หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563

พุทธทาสภิกขุ - จิตเต็มสำนึก 2 ชนิด

 

พุทธทาสภิกขุ – จิตเต็มสำนึก 2 ชนิด

 

         การบรรยายโอวาท-นวกะเป็นครั้งที่ 13 นี้ จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า “จิตเต็มสำนึก 2 ชนิด” จิตเต็มสำนึก 2 ชนิดที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ควรรู้จักอย่างยิ่ง สำหรับการที่จะเข้าใจ รู้จักพระพุทธศาสนา ซึ่งเราได้พูดกันมาแล้วอย่างละเอียด ว่ามันเป็นเรื่อง ของสิ่งที่จะต้องใช้วิธีการสัมผัสตามแบบอย่างวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ใช้การคำนวณตามแบบของปรัชญา ทุกเรื่องที่ได้หยิบขึ้นมาศึกษานี้จะต้องเป้นเรื่องที่สัมผัสได้ แม้ว่าจะละเอียดอย่างไรก็ต้องเป็นเรื่องที่สัมผัสได้ สิ่งที่เรียกว่า”จิต”นั้น เป็นสิ่งที่สัมผัสได้ คือสัมผัสได้ด้วยจิตนั้นเอง จิตมันรู้สึกต่อ...ความคิดนึก หรือความรู้สึกของจิตเองนี่เรียกว่า มันสัมผัสได้ จิตที่ทำหน้าที่สัมผัสนี่เราเรียกว่ากันว่า มโน ทำหน้าที่สัมผัสก็เรียกว่ามโนวิญญาณ ไอ้สิ่งที่จิตจะสัมผัสได้นั้น ก็เป็นความรู้สึก เช่น เวทนา หรือ สัญญา เป็นต้น นี้ก็เรียกว่าเจตสิก มีอยู่หลายรูปแบบ และเป็นสิ่งที่จิตจะสัมผัสต่อสิ่งเหล่านั้นได้ ในรูปของความคิดก็มี ในรูปของความรู้สึกก็มี และความสำคัญมั่นหมายก็มี รูปของความรู้สึกเช่นเวทนา มันก็เป็นไอ้พวก feeling เป็นความสำคัญมั่นหมายต่อจากนั้นก็เป็นพวกสัญญา หรือ perception ถ้ามันเป็นความคิดขึ้นมาก็เป็นพวก concept ต่างๆ conception plotต่างๆ สิ่งเหล่านี้จิตจะสัมผัสได้ จนกระทั่งมันรู้ว่ามีความรู้สึกอย่างไร? มีความสำคัญอย่างไร? มีความคิดอย่างไร?

          เราจะต้องศึกษากันต่อไปถึง การรู้จักสิ่งที่เรียกว่า จิต ด้วยการสัมผัสมัน ด้วยจิตนั่นเอง ใช้คำๆเดียวกันแต่คนละความหมายคนละหน้าที่ โดยทั่วไปก็เรียกว่า มโน สำหรับจะทำหน้าที่ รู้ หรือเป็นผู้ทำความรู้สึก สิ่งที่อยากให้รู้จัก มันก็คือ จิต-สำนึก จิตเต็มสำนึก 2 ชนิด อย่างที่กล่าวไว้ในหัวข้อ เมื่อพุดว่าจิตเต็มสำนึกมันก็ต้องมี จิตชนิดที่ไม่เต็มสำนึก หรือ ไร้สำนึก นี่เข้าใจว่า คุณคงจะรู้จักกันมาเป็นส่วนใหญ่แล้ว และจะพูดสรุปอีกทีกันว่า ไร้สำนึกหรือครึ่งสำนึก นั่นเป็นจิตที่เป็นไปโดยไม่มีเจตนา ถ้าเป็นเต็มสำนึก นั่นก็คือ รู้สึกเต็มที่และก็จะมีเจตนา ไร้สำนึกเสียเลย ไม่มี conscious...ไม่เป็นconsciousเสียเลย ใต้สำนึกนั่นก็เป็นพวก subconscious หรือ semiconscious แต่ก็ต้องรวมไว้ในพวกที่ว่า ไม่มีสำนึก ด้วยกัน  ไม่มีสำนึกหรือconscious มันเป็นไปได้โดยสัญชาตญาณ เช่นว่ามีอะไรมาเกาะพั๊บเขา มันก็ปัดไปอย่างนี้ ไอ้กิริยาที่ปัดออกไปนั้นไม่ต้องมีสำนึก ที่มันรู้ว่าอะไรมาเกาะเข้านี้มันก็ว่าเป็นสำนึก หรือว่ามีอะไรมาถูกเข้า กระโดดเหย็งขึ้นมาอย่างนี้ การกระโดดนั้น ไม่...ไม่มีสำนึก แต่การที่มีอะไรมากระทบเข้ามันก็มี...เป็นสำนึก ที่เรารู้จัก สังเกตดูว่า ที่มันไร้สำนึก มันทำของมันไปได้ตามสัญชาตญาณ หรือจะมีใครอธิบายเป็นอย่างอื่นก็ได้เหมือนกัน นี่เรื่องชื่อนี้ไม่สำคัญ แต่ขอให้รู้สึกไว้สักอย่างหนึ่งว่า เมื่อปราศจากความสำนึกหรือเจตนาเนี่ยะ มันก็ทำอะไรได้ อย่างว่าเหยียบเอาไฟเข้ามันก็ชักกลับทันที เจตนาว่าจะชักกลับน่ะไม่ต้องมี มันเป็นไร้สำนึกหรือไม่มีสำนึก ถ้ามันเหยียบไฟร้อนน่ะมันเป็นส่วนที่เป็นสำนึก หรือว่าไอ้เรื่องสำนึกเช่นว่าฝันไปอย่างนี้ นอนฝันไป หรือว่าอะไรก็ตาม ละเมอก็ตามเนี่ยะ มันไม่เต็มสำนึก มันก็ในพวกที่ไม่มีสำนึกด้วยกัน พวกนี้เราจะไม่พูดถึง เพราะไม่เป็นปัญหา หรือไม่เกี่ยวกับเรื่องที่จะพูด ดีกว่า

เรื่องที่จะพูดที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา เราจะพูดกันแต่จิตที่เต็มสำนึก ที่มีconsciousเต็มที่ ไอ้จิตไร้สำนึกหรือใต้สำนึกนี้ก็ไม่มีสติ  ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสติ แต่จิตที่เรียกว่าเต็มสำนึกนั้น บางทีก็มีสติ บางทีก็ไม่มีสติ ฉะนั้นเราต้องศึกษามันทั้ง 2 อย่าง โดยให้หัวข้อว่า ไอ้จิตที่เต็มสำนึก เป็น conscious เต็มที่ มีอยู่ 2 ชนิดคือ มีความหมายแห่งตัวตนก็มี ไม่มีความหมายแห่งตัวตนก็มี อยากจะเรียกว่า พฤติของจิต เรียกกันในวัดนี่ก็ได้ นอกวัดจะเรียกเป็นอะไรก็ไม่ทราบนะ หรือภาษาวิทยาศาสตร์ จิตวิทยาเค้าจะเรียกกันอย่างไรก็ไม่ทราบ นี้เราจะเรียกภาษาวัดเราว่า พฤติ ซึ่งแปลว่าความเป็นไปของจิต เนี่ยะมันมีอยู่ในรูปของความรู้สึกคิดนึก นี้พฤติที่เป็นความรู้สึกคิดนึกนี้ บางทีประกอบอยู่ด้วยความหมายแห่งตัวตน คือมีความรู้สึกประเภท ตัวกู-ของกู เราจะเรียกสั้นๆว่า egoism ก็ได้ egoism-ความมีแห่งความรู้สึกว่าตัวตน อีกชนิดหนึ่งมันก็ไม่มีegoism คือมันยังไม่ทันจะเกิด จึงเรียกว่าไม่มี  แล้วเราจะได้มารู้จักพฤติของจิตทั้ง 2 ชนิดนี้ให้ดี แล้วเราจะเข้าใจพระพุทธศาสนา ตามวิถีทางวิทยาศาสตร์ คือด้วยการสัมผัสและรู้จัก แล้วก็ฝึกฝนปฏิบัติควบคุมกันไปตามเรื่อง.

ความหมายแห่งตัวตน มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นของจิตที่เต็มสำนึก แล้วก็เป็นจิตที่ปราศจากความรู้อันถูกต้อง หรือไม่มีสติ ไม่มีสติปัญญา คือถ้าว่ามันมีความรู้อันถูกต้องมีสติปัญญาอันถูกต้องอยู่ในจิตนั้น จะปราศจากความหมายชนิดนี้ คือปราศจากความหมายที่มันเป็นตัวตน ทีนี้ ที่เรียกว่า พฤติ-พฤติ หรือความเป็นไปนี่ ก็เคยพูดมามากแล้วในเรื่องเกี่ยวกับ ปฏิจจสมุปบาท นี้เผื่อบางคนยังไม่เคยฟังหรือว่าลืมซะแล้ว ก็พูดซ้ำอย่างย่อๆอีกทีหนึ่งว่า เมื่อตาถึงกันเข้ากับรูป ก็เกิดการเห็นทางตา คือจักษุวิญญาณ จักษุวิญญาณเกิดขึ้นนี่ก็สติของจิตแล้ว นี้ทั้ง 3 สิ่งนี้มากระทบกันเข้า ทั้ง 3 อย่าง ทั้งตาทั้งรูปทั้งจักษุวิญญาณ 3 อย่างนี้ถึงกันเข้านี่เรียกว่า ผัสสะ – ขณะแห่งจิตที่มีผัสสะ นี่ก็เป็นพฤติของจิตในระยะต่อมา นี่ที่เรียกว่า contact ธรรมดาๆนี่เอง ผัสสะ...ที่ว่ามีผัสสะก็ต้องมีไอ้ความรู้สึกว่าเป็นอย่างไร ที่เรียกว่า เวทนา หรือ feeling...feeling ว่ามันเป็นรูปที่น่ารัก หรือไม่น่ารัก สบายใจหรือไม่สบายเพราะรูปนั้น ก็เรียกว่าเวทนา-feeling  ไอ้เวทนานี้มันก็ให้เกิด ความสำคัญอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า perception สำคัญว่าอะไร หญิงหรือชาย หรือว่าน่ารักน่าพอใจ หรือไม่ นี่มันก็เป็นพฤติ-พฤติที่ถัดมาอีก ทีนี้มันมี perceptionสำคัญอย่างไรแล้ว มันก็จะเกิดความคิดหลายชนิด แต่เราเอาชนิดที่สำคัญที่สุด ก็ concept เช่น ต้องการเป็นต้น ต้องการอย่างนั้นต้องการอย่างนี้ น่ารักก็ต้องการจะเอา ไม่น่ารักก็ต้องการจะขจัดไปเสียให้พ้น จนกระทั่งเกิด อุปาทาน เป็น concept ที่ร้ายการ ยึดมั่นถือมั่น เป็นความรู้สึกที่หมายมั่นว่าเป็นตัวกู-เป็นของกู จนกระทั่งมีความรู้สึกหนักอกหนักใจ เป๋นต้น ทั้งหมดนี้เรียกว่า พฤติของจิต ทั้งนั้น

นี้ตัวอย่างที่ยกมานี้ มันเป็นพฤติของจิต ที่มี”ตัวกู” มีความรู้สึกเป็นตัวตนเป็นของตน เป็นจิตเต็มสำนึก แล้วก็มาตามวิถีทางที่มันมี ความรู้สึกเป็นตัวตน-เป็นของตน ถ้าในกรณีที่ตรงกันข้าม มันก็ไม่ต้องเป็นอย่างนี้ เช่นตาเห็นรูป เกิดการเห็นทางตา แล้วมันก็เฉยไป สัมผัสนั้นก็ไม่ทำหน้าที่อะไร เหมือนกับเราเดี๋ยวนี้ทุกคนก็ลืมตาอยู่ เห็นต้นไม้เห็นดวงไฟฟ้า เห็นต่างๆแล้วมันก็ไม่มีความหมายอะไร นี้เรียกว่าไม่มีตัวกู ไม่มีของกู เป็นพฤติที่ไม่มีตัวกูไม่มีของกู ตามธรรมชาติธรรมดา เพราะว่าสิ่งแวดล้อมมันไม่อำนวย เพราะอารมณืที่ตาเห็นนั้นไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ นี่ก็เรียกว่าไม่มีตัวกูของกู

ทีนี้อีกอย่างหนึ่ง ในอีกกรณีหนึ่งนั้น มันมีสติปัญญาที่ได้ฝึกฝนอบรมมาดี สติอันท่วงทีเมื่อตาเห็นรูปสัมผัสแล้ว สติก็มาทันท่วงที ควบคุมไว้ได้ ก็ไม่เกิดความคิดประเภทตัณหาอุปาทาน ซึ่งเป็นตัวตน ตัวกูของกู ด้วยเหมือนกัน เพราะตัวนั้นมีความสามารถควบคุมพฤติของจิต เพราะเขาได้ฝึกมาดีแล้ว หรือมิฉะนั้นก็เป็นพฤติของจิตของพระอรหันต์ ซึ่งไม่มีทางที่จะเกิด ความรู้สึกประเภทตัวกูของกูอีกต่อไป นี้ก็เรียกว่าพฤติของจิตที่ไม่มีตัวกูของกู ฉะนั้นคอยสังเกตดู หรือสัมผัสดู ว่าจิตของเรานั้น ในกรณีอย่างไรหรือเมื่อใด หรือที่ไหน มันเป็นจิตที่ประกอบอยู่ด้วยความรู้สึกเป็นตัวกูของกู และเมื่อไหร่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น วิธีที่สังเกตง่ายๆ ก็อาศัยไอ้ชื่อของกิเลส 3 ชื่อน่ะมาเป็นหลัก โลภะหรือราคะนี้พวกหนึ่ง มันมีความรู้สึกที่จะเอา ด้วยความรู้สึกที่เป็นกิเลสนั่นน่ะ เช่นว่ารัก ก็พอใจไม่มีสติสัมปชัญญะ มันรักพอใจไปตามประสาของคนธรรมดาสามัญ นี่ก็อย่างหนึ่งละ มีตัวกู-ของกู ที่รักที่จะเอาเป็นของกู อีกทางหนึ่งพวกโทสะหรือโกรธะ เกิดขึ้นในจิตแล้วมันก็ไม่อยากเอา มันอยากจะทำลาย อยากจะฆ่าหรือขัดเคือองขึ้นมา นี้ก็เป็น ตัวกู-ของกู เป็นตัวกูที่จะฆ่าศัตรูของกู หรือว่าทำอะไรก็ได้ ในสิ่งที่กูมันไม่ชอบ นี่มันตรงกันข้ามอยู่เป็นคู่แรก จะเอาเพราะรัก หรือไม่เอาเพราะเกลียด ทีนี้อันที่ 3 ประเภทโมหะ นี่มันก็ไม่รู้ว่าอย่างไรแน่ เช่นมันสงสัยอยู่ แต่มันอดสนใจไม่ได้ จิตมันยังเกี่ยวข้องอยู่ล่ะ มันก็มีกูที่สงสัย ความสงสัยของกูก็มีอยู่ จะทำอย่างไรก็ยังทำไม่ถูก แต่ว่ามีความหมายมั่นที่จะทำกับสิ่งเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน นี้จะเป็นหลักใหญ่ๆเพียง 3 ประการ สำหรับสังเกตว่า จิตนั้นประกอบด้วยตัวกู หรือไม่ประกอบเป็นตัวกู ถ้ามีความรู้สึกประเภท โลภะโทสะโมหะนั่นก็ มันก็มีตัวกู เราได้ยินอย่างนี้แล้วไม่รู้ว่าเรื่องเป็นอย่างไร ก็ไม่เข้าใจ ที่จริงมันก็ง่ายๆอย่างนี้ที่เราจะสังเกตได้ สัมผัสจิตของเราได้ ว่าจิตนี้เป็นอย่างไร เกิดความรู้สึกอยากที่จะเอาด้วยกิเลสที่โลภะราคะแล้วก็ ยังมีตัวกูของกู โทสะโกรธะจะ?เข้า ก็มีตัวกูของกู สงสัยด้วยกิเลสที่เป็นเหตุ จะเอาจะเป็น นี้ก็เป็นตัวกูของกู

นี้สำหรับกรณีของโลภะ คืออยากจะเอานั้น อย่าเอาไปปนกับคำว่า ต้องการโดยบริสุทธิ์ของสติปัญญา ความต้องการนี่ก็ได้อธิบายให้ฟังหลายหนแล้วว่า อย่าไปพูดเพ้อๆไปตามที่เขาสอนๆกันอยู่ แม้ในกรุงเทพ ว่าถ้าต้องการแล้วเป็นโลภะทั้งนั้น เป็นตัณหาทั้งนั้น เค้าสอนกันอยู่อย่างนั้น ขอให้รู้จักแยกว่ามัน มันเป็นความต้องการด้วยกิเลสน่ะ เป็นอวิชชา ด้วยตัวกูของกู จึงจะเรียกว่าเป็นโลภะ หรือเป็นตัณหา ไอ้ที่ประสงค์หรือต้องการจะทำด้วยสติปัญญานั้น ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าโลภะ หรือตัณหา มันเป็นความรู้สึกที่ถูกต้องของสติปัญญา ว่าเราจะต้องทำอย่างไร หรือควรจะต้องการอย่างไร หรือว่าต้องการจะดับทุกข์ จะบรรลุนิพพาน นี้ อย่างนี้ไม่ความโลภไม่ใช่ตัณหา เป็นความต้องการของสติปัญญา ไม่จัดเป็นประเภทตัวกูของกู เพราะว่ามันมีสติปัญญาควบคุมอยู่

ทีนี้จะให้ง่ายๆขึ้นไปอีก มารู้จักไอ้พฤติของจิตเต็มสำนึก แต่ไม่มีตัวตน เช่น เมื่อคุณทำวัตรสวดมนต์อยู่อย่างนี้ ไหว้พระสวดมนต์อยู่อย่างนี้ มันก็มีจิตเต็มสำนึก เป็น conscious แต่ไม่เจืออยู่ด้วยตัวตน ก็มันกำลังสวดมนต์อยู่ แม้จะฟังจะรู้เรื่อง ก็เป็นเรื่องของการสวดมนต์หรือของธรรมะ นี่ตามปกติจะต้องเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าในขณะนั้นมันมีอะไรสะดุด ทำให้เกิดไม่สบายใจ เสียใจ สวดผิดสวดถูกขึ้นมาเดือดร้อน อย่างนี้ก็เรียกว่ามีตัวตนนะ ถ้าหากทำวัตรสวดมนต์ไปเรื่อยไม่มีอะไรสะดุดจิตใจ นี้ก็เรียกว่า สำนึกนี้ไม่มีตัวกู-ของกู หรือว่ากำลังคิดเลขอยู่ คำนวณอะไรอยู่อย่างยิ่ง อย่างเต็มสำนึกในอย่างยิ่ง และจิตมิได้เลยไปถึงไอ้เรื่องตัวกู-ของกู กำลังคิดเลขเพลิน อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่มีตัวกู-ของกู แม้จะมีสำนึกเต็มที่ หรือว่าอารมณ์ที่มันมากระทบจิตนั้น มันไม่ได้เป็นที่ตั้งแห่งตัวกู-ของกู นี่เราก็ทำไปได้ คิดไปได้ มีพฤติอย่างแรงได้ หรือสำนึกอย่างแรงได้ ก็ไม่มีตัวกู-ของกูเหมือนกัน เช่นเจริญสมาธิอยู่ อารมณ์นั้นมันเป็นอารมณ์ของสมาธิ เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือว่าอานา...ลมหายใจออก-เข้า อารมณ์ชนิดนี้ก็ไม่เป็นที่ตั้งแห่งตัวกู-ของกู แม้จะกำหนดอารมณ์นั้นอยู่ พิจารณาอารมณ์นั้นอยู่ มันก็ไม่เกิดความรู้สึกประเภทตัวกู-ของกู นี่จะต้องสัมผัสอารมณ์ สัมผัสจิตชนิดนี้แหละ หรือว่าจิตที่กำลังมีอารมณ์ชนิดนี้ เราจะรู้จักมันให้ดีๆ ไม่ต้องคำนวณนะ เท่าที่รู้จักสัมผัสลงไปตรงๆ บอกแล้วว่าเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ไม่มีการคำนวณ ไม่มีสมมติฐาน สัมผัสลงไปตรงๆ แล้วก็รู้จักจิตประเภทนี้ ว่า อ้าว แม้จะเต็มสำนึกก็ไม่มีตัวตน ไม่มี egoism ไม่มี egoistic concept หรือ percept อะไรต่างๆ ไม่มีความทุกข์เลย

ทีนี้ฝ่ายที่มันตรงกันข้าม จิตเต็มสำนึกแต่มันขาดสติ เกิดกระแสปฏิจจสมุปบาท อย่างที่ว่ามาเมื่อตะกี้นี้ ตาเห็นรูปเกิดจักษุวิญญาณและสัมผัสแล้ว และเกิดเวทนาขึ้นมาแล้ว น่ารัก สติมันขาดมาแต่สัมผัส ตั้งแต่ขณะที่สัมผัสนั้น ไม่มีสติมาเลยในระยะของการสัมผัส มันเกิดเวทนาน่ารัก แล้วก็รัก คิดไปตามแบบความรัก อย่างนี้ก็เรียกว่ามีตัวตนเต็มที่ และเพราะขาดสติ  แล้วอย่าลืมว่า ได้พูดแล้วว่า ในกรณีอย่างนี้ถ้าไม่ขาดสติ มันก็ไม่เกิดความรู้สึกชนิดนี้ ตาเห็นรูปเกิดการเห็นทางตา มีสัมผัสขึ้นมา สติมาทัน ความรู้มีอยู่ ความรู้นั้นวิ่งมาทัน แม้จะรู้สึกว่ารูปสวยแต่ก็ไม่ถึงกับรัก รูปไม่สวยก็ไม่ถึงกับเกลียด มันรู้แต่ว่าสวยหรือไม่สวย แค่นั้นแหละ ก็เลยไม่เกิดตัวกู-ของกูได้ แต่นี้ตามธรรมดาสามัญนั้น คนเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นนี่  ถ้าสวยมันก็เกิดรักเสียแล้ว ถ้าไม่สวยมันก็เกิดเกลียดเสียแล้ว มันเป็นความรู้สึกธรรมดาสามัญ จนเคยชิน

นี่ประโยชน์ของธรรมะของศาสนาก็อยู่ที่ตรงนี้  หรือมาบวชทั้งทีมันก็อยู่ที่ตรงนี้ ฝึกที่จะมีสติสัมปชัญญะ เร็วทันควันที่มีการเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัสผิวหนัง แม้กระทั่งคิดขึ้นมาในใจเอง มีสติทำ ในขณะที่สัมผัสกันเข้า ตาสัมผัสรูป หูสัมผัสเสียง จมูกสัมผัสกลิ่น ลิ้นสัมผัสรส ผิวหนังสัมผัสผิวหนัง เมื่อจิตสัมผัสอารมณ์ของจิต มีสติ รู้สึกตัว เพราะว่าเขาได้ฟังธรรมะของพระอริยะเจ้า ได้ฝึกมาดีแล้วในวินัยของพระอริยะเจ้า ก็คือพวกที่ได้ปฏิบัติอย่างภิกษุผู้ปฏิบัติ มีความรู้เรื่องนี้และมีสติมาทัน ในขณะที่มีการสัมผัสนั้น

