ่งถูกผสม(mixed)เข้าด้วยกันเพื่อก่อรูป(form)ให้กับสีทั้งหมด. กูนาทั้งหลายโดยตัวตนเองไม่สามารถมองเห็นได้, แต่ผลกระทบ(effect)ของอิทธิพลพวกเขาสามารถถูกเห็นได้ในจิตสำนึก(consciousness).
ตัวอย่างเช่น, เมื่อวิถี(mode)ของ”คุณธรรม”(goodness)ส่งผลกระทบ(effects)ต่อจิตสำนึก(consciousness), เป็นสว่างเบา(light)และโปร่งใส(transparent)มากที่สุด, มันซ่อนเพียงเล็กน้อยมากในคุณภาพของจิตวิญญาณ(hides very little the quality of the soul).  ดังนั้น, ผู้คนที่ได้รับอิทธิพล(influenced)จากวิถีของความดี-คุณธรรม(mode of goodness)ก็จะสนใจไปในทางความเชื่อเรื่องจิตและวิญญาณ(interested in spirituality-ศรัทธา-ผู้แปล), พยายามที่จะเข้าใจ(understand)ถึงกฏสากลของชีวิต(universal laws of life), แสวงหาเจตจำนง(purpose)และความหมาย(meaning)ในชีวิต.พวกเขารักที่จะเรียนและค้นหา(learn and explore) โลก(the world). พวกเขาถูกชี้นำ(guided)โดยหลักจริยธรรมชั้นสูง(high moral principles) และแสดงออกถึงคุณภาพทั้งหลาย(exhibit qualities) อย่างเช่น ความรับผิดชอบ(responsibility), วินัย(discipline), ความสะอาด(cleanliness), ซื่อสัตย์จริงใจ(honesty), สุภาพอ่อนโยน(gentleness) และไม่เห็นแก่ตัว(inselfishness).  ในชีวิตของพวกเขา, พวกเขาเคลื่อนไหว(moved)ด้วยสำนึกต่อหน้าที่(sense of duty).

วิถีของกิเลสตัณหา(the mode of passion) เป็นสิ่งที่เคลือบหนามากกว่า(more dense coating)ของจิตสำนึก(consciousness). และเช่นนี้เอง, ผู้คนภายใต้อิทธิพลของรูปแบบนี้, สนใจน้อยกว่าในเรื่องสัจธรรม(spiritual reality). และพลังงานของพวกเขา(their energy)ต่างถูกพุ่งจดจ่อ(focused)ไปบนเรื่องวัตถุ(matter).  กระทั่งเมื่อพวกเขาหันไปที่พระเจ้า(God), พวกเขาก็ร้องขอพระองค์แต่สิ่งทางวัตถุทั้งหลายเท่านั้น. เช่น สุขภาพ(health), ความรุ่งเรือง(prosperity)และความสำเร็จ(success). ผู้คนเหล่านี้สร้างสรรค์อย่างทะเยอทะยานกระตือรือร้น(energetic ambitious creative)และมีแผนการมากมาย(lots of plans)สำหรับอนาคตของพวกเขา. พวกเขาคือผู้ขับเคลื่อนของขบวนการวัตถุ(movers of material progress). พวกเขาจะมีความสุขมากถ้าพวกเขาประสบความสำเร็จ(successful), และวิตกกังวล(upset)ถ้าพวกเขาล้มเหลว(fail).  เพื่อผลกำไรชั่วขณะ(momentary benefit), พวกเขาเต็มใจที่จะประนีประนอม(compromise)สัมปชัญญะ(conscience)ของพวกเขา หรือกฎหมาย. องค์ประกอบหลักที่ผลักดัน(main driving factors)ของพวกเขาคือ กิลเสของความเห็นแก่ตัว(selfish desire).

ภายใต้อิทธิพลของวิถีของอวิชชา(mode of ignorance), ผู้คนประกาศคุณภาพ(manifest such qualities)เยี่ยงนั้นด้วยการขี้เกียจ(laziness), เฉื่อยชา(passivity) และไม่ยินดียินร้าย(apathy).  ผู้คนพวกนี้มักจะมีรูปแบบชีวิตที่อยู่เฉย(sedentary lifestyle).  พวกเขานอนหลับมากกว่าแปดชั่วโมงต่อวัน, ตื่นน้อย(barely awake)และแทบไม่มีความกระตื้อรือร้น(hardly motivated).  พวกเขาจะสายเสมอ(often late). เป็นการยากมากสำหรับพวกเขาทมี่จะเริ่มต้นธุรกิจของตนเอง. มันง่ายกว่าที่จะคอยตามคนอื่น, แทนที่จะเริ่มต้นของตนเอง(the initiative). พวกเขาเสพติด(addicted)กับสิ่งมึนเมา(intoxicztion) อย่างเช่น อัลกอฮอล(alcohol), บุหรี่(tobacco), ยา(drugs). และมันยากมากสำหรับพวกเขาที่จะเลิก(give up)นิสัย(habits) เหล่านี้.  พวกมักจะไม่พึงพอใจกับอะไร(dissatisfied) บางอย่าง(something), ชองวิจารณ์คนอื่น. และมีแนวโน้มที่จะย้ายความรับผิดชอบ(shift responsibility)ไปยังบ่าของคนอื่น. พวกเขามีแนวโน้มกับการเกียจคร้าน(idleness)และรูปแบบชีวิตปรสิต(parasitic lifestyle-เกาะกิน-ผู้แปล).

บุคคลในวิถีของคุณธรรม(mode of goodness) มีความสนใจมากขึ้นในเรื่องของการปรับปรุงตนเอง(self-improvement). บุคคลที่อยู่ในวิถีของกิเลสตัณหา(mode of passion) จะสนใจในกิจกรรมทั้งหลายภายนอกมากกว่า(external activities), และเขาจะถูกกระตุ้นดลใจ(motivated) โดยความปรารถนา(desire)ที่จะเปลี่ยนแปลงโลก(change the world).
บุคคลที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของวิถีของอวิชชา(mode of ignorance) จะไม่ถูกดึงดูดใจ(attracted)ในกิจกรรมใดๆ(any activity), ไม่ว่าจะภายในหรือภายนอก(neither internal or external)เขาชอบมากกว่าที่จะเฉื่อยชา(idleness)หรือปล่อยเวลาไปเปล่า(dalliance).  เขายังโน้มเอียงที่จะ(tend to)ทำลายทุกอย่าง(destroy everything), เริ่มต้นด้วยสุขภาพ(health)ของตนเอง, แล้วจบลงกับสภาพแวดล้อม(environment). เขามีความพึงพอใจจากกิจกรรมทั้งหลายของการข่มเหง(abusing)หรือทำลายล้าง(destructive)ผู้อื่น.

