หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เศรษฐกิจพอเพียง - ดร. วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพ็ชร ราชบัณฑิต

2. เศรษฐกิจพอเพียง


          มีท่านผู้อ่านปรารภมาว่าท่านได้ยินได้ฟังคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” มาหลายปีแล้ว มีการพูดถึงกันบ่อยมาก แม้กระทั่งรัฐบาลก็ให้ความสนับสนุนต่างๆต่อโครงการที่เกี่ยวกับ “เศรษฐกิจพอเพียง”. สำหรับในโทรทัศน์, พอกล่าวถึง “เศรษฐกิจพอเพียง” ก็มักจะนำภาพของ “ชาวบ้าน” ในชนบทที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อเป็นการส่งเสริมรายได้ในครอบครัว ให้พอเพียงแก่การดำรงชีพ.
          บางทีเรื่องของ “เศรษฐกิจพอเพียง” ก็ไปเกี่ยวข้องกับ “การเกษตรแผนใหม่” ในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่แนะนำให้ชาวบาทมีกิจกรรมหลายๆอย่างที่เกื้อกูลกัน เช่นเมื่อทำนาแล้ว ก็ควรจะเลี้ยงสัตว์และทำบ่อปลาไปพร้อมกันด้วย ขณะที่อาจจะเพาะปลูกไม้ผลและพืชผักบางชนิดสำหรับจำหน่ายเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง.
          ท่านผู้อ่านใคร่ที่จะทราบว่า เศรษฐกิจพอเพียง” คือวิถีชีวิตเศรษฐกิจของชาวชนบทที่จะต้องผลิตให้พอเพียงแก่ความต้องการ โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับบรรดา “วัตถุดิบ” ที่พึงจะหาได้ในละแวกนั้น ใช่หรือไม่, และขอให้ผมช่วยไขปัญหาที่”คาใจ”ในเรื่องดังกลาวนี้ใน สายรุ้ง” “ด้วย.
          ผมรู้สึกยินดีที่มีการถามไถ่ในเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง” มาเพราะเชื่อว่ามีบุคคลจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ค่อยจะกระจ่างในเรื่องดังกล่าว และในบาบงกรณีก็เกิดความับสนว่าสิ่งที่ตนมีความเข้าใจนั้นจะถูกต้องหรือไม่.
          เนื้องจาก “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็น “ทฤษฎีและนโยบายเศรษฐกิจ” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และวารสาร”สายรุ้ง”ฉบับนี้ก็เป็นฉบับที่ออกในเดือนธันวาคม ซึ่งวันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา, ดังนั้นจึงเป็นความมงคลที่จะได้นำเรื่องของ “เศรษฐกิจพอเพียง” มาเผยแผ่ให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นในที่นี้.
          ในเบื้องแรกผมต้องการให้ท่านผู้อ่านได้ตระหนักว่าเป็นเวลานานพอมควคแล้วที่ “ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม” ได้ครอบงำประเทศไทยเกือบเบ็ดเสร็จโดยเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ. เศรษฐกิจในระบบดังกล่าวนี้ถือเอาความมั่งคั่งเป็นเป้าหมาย และส่งเสริมให้ผู้คนแข่งขันกันทำมาค้าขายโดยมุ่งให้ได้กำไรให้มากที่สุด ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเอาผลกำไรจากการประกอบการและความมั่งคั่งที่ตามมาเป็นปัจจัยชักจูงให้ผู้คนแข่งขันกัน. เศรษฐกิจแบบทุนนิยมดังกล่าวนี้ทำให้เกิดการเติบโตขยายตัวในกิจการเศรษฐกิจและธุรกิจสาขาต่างๆโดยผ่านการผลิต, การค้าขายแกเปลี่ยน, การบริโภค, การออม และการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น. นอกจากนั้นเมื่อเศรษฐกิจของประเทศไทยมีการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศมากขึ้น มีการส่งออก, นำเข้า, การลงทุน และการท่องเที่ยว ก็ยิ่งทำให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตขยายตัวมากขึ้น หรือที่กล่าวกันว่า “มีความเจริญหรือการพัฒนา” เหมือนกับประเทศอื่นๆในโลก.
          อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เศรษบกิจเติบโตขยายตัวขึ้น และบ้านเมืองก็ “เจริญ”ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม อาทิมีตึกรามบ้านช่องคับคั่ง, มีถนนหนทาง, มีสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ, มีโณงเรียน, มหาวิทยาลัย, โรงพยาบาล ตลอดจนโรงงานอุตสาหกรรม, อีกทั้งมีเศรษฐีมหาเศรษฐีมากมาย, ประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะราษำรในพื้นที่ชนบท, แม้จะไม่ถึงกับอดอยากไร้เสียทีเดียว, ยังตกอยู่ในความยากลำบากในการดำรงและดำเนินชีวิต.  ราษำรเหล่านี้ไม่สามารถมีรายได้จากการผลิตที่พอเพียงกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ อันเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น แหล่งทำกินไม่เพียงพอ, ความเสื่อมโทรมของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ปัญหาในด้านการตลาดและราคาพืชผล ในขณะที่มีรายจ่ายใฝนการอุปโภคบริโภค ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็นมากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เศรษฐกิจของราษฎรในพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ “ขาดความสดุล” ที่โครงสร้างของเศรษฐกิจและมีความเรื้อรังซ้ำซาก.
          ทางราชการหรือรัฐบาลหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา และในปัจจุบันได้พยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ ทั้งด้วยนโยบายและมาตรการสารพัดอย่าง ตลอดจนการทุ่มเฃงินงบประมาณลงไปอย่างมหาศาลในพื้นที่ชนบท แต่ปัญหาก็ยังคงอยู่ตลอดไป. ชาวชนบทที่กำลังอยู่ในวัยทำงานได้ละทิ้งถิ่นที่อยู่เพื่อไปแสวงหางานทำในที่ห่างไกล เช่นในเมืองใหญ่ๆ, ในกรุงเทพมหานคร, และนับแสนคนก็ไปรับจ้างทำงานในต่างประเทศทั่วโลก จนกระทั่งเกิดปัญหาแรงงานขาดแคลน ทำให้มีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านทะลักเข้ามาในประเทศนับล้านคน.
          ปัญหา “การเสียสมดุลทางเศรษฐกิจ” ในพื้นที่ชนบททำให้เกิดปัญหกามากมายตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือปัญหาทางสังคม เช่นการล่มสลายของสังคมชนบท, ความแออัดในกรุงเทพฯ และในเมืองใหญ่ๆ, ปัญหาอาชญากรรม, การเสื่อมโทรมของศีลธรรมและวัฒนธรรม เป็นต้น, ซึ่งเป็นภาระที่หนักหน่วงในการบริหารประเทศ.  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่ชนบททุกภาค รวมทั้งพื้นที่ทุรกันดารที่อยู่ห่างไกล และได้ทอดพระเนตรเห็นสภาพอันแท้จริงของราษฎรหลายสิบล้านคนในพื้นที่ดังกล่าว, ทรงพระราชวินิจฉัยในปัญหา, ที่มาแห่งปัญหา และแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างถูกต้องและมีประสิทธิผล, ทรงเห็นวาเศรษฐกิจชนบทเป็นปัญหาพื้นฐานของเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย.
          ในการนี้ ทรงกำหนด “ยุทธศาสตร์” เอาไว้ 2 ลักษณะ คือที่เป็นทฤษฎี หรือ “แบบจำลอง” และที่เป็นโรงการต่างๆที่รู้จักดกันว่าโครงการในพระราชดำริ จำนวนนับพันโครงการ.
          สำหรับ “ยุทธศาสตร์” ที่เป็นทฤษฎีนั้นก็คือ “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเน้นการพัฒนาพื้นฐานของเศรษฐกิจ คือ “ความพอมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน” แล้ว “จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นไปโดยลำดับต่อไป” นอกจากนั้นก็ยังหมายถึง การพอมีพอกินที่เกิดจากการพึ่งตนเองเป็นสำคัญ ทั้งในระดับบุคคล, ชุมชนและระดับประเทศ.
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า เศรษฐกิจธุรกิจแต่อย่างเดียวนั้นไม่สามารถทำให้คนไทยพึ่งตนเองได้ และทรงเห็นว่าถ้าหาก “เศรษฐกิจพอเพียง” มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 25 ของระบบเศรษฐกิจ ประเทศไทยก็จะมีความมั่นคงในการพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว.
          เนื่องจากผลิตผลการเกษตรเป็นทั้งอาหารและวัตถุดิบ จึงจำเป็นจะต้องทำให้การเกษตรมีความแข็งแกร่ง ซึ่งการนี้ต้องการ “เทคโนโลยี” ที่เป็นวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหา ตลอดจน “เทคโนโลยี”ในการบริหารจัดการด้วย.  นอกจากนั้นก็ยังทรงเห็นประโยชน์ของ “สหกรณ์” ที่สมาชิกร่วมกันผลิตและจำหน่ายในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท.
          ดังนั้นเราคนไทยจึงต้องระลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น.


...จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพ็ชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553....      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น