ตามธรรมดาสามัญ คือผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรมของพระอริยะเจ้า ไม่เคยรับการฝึกในวินัยของพระอริยะเจ้า มันก็ไปตามแบบของมันเอง อย่างที่เราก็รู้อยู่แล้ว แม้เราก็เคยเป็นอย่างนั้นมาแล้ว น่ารักก็รัก น่าเกลียดก็เกลียด น่าโกรธก็โกรธ น่ากลัวก็กลัว มันก็เต็มไปด้วยตัวกู-ของกู อย่างนี้เรียกว่ามันมีตัวตน เพราะอารมณ์ที่เข้ามากระทบ นั้นมันเป็นที่ตั้งแห่งตัวตน น่ารักน่าเกลียดน่ากลัว มันเป็น...อารมณ์ชนิดนี้เรียกว่ามันเป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึกว่าตัวตน มันน่ารักก็รัก ก็มีตัวตน ให้รัก รักเป็นของตน น่าเกลียดน่าโกรธ มันก็โกรธก็เกลียด เป็นศัตรูของตนไปเลย ของตนเช่นนั้น น่ากลัวก็เหมือนกัน มันก็มีตัวตนให้กลัว มีสิ่งที่ให้กลัว นี่ปุถุชนเต็มที่ ปุถุชนเต็มขนาด ที่จะต้องมากันอย่างนี้ มีพฤติที่ปราศจากสติ แล้วก็เต็มอยู่ด้วยความหมายแห่งตัวตน

เราจะสรุปใจความได้ว่า ไอ้พวกไร้สำนึกใต้สำนึก....นั้น ไม่มีสติเลย เป็นจัดเป็นพวกที่ไม่มีสติเลย ไม่อยู่ในเรื่องที่เราจะศึกษาในที่นี้ ทีนี้ที่มันมีสำนึก มีอยู่ในสำนึก มันยังมีทั้งที่เรียกว่า มีสติหรือไม่มีสติ ถ้ามีสติมันก็ไม่มีตัวตน ถ้าไม่มีสติ มันก็มีตัวตนอย่างนี้ นี้ถ้าจะให้สำเร็จประโยชน์ คุณก็ต้องศึกษาด้วยวิธี เนี่ยะสัมผัสให้มันรู้ว่า จิตนั้นเป็นอย่างไร มีสติเป็นอย่างไร ไม่มีสติเป็นอย่างไร จนมีความต้องการ ประสงค์ ที่จะเป็นผู้มีสติในทุกกรณี ไม่ให้เกิดตัวกูของกู ก็จะเป็นผู้สมบูรณ์อยู่ด้วยปัญญา ทำอะไรถูกหมด ไม่มีความทุกข์เลย มันมีผลดีอยู่ 2 อย่าง ให้สังเกตดู มันจะไม่มีความทุกข์เลย แม้จะตายลงไปในเวลานั้น จะถูกฟันถูกฆ่าในขณะนั้น ถ้าทำได้อย่างนี้มันจะไม่มีความทุกข์เลย แม้จะเหน็ดเหนื่อยอย่างไรก็ไม่มีความทุกข์เลย แล้วมันก็ฉลาดในการที่จะต้องทำหน้าที่นั้นๆให้สำเร็จ การงานตามธรรมดาก็ดี การต่อสู้การรบพุ่งกันก็ดี อะไรก็ดี มันจะทำได้ดี พฤติมันมีสติสมบูรณ์

ถ้าพูดถึงการต่อสู้ มันก็ต้องรู้จักแยกว่าต่อสู้ด้วยจิตล้วนๆ จิตเต็มสำนึกด้วยสติปัญญาล้วนๆ เหมือนที่พวกเซน พวกนักฟันดาบ พวกเซนเค้าฝึกกันนั้น มันก็มีผลดี ทีนี้ต่อสู้ด้วยความโง่ด้วยความกลัว ด้วยความไม่มีสติ มันก็...มันก็ตายได้แหละ

ทีนี้ทำไมจึงต้องพูดเรื่องนี้ ก็เพื่อให้รู้จัก ในสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะรู้...จะศึกษาพุทธศาสนาได้ ก็เรื่องมีตัวกู หรือไม่มีตัวกู พูดๆมามากมายแล้วมันก็ รู้สึกว่ายังเข้าใจกันน้อยเต็มที ก็ผู้พูดพูดไม่เป็นก็ได้ พูดไม่ครบถ้วนไม่ถูกต้องไม่ชัดเจนก็ได้ แต่คุณก็เห็นว่าผมได้พยายามอยู่เรื่อย ไม่ได้ท้อถอย ที่จะพูดให้เข้าใจจนได้ เช่นอย่างที่กำลังพูดนี้ก็เหมือนกัน ได้พูดเนื่องมาจากการบรรยายครั้งที่แล้วมา ว่า ศึกษาพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นพุทธศาสนาเถิด อย่าได้ศึกษามันในฐานะที่เป็นปรัชญา เป็นอะไรเป็นต้นเลย ถ้าจะศึกษาในลักษณะที่เป็นพุทธศาสนาแล้ว ก็ต้องศึกษาในรูปแบบวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์ คือใช้สัมผัสลงไป อย่าใช้คำนวณ อย่างนี้จึงมาบอกถึงเรื่องว่า จิตเป็นอย่างไร ให้รู้จักโดยการสัมผัสจิตนั้น ว่าจิตมีตัวกูหรือจิตไม่มีตัวกู จิตปราศจากสติหรือว่าจิตมีสติ อย่างได้พูดแล้วพูดอีกว่า อย่าหัวเราะกันนักเลย หรืออย่าฟุ้งซ่านนักเลย อุตส่าห์ควบคุมสติศึกษาจิต ให้รู้จักจิตให้ดีขึ้นทุกทีๆ ตลอดเวลาที่เราบวชมาเพียงระยะ 3 เดือน ถ้าตั้งใจจริงก็พอจะ รู้จักไอ้...สิ่งเหล่านี้ได้

ทีนี้จะพูดถึงความยากลำบากที่จะรู้จักสิ่งนี้กันบ้าง มันมีปัญหาว่าเราทำไม่ได้ ไม่รู้จักก็มี ควบคุมไม่ได้ก็มี ที่มันจะมีจิตสำนึกแล้วไปเป็น...เป็นไปในทางเป็นตัวกูของกูเสียเรื่อยมา ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ ก็คิดดูสิ เป็นเวลากี่ปีแล้ว อย่างน้อยก็ 30-40 ปีล่ะ ที่มันมาแต่อย่างนี้ทั้งนั้น ไม่มีใครเคยสอนในทางตรงกันข้าม นับตั้งแต่เด็กคนนี้รู้จักเวทนาว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ หรือยังไม่พูดได้ว่าสุขหรือทุกข์ แล้วรู้จักยึดถือไอ้สุขเวทนาลักษณะอย่างนั้น ยึดถือทุกขเวทนาลักษณะอย่างนี้ ยึดถืออทุกขมสุขเวทนาในลักษณะอย่างโน้น มันเป็นอย่างนี้เรื่อยมา ทุกครั้งทุกทีก็เกิดตัวกูของกูทุกที ในเมื่ออารมณ์นั้นมันเป็นที่ตั้งแห่งตัวกูของกู ไอ้ที่มันเฉยก็เฉยไป ตายให้มันรู้ มันมีความหมายอะไร หูได้ยินเสียงไม่มีความอะไรก็ เฉยไป มันก็มากเหมือนกันนะ แต่มันช่วยอะไรไม่ได้เลย มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไอ้ส่วนดีที่ว่ามันเกิดความรู้สึกเป็นตัวกูของกู ที่มันให้โทษ แล้วมันก็เพิ่มขึ้น-เพิ่มขึ้น เพิ่มด้วยอย่าให้เป็นอย่างนั้น สะสมความเคยชินที่จะเป็นอย่างนั้น นี่ก็เรียกว่า อนุสัย พอเราเกิดมารู้ความหมายอะไรดีแล้ว เด็กนั้นโตพอควรแล้วก็เริ่มสะสม อนุสัย คือการเฉยเคยชินที่จะเกิดตัวกูของกู ในรูปแบบของโลภะบ้าง ของโทสะบ้าง ของโมหะบ้าง ความเคยชินอันนี้ ภาษาอีกคำหนึ่ง ภาษาธรรมะอีกคำหนึ่งน่ะ ก็เรียกว่า วาสนา ที่ทำอะไรมาจนเคยชินโดยไม่ต้องสำนึก ก็ทำได้ ก็เรียกว่า วาสนา ไอ้วาสนาที่ต้องการกันนักนั่นแหละ ระวังให้ดีเถอะ แต่คำนี้มีความหมายเป็น 2 อย่างอยู่ ไอ วาสนานั้นทำให้เราละอะไรไม่ได้ เมื่อเรามีวาสนาไปในทางที่เป็นอันตราย ขี้รักขี้โกรธขี้เกลียดขี้กลัว หรือพูดหยาบพูด...เอะอะมะเทิ่งขี้กระโดดโลดเต้นอะไรก็ตาม เป็นนิสัยของคนๆนั้นไป ก็เรียกว่าวาสนา ก็ละยากที่สุด พระอรหันต์ก็ยังละวาสนาบางอย่างไม่ได้ ก็มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะละวาสนาเด็ดขาดด้วยประการทั้งปวง ทีนี้คนอย่างเราจะไปละวาสนาอย่างนั้น มัน...ยาก ให้รู้ไว้เสียด้วยว่า ไอ้ความรู้สึกประเภทตัวกูของกูเนี่ยะ มันเกิดอยู่จนชินเป็นนิสัย มาตั้งแต่...ตั้งแต่เด็กๆแล้ว ก็ละยาก นี่คือปัญหาละ ปัญหาว่าสิ่งนี้มันละยาก ครั้นจะตั้งใจว่าจะละก็ยังละยาก ตั้งใจจะฝึกและปฏิบัติด้วยละ มันก็ยังปฏิบัติยากหรือฝึกยาก เพราะทางฝ่ายกิเลสนั้นมัน มันหนาแน่น มันเข้มแข็ง มันฝังอย่างที่เรียกว่า แน่นแฟ้น นี้ยากที่เราจะมีสติรู้สึกตัว มีแต่จะปล่อยเลยไปตามธรรมชาติ ด้วยความไม่มีสติ ไม่รู้สึกตัว ทุกคนต้องสัมผัส ความจริงอันนี้เสียก่อน ขอบอกให้ทุกคนเนี่ยะ สัมผัสความจริงอันนี้เสียก่อน ว่าวาสนาเรามีอย่างไร ความเคยชินแต่ที่จะมีตัวกูของกู  เดี๋ยวอย่างนั้นเดี๋ยวอย่างนี้ คิดอย่างนั้น เป็นความเคยชินของปุถุชน-ปุถุชน ไอ้วาสนาที่มันหนา-หนา เรียกว่าปุถุชน ปุถุชนก็คนหนา หนาด้วยอะไร? หนาด้วยวาสนาแห่งปุถุชน ฉะนั้นพยายามทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ไอ้วาสนาอย่างปุถุชนนั้นมันจะได้ละไป-ละไป เรียกภาษาธรรมดาในพระบาลีก็เรียกว่า อนุสัย คำว่าวาสนานี้ผมคิดว่าเป็นคำนอกบาลี นอกพระไตรปิฎก เป็นภาษาชาวบ้าน

ครั้นเมื่อเราชินมาแต่ความที่จะรัก จะโลภ จะได้นี้ ก็มาหัดกันเสียใหม่ บังคับได้ทีหนึ่ง เอ้า!ครั้งหนึ่งทีหนึ่งแล้ววิเศษที่สุดแล้ว คือทางโน้นจะกร่อนเข้าไปนิดหนึง ในเมื่อทางนี้มันเกิดขึ้น ฉะนั้นเราชนะความรักหรือความโลภไดทีหนึ่งแล้ว อนุสัยทางฝ่ายที่รักและโลภมันจะกร่อนลงไปนิดหนึ่ง เพราะทางนี้มันเกิดขึ้น ทีนี้ก็เราก็หัดที่จะรู้สึกนอกเสียดายได้ ทุกที-ทุกที ที่จะมันจะมาให้รักหรือให้โลภนี่ ก็มาเพิ่มฝ่ายถอนอนุสัย คือปัญญาที่จะถอนอนุสัยมันก็มากขึ้น-มากขึ้น ทางโน้นมันก็ลดลง-ลดลง

คุณอาจจะคิดว่าเข้าใจไม่ได้ ทีนี้ต้องคำนวณ ผมว่าอย่าดีกว่า อย่าคำนวณเลย พยายามศึกษาสังเกตเถอะว่า ถ้าเราชนะความรักได้ทีหนึ่งน่ะ ไอ้นิสัยที่รักอย่างโง่ๆมันจะลดลงนิดหนึ่ง คือลดกันอยู่บ่อยๆ หรือว่าเราชนะความโกรธได้ทีหนึ่ง ไอ้นิสัยขี้โกรธนั้นมันจะลดลงไปนิดหนึ่ง ลดอยู่เรื่อยไป ทีนี้โมหะหลงใหลมัวเมาสงสัยเป็นประการ เป็นเบื้องหน้าก็จะลดลงไป จะไม่ชอบสงสัยอะไร ก็ไม่เที่ยวไปทึ่งในสิ่งนั้นในสิ่งนี้อย่างโง่เขลา เหมือนไอ้คนขี้ทึ่ง คนโง่ด้วยโมหะ ไอ้โมหะนี้มันก็จะค่อยละลงไป ถ้าทำอยู่อย่างนี้ไม่เท่าไหร่ กิเลสก็จะสิ้นได้ เพราะมันวนลดลงไป-ลดลงไป-ลดลงไป ควรจะสัมผัสดู แล้วก็สัมผัสลงไปถึงว่า เราได้ทำให้มันลดลงไปหรือเปล่า? ปีหนึ่งแล้ว-ปีหนึ่งเล่านี่ เราได้ทำให้มันลดลงไปหรือเปล่า? อย่าคำนวณเลย สัมผัสดูจริงๆ วัดดูจริงๆ ปัญหายากลำบากอยู่ที่ว่า ความเคยชินเป็นนิสัย มันฝังแน่นอยู่ ต้องขูดเกลามันบางลง

ทีนี้จะฝึกเพื่อกำจัดไอ้พฤติของจิตฝ่ายมีตัวกูของกูนั้น ก็ตามหลักพระศาสนาเอง ทำศีลทำสมาธิทำปัญญา มากมายหลายรูปแบบหลายสิบรูปแบบ จนฝั่นเฝือ ทีนี้ผมจะไม่พูดเรื่องนั้นให้มัน...มันมากเรื่อง จะพูดตัดลัดเอามาที่ว่า เราจะควบคุมไอ้พฤติของจิตประเภทมีตัวกูของกูเนี่ยะ กันอย่างไร? โดยตรงลงไปบนตัวมันเลย จะพูดเป็นสัก 3 ระดับ...3 ระดับ คือระดับที่ยังดีอยู่ ระดับที่ดีมาก ระดับที่ดีเลิศ... 3 ระดับอย่างนี้นะ

ตามธรรมดาสามัญระดับที่ว่าพอใช้ได้ หรือยังดีอยู่นั่นก็ คือให้เรียก สมมติเรียกอย่างที่เขาเรียกกัน ว่านับสิบก่อน นับสิบเสียก่อน คำนี้สากลมาก ผมอ่านพบข้อความเป็นสากลจะรู้จักกันทั่งโลก นัยสิบเสียก่อน มาจากทางฝรั่ง ไม่ใช่หมายความว่าให้มานั่งนับสิบอยู่ หรือจะนั่งนับสิบอยู่ก็ตามใจ ได้เหมือนกัน แต่ว่ายั้งเป็นระยะหนึ่ง อย่าไปทำอะไรเข้า ด้วยการคิดการพูดเข้า นับสิบก่อน พอมีอะไรเข้ามากระทบปั๊บ หัดนิสัยหยุด-หยุดชะงัก ตั้งตัว ให้ถูกต้องเสียก่อน แล้วจึงคิดหรือตัดสินใจ หรือพูดหรือทำก็ตาม ต้องดำรงสติให้ได้เสียก่อน ในกรณีของตัวกูของกูนี่ ไม่ใช่เหยียบไฟแล้วกระโดดสูง นั้นเป็นเรื่องไร้สำนึก มันไปของมันเองได้ ไม่ใช่เรื่องที่กำลังพูดนี้ ไอ้ที่กำลังพูดนี้ มีอะไรมากระทบตาหูจมูกลิ้นกายนี่ แล้วก็ต้องไม่กระโดดสูง ไปรักไปโกรธไปเกลียดน่ะ จะต้องหยุดยั้งรวบรวมสติ ให้มีสติก่อน คือรู้สึกตัวเสียก่อน ตั้งสติได้ก่อน แล้วจึงจะตัดสินใจลงไป แต่มันยากตรงที่ว่า เรามันเคยชินแต่เรื่องเกิดตัวกูของกู อย่างเร็วเป็นสายฟ้าแลบ อย่างชาหนุ่มผู้หญิงเดินมาน้ พอเห็นแว่บเข้าสวย มันก็แปร๊บไปเป็นเรื่องของกิเลส มันเป็นเหมือนกับสายฟ้าแลบ นี้ชายหนุ่มชนิดนี้จะต้องทำอย่างไร? ถ้าอยากปล่อยไปอย่างนั้นก็ทำใจ ก็ได้เหมือนกัน ถ้าเค้าจะมาหัดตามแบบของพระพุทธเจ้า เค้าก็หัดด้วยหลักที่ว่า เมื่อตาเห็นรูปหูฟังเสียงจมูกได้กลิ่นอะไรก็ตามนี้ เค้าจะต้องเป็นตัวของตัวเองก่อน มีสติสัมปชัญญะก่อน แล้วถึงก็จะปล่อยความคิดมันออกไปว่าจะทำอย่างไร ไม่ได้หมายความว่าให้ห้ามความคิดหมด แล้วก็ห้ามไม่ได้รู้จักอะไรว่าสวยอะไรว่าไม่สวย เป็นต้น น่ารักหรือไม่น่ารัก ก็รู้รู้สึกได้ แต่มันรู้สึกด้วยสติว่า โอ้ อย่างนี้เค้าเรียกว่าน่ารัก หรืออย่างนี้เค้าเรียกน่าเกลียด อย่างนี้เค้าเรียกว่าหอม อย่างนี้ว่าเหม็น อย่างนี้ก้ไพเราะ อย่างนี้ก็หนวกหู มันรู้สึกได้ คนมีสตินั้น รู้สึกได้นี้เป็นอย่างนี้ แล้วควบคุมได้ พฤติของจิตไม่ไปตามแบบของไอ้เวทนา ตัณหา อุปาทาน ไม่เกิดตัวกู-ของกู แล้วเค้าก็เกิดความรู้ที่ถุกต้องขึ้นมาแทน ว่าเราจะทำอย่างไร กับสิ่งที่มากระทบนี้ สวยหรือไม่สวย เพราะหรือไม่เพราะ หอมหรือเหม็นก็ตาม เราจะทำอย่างไร ไม่ต้องทำอย่างไรก็ได้ หรือทำอย่างไรก็ตาม ทำด้วยจิตปกติไม่ต้องเป็น กิเลสตัรหากลัดกลุ้มอยู่เรื่อยๆเป็นตัวกู-ของกู

ทีนี้ก็ฝึกอย่างที่เรียกว่าวิปัสนา หรือกัมมัฏฐานน่ะมันฝึกอย่างลึกซึ้ง ฝึกในรูปแบบใดแบบหนึ่งก็ได้ แต่ให้มันมีผลออกมาว่า พฤติของจิตจะไม่เป็นไปโดยปราศจากสติ โดยจิตจะเคลื่อนไปโดยปราศจากสตินั้นไม่ได้ ฉะนั้นถ้าสมมติว่า จะฝึกย่างหนอเหยียบหนอยกหนอก็ตามว่า มันก็ต้องมีสติก่อนที่จะย่างหรือเหยียบหรือยก หรือกินหรือดื่มหรืออะไรก็ตาม และเค้าฝึกให้มีสติก่อนแต่ที่จะทำอย่างนั้นหรือพูดอย่างนั้น หรือแม้แต่จะคิดจะตัดสินใจ ก็ต้องมีสติก่อน พอได้หลักลงไปว่า มีสติก่อนจะทำจะพูดจะคิด เราก็รอดตัวไป มันรอดตัวไปได้ เรียกว่านับสิบก่อนเนี่ยะ เป็นสำหรับ...ไปเป็นบทเรียนสำหรับเด็กๆเลย ไม่รู้ธรรมะก็ได้ ไม่เกี่ยวกับศาสนาไหนก็ได้ ให้หัดไว้เป็นหลักทั่วไป สำหรับคนทุกคนนับตั้งแต่เด็กๆมา

สมัยผมมีเรียนหนังสือ นิทานสุภาษิต นับสิบก่อนนี้ สมัยคุณอาจจะไม่มีแล้วก็ได้ หนังสือเหล่านี้ เรื่องเด็กคนหนึ่งมันขี้มักโกรธขี้มักโมโห พ่อและแม่ก็สอนว่าก่อนจะโมโหออกไปให้นับสิบก่อน แล้ววันนั้นเค้าไปทำอะไรแก่พี่ชายน้องชายเค้าพลาดไป ก็นิ่งอึ้งอยู่ นับสินก่อนอยู่ในใจ คนที่ยืนอยู่ด้วยมันก็สงสัย นี้ทำไมล่ะ? ก็ถามดู ก็นับสิบก่อนดั่งที่พ่อเค้าสั่งไว้ ก่อนฉันจะพูดอะไรออกไป ว่าเดี่ยวนี้ฉันเกลียดแกเต็มทีแล้ว ทำอะไรหกทำอะไรทำนองนี้ เพราะเด็กเล็กๆก็ฝึกได้ โดยบทเรียนที่ว่า นับสิบก่อน คนโตก็ได้คนแก่ก็ได้คนเฒ่าก็ได้ มีสติเสียก่อน แต่จะพูดอะไรหรือจะทำอะไรคิดอะไร จะตัดสินใจอะไร มีสติเสียก่อน แต่มันช้าถึงขนาดนับสิบก่อน ก็เรียกว่า ก็ยังดีอยู่ พอใช้ได้หรือยังดีอยู่ นี่ชั้นที่ 1 อันดับ 1 ใช้ได้แม้แต่เด้กๆชาวบ้านผู้หญิงผู้ชายชาวไร่ชาวนาอะไรก็ตาม

ทีนี้ที่ว่าสูงขึ้นมาถึงขนาดจะเรียกว่า ดีมาก นี้ก็จะทำได้  มีสติก่อน...ที่จะมีพฤติของจิต แต่ผมจะใช้คำว่ามี สติก่อนทำกรรม กรรม...ก-ร-ร-ม มีสติก่อนทำกรรม ทีนี้กรรมเนี่ยะ คือกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นี้คุณก็พอจะเข้าใจได้มั๊งว่า ไอ้กายกรรมกับวจีกรรมเนี่ยะมันออกมาจากมโนกรรม มโนกรรมมันอยู่ลึกข้างใน พอรู้จักว่าคิดมันก็เป็นมโนกรรม จิตคิดว่าจะทำอะไรลงไปด้วยเจตนาอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างนี้เรียกว่ามโนกรรม แม้มโนกรรมนี้ก็ต้องมีสติเสียก่อน ที่มโนกรรมทำให้ออกมาเป็นกายกรรมวจีกรรมข้างนอกนี่ ยังช้าไปอีก แม้ถึงอย่างนั้นยังต้องมีสติเสียก่อน ที่จะประกอบกายกรรม หรือประกอบวจีกรรม อย่างใดอย่างหนึ่งลงไป จะให้ดีละก็ ถึงกับ มโนกรรมข้างในเนี่ยะ เรามีสติเสียก่อน ที่จะเป็นมโนกรรมออกมา แล้วเป็นกายกรรมวจีกรรมออกมาข้างนอกอีกทีหนึ่ง อย่างนี้ว่าดีมาก ให้คะแนนว่าดีมาก