โดยธรรมชาติในรูปร่างบริสุทธิ์ของมัน(pure form), กุนา(gunas)เหล่านี้ถูกพบได้ยากมาก. ในกรณีส่วนมากวิถี(modes)เหล่านี้ถูกผสมในสัดส่วนแตกต่างกันไปและจัดให้เป็นธรรมชาติอันหลาก หลายของมนุษย์(variety of human nature’s).  วิถี(modes)เหล่านี้เป็นพลวัต(dynamic), นั่นคือทำไมคนเรา(person)ถึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้, โดยไตร่ตรองอย่างรอบคอบในการเพิ่มอิทธิพลของวิถีที่แตกต่างกันนี้ในชีวิตของเขา. บางครั้งคนเราลดค่าลง(degrade)และบางครั้งก็หาประโยชน์(taking advantage)จากความรู้(knowledge), พลังใจ(willpower) และ อิสระของการเลือก.  เขาเขาขึ้นไปยังชีวิตในระดับที่สูงขึ้นในเชิงคุณภาพ. 
กุนา(gunas)ทั้งสามนี้เป็นพลังของธรรมชาติ(forces of nature) ยกระดับให้กับสามสภาวะหลักของจิตสำนึก(three main states of consciousness), ซึ่งบุคคลมีชีวิต(living entity)อาจตกอยู่ในสภาวะนั้น.
หลับโดยไม่ฝัน(sleep without dreams)  ภายใต้อิทธิพลของอวิชชา(influence of ignorance).  จิตสำนึก(consciousness)ได้สำแดงให้เห็นในสภาวะ(condition)ที่เรียกว่า การหลับโดยไม่ฝัน(sleep without dreams). มันหมายความว่า, คนๆนั้นไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา(his existence). มนุษย์อาจจะคงอยู่(remain)ในสภาวะเพียงแค่คาบเวลาสั้นๆ(short period of time)ในสภาวะ(state)นั้น.  มีแต่สิ่งมีชีวิตระบบชีวอินทรีย์ที่เรียบง่ายที่สุดเท่านั้นที่สามารถอยู่ในสภาวะนั้นเป็นเวลานานได้(live in this state for a long time).
หลับโดยมีฝัน(sleep with dreaming)        ภายใต้อิทธิพลของวิถีของกิเลส(influence of the mode of passion), จิตสำนึก(consciousness)ได้สำแดงให้เห็นในสภาวะที่เรียกว่า การหลับโดยมีฝัน(sleep with dreaming). มันหมายความว่า, เราฝันว่าเราเป็นคนอื่น(someone else)แล้วเราอยู่ในความเป็นจริง.  สภาวะของจิตสำนึกนี้(state of consciousness)นี้ สอดคล้องกันกับตำแหน่ง(position)ของผู้คนส่วนมาก. พวกเขาคือจิตวิญญาณชั่วนิรันดร์(eternal souls), แต่อยู่ภายใต้อิทธิพลของวิถีของกิเลส, มันดูเหมือนว่าสำหรับพวกเขาแล้ว, พวกนั้นคือร่างชั่วคราว(temporary bodies). การผิดพลาดตนเองกับร่างกาย(mistaking oneself with the body)ก็เหมือนเช่นเดียวกับสับสนตนเองกับสูทที่ใส่, หรือรถยนต์ที่ตนขับ.
การตื่น(awakeningภายใต้อิทธิพลของวิถีของคุณธรรม(influence of the mode of goodness), จิตสำนึก(consciousness)อยู่ในสภาวะของการตื่น(state of awakening). ในสภาวะนี้, เราเริ่มที่จะเข้าใจว่าเราเป็นอะไรบางอย่างมากกว่าแค่เครื่องจักรทางชีวภาพ(biological machine). ในระดับนี้(this level), คนนั้นจะเห็นชัดเจน(clearly see)ถึงความแตกต่างระหว่างจิตวิญญาณ(a soul) กับ ร่างกาย(a body), และเริ่มต้นแสวงหาความรู้เรื่องจิตวิญญาณ(spiritual knowledge)และมรรคาของการพัฒนาจิตวิญญาณ(the path of spiritual development). อย่างไรก็ตาม, ถึงแม้สภาวะของการตื่น(state of awakening)นี้ไม่ใช่จุดสูงสุด, เพราะว่าถ้าเราตื่นแต่ไม่ลุกขึ้น, เราเราก็จะง่วงงุนกลับไปหลับใหลได้ง่ายๆอีกครั้ง.

เช่นนั้นเอง, คัมภีร์พระเวทยังบอกไว้อีกว่า, เป้าประสงค์ของชีวิตมนุษย์(purpose of human life) คือ การยกให้จิตสำนึกสูงขึ้น(elevation of consciousness)เหนือสามวิถีทั้งหมดนั้น(over all three modes), รวมทั้งวิถีของคุณธรรม(mode of goodness).



คำทำนายทั้งหลายของการกลับชาติมาเกิดอีกในอนาคต(Predictions of the future reincarnations)

คำทำนายนี้จัดวางอยู่ในคัมภีร์พระเวทว่า, การกลับชาติมาเกิดอีกในอนาคตของเราได้ถูกกำหนด(determined) โดยสภาวะของจิตสำนึก(state of consciousness), ในที่ซึ่งจิตวิญญาณ(the soul)ได้ออกจากร่างกาย( leaves the body)ไปในการตาย(at death).  
          ตัวอย่างเช่น, ถ้าจิตสำนึก(consciousness)ที่เวลาของการตายอยู่ในวิถีของคุณธรรม(in the mode of goodness), จิตวิญญาณ(the soul)ก็ไปยังโลกที่สูงขึ้น(goes to higher world), เพื่อดำเนินมรรคาแห่งความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณต่อไป.  ถ้าคนใดตายในวิถีของกิเลส(in the mode of passion), เขาก็ได้กลับคืน(regain)ในร่างมนุษย์(human body)อีกเพื่อดำเนินปฏิบัติการ(exercises)แผนการเชิงวัตถุนิยม(materialistic plans)ทั้งหลายของเขาต่อไป.  ถ้า, อย่างไรก็ตาม, จิตสำนึกของผู้ใดได้ถูกจดจ่อ(immersed)อยู่ในวิถีของอวิชชา(in the mode of ignorance)ในตอนเวลาของการตาย, มันก็เปิดหนทางไปสู่โลกที่ต่ำกว่า(lower worlds), หรือรูปแบบชีวิตที่ต่ำลงไปกว่า(lower form of life).
          ในความหมายนัย(sense)นี้, การกลับชาติมาเกิดอีก(reincarnation)นั้นเป็นเครื่องมือที่สมบูรณ์(perfect tool)ที่ให้จิตวิญญาณ(the soul)มีโอกาสที่จะมีชีวิตในหลากหลายร่าง(a variety of bodies), และไปผ่านหลายประสบการณ์แปรผันแตกต่างกัน(varies)ซึ่งยอมให้(allows)จิตวิญญาณในการที่จะกำจัดกิเลสตัณหาทางวัตถุ(material desires)ทั้งหลายของเขาออกไปทีละเล็กละน้อย, และเสาะหาการสืบค้นทางจิตวิญญาณ(a spiritual quest).
          คัมภีร์พระเวท(the Vedas)เอ่ยถึง 8,400,000 รูปแบบของชีวิต, ที่ดำรงอยู่ในจักรวาลนี้, ซึ่งแสดงให้เห็น(represent)การผสมแตกต่างกันทั้งหลาย(different combinations)ของสามวิถีของธรรมชาติเชิงวัตถุ(three modes of material nature).  จาก(out of these) 8, 400,000 นี้, คือรูปแบบชีวิตคล้ายมนุษย์(human-like form), จากมนุษย์หิมะ(snowman)ไปถึงผู้คนของดาวเคราะห์เชิงมนุษย์ที่ระดับสูงกว่า(people of higher humanoid planets) หรือเทวดาทั้งหลาย(angels)ในภาษาของคัมภีร์ไบเบิ้ล(biblical language).

