หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ความรู้เรื่องการเมืองในระบอบประชาธิปไตย - ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

11. ความรู้เรื่องการเมือง
ในระบอบประชาธิปไตย


          วิกฤตทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งมีความรุนแรงในระดับและในความเข้มข้นที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้ผมตระหนักว่ายังมีคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความสับสนในความหมายของหลายๆคำที่มีผู้หยิบยกขึ้นมากล่าวในการอภิปรายแสดงความคิดเห็น ณ ที่ต่างๆ, และภายใต้ความสับสนดังกล่าวนี้ ก็ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆซึ่งคงจะไม่บังเกิดความสมานฉันท์ภายในประเทศได้โดยง่าย
          ผมคงจะไม่อยู่ในฐานะที่จะออกความเห็นในเรื่องของความสมานฉันท์ภายในประเทศว่าจะเป็นไปได้หรือไม่และเมื่อใด, แต่ที่พอจะทำได้ก็คือการพยายามทำความเข้าใจในความหมายของคำเหล่านี้ ซึ่งหวังว่าจะช่วยขจัดความสับสน อันเป็นที่มาอย่างหนึ่งของความขัดแย้งที่ไม่มีข้อยุติ.
          ในประการแรก คือความเข้าใจอันถูกต้องเกี่ยวกับ “ระบอบการปกครอง” ของประเทศไทยในปัจจุบัน, ซึ่งเป้นระบอบการปกครองที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2475 ในวันดังกล่าวนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม(ชั่วคราว) พระราชทานให้แก่ “คณะราษฎร” ตามที่ได้เสนอขอพระราชทานไปในวันก่อนหน้านั้น. จึงถือได้ว่าประเทศไทยได้มีรัฐธรรมนูญฉบับแรกในการปกครองประเทศนับตั้งแต่วันดังกล่าว.
          รับธรรมนูญฉบับวันที่ 27 มิถุนายน 2475 “คณะราษฎร”ได้มอบหมายให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรม(ปรีดี พนมยงค์) ผู้ซึ่งเป็นแกนนำผู้หนึ่งซึ่งมีบทบาทสำคัญยิ่งในการก่อตั้ง “คณะราษฎร” เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์, เป็นผู้ยกร่างขึ้นและนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายพระบาทมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ภายหลังที่”คณะราษฎร”ได้ยึดอำนาจรัฐและประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2475.
          “ระบอบการปกครอง” ที่ “คณะราษฎร” ได้นำมาสู่ประเทศไทยคือ “ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย” ซึ่งได้ก่อกำเนิดขึ้นภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม(ชั่วคราว) เป็นกฎหมายฉบับสุดท้ายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์, ซึ่งหมายถึงเป็นการสิ้นสุดของการปกครองระบอบเก่าเพื่อเริ่มต้นการปกครองระบอบใหม่.
          “ระบอบการปกครอง” ดังกล่าวนี้มีคำสำคัญด้วยกัน 3 คำ ที่จะต้องทำความเข้าใจในเบื้องแรกที่สุด คือคำว่า “ราชาธิปไตย”, “รัฐธรรมนูญ” และ “ประชาธิปไตย”.
          “ราชาธิปไตย” หมายถึงระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและทรงใช้อำนาจอธิปไตย(อำนาจสูงสุด)ของปวงชนชาวไทย, ในฐานะที่ทรงเป็นประมุขของปวงชนชาวไทย, แทนปวงชนชาวไทย, โดยทางรัฐสภา, คณะรัฐมนตรีและศาลตามบทบัญญัติแห่ง”รัฐธรรมนูญ”
          ดังที่จะเห็นว่าบรรดากฎหมายต่างๆจะเรียกว่า “พระราชบัญญัติ”บ้าง “พระราชกฤษฎีกา”บ้าง, “พระราชกำหนด”บ้าง, หรือไม่ก็เป็น “พระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ” ในกรณีที่เป็นประกาศ หรือการแต่งตั้ง. นอกจากนั้นบรรดาคำพิพากษาของศาลยุติธรรม ก็จะกระทำในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์.
