2.
เศรษฐกิจพอเพียง
มีท่านผู้อ่านปรารภมาว่าท่านได้ยินได้ฟังคำว่า
“เศรษฐกิจพอเพียง” มาหลายปีแล้ว มีการพูดถึงกันบ่อยมาก
แม้กระทั่งรัฐบาลก็ให้ความสนับสนุนต่างๆต่อโครงการที่เกี่ยวกับ “เศรษฐกิจพอเพียง”.
สำหรับในโทรทัศน์, พอกล่าวถึง “เศรษฐกิจพอเพียง” ก็มักจะนำภาพของ “ชาวบ้าน”
ในชนบทที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อเป็นการส่งเสริมรายได้ในครอบครัว
ให้พอเพียงแก่การดำรงชีพ.
บางทีเรื่องของ “เศรษฐกิจพอเพียง”
ก็ไปเกี่ยวข้องกับ “การเกษตรแผนใหม่” ในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่แนะนำให้ชาวบาทมีกิจกรรมหลายๆอย่างที่เกื้อกูลกัน เช่นเมื่อทำนาแล้ว
ก็ควรจะเลี้ยงสัตว์และทำบ่อปลาไปพร้อมกันด้วย
ขณะที่อาจจะเพาะปลูกไม้ผลและพืชผักบางชนิดสำหรับจำหน่ายเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง.
ท่านผู้อ่านใคร่ที่จะทราบว่า
เศรษฐกิจพอเพียง” คือวิถีชีวิตเศรษฐกิจของชาวชนบทที่จะต้องผลิตให้พอเพียงแก่ความต้องการ
โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับบรรดา “วัตถุดิบ” ที่พึงจะหาได้ในละแวกนั้น ใช่หรือไม่,
และขอให้ผมช่วยไขปัญหาที่”คาใจ”ในเรื่องดังกลาวนี้ใน สายรุ้ง” “ด้วย.
ผมรู้สึกยินดีที่มีการถามไถ่ในเรื่อง
เศรษฐกิจพอเพียง” มาเพราะเชื่อว่ามีบุคคลจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ค่อยจะกระจ่างในเรื่องดังกล่าว
และในบาบงกรณีก็เกิดความับสนว่าสิ่งที่ตนมีความเข้าใจนั้นจะถูกต้องหรือไม่.
เนื้องจาก “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็น “ทฤษฎีและนโยบายเศรษฐกิจ”
ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และวารสาร”สายรุ้ง”ฉบับนี้ก็เป็นฉบับที่ออกในเดือนธันวาคม
ซึ่งวันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา,
ดังนั้นจึงเป็นความมงคลที่จะได้นำเรื่องของ “เศรษฐกิจพอเพียง”
มาเผยแผ่ให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นในที่นี้.
ในเบื้องแรกผมต้องการให้ท่านผู้อ่านได้ตระหนักว่าเป็นเวลานานพอมควคแล้วที่
“ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม” ได้ครอบงำประเทศไทยเกือบเบ็ดเสร็จโดยเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ.
เศรษฐกิจในระบบดังกล่าวนี้ถือเอาความมั่งคั่งเป็นเป้าหมาย
และส่งเสริมให้ผู้คนแข่งขันกันทำมาค้าขายโดยมุ่งให้ได้กำไรให้มากที่สุด
ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเอาผลกำไรจากการประกอบการและความมั่งคั่งที่ตามมาเป็นปัจจัยชักจูงให้ผู้คนแข่งขันกัน.
เศรษฐกิจแบบทุนนิยมดังกล่าวนี้ทำให้เกิดการเติบโตขยายตัวในกิจการเศรษฐกิจและธุรกิจสาขาต่างๆโดยผ่านการผลิต,
การค้าขายแกเปลี่ยน, การบริโภค, การออม และการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น.
นอกจากนั้นเมื่อเศรษฐกิจของประเทศไทยมีการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศมากขึ้น
มีการส่งออก, นำเข้า, การลงทุน และการท่องเที่ยว
ก็ยิ่งทำให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตขยายตัวมากขึ้น หรือที่กล่าวกันว่า “มีความเจริญหรือการพัฒนา”
เหมือนกับประเทศอื่นๆในโลก.
อย่างไรก็ตาม
ในขณะที่เศรษบกิจเติบโตขยายตัวขึ้น และบ้านเมืองก็ “เจริญ”ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
อาทิมีตึกรามบ้านช่องคับคั่ง, มีถนนหนทาง, มีสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ,
มีโณงเรียน, มหาวิทยาลัย, โรงพยาบาล ตลอดจนโรงงานอุตสาหกรรม, อีกทั้งมีเศรษฐีมหาเศรษฐีมากมาย,
ประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะราษำรในพื้นที่ชนบท, แม้จะไม่ถึงกับอดอยากไร้เสียทีเดียว,
ยังตกอยู่ในความยากลำบากในการดำรงและดำเนินชีวิต.