กลไกของการกลับมาเกิดใหม่ภายนอก (the mechanism of external reincarnation)

          อะไรคือ กลไกการกลับมาเกิดใหม่ภายนอก(the mechanism of external reincarnation)หรือ? จิตวิญญาณของร่างมนุษย์(the soul of the human body)สามารถไปสู่ในร่างของสัตว์ได้อย่างไรกัน?
          มันเริ่มต้นด้วยความจริงที่ว่า, ผู้ใดในชีวิตนี้(a person in this life)สามารถเคลื่อนลงมายังระดับของจิตสำนึกของสัตว์(the level of animal consciousness), และร่างใหม่จะรวมเป็นหนึ่ง(consolidate)ในสภาวะนี้ของจิตสำนึก(this state of consciousness)สอดคล้องเข้ากับ(corresponding)ยังร่างกายภาพ(the physical body)ไปเฉพาะกาลนั้น(for the time being).
          ตัวอย่างเช่น, ถ้าผู้ใดในชีวิตนี้แสดงให้เห็นชัด(manifest)ถึงคุณภาพของการเป็นนักกินสัตว์(predator-นักล่า)โดยใช้ความรุนแรงและใส่ใจในผลผลิตของความรุนแรง(heeds the products of violence), มันได้สร้างสรรค์(creates)ความเชื่อที่มีผลต่อพฤติกรรมที่เหมาะสม(appropriate mindset), และพระเจ้า(God)ในหัวใจของ อภิจิตสำนึก(super consciousness) ให้รูปแบบที่เหมาะสม(appropriate form)แก่เขาในที่ซึ่งความรุนแรง(violence)เป็นเรื่องธรรมชาติ(natural).  สำหรับสัตว์แล้ว, พฤติกรรมเช่นนั้น(such behavior)เป็นเรื่องปกติ(normal), แต่สำหรับมนุษย์แล้วมันไม่ใช่. ถ้าผู้ใดมีชีวิตอยู่ตามอำเภอใจอย่างสมบูรณ์สิ้น(completely indiscriminate)ไม่จำกัดอาหาร(diet), เขาก็สามารถได้รูปแบบของชีวิต(form of life)สำหรับประเภทนี้ที่การบริโภคอาหาร(food consumption)เป็นแบบฉบับมากกว่า(more typical)สำหรับพวกมนุษย์.
          ผู้ที่ชอบนอนหลับนานกว่าที่จำเป็น, จะสามารถบรรลุ(carry out)ความปรารถนาของพวกเขา(their wish)ในร่างกาย(bodies)ของหมีสล็อธ(sloth bears)หรือแมว(cats), ที่นอนหลับ 70% ของเวลา. ผูรักการดำน้ำสกูบา(scuba diving)สามารถได้ร่างของปลา(fish bodies). และบรรดาแฟนๆของการบิน(fans of flying)ก็สามารถได้ร่างของนก(body of birds).
          ผู้ที่หว่านเมล็ดพันธุ์ความรุนแรง(seeds violence)ในชีวิตของเขา, ต่อมาก็จะกลายเป็นเหยื่อของความรุนแรง(victim of violence). ตัวอย่างเช่น, คำว่า “เนื้อ”(meat)ในภาษาสันสกฤตออกเสียงว่า MAM SAH. Mam หมายถึง “ฉัน” และ sah คือ “คุณ”. มันนำพาความคิดของเหตุและผลที่ได้รับ(cause and effect). ตอนนี้เจ้ากำลังฆ่าฉัน, แล้วฉันก็จะฆ่าเจ้า.  สำหรับผู้รักเนื้อทั้งหลาย(meat lovers), มันดีกว่าที่จะสับเปลี่ยนไปยังเนื้อจากถั่ว(soy meat), หรือไม่ก็เลิกกินเนื้อของวัว(meat of cow)ที่เป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ใช้งานมากที่สุด(the most useful animals)สำหรับมนุษย์.  และคัมภีร์พระเวทถือว่าการฆ่าวัว(cow killing)เป็นฆาตกรรม(murder).

