พุทธทาสภิกขุ – จิตเต็มสำนึก 2 ชนิด
การบรรยายโอวาท-นวกะเป็นครั้งที่ 13 นี้ จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า “จิตเต็มสำนึก 2 ชนิด”
จิตเต็มสำนึก 2 ชนิดที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ควรรู้จักอย่างยิ่ง
สำหรับการที่จะเข้าใจ รู้จักพระพุทธศาสนา ซึ่งเราได้พูดกันมาแล้วอย่างละเอียด
ว่ามันเป็นเรื่อง ของสิ่งที่จะต้องใช้วิธีการสัมผัสตามแบบอย่างวิทยาศาสตร์
ไม่ได้ใช้การคำนวณตามแบบของปรัชญา
ทุกเรื่องที่ได้หยิบขึ้นมาศึกษานี้จะต้องเป้นเรื่องที่สัมผัสได้
แม้ว่าจะละเอียดอย่างไรก็ต้องเป็นเรื่องที่สัมผัสได้ สิ่งที่เรียกว่า”จิต”นั้น
เป็นสิ่งที่สัมผัสได้ คือสัมผัสได้ด้วยจิตนั้นเอง จิตมันรู้สึกต่อ...ความคิดนึก
หรือความรู้สึกของจิตเองนี่เรียกว่า มันสัมผัสได้
จิตที่ทำหน้าที่สัมผัสนี่เราเรียกว่ากันว่า มโน ทำหน้าที่สัมผัสก็เรียกว่ามโนวิญญาณ
ไอ้สิ่งที่จิตจะสัมผัสได้นั้น ก็เป็นความรู้สึก เช่น เวทนา หรือ สัญญา เป็นต้น
นี้ก็เรียกว่าเจตสิก มีอยู่หลายรูปแบบ
และเป็นสิ่งที่จิตจะสัมผัสต่อสิ่งเหล่านั้นได้ ในรูปของความคิดก็มี
ในรูปของความรู้สึกก็มี และความสำคัญมั่นหมายก็มี รูปของความรู้สึกเช่นเวทนา มันก็เป็นไอ้พวก
feeling
เป็นความสำคัญมั่นหมายต่อจากนั้นก็เป็นพวกสัญญา หรือ perception ถ้ามันเป็นความคิดขึ้นมาก็เป็นพวก concept ต่างๆ conception plotต่างๆ
สิ่งเหล่านี้จิตจะสัมผัสได้ จนกระทั่งมันรู้ว่ามีความรู้สึกอย่างไร?
มีความสำคัญอย่างไร? มีความคิดอย่างไร?
เราจะต้องศึกษากันต่อไปถึง
การรู้จักสิ่งที่เรียกว่า จิต ด้วยการสัมผัสมัน ด้วยจิตนั่นเอง
ใช้คำๆเดียวกันแต่คนละความหมายคนละหน้าที่ โดยทั่วไปก็เรียกว่า มโน
สำหรับจะทำหน้าที่ รู้ หรือเป็นผู้ทำความรู้สึก สิ่งที่อยากให้รู้จัก
มันก็คือ จิต-สำนึก จิตเต็มสำนึก 2 ชนิด อย่างที่กล่าวไว้ในหัวข้อ
เมื่อพุดว่าจิตเต็มสำนึกมันก็ต้องมี จิตชนิดที่ไม่เต็มสำนึก หรือ
ไร้สำนึก นี่เข้าใจว่า คุณคงจะรู้จักกันมาเป็นส่วนใหญ่แล้ว
และจะพูดสรุปอีกทีกันว่า ไร้สำนึกหรือครึ่งสำนึก
นั่นเป็นจิตที่เป็นไปโดยไม่มีเจตนา ถ้าเป็นเต็มสำนึก นั่นก็คือ รู้สึกเต็มที่และก็จะมีเจตนา
ไร้สำนึกเสียเลย ไม่มี conscious...ไม่เป็นconsciousเสียเลย ใต้สำนึกนั่นก็เป็นพวก subconscious หรือ semiconscious แต่ก็ต้องรวมไว้ในพวกที่ว่า ไม่มีสำนึก ด้วยกัน ไม่มีสำนึกหรือconscious
มันเป็นไปได้โดยสัญชาตญาณ เช่นว่ามีอะไรมาเกาะพั๊บเขา มันก็ปัดไปอย่างนี้
ไอ้กิริยาที่ปัดออกไปนั้นไม่ต้องมีสำนึก
ที่มันรู้ว่าอะไรมาเกาะเข้านี้มันก็ว่าเป็นสำนึก หรือว่ามีอะไรมาถูกเข้า
กระโดดเหย็งขึ้นมาอย่างนี้ การกระโดดนั้น ไม่...ไม่มีสำนึก แต่การที่มีอะไรมากระทบเข้ามันก็มี...เป็นสำนึก
ที่เรารู้จัก สังเกตดูว่า ที่มันไร้สำนึก มันทำของมันไปได้ตามสัญชาตญาณ
หรือจะมีใครอธิบายเป็นอย่างอื่นก็ได้เหมือนกัน นี่เรื่องชื่อนี้ไม่สำคัญ
แต่ขอให้รู้สึกไว้สักอย่างหนึ่งว่า เมื่อปราศจากความสำนึกหรือเจตนาเนี่ยะ
มันก็ทำอะไรได้ อย่างว่าเหยียบเอาไฟเข้ามันก็ชักกลับทันที
เจตนาว่าจะชักกลับน่ะไม่ต้องมี มันเป็นไร้สำนึกหรือไม่มีสำนึก
ถ้ามันเหยียบไฟร้อนน่ะมันเป็นส่วนที่เป็นสำนึก
หรือว่าไอ้เรื่องสำนึกเช่นว่าฝันไปอย่างนี้ นอนฝันไป หรือว่าอะไรก็ตาม
ละเมอก็ตามเนี่ยะ มันไม่เต็มสำนึก มันก็ในพวกที่ไม่มีสำนึกด้วยกัน
พวกนี้เราจะไม่พูดถึง เพราะไม่เป็นปัญหา หรือไม่เกี่ยวกับเรื่องที่จะพูด ดีกว่า
เรื่องที่จะพูดที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา
เราจะพูดกันแต่จิตที่เต็มสำนึก ที่มีconsciousเต็มที่ ไอ้จิตไร้สำนึกหรือใต้สำนึกนี้ก็ไม่มีสติ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสติ แต่จิตที่เรียกว่าเต็มสำนึกนั้น
บางทีก็มีสติ บางทีก็ไม่มีสติ ฉะนั้นเราต้องศึกษามันทั้ง 2 อย่าง โดยให้หัวข้อว่า
ไอ้จิตที่เต็มสำนึก เป็น conscious เต็มที่ มีอยู่ 2 ชนิดคือ
มีความหมายแห่งตัวตนก็มี ไม่มีความหมายแห่งตัวตนก็มี อยากจะเรียกว่า
พฤติของจิต เรียกกันในวัดนี่ก็ได้ นอกวัดจะเรียกเป็นอะไรก็ไม่ทราบนะ
หรือภาษาวิทยาศาสตร์ จิตวิทยาเค้าจะเรียกกันอย่างไรก็ไม่ทราบ
นี้เราจะเรียกภาษาวัดเราว่า พฤติ ซึ่งแปลว่าความเป็นไปของจิต เนี่ยะมันมีอยู่ในรูปของความรู้สึกคิดนึก
นี้พฤติที่เป็นความรู้สึกคิดนึกนี้ บางทีประกอบอยู่ด้วยความหมายแห่งตัวตน
คือมีความรู้สึกประเภท ตัวกู-ของกู เราจะเรียกสั้นๆว่า egoism ก็ได้ egoism-ความมีแห่งความรู้สึกว่าตัวตน อีกชนิดหนึ่งมันก็ไม่มีegoism คือมันยังไม่ทันจะเกิด จึงเรียกว่าไม่มี
แล้วเราจะได้มารู้จักพฤติของจิตทั้ง 2 ชนิดนี้ให้ดี แล้วเราจะเข้าใจพระพุทธศาสนา
ตามวิถีทางวิทยาศาสตร์ คือด้วยการสัมผัสและรู้จัก แล้วก็ฝึกฝนปฏิบัติควบคุมกันไปตามเรื่อง.
