หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562

สถานภาพของเศรษฐกิจไทย - ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

9. สถานภาพของเศรษฐกิจไทย


          ความจริง เศรษฐกิจของไทย, ทั้งในภาพรวมระดับชาติ และในระดับครัวเรือน ตลอดจนในแวดวงธุรกิจ ทั้งขนาดใหญ่และขนาดย่อม, เริ่มที่จะมีความสดใสตามควรแก่อัตภาพของประเทศที่ “กำลังพัฒนา” ในระหว่าง พ.ศ.2546-47 ภายหลังที่ได้เผชิญกับวิกฤติทางการเงินซึ่งตามมาด้วยวิกฤติเศรษฐกิจที่มีขอบเขตกว้างขวาง อย่างต่อเนื่องมาหลายปีนับตั้งแต่ พ.ศ.2540.
          การ “ฟื้นตัว” ของเศรษฐกิจดังกล่าวเป็นไปตามวัฏจักรของเศรษฐกิจ ซึ่งหมุนเวียนเปลี่ยนไป จากเฟื่องฟู ไปสู่ถดถอย จนกระทั่งตกต่ำ แล้วก็ฟื้นตัว, หากส่วนหนึ่งก็มาจากการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจของนโยบายและมาตรการต่างๆของภาครัฐที่ได้รับการตอบสนองจากภาคเอกชนและครัวเรือน. จนกระทั่งเข้ามาสู่ พ.ศ.2548 เมื่อราคาน้ำมันและพลังงานทุกประเภท ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมายและโดยรวดเร็ว สาธารณชนจึงรู้สึกกันว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะกลับเข้าสู่วิกฤติอีกวาระหนึ่ง.
          นอกจากน้ำมันจะมีราคาแพงแล้ว ราคาสินค้าและบริการหลายประเภทก็แพงตามขึ้นไปด้วย ซึ่งทางราชการก็ดูเหมือนจะคาดคะเนว่าระดับราคาสินค้าและบริการที่นำมาคำนวณเป็น “ดัชนี-ค่าครองชีพ” มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีกในอัตราปีละ 7-8 เปอร์เซนต์ ในอนาคตอันใกล้, ขณะที่ดุลการค้าและดุลการชำระเงินระหว่างประเทศก็ต้องเฝ้าระวังมิให้มีความเสียเปรียบรุนแรง. สำหรับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม ที่เรียกว่า “จี.ดี.พี.” แม้จะยังเป็นบวก แต่ก็ไม่เป็นตัวเลขที่น่าภูมิใจนัก.
          อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลทางการเมืองและเหตุผลทางจิตวิทยาสังคม, ทางราชการก็ได้พยายามให้กำลังใจและปลอบใจสาธารณชนว่า เศรษฐกิจไทยไม่มีปัญหา อัตราการเติบโตขยายตัวก็ยังพอใช้ได้, มูลค่าส่งออกก็สูงลิ่ว, ดุลการค้าและดุลการชำระเงินก็ไม่เสียเปรียบมากมาย ฯลฯ จะมีเรื่องกวนใจอยู่บ้างก็คือเรื่อง “ของแพง” ที่เรียกกันว่า “เงินเฟ้อ” และที่สำคัญก็คือ ขอให้ช่วยกันประหยัดการใช้พลังงานง นอกนั้นรัฐบาลจัดการได้ โดยมิให้ประชาชนต้องเดือดร้อน.
          “เศรษฐกิจ” เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวคนเรามากที่สุด เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่และการตอบสนองความต้องการที่ไม่รู้จักจบสิ้น ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน และตั้งแต่เกิดจนตาย. ตราบใดที่คนเราต้องการดำรงและดำเนินชีวิต ก็จพต้องเผชิญกับ “ปัญหาเศรษฐกิจ” แทบทุกลมหายใจ. แม้กระนั้น เศรษฐกิจก็ยังคงเป็นปัญหาที่สับสน และนับวันก็จะมีความสับสนยิ่งขึ้น เพราะการเข้าถึงข้อมูลและข่าวสารโดยผ่านสื่อต่างๆที่เป็นเรื่องสลับซับซ้อนเกินไปกว่าจะเข้าใจได้โดยง่าย.
          เมื่อ 45 ปีมาแล้ว ขณะที่ประเทศไทยกำลังจะมี “แผนพัฒนาเศรษฐกิจ” ฉบับแรก, นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นคือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ปรารภว่า “เศรษฐกิจเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสามัญสำนึกอยู่มาก คนที่ไม่ได้เล่าเรียนศึกษาเศรษฐศาสตร์มาเลย ก็อาจพูดเรื่องเศรษฐกิจได้มาก และความเข้าใจ(เอาเอง)ที่รู้ว่ามากอยู่แล้ว ทำให้เกิดความคิดต่อไปว่า ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยวิชาการ อาจจะคิดเอาเองได้...ความคิดเช่นนี้ไม่มีในตัวข้าพเจ้า”.
          ผมใคร่จะเสริมคำปรารภของท่านจอมพล สฤษดิ์ฯ ว่า แม้คนที่ได้เล่าเรียนศึกษาเศรษฐศาสตร์มามากบ้างน้อยบ้าง ก็อาจจะไม่มีความเข้าใจในเรื่องของเศรษฐกิจอย่างถูกต้องถ่องแท้ ทั้งนี้เพราะทั้ง “เศรษฐกิจ” และ “เศรษฐศาสตร์” ต้องการความรู้ ความคิดและการศึกษาค้นคว้าอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งพอสมควร.
          มีผู้ตั้งคำถามในเรื่องของ “เศรษฐกิจ” (คือปรากฏการณ์) และ “เศรษฐศาสตร์” (คือคำอธิบายปรากฏการณ์) แก่ผมอยู่เนื่องๆซึ่งบางทีก็ตอบได้สั้นๆ แต่บางทีก็เป็นเรื่องยืดยาวที่จะต้องอรรถาธิบาย. จากคำถามเหล่านี้ ผมก็ตระหกนักว่าเรื่องของ เศรษฐกิจ” และ “เศรษฐศาสตร์”มีความสับสนสำหรับผู้คนโดยทั่วไป มากกว่าที่คิด.