          การอยู่ในวัฏฏะของสัมพันธภาพแห่งเหตุและผล(the cycle of cause-and-effect relationship)นี้, เราคลายปมบ่วงใย(untangle)อยู่ในกับดักของกรรม(traps of karma)ที่เราได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเอง(created).  การชดใช้กรรมของเขาเอง, ผู้นั้นก็สร้างสรรค์อันใหม่ขึ้นมาอีกที่บีบบังคับ(forces)เขาให้ได้รับมากขึ้นและมากขึ้นในร่างวัตถุใหม่ทั้งหลาย(more new material bodies).
          สัตว์ทั้งหลายได้เกือบที่จะปราศจากการอิสระตามอำเภอใจ(devoid of freewill).  กระนั้นเอง, พวกเขาแค่ประสบแต่เพียงกรรมเก่า(the old karma), ทีละเล็กละน้อยฟื้นคืนกลับมาสู่รูปแบบชีวิตมนุษย์(the human form of life), เพื่อได้รับคืนอิสระของการเลือก(freedom of choice). จิตวิญญาณ(the soul)ในร่างของสัตว์(the animal body), ไม่ได้สร้างสรรค์กรรมใหม่(a new karma). แทนที่จะเป็นเช่นนั้น(otherwise), มันจะเป็นการขาดแคลนไปตลอดกาล(forever deprived)ในโอกาสที่จะฟื้นเหนือขึ้นไป(rise above). 
          ดังนั้นเอง, คัมภีร์พระเวทยังกล่าวไว้ว่า, เป้าหมายของชีวิตมนุษย์(the objective of human life)คือการบรรลุถึงสภาวะที่สี่ของจิตสำนึก(the fourth state of consciousness). เหนือขึ้นไปกว่าวิถีทั้งสามของธรรมชาติ(above the three modes of nature). มันคือจิตสำนึกวิญญาณพิสุทธิ์(pure spiritual consciousness)ซึ่งอนุญาตให้เติมเต็ม(allow to fulfill)สิ่งจำเป็นสามประการของจิตวิญญาณ(the three requirements of the soul), นิรันดร(eternity), วิชชา(knowledge) และปีติสุข(bliss).  ระดับนี้ถูกสัมฤทธิผล(achieved)ได้ขึ้นอยู่กับ(due to)ความจริงที่ว่า, การได้ฟื้นขึ้น(risen)ไปยังวิถีแห่งคุณธรรม(the mode of goodness). ผู้ใดที่ไม่ได้หยุดการเข้าใจปรัชญาชีวิตที่ถูกต้อง(proper philosophical understanding of life), แต่ได้เริ่มต้นที่จะเกี่ยวดอง(engage)ในกิจกรรมการปฏิบัติทางวิญญาณ(practical spiritual activities), การทำสมาธิ(meditation), สวดภาวนา(prayer)และรับใช้พระเจ้า(service to God).  ถ้าผู้นั้นมีชีวิตอยู่ในวิถีแห่งคุณธรรม(the mode of goodness), เขาก็จะได้กำไรสูงสุดจากชีวิตของโลกวัตถุ(the maximum benefit from the material life). ในเมื่อในท่ามกลางคุณภาพของวัตถุทั้งปวง(all material qualities), วิถีแห่งวคุณธรรม(the mode of goodness)คือสิ่งสูงสุดเช่นเดียวกันกับทัศนภาพที่เที่ยงตรงของการพัฒนาทางวิญญาณ(accurate perspective of spiritual development). ดังนั้นเอง, มรรคาของชีวิตเช่นนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็น มรรคของความก้าวหน้า(the path of progress).



          ถ้าผู้ใดเลือกให้ตนเองในมาตรฐานของการมีชีวิตอยู่ในวิถีของกิเลสหรืออวิชชา(living in the mode of passion or ignorance)แล้ว, เขาก็ไม่สามารถที่จะได้ถึงคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้น(higher quality of life), ถึงแม้ว่าในระดับวัตถุ(material level)และโอกาสของพัฒนาการทางวิญญาณ(prospect of spiritual development)สำหรับเขาแล้วได้ถูกปิดลง. ในขณะที่เป็นอวิชชา(ignorance)และกิเลสตัณหา(passion), ผู้นั้นจะไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงปรัชญาของจิตวิญญาณเบื้องลึก(deep spiritual philosophy) และไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้อง(engage)ในการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ(spiritual practice)ได้. ดังนั้น, มันจึงสามารถเรียกได้ว่าเป็น มรรคาแห่งการเสื่อมถอย(the path of degradation).

มรรคาแห่งวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณ (Paths of spiritual evolution)
          ในการที่จะช่วยจิตวิญญาณ(the soul)ที่จะฟื้นขึ้นไปเหนือวัตถุ(rise above matter), มีขบวนการวิวัฒนาการทั้งหลายที่แตกต่างกัน(different evolutionary systems)ในสังคมมนุษย์(human society).
          คัมภีรพระเวทเรียกการปฏิบัติฝึกฝนสากลทั้งหลายนี้(these universal practices)ในเรื่อง(term)ของ โยคะ(yoga), ที่หมายถึงสัมพันธภาพ(relationship)กับพระเจ้า(God).  ในโลกตะวันตก, แนวความคิด(concept)นี้แสดงออกมาปรากฏในเรื่อง(term)ของ ศาสนา(religion). 
โยคะ(yoga)นั้นมีหลายขั้น(several stages). ขั้นแรกเรียกว่า กามาโยคะ(Karmayoga), ที่หมายถึงว่า คนผู้นั้นได้ติดต่อกับพระเจ้า(connected)ผ่านกิจกรรมกามาทั้งหลาย(activities karma)ของเขา หรือผ่านร่างกายภาพของเขา(his physical body).
ขั้นที่สอง, กายนะ โยคะ(Gyana yoga) หรือ สังฆหกายะ โยคะ(Sankhya yoga), หมายถึง การติดต่อนั้น(the connection)ผ่านทางความรู้ของจิตวิญญาณ(spiritual knowledge) หรือ กายละเอียดของเรา(our subtle body).
ขั้นที่สามคือ อัชตังคะ โยคะ(Ashtanga yoga), โยคะแปดส่วน(Eightfold yoga), สัมพันธภาพกับพระเจ้า(relationship with God) ผ่านการทำสมาธิ(meditation) และการควบคุมลมหายใจ(breath control).
ขั้นที่สี่อันแรกของการปฏิบัติฝึกฝนนี้รู้จักกันในหมู่พวกเราว่าคือ หัธ โยคะ(hatha yoga), และสี่ระดับสูงขึ้นนี้เกี่ยวข้องอยู่กับ ราชา โยคะ(Raja Yoga). 
ใน ภควัต-คีตา(bagavad-gita)ประกาศว่าเป็น ภัคติ โยคะ(bhakti yoga), เป็นรูปแบบโยคะสัมพันธภาพ(form of yoga relationship)กับพระเจ้า(God)ผ่านความรักและอุทิศตนของจิตวิญญาณ((love and devotion of the soul). การปฏิบัติฝึกฝนนี้รวมไปถึงธาตุทั้งหลาย(elements-ส่วนประกอบทั้งหลาย)ของระบบทั้งหมดที่กล่าวมาก่อนหน้านี้(all previous systems), แต่เลยไปกว่า(surpasses)พวกนั้นทั้งหมด, เพราะว่ามันเกี่ยวพัน(involve)กับแก่นสารัตถะลึกซึ้ง(profound essence )ของเรามากที่สุด, คือ จิตวิญญาณ(the soul).
ส่วนที่เหลือของการปฏิบัติฝึกฝนโยคะทั้งหลาย, เกี่ยวข้องแค่เพียงเปลือกของจิตวิญญาณ(the shell of the soul), ร่างกายภาพ(the physical body) และร่างละเอียด(the subtle body).

