หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ดับไฟ - หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี








คำนำ

          ขณะที่ท่านหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ยังดำรงชีพอยู่ ท่านปรารภเสมอว่า ท่านมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาสืบต่อจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ศาสนาพุทธยืนยงต่อไป
          บัดนี้ ท่านได้ละขันธ์จากไปแล้ว ดังนั้นเหล่าศิษย์ขอโอกาสนำธรรมเทศนาคำสอนอันไพเราะ และมีคุณค่ายิ่งของท่าน (ถอดออกมาจากเทป โดยคงสำนวน รูปประโยค ตามที่ท่านเทศนาไว้ให้มากที่สุด) มาเผยแผ่แก่สาธุชนต่อไป เพื่อเป็นการบูชาพระคุณท่าน ที่ท่านได้อบรมสั่งสอนศิษย์ทั้งหลาย ด้วยความเมตตาเสมอ และด้วยความอดทนเป็นอย่างมาก ตลอดเวลา โดยเฉพาะในระยะหลังๆนี้ ท่านอ่อนกำลังทางกายลงมา
          อนึ่ง ท่านหลวงปู่เทสก์ มักจะบอกอยู่เสมอว่า ฟังเทศน์ หรืออ่านแล้ว ให้นำไปศึกษาพิจารณาให้ถ่องแท้ด้วยตนเอง ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งแก่ตน
          หากมีความบกพร่องผิดพลาดประการใดก็ตาม ศิษย์ผู้เบาปัญญา ขอรับความผิดนั้นๆ และขออภัย

                                                                             คณะศิษย์ฯ
                                                                             25 กุมภาพันธ์ 2538
                                                                             วัดกินหมากเป้ง
                                                                             อ.ศรีเชียงใหม่  จ.หนองคาย



พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า
คนเรานั้นร้อนตั้งแต่ต้น
จนกระทั่งถึงที่สุด
ร้อนเพราะ ราคะ โทสะ โมหะ
ร้อนที่ตัวเรานี่เอง
ร้อนจนไปทำความเดือดร้อนให้คนอื่น


สารบัญ
หน้า
ดับไฟ                                                                                              1
          แสดง ณ วัดหินหมาเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จงหนองคาบ
          วันที่ 8 มกราคม 2521

คนแก่กับเด็ก                                                                                           11
          แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
          วันที่ 3 กันยายน 2523

ชีวิตเป็นของน้อย                                                                              23
          แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
          วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2523






มนุษย์คนเรามี
ราคะ โทสะ โมหะ อยู่แล้ว
เข้าใจว่าเป็นของดี
เลยไม่อยากละ ไม่อยากทิ้ง
ยินดีพอใจกับมัน จึงรักษาไว้                  


ดับไฟ

          อยู่ด้วยกันมากๆ หลายผู้หลายคน ถ้าหากว่าอยู่ด้วยความสงบ มันก็เย็น อยู่ด้วยความไม่สงบ ตาก็เป็นไฟ หูก็เป็นไฟ จมูก ลิ้น กายและใจก็เป็นไฟ เป็นไฟด้วยกันทั้งหมด ไฟไหม้เจ้าของแล้วจึงค่อยไหม้คนอื่น  เพราะเหตุว่าไฟไหม้ไม้แห้งหมดแล้วนั่นละ มันจึงค่อยลามลุกไปไหม้ไม้สด ฉันใดก็ฉันนั้น มันต้องไหม้ตัวของเราเสียก่อน ให้เห็นโทษของมัน ถ้าหากไม่เห็นโทษ มันก็ไม่มีเวลาระงับสงบได้
          ในใจของเราไปมุ่งพุ่งเห็นโทษคนอื่น ไม่เห็นโทษตัวเอง หก้เลยเป็นไฟเผาผลาญซึ่งกันและกัน อย่างที่ท่านว่า ตาเป็นไฟ  ถ้าหากเห็นโทษเกิดขึ้นที่ใจของเราแล้วว่า ไฟมันเกิดในที่นี้ ของใครก็ของมัน คนอื่นก็ของคนอื่น ก็หมดเรื่องกัน ระงับตัวเองแล้วก็แล้วกัน
          พระพุทธเจ้าทรงเทศนาว่า  ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา ความหมายว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นไฟ ราคา โทสะ โมหะ เกิดขึ้นก็ร้อนตั้งแต่ทีแรกนั่น ที่ตัวของเราเกิดความร้อนขึ้นแล้ว มันจึงค่อยลุกลามไปหาคนอื่น
          ให้เห็นใจของตนทุกๆคน เพ่งพิจารณาตัวของเรา ที่มันวับแวบขึ้นมาครั้งแรกนั่น มันเกิดราคะ มันเกิดโทสะ มันเกิดโมหะ ขึ้นมาทีแรก ให้ระงับเสียในเบื้องต้น  ถ้าต่างคนต่างระงับ อยู่มากคนก็เป็นสุข กี่ร้อยกี่พันคนก็เป็นสุข ถ้าหากไม่ระงับ อยู่คนเดียวก็เป็นทุกข์ ไม่ต้องหาเพื่อนถึงสอนคนละ
          ราคะ  มันเกิดขึ้นที่ใจ  โทสะ ก็เกิดขึ้นที่ใจ  โมหะ ก็เกิดขึ้นที่ใจ
          ราคะ มันกำหนัดย้อมใจให้กระสับกระส่าย นอนอยู่คนเดียวก็นอนไม่หลับ กลิ้งเกลือกอยู่นั่นแหละ เดือดร้อนอยู่คนเดียว
          โทสะ ก็กลิ้งเกลือกอยู่นั่น โกรธคนนั่น โกรธคนนี้ ในผลที่สุดตัวของเราก็โกรธ โกรธเราแล้วเสียก่อน มันจึงค่อยโกรธคนอื่น
          โมหะ คือความหลง มีอยู่แต่ไม่รู้ มันเป็นอยู่แต่ไม่รู้ว่าโมหะ
          อวิชชา นั่นคือไม่เห็นเสียเลย ไม่เข้าใจเสียเลย ว่าอันนี้มีอยู่