ความหมายแห่งตัวตน
มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นของจิตที่เต็มสำนึก แล้วก็เป็นจิตที่ปราศจากความรู้อันถูกต้อง
หรือไม่มีสติ ไม่มีสติปัญญา คือถ้าว่ามันมีความรู้อันถูกต้องมีสติปัญญาอันถูกต้องอยู่ในจิตนั้น
จะปราศจากความหมายชนิดนี้ คือปราศจากความหมายที่มันเป็นตัวตน ทีนี้
ที่เรียกว่า พฤติ-พฤติ หรือความเป็นไปนี่
ก็เคยพูดมามากแล้วในเรื่องเกี่ยวกับ ปฏิจจสมุปบาท นี้เผื่อบางคนยังไม่เคยฟังหรือว่าลืมซะแล้ว
ก็พูดซ้ำอย่างย่อๆอีกทีหนึ่งว่า เมื่อตาถึงกันเข้ากับรูป ก็เกิดการเห็นทางตา
คือจักษุวิญญาณ จักษุวิญญาณเกิดขึ้นนี่ก็สติของจิตแล้ว นี้ทั้ง 3
สิ่งนี้มากระทบกันเข้า ทั้ง 3 อย่าง ทั้งตาทั้งรูปทั้งจักษุวิญญาณ 3
อย่างนี้ถึงกันเข้านี่เรียกว่า ผัสสะ – ขณะแห่งจิตที่มีผัสสะ นี่ก็เป็นพฤติของจิตในระยะต่อมา
นี่ที่เรียกว่า contact ธรรมดาๆนี่เอง
ผัสสะ...ที่ว่ามีผัสสะก็ต้องมีไอ้ความรู้สึกว่าเป็นอย่างไร ที่เรียกว่า เวทนา หรือ
feeling...feeling ว่ามันเป็นรูปที่น่ารัก
หรือไม่น่ารัก สบายใจหรือไม่สบายเพราะรูปนั้น ก็เรียกว่าเวทนา-feeling ไอ้เวทนานี้มันก็ให้เกิด
ความสำคัญอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า perception สำคัญว่าอะไร
หญิงหรือชาย หรือว่าน่ารักน่าพอใจ หรือไม่ นี่มันก็เป็นพฤติ-พฤติที่ถัดมาอีก
ทีนี้มันมี perceptionสำคัญอย่างไรแล้ว
มันก็จะเกิดความคิดหลายชนิด แต่เราเอาชนิดที่สำคัญที่สุด ก็ concept เช่น ต้องการเป็นต้น ต้องการอย่างนั้นต้องการอย่างนี้
น่ารักก็ต้องการจะเอา ไม่น่ารักก็ต้องการจะขจัดไปเสียให้พ้น จนกระทั่งเกิด อุปาทาน
เป็น concept ที่ร้ายการ ยึดมั่นถือมั่น
เป็นความรู้สึกที่หมายมั่นว่าเป็นตัวกู-เป็นของกู จนกระทั่งมีความรู้สึกหนักอกหนักใจ
เป๋นต้น ทั้งหมดนี้เรียกว่า พฤติของจิต ทั้งนั้น
นี้ตัวอย่างที่ยกมานี้
มันเป็นพฤติของจิต ที่มี”ตัวกู” มีความรู้สึกเป็นตัวตนเป็นของตน เป็นจิตเต็มสำนึก
แล้วก็มาตามวิถีทางที่มันมี ความรู้สึกเป็นตัวตน-เป็นของตน ถ้าในกรณีที่ตรงกันข้าม
มันก็ไม่ต้องเป็นอย่างนี้ เช่นตาเห็นรูป เกิดการเห็นทางตา แล้วมันก็เฉยไป
สัมผัสนั้นก็ไม่ทำหน้าที่อะไร เหมือนกับเราเดี๋ยวนี้ทุกคนก็ลืมตาอยู่
เห็นต้นไม้เห็นดวงไฟฟ้า เห็นต่างๆแล้วมันก็ไม่มีความหมายอะไร นี้เรียกว่าไม่มีตัวกู
ไม่มีของกู เป็นพฤติที่ไม่มีตัวกูไม่มีของกู ตามธรรมชาติธรรมดา
เพราะว่าสิ่งแวดล้อมมันไม่อำนวย
เพราะอารมณืที่ตาเห็นนั้นไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ นี่ก็เรียกว่าไม่มีตัวกูของกู
ทีนี้อีกอย่างหนึ่ง
ในอีกกรณีหนึ่งนั้น มันมีสติปัญญาที่ได้ฝึกฝนอบรมมาดี
สติอันท่วงทีเมื่อตาเห็นรูปสัมผัสแล้ว สติก็มาทันท่วงที ควบคุมไว้ได้
ก็ไม่เกิดความคิดประเภทตัณหาอุปาทาน ซึ่งเป็นตัวตน ตัวกูของกู ด้วยเหมือนกัน
เพราะตัวนั้นมีความสามารถควบคุมพฤติของจิต เพราะเขาได้ฝึกมาดีแล้ว
หรือมิฉะนั้นก็เป็นพฤติของจิตของพระอรหันต์ ซึ่งไม่มีทางที่จะเกิด
ความรู้สึกประเภทตัวกูของกูอีกต่อไป นี้ก็เรียกว่าพฤติของจิตที่ไม่มีตัวกูของกู
ฉะนั้นคอยสังเกตดู หรือสัมผัสดู ว่าจิตของเรานั้น ในกรณีอย่างไรหรือเมื่อใด หรือที่ไหน
มันเป็นจิตที่ประกอบอยู่ด้วยความรู้สึกเป็นตัวกูของกู
และเมื่อไหร่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น วิธีที่สังเกตง่ายๆ ก็อาศัยไอ้ชื่อของกิเลส 3
ชื่อน่ะมาเป็นหลัก โลภะหรือราคะนี้พวกหนึ่ง มันมีความรู้สึกที่จะเอา ด้วยความรู้สึกที่เป็นกิเลสนั่นน่ะ
เช่นว่ารัก ก็พอใจไม่มีสติสัมปชัญญะ มันรักพอใจไปตามประสาของคนธรรมดาสามัญ
นี่ก็อย่างหนึ่งละ มีตัวกู-ของกู ที่รักที่จะเอาเป็นของกู อีกทางหนึ่งพวกโทสะหรือโกรธะ
เกิดขึ้นในจิตแล้วมันก็ไม่อยากเอา มันอยากจะทำลาย อยากจะฆ่าหรือขัดเคือองขึ้นมา
นี้ก็เป็น ตัวกู-ของกู เป็นตัวกูที่จะฆ่าศัตรูของกู
หรือว่าทำอะไรก็ได้ ในสิ่งที่กูมันไม่ชอบ นี่มันตรงกันข้ามอยู่เป็นคู่แรก
จะเอาเพราะรัก หรือไม่เอาเพราะเกลียด ทีนี้อันที่ 3 ประเภทโมหะ
นี่มันก็ไม่รู้ว่าอย่างไรแน่ เช่นมันสงสัยอยู่ แต่มันอดสนใจไม่ได้
จิตมันยังเกี่ยวข้องอยู่ล่ะ มันก็มีกูที่สงสัย ความสงสัยของกูก็มีอยู่
จะทำอย่างไรก็ยังทำไม่ถูก
แต่ว่ามีความหมายมั่นที่จะทำกับสิ่งเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน นี้จะเป็นหลักใหญ่ๆเพียง
3 ประการ สำหรับสังเกตว่า จิตนั้นประกอบด้วยตัวกู หรือไม่ประกอบเป็นตัวกู
ถ้ามีความรู้สึกประเภท โลภะโทสะโมหะนั่นก็ มันก็มีตัวกู
เราได้ยินอย่างนี้แล้วไม่รู้ว่าเรื่องเป็นอย่างไร ก็ไม่เข้าใจ
ที่จริงมันก็ง่ายๆอย่างนี้ที่เราจะสังเกตได้ สัมผัสจิตของเราได้
ว่าจิตนี้เป็นอย่างไร เกิดความรู้สึกอยากที่จะเอาด้วยกิเลสที่โลภะราคะแล้วก็
ยังมีตัวกูของกู โทสะโกรธะจะ?เข้า ก็มีตัวกูของกู สงสัยด้วยกิเลสที่เป็นเหตุ
จะเอาจะเป็น นี้ก็เป็นตัวกูของกู
นี้สำหรับกรณีของโลภะ
คืออยากจะเอานั้น อย่าเอาไปปนกับคำว่า ต้องการโดยบริสุทธิ์ของสติปัญญา
ความต้องการนี่ก็ได้อธิบายให้ฟังหลายหนแล้วว่า อย่าไปพูดเพ้อๆไปตามที่เขาสอนๆกันอยู่
แม้ในกรุงเทพ ว่าถ้าต้องการแล้วเป็นโลภะทั้งนั้น เป็นตัณหาทั้งนั้น
เค้าสอนกันอยู่อย่างนั้น ขอให้รู้จักแยกว่ามัน มันเป็นความต้องการด้วยกิเลสน่ะ
เป็นอวิชชา ด้วยตัวกูของกู จึงจะเรียกว่าเป็นโลภะ หรือเป็นตัณหา ไอ้ที่ประสงค์หรือต้องการจะทำด้วยสติปัญญานั้น
ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าโลภะ หรือตัณหา มันเป็นความรู้สึกที่ถูกต้องของสติปัญญา
ว่าเราจะต้องทำอย่างไร หรือควรจะต้องการอย่างไร หรือว่าต้องการจะดับทุกข์
จะบรรลุนิพพาน นี้ อย่างนี้ไม่ความโลภไม่ใช่ตัณหา เป็นความต้องการของสติปัญญา ไม่จัดเป็นประเภทตัวกูของกู
เพราะว่ามันมีสติปัญญาควบคุมอยู่
ทีนี้จะให้ง่ายๆขึ้นไปอีก