7 ศูนย์กลางพลังงานของมนุษย์ (7 energy centers of the human)
          เช่นนั้นเอง, ร่างกายมนุษย์(the human body)ก็เป็นเหมือนโรงงานพลังงาน(power plant)ที่ถูกออกแบบมาให้ยกระดับจิตสำนึก(elevate consciousness).  จิตสำนึก(consciousness)ของจิตวิญญาณ(the soul)เคลื่อนไหวหมุน(circulates)ผ่านศูนย์กลางพลังงานที่ละเอียดอ่อนทั้งหลายของร่างกาย(subtle energy centers of the body), ที่เรียกว่า จักระ(the chakras), ซึ่งรับผิดชอบ(responsible-ตอบสนอง)ต่อการทำงานจำเพาะ(specific functions)ทั้งหลาย.


จักระที่ต่ำที่สุด(the lowest chakra), มูลธาระ(mooladhara), รับผิดชอบ(responsible-ตอบสนอง)กับการเก็บสะสมพลังงานสำคัญ(the accumulation of vital energy), และรูปทรงที่ยังไม่บริสุทธิ์(unrefined form)ของมัน. มันมีอิทธิพลในชีวิตของเราได้เห็นเป็นเช่นสัญชาตญานที่สะสมพอกพูน(a hoarding instinct).
จักระที่สองคือ สวาดิษฐาน(swadishtana), ถูกเชื่อมโยงเข้ากับการทำงานด้านกามารมณ์ของมนุษย์(human sexual function).
จักระที่สาม, มณีปุระ(Manipur), อยู่ในพื้นที่ของสุริยะประสาท(solar plexus) หรือท้อง(stomach), และรับผิดชอบ(responsible-ตอบสนอง)กับการย่อยอาหาร(digestion).
ทั้งสามจักระเบื้องต่ำนี้(lower chakras)ถูกสัมพันธ์เข้ากับกลไกชีวภาพของมนุษย์(related to human physiology).
จักระที่สี่ในพื้นที่หัวใจ(the heart area) ถูกเรียกว่า อนาหตะ(Anahata), และรับผิดชอบต่อ(responsible for)อารมณ์ทั้งหลาย, รัก(love), กรุณา(compassion) และเมตตา(mercy).
จักระที่ห้า(วิสุทธะ-Vishuddha), ตั้งอยู่ในลำคอ(throat)ที่ฐานของลิ้น(the base of the tongue), และถูกสมาคม(associated with)กับการใช้งานเกี่ยวกับการสื่อของความสามารถของมนุษย์(communicative function of the human ability), ที่จะพูดและเชื่อมตือความคิดทั้งหลาย(articulate thoughts).
จักระที่หก, อาจนะ(Agna หรือ Agya) อยู่ที่ในระหว่างคิ้ว(between the eyebrows) และบางครั้งถูกเรียกว่า ตาที่สาม(the third eye).
จักระที่สูงที่สุด, จักระที่เจ็ดใกล้กับขม่อม(fontanel)ที่ชุมทางของสามกระดูกหุ้มสมอง(junction of the three cranial bone, ถูกเรียกว่า สหัสสราระ(Sahasrara-สหัสธาระ), หนึ่งพันสองกลีบบัว(thousand two petaled Lotus). ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ทั้งหลาย(symbolizes)ของจิตสำนึกที่มีศักยภาพเต็มเปี่ยม(the full potential of consciousness), ขณะที่จักระต่ำกว่า(lower chakra)เป็นสัญญลักษณ์ของจิตสำนึก(consciousness)ในขั้นระดับเมล็ดพันธุ์เพาะปลูก(the seed stage).
ดังนั้น, มนุษย์ในการพัฒนาของเขา(in his development)ต้องพ้นไปจากผู้ติดยึดอัตตาอย่างหมดสิ้น(a complete egoist)และเป็นผู้บริโภค(a consumer), ไปสู่ผู้ให้ที่สามารถอุทิศตนเอง(devote himself)ต่อการรับใช้วิญญาณ(spiritual service), และยอมจำนนตนเองให้กับพระเจ้า(surrender himself to God).

สัมพันธภาพกับพระเจ้า(relationship with God)ผ่านความรักและการอุทิศตน(love and devotion), นี่คือการปฏิบัติฝึกฝนมีผลกระทบต่อหัวใจจักระ(heart chakra), ที่อาศัยของจิตวิญญาณ(the habitat of the soul).  ด้วยมรรควิถีของความผสานกลมกลืนของจักระ(the path of harmonization of the chakras)จากศูนย์กลาง(center)ไปยังภายนอกโดยรอบวง(periphery), หัวใจจักระ(the heart chakra)เป็นศูนย์กลางและกระทำตนเป็นเช่นสะพานระหว่าง(acts as a sort of bride between)สามจักระเบื้องล่างและสามจักระเบื้องสูง(the three lower and the three higher chakras).
ขอบคุณให้กับการเปิดวิญญาณของหัวใจ(spiritual opening of the heart)} ศูนย์กลางเบื้องล่างก็ได้ดวงตาของวิญญาณ(spiritual eyes), และนี่สะท้อนมาในความจริงถึงที่ความต้องการ(demand)อาหาร(food), เพศสัมพันธ์(sex) และความสะสมพอกพูนได้ลดลงโดยธรรมชาติ(accumulation naturally diminish).  การลดอาหาร(diet)โน้มเอียงไปสู่มังสวิรัติ(vegetarian) และความรักในกามารมณ์เริ่มต้นไปสู่การเปลี่ยนรูป(transform)ตนเองไปสู่รูปแบบที่สูงขึ้น(higher form).
สำหรับจักระเบื้องสูงนั้น, การพูดจาของมนุษย์ขึ้นอยู่กับ(depending on)สภาวะ(the condition)ของจักระที่ห้า(the fifth chakra), นั้นถูกทำให้ปลอดพ้นจากภาษาหยาบคาย(dirty language)และกลายไปเป็นดวงตาแห่งจิตวิญญาณ(spiritual eyes)มากขึ้น.
จักระที่หก(the sixth chakra)เริ่มที่จะจัดหาให้ผู้นั้นด้วยการเข้าใจอันถูกต้องกับชีวิต(collect understanding of life).  ที่ระดับนี้, เขาจะสามารถไม่ใช่แค่เพียงเข้าใจพระเจ้า(understand God), แต่รักในพระองค์ด้วย, เพราะว่าปัญญา(intelligence)ของเขาได้กลายเป็นได้ถูกประจุทางอารมณ์(emotionally charged)เพราะ(due to)การเปิดออกของหัวใจ(the opening of the heart). บนพื้นฐานของการนี้(based on this), ผู้นั้นได้ตัดสินใจที่จะอุทิศตนเอง(devote himself)ต่อการปฏิบัติฝึกฝนทางจิตวิญญาณ, ซึ่งมีการสัมผัส(direct contact-ผัสสะ)โดยตรงกับพระเจ้า.  และความต้องการทั้งสามนั้นของจิตวิญญาณ, นิรันดร(eternity), วิชชา(knowledge) และความสุข(happiness) ก็ได้ตระหนักเต็มเปี่ยม(fully realized).