          ราคะ  ความกำหนัดย้อมใจ เป็นของมีอยู่ในใจของเรา แต่ในใจนั้นไม่อยากระงับ แต่ในใจนั้นไม่อยากให้มันหาย ยังเสียดายความกำหนัดย้อมใจนั้น เสียดายที่จะละเลยจะทิ้ง นั่นแหละ ณโมหะ ณคือความหลง หลงเข้าใจผิด คิดว่าถูก
          โทสะ ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เกลี่ยดคนอื่น เข้าใจว่าเป็นของดี มีอำนาจ มีปาฏิหารย์ สามารถกดขี่ข่มเหงคนโน้นคนนี้ได้ ถ้าหากไม่แสดงโทสะ มันก็เหมือนกับอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยมีฤทธิ์มีเดช ฤทธิ์เดชอันนั้นได้แสดงออกมาปรากฏว่าเป็นของดีเด่น เข้าใจว่าเป็นของดีเลยไม่อยากละ ไม่อยากทิ้งยินดีพอใจกับมัน รักษาไว้
          โมหะ ความลุ่มหลง ของมีอยู่แต่ไม่เห็นโทษมัน ราคะหรือโทสะ อันนั้นเป็นเหตุให้โทษเกิดขึ้นในใจ แต่ว่าเสียดายมันไม่อยากคิดไม่อยากค้น ไม่อยากหาเหตุของเรื่อง เรื่องเกิดขึ้นมาไม่ตั้งใจคิด ไม่ตั้งใจค้นหาเหตุผลในเรื่องนั้นๆ เมื่อไม่ถึงเหตุถึงผล มันก็ไม่ถึงที่สุดของโมหะ มีความเสียดายอาลัย มันยังค่อยเกิดขึ้นมาได้
          พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า คนเรานั้นร้อนตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงที่สุด ร้อนเพราะราคะ เพราะโทสะ เพราะโมหะ ดังอธิบายมาแล้ว ร้อนที่ตัวของเรานี่เอง ร้อนจนไปทำความเดือดร้อนให้คนอื่น
          ร้อนนั้นคืออะไร? ก็คือนรกดีๆนี่แหละ ความเดือดร้อนเป็นทุกข์  เมื่อเป้นทุกข์ก็นรกดีๆนั่นเอง มนุษย์คนเรามีราคะ โทสะ โมหะอยู่แล้ว ก็ตกนรกทั้งเป็น นรกไม่ใช่อยู่ที่อื่น อยู่ที่ราคะ โทสะ โมหะนี่ทั้งนั้น จะไปตกนรกมันก็เกิดจาก ราคะ โทสะ โมหะนี้ ถ้าไม่มีราคะ โทสะ โมหะ มันก็ไม่ตกนรก
          ให้เห็นนรกที่ตกที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้แหละ รอบๆตัวของเราเดี๋ยวนี้ ตาเห็นรูป ก็เกิดความโลภ ความหลงขึ้น หูได้ฟังเสียง จมูกถุกกลิ่น ลิ้นถุกรส กายถูกสัมผัส ก็เกิดความกำหนัดรักใคร่ เรียกว่าราคะ ถ้าเกิดไม่พอใจโทมมนัสน้อยใจเรียกว่าโทสะ เกิดโมหะพร้อมกัน ของทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นของร้อน เผาตัวของเราอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ไม่ยอมสละปล่อยทุกข์หรอก เรียกว่าตกนรกทั้งกหลางวันและกลางคืน เพราะไม่เห็น
          ถ้าเช่นนี้แล้ว พึงปลาอยวางเสีย เอานรกนั่นมาเปลี่ยนแปลงให้เป็นสวรรค์ เมื่อเกิดราคะขึ้น สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็ให้รู้จัดก รู้เรื่องของมัน ระงับดับมันไป โทสะเกิดขึ้น ก็พิจารณาเหตุผลของมัน จนระงับดับไป โมหะเกิดขึ้นก็ให้ระงับ ให้พิจารณาหาเหตุผล แล้วก็ระงับดับไป ตัวของเราก็เป็นของเย็น
          มีตา ก็เป็นของเย็น ส่งส่ายไปหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่นำโทษทุกข์มาให้ เช่น เห็นพระเห็นสงฆ์ เห็นครูบาอาจารย์ เห็นพระพุทธรูปปฏิมากร เพลินสนุกดีกว่าไปเห็นสิ่งอื่นแล้วเกิดราคะ โทสะ โมหะขึ้นมา สิ่งที่มันน้อยใจโทรมมนัส ก็อย่าไปดูมัน ไปดูสิ่งที่ให้เพลิดเพลินเจริญใจ มันก็กลับเป็นสวรรค์ขึ้นมา โมหะมันลุ่มหลง เราก็พิจารณาอย่าให้มันหลง เห็นความดีความเด่นปรากฏชัดขึ้นมา ด้วยปัญญาของเรา มันก็เพลิดเพลินอิ่มใจกับความเห็นอันนั้น มันก็เป็นสวรรค์ขึ้นมา