          กล่าวคือ เอกสารทั้งปวงที่มีความสำคัญของบ้านเมือง พระมหากษัตริย์จะต้องทรงลงพระปรมาภิไธย หรือกระทำในพระปรมาภิไธย จึงจะมีความถูกต้อง สมบูรณ์และมีผลบังคับใช้.
          ดังนั้นการปกครองของประเทศไทยจึงแตกต่างกับระบอบการปกครองของประเทศที่ไม่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข, ถือว่าเป็น”ระบอบราชาธิปไตย”(MONARCHY)
          ส่วนคำว่า”รัฐธรรมนูญ”นั้นหมายถึงกฎหมายว่าด้วงยระเบียบการปกครองแผ่นดินหรือรัฐ ซึ่งอาจกระทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ หรือที่เป็นธรรมเนียมประเพณีที่ได้ปฏิบัติต่อเนื่องกันมาช้านานก็ได้, หรือที่มีทั้ง 2 ลักษณะใช้ร่วมกันไปก็ได้.  กล่าวอีกนัยหนึ่ง “รัฐธรรมนูญ” ก็คือ “กติกา” หรือ “ข้อบังคับ”ในการปกครองประเทศนั่นเอง.
          แต่”รัฐธรรมนูญ”แต่ลำพังยังไม่เป็นแบบการปกครองประชาธิปไตยเสมอไป. ประเทศภายใต้การปกครองในระบอบใดๆก็มี”รัฐธรรมนูญ”ได้ อย่างที่กล่าวกันว่า “รัฐธรรมนูญ”บางฉบับก็เป็น “ประชาธิปไตย”เต็มใบ, บางฉบับก็เพียงครึ่งใบ ขณะที่สำหรับบางฉบับเป็น “รัฐธรรมนูญเผด็จการ”เอาเลย.
          นอกจากนั้น ในบางกรณี ผู้ที่มีอำนาจปกครองบ้านเมืองก็อาจจะไม่ให้ความเคารพต่อ “รัฐธรรมนูญ” โดยกระทำการต่างๆที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์หรือบทบัญญัติแห่ง “รัฐธรรมนูญ” หรือมิฉะนั้นก็พยายามแปลเจตนารมณ์ หรือตีความในบทบัญญัติให้สอดคล้องกับความปรารถนาหรือผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง.
          แต่สำหรับประเทส”ทยของเรานั้น ระบแบการปกครองที่ถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ.2475 ต้องการ “รัฐธรรมนูญ”ที่เป็นประชาธิปไตย.
          แม้คำว่า “ประชาธิปไตย” จะรู้จักกันมาแล้วเกือบ 75 ปี แต่บางทีคนไทยเราก็ยังมีความสับสนในความหมายของคำๆนี้.
          หลายคนยึดเอาง่ายๆว่า อะไรจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขอให้ได้ “เสียงข้างมาก” ก็ถือว่าความเป็น”ประชาธิปไตย”นั้นสมบูรณ์แล้ว
          จริงอยู่ “ประชาธิปไตย” หมายถึงระบอบการปกครองที่ถือมติของปวงชนเป็นใหญ่ เพราะอำนาจอธิปไตยหรืออำนาจสูงสุดเป็นของปวงชน. แต่กระนั้น”เสียงข้างมาก” กับ “มติของปวงชน” ก็มิได้ “ทับกันสนิท” เสมอไป.
          “ปวงชน” ประกอบด้วยบุคคลภายในชาติทั้งหมด ซึ่งมีความแตกต่างกันในฐานะความเป็นอยู่ อีกทั้งระดับและโอกาสในการเข้าถึงความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ดังนั้นการที่จะได้มาซึ่ง “มติของปวงชน” จึงน่าจะเป็นอะไรที่มากกว่า “เสียงข้างมาก” ในการเลือกตั้งครั้งใดครั้งหนึ่ง.
          เช่นเดียวกัน “การเลือกตั้ง” กับ “ประชาธิปไตย” ก็มิใช่สิ่งเดียวกันอย่างที่มีการพูดๆกัน.
          เช่นเดียวกับกรณีของ “กฎหมาย” กับ “ความยุติธรรม” ซึ่งมิใช่สิ่งเดียวกัน.