แล้วดีเลิศน่ะเป็นยังไง? มีสติในขณะที่สัมผัสเรียกว่าดีเลิศ ตาถึงกันเข้ากับรูป จักษุคือตาเห็นกันเข้ากับรูปะ คือ รูป ก็เกิดจักษุวิญญาณขึ้น 3 ประการนี้ มีมาพร้อมกัน เรียกว่า สังคติ มาพร้อมกันนี้ เรียกว่า ผัสสะ ยังไม่เกิดอะไรตอนนี้มีแต่ ผัสสะ ในขณะผัสสะนี้ ให้สติมา ให้สติพลุ้งขึ้นมา ควบคุมผัสสะ ผัสสะนี้ก็ประกอบอยู่ด้วย สติ หรือ ปัญญา หรือ วิชชา นี่รับประกันได้แน่ ว่ามันจะไม่เกิดเวทนาโง่ เกิดตัณหาโง่ ซึ่งเป็นมโนกรรม พอเป็นเวทนาแล้วมันจะเกิดตัณหา ตัณหานั่นแหละคือมโนกรรม  ที่เลวร้ายที่ผิด เราไม่รอให้ถึงมโนกรรมนู้นน่ะ เราจะมีสติเสียตั้งแต่ในขณะสัมผัสนี้ อย่างนี้เรียกว่าดีเลิศ ถ้าเราไปถึงขั้นตัณหา ขั้นไอ้...มโนกรรมนู้นแล้วก็ยังดี ดีมาก ยังไม่เลิศ แต่ในระดับทั่วไป นับสิบเสียก่อนทำ มีสติยังพอทันแก่เรื่องแก่ราวนี้ก็ตามเถอะ แม้จะโกรธเสียแล้วก็ตาม  แต่เกิดคิดได้ นับสิบอยู่นี่ เป็นไปอย่าง ยังดีอยู่ ใช้คำว่า ยังดีอยู่ หรือพอใช้ได้

ดังนั้นมันจึงมี 3 ระดับ ตัวยังดีอยู่ แล้วก็ดีมาก แล้วก็ดีเลิศ ชั้นดีเลิศมันย่อมทำยากเป็นธรรมดา อันนนี้เป็นที่รู้กันอยู่ มันดีมากก็ทำยาก ถ้าดีเลิศก็ยิ่งทำยากไปอีก ต้องฝึกหัดโดยตรง จึงจะเป็นชั้นดีเลิศ แม้แต่ดีมากก็ยังยากเลย เอาเพียงว่า นับสิบก่อน ให้ได้ก็ยังดีอยู่ จึงหวังว่าที่เคยบวชเคยเรียนกันแล้วอย่างนี้ทุกคน ทุกองค์เนี่ยะ คงจะอย่างน้อยที่สุด ถือเอาไอ้ นับสิบก่อน นี้ให้ได้ ก่อนที่จะทำ  ละโกรธเกลียดกลัวอะไรลงไป จะพูดออกมาด้วยกายกรรมวจีกรรม ให้นับสิบก่อน ยั้งไว้ก่อน ฉะนั้นจึงไม่พูดคำหยาบ หรือว่าจึงไม่ไปฆ่าเขาตีเขาด่าเขาไปชกต่อยเขา

3 วิธีนี้เป็นการควบคุม พฤติจิตเต็มสำนึก ที่มีตัวกู-ของกู หรือที่จะเกิดตัวกู-ของกู เอาไว้ให้ได้ สรุปคำถามสั้นๆว่า ควบคุมไว้ได้ด้วยอะไร? ก็ควบคุมไว้ได้ด้วย สติ แล้วก็มีจิตเต็มสำนึกที่ประกอบอยู่ด้วยสติ ส่วนจิตสำนึกที่ไม่มีปัญหา ก็ไม่...ไม่ต้องทำอย่างนี้ มีเพียงสติธรรมดาสามัญสมประดี ตามสามัญก็ได้ ก็ทำได้ เช่นว่าคิดเลขอยู่ มีสมประดีคุมคิดเลขไป ทำวัตรสวดมนต์อยู่ก็มีสมประดีควบคุมให้ทำวัตรสวดมนต์ไป เป็นสติชนิดสมประดีตามธรรมดา

ในที่สุดเรื่องมันก็เหลือดนิดเดียวว่า พฤติจิตเต็มสำนึกนั้นมีอยู่ 2 ชนิด เกิดตัวกูก็มี ไม่เกิดตัวกูก็มี ไม่เกิดตัวกูก้แล้วไป ไม่มัปัญหาอะไร เกิดตัวกูเป็นอันตรายเนี่ยะ เป้นตกนรกทั้งเป็น ก็สัมผัสให้รู้จักได้ และควบคุมไว้ให้ได้ นี้หัวใจพุทธศาสนา แต่มาพูดในรูปแบบที่ฟังง่ายๆสำหรับคนธรรมดา ควบคุมตัวกู-ของกูได้นี้ก็เข้าไปตั้งค่อนพุทธศาสนาแล้ว ถ้าทำลายตัวกู-ของกูได้หมด ก็เป็นพุทธศาสนาเต็มที่เต็มเปี่ยมแล้ว มีสติก็ควบคุมได้ แล้วก็ควบคุมอยู่เรื่อยมันก็เหือดแห้งไปเอง จนไม่มีเหลือสำหรับจะเกิดอีก

ฉะนั้นขอให้ทุกองค์ๆรู้จัก จิตเต็มสำนึก ที่มีพฤติอยู่ ว่ามันมีอยู่ 2 ชนิดอย่างนี้ รู้จักให้ดีและควบคุมไว้ได้ เรื่องก็จบกัน ไปสังเกตศึกษาดูให้ดีเถิด ทุกๆเรื่องมันจะมารวมอยู่ที่นี้ เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา หรือว่าเรื่องทุกอย่างที่ว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนา ในที่สุดจะวกมาหาเรื่องมีสติ ควบคุมการเกิดขึ้นแห่งตัณหา อุปาทาน คือตัวกู-ของกู แต่บางเรื่องหรือโดยมาก เค้าไม่ได้อธิบายอย่างนี้ เค้าไม่ได้อธิบายกันไว้อย่างนี้ เค้าบอกให้ทำไปก็แล้วกัน ถ้าเราทำไปตามนั้นถูกวิธี มันก็มีผลอย่างนี้เหมือนกันแหละ ฉะนั้นข้อวัตรปฏิบัติทั้งหลายที่มีไว้สำหรับภิกษุ สามเณรจะพึงกระทำอย่างไร เค้าก็ทำไปได้ แล้วในที่สุดมันนจะวกมาหาอันนี้ มารวมอยู่ที่ขจัดตัวกู-ของกูเสียได้ เราใช้คำว่าตัวกู-ของกูเพื่อมันจำง่าย ทีนี้บาลีเค้าใช้คำว่า ตน หรือของตน ภาษาบาลีภาษาอารยันทั้งหลาย มันภาษาที่เค้าไม่มีระดับแห่งความหมาย อย่างภาษาอังกฤษเนี่ยะ ก็มีคำว่า I หรือ you 2 คำนี้ ใช้ได้ทุกความหมายที่เป็น มิตร เป็นเพื่อนรักก็ได้ ธรรมดาก็ได้ โกรธเกลียดมันก็ได้นี่ มันไม่มีคำอื่นพูด สู้ภาษาไทยเราไม่ได้ มีคำว่า "กู" ว่า  "มึง” ว่า “คุณ” ว่า “ฉัน” ว่า...หลายระดับแสดงความหมายได้ในตัวว่า รักหรือไม่รัก หรือว่าโกรธจัดเต็มที่แล้ว แล้วเป็นเรื่องของกิเลสมันก็ เราก็พูดกันว่า “ตัวกู-ของกู” เพราะฉะนั้นผมจึงเอาคำคู่นี้มาใช้ ในการอธิบายธรรมะ เรียกว่า “ตัวกู-ของกู”  ถ้าว่าเป็น”ตัวฉัน” เป็นอะไรไม่แน่ว่ายังมีกิเลสหรือมีกิเลส แต่ภาษาบาลีใช้คำกลางๆว่า ตัวตน หรือ ของตน ถ้าเป็นคำกลางที่สุด ยังไม่เกิดความรู้สึกมั่นหมายเป็นตัวตนของตน ที่เฉพาะชัดลงไปว่า อะหัง มะมัง มันไม่มีความหมายว่า ว่ากิเลสหรือไม่กิเลส มันคำกลางๆนี้ แต่เค้าก็พอจะเข้าใจกันได้ว่า เป็นคำว่ากิเลส อะหังการ คือตัวกู มะมังการ น่ะของกู แต่โดยเนื้อแท้แล้วคำว่า อะหัง หรือ มะมัง นี้มันไม่มีความหมายชัดอย่างนั้นน่ะ มันเป็นกลางๆ เป็นภาษาฝ่ายตะวันตกด้วยกัน มันก็มีคำอย่างนี้ คำเดียวใช้ได้ทั้ง ทั้งโกรธหรือไม่โกรธ นี้แหละ ซวย

ทีนี้เราจะพูดให้มันชัด ไม่ต้องกำกวมว่า พฤติของจิตเต็มสำนึกที่ประกอบอยู่ด้วยตัวกู-ของกูนั่นน่ะ คือนรก หรือไฟ หรืออะไรแล้วแต่จะคุณจะเรียก หรือชอบเรียก พอมีขึ้นก็เผาให้ร้อน เหมือนนรก นรกแห่งตัวกู ไม่มีนรกอะไรจะยิ่งไปกว่า เอ้า! หมดเวลาที่จะพูด ทีนี้ ถามปัญหาล่ะ ใครมีปัญหาอะไรมั่ง?

กระผมขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ตามที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ผัสสะที่ไม่มีสตินั้น ย่อมจะเกิดตัวตนขึ้นมาได้ กระผมมีความเข้าใจว่า จิตใดๆก็ตามที่กระทบผัสสะภายนอกแล้ว เกิดปรุงแต่งเป็นตัวตนขึ้นอย่างเต็มที่ หรืออย่างสมบูรณ์แบบ จิตนั้นๆย่อมประกอบอยู่ด้วยสติ เพราะว่าถ้าไม่มีสติแล้ว เขาจะเอาอะไรมาเป็นเครื่องระลึกในการปรุงแต่งนั้นๆครับ?

นั่นเค้าเรียกว่า สมประดีปกติของสิ่งที่มีชีวิต ที่เค้ายังมีตามองดูรูปได้ หูฟังเสียงได้ นี้เป็นคนปกติทั้งหลายไม่เมาไม่บ้าไม่หลับไม่สลบอย่างเนี่ยะ เค้าเรียกว่า มีสมประดี สัมประติก็คือสติเหมือนกัน แต่ไม่ใช่สติในความหมายที่พูด สติในความหมายที่พูดนี้ต้องให้ถือว่าเป็นคำบัญญัติเฉพาะ ว่าต้องฝึกอย่างนั้นแล้วจึงจะมีสติอย่างนี้ นี้คนธรรมดาสามัญแม้แต่เด็กๆก็ต้องถือว่ามันมีสติ มันเดินได้มันไม่หกล้มมันไม่สะดุดใครมันไม่โดนใครนี้ มันก็มีสติอย่างชนิด...อย่างที่มันมีตามธรรมชาติ ก็ไม่ได้เรียกว่าสติอะไรนัก ยังมีสมประดีอยู่ ไม่บ้าไม่เมาไม่หลับไม่สลบ นี้เราก็สามารถจะมีตาที่เห็นรูป ด้วยสมประดีชนิดนี้ ที่มีการสัมผัสกันแล้ว ในขณะที่สัมผัสนั้น ก็ยังไม่มีสติอย่างที่ว่า สติยังไม่รู้พุทธศาสนา สัมผัสนั้นก็ขาดสติ สัมผัสที่ขาดสติก็คือสัมผัสที่โง่ สัมผัสที่โง่ให้เวทนาที่โง่ เวทนาสำหรับจะให้เกิดตัณหาคือความอยากที่โง่ มันมีกว่าโง่กันตามลำดับ สัมผัสที่ปราศจากสติตามความหมายของพุทธศาสนา เรียกว่า สัมผัสอวิชชาสัมผัสโง่ สัมผัสโง่ให้เวทนาโง่ เวทนาโง่ให้ตัณหาคือความต้องการที่โง่ เมื่อมีอุปาทานยึดมั่นถือมั่นอย่างโง่ มันก็ได้มีภพมีชาติอย่างโง่ๆ แล้วก็ได้เป็นทุกข์ที่นั่นทันทีเดี๋ยวนั้นเอง ก็เรียกว่า อวิชชาเข้าไปเจืออยู่ตลอดสาย พระพุทธเจ้านั้นตรัสไว้ไพเราะที่ว่า สัพเพ สุธัมเม สุ อวิชชา อนุปฏิตา – วิชชานั้นตกไปในธรรมทั้งหลายทั้งปวง  ก็ย้อนกลับมาเป็นว่า ตานั้นมันก็โง่ ไอ้ตาของคนนั้นน่ะคือตาโง่ ไม่สัมผัส ถ้าสัมผัส-โง่ เวทนา-โง่ ตัณหา-โง่ อุปาทาน-โง่ อะไรโง่ๆๆๆ โง่หมด

ก็อย่าลืมว่า ผมได้บอกหลายหนแล้วนะว่า ไอ้ที่เราเรียนอะไรไม่รู้ไม่เข้าใจไม่ค่อยได้ ก็เพราะคำพูดมันใม่พอ คำพูดที่ใช้พูดนี้มันไม่พอ ความหมายไม่ตรงกัน ความหมายถือเอากันคนละอย่าง เช่นผมว่ามีสติ หมายถึงสติอย่างธรรมะ แล้วคุณก็ไปสติแบบลูกเด็กๆ ที่เป็นสมประดีธรรมดา น่ะ มันก็เลยทำให้เข้าใจกันไม่ได้ ใช้คำว่าสติเหมือนกัน สมประดีอย่างนี้สัตว์เดียรฉานมันก็มี แต่ว่าจะมีสติระลึกได้สัมปชัญญะความรู้ตัวนั้นมันยังไม่มี เอ้า!มีปัญหาอะไรอีก?

 

กระผมขอกราบเรียนถามอาจารย์ว่า การจัดการในการควบคุม ทำลาย ในพฤติของจิตที่เป็นสำนึก ไม่ให้มีความ มีตัวตน ในเด็กกับผู้มีอายุ 2 คน...2 พวกนี้ จะจัดการได้ต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร?

ก็มันแน่ๆ ในการที่จะฝึกฝนควบคุมตัวกู-ของกูนี้ มันไม่เหมือนกันหรอก ไอ้เด็กที่เพิ่งเกิดมาหรือเด็กที่ยังรู้จักโลกน้อย รู้จักชีวิตน้อย กับไอ้คนที่อายุมากแล้ว มันต่างกัน แต่ไม่ได้พูดว่าไอ้ใครจะได้เปรียบกว่ากันนะ คุณไปสัมผัสเอาเองอีกเถอะ ไอ้เด็กตัวเล็กๆเนี่ยะมันก็ยังมี ตัวกู-ของกูที่ยังไม่ลงรากมากนัก ไอ้คนแก่ๆนี้ก็มีตัวกู-ของกูที่ลงรากแน่นแฟ้นลึก มันก็ถอนยาก ถ้าเราทำเด็กๆให้เค้ามีความรู้เรื่องนี้ได้ ผมเข้าใจว่าคงจะง่ายกว่า หรือเร็วกว่าไอ้คนแก่ๆที่หนังเหนียว มันมีคำประหลาดๆในพระบาลีที่ว่า ไอ้ทารกนั้นยังไม่มีความรู้เรื่องปัญญา ไม่รู้เจโตวิมุติ อย่างนี้ก็มี ...หมายความว่า เจโตวิมุติปัญญาวิมุติ เป็นสิ่งที่เด็กๆก็มีได้ ถ้าถือตามพระบาลี เพราะเด็กคนนั้นไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุติปัญญาวิมุติแล้ว ก็จึงยินดี แล้วก็เกิดอุปาทานยึดมั่นเป็นตัวตน เป็นของตน เพิ่มขึ้น-เพิ่มขึ้น

ถ้าเราจะมีวัฒนธรรมระเบียบคำสอน ฝึกอะไรให้เด็กๆเค้ารู้จักควบคุมความรู้สึกประเภทนี้ เด็กคงจะละได้ง่ายกว่า เพราะมันยังอ่อนอยู่ โลกนี้คงจะดีมากทีเดียว เดี๋ยวนี้ไม่มี แล้วก็ปล่อยเด็กเจริญด้วยความรู้สึกประเภทตัวกู-ของกูเรื่อยมา จนกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงมาคิดละกัน ถ้าคุณสนใจคุณก็ไปทดสอบเอง ลองให้เด็กๆเค้ารู้จักไอ้เรื่องนี้ บางทีเค้าก็จะละได้เร็ว จะเป็นเด็กที่ดีได้ ต่างกันแน่ อันไหนจะได้เปรียบกว่ากันเสียเปรียบกว่ากัน ไปวินิจฉัยดูใหม่ ผู้บรรยายอาจจะได้เปรียบเพราะมีสติปัญญา เมื่อจะถอนกันจริงๆ ก็มีสติปัญญาที่จะถอนมากกว่าเด็ก แต่เรื่องของเด็กนี้ถอนง่ายกว่า เลยตอบไม่ได้โดยส่วนเดียวว่าเป็นยังไง ต้องเอาไปสัมผัสดูต่อไปอีก ก็จะพบความจริงนี้ด้วยตนเอง อ้าว!มีปัญหาอะไรอีก? ใครมีปัญหาอะไรอีก?

ขอกราบเรียนถามว่า ตามที่เขากล่าวกันว่าโมหะเป็นไฟนั้น เป็นไฟอย่างไร?

หึหึหึ...ราคัคคินา โทสัสคินา โมหะคินา พระพุทธเจ้าตรัสนะ ไม่ใช่เขานะ ราคะก็เป็นไฟ โมสะก็เป็นไฟ โมหะก็เป็นไฟ ความรักหรือความโลภเกิดขึ้นแล้วร้อน ความโกรธคือความประทุษร้ายเกิดขึ้นแล้วก็ร้อน ทีนี้ความโง่ความหลงใหลความสงสัย ความหยุดความวิตกกังวล ไม่ได้นี้ก็ร้อน เป็นไฟที่ไม่โพลงๆ เป็นไฟที่เห็นยาก เข้าใจยาก ไม่แสดงการเผาเหมือนกับราคะหรือโทสะ แต่ก็มีการเผาแน่ เผาให้มันเกิดความทุกข์ เมื่อเราสงสัยอะไรมากๆ ก็พอจะรู้สึกได้ ไม่มีความสุขเลย ความทึ่งความสนใจในอะไรที่มันมากไป พวก excite – excitation อะไรต่างๆเหล่านี้มันก็คือ ไฟโมหะ เราสบายเมื่อไหร่ล่ะ? เมื่อตื่นเต้น หรือเมื่อสงสัย หรือเมื่อกลัว หรือเมื่ออะไรก็ตาม เป็นทุกข์นะ

ผมถามคุณมั่งก็ได้ ว่าเมื่อกลัวผีอยู่น่ะ เป็นโลภะหรือโทสะหรือโมหะ เป็นไปครองตัวดู สนุกหรือไม่สนุก นี่จะรู้จักไฟโมหะ ก็รู้ไปเสียด้วยถึงคำว่า จักขุงอาทิตตัง โสตังอาทิตตัง... - ที่ว่าตาก็ลุกไหม้ หูก็ลุกไหม้ จมูกก็ลุกไหม้ ลิ้นก็ลุกไหม้ กายก็ลุกไหม้ ใจก็ลุกไหม้ ลุกไหม้ด้วยอะไร? ลุกไหม้ด้วยไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ นี่ที่เรียกว่า อาทิตตะปริยายสูตร สูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นสูตรที่ 3 หลังจากการตรัสรู้ แม้แต่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏทัพพะนี้ก็ลุกไหม้ แล้วก็มีราคะโทสะเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่จิตที่มันได้ไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นเลย ลุกไหม้ไปหมด จักขุวิญญาณโสตะวิญญาณฆานะวิญญาณก็ลุกไหม้ สัมผัสก็ลุกไหม้ เวทนาก็ลุกไหม้ ตัณหาก็ลุกไหม้ ถ้าลงอวิชชาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว มันจะเป็นไฟ มันจะลุกไหม้  มีปัญหาอะไรอีก?