ความสัจจริงของจิตวิญญาณและวัตถุ (Spiritual and material reality)
          คัมภีร์พระเวทสันนิษฐานว่า, การมีอยู่ของทั้งสองรูปแบบของความจริง(the existence of two types of reality), จิตวิญญาณเริ่มแรกและวัตถุในขั้นที่สอง(the original spiritual and secondary the material), พวกเขาสัมพันธ์กันและกันดังเช่นวัตถุและเงา(relate to each other as an object its shadow). ถึงแม้ว่าเงานั้นจะดูเหมือนวัตถุ, มันก็ไร้ซึ่ง(devoid)แกนใน(inner core).  ตัวอย่างเช่น,  รูปวาดต้นไม้(a drawn tree)สามารถดูเหมือนต้นไม้จริงได้, แต่มันไม่สามารถให้ผล(fruits), ดอก(flowers)และไม้(wood)ได้. คล้ายกันนั้น(similarly), โลกวัตถุ(material world)ของเรา, ในทุกความหลากหลายทั้งปวงของมัน, เป็นง่ายๆเช่นเงาสะท้อน 3 มิติของหลายมิติความสัจจริงทางจิตวิญญาณ (3-dimensional reflection of multi-dimensional spiritual  reality).
          โลกทางจิตวิญญาณ(spiritual world)ดำรงอยู่(exist)ชั่วนิรันดร์(eternally), และโลกวัตถุเป็นเหมือนเงา.  ภายใต้เหตุการณ์ทั้งหลายอย่างหนึ่ง(certain circumstances)ก็อาจปรากฏและหายไป(appear and disappear)ที่วงจรเวลาหนึ่ง(at certain time cycles).  ตามที่กล่าวไว้ในพระเวท, บ้านแรกกำเนิดเดิมของจิตวิญญาณทั้งปวง(the original home of All Souls)คือ โลกจิตวิญญาณ, ที่ซึ่งศูนย์กลางของสัมพันธภาพทั้งปวง(all relationships)คือ สภาวะบุคคลสูงสุดของ พระเป็นเจ้า(the supreme personality of Godhead). พระเจ้า(God)มีอิสระภาพและเอกราชที่สมบูรณ์สิ้น(complete freedom and independence), และพระองค์คือแหล่งกำเนิดของพลังงานทั้งปวง(the source of all energies).  จิตวิญญาณ(the soul)เป็นอนุภาคหนึ่งของพระเจ้า(a particle of God), มีได้แค่เอกราชบางส่วน(partial independence)เท่านั้น.
          ในการดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์(the eternal existence), จิตวิญญาณ(the soul)ได้เปรียบในเอกราชบางส่วนของมันเองและนั่นคือมันเป็นแรง(forced)ที่จะไปจาก(to leave)โลกของจิตวิญญาณ(the spiritual world), และไปยังโลกวัตถุ(the material world).  ที่ซึ่งพระเจ้านั้นไม่ชัดเจน(not obvious)และมีอยู่ก็เพียงแต่ในการเป็นเช่นจิตสำนึกสากล(universal consciousness) – ปรมัตมะ(Paramatma), ที่ควบคุมกฏของจักรวาล(the laws of the universe).  ที่นี่เอง, จิตวิญญาณ(the soul)สามารถพยายามที่จะอาศัยอยู่ในเอกราชสัมพัทธ์(live in relative independence from God)จากพระเจ้า. อย่างไรก็ตาม, ไม่มีอะไรสามารถมาแทนที่พระเ(replace God)เพื่อจิตวิญญาณ(for the soul)ได้.  และการได้ผ่านทะลุมาหลายการเกิดใหม่(rebirths), จิตวิญญาณ(the soul)อาจถูกยวนยั่ว(get tempted)ที่จะกลับไป(return to)ยังโลกแห่งจิตวิญญาณ(the spiritual world), และปรมัตมะ(Pramatma)จากดวงใจ(the heart)เริ่มต้นที่จะกำกับจิตวิญญาณ(direct the soul)สำหรับวิถีทางจิตวิญญาณแตกต่างกันทั้งหลายในการปฏิบัติฝึกฝนของเรา. 
          ประเพณีทั้งหลายทางจิตวิญญาณแตกต่างกัน(different spiritual traditions)นั้นเป็นเหมือนบันไดช่วยชีวิต(rescue ladder)จากโลกแห่งจิตวิญญาณ(the spiritual world), ที่ถูกใช้โดยจิตวิญญาณ(the  soul)ในการค่อยๆหลบหนีอย่างเป็นระยะๆจากโลกวัตถุ(the material world).


ความเชื่อมโยงทั้งหลายของจิตวิญญาณและกายร่าง (Connections of the soul and the body)