มารู้จักไอ้พฤติของจิตเต็มสำนึก แต่ไม่มีตัวตน เช่น
เมื่อคุณทำวัตรสวดมนต์อยู่อย่างนี้ ไหว้พระสวดมนต์อยู่อย่างนี้
มันก็มีจิตเต็มสำนึก เป็น conscious
แต่ไม่เจืออยู่ด้วยตัวตน ก็มันกำลังสวดมนต์อยู่ แม้จะฟังจะรู้เรื่อง
ก็เป็นเรื่องของการสวดมนต์หรือของธรรมะ นี่ตามปกติจะต้องเป็นอย่างนี้
แต่ถ้าในขณะนั้นมันมีอะไรสะดุด ทำให้เกิดไม่สบายใจ เสียใจ
สวดผิดสวดถูกขึ้นมาเดือดร้อน อย่างนี้ก็เรียกว่ามีตัวตนนะ
ถ้าหากทำวัตรสวดมนต์ไปเรื่อยไม่มีอะไรสะดุดจิตใจ นี้ก็เรียกว่า สำนึกนี้ไม่มีตัวกู-ของกู
หรือว่ากำลังคิดเลขอยู่ คำนวณอะไรอยู่อย่างยิ่ง อย่างเต็มสำนึกในอย่างยิ่ง และจิตมิได้เลยไปถึงไอ้เรื่องตัวกู-ของกู
กำลังคิดเลขเพลิน อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่มีตัวกู-ของกู แม้จะมีสำนึกเต็มที่
หรือว่าอารมณ์ที่มันมากระทบจิตนั้น มันไม่ได้เป็นที่ตั้งแห่งตัวกู-ของกู
นี่เราก็ทำไปได้ คิดไปได้ มีพฤติอย่างแรงได้ หรือสำนึกอย่างแรงได้
ก็ไม่มีตัวกู-ของกูเหมือนกัน เช่นเจริญสมาธิอยู่ อารมณ์นั้นมันเป็นอารมณ์ของสมาธิ
เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือว่าอานา...ลมหายใจออก-เข้า
อารมณ์ชนิดนี้ก็ไม่เป็นที่ตั้งแห่งตัวกู-ของกู แม้จะกำหนดอารมณ์นั้นอยู่
พิจารณาอารมณ์นั้นอยู่ มันก็ไม่เกิดความรู้สึกประเภทตัวกู-ของกู
นี่จะต้องสัมผัสอารมณ์ สัมผัสจิตชนิดนี้แหละ หรือว่าจิตที่กำลังมีอารมณ์ชนิดนี้
เราจะรู้จักมันให้ดีๆ ไม่ต้องคำนวณนะ เท่าที่รู้จักสัมผัสลงไปตรงๆ
บอกแล้วว่าเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ไม่มีการคำนวณ ไม่มีสมมติฐาน สัมผัสลงไปตรงๆ แล้วก็รู้จักจิตประเภทนี้
ว่า อ้าว แม้จะเต็มสำนึกก็ไม่มีตัวตน ไม่มี egoism
ไม่มี egoistic concept หรือ percept
อะไรต่างๆ ไม่มีความทุกข์เลย
ทีนี้ฝ่ายที่มันตรงกันข้าม
จิตเต็มสำนึกแต่มันขาดสติ เกิดกระแสปฏิจจสมุปบาท
อย่างที่ว่ามาเมื่อตะกี้นี้ ตาเห็นรูปเกิดจักษุวิญญาณและสัมผัสแล้ว
และเกิดเวทนาขึ้นมาแล้ว น่ารัก สติมันขาดมาแต่สัมผัส ตั้งแต่ขณะที่สัมผัสนั้น
ไม่มีสติมาเลยในระยะของการสัมผัส มันเกิดเวทนาน่ารัก แล้วก็รัก คิดไปตามแบบความรัก
อย่างนี้ก็เรียกว่ามีตัวตนเต็มที่ และเพราะขาดสติ แล้วอย่าลืมว่า ได้พูดแล้วว่า
ในกรณีอย่างนี้ถ้าไม่ขาดสติ มันก็ไม่เกิดความรู้สึกชนิดนี้
ตาเห็นรูปเกิดการเห็นทางตา มีสัมผัสขึ้นมา สติมาทัน ความรู้มีอยู่
ความรู้นั้นวิ่งมาทัน แม้จะรู้สึกว่ารูปสวยแต่ก็ไม่ถึงกับรัก
รูปไม่สวยก็ไม่ถึงกับเกลียด มันรู้แต่ว่าสวยหรือไม่สวย แค่นั้นแหละ
ก็เลยไม่เกิดตัวกู-ของกูได้ แต่นี้ตามธรรมดาสามัญนั้น
คนเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นนี่
ถ้าสวยมันก็เกิดรักเสียแล้ว ถ้าไม่สวยมันก็เกิดเกลียดเสียแล้ว
มันเป็นความรู้สึกธรรมดาสามัญ จนเคยชิน
นี่ประโยชน์ของธรรมะของศาสนาก็อยู่ที่ตรงนี้
หรือมาบวชทั้งทีมันก็อยู่ที่ตรงนี้
ฝึกที่จะมีสติสัมปชัญญะ เร็วทันควันที่มีการเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส
สัมผัสผิวหนัง แม้กระทั่งคิดขึ้นมาในใจเอง มีสติทำ ในขณะที่สัมผัสกันเข้า
ตาสัมผัสรูป หูสัมผัสเสียง จมูกสัมผัสกลิ่น ลิ้นสัมผัสรส ผิวหนังสัมผัสผิวหนัง
เมื่อจิตสัมผัสอารมณ์ของจิต มีสติ รู้สึกตัว
เพราะว่าเขาได้ฟังธรรมะของพระอริยะเจ้า ได้ฝึกมาดีแล้วในวินัยของพระอริยะเจ้า ก็คือพวกที่ได้ปฏิบัติอย่างภิกษุผู้ปฏิบัติ
มีความรู้เรื่องนี้และมีสติมาทัน ในขณะที่มีการสัมผัสนั้น
ตามธรรมดาสามัญ
คือผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรมของพระอริยะเจ้า ไม่เคยรับการฝึกในวินัยของพระอริยะเจ้า
มันก็ไปตามแบบของมันเอง อย่างที่เราก็รู้อยู่แล้ว แม้เราก็เคยเป็นอย่างนั้นมาแล้ว
น่ารักก็รัก น่าเกลียดก็เกลียด น่าโกรธก็โกรธ น่ากลัวก็กลัว
มันก็เต็มไปด้วยตัวกู-ของกู อย่างนี้เรียกว่ามันมีตัวตน เพราะอารมณ์ที่เข้ามากระทบ
นั้นมันเป็นที่ตั้งแห่งตัวตน น่ารักน่าเกลียดน่ากลัว มันเป็น...อารมณ์ชนิดนี้เรียกว่ามันเป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึกว่าตัวตน
มันน่ารักก็รัก ก็มีตัวตน ให้รัก รักเป็นของตน น่าเกลียดน่าโกรธ มันก็โกรธก็เกลียด
เป็นศัตรูของตนไปเลย ของตนเช่นนั้น น่ากลัวก็เหมือนกัน มันก็มีตัวตนให้กลัว
มีสิ่งที่ให้กลัว นี่ปุถุชนเต็มที่ ปุถุชนเต็มขนาด ที่จะต้องมากันอย่างนี้ มีพฤติที่ปราศจากสติ
แล้วก็เต็มอยู่ด้วยความหมายแห่งตัวตน
เราจะสรุปใจความได้ว่า
ไอ้พวกไร้สำนึกใต้สำนึก....นั้น ไม่มีสติเลย เป็นจัดเป็นพวกที่ไม่มีสติเลย
ไม่อยู่ในเรื่องที่เราจะศึกษาในที่นี้ ทีนี้ที่มันมีสำนึก มีอยู่ในสำนึก
มันยังมีทั้งที่เรียกว่า มีสติหรือไม่มีสติ ถ้ามีสติมันก็ไม่มีตัวตน
ถ้าไม่มีสติ มันก็มีตัวตนอย่างนี้ นี้ถ้าจะให้สำเร็จประโยชน์
คุณก็ต้องศึกษาด้วยวิธี เนี่ยะสัมผัสให้มันรู้ว่า จิตนั้นเป็นอย่างไร
มีสติเป็นอย่างไร ไม่มีสติเป็นอย่างไร จนมีความต้องการ ประสงค์ ที่จะเป็นผู้มีสติในทุกกรณี
ไม่ให้เกิดตัวกูของกู ก็จะเป็นผู้สมบูรณ์อยู่ด้วยปัญญา ทำอะไรถูกหมด
ไม่มีความทุกข์เลย มันมีผลดีอยู่ 2 อย่าง ให้สังเกตดู มันจะไม่มีความทุกข์เลย
แม้จะตายลงไปในเวลานั้น จะถูกฟันถูกฆ่าในขณะนั้น
ถ้าทำได้อย่างนี้มันจะไม่มีความทุกข์เลย
แม้จะเหน็ดเหนื่อยอย่างไรก็ไม่มีความทุกข์เลย แล้วมันก็ฉลาดในการที่จะต้องทำหน้าที่นั้นๆให้สำเร็จ
การงานตามธรรมดาก็ดี การต่อสู้การรบพุ่งกันก็ดี อะไรก็ดี มันจะทำได้ดี
พฤติมันมีสติสมบูรณ์
ถ้าพูดถึงการต่อสู้
มันก็ต้องรู้จักแยกว่าต่อสู้ด้วยจิตล้วนๆ จิตเต็มสำนึกด้วยสติปัญญาล้วนๆ
เหมือนที่พวกเซน พวกนักฟันดาบ พวกเซนเค้าฝึกกันนั้น มันก็มีผลดี
ทีนี้ต่อสู้ด้วยความโง่ด้วยความกลัว ด้วยความไม่มีสติ มันก็...มันก็ตายได้แหละ
ทีนี้ทำไมจึงต้องพูดเรื่องนี้