ผมจะบอกว่าแม้เรียนนักธรรมเอกแล้ว ก็ยังเป็นเด็กอมมือ ในมาตรฐานของ ความรู้ทางธรรมะ ของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่จริง ไอ้ที่คุณเรียนอย่างขนาดเป็นนักธรรมเอกแล้วนั่นน่ะ มันยังเหมือนกับเด็กอมมือ สำหรับไอ้ที่ไม่รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าแบบเต็มมาตรฐาน ก็อย่าเพ่อ...อย่าเพ่ออะไร...อย่าเพ่ออวดดี เมื่อกี้เป็นเปรียญ 9 ประโยคแล้วมันก็ยังมีความรู้เหมือนกับเด็กอมมือ ที่จะไปรู้ไอ้ความจริงของธรรมะเต็มมาตรฐานของพระพุทธเจ้า เพราะว่าเรียนกันมาไอ้แต่การท่องจำ หรือว่าการจำไว้ตามกรอบรูปแบบที่สอนกันผิดก็มีนะ ผิดก็มีนะ ขอให้เข้าใจ ไม่ใช่ว่าถูกต้องแล้วยังไม่สมบูรณ์ ที่ผิดก็มี ก็ไม่รู้จะโทษใคร เค้าทำนี้ก็เพียงว่า ให้เป็นพื้นฐานที่ต้องเรียนกันก่อน แล้วก็ไปศึกษาต่อเอาเอง มันเข้ารูปเข้ารอยที่ผิดมันก็เลยเลิกเสีย ที่ถูกไม่ถูกต่อไปจนกว่าจะรู้จริง ถ้าขืนเรียนกันไปในนั้นหนักเข้าๆ มันก็จะเป็นรูปแบบคำนวณหมด คาดคะเน คำนวณตามเหตุผลเป็นปรัชญาบ้าๆบอๆโดยไม่รู้สึกตัว โยไม่รู้สึกตัวจริงๆด้วย เพราะเรียนพุทธศาสนา ไม่ถูกพุทธศาสนา จนกระทั่งไม่รู้ ทีนี้ก็ปล่อยไปตามบุญตามกรรม ไม่คิดจะดับทุกขืหรือว่าห้ามล้อกิเลส ถ้าใครเป็นนักธรรมเอกแล้ว หรือเป็นเปรียญ 9 ประโยคแล้วก็ตาม ไม่กล้าพูด ต้องใช้คำว่ากล้าพูดก็เพราะว่าผมเป็นเปรียญ 3 เท่านั้น ว่า...คุณจะต้องเรียนใหม่อีก ที่เรียนมาแล้วนักธรรมเอกนั้นอะไรก็ตามน่ะ คุณจะต้องเรียนใหม่อีกโดยวิธีสัมผัส ให้รู้จักกันจริงๆว่า ไอ้ตานั้นคืออะไร หูนั้นคืออะไร จมูกคืออะไร กระทั่งว่ารูปเสียงกลิ่นรสนั้นคืออะไร วิญญานคืออะไร ผัสสะคืออะไร เวทนาคืออะไร ให้มันรู้จริงๆ กระทั่งว่าขันธ์ทั้ง 5 คืออะไร สัมผัสลงบนขันธ์ 5 จริงๆ อย่าเอาตามที่ท่องจำมาจากในโรงเรียน เหมือนกับนกแก้วนกขุนทอง เดี๋ยวนี้คล้ายๆกับว่าเรา เราเริ่มรวมหัวกัน จับกลุ่มกันชำระสะสางกันใหม่ ให้มีความรู้ความเข้าใจถูกต้องยิ่งขึ้นทุกที ก็เราทำได้เพียงเท่านั้น เพราะที่สอนกันไว้เป็นรากฐานผิดๆก็แย่ พูดกันอยู่ๆอย่างผิดๆก็แย่ ตามศาลาวัดก็ดีไหนก็ดี พูดกันอยู่อย่างผิดๆก็มาก ที่ถูกก็มี แต่ว่าที่ถูกนั้นน่ะก็ถูกเพราะว่าจำมาได้ ตามที่เขาสอนแล้วก็เผอิญมันสอนถูก  คนนั้นไม่ได้สัมผัสไอ้สิ่งนั้นๆจริงๆ  เช่นว่า ขันธ์ 5 คืออะไร นี่ก็ไม่รู้ ไม่ได้สัมผัส แต่พูดเรื่องขันธ์ 5 ถูกต้อง แต่แล้วก็น่าหัวที่ได้พูดเรื่องขันธ์ 5  ผิดๆ อย่างไม่รู้ผิดยังไงก็มีอยู่ เช่นว่าเรามีขันธ์ 5 ครบทั้ง 5 อยี่ตลอดเวลาอย่างนี้เป็นต้น บางคนหนักเข้าไปอีกว่า แม้เราหลับอยู่เราก็มีขันธ์ 5 ครบทั้ง 5 ....อย่างนี้มันหนักขึ้นไปอีก เพราะที่แท้เราจะมีขันธ์ 5 คราวเดียวครบทั้ง 5 ไม่ได้ มันจะเกิดทะยอยๆๆกันไป จนครบเรื่อง รู้จักขันธ์ 5 โดยการสัมผัสลงบนขันธ์ 5 จริงๆ อย่างแจ่มแจ้ง นี้ไม่เล็กน้อยนะ มากทีเดียวแหละ มากใกล้กับความเป็นพระอรหันต์ทีเดียว คืออย่างจะได้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้จริง เดี๋ยวนี้มันขันธ์ 5 ท่องจำ ขันธ์ 5 สวดมนต์ ขันธ์ 5 ท่องจำ แล้วเราก็จะพูดเรื่องขันธ์ 5 กันอีกสักทีก็ได้นะ วันนี้หมดเวลาแล้ว และก็ปิดประชุม.

 https://youtu.be/U3yu_9UqONQ

 

พุทธทาสภิกขุ - ความรู้สึกเกี่ยวกับ พระพุทธศาสนาในถิ่นไทยสุดทางใต้

 

ความรู้สึกเกี่ยวกับ

พระพุทธศาสนาในถิ่นไทยสุดทางใต้*

* เรื่องนี้ เป็นบันทึกตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๘ นมนานมาแล้วบัดนี้เหตุการณ์เปลี่ยนไปมาก การนำมาพิมพ์ไว้ที่นี้ เป็นเพียงเพื่อประกอบการพิจารณาบางอย่างเท่านั้น, ข้อความบางอย่างที่ได้ตัดออกเสีย เมื่อบทความนี้ได้รับการพิมพ์ครั้งแรก ก็ยังมี.

         เมื่อเดือนเมษายนที่แล้วมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเที่ยวชมกจการและภาวะทางพุทธศาสนาบางอย่าง ในถิ่นของชาวไทยสุดแดนนทางทิศใต้ ได้ไปที่ จ. นราธิวาส และเลยไปกลันตันอันได้ตกไปเป็นเขตของอังกฤษ มีเรื่องน่าบรรยายสู่กันฟังอยู่บ้าง เพื่อประโยชน์ทั้งแก่ผู้ฟัง และสิ่งที่ถูกนำมาบรรยายเท่าที่ข้าพเจ้าได้ไปเห็นมาชั่วเวลาเล็กน้อย

 

ที่จังหวัดกลันตัน

         กล่าวได้ว่า ในดินแดนไทยที่ตกเป็นของอังกฤษแล้วนั้น มีพี่น้องชาวไทยเราอาศัยอยู่สุดสิ้นลงเพียงจังหวัดนี้เท่านั้น ต่อนั้นไปไม่มี (นี่หมายถึงที่มีภูมิลำเนาเป็นหมู่บ้านจริงๆ มาแต่ครั้งยังเป็นขอไทย) พลเมืองของจังหวัดนี้เป็นแขกมลายู มีคนไทยเป็นส่วนน้อยแทรกอยู่เป็นหมู่เล็กๆ มีวัดอยู่กลางประจำหมู่บ้าน ทั้งจังหวัดมีเพียง ๑๗ วัด. ไม่มีวัดที่ในตัวเมือง (โกตาบารู) มีแต่ที่หมู่บ้านนอกๆ ห่างเมืองออกไปมาก คนไทยในแถบนี้ มีรูปร่างการแต่งกายน้ำเสียงเหมือนกับแขก นอกจากจะสังเกตตรงที่พูดภาษาไทย และยกมือไหว้พระเมื่อพบแล้ว ดูหมือนจะสังเกตยากทีเดียวว่าเป็นแขกหรือไทย ถ้าพบเขาภายนอกบ้าน ข้าพเจ้าใครจะยืนยันว่า “เขาไหว้พระกันทุกคน”

         พี่น้องชาวไทยเหล่านี้ แม้จะต้องขยันในกิจการงานอาชีพยิ่งกว่าชายไทยในเขตสยาม (เพราะการเก็บภาษีรายได้แรงกว่า) ก็จริง แต่กระนั้นก็ยังพยายามหาอกาสไปสู่วัดเพื่อบำเพ็ญกิจทางพุทธศาสนา ดูราวกับว่า วัดเท่านั้นที่เป็นเครื่องชุ่มชื่นใจของเขาทั้งหลายยิ่งกว่าสิ่งอื่น วัดได้เป็นคู่ทุกข์คู่ยากอย่างที่จะแยกกันมิได้ดังจะเห็นได้ว่า ทุกๆเย็นมีชาวบ้านจำนวนสิบๆคนไปที่วัดพร้อมกันสวดมนต์และสนทนาธรรมทุกๆวันทั้งปีๆ มิใช่เฉพาะแต่วันอุโบสถหรือคราวพรรษาเป็นต้น. ได้ช่วยกันประคับประคองวัดไว้ได้เป็นปรกติราบรื่น ทั้งที่มิได้รับความช่วยเหลือจากทางบ้านเมืองของรัฐบาลอังกฤษแต่อย่างใด นอกจากการคุ้มภัยตามธรรมดาบ้านเมือง และปล่อยให้จัดการเอาเองเท่านั้น.

         ที่นี่ไม่ได้มีการปกครองคณะสงฆ์อย่างในสยาม วัดใครๆปกครองจัดการวางระเบียบแบแผนกันเองไม่ขึ้นวัดอื่น หรือมีเจ้าคระปกครองเป็นชั้นๆ เพราะเหตุนี้การศึกษาธรรมจึงไม่มีเป็นกิจจะลักษณะ นอกจากศึกษากันเองด้วยหนังสือที่ได้ไปจากสยาม เรื่องนี้แทนที่จะเห็นเป็นของน่าติเตียน ขอให้ช่วยเห็นอกและสงสารพี่น้องชาวไทยเหล่านัน ที่ช่วยประคองพุทธศาสนาเท่าที่มีอยู่ให้หานสาผสูญไปเสียได้. การเรียนหนังสือไทยไม่มีสอนในโณงเรียน อาศัยศึกที่วัดเมื่อจะบวช จึงยิ่งเป็นการยากอีกอย่างหนึ่งที่จะมีการศึกษาธรรมและบาลีอันเจริญ ได้เหมือนในเขตสยาม ซึ่งมีการศึกษาหนังสือไทยเป็นพื้นเดิมอยู่ก่อนแล้ว.

         พี่น้องชาวไทยที่นั่นกำลังต้องการธรรมทั้งฝ่ายปริยัติและปฏิบัติ ดังข้าพเจ้าสังเกตเห็นจากการให้มีธรรมเทศนาถึงสองครั้งชั่วขณะที่ข้าพเจ้าพักอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งไม่กี่ชั่วโมง ขอพี่น้องชาวไทยในสยามจงช่วยกันทำความติดต่อและช่วยเหลือพี่น้องที่ยังตกอยู่ในถิ่นอันไกลนั้น ตามควรเถิด ทาลที่จะช่วยก็เช่นส่งหนังสือที่เป็นประโยชน์แก่การศึกษาไปให้ หรือส่งครูไปให้ หรือถ้ามีเวลาก็ไปอบรมสั่งสอนให้โดยตนเองสมทบกับภิกษุที่มีความสามารถอยู่บ้างทางโน้นแล้ว ถ้าคณะสงฆ์หรือมหามกุฏราชวิทยาลัย หรือผู้ที่มีอิทธิพลในการพระศาสนาผู้อื่นๆ จะแผ่เมตตากายกรรมไปยังพี่น้องชาวไทยเล่านี้บ้างแล้วจะเป็นกุศลแก่คนไทยในถิ่นนี้หาน้อยไม่, เป็นการช่วยเหลือคนไทยอย่างทั่วถึง ดุจฝนตกทั่วทุกหย่อมหญ้าทีเดียว.

 

ที่จังหวัดนราธิวาส

         ควรทราบเสียก่อนว่า ทางสุดแดนสยามทางใต้นั้น การพระศาสนายังไม่สู้เจริญ เนื่องจากพลเมืองเป็นคนไทยอิสลามแทบทั้งนั้น การปกครองทางคณะสงฆ์ได้รวมเอา จ.นราธิวาส จ.ยะลา จ.ปัตตานี เข้าเป็นจังหวัดเดียวกัน เพราะมัดมีพระภิกษุสามเณรน้อย

         สำหรับ จ.นราธิวาส ทางคณะสงฆ์เป็นเพียงแขวง(อำเภอ)ที่ศูนย์กลางจังหวัด มีวัดเพียงวัดเดียว และก็พอเพียงแก่ความต้องการของพลเมืองในบริเวณจังหวัดนั้นแล้ว กิจการพระศาสนาทางฝ่ายวัตถุ (การก่อสร้าง) การปริยัติ และการปฏิบัติ นับได้ว่าเริ่มเจริญขึ้นเป็นลำดับ

         วัดบางนราได้ให้ปฏิสันถารแก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างดี จนนอกจากจะลืมเสียมิได้แล้ว ยังจะต้องนำมากล่าวไว้ในที่นี้อีกด้วย. ปรกติของพลเมืองที่บางนรานั้น ข้าเพจ้าใคร่จะกล่าวว่า ต้องการธรรมะชั้นกาง และชั้นสูงมากกว่าศีลธณรมขั้นต่ำ เช่นศีลห้า คงเนื่องจากปรกติของคนแถบนี้ สุภาพเรียบร้อยอยู่เองแล้ว เจ้าหน้าที่บ้านเมืองย่อมทราบความข้อนี้ได้ดี ถึกับกล่าวกับข้าพเจ้าก็หลายคน ที่ข้าพเจ้าสังเกตเห็นเองก็มีมาก เช่น การทิ้งสิ่งของเครื่องมือใช้ไว้ตามศาลาหรือที่อื่นๆซึ่งไม่มีคนรักษาก็ปลอดภัย ต่างกับที่จังหวัดอื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางในกรุงฯ ถ้าชาวนราจะรักษาเกียรติอันนี้ไว้ได้ยั่งยืนแว จะชื่อว่าเป็นแดนแห่งศีลธรรมประเภทนี้ได้เริ่มเสื่อมลงพอสังเกตเห็นได้ เชื่อกันว่าเป็นเพราะชาวแปลกถิ่นมาก่อ หรือมาสอนให้กลับกลายนิสัย. นราที่เคยต้องการการอบรมสั่งสอนศีลธรรมขั้นต่ำแต่น้อยๆ จะกลายเป็นเริ่มต้องการมากขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าใครจะเตือนให้พี่น้องชาวนรารู้ตัวไว้ให้ทันท่วงที เพื่อการป้องกัน หรือการแก้ไขอันเหมาะสม

         เป็นการน่าประหลาดอีกอย่างหนึ่ง ที่ทางปลายแดนเช่นนี้ทั่วไปนี้ยังมีการสอนวิปัสสนาแบบปรำปราเหลืออยู่ ยังมีฆราวาสเป็นครูสอน มีศิษย์เป็นฆราวาสชาวบ้าน ไม่มีภิกษุสามเณรเลย, ซึ่งถ้าฟังไม่ชอบด้วยเหตุผลแล้ว ผู้ฟังอาจเข้าใจไปว่า นักวิปัสสนามีแต่ที่เป็นชาวบ้าน ไม่มีที่เป็นภิกษุสามเณร คล้ายกับว่าภิกษุสามเณรกลับมีธุระห้าที่ตรงกันข้าม. ข้อนี้เป็นเพราะการสั่งสอนประเภทนี้ในที่นี้ในที่นี่ยังไม่บริสุทธิ์สะอาดพอที่จะให้ภิกษุสามเณรหรือพุทธบริษัทผู้มีการศึกษามามากพอควรแล้วเลื่อมใสและเชื่อถือได้ เช่นงยังมีการเก็บค่าธณรมเนียม การไม่ยอมตอบข้อซักถามของผู้อยากทราบเป็นต้น โดยในส่วนนี้เราอาจสรุปได้ ว่าในถิ่นที่ศีลธรรมของชาวเมือง ยังไม่ถูกทำลายด้วยการเจริญหรือเศรษฐกิจแผนใหม่เอี่ยมนั้น ชาวเมืองย่อมต้องการความสุขในทางธรรมสูงขึ้นไป ถึงกับศึกษาในส่วนใจด้วยความหวังสุข ถ้าเป็นโชคดีที่มีการสั่งสอนอย่างบริสุทธิ์ถูกทางก็ดีไป, ถ้าพลาดก็อันตรายเต็มที เพราะเป็นช่องให้เพื่อนพุทธบริษัททั้งลหายช่วยทำอารักขาให้แก่กันในส่วนนี้ให้มาก เราจึงจะปลอดภัย และฐานะของวิปัสสนาธุระหรือการปฏิบัติธรรมขั้นสูง จะไม่ถูกเหยียบย่ำดูแคลนโดยคนที่เข้าใจผิด, พุทธศาสนาอันเป็นที่รักร่วมกันของชาวเรา จึงจะส่องแสงรุ่งโรจน์ขึ้นได้โดยลำดับ.

         ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนี้มีวัดที่สะอาดอากาศดีน่าอยู่อาศัยแต่ข้าพเจ้าพักที่นี่ไม่นาน ยกาที่จะทราบถึงสภาพความเป็นอยู่ละเอียด แต่เท่าที่สังเกตเห็นพอจะสรุปได้ว่า ศีลธรรมของชาวเมืองยังคงสะอาดดีเหมือนอากาศที่นั่นอยู่นั่นเอง นอกจากนั้นก็ตามธณรมดาของถิ่นอันอยู่สุดปลายแดนดังกล่าวแล้ว วัดชลธาราสิงเหของถิ่นนี้ได้ให้การปฏิสันถารอย่างน่าอิ่มใจเช่นเดียวกัน.

         ที่อำเภอสุไหงบาดีของจังหวัดนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นนายอำเภอใช้เวลาว่างขวนขวายเพื่อความเจริญของพระศาสนา หรือศีลธรรมของพลเมือง โดยทำนองเดียวกัน เป็นที่หวังได้ว่า แม้ว่ายังมีความเจริญอย่างกะปลกกะเปลี้ย ก็เป็นการดำเนินขึ้นสู่ความเจริญเรื่อยๆตามฐานะ เป็นที่น่าปลื้มใจอยู่ ในถิ่นที่มีแต่ไทยอิสลามเป็นส่วนมากเช่นนี้ ย่อมก้าวได้ช้าๆที่ ตำบลโกโล๊ะของอำเภอนี้มีวัดที่เป็นอยู่อย่างน่าประหลาดใจอยู่วัดหนึ่ง คือ เป็นวัดที่สร้างขึ้นและตั้งอยู่ได้โดยอาศัยความพร้อมเพรียงของคณะพนังานรถไฟ พนักงานรถไฟทุกแผนก ตั้งแต่สุไหงโกลก (สุดแดนไทยทางใต้) ขึ้นมาถึงหาดใหญ่ ยอมเฉลี่ยรายได้บำรุงตามกำลัง. ที่วัดนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นพระภิกษุจำนวนยี่สิบเศษ และเด็กวัดรวมทั้งเจานาคจำนวนสามสิบเศษทั้งที่ชาวบ้านรอบๆ วัดเป็นไทยพุทธศาสนิกไม่กี่สิบคนเลย มีแต่ไทยอิสลามแทบทั้งนั้น.

         ข้าพเจ้าพยายามจดจำเหตุการณ์เล่านี้มาบรรยาย ให้ท่านผู้เป็นเพื่อนพุทธบริษัททั้งหลายฟังโดยมิได้หวังอย่างอื่นนอกจากหวังว่า ท่านผู้ฟัง, สิ่งใดที่อาจเป็นทิฏฐานุคติแก่ตนหรือถิ่นของตนได้แว ก็จักได้ถือเอา ถ้าเห็นส่วนใดที่เป็นโอกาสให้ตนได้ช่วยเหลือชาวไทยในสุดแดนทางใต้แล้ว ก็ขอให้ช่วย, เพราะตามความสังเกตของข้าพเจ้าเห็นว่า การพุทธศาสนาทางสุดแดนทาใต้ของสยามนั้น ยังมีความเจริญย่อหย่อนกว่าทางอื่นอยู่มาก และเชื่อว่ากำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่อย่างไม่น้อยเลย.

 

๓ พฤษภาคม ๒๔๗๘

(จากหน้า ๓๑๔ - ๓๑๙ ของหนังสือ “ชุมนุมข้อคิดอิสระ” โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ.)



วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ประวัติทั้งหมดของ โลก และ ชีวิต

 

ประวัติทั้งหมดของ โลก และ ชีวิต

The Whole History of the Earth and Life

 

ตอนที่ 1: จุดกำเนิดของ โลก – The Origin of the Earth

* 4.567 พันล้านปีก่อน: การก่อรูปแบบของระบบสุริยะ (the formation of the solar system)

         มากกว่า 4.5 พันล้านปีล่วงมาแล้ว, กาแล๊กซี่ทางช้างเผือก(the Milky Way galaxy) ประสานงาปะทะกัน(collided)กับ กาแล๊กซี่แคระ(dwarf galaxy)ที่อยู่ใกล้เคียง(nearby).

         การเจอกันโดยบังเอิญนี้(this encounter)เร่งเร้า(hastened)การก่อรูปแบบของดาวทั้งหลาย(formation of stars). ระบบสุริยะของเรา(our solar system)เป็นส่วนหนึ่งของกาแล๊กซี่ทางช้าวเผือก(the Milky Way galaxy).

         ภายในระบบสุริยะ, การเคลื่อนไหวโคจรของวัตถุ(material circulation)ได้พัฒนาอย่างช้าๆ(progressing).

         ส่วนประกอบของน้ำจากภาคส่วนภายนอก(outer region)ได้กลายเป็นไอ(evaporated)ที่พยายามจะสร้างวัตถุทั้งหลาย(to make materials try).

         โดยผ่านขบวนการพัฒนานี้(this process), อนุภาคทั้งหลาย(particles)ได้ถูกแจกจ่ายแบ่งปันแบบมีขอบเขต(zonally distributed) ขึ้นอิงอยู่กับปริมาณที่บรรจุอยู่ของน้ำของพวกเขา(depending on their water content). การไหลของสองขั้ว(bipolar flow)ได้หยุดลง(stopped). และด้วยการหมุนโคจรของวัตถุ(it material circulation).

         บางภาคส่วนทั้งหลาย(some regions)รอบๆดวงอาทิตย์(the Sun), ด้วยอนุภาคที่มีความหนาแน่นสูง(high particle density)ได้ปรากฏ(appeared)ขึ้น.

ภายในการปะทะกันของภาคส่วนเหล่านี้อย่างบ่อยครั้ง(regions collisions frequently), ได้เกิดอนุภาคขนาดเล็ก(small particles)ทีละน้อย, เติบโตขึ้นกลายไปเป็นดาวเคราะห์น้อยทั้งหลาย(planetesimals).

ดาวเคราะห์น้อยทั้งหลาย(planetesimals)ดำเนินต่อไปในการชนปะทะกับอนุภาคที่เล็กกว่า(smaller particles)และกับดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นๆ(planetesimals), ในที่สุด(eventually)เติบโตขึ้น(growing to)เป็น ดาวเคราะห์ใหญ่ทั้งหลาย(planets) ดังเช่น โลก(the earth).

* 4.56 พันล้านปีก่อน: การก่อรูปแบบของ โลก (The formation of the Earth)

         ดาวเคราะห์จำนวนหนึ่ง(a number of planets)ได้เคลื่อนที่ในลักษณะวงโคจรเดียวกัน(the same orbit).

         โลกในตอนเริ่มแรก(the early Earth)ได้ชนปะทะ(collided)กับดาวเคราะห์เล็กกว่าขนาดๆเท่าดาวอังคาร(a smaller mars-sized planet).

 

* 4.55 พันล้านปีก่อน: การชนปะทะขนาดยักษ์ (Giant impact)

         เศษชิ้นส่วนที่แตกหัก(debris)จากการชนปะทะนี้(this impact)ในที่สุด(eventually)ได้กลายมาก่อรูปขึ้น(to form)เป็นดวงจันทร์ของเรา(our moon).

         ระบบโลก-ดวงจันทร์(the earth-moon)อย่างที่เรารู้กันในทุกวันนี้ว่าได้เข้าที่แล้ว(in place).

 

ตอนที่ 2: การเริ่มต้นของ การแปรสัณฐานทั้งหลายของเปลือกโลก(Initiation of Plate Tectonics)

         ดาวเคราะห์น้อยทั้งหลาย(planetesimals)นับไม่ถ้วน(countless)และดาวเคราะห์น้ำแข็งทั้งหลาย(icy planets)โจมตีทิ้งระเบิดลงมา(bombarded)ใส่ดาวโลกแห้งแล้งในตอนเริ่มแรกนี้(the early dry earth).

ด้วยการทิ้งระเบิดลงมาใส่นี้, น้ำ(water)ได้อุดมด้วยดาวเคราะห์น้อยทั้งหลาย(planetesimals), โลกได้กลายมาห่อหุ้ม(enveloped)ด้วยระบบบรรยากาศมหาสมุทร(an ocean atmosphere system).

 

* 4.37 – 4.20 พันล้านปีก่อน: การก่อรูปแบบของ ชั้นบรรยากาศและมหาสมุทร (The formation of atmosphere and ocean)

         ไอน้ำในชั้นบรรยากาศ(water vapor in the atmosphere)ผลิตสร้าง(produced)ฝน(rain), ยก่อรูปเป็นมหาสมุทร(forming an ocean). ความกดดันของชั้นบรรยากาศ(the atmospheric pressure)ค่อยๆทำให้ชั้นบรรยากาศที่อุดมด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง(decreased the carbon dioxide atmosphere) เปลี่ยนผ่าน(transitioned)ไปสู่มหาสมุทรของ CO2 ปกคลุม(covering)มหาสมุทรน้ำนั้นไว้(the water ocean). คาร์บอนไดออกไซด์ยังรวมตัวเข้ากับส่วนประกอบทั้งหลายของหิน(combined with rock components)และได้ถูกขนส่ง(transported)ไปสู่ก้นมหาสมุทรผ่านการผุพังของตนเองและการกัดกร่อน(weathering and erosion).