ราษำรเหล่านี้ไม่สามารถมีรายได้จากการผลิตที่พอเพียงกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
อันเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น แหล่งทำกินไม่เพียงพอ,
ความเสื่อมโทรมของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ปัญหาในด้านการตลาดและราคาพืชผล
ในขณะที่มีรายจ่ายใฝนการอุปโภคบริโภค ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็นมากขึ้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เศรษฐกิจของราษฎรในพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ “ขาดความสดุล”
ที่โครงสร้างของเศรษฐกิจและมีความเรื้อรังซ้ำซาก.
ทางราชการหรือรัฐบาลหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา
และในปัจจุบันได้พยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ ทั้งด้วยนโยบายและมาตรการสารพัดอย่าง
ตลอดจนการทุ่มเฃงินงบประมาณลงไปอย่างมหาศาลในพื้นที่ชนบท
แต่ปัญหาก็ยังคงอยู่ตลอดไป.
ชาวชนบทที่กำลังอยู่ในวัยทำงานได้ละทิ้งถิ่นที่อยู่เพื่อไปแสวงหางานทำในที่ห่างไกล
เช่นในเมืองใหญ่ๆ, ในกรุงเทพมหานคร,
และนับแสนคนก็ไปรับจ้างทำงานในต่างประเทศทั่วโลก จนกระทั่งเกิดปัญหาแรงงานขาดแคลน
ทำให้มีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านทะลักเข้ามาในประเทศนับล้านคน.
ปัญหา “การเสียสมดุลทางเศรษฐกิจ”
ในพื้นที่ชนบททำให้เกิดปัญหกามากมายตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือปัญหาทางสังคม
เช่นการล่มสลายของสังคมชนบท, ความแออัดในกรุงเทพฯ และในเมืองใหญ่ๆ,
ปัญหาอาชญากรรม, การเสื่อมโทรมของศีลธรรมและวัฒนธรรม เป็นต้น,
ซึ่งเป็นภาระที่หนักหน่วงในการบริหารประเทศ.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่ชนบททุกภาค
รวมทั้งพื้นที่ทุรกันดารที่อยู่ห่างไกล
และได้ทอดพระเนตรเห็นสภาพอันแท้จริงของราษฎรหลายสิบล้านคนในพื้นที่ดังกล่าว,
ทรงพระราชวินิจฉัยในปัญหา, ที่มาแห่งปัญหา และแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างถูกต้องและมีประสิทธิผล,
ทรงเห็นวาเศรษฐกิจชนบทเป็นปัญหาพื้นฐานของเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย.
ในการนี้ ทรงกำหนด “ยุทธศาสตร์” เอาไว้
2 ลักษณะ คือที่เป็นทฤษฎี หรือ “แบบจำลอง”
และที่เป็นโรงการต่างๆที่รู้จักดกันว่าโครงการในพระราชดำริ จำนวนนับพันโครงการ.
สำหรับ “ยุทธศาสตร์”
ที่เป็นทฤษฎีนั้นก็คือ “เศรษฐกิจพอเพียง”
ซึ่งเน้นการพัฒนาพื้นฐานของเศรษฐกิจ คือ “ความพอมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน”
แล้ว “จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นไปโดยลำดับต่อไป”
นอกจากนั้นก็ยังหมายถึง การพอมีพอกินที่เกิดจากการพึ่งตนเองเป็นสำคัญ
ทั้งในระดับบุคคล, ชุมชนและระดับประเทศ.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า
เศรษฐกิจธุรกิจแต่อย่างเดียวนั้นไม่สามารถทำให้คนไทยพึ่งตนเองได้ และทรงเห็นว่าถ้าหาก
“เศรษฐกิจพอเพียง” มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 25 ของระบบเศรษฐกิจ
ประเทศไทยก็จะมีความมั่นคงในการพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว.
เนื่องจากผลิตผลการเกษตรเป็นทั้งอาหารและวัตถุดิบ
จึงจำเป็นจะต้องทำให้การเกษตรมีความแข็งแกร่ง ซึ่งการนี้ต้องการ “เทคโนโลยี”
ที่เป็นวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหา ตลอดจน “เทคโนโลยี”ในการบริหารจัดการด้วย. นอกจากนั้นก็ยังทรงเห็นประโยชน์ของ “สหกรณ์”
ที่สมาชิกร่วมกันผลิตและจำหน่ายในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท.
ดังนั้นเราคนไทยจึงต้องระลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น.
...จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ -
ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย
ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพ็ชร
ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น