9.
สถานภาพของเศรษฐกิจไทย
ความจริง เศรษฐกิจของไทย,
ทั้งในภาพรวมระดับชาติ และในระดับครัวเรือน ตลอดจนในแวดวงธุรกิจ
ทั้งขนาดใหญ่และขนาดย่อม, เริ่มที่จะมีความสดใสตามควรแก่อัตภาพของประเทศที่
“กำลังพัฒนา” ในระหว่าง พ.ศ.2546-47 ภายหลังที่ได้เผชิญกับวิกฤติทางการเงินซึ่งตามมาด้วยวิกฤติเศรษฐกิจที่มีขอบเขตกว้างขวาง
อย่างต่อเนื่องมาหลายปีนับตั้งแต่ พ.ศ.2540.
การ “ฟื้นตัว”
ของเศรษฐกิจดังกล่าวเป็นไปตามวัฏจักรของเศรษฐกิจ ซึ่งหมุนเวียนเปลี่ยนไป
จากเฟื่องฟู ไปสู่ถดถอย จนกระทั่งตกต่ำ แล้วก็ฟื้นตัว, หากส่วนหนึ่งก็มาจากการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจของนโยบายและมาตรการต่างๆของภาครัฐที่ได้รับการตอบสนองจากภาคเอกชนและครัวเรือน.
จนกระทั่งเข้ามาสู่ พ.ศ.2548 เมื่อราคาน้ำมันและพลังงานทุกประเภท
ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมายและโดยรวดเร็ว
สาธารณชนจึงรู้สึกกันว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะกลับเข้าสู่วิกฤติอีกวาระหนึ่ง.
นอกจากน้ำมันจะมีราคาแพงแล้ว
ราคาสินค้าและบริการหลายประเภทก็แพงตามขึ้นไปด้วย
ซึ่งทางราชการก็ดูเหมือนจะคาดคะเนว่าระดับราคาสินค้าและบริการที่นำมาคำนวณเป็น
“ดัชนี-ค่าครองชีพ” มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีกในอัตราปีละ 7-8 เปอร์เซนต์ ในอนาคตอันใกล้,
ขณะที่ดุลการค้าและดุลการชำระเงินระหว่างประเทศก็ต้องเฝ้าระวังมิให้มีความเสียเปรียบรุนแรง.
สำหรับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม ที่เรียกว่า “จี.ดี.พี.” แม้จะยังเป็นบวก
แต่ก็ไม่เป็นตัวเลขที่น่าภูมิใจนัก.
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลทางการเมืองและเหตุผลทางจิตวิทยาสังคม,
ทางราชการก็ได้พยายามให้กำลังใจและปลอบใจสาธารณชนว่า เศรษฐกิจไทยไม่มีปัญหา
อัตราการเติบโตขยายตัวก็ยังพอใช้ได้, มูลค่าส่งออกก็สูงลิ่ว,
ดุลการค้าและดุลการชำระเงินก็ไม่เสียเปรียบมากมาย ฯลฯ
จะมีเรื่องกวนใจอยู่บ้างก็คือเรื่อง “ของแพง” ที่เรียกกันว่า “เงินเฟ้อ”
และที่สำคัญก็คือ ขอให้ช่วยกันประหยัดการใช้พลังงานง นอกนั้นรัฐบาลจัดการได้
โดยมิให้ประชาชนต้องเดือดร้อน.
“เศรษฐกิจ”
เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวคนเรามากที่สุด เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่และการตอบสนองความต้องการที่ไม่รู้จักจบสิ้น
ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน และตั้งแต่เกิดจนตาย.
ตราบใดที่คนเราต้องการดำรงและดำเนินชีวิต ก็จพต้องเผชิญกับ “ปัญหาเศรษฐกิจ”
แทบทุกลมหายใจ. แม้กระนั้น เศรษฐกิจก็ยังคงเป็นปัญหาที่สับสน
และนับวันก็จะมีความสับสนยิ่งขึ้น เพราะการเข้าถึงข้อมูลและข่าวสารโดยผ่านสื่อต่างๆที่เป็นเรื่องสลับซับซ้อนเกินไปกว่าจะเข้าใจได้โดยง่าย.
เมื่อ 45 ปีมาแล้ว
ขณะที่ประเทศไทยกำลังจะมี “แผนพัฒนาเศรษฐกิจ” ฉบับแรก, นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นคือ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ปรารภว่า
“เศรษฐกิจเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสามัญสำนึกอยู่มาก คนที่ไม่ได้เล่าเรียนศึกษาเศรษฐศาสตร์มาเลย
ก็อาจพูดเรื่องเศรษฐกิจได้มาก และความเข้าใจ(เอาเอง)ที่รู้ว่ามากอยู่แล้ว
ทำให้เกิดความคิดต่อไปว่า ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยวิชาการ
อาจจะคิดเอาเองได้...ความคิดเช่นนี้ไม่มีในตัวข้าพเจ้า”.
ผมใคร่จะเสริมคำปรารภของท่านจอมพล
สฤษดิ์ฯ ว่า แม้คนที่ได้เล่าเรียนศึกษาเศรษฐศาสตร์มามากบ้างน้อยบ้าง
ก็อาจจะไม่มีความเข้าใจในเรื่องของเศรษฐกิจอย่างถูกต้องถ่องแท้ ทั้งนี้เพราะทั้ง
“เศรษฐกิจ” และ “เศรษฐศาสตร์” ต้องการความรู้
ความคิดและการศึกษาค้นคว้าอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งพอสมควร.