         ในเวลานี้(at this time)มหาสมุทร(the ocean)ยังคงเป็นพิษ(toxic)ด้วยสารละลายของเกลือ(salinity)และโลหะทั้งหลายที่มากมายเกินไป(overabundance of metals). มันเป็นพิษเกินไป(too toxic)ที่จะสนับสนุนชีวิต(support life).

 

* 4.37-4.20 พันล้านปีก่อน: การเริ่มต้นแปรสัณฐานทั้งหลายของเปลือกโลก (The initiation of plate tectonics)

         เปลือกโลกที่ลอยตัวอยู่(upwelling mantle)ได้ขึ้นมาแทนที่(displaced)เปลือกมหาสมุทรทั้งหลายข้างบน(the oceanic plates above). การยกตัว(uplift)ของเปลือกโลก(the plate)โดยผิวหุ้มห่อของเหลวและก๊าซร้อน(mantle convection)ทำให้เกิดการเลื่อนไหลในแนวราบ(horizontal slippage)ไปตามน้ำหนักของเปลือกโลกนั้น(due to the plate).

         นี่คือการแปรสัณฐานของเปลือกโลกทั้งหลายในการปฏิบัติการ(in action).

         เปลือกโลกที่เป็นมหาสมุทร(the oceanic plate)ดึงตัวลง(subducting)ไปใต้เปลือกทวีปที่เบากว่า(the lighter continental plate).

         ตะกอนสภาวะอากาศทั้งหลาย(weathered sediments)ทำให้มหาาสมุทรที่เป็นกรดอย่างสูงได้เป็นกลางลง(neutralized the ultra acidic ocean). โลหะหนักทั้งหลาย(heavy metals)ได้ตั้งถิ่นฐานลงตัวออกมา(settled out)และกลายมาเป็นถูกยึดติด(fixed)เป็นตะกอนทับถมที่สันแกนกลางของมหาสมุทร(as deposits at the mid-ocean ridge). ตะกอนทับถมเหล่านี้(these deposits)ได้ถูกขนส่ง(transported through)ผ่านไปตามการแปรสัณฐานของเปลือกโลก(the plate tectonics)เข้าไปสู่เปลือกโลกระดับลึก(the deep mantle).

อย่างช้าๆ(gradually), มหาสมุทรก็ค่อยๆกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่สามารถอยู่อาศัยได้(a habitable environment).

ในราว 4.2 พันล้านปีก่อน, แกนของเหลว(a liquid     core)ได้ก่อรูป(formed)ขึ้นในศูนย์กลางของโลก(in the center of the earth), การหมุนเวียนพาความร้อน(convection)ภายในแกนของเหลว(the liquid core)ได้สร้างสรรค์(created)สนามแม่เหล็กอย่างแรงขึ้น(a strong magnetic field)ล้อมรอบ(surrounding)โลก(the earth).

สนามแม่เหล็กโลกนี้(this geomagnetic field) เป็นโล่(shields)ให้กับพื้นของผิวโลก(the Earth’s surface)ปกป้องจากรังสีคอสมิคทั้งหลาย(cosmic rays).

พื้นผิวของโลก(the Earth’s surface)ได้เกือบใกล้ความพร้อมสำหรับชีวิต(nearing readiness for life)

 

ตอนที่ 3:    การเกิดของ ชีวิต-ดั้งเดิม(Birth of Proto-Life)

โลกในตอนเริ่มแรกเมื่อชั้นบรรยากาศ(the atmosphere)ได้ถูกกีดกัน(prevented) แสงอาทิตย์จากการมาถึงพื้นผิว(the surface), ชีวิตดึกดำบรรพ์(primitive life)ต้องเกือบโผล่ออกมาจากใต้ดิน(emerge underground)ในถ้ำของน้ำพุร้อน(the cave of a geyser).

สินแร่ยูเรเนียม(uranium ore)ปล่อยรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาจำนวนมาก(emitted large amount of radiation)ได้รังสรรค์(creating)พิสัยหลากหลายของวัตถุทั้งหลาย(a diverse range of materials) และในที่สุด(eventually), ได้ผลิต(producing)ตัวต่อก่อรูปของชีวิตในยุคเริ่มแรก(the early building block of life).

น้ำเดือด(boiled)และขึ้นไปสู่พื้นผิว(surface)และน้ำที่พื้นผิว(the surface water)ก็ไหลกลับลงมาเข้าไปในปฏิกิริยาปรมาณูของธรรมชาติ(the natural nuclear reactor).

อุณหภูมิน้ำของน้ำพุร้อน(the temperature of the geyser water)ยังเหลืออยู่(remained)ต่ำกว่า 100 องศาเพื่อปกป้องโมเลกุลชีวะที่ก่อรูปขึ้นใหม่(the newly formed biomolecules).

สภาพแวดล้อมใต้ดิน(the underground environment)ได้ลดตัวลง(reductive)ขณะที่สภาพแวดล้อมของพื้นผิวโลก(the surface)รวมตัวกับออกซิเจน(oxidizing). สภาวะเหล่านี้(these conditions)เป็นสิ่งจำเป็นที่จะสังเคราะห์(synthesize)โมเลกุลชีวะทั้งหลาย(biomolecules).

ในแรงน้ำขึ้นน้ำลงที่ซ่อนอยู่นี้ของโลก(the Earth’s hidden’ya tidal forces)ถูกประกาศออกมามากมายกว่าที่พวกเขาเป็นในวันนี้(today).

แม้กระทั่งทะเลสาบทั้งหลาย(lakes)ก็ได้มีการคับคั่งชุมชนไหลท่วมท้นสำคัญของน้ำ(significant urban flow of water), สร้างวงจรของการเปียกและแห้ง(wet and dry cycles).

วงจรการเปียกและแห้งนี้(these wet and dry)เป็นหนึ่งของปัจจัยสำคัญมากที่สุดทั้งหลาย(one of the most crucial factors)ในการผลิตสร้าง(in producing)ตัวต่อก่อรูปของชีวิต(the building blocks of life).

กรดไขมัน(fatty acids)มาด้วยกัน, ห่อหุ้มโมเลกุลของชีวิตดั้งเดิมทั้งหลาย(the proto-life molecules).

กระบวนการก่อเกิดสารโพลีเมอร์(polymerization)ได้พัฒนาก้าวหน้า(progressed)ภายใต้วงจรเปียกและแห้ง(under the wet and dry cycles). ในท้ายสุด(eventually), โปรตีน(protein),  เหมือนวัตถุพื้นฐานทั้งหลาย(basic materials)ที่สามารถกระทำตนเหมือนเป็น(act as)ตัวเร่งปฏิกิริยา(catalyst)ได้ถูกผลิตสร้างขึ้น(produced).

โมเลกุลเหล่านี้(these molecules)หมุนเวียน(circulated-เคลื่อนไหวเป็นวง)ระหว่างถ้ำน้ำพุร้อน(the geyser cave)และสภาพแวดล้อมของพื้นผิว(the surface environment).

การมีปฏิสัมพัทธ์ทั้งหลายของโมเลกุลเหล่านี้(the interactions of these materials)นำไปสู่โมเลกุลชีวะที่สลับซับซ้อนมากขึ้น(more complex biomolecules).

RNAดั้งเดิม(proto-RNA) ประกอบเข้ากันด้วยเอนไซม์(enzyme)เหมือนวัตถุพื้นฐาน (basic materials)และวิวัฒนะ(evolved)ไปสู่ ไรโบไซมสิ์(ribozymes). ที่มีความสามารถ(ability)ที่จะทำสำเนาซ้ำตัวเอง(ability replicate themselves).

สิ่งนี้ทอดวางรากฐาก(the groundwork)สำหรับชีวิต(life)ที่จะผลิตสร้างซ้ำ(reproduce). ในที่สุด(finally), โมเลกุลเหล่านี้ได้ถูกปิดหุ้ม(enclosed)ภายในเยื่อหุ้มอินทรีย์ไขมันทั้งหลาย(lipid membranes), ก่อรูปเซลล์ชีวิตดั้งเดิมดึกดำบรรพ์(forming primitive proto cellular life).

 

* 4.1 พันล้านปีก่อน: การเกิดของชีวิตแรก-ดั้งเดิม (The birth of first proto-life)

         นี่คือการเริ่มต้นของชีวิต(the beginning of life).

 

ตอนที่ 4:    ขั้นแรกของชีวิต(The Initial of Life)

* 4.37 - 4.20  พันล้านปีก่อน: การสูญเสียทวีปแห่งยุคเริ่มแรกของโลก และ ยุคของสนามแม่เหล็กโลกอันรุนแรง(The loss of the primordial continent and the generation of a strong  geomagnetic field)

         การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกทั้งหลาย(the Earth’s tectonics)ที่ได้เริ่มต้นด้วยการรังสรรค์(creation)มหาสมุทรของมัน(its ocean), ในที่สุด(eventually), ได้ทำลาย(destroyed)ทวีปยุคเริ่มแรกของมันเอง(its primordial continent)และจัดรวมหมู่(subsumed)มันไปยังเปลือกโลกระดับลึก(deep mantle).

         ราวสี่พันล้านปีมาแล้ว, ทวีปแม่(mother continent)ได้หายไป(disappeared), ปล่อยทิ้งให้ชีวิตบนขอบเกินของเศษชิ้นส่วนของแผ่นดินทวีป(the margins of a fragmented landmass).

         ข้างในโลก(inside the earth), การเปลี่ยนแปลงอันเร้าใจ(a dramatic change)ได้จวนจะเริ่มต้น.

         ทวีปยุคเริ่มแรกที่มุดตัวลง(the subducted primordial continent)ได้เคลื่อนลงสู่เขตแกนของเปลือกโลก(the core-mantle boundary).

         ความมั่งคั่งของธาตุพลังกัมมันตภาพรังสี(the wealth of radioactive elements)ในทวีปยุคเริ่มแรก(the primordial continent)ทำให้ส่วนบนสุดของแกนนี้(the uppermost part of the core)ได้ละลายลง(to melt).

         ราว 4.2 พันล้านปีมาแล้ว, ของเหลวของแกนที่เพิ่งถูกทำออกมาข้างนอกใหม่ๆนี้, ได้ช่วยสร้างความแข็งแรง(strengthening)ให้กับสนามแม่เหล็กของโลก(the Earth’s magnetic field), ที่ปกป้องสภาพแวดล้อมของพื้นผิวโลก(the surface environment)ต่อ(against)ลมสุริยะทั้งหลาย(solar  winds)และรังสีคอสมิคทั้งหลาย(cosmic rays).

         และด้วยผลจากการนั้น, ชีวิตสามารถดำรงชีวิตอยู่(exist)ในสภาพแวดล้อมบนพื้นผิวได้(the surface environment).

 

* 4.2 พันล้านปีก่อน:   การโผล่ขึ้นมาของชีวิตจากพลังอำนาจดวงอาทิตย์ (The emergence of sun-powered life)

เสบียง(supply)และธาตุอาหารทั้งหลาย(nutrients)ผ่านการไหลเวียนของวัตถุ(material circulation)เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต(life).

กลไกสำคัญในการธำรงชีวิตนี้(the essential mechanism to maintain life)คือการไหลหลั่งไม่มีที่สิ้นสุดของอิเล็กตรอนทั้งหลาย(an endless flow of electrons).

ชีวิตดั้งเดิมแรก(the first proto life)ไม่อาจรอดไปได้ไกลมากนัก(survive very far)จากน้ำพุงร้อนปรมาณู(the nuclear geyser)เนื่องมาจากขาดแคลนพลังงานที่เพียงพอ(insufficient energy).

การกลายพันธุ์ทั้งหลาย(mutations)อย่างไรก็ตาม, ยอมให้(allowed)ชีวิตได้วิวัฒนะ(to evolve).

รูปแบบชีวิตทั้งหลายที่ฟื้นคืนสภาพมากขึ้น(the more resilient life-forms)ได้สามารถที่จะปรับตัว(adapt)และอยู่รอด(survive)ในสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย(harsh environments).

ขั้นที่สองของชีวิตดั้งเดิมนี้(this second of proto-life)ได้วิวัฒน์(evolved)ที่จะทำใช้งาน(make use of the sunlight available))ให้มีประโยชน์ได้บนพื้นผิวโลก(the Earth’s surface).

พวกเขาได้พัฒนาระบบเผาผลาญอาหาร(a metabolism)ที่ได้เปลี่ยน(converted)พลังงานแสงสว่าง(light energy)ไปเป็น พลังงานเคมีไฟฟ้า(electrochemical energy).

มากยิ่งกว่านั้น(moreover), พวกเขาได้ใช้น้ำตาล(sugars)ที่จะเก็บพลังงานไว้(store energy)สำหรับชั่วโมงกลางคืนที่ไร้แสงอาทิตย์(the sunless night hours).

แหล่งกำเนิดพลังงานสำหรับชีวิต(the source of energy for life)บนโลก(earth)เปลี่ยนนผ่าน(shifted)จากน้ำพุปรมาณูทั้งหลาย(nuclear geysers)ไปสู่ดวงอาทิตย์(the Sun).

 

* 4.1 พันล้านปีก่อน:   การสูญสิ้นครั้งใหญ่ (Mass extinction)

         ราว 4.1 พันล้านปีมาแล้ว, มหาสมุทรยังคงเป็นพิษอย่างที่สุด(extremely toxic), ได้ฆ่ารูปแบบชีวิตดั้งเดิมทั้งหลายไปเป็นส่วนใหญ่(killing off most of the proto life-forms)ที่อยู่ภายในมัน.

         อย่างไรก็ตาม, รูปแบบชีวิตดั้งเดิมทั้งหลายบางราย(some proto life-forms)อยู่รอดจากสภาพแวดล้อมอันร้ายแรงนั้น(the extreme environment).

พวกเขาได้พัฒนากลไกการปกป้อง(protective mechanism)เพื่อป้องกันอิออนโลหะ(metallic ions)ในน้ำของมหาสมุทร(ocean water)จากการเข้ามา(entering)ในเซลล์ดั้งเดิมทั้งหลายของพวกเขา(their protocells)

ชีวิตดั้งเดิมนี้(this proto-life)เริ่มต้นรวมตัวเชื่อมต่อกัน(coalescing)เข้าเป็นรูปแบบทั้งหลายที่โตขึ้นและซับซ้อนยิ่งขึ้น(larger and more complex forms).

รูปแบบชีวิตทันสมัยทั้งหลาย(modern life-forms)ใช้เพียงแค่กรดอะมิโนยี่สิบชนิด(twenty kinds of amino acids).

นี่หมายถึงว่าบรรพบุรุษของเรา(our ancestors)ที่ใช้กรดอะมิโนทั้งหลายเช่นเดียวกันนี้, เป็นผู้ที่รอดชีวิต(survived)มาจากการสูญสิ้นครั้งใหญ่(the mass extinction).

วิวัฒนาการ(evolution)เดินไต่เส้นเชือกฝ่าอันตราย(walks a perilous tightrope)ต่อไปจนจบลงได้(continuing and ending).

RNA ที่ไม่เสถียร(unstable RNA)วิวัฒน์ผ่าน(evolved through)รังสีชนิดก่ออิออน(ionizing radiation)ไปสู่ DNAที่ทนทานมากกว่า(more durable), ทำให้มันเป็นที่วางใจได้ในการผ่านข้อมูลข้ามรุ่นอายุทั้งหลาย(reliably pass information across generations).

         และขั้นที่สามของชีวิตดั้งเดิม(the third stage of proto-life)ได้กำเนิดขึ้น.

         นี่คือการเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตโพรคาริโอติคทั้งหลาย(prokaryotic organisms) *สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีนิวเคลียส/สัตว์เซลล์เดียว –บรรพบุรุษทั้งหลายของ อาร์เคียและแบ็คทีเรีย(archaea and bacteria)

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%95

 

ตอนที่ 5:  ขั้นที่สองแห่งวิวัฒนาการของชีวิต (Second Stage of Evolution of Life)

* 2.9 พันล้านปีก่อน: การโผล่ขึ้นมาของชีวิตสังเคราะห์แสง (The emergence of photosynthetic life)

         ออกซิเจน เมื่อผูกติด(unbound)กับวัตถุอื่นใด(any other material)สามารถเป็นพิษ(toxic)กับชีวิต(life), เพราะออกซิเจนทำลายร่างของชีวิตที่หดตัวลง(reductive life body).

ดังนั้นเอง, ชีวิตสังเคราะห์แสงแรกทั้งหลาย(the first photosynthetic organisms)น่าจะเป็น จุลินทรีย์ที่ดำรงชีพโดยปราศจากอากาศ(anaerobic microbes)ที่ไม่ได้ผลิตออกซิเจน(produced no oxygen).

ชีวิต, อย่างไรก็ตาม, ปรับตัวเองให้รับเอาความได้ประโยช์จากออกซิเจน(advantage of oxygen)เป็นเช่นแหล่งทรัพยากรอันมีค่า(a valuable source of)ของพลังงานที่เพิ่มขึ้น(additional energy).

การพัฒนานี้ได้ผลปรากฏออกมาเป็น ไซยาโนแบ็คทีเรีย(cyanobacteria).

ไซยาโนแบ็คทีเรีย(cyanobacteria)ทำการผลิตออกซิเจน(produced oxygen)ที่ตกผลึก(crytalized)เป็น ผลึกเหล็กหินอัคนีออกไซด์(felsic iron-bearing oxide)ซึ่งลดทอนจำนวนของธาตุเหล็กในมหาสมุทร(iron content of the ocean)ลง.

แต่กระนั้น, มหาสมุทรก็ยังประกอบด้วยเกลือ(saline)เป็นห้าเท่าของมหาสมุทรในทุกวันนี้(today).

 

* 2.7 พันล้านปีก่อน: เปลือกโลกชั้นใน(หินหนืด)พลิกคว่ำ(Mantle overturn)

         ในขณะที่ภายในของโลก(the Earth’s interior)เย็นตัวลง(cooled), แผ่นหนาเก่า(old slab)ของชิ้นเปลือกโลกยุคเริ่มแรก(primordial crust)ที่นอนพักอยู่ที่ก้นของชั้นเปลือกโลกหินหนืดตอนบน(upper mantle)ก็ตกลงไปสู่ชั้นหินหนืดตอนล่าง(the lower mantle).

         ในขณะนั้นเอง(meanwhile), จุดร้อนของเปลือกโลกชั้นหินหนืดจำนวนมาก(numerous mantle plumes)เคลื่อนที่ขึ้นจากชั้นหินหนืดตอนล่าง(the lower mantle)เข้าไปสู่ชั้นหินหนืดตอนบน(the upper mantle).

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99

         ปรากฏการณ์(phenomenon)นี้, รู้จักกันว่าคือ การพลิกคว่ำของเปลือกโลกชั้นหินหนืด(mantle overturn). จุดร้อนของชั้นหินหนืด(mantle plumes)ผลักด้นชิ้นเปลือกชั้นบะซอลต์(basaltic crust)ขึ้นไป(upward), ก่อให้เกิดแผ่นดิน(generating landmass).

         สิ่งนี้รังสรรค์(created)สภาพแวดล้อมทะเลน้ำตื้นขึ้น(shallow marine environments), ส่องทะลุถึงพื้นดินโดยแสงอาทิตย์(sunlight)ที่ยอมให้(allowed)ไซยาโนแบ็คทีเรีย(cyanobacteria)ที่จะอุดมสมบูรณ์เจริญขึ้น(flourish).

         ออกซิเจนได้ถูกผลิตขึ้นโดยไซยาโนแบ็คทีเรีย(the cyanobacteria)อย่างทีละน้อยก็ปรับเปลี่ยน(altered)ชั้นบรรยากาศของโลก(the Earth’s atmosphere).

         บนพื้นมหาสมุทร(the ocean floor), เหล็กเฟอร์ริคและเฟอร์รัส(ferric and ferrous)ได้เก็บสะสม(accumulating)อยู่ในรูปแบบของฮีมาไทติ์และแม็คนีไทติ์(the form of hematite and magnetite)ได้สร้าง(creating)ก่อรูปแถบเหล็กใหญ่โตมโหฬาร(a massive banded iron formation).

รูปทรงแถบเหล็ก(remaining banded iron formation)โดย 2.5 พันล้านปีก่อนที่ยังคงอยู่นี้, เป็นประมาณสองสามกิโลเมตร, การลดลงอย่างรวดเร็วในปริมาณของเหล็ก(iron content)ได้เปลี่ยนแปลง(changed)สีสัน(color)ของมหาสมุทรไปสู่สีฟ้าที่คุ้นเคยกันต่อมา(familiar blue).

ชีวิตเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นผิวโลก(surface environment).

เช่นนี้เองที่เป็นวิวัฒนาการร่วมกันของโลก(coevolution of the earth)และผู้อาศัยอยู่ของมัน.

นี่เป็นก้าวขั้นที่สำคัญ(an important step)ในการเดินทาอันยาวนานของชีวิตบนโลก(in life on earth’s long journey )ไปสู่อารยธรรม(toward civilization).

 

ตอนที่ 6:  ขั้นที่สามแห่งวิวัฒนาการของชีวิต (Third Stage of the Evolution of Life)

* 2.3 พันล้านปีก่อน: การสูญสิ้นครั้งใหญ่โดยลูกบอลหิมะโลก (Mass extinction by Snowball Earth)

         การชนกันระหว่างกาแล๊กซี่ทางช้าวเผือก(the Milky Way)และกาแล๊กซี่แคระที่อยู่ใกล้เคียง(a nearby dwarf galaxy)ได้สร้าง(produced)ดวงดาวส่องแสงเรืองรองนับไม่ถ้วนขึ้น(countless glowing stars).

         ภายในสองสามพันปี(a few thousand years), บางดวงดาวเล่านี้จบสิ้นลง(ended)ในการระเบิดของซูเปอร์โนวาทั้งหลาย(supernova explosions).

         รังสีคอสมิคอันมากมายมหาศาล(a myriad cosmic rays)จากซุปเปอร์โนวา(supernova)ทำให้โล่ป้องกันเฮลิโอสเฟียร์ของดวงอาทิตย์(Sun’s heliosphere*)เสื่อมโทรมลง(deteriorated)และกระหน่ำระเบิด(bombarded)เข้าใส่โลก(the Earth).

         * http://astro.phys.sc.chula.ac.th/IHY/Heliosphere/Heliosphere_theory.htm

         รังสีคอสมิค(cosmic rays)นี้, ช่วยผลิตสร้าง(help generate)เมฆนิวคลีไอควบแน่น(cloud condensational nuclei) * , ซึ่งผลิตเมฆทั้งหลายมากขึ้นๆ(more and more clouds)จนกระทั่งโลกถูกห่มคลุมไปทั้งหมด(completely blanketed)ด้วยพวกนั้น.

         การปกคลุมของเมฆเหล่านี้ป้องกัน(prevented)แสงอาทิตย์จากการมาถึงผิวพื้นของโลกโดยตรง(reaching the surface of the earth).