ดังนั้นมนุษย์(human being)คือ การผนึกกันของจิตวิญญาณอันนิรันดร์และและร่างวัตถุอันชั่วคราว (a combination of eternal soul and a temporary material body).  กายละเอียด(the subtle body)นั้นคือเงาของจิตวิญญาณ(the shadow of the soul) หรือภาพฉายของจิตสำนึก-สติสัมปชัญญะของจิตวิญญาณ-นามหรือวัตถุ-รูป (the projection of the consciousness of the soul or matter).  กายละเอียด(the subtle body) หรือ รูปธรรมของจิตสำนึก-สติสัมปชัญญะ(the materialistic consciousness) คือ เนื้อเยื่อยึดต่อ(connective tissue)ระหว่างกายร่างและจิตวิญญาณ(body and soul).  เมื่อกายละเอียด(the subtle body)ถูกทำให้ก่อรูป(impregnated)การตั้งท้องทางวัตถุของชีวิต(material conception of life), จิตวิญญาณแสดงตัวของตนเอง(identifies itself)กับกายร่าง(the body).  เมื่อเราได้รับความรู้ทางจิตวิญญาณ(receive spiritual knowledge), จิตใจและจิตสำนึก-สติสัมปชัญญะ (the mind and the consciousness)ก็ได้รับความพิสุทธิ์(get purified) จากการแสดงออกตัวตนที่ผิดทั้งหลาย(false identifications), แล้วสภาวะอันเป็นที่น่าปรารถนา(favorable conditions)ในการที่จะกลับคืนมาของจิตวิญญาณอันนิรันดร์(return of the eternal soul) สู่โลกอันนิรันดร์(eternal world)ก็ปรากฏชัดเจน(manifest).  หรือมิฉะนั้น, จิตวิญญาณอันนิรันดร์(the eternal soul)ก็จะถูกบีบ(forced) ให้ร่อนเร่(wander)ไปตลอดกาลในโลกของวัตถุ(material world), เปลี่ยนกายร่างทั้งหลาย(bodies)เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งหลาย.
          ในผลสรุปของการศึกษาทางโลก(a consequence of secular education), จิตสำนึก-สติสัมปชัญญะ(consciousness) คือสิ่งขาดแคลนจิตวิญญาณทดแทน(devoid of spiritual alternative), และดังนั้นเอง, คนเราโน้มเอียงที่จะให้ความพึงใจ(tends to give preference)แก่ความต้องการทั้งหลายทางร่างกายภาพของเขา(the needs of his physical body), เมินเฉยต่อประโยชน์ทั้งหลายเรื่องจิตวิญญาณอันแท้จริงของเขา(his true spiritual interests).
          ในความเป็นจริงแล้ว, มันหมายถึงว่าเขาไม่สามารถ(unable)ที่จะแยกแยะความแตกต่างของปฐมภูมิกับทุติยภูมิ(distinguish primary from secondary).  เขาลืมไปว่ากายร่างของเขา( his body)นั้นมีชีวิตอยู่เมื่อตราบใดที่จิตสำนึก-สติสัมปชัญญะ(consciousness), จิตวิญญาณ(soul)และปรจิตสำนึก(super consciousness) – พระเจ้า(God) – ในใจ(in the heart)ได้เกิดขึ้นมีอยู่(present).
          กระนั้นเอง, จิตวิญญาณ(the soul)ยึดครองตำแหน่งของที่กำเนิดไฟฟ้า(battery)ซึ่งเลี้ยงดูกายร่าง(nourishes the body).  มันกลายเป็นเจ้าของรถ, ที่เกี่ยวข้อง(concerns)ก้แต่เพียงเครื่องยนต์(the machine)และหลงลืมผลประโยชน์ส่วนตนของมันไป.  ในกรณีนี้, มันกลับออกมาเป็นว่าเจ้าของรถดำรงอยู่สำหรับรถ, ไม่ใช่รถเป็นเจ้าของ(not a car the owner).  มันชัดเจนว่ารถนั้นต้องถูกเติมอย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำมัน, แต่เจ้าของรถไม่ได้ดื่มมันไปด้วย,  เขาต้องการอาหารที่แตกต่างออกไป.


การฝึกฝนทางจิตวิญญาณ (spiritual practice)

แล้วอะไรหรือคืออาหารของจิตวิญญาณ(the food for the soul)?  จิตวิญญาณ(the soul)จำเป็นต้องการพลังงานทางจิต(needs spiritual energy)ที่มาโดยตรงจากพระเจ้า(God).  มันหมายความถึงอะไรหรือ? มันถูกสังเกตได้ว่า สติสัมปชัญญะ-ความตระหนักรู้(consciousness)ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด(all living creatures), มีหนึ่งสิ่งที่เหมือนกัน, คือมันแสวงหาการปรากฏทั้งหลายที่ดึงดูดใจมากที่สุด(the most attractive manifestations)ของความสัจจริง(reality).
ในบรรดาสิ่งแวดล้อมทั้งหมดที่เราจัดสรรปันส่วนในทันที(instantly allocate)ว่าเป็นความงามและดึงดูดใจเจิดจรัสมากที่สุด(brightest most beautiful and attractive), นี้บ่งชี้ว่าสติสัมปชัญญะ(consciousness)มีการรับรู้(กาละเทศะ)ทางสุนทรียภาพที่สืบทอดมา(an innate aesthetic orientation).
คัมภีร์พระเวท(the Vedas)อธิบายว่า, พระเจ้า(God)ตามธรรมชาติคือบุคคลที่น่าดึงดูดใจมากที่สุด(the most attractive person) และโลกนี้คือสิ่งรังสรรค์ของพระองค์(his creation).  ดังนั้น, ธาตุแท้ของสิ่งที่มีชีวิต(living entity)ในภาวะสติสัปชัญญะอันบริสุทธิ์( in its pure consciousness)ของมัน, ได้ถูกทำให้ดึงดูดใจโดยพระเจ้าเอง.  และเมื่อสติสัมปชัญญะของจิตวิญญาณถูกปกปิดด้วย 3 วิถี(covered with three modes), มันมีแนวโน้มที่จะถูกดึงดูดใจโดยสิ่งที่พระองค์รังสรรค์.  แต่ในอีกกรณีหนึ่ง, พระเจ้า(God)ดึงดูดจิตวิญญาณ(attracts the soul) ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม, ผ่านทางธรรมชาติวัตถุ(through a material nature). 
ดังนั้น, คัมภีร์พระเวทเรียก พระเจ้า(call God) ในคำความหมายของ สิ่งดึงดูดใจ-ทั้งปวง.  นั้นในภาษาสันสกฤตฟังดูเหมือนได้ว่า กฤษณะ(Krishna).  กฤษณะ(Krishna)เป็นนามที่ชี้ให้เห็นถึงธรรมชาติทั้งปวงอันดึงดูดใจของพระเจ้า(all attractive nature of God).

จิตวิญญาณ(the soul)สามารถได้รับอาหารของจิตที่มาหล่อเลี้ยง(spiritual nourishment)จากพระเจ้าได้อย่างไรหรือ? คัมภีร์พระเวทเอ่ยแนะถึงในรูปของความรู้ทางจิต(the form of spiritual knowledge), การทำฌานสมาธิในรูปของพระเจ้า(meditation in the form of God) และการปฏิบัติเอ่ยซ้ำๆถึงนามของพระเจ้า(a practice of repeating God’s names)ในรูปของบทสวด(prayer) หรือมนตร์คาถา(Mantra).
พระเจ้ามีธรรมชาติทั้งปวงที่แผ่ซ่านและสมบูรณ์พิสุทธิ์(pervasive and absolute nature) ที่ไม่แตกต่างไปจากนามของพระองค์.  และดังนั้นเอง, นามของพระองค์จึงบรรจุซึ่งทั้งปวงของพลังงานสวรรค์(all divine energies).