ก็เพื่อให้รู้จัก ในสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะรู้...จะศึกษาพุทธศาสนาได้
ก็เรื่องมีตัวกู หรือไม่มีตัวกู พูดๆมามากมายแล้วมันก็ รู้สึกว่ายังเข้าใจกันน้อยเต็มที
ก็ผู้พูดพูดไม่เป็นก็ได้ พูดไม่ครบถ้วนไม่ถูกต้องไม่ชัดเจนก็ได้ แต่คุณก็เห็นว่าผมได้พยายามอยู่เรื่อย
ไม่ได้ท้อถอย ที่จะพูดให้เข้าใจจนได้ เช่นอย่างที่กำลังพูดนี้ก็เหมือนกัน
ได้พูดเนื่องมาจากการบรรยายครั้งที่แล้วมา ว่า ศึกษาพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นพุทธศาสนาเถิด
อย่าได้ศึกษามันในฐานะที่เป็นปรัชญา เป็นอะไรเป็นต้นเลย
ถ้าจะศึกษาในลักษณะที่เป็นพุทธศาสนาแล้ว
ก็ต้องศึกษาในรูปแบบวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์ คือใช้สัมผัสลงไป อย่าใช้คำนวณ
อย่างนี้จึงมาบอกถึงเรื่องว่า จิตเป็นอย่างไร ให้รู้จักโดยการสัมผัสจิตนั้น
ว่าจิตมีตัวกูหรือจิตไม่มีตัวกู จิตปราศจากสติหรือว่าจิตมีสติ
อย่างได้พูดแล้วพูดอีกว่า อย่าหัวเราะกันนักเลย หรืออย่าฟุ้งซ่านนักเลย
อุตส่าห์ควบคุมสติศึกษาจิต ให้รู้จักจิตให้ดีขึ้นทุกทีๆ
ตลอดเวลาที่เราบวชมาเพียงระยะ 3 เดือน ถ้าตั้งใจจริงก็พอจะ รู้จักไอ้...สิ่งเหล่านี้ได้
ทีนี้จะพูดถึงความยากลำบากที่จะรู้จักสิ่งนี้กันบ้าง
มันมีปัญหาว่าเราทำไม่ได้ ไม่รู้จักก็มี ควบคุมไม่ได้ก็มี
ที่มันจะมีจิตสำนึกแล้วไปเป็น...เป็นไปในทางเป็นตัวกูของกูเสียเรื่อยมา
ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ ก็คิดดูสิ เป็นเวลากี่ปีแล้ว อย่างน้อยก็ 30-40 ปีล่ะ
ที่มันมาแต่อย่างนี้ทั้งนั้น ไม่มีใครเคยสอนในทางตรงกันข้าม
นับตั้งแต่เด็กคนนี้รู้จักเวทนาว่าเป็นสุขเป็นทุกข์
หรือยังไม่พูดได้ว่าสุขหรือทุกข์ แล้วรู้จักยึดถือไอ้สุขเวทนาลักษณะอย่างนั้น
ยึดถือทุกขเวทนาลักษณะอย่างนี้ ยึดถืออทุกขมสุขเวทนาในลักษณะอย่างโน้น มันเป็นอย่างนี้เรื่อยมา
ทุกครั้งทุกทีก็เกิดตัวกูของกูทุกที
ในเมื่ออารมณ์นั้นมันเป็นที่ตั้งแห่งตัวกูของกู ไอ้ที่มันเฉยก็เฉยไป ตายให้มันรู้
มันมีความหมายอะไร หูได้ยินเสียงไม่มีความอะไรก็ เฉยไป มันก็มากเหมือนกันนะ
แต่มันช่วยอะไรไม่ได้เลย มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ไอ้ส่วนดีที่ว่ามันเกิดความรู้สึกเป็นตัวกูของกู ที่มันให้โทษ
แล้วมันก็เพิ่มขึ้น-เพิ่มขึ้น เพิ่มด้วยอย่าให้เป็นอย่างนั้น
สะสมความเคยชินที่จะเป็นอย่างนั้น นี่ก็เรียกว่า อนุสัย
พอเราเกิดมารู้ความหมายอะไรดีแล้ว เด็กนั้นโตพอควรแล้วก็เริ่มสะสม อนุสัย คือการเฉยเคยชินที่จะเกิดตัวกูของกู
ในรูปแบบของโลภะบ้าง ของโทสะบ้าง ของโมหะบ้าง ความเคยชินอันนี้ ภาษาอีกคำหนึ่ง
ภาษาธรรมะอีกคำหนึ่งน่ะ ก็เรียกว่า วาสนา ที่ทำอะไรมาจนเคยชินโดยไม่ต้องสำนึก
ก็ทำได้ ก็เรียกว่า วาสนา ไอ้วาสนาที่ต้องการกันนักนั่นแหละ ระวังให้ดีเถอะ
แต่คำนี้มีความหมายเป็น 2 อย่างอยู่ ไอ วาสนานั้นทำให้เราละอะไรไม่ได้ เมื่อเรามีวาสนาไปในทางที่เป็นอันตราย
ขี้รักขี้โกรธขี้เกลียดขี้กลัว หรือพูดหยาบพูด...เอะอะมะเทิ่งขี้กระโดดโลดเต้นอะไรก็ตาม
เป็นนิสัยของคนๆนั้นไป ก็เรียกว่าวาสนา ก็ละยากที่สุด พระอรหันต์ก็ยังละวาสนาบางอย่างไม่ได้
ก็มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะละวาสนาเด็ดขาดด้วยประการทั้งปวง ทีนี้คนอย่างเราจะไปละวาสนาอย่างนั้น
มัน...ยาก ให้รู้ไว้เสียด้วยว่า ไอ้ความรู้สึกประเภทตัวกูของกูเนี่ยะ
มันเกิดอยู่จนชินเป็นนิสัย มาตั้งแต่...ตั้งแต่เด็กๆแล้ว ก็ละยาก นี่คือปัญหาละ
ปัญหาว่าสิ่งนี้มันละยาก ครั้นจะตั้งใจว่าจะละก็ยังละยาก
ตั้งใจจะฝึกและปฏิบัติด้วยละ มันก็ยังปฏิบัติยากหรือฝึกยาก
เพราะทางฝ่ายกิเลสนั้นมัน มันหนาแน่น มันเข้มแข็ง มันฝังอย่างที่เรียกว่า แน่นแฟ้น
นี้ยากที่เราจะมีสติรู้สึกตัว มีแต่จะปล่อยเลยไปตามธรรมชาติ ด้วยความไม่มีสติ
ไม่รู้สึกตัว ทุกคนต้องสัมผัส ความจริงอันนี้เสียก่อน ขอบอกให้ทุกคนเนี่ยะ
สัมผัสความจริงอันนี้เสียก่อน ว่าวาสนาเรามีอย่างไร ความเคยชินแต่ที่จะมีตัวกูของกู
เดี๋ยวอย่างนั้นเดี๋ยวอย่างนี้
คิดอย่างนั้น เป็นความเคยชินของปุถุชน-ปุถุชน ไอ้วาสนาที่มันหนา-หนา
เรียกว่าปุถุชน ปุถุชนก็คนหนา หนาด้วยอะไร? หนาด้วยวาสนาแห่งปุถุชน
ฉะนั้นพยายามทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ไอ้วาสนาอย่างปุถุชนนั้นมันจะได้ละไป-ละไป
เรียกภาษาธรรมดาในพระบาลีก็เรียกว่า อนุสัย คำว่าวาสนานี้ผมคิดว่าเป็นคำนอกบาลี
นอกพระไตรปิฎก เป็นภาษาชาวบ้าน
ครั้นเมื่อเราชินมาแต่ความที่จะรัก
จะโลภ จะได้นี้ ก็มาหัดกันเสียใหม่ บังคับได้ทีหนึ่ง เอ้า!ครั้งหนึ่งทีหนึ่งแล้ววิเศษที่สุดแล้ว คือทางโน้นจะกร่อนเข้าไปนิดหนึง
ในเมื่อทางนี้มันเกิดขึ้น ฉะนั้นเราชนะความรักหรือความโลภไดทีหนึ่งแล้ว
อนุสัยทางฝ่ายที่รักและโลภมันจะกร่อนลงไปนิดหนึ่ง เพราะทางนี้มันเกิดขึ้น
ทีนี้ก็เราก็หัดที่จะรู้สึกนอกเสียดายได้ ทุกที-ทุกที
ที่จะมันจะมาให้รักหรือให้โลภนี่ ก็มาเพิ่มฝ่ายถอนอนุสัย
คือปัญญาที่จะถอนอนุสัยมันก็มากขึ้น-มากขึ้น ทางโน้นมันก็ลดลง-ลดลง
คุณอาจจะคิดว่าเข้าใจไม่ได้
ทีนี้ต้องคำนวณ ผมว่าอย่าดีกว่า อย่าคำนวณเลย พยายามศึกษาสังเกตเถอะว่า
ถ้าเราชนะความรักได้ทีหนึ่งน่ะ ไอ้นิสัยที่รักอย่างโง่ๆมันจะลดลงนิดหนึ่ง
คือลดกันอยู่บ่อยๆ หรือว่าเราชนะความโกรธได้ทีหนึ่ง
ไอ้นิสัยขี้โกรธนั้นมันจะลดลงไปนิดหนึ่ง ลดอยู่เรื่อยไป
ทีนี้โมหะหลงใหลมัวเมาสงสัยเป็นประการ เป็นเบื้องหน้าก็จะลดลงไป จะไม่ชอบสงสัยอะไร
ก็ไม่เที่ยวไปทึ่งในสิ่งนั้นในสิ่งนี้อย่างโง่เขลา เหมือนไอ้คนขี้ทึ่ง
คนโง่ด้วยโมหะ ไอ้โมหะนี้มันก็จะค่อยละลงไป ถ้าทำอยู่อย่างนี้ไม่เท่าไหร่
กิเลสก็จะสิ้นได้ เพราะมันวนลดลงไป-ลดลงไป-ลดลงไป ควรจะสัมผัสดู
แล้วก็สัมผัสลงไปถึงว่า เราได้ทำให้มันลดลงไปหรือเปล่า?