         โลกประสบกับเหตุของการณ์เปลี่ยนสภาพธารน้ำแข็งทั่วโลก(a global glaciation event), ที่รู้จักกันว่าคือ ลูกบอลหิมะโลก(the snowball earth). สิ่งนี้ทำให้เกิดการสูญสิ้นครั้งใหญ่ทั่วโลกอีกอย่างหนึ่ง(another global mass extinction).

         แต่ก็อีกครั้งหนึ่ง, บางชีวิตได้อยู่รอด(some life survived), แต่กระนั้นช่วงเวลาของความยุ่งยากอีกอันอยู่ภายใต้แผ่นน้ำแข็งเหล่านั้น(the ice sheet).

         ชีวิตเล็กๆ(tiny life)ถูกปกป้อง(protected)โดยระบบหมุนเวียนขนาดใหญ่โตของโลก(the Earth’s massive circulating system).

         และโลกก็ถูกจัดวางเข้าที่ด้วยเหมือนกัน(similarly held in place)โดย ระบบสุริยะ(the solar system)และจักรวาลที่แผ่ขยายตัวออก(expansive universe).

         ชีวิต(life)เป็นแค่ส่วนหนึ่งของระบบอันมหึมา(enormous system).

 

* 2.1 พันล้านปีก่อน: จาก โพรคาลิโอต ไปสู่ ยูคาริโอต (From prokaryote to eukaryote)

         โพรคาริโอต(prokaryote - สัตว์เซลล์เดียวไม่มีนิวเคลียส) * รอดชีวิตจากลูกบอลหิมะโลก(the

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%95

snowball earth) และวิวัฒนะไปสู่ชีวิตที่สลับซับซ้อนยิ่งขึ้น (more complex life). อย่างเช่น ระบบเอนโดซีมไบโอติคทั้งหลาย(endosymbiotic systems) * อาศัยอยู่ด้วยกันภายในเซลล์ทั้งหลาย(living

*https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81

 together inside cells).

         พวกเขาก่อรูปเป็นไมโตคอนเดรีย(mitochondria) และ คลอโรพลาสต์(chloroplasts)ทั้งหลาย, ที่ยอมให้พวกเขาได้รับพลังงานมากขึ้น(get more energy)จากออกซิเจน(oxygen).

         ร่างเดี่ยวของโพรคาริโอต(a single prokaryote body)สามารถบรรจุได้วด้วยหลายพันของไมโตคอนเดีย(thousands of mitochondria).

         เนื้อเยื่อหุ้มนิวเคลียส(a nuclear membrane)ก่อรูป(formed)ขึ้นมาปกป้อง DNA จากความหนาแน่นของออกซิเจนในน้ำของมหาสมุทร(oxygen dense ocean water).

         ฟั่นเกลียวของ DNA เติบโตยาวขึ้นและเก็บรักษา(retaining)ข้อมูลพันธุกรรมที่มากิ่งขึ้น(ever more genetic information).

         ชีวิตวิวัฒนะ(evolved)ไปสู่ชีวอินทรีย์ทั้งหลายที่หลากหลายและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น(diverse and complex organisms).

         ในความยาวนานจนที่สุด, ยูคาริโอต(eukaryote)ก็ปรากฏขึ้น.

         ยูคาริโอตนี้(the eukaryote)เติบโตใหญ่ขึ้นว่า โพรคาริโอต ทั้งหลายนั้น(prokaryotes)เป็นล้านเท่า(a million time larger).

         ในทางทฤษฎีทุกสิ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้(inevitably), ย่อมตกไปสู่(falls into)ความไม่เป็นระเบียบสับสน(disorder).

         แต่กระนั้น, ชีวิต(life)ก็ยังสลับซับซ้อนอย่างเป็นระเบียบและเพิ่มขึ้น(orderly and increasingly complex).

         ชีวิต(life)ดูเหมือนว่าจะดำเนินต่อไป(seems to continue)ในการวิวัฒนะ(evolving) โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง(undeterred)โดยเอนโทรปีของจักรวาล(by universal entropy)

 

ตอนที่ 7: รุ่งอรุณแห่งการระเบิดขึ้นของธรณีกาลยุคแคมเบรียน (The Dawn of the Cambrian Explosion)

* 1.9 – 0.8 พันล้านปีก่อน:    การก่อรูปแบบของมหาทวีป (The Formation of the

Supercontinent)

 

         การเปลี่ยนแปลงสัณฐานของเปลือกโลกทั้งหลาย(plate tectonics), ทำให้ทวีปเล็กๆทั้งหลายที่กำลังพัฒนา(small developing continents)เกิดการรวมตัวกันเข้า(assemble)ไปสู่มหาทวีปหนึ่งเดียว(a single supercontinent), เรียกว่า นูนา(nuna).

         ในขณะที่ นูนา ก่อรูป, แผ่นผืนดินหน่อผลิอ่อนของมัน(its burgeoning landmass)จัดหา(provided)ให้กับไซยาโนแบ็คทีเรีย(cyanobacteria)ด้วยที่อาศัยอันกว้างไพศาล(an expanding habitat). ในมันนั้นเอง คือทั้งหลายของ ทะเลสาบ(lakes), แม่น้ำ(rivers), พื้นที่ชุ่มน้ำ(wetlands)และปากแม่น้ำ(estuaries -อ่าว).

         ไซยาโนแบ็คทีเรีย(cyanobacteria)ผลิตสร้าง(produces)ออกซิเจนอิสระ(free oxygen)ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง(through photosynthesis).

         ในเวลานั้น,อย่างไรก็ตาม, ออกซิเจนอิสระส่วนมากที่ถูกผลิตขึ้น, ได้ถูกบริโภค(consumedไป)ในการเสื่อมสลายของไซยาโนแบ็คทีเรียที่ตายลง(in decomposing dead cyanobacteria).

         ดังนั้นจึงมีออกซิเจนอิสระที่น้อยมาก(very little free oxygen)ซึ่งได้สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศ(accumulated in the atmosphere).

         บนพื้นดิน, อย่างไรก็ดี, ไซยาโนแบ็คทีเรียที่ตายลง(dead cyanobacteria)ได้ถูกฝังอยู่ภายใต้ตะกอนทั้งหลาย(under sediments).

         ดังนั้น, ออกซิเจน(oxygen)ที่น่าจะมีร่างแตกสลายลง(have broken down their bodies),แทนที่จะเป็นเช่นนั้น, กลับจบลงในชั้นบรรยากาศ(the atmosphere).

         การปรากฏขึ้นของแผ่นผืนดินขนาดใหญ่(a large landmass)ช่วยเพิ่มปริมาณของออกซิเจนในชั้นบรรยากาศ(atmosphere). ในขณะที่พื้นที่แผ่นดินทั้งหมด(total land area)บนผิวของโลก(the surface of the earth)ได้เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับระดับออกซิเจนของชั้นบรรยากาศ(atmospheric oxygen levels)อย่างรวดเร็วเร้าใจ(dramatically).

         เวลาล่วงไป, มหาทวีปนูนา(the nuna supercontinent)แตกแยกออกเป็นทวีปที่เล็กกว่าทั้งหลาย(broke up into smaller continents).

แต่อีกครั้ง, สัณฐานทั้งหลายของเปลือกโลกก็วนกลับมารวมกันกับมหาทวีป(reassembled a supercontinent). ครั้งนี้(this one)ถูกเรียกว่า โรดิเนีย(Rodinia).

ในแถบเส้นศูนย์สูตร(equator region), แผ่นหนาของเปลือกโลกทั้งหลายก้นมหาสมุทร(oceanic plates)มุดตัวลงไปใต้แผ่นพื้นทวีปทั้งหลาย(subducted under continental plates).

ทีละเล็กละน้อย(gradually)ก็สะสมกับเข้าในเขตเปลี่ยนผ่านของชั้นโลกหินหนืด(in the mantle transition).

ในที่สุด, แผ่นเปลือกนี้(slabs)ก็ร่วงลงไปในแกนของโลก(the core). แผ่นเปลือกทั้งหลายนี้(the slabs)ทำให้ผิวนอกขงแกนโลกเย็นลง(cooled the outer core), เปลี่ยนแปลงการไหลของกระแสไฟฟ้า(the flow of electricity)ภายใน.

ผลของการนี้,สนามแม่เหล็กสองขั้วของแกนโลก(the cores dipole magnetic field)ได้เปลี่ยนรูป(transformed)ไปเป็นสนามแม่เหล็กสี่ขั้วที่อ่อนกำลังกว่า(a weaker quadrupole magnetic field).

 

* 700 – 600 ล้านปีก่อน: ธารน้ำแข็งสเตอร์เทียน* (The Sturtian Glaciation)

* ยุคน้ำแข็งที่สองของโลก(ยุคแรกคือ ลูกบอลหิมะโลก-snowball earth)

 https://th.wordssidekick.com/22254-ice-once-covered-equator

         กาแล๊กซี่ทางช้างเผือก(the Milky Way galaxy)ที่ได้ชนกับกาแล๊กซี่แคระแล้วก็ประสบผลร้าย(underwent)ได้เปลี่ยนผ่านไปสู่(transition into)ภาวะดาวกระจายทั้งหลาย(starburst conditions). *https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2

         เวลาล่วงไป(overtime), ดวงดาวทั้งหลายที่ถูกผลิตสร้าง(produced)ขึ้นนี้ก็จบลงเป็น(ended in) การระเบิดซุปเปอร์โนวาทั้งหลาย(supernova explosions)และถล่มเข้าใส่โลก(         bombarding the earth)ด้วยรังสีคอสมิคทั้งหลาย(cosmic rays).

         โลกนี้ที่มีสนามแม่เหล็กสี่ขั้วของตนเองซึ่งอ่อนกำลังลง(its weak quadrupole magnetic field)ก็ได้รับผลกระทบนี้อย่างหนักออกมาเป็นเมฆทั้งหลาย(heavily affected clouds)ปกคลุมไปทั่วทั้งโลก, และน้ำแข็ง(ice)ก็ปกคลุมผิวพื้นของมัน.

         การระเบิดของซุปเปอร์โนวาเป็นชุดต่อเนื่องเหล่านี้(a series of supernova explosions)อุบัติขึ้นในช่วงระยะยาวนานของความร้อนอย่างยิ่งยวด(long periods of extreme heat)ก็ถูกขัดจังหวะเป็นระยะสั้นๆกว่าด้วยความหนาวเย็นอย่างยิ่งยวด(by shorter periods of extreme cold).

         ในช่วงระยะเวลาหนาวเย็นยิ่งยวดนี้(the extreme cold periods), ออกซิเจนในชั้นบรรยากาศ(oxygen in the atmosphere)ก็ร่วงลงไปสู่ ระดับอาเคียนอีออน(Archaean Eon levels), ทำให้เกิดการสูญสิ้นมหาศาลทั้งหลาย(mass extinctions).

         การสูญสิ้นมหาศาลเหล่านี้(these mass extinctions), อย่างไรก็ตาม, สร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย(created great opportunities)สำหรับชีวิต(life)ที่จะได้วิวัฒนะ(evolve)ไปสู่บางอย่างที่ใหม่สมบูรณ์ขึ้น(something completely new).

         การเกิดซ้ำๆในการไหลหลั่งของรังสีคอสมิค(fluxes of cosmic rays)และเกิดการแปรผันอย่างรุนแรงในระดับออกซิเจนทั้งหลาย(drastic fluctuations in oxygen levels), การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเหล่านี้(environmental changes)ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ทั้งหลายในพันธุกรรม(genetic mutations)ที่เร่งให้เกิดปรากฏของชนิดพันธุ์ใหม่(accelerated the appearance of new spacies).

 

* 700 – 600 ล้านปีก่อน: โลกที่รั่ว(The Leaking Earth)

         ดาวกระจายนี้(the starburst)ได้จบลงและแกนของโลกthe Earth’s core)ได้หมุนกลับคืนสู่สภาพเดิมที่เป็นสนามแม่เหล็กสองขั้วที่เข้มแรงกว่า(a stronger dipole magnetic field).

         ในระหว่างที่สังเคราะห์แสงอยู่ต่อไป(ongoing photosynthesis)ก็นำออกซิเจนกลับคืนมาสู่ชั้นบรรยากาศ(the atmosphere)ในระดับทั้งหลายเหมือนครั้งที่ผ่านมา(previous levels).

         ในขณะนั้นเอง, ข้างในของโลก(the inner Earth)ก็ค่อยๆเย็นลงทีละนิด(gradually cooling down), เมื่อข้างในโลก(the inner Earth)เองก็กำลังร้อนเพียงพอ. องค์ประกอบของน้ำ(the components of water)ที่ถูกกักดักไว้เป็นแร่ธาตุ(minerals)ในเปลือกโลกใต้มหาสมุทร(oceanic plates)ก็ถูกปล่อย(released)ออกมาขึ้นสู่สภาพแวดล้อมพื้นผิว(the surface environment). และระดับน้ำทะเล(the sea water)นั้นไม่ได้รับผลกระทบต่อย่างใด(unaffected).

         อย่างไรก็ตาม, เมื่ออุณหภูมิของเปลือกโลกชั้นหินหนืด(the mantle temperature)ลดลงไปต่ำกว่า 650 องศาเซลเซียส(650 degrees Celsius), แร่ธาตุทั้งหลาย(minerals)ได้นำพา(carry)องค์ประกอบของน้ำทั้งหลายนี้(water components)ลงเข้าไปสู่เปลือกโลกชั้นหินหนืดตอนบน(the upper mantle).

         ในขณะเดียวกัน(meanwhile), บนพื้นผิว(on the surface)ที่ถูกลดทน(deprived       )องค์ประกอบของน้ำไป(the components of water), ระดับน้ำทะเลก็ค่อยๆลดลงทีละน้อย(gradually decrease).

         สิ่งนี้รู้จักกันว่าคือ ปรากฏการณ์การรั่วของโลก(the leaking earth phenomena)ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้บนดาวเคราะห์ที่เย็นตัวลง(the cooling planet).

การก่อให้เกิดการรั่วนี้(this leaking effect)เคลื่อนย้ายน้ำทะเล 3 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด, เข้าไปสู่ในเปลือกโลกชั้นหินหนืดที่ลึกกว่า(into the deeper mantle). ระดับน้ำทะเลลดลงไปราว 600 เมตร.

ด้วยผลจากการนี้, พื้นที่แผ่นดินเติบโตขึ้นเช่นเดียวกับพื้นที่ไหล่ทวีปทั้งหลาย(continental shelf areas) * ที่ได้รับแสงอาทิตย์(sunlight)ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชีวิตในอนาคตบนโลก(a habitat for future life), ก็ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้น(being greated).

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%9B

         แม่น้ำทั้งหลายได้พานำ(carried)ธาตุอาหารทั้งหลาย(nutrients)จากแผ่นดินตอนใน(inlands)ลงไปสู่ไหล่ทวีปทั้งหลาย(the continental shelves)และผืนแผ่นดินที่เพิ่มขึ้น(the additional landmass)ก็สำคัญในการเร่งให้เกิดการสร้างออกซิเจนขึ้นในชั้นบรรยากาศ(atmosphere).

         ขบวนการเหล่านี้(these processes)จัดตั้งลำดับขั้นเพื่อการระเบิดขึ้นของวิวัฒนาการของรูปแบบชีวิตทั้งหลาย(the stage for explosive evolution of life-forms).

 

ตอนที่ 8: การระเบิดแคมเบรียน (The Cambrian Explosion)

* 640 ล้านปีก่อน: ต้นกำเนิดของชีวิตหลากหลายเซลล์ (The Origin of Multicellular Life)

การเปลี่ยนสภาพโดยธารน้ำแข็ง มาริโนอัน(The Marinoan Glaciation) *

https://en.wikipedia.org/wiki/Marinoan_glaciation

         การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างยิ่งยวดทั้งหลาย(extreme climate changes)ดำเนินต่อไป(continued), นำเอาชีวิต(putting life)ไปวางบนวิถีสู่ลำดับขั้นทั้งหลายของวิวัฒนาการใหม่เพื่อการอยู่รอด(new evolutional stages for survival).

         ชีวิต(life)วิวัฒนะด้วย โพรคาริโอต และ ยูคาริโอต ทั้งหลายอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นชีวิอินทรีย์ซีมไบโอติคทั้งหลายที่ขนาดใหญ่ขึ้น(ever larger *symbiotic organisms), ชดเชยการขาดแคลนและแบ่ง

* https://sites.google.com/site/krupikool/wicha-withyasastr/rabb-niwes/khwam-samphanth-rahwang-sing-mi-chiwit-ni-rabb-niwes

ปันความอุดมสมบูรณ์ให้กันและกัน(compensating for each other’s shortcoming and thriving)เป็นทั้งหมดหนึ่งเดียว(as a whole).

         การแผ่ขยายอย่างใหญ่หลวงนี้(greatly expanded)ในความเป็นไปได้ทั้งหลายสำหรับรูปแบบมากมายของชีวิต(the possibilities for forms of life).

         รูปแบบชีวิตทั้งหลาย(life forms)เติบโตขึ้นเป็น 1 ล้านเท่า(1 million times)ของขนาดของ ยูคาริโอต(eukaryotes), และมีขนาดเป็น 1 ล้านล้านเท่า(1 trillion times) ของขนาดของ โพรคาริโอต(the size of prokaryotes).

         การปรากฏของชีวิตหลากหลายเซลล์(the appearance of multicellular life)คือจุดกระโจนวิกฤตสำหรับวิวัฒนาการ(critical leap for evolution).

 

* 580 ล้านปีก่อน:      การปรากฏของ อีเดียคาราน เฟานา (The Appearance of *Ediacaran Fauna)

การเกิดธารน้ำแข็ง กาสกิเออร์ (The **Gaskiers Glaciation)

 

* https://www.britannica.com/science/Ediacara-fauna

** https://en.wikipedia.org/wiki/Gaskiers_glaciation

อีกยุคของการเกิดธารน้ำแข็ง(another glaciation period came)ก็มาและชีวิต(life)เจ็บปวด(suffered)กับการสูญเสียใหญ่อีกครั้ง(a mass extinction).

ด้วยเวลา, การเกิดธารน้ำแข็งนี้(this glaciation)ก็ยังผ่านไป(passed)และภูมิอากาศของโลก(global climate)ก็ค่อยๆอุ่นขึ้น(gradually warmed). ฟอสฟอรัสและสสารวัตถุทั้งหลาย(phosphorus and materials)ที่สำคัญสำหรับชีวิต(life)ได้หมุนเวียน(circulated)ผ่านระบบภูมิอากาศ(climate system)และได้สะสมตัว(accumulated)ในมหาสมุทรทั้งหลาย(the oceans).

สัตว์ทั้งหลายของยุค อีเดียคาราน(the Ediacaran period)ปรากฏขึ้นในเวลานี้(this time).

ดิคอินโซเนีย(*Dickinsonia) คือตัวโด่งดัง(iconic)ในท่ามกลาง อีเดียคาราน เฟานา(Ediacaran fauna). บางตัวเติบโตขึ้นไปถึง 1 เมตรในความยาว, พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายอ่อนนุ่ม(soft bodied creatures)ด้วยไม่มีเปลือก(no shell)หรือกระดูกสันหลัง(skeleton).

พวกเขาอาจมีชีวิตอยู่(probably lived)อยู่ในสภาพแวดล้อมทะเลน้ำตื้นอบอุ่นทั้งหลาย(warm shallow marine environments)รอบๆมหาทวีป โรดิเนีย(Rodinia supercontinent)

 

* 550 ล้านปีก่อน:  วิวัฒนาการตอบสนองทั้งหลาย สู่ การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทั้งหลาย (Evolution Responds to Environmental Changes)

         เสบียงของธาตุอาหาร(the supply of nutrients)จากแผ่นดิน(the land)ได้เพิ่มขึ้นอยู่ตลอด(ever-increasing), เช่นเดียวกับออกซิเจนของชั้นบรรยากาศ(atmospheric oxygen). ปริมาณของเหล็กเฟอรัส(ferrous iron)ในมหาสมุทรก็ได้เพิ่มขึ้น. เหล็กฟอรัส(ferrous iron)นี้ได้รวมตัวเข้ากับออกซิเจน(oxidized), อีกครั้งหนึ่ง, สร้างแถบขนาดใหญ่ทั้งหลายของเหล็ก(large bands of irons). ระดับของฟอสฟอรัสและแคลเซี่ยมทั้งหลาย(phosphorus and calcium levels)ในมหาสมุทรได้เพิ่มขึ้น(increased). ชีวิต(life)ได้วิวัฒนะ(evolved)มาใช้แร่ธาตุเหล่านี้(these elements), ได้กลายมาเป็นสัตว์ทั้งหลาย(animals)ที่มีกระดูก(bones)และเปลือกแข็ง(shells).

         ตัวอย่างเช่น) แคลเซี่ยม(calcium)ช่วยปกป้อง(protect)ไมโครดิคไทออน(*microdictyon)จาก

* https://en.wikipedia.org/wiki/Microdictyon

สัตว์อื่น(other animals). ร่างกายของพวกเขาใช้แคลเซี่ยม(calcium)ในการก่อรูป(form)สิ่งปิดหุ้มเป็นอย่างแข็ง(a covering hard scales).

         ชีวิต(life)วิวัฒนะ(evolve)เพื่ออยู่รอด(survive), ด้วยการใช้ประโยชน์จากอร่ธาตุทั้งหลาย(making use of the elements)ในสภาพแวดล้อมของมัน(its environment). และสภพแวดล้อมของโลก(the Earth’s environment)แปรเปลี่ยน(alters)รูปร่างทั้งหลายของชีวิต(the shapes of life).

 

* 540 ล้านปีก่อน:  ชีวอินทรีย์แรกทั้งหลายของยุคแคมเบรียน (The First *Cambrian Organisms)

การเกิดธารน้ำแข็ง ไบโกนูร์ (The **Baikonur Glaciation)

* https://www.nationalgeographic.com/science/prehistoric-world/cambrian/

** https://en.wikipedia.org/wiki/Baykonurian_glaciation

         โลกได้เข้าสู่ระยะที่ภูมิอากาศไม่เสถียรอีก(another period of climatic instability). โลกได้เปลี่ยนผ่านระหว่างยุคร้อนสุดขีดและยุคหนาวเย็นสุดขีด(between periods of extreme heat and extreme cold)ในเวลาไปถึงหลายสิบหลายล้านปี(for tens of millions of years).

         การเปลี่ยนแปลงอย่าวรุนแรงเหล่านี้(severe changes)ฆ่า อีเดียคาราน เฟาน่า หมดไป(killed off the Ediacaran fauna).

         อย่างไรก็ตาม, สายพันธุ์ใหม่ทั้งหลาย(new species)ได้จวนจะปรากฏขึ้น(about to appear).

         กัมมันตภาพรงสี(radiation)ข้างในโลกได้เล่นบทบาทสำคัญในการวิวัฒนาการของชีวิต(play a significant role in the evolution of life).

         รอยแตกร้าวของทวีป(a continental rift)คือสถานที่ที่ทวีปแตกเปิดออก(breaks open)ไปสู่การระเบิด(expose)ปะทุ(erupting)แม็กมา(magma)และธาตุกัมมันตภาพรังสีทั้งหลาย(radioactive

Elements)แผ่รังสีอย่างเร่งร้อน(hastens)ในการสร้างสรรค์ของสาพันธุ์ใหม่(the creation of new species)และกิ่งก้านสาขาใหม่ในต้นไม้แห่งชีวิต(new branches in the Tree of Life).

         นี่เป็น ก้านวิวัฒนาการ(stem evolution)ที่สร้าสรรค์(creating)สายพันธุ์ใหม่ที่รอยแยกของทวีปทั้งหลาย(continental rifts).

