หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562

คนที่มีการศึกษา - ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

8.คนที่มีการศึกษา


          มีผู้ถามผมอยู่บ่อยๆ ว่าบุคคลอย่างไรจึงจะเรียบกว่า “คนที่มีการศึกษา” ซึ่งหลายคนแสดงความเห็นว่าในเมืองไทยปัจจุบัน น่าจะหมายถึงบุคคลที่สำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษา หรือที่ใช้คำว่าผู้ที่เรียนจบ”มหาลัย” ซึ่งได้ยกระดับจากผู้ที่สำเร็จชั้นมัธยมศึกษา หรือ “สำเร็จห้อง 8” ที่มักจะอ่านพบในนวนิยายยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2, ทั้งนี้เป็นไปตามความเจริญของบ้านเมือง.
          ผมมักจะตอบว่าในทัศนะของผม ระดับการศึกษาที่บุคคลได้รับในระบบการศึกษา คือประถมศึกษา, มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา เป็นเพียงบอกให้รู้ว่าบุคคลนั้นๆได้อยู่ในสถานศึกษามาเป็นเวลานานมากน้อยเท่าใด เช่นในปัจจุบัน ประถมศึกษาก็ 6 ปี บวกกับชั้นอนุบาลก่อนหน้านั้นอีก 3 ปี ก็เป็น 9 ปี, มัธยมศึกษาก็อีก 6 ปี และหากเรียนสำเร็จชั้นอุดมศึกษาได้รับปริญญาตรี ก็คงจะต้องอยู่ในสถานศึกษา ในระดับต่างๆมาเป็นเวลาทั้งหมดเกือบ 20 ปี ซึ่งถ้าเรียนให้สูงขึ้นไปอีกขั้นปริญญาโทและปริญญาเออกซึ่งกำลังเป็นที่นิยมกันในสมัยนี้ ก็อาจจะต้องใช้ชีวิตเป็นนักเรียนนักศึกษาถึง 25 หรือ 30 ปี.
          การที่ได้เรียนหนังสือเป็นเวลานานๆบุคคลก็ย่อมมี “ความน่าจะเป็น” ค่อนข้างสูงที่จะเป็น “คนที่มีการศึกษา” เพราะว่าอย่างน้อยที่สุดก็จะต้องมีความรู้ในวิชาต่างๆตามระดับของการศึกษาในระบบ, แต่จะเป็น “คนที่มีการศึกษา”หรือไม่นั้นก็ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง.
          เพราะ “คนที่มีการศึกษา” บางคนหรือหลายคนก็มิได้มีโอกาสใช้เวลาในสถาบันการศึกษาหลายปีนัก ขณะที่อาจจะมีบ้างที่มิได้จบชั้นประถมศึกษาเสียด้วยซ้ำไป.
          พูดอย่างตรงไปตรงมา บรรพบุรุษของคนไทยเราที่ท่านสามารถรักษาบ้านเมือง ตลอดจนสร้างความเจริญเป็นปึกแผ่นให้พวกเราอยู่สุขสบายทุกวันนี้ ก็มิได้สำเร็จชั้นอะไรมา แต่ท่านก็สั่งสอนให้ความรู้และความคิดที่ประเสริฐแก่ลูกหลานของท่านได้. ท่านบรรพชนดังกล่าวนี้คือ “คนที่ไม่มีการศึกษา” หรือ ซึ่งคำตอบก็คือ ไม่ใช่ ขณะที่หลายท่านหรือบางท่านเป็น “คนที่มีการศึกษา”.
          ดังนั้น คำว่า “คนที่มีการศึกษา” คงจะต้องมีความหมายที่ชัดเจน ซึ่งก็คงจะต้องเริ่มด้วยความหมายของคำว่า “การศึกษา” เป็นเบื้องแรก.
          ผมคิดว่า “การศึกษา” นั้นประกอบด้วย “คุณสมบัติ”ที่สำคัญ 2 สถานด้วยกันคือ “ความรู้” สถานหนึ่ง และ “จิตสำนึก” อีกสถานหนึ่ง.