ปีหนึ่งแล้ว-ปีหนึ่งเล่านี่ เราได้ทำให้มันลดลงไปหรือเปล่า? อย่าคำนวณเลย สัมผัสดูจริงๆ
วัดดูจริงๆ ปัญหายากลำบากอยู่ที่ว่า ความเคยชินเป็นนิสัย มันฝังแน่นอยู่
ต้องขูดเกลามันบางลง
ทีนี้จะฝึกเพื่อกำจัดไอ้พฤติของจิตฝ่ายมีตัวกูของกูนั้น
ก็ตามหลักพระศาสนาเอง ทำศีลทำสมาธิทำปัญญา มากมายหลายรูปแบบหลายสิบรูปแบบ
จนฝั่นเฝือ ทีนี้ผมจะไม่พูดเรื่องนั้นให้มัน...มันมากเรื่อง
จะพูดตัดลัดเอามาที่ว่า เราจะควบคุมไอ้พฤติของจิตประเภทมีตัวกูของกูเนี่ยะ
กันอย่างไร? โดยตรงลงไปบนตัวมันเลย จะพูดเป็นสัก 3 ระดับ...3 ระดับ
คือระดับที่ยังดีอยู่ ระดับที่ดีมาก ระดับที่ดีเลิศ... 3 ระดับอย่างนี้นะ
ตามธรรมดาสามัญระดับที่ว่าพอใช้ได้
หรือยังดีอยู่นั่นก็ คือให้เรียก สมมติเรียกอย่างที่เขาเรียกกัน ว่านับสิบก่อน นับสิบเสียก่อน
คำนี้สากลมาก ผมอ่านพบข้อความเป็นสากลจะรู้จักกันทั่งโลก นัยสิบเสียก่อน
มาจากทางฝรั่ง ไม่ใช่หมายความว่าให้มานั่งนับสิบอยู่ หรือจะนั่งนับสิบอยู่ก็ตามใจ
ได้เหมือนกัน แต่ว่ายั้งเป็นระยะหนึ่ง อย่าไปทำอะไรเข้า ด้วยการคิดการพูดเข้า
นับสิบก่อน พอมีอะไรเข้ามากระทบปั๊บ หัดนิสัยหยุด-หยุดชะงัก ตั้งตัว
ให้ถูกต้องเสียก่อน แล้วจึงคิดหรือตัดสินใจ หรือพูดหรือทำก็ตาม
ต้องดำรงสติให้ได้เสียก่อน ในกรณีของตัวกูของกูนี่ ไม่ใช่เหยียบไฟแล้วกระโดดสูง
นั้นเป็นเรื่องไร้สำนึก มันไปของมันเองได้ ไม่ใช่เรื่องที่กำลังพูดนี้
ไอ้ที่กำลังพูดนี้ มีอะไรมากระทบตาหูจมูกลิ้นกายนี่ แล้วก็ต้องไม่กระโดดสูง ไปรักไปโกรธไปเกลียดน่ะ
จะต้องหยุดยั้งรวบรวมสติ ให้มีสติก่อน คือรู้สึกตัวเสียก่อน ตั้งสติได้ก่อน
แล้วจึงจะตัดสินใจลงไป แต่มันยากตรงที่ว่า เรามันเคยชินแต่เรื่องเกิดตัวกูของกู
อย่างเร็วเป็นสายฟ้าแลบ อย่างชาหนุ่มผู้หญิงเดินมาน้ พอเห็นแว่บเข้าสวย
มันก็แปร๊บไปเป็นเรื่องของกิเลส มันเป็นเหมือนกับสายฟ้าแลบ
นี้ชายหนุ่มชนิดนี้จะต้องทำอย่างไร? ถ้าอยากปล่อยไปอย่างนั้นก็ทำใจ ก็ได้เหมือนกัน
ถ้าเค้าจะมาหัดตามแบบของพระพุทธเจ้า เค้าก็หัดด้วยหลักที่ว่า
เมื่อตาเห็นรูปหูฟังเสียงจมูกได้กลิ่นอะไรก็ตามนี้ เค้าจะต้องเป็นตัวของตัวเองก่อน
มีสติสัมปชัญญะก่อน แล้วถึงก็จะปล่อยความคิดมันออกไปว่าจะทำอย่างไร
ไม่ได้หมายความว่าให้ห้ามความคิดหมด แล้วก็ห้ามไม่ได้รู้จักอะไรว่าสวยอะไรว่าไม่สวย
เป็นต้น น่ารักหรือไม่น่ารัก ก็รู้รู้สึกได้ แต่มันรู้สึกด้วยสติว่า โอ้ อย่างนี้เค้าเรียกว่าน่ารัก
หรืออย่างนี้เค้าเรียกน่าเกลียด อย่างนี้เค้าเรียกว่าหอม อย่างนี้ว่าเหม็น
อย่างนี้ก้ไพเราะ อย่างนี้ก็หนวกหู มันรู้สึกได้ คนมีสตินั้น
รู้สึกได้นี้เป็นอย่างนี้ แล้วควบคุมได้ พฤติของจิตไม่ไปตามแบบของไอ้เวทนา ตัณหา
อุปาทาน ไม่เกิดตัวกู-ของกู แล้วเค้าก็เกิดความรู้ที่ถุกต้องขึ้นมาแทน ว่าเราจะทำอย่างไร
กับสิ่งที่มากระทบนี้ สวยหรือไม่สวย เพราะหรือไม่เพราะ หอมหรือเหม็นก็ตาม
เราจะทำอย่างไร ไม่ต้องทำอย่างไรก็ได้ หรือทำอย่างไรก็ตาม
ทำด้วยจิตปกติไม่ต้องเป็น กิเลสตัรหากลัดกลุ้มอยู่เรื่อยๆเป็นตัวกู-ของกู
ทีนี้ก็ฝึกอย่างที่เรียกว่าวิปัสนา
หรือกัมมัฏฐานน่ะมันฝึกอย่างลึกซึ้ง ฝึกในรูปแบบใดแบบหนึ่งก็ได้
แต่ให้มันมีผลออกมาว่า พฤติของจิตจะไม่เป็นไปโดยปราศจากสติ
โดยจิตจะเคลื่อนไปโดยปราศจากสตินั้นไม่ได้ ฉะนั้นถ้าสมมติว่า
จะฝึกย่างหนอเหยียบหนอยกหนอก็ตามว่า มันก็ต้องมีสติก่อนที่จะย่างหรือเหยียบหรือยก
หรือกินหรือดื่มหรืออะไรก็ตาม และเค้าฝึกให้มีสติก่อนแต่ที่จะทำอย่างนั้นหรือพูดอย่างนั้น
หรือแม้แต่จะคิดจะตัดสินใจ ก็ต้องมีสติก่อน พอได้หลักลงไปว่า
มีสติก่อนจะทำจะพูดจะคิด เราก็รอดตัวไป มันรอดตัวไปได้ เรียกว่านับสิบก่อนเนี่ยะ
เป็นสำหรับ...ไปเป็นบทเรียนสำหรับเด็กๆเลย ไม่รู้ธรรมะก็ได้
ไม่เกี่ยวกับศาสนาไหนก็ได้ ให้หัดไว้เป็นหลักทั่วไป สำหรับคนทุกคนนับตั้งแต่เด็กๆมา
สมัยผมมีเรียนหนังสือ
นิทานสุภาษิต นับสิบก่อนนี้ สมัยคุณอาจจะไม่มีแล้วก็ได้ หนังสือเหล่านี้
เรื่องเด็กคนหนึ่งมันขี้มักโกรธขี้มักโมโห
พ่อและแม่ก็สอนว่าก่อนจะโมโหออกไปให้นับสิบก่อน แล้ววันนั้นเค้าไปทำอะไรแก่พี่ชายน้องชายเค้าพลาดไป
ก็นิ่งอึ้งอยู่ นับสินก่อนอยู่ในใจ คนที่ยืนอยู่ด้วยมันก็สงสัย นี้ทำไมล่ะ?