          ทั้ง 6 อย่างนี่แหละ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เรียกว่า สวรรค์ 6 ชั้น แต่ว่าสวรรค์นั้นมันยังอยู่ใกล้นัก ใกล้ต่ออันตรายคือมันอยู่ชั้นต่ำ ฉกามาพจร สวรรค์ 6 ชั้นมันสามารถที่จะกลับกลายไปตกนรกได้ คือสามารถที่จะกลับไปเป็นสัตว์นรก จึงว่ามันอยู่ใกล้นัก อยู่ใกล้กับนรก
          เพราะฉะนั้นจึงทำสวรรค์นี่แหละ ให้เป็นพรหมขึ้นไป ทำใจให้สูง เมื่อเห็นสิ่งต่างๆก็พิจารณาเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ได้ฟังสิ่งต่างๆก็เช่นนั้นเหมือนกัน ได้กลิ่นได้รส หรือได้โผฏทัพพะ ก็พิจารณาให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างนี้มันจึงสูงขึ้นไป ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วมันจะกลับไปนรกอีก
          ทำให้สูงขึ้นไปจนกระทั่ง จิตใจของเราเห็นสภาพตามเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ก็ปรากฏเป็นสภาวะ ไม่ใช่รูป รูปก็สักแต่ว่ารูป ไม่คงทนถาวรอะไร ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ตัวตน ความกำหนัดยินดีจะมีจากไหน? เสียงก็สักแต่ว่าเสียง เกิดขึ้นมาแล้วดับไป มันจะมีความกำหนัดยินดีไหม? มันเป็นอยู่ธรรมดาอย่างนั้น ตั้งแต่เรายังไม่ทันเกิดโน่น เราเกิดมาแล้วมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เราตายไปแล้วก็เป็นอยู่อย่างนั้น
          กลิ่น รส โผฏทัพพะ ทั้งหลาย มันเป็นของมีอยู่ในโลก เราเกิดมามันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เราไม่เกิดมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น แต่ไหนแต่ไรมา มันหากมีอยู่นี่ เราไม่ได้เอามา เราไม่ได้เอาไป เรามาเกิดแล้วเราไปยึดเอา คือว่าเราเกิดมาแล้วเราเห็น เรารู้สิ่งต่างๆ เลยไปยึดเอาของเหล่านั้นมาเป็นเรา เป็นตัวเป็นตน มันจึงเกิดเหตุให้เกิดราคะ ชอบใจพอใจยินดี เป็นเหตุให้เกิดโทสะ น้อยอกน้อยใจไม่พอใจ เกิดโมหะลุ่มหลงมัวเมา
          ทีนี้ถ้าหากเห็นตามสภาพเป็นจริงแล้ว การถือตนถือตัวก็ไม่มี ละทิฏฐิมานะ เรียกว่า ไม่ถืออัตตา เป็นอนัตตา ไม่มีสาระ หมดเรื่องแค่นั้น พิจารณาลงอย่างนี้จึงพ้นจากเป็นเทวดา พ้นจากพรหม สูงสุดกว่าพรหม คือ โลกุตระ
          เพราะฉะนั้นจงพากันให้เห็นว่า ตัวเรานี้เป็นบ่อเกิดของนรกก็ได้ เป็นบ่อเกิดของสวรรค์ก็ได้ เป็นบ่อเกิดของพรหมก็ได้ เป็นที่ตั้งของโลกุตรธรรมก็ได้ ถ้าหกากว่าพิจารณาได้อย่างนี้ ก็จะนำมาซึ่งความสุขความสันติ เราอยู่ในที่ใดก็สงบ ไม่มีภัยไม่มีเวร ไม่มีความเดือดร้อน