          “คนที่มีการศึกษา” จะต้องไม่เพียงแต่จะมี “วิชาความรู้” เท่านั้น แต่จะต้องมี “จิตสำนึก” ในหลายๆเรื่องอีกด้วย. การที่มีแต่ “วิชาความรู้” หากว่าขาด “จิตสำนึก” ที่กล่าวนี้ แม้จะเคยเล่าเรียนในสถาบันการศึกษาเป็นเวลาสิบๆปี ก็อาจไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้ชื่อว่าเป็น “คนที่มีการศึกษา”.
          เราอาจจะเรียนบุคคลเหล่านั้นว่าเป็น “คนที่มีวิชาความรู้” แต่จะเรียกว่าเป็น “คนที่มีการศึกษา” คงจะไม่ได้ เพราะว่าขาดคุณสมบัติในด้าน “จิตสำนึก”
          “จิตสำนึก” ที่เป็นคุณสมบัติของ “คนที่มีการศึกษา” มีอยู่ด้วยกัน 8 ประการคือ
1.     ความสำนึกว่าสิ่งใดควรที่จะประพฤติปฏิบัติ และสิ่งใดควรละเว้นไม่ประพฤติปฏิบัติ.
2.     ความสำนึกในกาลเทศะ.
3.     ความสำนึกในคุณธรรม, จริยธรรมและศีลธรรม.
4.     ความสำนึกในความสะอาดและความปลอดภัย.
5.     ความสำนึกในหลักและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์.
6.     ความสำนึกในคุณค่าและบทเรียนของประวัติศาสตร์.
7.     ความสำนึกในคุณค่าของศิลปะและวัฒนธรรม, และ
8.     ความสำนึกในหลักสันติธรรมในการคลี่คลายความขัดแย้ง.
ผมเคยได้ยินได้ฟังบ่อยๆถึงนโยบายการศึกษาที่ระบุว่า “ความรู้คู่คุณธรรม” ซึ่งผมเห็นด้วย แต่รู้สึกว่ายังไม่พอสำหรับคุณสมบัติของ “คนที่มีการศึกษา”
การปลูกฝังจิตสำนึกทั้ง 8 ประการที่กล่าวข้างต้นนี้ จะต้องถือว่าเป็นภารกิจหลักของนโยบายการศึกษาของชาติ และหากจะมี “การปฏิรูปการศึกษา” การปลูกฝังจิตสำนึกในเยาวชนควรที่จะเป็นสาระสำคัญของนโยบายดังกล่าว, เพราะความ”บกพร่อง”ในจิตสำนึกเหล่านี้คือ “จุดอ่อน”ของการศึกษาของไทยเราในปัจจุบัน.
คนไทยมีวิชาความรู้พอตัว แต่ไม่ทราบว่าอะไรควรประพฤติปฏิบัติและสิ่งใดสมควรละเว้น, ไม่รู้จักกาลเทศะ, ปราศจากคุณธรรม, จริยธรรมและศีลธรรม, ไม่เอาใจใส่เรื่องความสะอาดและความปลอดภัย, ไม่ใช้เหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ในการขจัดความงมงาย, ไม่สนใจในเรื่องของประวัติศาสตร์และปรากฏการณ์ฝนอดีต, ไม่เห็นความสำคัญของศิลปะและวัฒนธรรม, และไม่แก้ปัญหาใดๆด้วยสันติวิธี.
นี่กล่าวโดยทั่วๆไป เพราะทุกอย่างจะมีข้อยกเว้นเสมอไป.
ผมคิดว่าคนไทยเราไม่แพ้ชาติใดในเรื่องของ “ความเก่ง” ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องไปทุ่มเทกับการจะทำให้เด็กไทยของเรามีความเก่งมากขึ้น, เพียงแต่พัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอนให้เหมาะสมก็น่าจะเพียงพอแล้ว.
ผมขอเน้นอีกครั้งหนึ่งว่า “จุดอ่อน”ของไทยเราอยู่ที่การขาด “จิตสำนึก” ซึ่งชาติอื่นๆโดยทั่วไปเขาจะมีมากกว่าไทยเรา.
ดังนั้นในปัจจุบัน ไทยเราจึงมีผู้สำเร็จการศึกษาได้รับปริญญากันมากมาย แต่ “คนที่มีการศึกษา”ยังมีไม่มากนัก.
ผมก็ตอบปัญหานี้ได้เพียงเท่านี้ครับ แต่ก็พร้อมเสมอที่จะช่วย “ไขปัญหา”อื่นๆตามแต่จะมีผู้ถามมา.


(จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553.)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น