ก็ถามดู ก็นับสิบก่อนดั่งที่พ่อเค้าสั่งไว้ ก่อนฉันจะพูดอะไรออกไป ว่าเดี่ยวนี้ฉันเกลียดแกเต็มทีแล้ว
ทำอะไรหกทำอะไรทำนองนี้ เพราะเด็กเล็กๆก็ฝึกได้ โดยบทเรียนที่ว่า นับสิบก่อน
คนโตก็ได้คนแก่ก็ได้คนเฒ่าก็ได้ มีสติเสียก่อน แต่จะพูดอะไรหรือจะทำอะไรคิดอะไร
จะตัดสินใจอะไร มีสติเสียก่อน แต่มันช้าถึงขนาดนับสิบก่อน ก็เรียกว่า ก็ยังดีอยู่
พอใช้ได้หรือยังดีอยู่ นี่ชั้นที่ 1 อันดับ 1 ใช้ได้แม้แต่เด้กๆชาวบ้านผู้หญิงผู้ชายชาวไร่ชาวนาอะไรก็ตาม
ทีนี้ที่ว่าสูงขึ้นมาถึงขนาดจะเรียกว่า
ดีมาก นี้ก็จะทำได้
มีสติก่อน...ที่จะมีพฤติของจิต แต่ผมจะใช้คำว่ามี สติก่อนทำกรรม
กรรม...ก-ร-ร-ม มีสติก่อนทำกรรม ทีนี้กรรมเนี่ยะ คือกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
นี้คุณก็พอจะเข้าใจได้มั๊งว่า ไอ้กายกรรมกับวจีกรรมเนี่ยะมันออกมาจากมโนกรรม
มโนกรรมมันอยู่ลึกข้างใน พอรู้จักว่าคิดมันก็เป็นมโนกรรม จิตคิดว่าจะทำอะไรลงไปด้วยเจตนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
อย่างนี้เรียกว่ามโนกรรม แม้มโนกรรมนี้ก็ต้องมีสติเสียก่อน
ที่มโนกรรมทำให้ออกมาเป็นกายกรรมวจีกรรมข้างนอกนี่ ยังช้าไปอีก
แม้ถึงอย่างนั้นยังต้องมีสติเสียก่อน ที่จะประกอบกายกรรม หรือประกอบวจีกรรม
อย่างใดอย่างหนึ่งลงไป จะให้ดีละก็ ถึงกับ มโนกรรมข้างในเนี่ยะ เรามีสติเสียก่อน
ที่จะเป็นมโนกรรมออกมา แล้วเป็นกายกรรมวจีกรรมออกมาข้างนอกอีกทีหนึ่ง อย่างนี้ว่าดีมาก
ให้คะแนนว่าดีมาก
แล้วดีเลิศน่ะเป็นยังไง?
มีสติในขณะที่สัมผัสเรียกว่าดีเลิศ ตาถึงกันเข้ากับรูป
จักษุคือตาเห็นกันเข้ากับรูปะ คือ รูป ก็เกิดจักษุวิญญาณขึ้น 3 ประการนี้
มีมาพร้อมกัน เรียกว่า สังคติ มาพร้อมกันนี้ เรียกว่า ผัสสะ
ยังไม่เกิดอะไรตอนนี้มีแต่ ผัสสะ ในขณะผัสสะนี้ ให้สติมา ให้สติพลุ้งขึ้นมา
ควบคุมผัสสะ ผัสสะนี้ก็ประกอบอยู่ด้วย สติ หรือ ปัญญา หรือ วิชชา
นี่รับประกันได้แน่ ว่ามันจะไม่เกิดเวทนาโง่ เกิดตัณหาโง่ ซึ่งเป็นมโนกรรม พอเป็นเวทนาแล้วมันจะเกิดตัณหา
ตัณหานั่นแหละคือมโนกรรม ที่เลวร้ายที่ผิด
เราไม่รอให้ถึงมโนกรรมนู้นน่ะ เราจะมีสติเสียตั้งแต่ในขณะสัมผัสนี้
อย่างนี้เรียกว่าดีเลิศ ถ้าเราไปถึงขั้นตัณหา ขั้นไอ้...มโนกรรมนู้นแล้วก็ยังดี
ดีมาก ยังไม่เลิศ แต่ในระดับทั่วไป นับสิบเสียก่อนทำ
มีสติยังพอทันแก่เรื่องแก่ราวนี้ก็ตามเถอะ แม้จะโกรธเสียแล้วก็ตาม แต่เกิดคิดได้ นับสิบอยู่นี่ เป็นไปอย่าง ยังดีอยู่
ใช้คำว่า ยังดีอยู่ หรือพอใช้ได้
ดังนั้นมันจึงมี
3 ระดับ ตัวยังดีอยู่ แล้วก็ดีมาก แล้วก็ดีเลิศ ชั้นดีเลิศมันย่อมทำยากเป็นธรรมดา
อันนนี้เป็นที่รู้กันอยู่ มันดีมากก็ทำยาก ถ้าดีเลิศก็ยิ่งทำยากไปอีก
ต้องฝึกหัดโดยตรง จึงจะเป็นชั้นดีเลิศ แม้แต่ดีมากก็ยังยากเลย เอาเพียงว่า
นับสิบก่อน ให้ได้ก็ยังดีอยู่ จึงหวังว่าที่เคยบวชเคยเรียนกันแล้วอย่างนี้ทุกคน
ทุกองค์เนี่ยะ คงจะอย่างน้อยที่สุด ถือเอาไอ้ นับสิบก่อน นี้ให้ได้
ก่อนที่จะทำ ละโกรธเกลียดกลัวอะไรลงไป
จะพูดออกมาด้วยกายกรรมวจีกรรม ให้นับสิบก่อน ยั้งไว้ก่อน ฉะนั้นจึงไม่พูดคำหยาบ
หรือว่าจึงไม่ไปฆ่าเขาตีเขาด่าเขาไปชกต่อยเขา
3
วิธีนี้เป็นการควบคุม พฤติจิตเต็มสำนึก ที่มีตัวกู-ของกู หรือที่จะเกิดตัวกู-ของกู
เอาไว้ให้ได้ สรุปคำถามสั้นๆว่า ควบคุมไว้ได้ด้วยอะไร?
ก็ควบคุมไว้ได้ด้วย สติ แล้วก็มีจิตเต็มสำนึกที่ประกอบอยู่ด้วยสติ ส่วนจิตสำนึกที่ไม่มีปัญหา
ก็ไม่...ไม่ต้องทำอย่างนี้ มีเพียงสติธรรมดาสามัญสมประดี ตามสามัญก็ได้ ก็ทำได้
เช่นว่าคิดเลขอยู่ มีสมประดีคุมคิดเลขไป ทำวัตรสวดมนต์อยู่ก็มีสมประดีควบคุมให้ทำวัตรสวดมนต์ไป
เป็นสติชนิดสมประดีตามธรรมดา
ในที่สุดเรื่องมันก็เหลือดนิดเดียวว่า
พฤติจิตเต็มสำนึกนั้นมีอยู่ 2 ชนิด เกิดตัวกูก็มี ไม่เกิดตัวกูก็มี
ไม่เกิดตัวกูก้แล้วไป ไม่มัปัญหาอะไร เกิดตัวกูเป็นอันตรายเนี่ยะ
เป้นตกนรกทั้งเป็น ก็สัมผัสให้รู้จักได้ และควบคุมไว้ให้ได้ นี้หัวใจพุทธศาสนา
แต่มาพูดในรูปแบบที่ฟังง่ายๆสำหรับคนธรรมดา
ควบคุมตัวกู-ของกูได้นี้ก็เข้าไปตั้งค่อนพุทธศาสนาแล้ว ถ้าทำลายตัวกู-ของกูได้หมด
ก็เป็นพุทธศาสนาเต็มที่เต็มเปี่ยมแล้ว มีสติก็ควบคุมได้
แล้วก็ควบคุมอยู่เรื่อยมันก็เหือดแห้งไปเอง จนไม่มีเหลือสำหรับจะเกิดอีก
ฉะนั้นขอให้ทุกองค์ๆรู้จัก
จิตเต็มสำนึก ที่มีพฤติอยู่ ว่ามันมีอยู่ 2 ชนิดอย่างนี้
รู้จักให้ดีและควบคุมไว้ได้ เรื่องก็จบกัน ไปสังเกตศึกษาดูให้ดีเถิด
ทุกๆเรื่องมันจะมารวมอยู่ที่นี้ เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา
หรือว่าเรื่องทุกอย่างที่ว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนา
ในที่สุดจะวกมาหาเรื่องมีสติ ควบคุมการเกิดขึ้นแห่งตัณหา อุปาทาน คือตัวกู-ของกู
แต่บางเรื่องหรือโดยมาก เค้าไม่ได้อธิบายอย่างนี้ เค้าไม่ได้อธิบายกันไว้อย่างนี้ เค้าบอกให้ทำไปก็แล้วกัน
ถ้าเราทำไปตามนั้นถูกวิธี มันก็มีผลอย่างนี้เหมือนกันแหละ
ฉะนั้นข้อวัตรปฏิบัติทั้งหลายที่มีไว้สำหรับภิกษุ สามเณรจะพึงกระทำอย่างไร
เค้าก็ทำไปได้ แล้วในที่สุดมันนจะวกมาหาอันนี้ มารวมอยู่ที่ขจัดตัวกู-ของกูเสียได้
เราใช้คำว่าตัวกู-ของกูเพื่อมันจำง่าย ทีนี้บาลีเค้าใช้คำว่า ตน หรือของตน
ภาษาบาลีภาษาอารยันทั้งหลาย มันภาษาที่เค้าไม่มีระดับแห่งความหมาย
อย่างภาษาอังกฤษเนี่ยะ ก็มีคำว่า I หรือ you
2 คำนี้ ใช้ได้ทุกความหมายที่เป็น มิตร เป็นเพื่อนรักก็ได้
ธรรมดาก็ได้ โกรธเกลียดมันก็ได้นี่ มันไม่มีคำอื่นพูด สู้ภาษาไทยเราไม่ได้ มีคำว่า
"กู" ว่า "มึง” ว่า “คุณ”
ว่า “ฉัน” ว่า...หลายระดับแสดงความหมายได้ในตัวว่า รักหรือไม่รัก
หรือว่าโกรธจัดเต็มที่แล้ว แล้วเป็นเรื่องของกิเลสมันก็ เราก็พูดกันว่า “ตัวกู-ของกู”
เพราะฉะนั้นผมจึงเอาคำคู่นี้มาใช้ ในการอธิบายธรรมะ เรียกว่า “ตัวกู-ของกู” ถ้าว่าเป็น”ตัวฉัน”
เป็นอะไรไม่แน่ว่ายังมีกิเลสหรือมีกิเลส แต่ภาษาบาลีใช้คำกลางๆว่า ตัวตน หรือ
ของตน ถ้าเป็นคำกลางที่สุด ยังไม่เกิดความรู้สึกมั่นหมายเป็นตัวตนของตน
ที่เฉพาะชัดลงไปว่า อะหัง มะมัง มันไม่มีความหมายว่า ว่ากิเลสหรือไม่กิเลส
มันคำกลางๆนี้ แต่เค้าก็พอจะเข้าใจกันได้ว่า เป็นคำว่ากิเลส อะหังการ
คือตัวกู มะมังการ น่ะของกู แต่โดยเนื้อแท้แล้วคำว่า อะหัง หรือ มะมัง
นี้มันไม่มีความหมายชัดอย่างนั้นน่ะ มันเป็นกลางๆ เป็นภาษาฝ่ายตะวันตกด้วยกัน
มันก็มีคำอย่างนี้ คำเดียวใช้ได้ทั้ง ทั้งโกรธหรือไม่โกรธ นี้แหละ ซวย
ทีนี้เราจะพูดให้มันชัด
ไม่ต้องกำกวมว่า พฤติของจิตเต็มสำนึกที่ประกอบอยู่ด้วยตัวกู-ของกูนั่นน่ะ คือนรก
หรือไฟ หรืออะไรแล้วแต่จะคุณจะเรียก หรือชอบเรียก พอมีขึ้นก็เผาให้ร้อน เหมือนนรก
นรกแห่งตัวกู ไม่มีนรกอะไรจะยิ่งไปกว่า เอ้า!