         ชีวิต(life)วิวัฒนะแยกจากกัน(evolved separately)อยู่บนแต่ละทวีปเล็กๆ(each small continent). เมื่อทวีปเล็กๆเหล่านี้กลับหวนมารวมกันอีก(recombined), รูปแบบชีวิตของพวกเขา(their life forms)ข้ามเหล่า(crossbred).

         การข้ามเหล่าที่แตกต่างกันนี้(different crossbreeding)ได้สร้างสรรค์(ccreated)รูปแบบใหม่ของชีวิต(new forms of life)หลากหลายแปรผัน(variation)เจริญงอกงาม(thrived)ขึ้น.

         นี่คือ มงกุฎแห่งวิวัฒนาการ(crown evolution).

         การปะทะกันของทวีป(continental collision)ได้สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมพื้นผิวโลกให้เกิดความหบากหลายแตกต่างกันมากมาย(diverse surface environments).

         แอ่งและอ่าวทั้งหลาย(bays and gulfs)บนทวีปขนาดใหญ่ทั้งหลาย(large continents)ได้รับเสบียงดีเป็นพิเศษยิ่งด้วยธาตุอาหาร(especially well supplied with nutrients)จากต้นธาร(upstream)สร้างใช้ประโยชน์จากธาตุอาหารเหล่านี้ของ ยุคแคมเบรียน(these nutrients Cambrian era), รูปแบบชีวิตทั้งหลาย(life-forms)ได้แปรเปลี่ยนไป(  diversified)อย่าวรวดเร็วมากมายยิ่ง.

         การระเบิดของ แคมเบรียน(Cambrian explosion)สร้างไฟลาใหม่(new *phyla)ขึ้น. ไฟลา(phyla)เหล่านี้ได้ลายมาเป็นรากฐาน(foundation)สำหรับแบบชนิด(types)ทั้งหลายของพืชและสัตว์(plants and animals)ที่เราเห็นกันทุกวันนี้.

มีอยู่สามสายทางหลัก(three main ways)ที่ชีวิตวิวัฒนะ(life evolved), การสูญสิ้นมหาศาลทั้งหลาย(mass extinctions)ที่กำจัดสายพันธุ์จำนวนมากมายสูญไป(eradicated many species), ก้านวิวัฒนาการ(stem evolution)ที่ได้รีบเร่งกลายพันธุ์ในพันธุกรรมทั้งหลาย(hasten genetic mutations)เมื่อทวีปทั้งหลาย(continents)แตกแยกออกจากกัน(break apart), และ มงกุฎแห่งวิวัฒนาการ(crown evolution) ที่เร่งรีบการแปรเปลี่ยนทางชีวะ(hastened bio diversification)เมื่อทวีปทั้งหลาย(continents)ปะทะชนกันอีก(collided).

ดังนั้น, วิวัฒนาการของชีวิต(the evolution of life)ได้เชื่อมโยงอย่างแก้ออกจากันไม่ได้(inextricably linked)กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม(environmental changes), อันเนื่องมาจาก(due to)ปัจจัยสากล(universal factors)และทวีปทั้งหลายสมานฉันท์เข้าด้วยกัน(continents assembling together)และแตกแยกออกจากัน(braking apart).

 

ตอนที่ 9:    ยุคพาลีโอโซอิค (The Paleozoic Era)

* 600 ล้านปีก่อน:  การแผ่ขยายที่อยู่อาศัยทั้งหลาย (Expanding Habitats)

         มหาสมุทรนั้นมีความเค็ม(saline -ประกอบด้วยเกลือ)มากกว่าห้าเท่า(more than five times)ของที่มันเป็นในทุกวันนี้.

         เมื่อ 600 ล้านปีมาแล้ว, มหาสมุทรค่อยๆกลายมามีความเค็มน้อยลง(gradually less salty)ทีละน้อย. เกลือ(salt)จากน้ำทะเล(seawater)ถูกย้ายที่ใหม่(relocated)ไปยังแผ่นดินในรูปของหินเกลือ(the form of rock salt).

การลดลงของระดับน้ำทะเล(decreasing sea levels), ทำให้สิ่งนี้เป็นไปได้(possible)ผ่านการเปิดเปลือยมากกว่าของแผ่นดิน(more exposed land). แม้กระทั่งถ้าระดับน้ำทะเลยกตัวขึ้น(rose)อีกครั้งสูงพอที่จะจะทวงหินเกลือเกลือนี้คืน(reclaim the rock salt), ส่วนมากของมันก็ได้กลายเป็นถูกห่อปิดไม่สามารถเข้าถึงได้(inaccessible encased)อยู่ในสารตกตะกอน(sediments).

การลดลงของความเค็มในน้ำทะเล(the decrease in seawater salinity), ทำให้มหาสมุทร(ocean)ใจดีมากขึ้น(more hospitable)ในการที่จะหลากหลาย(diverse)รูปแบบชีวิตทั้งหลาย(life-forms)ที่ปากแม่น้ำ(estuaries)และทะเลเปิด(open seas)ให้ได้ยินดีต้อนรับต่อชีวิตใหม่(welcomed to new life).

ด้วยการเพิ่มขึ้นของระดับออกซิเจนในบรรยากาศ(increasing atmospheric oxygen levels), ชั้นของโอโซน(ozone layer)ก่อรูปขึ้น(formed)ในชั้นบรรยากาศตอนบนของโลก(the Earth’s upper atmosphere).

ชั้นโอโซน(the ozone layer)ดูดซับรังสีอัลตราไวโอเล็ต(absorbs ultraviolet radiation)จากดวงอาทิตย์(the Sun). แผ่นดิน(the land)ได้กลายมาเป็นสภาพแวดล้อมเหมาะในการอยู่อาศัยได้มากขึ้น(a more habitable environment).

 

* 540 ล้านปีก่อน:  วิวัฒนาการร่วมกันของ พืช และ แมลง (The Co-evolution of Plants and Insects)

         อัลจี(*Algae - สาหร่ายประเภทเห็ดรา)เป็นรูปแบบชีวิต(life-form)อย่างแรกที่เปลี่ยนผ่าน(transition )ออกมาจากน้ำ(out of the water)ขึ้นมาบนสภาพแวดล้อมที่ท้าทายของแผ่นดิน(the challenging land environment).

* https://en.wikipedia.org/wiki/Algae

         นี่คือทำไมสาหร่ายอัลจี(algae)ได้วิวัฒนะ(evolved)ก่อนสัตว์ทั้งหลายทำ(animals did).

         เมื่อแมลงทั้งหลาย(insects)ปรากฏขึ้น(appeared), พวกเขาได้ร่วมมือวิวัฒนะ(co-evolved)ด้วยกันกับพืชทั้งหลาย(together with plants).

 

* 550 – 540 ล้านปีก่อน: วิวัฒนาการของ เวอทีเบรตสิ์ -สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง (The Evolution of *Vertebrates)

*https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87

         เหตุปรากฏในช่วงระหว่างยุคการระเบิด แคมเบรียน(the Cambrian explosion), ปลา(fish) เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังจำพวกแรก(the first of the vertebrates animals).

         ด้วยการที่มีกระดูกสันหลัง(backbones)นี้, ปลาคือบรรพบุรุษของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังซึ่งเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์เรา(the oldest vertebrate ancestors of us humans).

         ในขณะที่ปลาดำเนินการที่จะวิวัฒนะต่อไป(continued to evolve), อิชไธโอสเตจา(*Ichthyostega )ได้ปรากฏขึ้นเป็นบรรพบุรุษ(ancestor)ของพวกสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ(amphebians).

* https://en.wikipedia.org/wiki/Ichthyostega

พืชทั้งหลายอันอุดมสะพรั่ง(plants flourished), ได้ผลิตสร้าง(producing)ออกซิเจนอิสระให้เปล่า(free oxygen)ผ่านการสังเคราะห์แสง(photosynthesis), ได้จัดหาให้(providing)ชั้นบรรยากาศ(atmosphere)ด้วย 1.5 เท่าของปริมาณออกซิเจนมากกว่าที่เคยมีอยู่เดิม.

ยาวนานต่อมาภายหลัง, การคงอยู่ของพืชเหล่านี้(plants)ก็จะได้กลายเป็นหินถ่านตะกอน(*sedimentary coal), ซึ่งหินถ่าน(coal)นี้ก็จะช่วยกลายเป็นเชื้อเพลิง(fuel), จุดทะลวงผ่านขึ้นไป(breakthrough)สู่อารยธรรมของมนุษย์(human civilization), ซึ่งได้เริ่มต้นด้วยการปฏิวัติอุตสาห-กรรม(the Industrial Revolution).

สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังถัดมา(next vertebrates)ติดอุปกรณ์(equipped)เข้าไปอีกด้วยปอดทั้งหลาย(lungs)ปรากฏขึ้นและสร้างทางของพวกเขา(made their way)ขึ้นไปบนผืนแผ่นดิน(onto land).

ต้นไม้ของชีวิต(the tree of life)ได้วิวัฒนะ(evolved), ยื่นกิ่งก้านจากปลา(fish)ไปสู่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ(amphibians), ไปสู่สัตว์เลื้อยคลาน(reptiles)และแล้วก็เป็น ไดโนเสาร์(dinosaurs), และสู่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม(mammals), และในที่สุด(eventually) เป็น มนุษย์(humans).

เจ้ารายนี้(this guys)ยังไม่ได้รู้ถึงเรื่องราวว่าทั้งหมดนั่นหรอก(just yet).

 

* 260 – 250 ล้านปีก่อน: การสูญสิ้นมหาศาลที่ใหญ่ที่สุด ของ อีออน ฟานีโรโซอิค (The Largest Mass of the Phanerozoic Eon)

การปะทะกับเนบูลามืด(Collision with a Dark Nebula)

 

         ระบบสุริยะ(the solar system)ปะทะชนเข้ากับ(collided with) เนบูลามืด(the Dark Nebula)ในขณะที่ระบบสุริยะ(the solar system)ผ่านเข้าไปในเนบูลา(the nebula). โลก(the earth)ได้ถูกถล่มเข้าใส่(bombarded)ด้วยรังสีคอสมิค(cosmic rays).

         โลก(the earth)เข้าไปสู่(entered)ยุคสมัยเยือกแข็งอีกครั้ง(yet another frozen age).

         พืชทั้งหลาย(plants)ได้รับผลกระทบจากการนี้(affected)อย่างแรกคือผลการผลิตออกซิเจนอย่างรวดเร็ว(dramatically reducing the oxygen), ที่พวกนี้เป็นเสบียง(supplied)ให้กับชั้นบรรยากาศ(the atmosphere).

         สภาพแวดล้อมของพื้นผิวโลก(the surface environment)กลับไปสู่สภาพเดิม(reverted)ในสถานะดำรงชีพโดยไม่ใช้ออกซิเจน(anaerobic state -ดำรงชีพโดยปราศจากอากาศ). เหมือนกับสมัยยุค อาร์เคียน(Archean period).

         การขาดแคลนออกซิเจนได้ฆ่า(killed off)สายพันธุ์ส่วนใหญ่ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ(most species of amphibians), สัตว์เลื้อยคลาน(reptiles)และแมลง(insects).

         ชีวิต(life)ได้จัดการ(managed)ที่จะดำเนินการวิวัฒนะต่อไป(continue evolving), แต่ต้องเผชิญหน้ากับการท้าทายใหญ่โตอีกอย่าง(another big challenge).

         โดยที่ไม่ถูกแตะต้องโดยการเปลี่ยนแปลงของวิวัฒนาการทั้งหลาย(untouched by evolutionary changes)บนพื้นผิวโลก(the Earth’s surface), จุลินทรีย์ไม่ใช้ออกซิเจน(anaerobic *microorganisms)ได้เจริญรุ่งเรือง(thriving)อยู่ในสภาพแวดล้อมทั้งหลายใต้ดินที่มีออกซิเจนต่ำ(in oxygen-poor underground environments).

*https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C

         พื้นผิวสภาพแวดล้อมใหม่ที่มีออกซิเจนต่ำ(a new oxygen-poor surface environment)ยินยอมให้พวกเขาที่จะโผล่กลับขึ้นมาบนแผ่นดิน(re-emerge on land)และในมหาสมุทรทั้งหลาย(in oceans). ที่อาศัยพื้นถิ่นตามธรรมชาติของพวกเขาได้ขยายกว้างไกลออก(expanded)ข้ามไปทั่วลูกโลก(across the glove).

         ในขณะที่ระดับออกซิเจนทั้งหลาย(oxygen levels)ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง, จุลินทรีย์เหล่านี้(these microorganisms)ได้วิวัฒนะไปสู่(evolved to)การปรับตัว(adapt to)เข้ากับสภาวะสภาพแวดล้อมใหม่ทั้งหลาย(the new environmental conditions). จัดวางขั้นตอน(setting the stage)เพื่อระยะดำเนินการอีกอันหนึ่งของวิวัฒนาการ(another phase of evolution).

         การโผล่ขึ้นมาของสิ่งที่มีชีวิตใหม่ทั้งหลาย(the emergence of new creatures)ที่จะวิวัฒนะเข้าไปสู่มนุษย์(evolve into humans)นั้นอยู่ใกล้มือแล้ว(close at hand).

 

ตอนที่ 10: จากมหายุค เมโสโซอิค สู่การกำเนิดของมนุษย์ (From pthe Mesozoic to the birth of human beings)

* การแพร่กระจาย(dispersion)และการรวมผสมปนกัน(amalgamation)ของทวีปทั้งหลาย(continents), และวิวัฒนาการของชีวิต(the evolution of life)

         บนมหาทวีป แพนจี(the supercontinent Pangea), สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม(mammals)และสัตว์เลื้อยคลาน(reptiles)ได้ปรากฏขึ้น,และเริ่มต้นการวิวัฒนะ(evolving)ภายใต้ภูมิอากาศอบอุ่น(a warm climate).

         ในขณะที่สัตว์เลื้อยคลาน(reptiles)ได้เปลี่ยนแปลงไปสู่มากมายหลากหลายชนิด, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม(mammals)ยังคงเป็นสัตว์มีขนาดเท่าหนูที่ออกหากินตอนกลางคืนทั้งหลาย(nocturnal rat sized animals). สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลาย(the mammals)อยู่ในเงามืด(the shadows).

         ด้วยการปรากฏขึ้นของไดโนเสาร์(dinosaurs), สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย(reptiles)ก็เข้าไปสู่ ยุคทอง (entered for Golden Age).

         ไดโนเสาร์(dinosaur)มีอำนาจเหนือต่อ(prevailed against)สัตว์สายพันธุ์อื่นมากมาย(many other animal species) และเอาชนะการดิ้นรนต่อสู้เพื่ออยู่รอด(survival).

         หินหลอมละลายใต้ผิวโลกที่มีรังสีกัมมันตภาพสูง(high-radiation magma)ได้ถูกผลิตขึ้น(produce)เมื่อทวีปแยกออกจากกัน(split apart)และนี่คือที่กิ่งก้านวิวัฒนาการ(stem evolution)บังเกิดขึ้น(occurs)เนื่องเพราะเหนี่ยวนำให้กลายพันธุ์(induced mutation).

ไดโนเสาร์(dinosaurs)ได้มาถึงจุดสุดยอดของระบบนิเวศน์ของพวกเขา(the pinnacle of their ecosystems).

ชิ้นของ แพนจีตอนเหนือ(the piece of northern Pangaea)ที่ได้แยกออกจากกัน(had split), ภายหลังได้กลับมารวมกันอีก(later rejoined). การนี้ทำให้เกิด มงกุฎของวิวัฒนาการ(caused crown evolution).

การรวมกันของทวีปทั้งหลาย(amalgamation of continents)นำมาซึ่งการผสมข้ามพันธุ์ของชีวิต(hybridization of life) และสายพันธุ์ใหม่ทั้งหลาย(new species)แผ่ขยายออกไปสู่ทวีปอื่นๆ.

ไดโนเสาร์(dinosaurs)เจริญรุ่งเรือง(flourished)ไปทั่วโลก(all over the world).

ในโลกของพืช, พืชชั้นสูง(angiosperms)ที่ก้าวหน้าด้วยความสามารถในการผลิตซ้ำ(advanced reproductive capacities)ปรากฏขึ้น(appeared).

พืชชั้นสูงทั้งหลาย(angiosperms)ใช้ประโยชน์จากสัตว์ทั้งหลาย(utilize animals)ในการช่วยเหลือด้วยการผสมเกสร(pollination)และเจริญรุ่งเรืองจากการนั้น(thus flourished).

ในอีกด้านหนึ่ง(on the other hand), ที่อยู่อาศัยของ ยิมโนสเปอร์มทั้งหลาย(the habitat of *gymnosperms)ได้ลดลง(reduced).

* gymnosperm ความหมาย คือ จิมโนสเปิร์ม : พืชจำพวกหนึ่งในดิวิชันเทรคีโอไฟตา ไม่มีดอก แต่มีเมล็ดอยู่ในอวัยวะที่เรียกว่าโคน (cone) เช่น สน ปรง เป็นต้น

 

* การกำเนิดของ *ไพรเมท ทั้งหลาย(The Birth of Primates)

* primate คือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตระกูลลิง และรวมถึงมนุษย์ด้วย ได้แก่ lemurs, bushbabies, marmosets, monkeys, apes, humans.

ไพรเมททั้งหลาย(primates), บรรพบุรุษของมนุษย์(humans)ได้ปรากฏขึ้นที่รอยแยก(the rift)ของ กอนด์วานา มหาทวีป(the Gondwana super continent). โดยเส้นทางนี้(via)กิ่งก้านของวิวัฒนาการสายพันธุ์ใหม่ทั้งหลาย(the stem of evolution new species)ได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางสัตว์ที่ใช้ฟันแทะ(rodents)เช่น พวกหนู(rats).

ด้วยเวลา(with time) กอนด์วานา(Gondwana)ได้แยกออกไปเป็น อเมริกาใต้(South America)และ อาฟริกา(Africa).

หลังจากอเมริกาใต้ได้แยกตัวออกมาโดดเดี่ยว(isolated), ไพรเมท(primates)ได้วิวัฒนะ(evolved)เขาไปสู่ลิงโลกใหม่(the new world monkeys).

บนทวีปอาฟริกา(the Africa continent), ไพรเมททั้งหลาย(the primates)ได้วิวัฒนะ(evolved)เข้าไปสู่ ลิงโลกเก่า(the old-world monkeys).

หลังจากอนุทวีปอินเดียน(the Indian subcontinent)แยกตัว(split off)จาก แอนตาร์คติกา(Antarctica), ไพรเมท(primates)บนทวีปนี้ได้วิวัฒนะ(evolved)เข้าไปสู่ ลิงจุ่น(*lorises - นางอาย).

* https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA

         ไพรเมททั้งหลาย(primates)ได้วิวัฒนะ(evolved)เป็นอย่างอิสรภาพต่อกันบนแต่ละทวีป(independently on each continent) และในหนทางนี้(in this way)สายพันธุ์มากมายของไพรเมท(many species of primate)ได้ปรากฏขึ้น(appeared).

ซูเปอร์-พลูม แปซิฟิค ขนาดใหญ่(a large Pacific *super-plume) – พื้นที่ผิดปกติขนาดใหญ่ที่เป็นผลพลอยได้จากหินหนืดหลอมละลายใต้ผิวโลก(mantle)ปะทุขึ้นมาและเย็นตัวลง – ดันเปลือก

* https://en.wikipedia.org/wiki/Superswell

โลกแปซิฟิค(Pacific plate)ขึ้นมาและยกระดับทะเลขึ้นด้วย(raised the sea level). แผ่นดินต่ำ(lowlands)ตกลงไปใต้ระดับทะเล(fell below sea level)และพื้นที่แผ่นดินทั้งหมด(total land area)ได้ลดลง(decreased).

         การยกสูงขึ้นของระดับทะเลทั้งหลาย(rising sea-levels)ได้แยกทวีปออกเป็นส่วน(segmented the continent), จัดหาสภาพแวดล้อมที่แยกจากกัน(providing isolated environments)สำหรับวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกายรูปเฉพาะราย(individualized morphological evolution).

         เหตุอุบัติในขนาดของเอกภพ(a universe scale event)ได้เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของผิวโลก(Earth’s surface environment). ระบบสุริยะ(the solar system)ได้ชนเข้ากับ(collided)เนบูลามืด(a Dark Nebula). โลกได้ถูกปกคลุมมิดหมดไปด้วยเมฆทั้งหลาย(entirely covered by clouds). ทั่วโลกหนาวเย็นทำให้หายนะทำลายระบบนิเวศน์ทั้งหลาย(catastrophic damaging ecosystems).

        

ในที่สุด(finally), อุกกาบาตหนึ่ง(a meteorite)ที่กว้างสิบกิโลเมตรก็ตกลงมายังคาบสมุทร ยูคาตัน เพนินซูลา(*Yucatan Peninsula)

เหตุการณ์นี้(this event)เป็นเสมือนไกปืนสุดท้ายที่ลั่นให้เกิดการทำลายล้างมหาศาลให้ไดโนเสาร์ทั้งหลายสูญสิ้น(the mass extinction of dinosaurs).

ชะตากรรมของชีวิตบนโลก(the fate of the Earth’s life)เชื่อมต่ออย่างลึกล้ำกับ(deeply connected to)กับเหตุอุบัติ(the events)ทั้งหลายในเอกภพ(the universe).

เหตุอุบัติในขนาดของเอกภพ(a universe scale event)สามารถทำให้เกิดคสามหนาวเย็นไปทั่วทั้งโลก(global cooling)และการสูญสิ้นมหาศาล(mass extinctions).

รังสีคอสมิคของกาแล๊กซี่ที่เข้ามามากไปทั่ว(moreover galactic cosmic rays)เกิดผลกระทบโดยตรง(directly affects)ต่อDNAที่แบกถือพิมพ์เขียวของชีวิตอยู่(carries the blueprints).

รังสีคอสมิคทั้งหลาย(cosmic rays)ทำให้เกิดการกลายพันธุ์(mutations)ที่ช่วยให้วิวัฒนาการดีขึ้น(promote evolution).

รูปลักษณ์ทั้งหมดของชีวิตบนโลก(all aspects of life on the earth)กระนั้นจึงได้รับอิทธิพล(thus influenced)โดยเหตุอุบัติในขนาดของเอกภพ(universe scale events)เช่นนี้.

ในที่สุด, ไดโนเสาร์(dinosaurs)ทั้งหลายที่เจริญรุ่งเรืองก็สูญสิ้น(extinct).

 

ตอนที่ 11ซ ยุค ฮูมาโรโซอิค อีออน(The Humanozoic eon):

กาปรากฏของมนุษย์ และ อารยธรรม (the appearance of human being and civilization)

* วิวัฒนาการ เข้าไปสู่ ไพรเมท (Evolution into primates)

         กิจกรรมการระเบิดภูเขาไฟไปตามหุบเขารอยแยกอาฟริกัน(along the African Rift Valley explosive volcanic activity)ได้ดำเนินต่อไป(continued)และหินหลอมละลายลักษณะประหลาด(peculiar magma)บรรจุไว้ด้วยธาตุรังสีกัมมันตภาพรังสีอย่างล้นเหลือ(containing abundant radioactive elements)ปะทุระเบิดลิงโลกเก่าทั้งหลาย(erupted old world monkeys)ด้วยบรรพบุรุษใหม่ของไพรเมท(a new clade of primates)ได้ปรากฏขึ้นที่นั่น.

         พวกเขาได้คิดว่าเป็นบรรพบุรุษระยะไกลของเรา(to be our remote ancestors).