          เอาละ.

****************





ตัวของเรานี้
เป็นบ่อเกิดของนรกก็ได้
เป็นบ่อเกิดของสวรรค์ก็ได้
เป็นบ่อเกิดของพรหมก็ได้
เป็นที่ตั้งของโลกุตรธรรมก็ได้




นำนั่งสมาธิ


          ความทุกข์มันเกิดนิดเดียว  ไม่ใช่เกิดมามากมายอะไร ถ้าหากประมาท ก็เป็นเหตุให้ใหญ่โตกว้างขวางต่อไป เรามาคิดดูว่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดนิดเดียวเท่านั้นล่ะ มันงอกงามมาเป็นต้นเป้นลำใหญ่โตมโหฬารได้ ใหญ่จนกระทั่งได้ตั้งหม้อแกงหนึ่ง หรือใหญ่มากไปกว่านั้นอีก
          ราคะ   มันอยู่ที่ใจเรานั่นนิดเดียว ความกำหนัดย้อมใจ ความเพลิดเพลินความยินดี อยู่ในนั้นนิดเดียวเท่านั้นแหละ แต่ถ้าหากปล่อยตามใจมัน มันเลยขยายกว้างขวางออกไปแพร่หลายออกไป กว้างหมดทั้งโลก เดิมทีมันนิดเดียวเท่านั้น
          โทสะ   ก็เหมือนกัน มันนิดเดียวเท่านั้นแหละ แพร่หลายออกไปจนกระทั่ง ไปประหัตประหารฆ่าฟันกันตายนับไม่ถ้วน จนโลกอันนี้ฉิบหาย
          โมหะ  ก็เช่นนั้นเหมือนกัน
          ท่านบอกว่าโลกฉิบหายด้วยน้ำ ด้วยลม ด้วยไฟ ด้วยน้ำคือราคะ ด้วยลมคือโมหะ ด้วยไฟคือโทสะ มันใหญ่โตกว้างขวาง แต่เราไปประมาทเสีย ทำให้เกิดขึ้นมา แล้วแพร่ออกไปกว้างขวาง จนไม่สามารถจะระงับได้
          เพราะฉะนั้นผู้ที่จะระงับดับ ต้องดับที่ใจ อบรมที่ใจให้สงบ เห็นเฉพาะในใจของตนเท่านั้น ไม่ต้องไปไล่ขนาบฆ่าตีมันมากมายกว้างขวาง เห็นที่จิตวับแวบออกไปขณะใด ก็ระงับในขณะนั้นแหละ  ตั้งสติคุมจิตให้อยู่ เพราะมันออกไปจากจิต เบื้องต้นต้องคุมจิตให้อยู่ก่อน  เมื่อจิตอยู่แล้ว จึงค่อยเข้าไปพิจารณาเรื่อง ราคะ โทสะ โมหะ ก็จะเห็นของจริงขึ้นมา
          ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าสอนนิดเดียว ไม่ได้สอนมากสอนในที่เดียว  สอนที่ใจ ให้เห็นใจอย่างเดียวก็หมดเรื่อง ดังนั้นจงคุมใจให้อยู่ รักษาใจให้ได้ จึงจะชำระใจของตนให้บริสุทธิ์.


****************


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น