ในยุคสมัยปัจจุบัน(current era), คัมภีร์พระเวทเอ่ยแนะถึงมนต์พระกฤษณะ(hare Krishna)เป็นเช่นยารักษาที่ได้ผลที่สุด(the most effective remedy).  คำสมบูรณ์ครบถ้าถูกได้สวดอ่านดังต่อไปนี้
 ฮาเร กฤษณะ
ฮาเร กฤษณะ
กฤษณะ กฤษณะ
ฮาเร ฮาเร
ฮาเร รามา
ฮาเร รามา
รามา รามา
ฮาเร ฮาเร

มนตร์(mantra)นี้ถูกแปลออกมาได้ดังต่อไปนี้
โอ พระกฤษณะผู้ดึงดูดใจทั้งปวง(all-attractive Lord Krishna)
โอ พระผู้บรมสุขทั้งปวงองค์รามา(all blissful one Rama)
ได้โปรดยอมรับการถวายรับใช้ของข้าต่อพระองค์

มนตร์นี้สามารถถูกสวด(be chanted)โดยลำพังตน(individually)กับลูกประคำ(beads)และร่วมกลุ่มกันในรูปของสวดภาวนาหมู่(group chanting).  ในกระบวนการ(process)ของการสวดมนตร์บทนี้, กายละเอียด(the subtle body)ก็จะถูกทำให้บริสุทธิ์(gets purified). 
ในผลของการนี้, ความกระตือร้อนทางจิตของจิตวิญญาณ(the spiritual of the soul)จะถูกทำให้เพิ่มสูงขึ้น, และกิเลสทางวัตถุ(material desires)ก็จะอ่อนแอลง.
ผู้หนึ่งผู้ใดสามารถกำจัดนิสัยเลวร้ายทั้งหลาย(bad habits)ออกไปได้ง่ายๆ, และสร้างระบบคุณค่าทางจิตขึ้น(a spiritual value system), ในที่ซึ่งพระเจ้า(God)ดำรงตำแหน่งเป็นใหญ่อยู่(occupies a dominant position).

การค้นคว้าเชิงวิทยาศาสตร์ ของ มนตร์ ฮาเร กฤษณะ
Scientific Research of Hare Krishna Mantra

นอกจากผลกระทบทางจิตวิญญาณ(spiritual effect)แล้ว, ยังมีการเปลี่ยนด้านบวกในทางกายภาพ(positive physical changes)ด้วยเช่นกัน.
ในปี 1996, มหาวิทยาลัยแห่งฟลอริดา, คณะจิตวิทยา(Department of Psychology) จัดการให้มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อตรวจหาผลกระทบที่เกิดจาก มนตร์(mantra) นี้ที่มีต้อจิตใจและสุขภาพของมนุษย์. หลังจากหนึ่งเดือนของการสวดภาวนาวันละ(daily chanting) 20 นาที, การทดลองในกลุ่มของผู้ร่วมการทดลองเผยให้เห็น(revealed)ว่า อัตราของวิถีของอวิชชา(the rate of mode of ignorance)  เช่น แนวโน้มที่จะยึดติดกับความหดหู่(tendency of depression attachment)ที่หันไปหา บุหรี่หรืออัลกอฮอล นั้นลดลงประมาณ 18.5 เปอร์เซนต์.  ผลกระทบที่มีต่อ วิถีแห่งกิเลส(mode of passion)ที่ประกาศตนเองภายใต้สภาวะตึงเครียดทั้งหลาย(stressful conditions)และ/หรือความชอบ(the like), ลดลงราว 10%.  อิทธิพลของวิถีแห่งความดี(mode of goodness)ในทางตรงข้ามกัน, กลับเพิ่มขึ้นราว 7%. ผู้เข้าร่วมการทดลองหลายคนรู้สึกมั่นใจในตนเองมากขึ้น(more confident in themselves), เริ่มที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ยิ่งใหญ่กว่าในการรับมือจัดการกับวิกฤติ(show greater capacity for crisis management).  บางรายหันไปสนใจในมังสวิรัติ(vegetarianism)และอะไรต่อไปจากนั้น. 
          เรื่องนี้, ชี้แนะให้เห็นว่า มนตร์ฮาเร กฤษณะ(Hare Krishna mantra) มีผลกระทบทางบวก(positive effect)กับผู้คน, โดยไม่คำนึงถึงความเชื่อหรือศาสนาของพวกเขา.

          ในข้อสรุป(conclusion), เราสามารถพูดได้ว่า การพัฒนาทางจิตวิญญาน(spiritual development)นั้นเป็นไปได้และจำเป็น(possible and necessary) สำหรับผู้คนทั้งหมด.  มันเป็นไปได้เพราะว่าเราทั้งหมดคือสิ่งดำรงอยู่ที่มีจิตวิญญาณ(all spiritual being), และจนกว่าเราจะตระหนักได้ถึงโครงงานของจิตวิญญาณของเรา(our spiritual program)เราจะไม่เป็นความสุข(be happy).  ชีวิตของเราจะไม่สมบูรณ์(incomplete)ถึงแม้ว่าจะได้รับสัมฤทธิผลทางวัตถุทั้งปวง(all the material achievements). ชีวิตทางจิตวิญญาณ(spiritual life)เป็นสิ่งจำเป็น, เพราะว่าถ้าบุคคลใดไม่เตรียมตนเองสำหรับอนาคตทางจิตวิญญาณแล้ว, เขาก็จะเตรียมตนเองโดยไม่มีสติสัมปชัญญะ(unconsciously prepare himself)สำหรับวิกฤตการณ์ทางค่านิยมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้(inevitable crisis of values).
พลวัตของชีวิต(the dynamic of life)ก็คือว่า, ด้วยอายุมากขึ้นความสามารถที่จะรื่นรมย์ผ่านร่างกายภาพ(physical body)ได้ถูกลดลง(reduced). ในเมื่อประสาทสัมผัสทั้งหลายของร่างกาย(the senses of the body)นั้นอ่อนแอลง. ดังนั้นผู้คนควรจะเตรียมตนเองสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่แหล่งความสุขทางเลือกทั้งหลาย(prepare themselves to alternative sources)ที่ไม่ได้ถูกเกี่ยวโยงไปกับวัตถุ.  ชีวิตทางจิตวิญญาณ(spiritual life)เป็นที่หลบภัยทางธรรมชาติและปลอดภัย(a natural and safe haven)สำหรับจิตวิญญาณ, ซึ่งเข้าไปใกล้ชิดมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในชั่วขณะที่ทำให้ร่างกายตื่นเต้น(the moment of exiting the body).

ถ้าคุณสนใจในวัฒนธรรมและปรัชญาของคัมภีร์พระเวท(Vedic culture and philosophy) เราขอให้คุณเข้าถึง(refer to)ตำราทั้งหลายของ ภัคติ เวทันต์ สวามี ปรภูปัท (Bhakti Vedanta swami parabhupada) ที่ถูกพิมพ์โดย BBT, หรือไปเยี่ยมเยือนศูนย์ฮาริ กฤษณะ(Hari Krishna Center)ที่ใกล้ที่สุด.

https://www.youtube.com/watch?v=FDBUtho9a60



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น