          “กฎหมาย” เป้นกลไกที่สำคัญในการแสวงหา “ความยุติธรรม” ฉันใด, “การเลือกตั้ง” ก็เป็นกลไกสำคัญในการแสวงหา “ประชาธิปไตย” ฉันนั้น.
          หากเรายอมรับว่า “ความยุติธรรม” นั้นมาก่อนและอยู่เหนือ “กฎหมาย”, เราก็ควรพิจารณาว่า “ประชาธิปไตย” มาก่อนและอยู่เหนือ “การเลือกตั้ง”.
          ตัวอย่างที่ผมยกมาข้างต้นนี้เป็นเพียงบางประเด็นที่ชี้ให้เห็นว่ามีความสับสนในความเข้าใจโดยทั่วไปเกี่ยวกับ “ประชาธิปไตย”, ซึ่งความจริงก็ยังมีอีกหลายประเด็น.
          ท่านปรีดี พนมยงค์ อดีตรัฐบุรุษอาวุโส, นายกรัฐมนตรีและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ “ประชาธิปไตย” ที่น่าสนใจเอาไว้หลายประการ ซึ่งน่าจะช่วยทำให้เรามีความเข้าใจ “ประชาธิปไตย”ดีขึ้น.
          ท่านปรีดีฯกล่าวไว้บางตอน ดังนี้
          “การที่ประชาธิปไตยถือมติปวงชนเป้นใหญ่ ก็เพื่อราษฎรทั้งหลายที่ประกอบเป็นปวงชนนั้นได้มีรัฐบาลของปวงชนซึ่งราษฎรเลือกตั้งขึ้นโดยตรง จึงจะเป็นรัฐบาลที่กระทำการเพื่อประโยชน์ของราษฎรทั้งหลาย ให้มีความอุดมสมบูรณ์ในการครองชีพ และปลอดภัยจากการกดขี่เบียดเบียนระหว่างกัน อีกทั้งเพื่อให้ราษฎรทั้งหลายประพฟติต่อกันตามศีลธรรมอันดีของประชาชน ชาติจึงจะดำรงคงความเป็นเอกราช และวัฒนาก้าวหน้าต่อไปได้”.
          “ระบบการเมืองที่จะเป็นประชาธิปไตยได้ก็จำเป็นต้องมีรัฐธณรมนูญ, วิธีเลือกตั้งซึ่งให้ราษฎรมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนราฎรได้เสมอภาคกัน อีกทั้งจะต้องมีระบบที่ฝ่ายบริหารจำต้องปฏิบัติเพื่อราษฎรอย่างแท้จริง และระบบที่ฝ่ายตุลาการจำต้องมีอิสระและดำรงไว้ซึ่งความเที่ยงธรรม”.
          “ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตยอันมีระเบียบตามกฎหกมาย และศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต, ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม, ระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงอยู่ได้ต้อวงประกอบด้วยกฎหมาย, ศีลธรรมและความซื่อสัตย์กสุจริต, การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ไม่ใช่หลักของประชาธิปไตย”.
          “ประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์นั้นหมายถึงประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นรากฐานของสังคมและประชาธิปไตยโดยทางการเมืองซึ่งเป็นโครงร่างปกครอง และทัศนะประชาธิปไตยที่เป็นหลักนำให้มนุษย์ปฏิบัติเพื่อประชาธิปไตยเศรษฐกิจและการเมืองของสังคม”.
          “ระบบประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจหมายถึง ราษฎรส่วนมากของสังคมต้องไม่ตกเป็นทาสของคนจำนวนส่วนข้างน้อยที่อาศัยอำนาจผูกขาดเศรษฐกิจของสังคม. ชนชั้นใดมีอำนาจเศรษฐกิจ ชนชั้นนั้นอาศัยอำนาจเศรษฐกิจช่วยยึดครองอำนาจทางการเมืองเพื่อประโยชน์แห่งชนชั้นของตนและพันธมิตรของตน”.


(จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" โดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต, พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2553. สำนักพิมพ์แสงดาว.)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น