 

* การกำเนิดของมนุษย์, หมวดหมู่สัตว์ลำดับที่สี่:

ยุค ฮูมาโนโซอิค อีออน (the Humanozoic eon)

         ราว 4.5 พันล้านปีได้ผ่านมาตั้งแต่การกำเนิดของโลก(the birth of earth), การผันแปรขนาดใหญ่ทั้งหลาย(large fluctuations)ในสภาพแวดล้อมบนพื้นดินผิวโลก(terrestrial environments)ได้เกิดซ้ำๆ(occurred repeatedly)ของวัฎจักรมิรู้จบของชีวิตและความตาย(a never3ending cycle of life and death).

         ในท้ายสุด(finally), มนุษย์ปรากฏขึ้น(human being appeared).

         นี่เป็นการเริ่มต้นรุกโจมตีของมนุษย์ทั้งหลาย(the onset of the humans)ของฺยุค ฮูมาโนโซอิค อีออน (Humanozoic eon).

*https://en.wikipedia.org/wiki/Human

         มนุษย์ มีภาคส่วนพันธุกรรมทั้งหลายที่เป็นกลุ่มลักษณะพิเศษหนี่งเดียว(a unique set of genetic regions)ที่ถูกเรียกว่า ภาคส่วนเร็วความเร็วมนุษย์(human accelerated regions) หรือ HARS. และภาคส่วนเหล่านี้แยกแยะทำให้แตกต่าง(differentiate)มนุษย์จากสัตว์อื่นๆ(humans from other animals).

         มนุษย์พัฒนาสมองที่ใหญ่โตที่ทำให้เป็นไปได้ที่พวกเขาจะได้มีความสามารถในการใช้ภาษาทั้งหลาย(to gain language capabilities). พวกเขายังได้รับความสามารถทั้งหลายในการที่จะคิด(gained the abilities to think),ที่จะตระหนักรู้ได้(to be conscious), ที่จะจจดจำ(to remember)และที่จะจินตนาการ(to imagine).

         ปริมาตรของสมองขอมนุษย์(the brain volume of human beings)ได้หยุดการเพิ่มขึ้นต่อไป(discontinuously increased)ในสามขั้นตอน(three stages).

         การเติบโตของปริมาตรสมอง(the growth of brain volume)ดูเหมือนจะถูกสอดพร้อม(synchronized)ไปกับขนาดใหญ่ของการระเบิดปะทุของภูเขาไฟ(volcanic eruptions). สิ่งนี้บ่งชี้(indicated)ว่า การเพิ่มขึ้นในปริมาตรสมอง(the increase in brain volume)เกิดขึ้นโดยก้านวิวัฒนาการ(by stem evolution)ที่ถูกขับดันโดย(driven by)HiR magma.

 

        

ราว 1 ล้าน 2แสนปีก่อน, มนุษย์เริ่มต้น(started)เคลื่อนย้ายออกมาจากทวีปอาฟริกา. ต้นตระกูลผู้หญิงธรรมดาสุดท้าย(the last common female ancestor)ที่ออกจากทวีปอาฟริกามาเมื่อ 200,000ปีก่อนถูกเรียกว่า ไมโตคอนเดรียล อีฟ(Mitochondrial Eve).

ลูกหลานของ ไมโตคอนเดรียล อีฟ(Mitochondrial Eve)เข้าไปในอเมริกาเหนือและอเมริกากลาง(North America and Central America) 15,000 ปีก่อน.

10,000 ปีก่อนลูกหลานนั้นไปไกลถึงปลายแหลมตอนใต้ของอเมริกาใต้(the southern tip of South America), พวกเขาได้แผ่กระจาย(spread)ไปทั่วโลก.

ตั้งแต่นั้นมา(since then), ความก้าวหน้าสำคัญของอารยธรรมมนุษย์(an epochal advance of human civilization)ได้เกิดขึ้น.

 

* 10,000 ปีก่อน: การปฏิวัติเกษตรกรรม (The Agricultural Revolution)

         มนุษย์ได้ประดิษฐ์สร้าง(invented)ผลผลิตเกษ๖ณกรรมและปศุสัตว์ขึ้น, ด้วยกรรมวิธีเหล่านี้(these methods)เสบียงอาหารที่มั่นคง(a stable food supply)กลายมาเป็นไปได้(possible).

         ประชากรมนุษย์(human populations)เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว(rapidly).

 

* 5,000 ปีก่อน: การปฏิวัติ เมือง (The Urban Revolution)

         ความเชี่ยวชาญพิเศษในหลากหลายอาชีพ(various occupational specializations)บังเกิดขึ้น(arose), ผู้คนเริ่มต้นซื้อขายแลกเปลี่ยน(barter and trade).

         เพื่อให้สามารถทำการแลกเปลี่ยนได้อย่างได้ผลดี(enable effective bartering), เมืองทั้งหลาย(cities)ได้ก่อรูปขึ้น(formed).

         ด้วยเวลาผ่านไป(with time), เมืองเล็กๆทั้งหลาย(small cities)ได้พัฒนาเข้าไปสู่ นครรัฐเล็กๆ(small city states)ด้วยการมี เงินตรา(currencies), เศรษฐกิจ(economies), กฎหมาย(laws), ศาล(courts)และตำรวจ(police).

         ในท้ายสุด(finally), สี่อารยธรรมยิ่งใหญ่ของโลก(*the four great civilizations of the world)ได้ปรากฏขึ้นตามแม่น้ำสายใหญ่(along large rivers)ที่ซึ่งผลผลิตอาหาร(food productivity)นั้นสูงกว่าในภาคส่วนอื่นๆ.

* อารยธรรม อียิปเทียน(Egyptian civilization)/อารยธรรม เมโสโปเตเมียน(Mesopotamian civilization)อารยธรรมหุบเขาสินธุ(Indus Valley civilization)/อารยธรรมแม่น้ำเหลือง(Yellow River civilization)

 

* 2,400 ปีก่อน: การปฏิวัติ ทางความเชื่อ/ ลัทธิ/ ศาสนา (the Religious Revolution)

         ความขัดแย้งในการต่อสู้ข้ามเขตแดน(conflicts in fighting over territory)บังเกิดขึ้นระหว่างอารยธรรมทั้งหลาย(civilizations).

         เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้, ลัทธิศาสนา(religions)ได้แผ่ขยายเข้าไปแทนที่การปกครอง(replace governance)โดยตระกูลราชวงศ์(royal families)ขุดคูสนามเพลาะ(entrenched)ผ่านทะลุการสืบทอดทายาท(inheritance).

         ด้วยเวลาผ่านไป(with time), ผู้นำประชาชาติทั้งหลาย(national leaders)มาเป็นการถูกเลือกตั้ง(be elected)โดยผู้ลงคะแนนเสียง(voters).

         ชาติประชาธิปไตยสมัยใหม่(Modern democratic nations)ปรากฏขึ้น(appeared). ประชาธิปไตย(democracy)เป็นรูปแบบทางสังคม(social form)ที่ประทาน(grants) อิสรภาพ(freedom), ความเสมอภาคละสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์(basic human rights).

 

* 300 ปีก่อน:  การปฏิวัติอุตสาหกรรม (The Industrial Revolution)

         การปฏิวัติอุตสาหกรรม(the Industrial Revolution)เริ่มต้นในสหราชอาณาจักร(Great Britain)หลังจาก “Principiaโดย เซอร์ ไอแซค นิวตัน ได้ถูกตีพิมพ์.

         เทคโนโลยีใหม่ได้ถูกสถาปนาขึ้น(established)หรือประยุกต์(applied)ขึ้นอยู่บนพื้นฐานของความรู้เชิงวิทยาศาสตร์(scientific knowledge), ได้เปลี่ยนแปลงสังคมมนุษย์อย่างเร้าอารมณ์(dramatically changed human society).

         การประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ(steam locomotive)ทำให้เกิดการขนส่งของสินค้าโดยทางรถไฟ(railway).

         การประดิษฐ์รถยนต์(cars)และเครื่องบิน(airplanes)ทำให้เราสามารถที่จะเดินทางไกล(travel long distance)ได้ง่ายๆ.

 

         สังคมมนุษย์(human society)เข้าไปสู่ยุคสมัยของ ความอุดมสมบูรณ์ล้นเหลือ – ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน(the age 0f never-before-seen abundance).

         อย่างไรก็ตาม(however), สงคราม(war)ได้บังเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ(occurred incessantly). บางครั้งโศกนาฏกรรม(tragedy)ที่ไม่สามารเอากลับมาได้(irreversible)ได้เกิดขึ้นจากการใช้ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์โดยผิดวิธี(the misapplication of scientific knowledge).

 

* การปฏิวัติข่าวสาร (The Information Revolution)

         การปฏิวัติข่าวสาร(the information revolution)ได้ผุดขึ้น(arose)ตามที่ได้มีการประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ขึ้น(the invention of computers).

         มันทำให้มนุษย์สามารถที่จะสำรวจค้น(explore)เอกภพ(universe)ได้ดังเป็นสัญลักษณ์(symbolized)โดยโครงการอพอลโล(Apollo program).

         และการประดิษฐ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์(the invention of internet)นำไปสู่ยุคใหม่(new era), ที่ผู้คนข้ามโลก(across the world)สามารถติดต่อ(connect)เข้าด้วยกันและกันในพริบตา(instant).

         พ้นจากการสำนึกผิด(out of contrition)ต่อสงครามที่ผ่านมาทั้งหลาย(over past wars), การกำเนิดของประชาติโลกเป็นหนึ่งเดียว(a unified world nation)กำลังมาเพื่อที่จะได้ตระหนักรู้(realized).

         ในปี ค.ศ. 1993, สหภาพยุโรป(EU)ได้ก่อรูปขึ้น(formed)เป็นนครรัฐหนึ่งเดียว(a unified state)ในยุโรป, ที่ซึ่งสงคราม(wars)ได้บังเกิดขึ้นอีกบ่อยครั้งเป็นส่วนใหญ่.

         ในอีกพื้นที่อื่น(in other areas), สหพันธรัฐคล้ายคลึงกัน(similar federations)ได้โผล่ขึ้น(emerging)นำเราไปใกล้ยิ่งขึ้นกับการกำเนิดของโลกเป็นหนึ่งเดียว(the birth of a unified world nation).

         ภายในขอบเขตของประวัติศาสตร์ลก(within the scope of Earth’s history), ยุค ฮูมาโนโซอิค อีรา(humanozoic era)นั้นสั้นมาก(very short).

         อย่างไรก็ตาม(however), มันก็เป็นประวัติศาสตร์ทั้งปวงของมนุษย์(humans entire history)คลี่กางออก(unfolding)ภายในบริบทของปะวัติศาสตร์โลก(the context of the Earth’s history).

         ในทางชีววิทยาแล้วมนุษย์(biologically human being)เป็นแค่สายพันธุ์หนึ่งของสัตว์(one species of animal).

         อย่างไรก็ดี(however), เราเป็นก็แตกต่างไปจากสัตว์อื่นอย่างสำคัญยิ่ง(essentially different from other animals)เพราะสมองที่ได้วิวัฒน์ของเรา(evolved brains).

         อะไรอื่นอีกหรือที่วางอยู่ต่อไปข้างหน้าสำหรับมนุษย์(lie ahead for human beings).

 

ตอนที่ 12: อนาคตของโลก (Future of the Earth)

* การท้าทายสำหรับสังคมมนุษย์ (Challenges for human society)

         กิจกรรมทั้งหลายของมนุษย์(human activities)ได้ถูกขึ้นอยู่กับ(dependent on)เชื้อเพลิงฟอสซิล(fossil fuel). เชื้อเพลิงฟอสซิลถูผลิตขึ้น(produced)และสั่งสม(accumulated)ผ่านประวัติศาสตร์ของโลก(Earth’s history)ผ่านมากว่าหลายพันล้านปี(over billions of years).

         เราในตอนนี้กำลังใช้หมดเปลือง(using up)เชื้อเพลิงเหล่านี้(these fuels)ในอัตราก้าวเดินอย่างดุดัน(a furious pace). การคงเหลืออยู่ของปริมาณของเชื้อเพลิงฟอสซิลถูกคาดหวังว่า(expected)จะลดลงอย่างเฉียบพลัน(decrease sharply)ภายหลังปี 2020”

         มันเคยสมมติว่า(assumed)เชื้อเพลิงฟอสซิลน่าจะหมดไปในราว 2100. อย่างไรก็ดี, จากการปฏิวัติเชลล์แก๊ส(the *shale gas revolution), การหมดสิ้นนี้(this depletion)จะเลื่อนออกไปอีก 100 ปี(be delayed 100 years).

* https://dscng.pttplc.com/(S(ctbei1s4qryggw43fb0kzpcv))/Files/Newsletter/Newsletter_346.pdf

                ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีทางการแพทย์(progress in medical technology)และการบริโภคอาหารสุขภาพ(the intake of nutritious meals), ทำให้เกิดการระเบิดออกของการเติบโตประชากร(explosive population growth).

และด้วยผลของการนี้, การขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง(serious food shortage)จะเกิดขึ้น(occur)ในราว 2020. สิ่งนี้จะเป็นจุดเครื่องหมายการเริ่มต้นของยุคสมัยแห่ง 3 พันล้านผู้อพยพลี้ภัย(mark the beginning of the era of 3 billion refugees).

 

อย่างไรก็ตาม, ประชากรโลก(the world’s population)ได้ถูกคาดว่าจะลดลงไปสู่ 5 พันล้านในปี 2100(decrease to 5 billion by 2100), หลังจากที่ถึงจุดสูงสุด(peaking)ที่ 10 พันล้าน(10 billion 1 หมื่นล้าน)ในปี 2050.

จนถึง 2050, การเพิ่มขึ้นของประชากร(increasing population)จะดำเนินต่อไปให้เกิดภาวะการปนเปื้อนอย่างรุนแรงในด้านสภาพแวดล้อม(serious environmental contamination).

การท้าทายทั้งหลายระดับโลกจำนวนมาก(numerous global challenges)จะขยายความวิตกกังวลยิ่งขึ้น(amplify the anxiety)ภายในสังคมทั้งหลายของมนุษย์(within human societies).

อะไรคืออนาคตของมนุษย์ที่ยึดเอาไว้หรือ?

 

* อนาคตของสังคมมนุษย์ (Future of human society)

         ในวงการวิทยาศาสตร์(field of science), เทคโนโลยีที่มีนวัตกรรมทั้งหลาย(innovative technologies)จะถูกพัฒนาอย่างก้าวย่างเร็วเร่ง(an accelerated pace).

         มนุษย์จะสร้างฐานอวกาศ(space base)บนดวงจันทร์(on the moon)เพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำการค้นสำรวจดาวเคราะห์ทั้งหลายในระบบสุริยะของเรา(exploration of our solar system’s planets).

         หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์(artificially intelligent robots)จะถูกนำมาเกี่ยวข้อง(involved)ในการสำรวจอวกาศ(in space exploration), ช่วยเหลือมนุษย์(assisting humans)ในภารกิจทั้งหลายของพวกเขา(their tasks). ในอนาคตอันใกล้, การสร้างซ้ำตนเองขึ้นของหุ่นยนต์ทั้งหลาย(self-replicating robots)จะปรากฏ(appear), และจะวิวัฒนะเลยโพ้นจากขีดจำกัดทั้งหลายของมนุษย์(evolve beyond human limits).

         รูปแบบชีวิตประดิษฐ์นี้(this artificial life-form)จะค่อยๆ(gradually)เดินทางออกเข้าปสู่กาแล๊กซี่(the galaxy).

         เทคโนโลยีใหม่ๆมากยิ่งขึ้น(moreover new technology)ทำให้เราสามารถ(enabling us)ที่ไปเข้าในมิติทั้งหลายที่แตกต่างออกไป(go into different dimensions)จะได้พัฒนามนุษย์(developed humans), ให้ต้องกลายมาสามารถที่จะจดจำโลกโพ้นเลยอวกาศและเวลา(recognize the world beyond space and time).

         ในที่สุดกระนั้น(eventually), บทบาทของมนุษย์(the role of human beings)จะถูกเสร็จสิ้นลง(will be finished).

         นั่นคือจุดจบของยุคสมัย ฮูมาโนโซอิค(the humanozoic era).

         ฉากจำลองนี้(this scenario)อาจจะผลลัพท์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของยุทธศาสตร์ของวิวัฒนาการของชีวิต(result of the strategy of life’s evolution)ง

         เพราะว่าในอนาคต, โลกจะเผชิญหน้ากับกลียุคทั้งหลาย(upheavals)มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนที่เคยมีมา(ever before)ในปรวัติศาสตร์ของตน.

 

* อนาคตของโลก (Future of the Earth)

* 200 ล้านปีถัดจากนี้ไป: การก่อรูปของ มหาทวีป

                          (Formation of the supercontinent)

         ศูนย์กลางที่เอเชีย(centering on Asia), ทวีปทั้งหมดจะรวมเข้าหากันก่อรูปเป็น มหาทวีป อเมเซีย(gather to form the supercontinent Amasia -อเมริกา/เอเชีย).

 

* 400 ล้านปีถัดจากนี้ไป: การสูญสิ้นของ พืช C4 ทั้งหลาย (Extinction of C4 plants)

         พืชทั้งหลายบริโภค(consume) คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ(atmospheric co2) เพื่อทำให้คาร์บอนคงตัวในร่างกายของพวกตน(to fix carbon in their bodies).

พืชที่ตายแล้วสร้างด้วยคาร์บอนคงตัว(made of fixed carbon), ถูกปิดคลุม(covered)ด้วยสารตกตะกอน(sediment).

ขบวนการนี้(this process)เล่นบทบาท(a role)ในการลดจำนวนคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ(reducing atmospheric co2).

การปรากฏขึ้นของ มหาทวีปอเมเซีย(the supercontinent Amesia), จะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของพื้นที่แผ่นดิน(land area)ที่สามารถทำให้คาร์บอนคงที่(can fix carbon).

พืชที่มากขึ้นบนมหาทวีปที่ใหญ่ขึ้น(a larger supercontinent)ลดคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศได้มากขึ้น(reduce more atmosphere co2).

ปริมาณจำนวนมากของคาร์บอนไดออกไซด์จะลดลงไปสู่หนึ่งในสิบของระดับปัจจุบัน(one tenth of the present level).

พืช C4 ทั้งหลายจำเป็นต้องการ(requiring)ความเข้มข้นสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์(higher concentrations of co2)ก็จะไปสู่การสูญสิ้น(go extinct).

ผลลัพท์ของการนี้, สัตว์อื่นๆที่พึ่งพาอยู่กับ(rely on)พืช C4 เพื่อเป็นอาหาร, ก็จะได้รับผลกระทบ(be affected).

 

* 1 พันล้านปีถัดจากนี้ไป: การหยุดชะงักของการแปรสัณฐานเปลือกโลก (Cessation of plate

tectonics)

         น้ำทะเล(seawater)ได้กำลังลดลง(has been decreasing)ผ่านมาโดยตลอดหกร้อยล้านปี, ในขณะที่มันได้ขนย้าย(transported)ลงไปสู่หินหนืดหลอมละลาย(the mantle)ในรูปของแร่ธาตุไฮดรัสทั้งหลาย(the form of *hydrous minerals แร่ที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบ).

* https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B9%88

ในท้ายสุด(finally)แนวสันกลางมหาสมุทรทั้งหลาย(mid-oceanic ridges)ก่อรูปยอดทั้งหลาย(summits)ขึ้นมาเหนือน้ำทะเล(the sea water).

น้ำ(water)ไม่สามารถถูกนำเข้าไปในเปลือกโลก(the crust)เช่นสารหล่อลื่น(a lubricant)ได้อีกต่อไปและการแปรสัณฐานเปลือกโลก(plate tectonics)ก็ถูกยุติลง(is terminated).

นี่คือชะตากรรมของดาวเคราะห์ที่กำลังหนาวเย็น(the fate of a cooling planet).

กิจกรรมภูเขาไฟ(volcanic activity)ไปตามย่านมุดตัวของเปลือกโลกเหล่านี้(these subduction zone)หยุดการวุ่นวายของภูเขาทั้งหลายลง(stops upheaval of the mountains), หยุดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่รุนแรงทุกข์ยากทั้งหลายของโลก(stop the earth suffers severe environment changes)จากการกัดกร่อน(erosion).

เปลือกโลกเย็นที่มุดตัวลง(subducted cold plate)ไม่ได้ลงไปถึงก้นของหนหนืดหลอมละลาย(the mantle). แกนโลกด้านนอก(the outer core)ไม่ได้เย็นตัวลงอีกต่อไปและสนามแม่เหล็กโลก(the geomagnetic field)หายไป(disappears).

ชั้นบรรยากาศของโลก(Earth’s atmosphere)ถูกเอาออกไป(removed)โดยลมสุริยะ(the solar wind).

และเมื่อถึงจุดนี้, สัตว์หลากหลายเซลล์(multicellular animals)ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมพื้นผิว(living in the surface environment)สูญสิ้นไป(go extinct).

 

* 1.5 พันล้านปีถัดจากนี้ไป: การหายไปของมหาสมุทร (Disappearance of the ocean)

         เมื่อมหาสมุทรหายไป(the ocean disappears), สัตว์ทั้งหลายที่อยู่รอดในมหาสมุทรก็จะตายไปด้วยเช่นกัน.

         ในที่สุด(finally)บรรดาชีวิตบนโลกทั้งหมด(all the Earth’s life)ก็หายไป(disappears).

         ความร้อนที่สูงขึ้น(the heating up)ของพื้นผิวดวงอาทิตย์(the solar surface), เพิ่มอุณหภูมิที่พื้นผิวโลกถึง 500 องศาเซลเซียส(°C).

         โลก(the arth)กลายเป็นเหมือนดาวศุกร์(Venus).

 

* 4.5 พันล้านปีถัดจากนี้ไป: การชนกันระหว่าง กาแล๊กซี่ทางช้างเผือก และ กาแล๊กซี่แอนโดรมีดา (Collision between the Milky Way Galaxy and the Andromeda Galaxy)

         กาแล๊กซี่แอนโดรมีดา(theAndromeda galaxy)ชนปะทะเข้ากับกาแล๊กซี่ทางช้างเผือกของเรา(our Milky Way galaxy).

         เพราะการชนกัน(the collision)นี้เอง, อัตราการกำเนิดของดวงดาวทั้งหลายก็เพิ่มขึ้น(the birth rate of stars increase).

         เวลาผ่านไป(with time), ดวงดาวทั้งหลายเหล่านี้(those stars)ประสบเหตุทุกข์ยาก(udergo)จากการระเบิดของซูเปอร์โนวา(supernova explosions).

         รังสีกาแล๊กซี่คอสมิคเข้มข้นทั้งหลาย(intense galactic cosmic rays)โปรยปรายลงมาบนโลก(rain on the earth).

 

* 8 พันล้านปีถัดจากนี้ไป: การทำลายล้าง โลก(Annihilation of the Earth)

         ดวงอาทิตย์ที่พองขยายตัวออก(the expanding Sun)จะกลืนกินโลก(swallow the earth).

         นี่คือวันที่ดาวเคราะห์โลกที่ให้กำเนิดต่อชีวิต(this is the day when the planet Earth that give birth to life)จะหายไปจากเอกภพ(disappear from the universe).

         เมื่อถึงเวลานั้น(by that time), ชีวิตของดาวโลก(the Earth’s life)ก็จะได้ไปถึงกาแล๊กซี่อื่นๆ(reached other galaxies)เป็นเช่น ชีวิตประดิษฐ์จำลองสร้างตนเองขึ้นซ้ำ(self-replicating artificial life)ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป(different form).

https://youtu.be/NQ4CUw9RcuA