มีผู้ตั้งคำถามในเรื่องของ “เศรษฐกิจ”
(คือปรากฏการณ์) และ “เศรษฐศาสตร์” (คือคำอธิบายปรากฏการณ์)
แก่ผมอยู่เนื่องๆซึ่งบางทีก็ตอบได้สั้นๆ
แต่บางทีก็เป็นเรื่องยืดยาวที่จะต้องอรรถาธิบาย. จากคำถามเหล่านี้
ผมก็ตระหกนักว่าเรื่องของ เศรษฐกิจ” และ
“เศรษฐศาสตร์”มีความสับสนสำหรับผู้คนโดยทั่วไป มากกว่าที่คิด.
ขอให้ท่านลองพิจารณาข้อความต่อไปนี้
และถามตัวท่านเองว่าสับสนไหม.
“ตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ
(จี.ดี.พี.) ในตัวเองอาจจะมิได้เป็นตัวแทนของสถานภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยแท้จริง
อีกทั้งก็ยังมิได้บ่งบอกสภาวะเศรษฐกิจที่มีความหมายและสาระสำคัญมากนัก”.
“หนี้สินที่มิใช่ในการดำเนินธุรกิจโดยปกติ
เกิดจากความยากจน, มิใช่ความยากจนเกิดจากการมีหนี้สิน”.
“เรื่องของเศรษฐกิจนั้นเป็นธรรมชาติของสังคมมนุษย์
ซึ่งไม่มีผู้ใดหรือฝ่ายใดจะควบคุมได้โดยสมบูรณ์ ไมว่าจะเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยหรือรัฐบาลเผด็จการ
และไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม หรือระบบเศรษฐกิจสังคมนิยม.
สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการดูแลแก้ไขเพื่อผ่อนหนักเป็นเบา
หรือเพื่อการป้องกันไว้ในกรณีที่ปัญหาไม่รุนแรง.
จริงอยู่ การดูแลที่ไม่รอบคอบและรัดกุมก็อาจทำให้สถานการณ์ทรุดลง
แต่ถ้าหากเป็นการกระทำด้วยความตั้งใจดีและสุจริต ก็เป็นเพียงความบกพร่อง หรือ
การรู้เท่าไม่ถึงการณ์, มิใช่อาชญากรรมแต่ประการใด”.
“เนื่องจากในหลายกรณี
เรื่องเศรษฐกิจมักจะเกี่ยวกับธุรกิจ หรือการค้าขาย,
ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าเศรษฐกิจของประเทศก็คือภาพรวมของธุรกิจ
หรือการค้าการขายที่ดำเนินกันอยู่ภายในประเทศ”.
“เศรษฐกิจของชาติคือองค์รวมของสังคม,
การเมืองและธุรกิจ – ที่รองรับด้วยประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ตลอดจนทรัพยากร ซึ่งรวมถึงทรัพยากรมนุษย์”.
“การบริหารธุรกิจแตกต่างไปจากการบริหารเศรษฐกิจเกือบจะโดยสิ้นเชิง
เพราะความคุ้มไม่คุ้มในบริบทของธุรกิจและของเศรษฐกิจ
ตั้งอยู่บนหลักการที่แตกต่างกัน.
ขณะที่การบริหารธุรกิจจะมุ่งไปที่ผลกำไรจากการลงทุน,
การบริหารเศรษฐกิจจะเน้นไปที่การกระจายประโยชน์อันเกิดจากการลงทุน,
การบริหารเศรษฐกิจจะเน้นไปที่การกระจายประโยชน์อันเกิดจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
อันเป็นเสาหลักของความสุขสมบูรณ์, ความมั่นคงและสันติสุขในสังคม.
สำหรับสิ่งที่เหมือนกันก็คือ การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
เพราะการบริหารทรัพยากรเป็นหัวใจทั้งของธุรกิจและเศรษฐกิจ”.
“การที่สินค้าและบริการมีราคาสูงขึ้นอันเนื่องมาจากต้นทุนการผลิตได้เพิ่มสูงขึ้น
(เช่นในกรณีน้ำมันมีราคาแพงขึ้นไป)นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นภาวะเงินเฟ้อ
และดังนั้นจึงไม่อาจใช้นโยบายการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าว”.
เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของประเด็นทางเศรษฐกิจที่จะต้องอาศัย
“เศรษฐศาสตร์” ในการวิเคราะห์ ไ-ม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม.
ในระหว่างครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา
ผมได้พยายามตั้งปัญหาและตอบปัญหาเศรษฐกิจ
โดยอาศัยการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์และศาสตร์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม
เป็นหนังสือประมาณ 20 เล่ม
ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะพอหาอ่านได้ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยต่างๆ.
บังเอิญในช่วงนี้มีหนังสือประเภทนี้ของผมที่เพิ่งจะพิมพ์ออกมาอยู่
3 เล่ม ที่สามารถจะหาซื้อได้ตามศูนย์หนังสือของมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ
และที่สำนักพิมพ์ซึ่งเป็นผู้พิมพ์ คือ
(1) “วิกฤน้ำมันราคาแพงกับเศรษฐกิจไทย”
(สำนักพิมพ์สุขภาพใจ โทร.02-415-2621).
(2) “สาระสำคัญของเศรษฐศาสตร์”
(สำนักพิมพ์แสงดาว โทร. 02-953-4411).
(3) “พจนานุกรมคำอธิบายศัพท์
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์” (สำนักพิมพ์แสงดาว) ราคาเล่มละ 40 บาท, 120 บาท และ 140 บาท
ตามลำดับ.
หนังสือเหล่านี้จะให้คำอธิบายเรื่องของ
“เศรษฐกิจ” และ “เศรษฐศาสตร์” ค่อนข้างชัดเจนสำหรับสาธารณชนทั่วไป.
(จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ -
ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย
ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่
1 พ.ศ.2553.)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น