หมดเวลาที่จะพูด ทีนี้ ถามปัญหาล่ะ ใครมีปัญหาอะไรมั่ง?
กระผมขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า
ตามที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ผัสสะที่ไม่มีสตินั้น
ย่อมจะเกิดตัวตนขึ้นมาได้ กระผมมีความเข้าใจว่า
จิตใดๆก็ตามที่กระทบผัสสะภายนอกแล้ว เกิดปรุงแต่งเป็นตัวตนขึ้นอย่างเต็มที่
หรืออย่างสมบูรณ์แบบ จิตนั้นๆย่อมประกอบอยู่ด้วยสติ เพราะว่าถ้าไม่มีสติแล้ว
เขาจะเอาอะไรมาเป็นเครื่องระลึกในการปรุงแต่งนั้นๆครับ?
นั่นเค้าเรียกว่า
สมประดีปกติของสิ่งที่มีชีวิต ที่เค้ายังมีตามองดูรูปได้ หูฟังเสียงได้ นี้เป็นคนปกติทั้งหลายไม่เมาไม่บ้าไม่หลับไม่สลบอย่างเนี่ยะ
เค้าเรียกว่า มีสมประดี สัมประติก็คือสติเหมือนกัน แต่ไม่ใช่สติในความหมายที่พูด
สติในความหมายที่พูดนี้ต้องให้ถือว่าเป็นคำบัญญัติเฉพาะ
ว่าต้องฝึกอย่างนั้นแล้วจึงจะมีสติอย่างนี้
นี้คนธรรมดาสามัญแม้แต่เด็กๆก็ต้องถือว่ามันมีสติ
มันเดินได้มันไม่หกล้มมันไม่สะดุดใครมันไม่โดนใครนี้
มันก็มีสติอย่างชนิด...อย่างที่มันมีตามธรรมชาติ ก็ไม่ได้เรียกว่าสติอะไรนัก
ยังมีสมประดีอยู่ ไม่บ้าไม่เมาไม่หลับไม่สลบ นี้เราก็สามารถจะมีตาที่เห็นรูป
ด้วยสมประดีชนิดนี้ ที่มีการสัมผัสกันแล้ว ในขณะที่สัมผัสนั้น ก็ยังไม่มีสติอย่างที่ว่า
สติยังไม่รู้พุทธศาสนา สัมผัสนั้นก็ขาดสติ สัมผัสที่ขาดสติก็คือสัมผัสที่โง่
สัมผัสที่โง่ให้เวทนาที่โง่ เวทนาสำหรับจะให้เกิดตัณหาคือความอยากที่โง่
มันมีกว่าโง่กันตามลำดับ สัมผัสที่ปราศจากสติตามความหมายของพุทธศาสนา เรียกว่า สัมผัสอวิชชา
– สัมผัสโง่ สัมผัสโง่ให้เวทนาโง่ เวทนาโง่ให้ตัณหาคือความต้องการที่โง่
เมื่อมีอุปาทานยึดมั่นถือมั่นอย่างโง่ มันก็ได้มีภพมีชาติอย่างโง่ๆ
แล้วก็ได้เป็นทุกข์ที่นั่นทันทีเดี๋ยวนั้นเอง ก็เรียกว่า
อวิชชาเข้าไปเจืออยู่ตลอดสาย พระพุทธเจ้านั้นตรัสไว้ไพเราะที่ว่า สัพเพ สุธัมเม สุ
อวิชชา อนุปฏิตา – วิชชานั้นตกไปในธรรมทั้งหลายทั้งปวง ก็ย้อนกลับมาเป็นว่า ตานั้นมันก็โง่
ไอ้ตาของคนนั้นน่ะคือตาโง่ ไม่สัมผัส ถ้าสัมผัส-โง่ เวทนา-โง่ ตัณหา-โง่
อุปาทาน-โง่ อะไรโง่ๆๆๆ โง่หมด
ก็อย่าลืมว่า
ผมได้บอกหลายหนแล้วนะว่า ไอ้ที่เราเรียนอะไรไม่รู้ไม่เข้าใจไม่ค่อยได้
ก็เพราะคำพูดมันใม่พอ คำพูดที่ใช้พูดนี้มันไม่พอ ความหมายไม่ตรงกัน
ความหมายถือเอากันคนละอย่าง เช่นผมว่ามีสติ หมายถึงสติอย่างธรรมะ
แล้วคุณก็ไปสติแบบลูกเด็กๆ ที่เป็นสมประดีธรรมดา น่ะ มันก็เลยทำให้เข้าใจกันไม่ได้
ใช้คำว่าสติเหมือนกัน สมประดีอย่างนี้สัตว์เดียรฉานมันก็มี แต่ว่าจะมีสติระลึกได้สัมปชัญญะความรู้ตัวนั้นมันยังไม่มี
เอ้า!มีปัญหาอะไรอีก?
กระผมขอกราบเรียนถามอาจารย์ว่า
การจัดการในการควบคุม ทำลาย ในพฤติของจิตที่เป็นสำนึก ไม่ให้มีความ มีตัวตน
ในเด็กกับผู้มีอายุ 2 คน...2 พวกนี้ จะจัดการได้ต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร?
ก็มันแน่ๆ
ในการที่จะฝึกฝนควบคุมตัวกู-ของกูนี้ มันไม่เหมือนกันหรอก
ไอ้เด็กที่เพิ่งเกิดมาหรือเด็กที่ยังรู้จักโลกน้อย รู้จักชีวิตน้อย
กับไอ้คนที่อายุมากแล้ว มันต่างกัน แต่ไม่ได้พูดว่าไอ้ใครจะได้เปรียบกว่ากันนะ
คุณไปสัมผัสเอาเองอีกเถอะ ไอ้เด็กตัวเล็กๆเนี่ยะมันก็ยังมี
ตัวกู-ของกูที่ยังไม่ลงรากมากนัก ไอ้คนแก่ๆนี้ก็มีตัวกู-ของกูที่ลงรากแน่นแฟ้นลึก
มันก็ถอนยาก ถ้าเราทำเด็กๆให้เค้ามีความรู้เรื่องนี้ได้ ผมเข้าใจว่าคงจะง่ายกว่า
หรือเร็วกว่าไอ้คนแก่ๆที่หนังเหนียว มันมีคำประหลาดๆในพระบาลีที่ว่า ไอ้ทารกนั้นยังไม่มีความรู้เรื่องปัญญา
ไม่รู้เจโตวิมุติ อย่างนี้ก็มี ...หมายความว่า เจโตวิมุติปัญญาวิมุติ เป็นสิ่งที่เด็กๆก็มีได้
ถ้าถือตามพระบาลี เพราะเด็กคนนั้นไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุติปัญญาวิมุติแล้ว
ก็จึงยินดี แล้วก็เกิดอุปาทานยึดมั่นเป็นตัวตน เป็นของตน เพิ่มขึ้น-เพิ่มขึ้น
ถ้าเราจะมีวัฒนธรรมระเบียบคำสอน
ฝึกอะไรให้เด็กๆเค้ารู้จักควบคุมความรู้สึกประเภทนี้ เด็กคงจะละได้ง่ายกว่า เพราะมันยังอ่อนอยู่
โลกนี้คงจะดีมากทีเดียว เดี๋ยวนี้ไม่มี
แล้วก็ปล่อยเด็กเจริญด้วยความรู้สึกประเภทตัวกู-ของกูเรื่อยมา จนกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงมาคิดละกัน
ถ้าคุณสนใจคุณก็ไปทดสอบเอง ลองให้เด็กๆเค้ารู้จักไอ้เรื่องนี้
บางทีเค้าก็จะละได้เร็ว จะเป็นเด็กที่ดีได้ ต่างกันแน่
อันไหนจะได้เปรียบกว่ากันเสียเปรียบกว่ากัน ไปวินิจฉัยดูใหม่ ผู้บรรยายอาจจะได้เปรียบเพราะมีสติปัญญา
เมื่อจะถอนกันจริงๆ ก็มีสติปัญญาที่จะถอนมากกว่าเด็ก
แต่เรื่องของเด็กนี้ถอนง่ายกว่า เลยตอบไม่ได้โดยส่วนเดียวว่าเป็นยังไง
ต้องเอาไปสัมผัสดูต่อไปอีก ก็จะพบความจริงนี้ด้วยตนเอง อ้าว!มีปัญหาอะไรอีก? ใครมีปัญหาอะไรอีก?