          ขอให้ท่านลองพิจารณาข้อความต่อไปนี้ และถามตัวท่านเองว่าสับสนไหม.
          “ตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จี.ดี.พี.) ในตัวเองอาจจะมิได้เป็นตัวแทนของสถานภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยแท้จริง อีกทั้งก็ยังมิได้บ่งบอกสภาวะเศรษฐกิจที่มีความหมายและสาระสำคัญมากนัก”.
          “หนี้สินที่มิใช่ในการดำเนินธุรกิจโดยปกติ เกิดจากความยากจน, มิใช่ความยากจนเกิดจากการมีหนี้สิน”.
          “เรื่องของเศรษฐกิจนั้นเป็นธรรมชาติของสังคมมนุษย์ ซึ่งไม่มีผู้ใดหรือฝ่ายใดจะควบคุมได้โดยสมบูรณ์ ไมว่าจะเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยหรือรัฐบาลเผด็จการ และไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม หรือระบบเศรษฐกิจสังคมนิยม. สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการดูแลแก้ไขเพื่อผ่อนหนักเป็นเบา หรือเพื่อการป้องกันไว้ในกรณีที่ปัญหาไม่รุนแรง.  จริงอยู่ การดูแลที่ไม่รอบคอบและรัดกุมก็อาจทำให้สถานการณ์ทรุดลง แต่ถ้าหากเป็นการกระทำด้วยความตั้งใจดีและสุจริต ก็เป็นเพียงความบกพร่อง หรือ การรู้เท่าไม่ถึงการณ์, มิใช่อาชญากรรมแต่ประการใด”.
          “เนื่องจากในหลายกรณี เรื่องเศรษฐกิจมักจะเกี่ยวกับธุรกิจ หรือการค้าขาย, ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าเศรษฐกิจของประเทศก็คือภาพรวมของธุรกิจ หรือการค้าการขายที่ดำเนินกันอยู่ภายในประเทศ”.
          “เศรษฐกิจของชาติคือองค์รวมของสังคม, การเมืองและธุรกิจ – ที่รองรับด้วยประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนทรัพยากร ซึ่งรวมถึงทรัพยากรมนุษย์”.
          “การบริหารธุรกิจแตกต่างไปจากการบริหารเศรษฐกิจเกือบจะโดยสิ้นเชิง เพราะความคุ้มไม่คุ้มในบริบทของธุรกิจและของเศรษฐกิจ ตั้งอยู่บนหลักการที่แตกต่างกัน. ขณะที่การบริหารธุรกิจจะมุ่งไปที่ผลกำไรจากการลงทุน, การบริหารเศรษฐกิจจะเน้นไปที่การกระจายประโยชน์อันเกิดจากการลงทุน, การบริหารเศรษฐกิจจะเน้นไปที่การกระจายประโยชน์อันเกิดจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม อันเป็นเสาหลักของความสุขสมบูรณ์, ความมั่นคงและสันติสุขในสังคม. สำหรับสิ่งที่เหมือนกันก็คือ การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะการบริหารทรัพยากรเป็นหัวใจทั้งของธุรกิจและเศรษฐกิจ”.
          “การที่สินค้าและบริการมีราคาสูงขึ้นอันเนื่องมาจากต้นทุนการผลิตได้เพิ่มสูงขึ้น (เช่นในกรณีน้ำมันมีราคาแพงขึ้นไป)นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นภาวะเงินเฟ้อ และดังนั้นจึงไม่อาจใช้นโยบายการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าว”.
          เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของประเด็นทางเศรษฐกิจที่จะต้องอาศัย “เศรษฐศาสตร์” ในการวิเคราะห์ ไ-ม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม.
          ในระหว่างครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ผมได้พยายามตั้งปัญหาและตอบปัญหาเศรษฐกิจ โดยอาศัยการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์และศาสตร์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม เป็นหนังสือประมาณ 20 เล่ม ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะพอหาอ่านได้ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยต่างๆ.
          บังเอิญในช่วงนี้มีหนังสือประเภทนี้ของผมที่เพิ่งจะพิมพ์ออกมาอยู่ 3 เล่ม ที่สามารถจะหาซื้อได้ตามศูนย์หนังสือของมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ และที่สำนักพิมพ์ซึ่งเป็นผู้พิมพ์ คือ
(1)  “วิกฤน้ำมันราคาแพงกับเศรษฐกิจไทย” (สำนักพิมพ์สุขภาพใจ โทร.02-415-2621).
(2)  “สาระสำคัญของเศรษฐศาสตร์” (สำนักพิมพ์แสงดาว โทร. 02-953-4411).
(3)  “พจนานุกรมคำอธิบายศัพท์ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์” (สำนักพิมพ์แสงดาว) ราคาเล่มละ 40 บาท, 120 บาท และ 140 บาท ตามลำดับ.
หนังสือเหล่านี้จะให้คำอธิบายเรื่องของ “เศรษฐกิจ” และ “เศรษฐศาสตร์” ค่อนข้างชัดเจนสำหรับสาธารณชนทั่วไป.


(จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553.)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น