ขอกราบเรียนถามว่า
ตามที่เขากล่าวกันว่าโมหะเป็นไฟนั้น เป็นไฟอย่างไร?
หึหึหึ...ราคัคคินา
โทสัสคินา โมหะคินา พระพุทธเจ้าตรัสนะ ไม่ใช่เขานะ ราคะก็เป็นไฟ โมสะก็เป็นไฟ
โมหะก็เป็นไฟ ความรักหรือความโลภเกิดขึ้นแล้วร้อน
ความโกรธคือความประทุษร้ายเกิดขึ้นแล้วก็ร้อน ทีนี้ความโง่ความหลงใหลความสงสัย ความหยุดความวิตกกังวล
ไม่ได้นี้ก็ร้อน เป็นไฟที่ไม่โพลงๆ เป็นไฟที่เห็นยาก เข้าใจยาก
ไม่แสดงการเผาเหมือนกับราคะหรือโทสะ แต่ก็มีการเผาแน่ เผาให้มันเกิดความทุกข์
เมื่อเราสงสัยอะไรมากๆ ก็พอจะรู้สึกได้ ไม่มีความสุขเลย
ความทึ่งความสนใจในอะไรที่มันมากไป พวก excite – excitation อะไรต่างๆเหล่านี้มันก็คือ ไฟโมหะ เราสบายเมื่อไหร่ล่ะ? เมื่อตื่นเต้น หรือเมื่อสงสัย
หรือเมื่อกลัว หรือเมื่ออะไรก็ตาม เป็นทุกข์นะ
ผมถามคุณมั่งก็ได้
ว่าเมื่อกลัวผีอยู่น่ะ เป็นโลภะหรือโทสะหรือโมหะ เป็นไปครองตัวดู สนุกหรือไม่สนุก นี่จะรู้จักไฟโมหะ
ก็รู้ไปเสียด้วยถึงคำว่า จักขุงอาทิตตัง โสตังอาทิตตัง... - ที่ว่าตาก็ลุกไหม้
หูก็ลุกไหม้ จมูกก็ลุกไหม้ ลิ้นก็ลุกไหม้ กายก็ลุกไหม้ ใจก็ลุกไหม้ ลุกไหม้ด้วยอะไร?
ลุกไหม้ด้วยไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ นี่ที่เรียกว่า อาทิตตะปริยายสูตร
สูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นสูตรที่ 3 หลังจากการตรัสรู้
แม้แต่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏทัพพะนี้ก็ลุกไหม้ แล้วก็มีราคะโทสะเข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่จิตที่มันได้ไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นเลย ลุกไหม้ไปหมด
จักขุวิญญาณโสตะวิญญาณฆานะวิญญาณก็ลุกไหม้ สัมผัสก็ลุกไหม้ เวทนาก็ลุกไหม้
ตัณหาก็ลุกไหม้ ถ้าลงอวิชชาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว มันจะเป็นไฟ
มันจะลุกไหม้ มีปัญหาอะไรอีก?
ผมจะบอกว่าแม้เรียนนักธรรมเอกแล้ว
ก็ยังเป็นเด็กอมมือ ในมาตรฐานของ ความรู้ทางธรรมะ ของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่จริง
ไอ้ที่คุณเรียนอย่างขนาดเป็นนักธรรมเอกแล้วนั่นน่ะ มันยังเหมือนกับเด็กอมมือ
สำหรับไอ้ที่ไม่รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าแบบเต็มมาตรฐาน
ก็อย่าเพ่อ...อย่าเพ่ออะไร...อย่าเพ่ออวดดี เมื่อกี้เป็นเปรียญ 9
ประโยคแล้วมันก็ยังมีความรู้เหมือนกับเด็กอมมือ
ที่จะไปรู้ไอ้ความจริงของธรรมะเต็มมาตรฐานของพระพุทธเจ้า
เพราะว่าเรียนกันมาไอ้แต่การท่องจำ หรือว่าการจำไว้ตามกรอบรูปแบบที่สอนกันผิดก็มีนะ
ผิดก็มีนะ ขอให้เข้าใจ ไม่ใช่ว่าถูกต้องแล้วยังไม่สมบูรณ์ ที่ผิดก็มี
ก็ไม่รู้จะโทษใคร เค้าทำนี้ก็เพียงว่า ให้เป็นพื้นฐานที่ต้องเรียนกันก่อน
แล้วก็ไปศึกษาต่อเอาเอง มันเข้ารูปเข้ารอยที่ผิดมันก็เลยเลิกเสีย ที่ถูกไม่ถูกต่อไปจนกว่าจะรู้จริง
ถ้าขืนเรียนกันไปในนั้นหนักเข้าๆ มันก็จะเป็นรูปแบบคำนวณหมด คาดคะเน
คำนวณตามเหตุผลเป็นปรัชญาบ้าๆบอๆโดยไม่รู้สึกตัว โยไม่รู้สึกตัวจริงๆด้วย
เพราะเรียนพุทธศาสนา ไม่ถูกพุทธศาสนา จนกระทั่งไม่รู้ ทีนี้ก็ปล่อยไปตามบุญตามกรรม
ไม่คิดจะดับทุกขืหรือว่าห้ามล้อกิเลส ถ้าใครเป็นนักธรรมเอกแล้ว หรือเป็นเปรียญ 9
ประโยคแล้วก็ตาม ไม่กล้าพูด ต้องใช้คำว่ากล้าพูดก็เพราะว่าผมเป็นเปรียญ 3 เท่านั้น
ว่า...คุณจะต้องเรียนใหม่อีก ที่เรียนมาแล้วนักธรรมเอกนั้นอะไรก็ตามน่ะ
คุณจะต้องเรียนใหม่อีกโดยวิธีสัมผัส ให้รู้จักกันจริงๆว่า ไอ้ตานั้นคืออะไร
หูนั้นคืออะไร จมูกคืออะไร กระทั่งว่ารูปเสียงกลิ่นรสนั้นคืออะไร วิญญานคืออะไร
ผัสสะคืออะไร เวทนาคืออะไร ให้มันรู้จริงๆ กระทั่งว่าขันธ์ทั้ง 5 คืออะไร
สัมผัสลงบนขันธ์ 5 จริงๆ อย่าเอาตามที่ท่องจำมาจากในโรงเรียน
เหมือนกับนกแก้วนกขุนทอง เดี๋ยวนี้คล้ายๆกับว่าเรา เราเริ่มรวมหัวกัน
จับกลุ่มกันชำระสะสางกันใหม่ ให้มีความรู้ความเข้าใจถูกต้องยิ่งขึ้นทุกที
ก็เราทำได้เพียงเท่านั้น เพราะที่สอนกันไว้เป็นรากฐานผิดๆก็แย่
พูดกันอยู่ๆอย่างผิดๆก็แย่ ตามศาลาวัดก็ดีไหนก็ดี พูดกันอยู่อย่างผิดๆก็มาก
ที่ถูกก็มี แต่ว่าที่ถูกนั้นน่ะก็ถูกเพราะว่าจำมาได้
ตามที่เขาสอนแล้วก็เผอิญมันสอนถูก
คนนั้นไม่ได้สัมผัสไอ้สิ่งนั้นๆจริงๆ
เช่นว่า ขันธ์ 5 คืออะไร นี่ก็ไม่รู้ ไม่ได้สัมผัส แต่พูดเรื่องขันธ์ 5
ถูกต้อง แต่แล้วก็น่าหัวที่ได้พูดเรื่องขันธ์ 5
ผิดๆ อย่างไม่รู้ผิดยังไงก็มีอยู่ เช่นว่าเรามีขันธ์ 5 ครบทั้ง 5
อยี่ตลอดเวลาอย่างนี้เป็นต้น บางคนหนักเข้าไปอีกว่า แม้เราหลับอยู่เราก็มีขันธ์ 5
ครบทั้ง 5 ....อย่างนี้มันหนักขึ้นไปอีก เพราะที่แท้เราจะมีขันธ์ 5
คราวเดียวครบทั้ง 5 ไม่ได้ มันจะเกิดทะยอยๆๆกันไป จนครบเรื่อง รู้จักขันธ์ 5 โดยการสัมผัสลงบนขันธ์
5 จริงๆ อย่างแจ่มแจ้ง นี้ไม่เล็กน้อยนะ มากทีเดียวแหละ
มากใกล้กับความเป็นพระอรหันต์ทีเดียว คืออย่างจะได้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้จริง
เดี๋ยวนี้มันขันธ์ 5 ท่องจำ ขันธ์ 5 สวดมนต์ ขันธ์ 5 ท่องจำ
แล้วเราก็จะพูดเรื่องขันธ์ 5 กันอีกสักทีก็ได้นะ วันนี้หมดเวลาแล้ว
และก็ปิดประชุม.