ประวัติทั้งหมดของ
โลก และ ชีวิต
The Whole
History of the Earth and Life
ตอนที่
1: จุดกำเนิดของ โลก – The Origin of the Earth
*
4.567 พันล้านปีก่อน: การก่อรูปแบบของระบบสุริยะ
(the
formation of the solar system)
มากกว่า 4.5 พันล้านปีล่วงมาแล้ว, กาแล๊กซี่ทางช้างเผือก(the Milky Way galaxy) ประสานงาปะทะกัน(collided)กับ กาแล๊กซี่แคระ(dwarf
galaxy)ที่อยู่ใกล้เคียง(nearby).
การเจอกันโดยบังเอิญนี้(this encounter)เร่งเร้า(hastened)การก่อรูปแบบของดาวทั้งหลาย(formation
of stars). ระบบสุริยะของเรา(our solar system)เป็นส่วนหนึ่งของกาแล๊กซี่ทางช้าวเผือก(the
Milky Way galaxy).
ภายในระบบสุริยะ,
การเคลื่อนไหวโคจรของวัตถุ(material circulation)ได้พัฒนาอย่างช้าๆ(progressing).
ส่วนประกอบของน้ำจากภาคส่วนภายนอก(outer region)ได้กลายเป็นไอ(evaporated)ที่พยายามจะสร้างวัตถุทั้งหลาย(to
make materials try).
โดยผ่านขบวนการพัฒนานี้(this process), อนุภาคทั้งหลาย(particles)ได้ถูกแจกจ่ายแบ่งปันแบบมีขอบเขต(zonally
distributed) ขึ้นอิงอยู่กับปริมาณที่บรรจุอยู่ของน้ำของพวกเขา(depending
on their water content). การไหลของสองขั้ว(bipolar flow)ได้หยุดลง(stopped). และด้วยการหมุนโคจรของวัตถุ(it
material circulation).
บางภาคส่วนทั้งหลาย(some regions)รอบๆดวงอาทิตย์(the Sun), ด้วยอนุภาคที่มีความหนาแน่นสูง(high
particle density)ได้ปรากฏ(appeared)ขึ้น.
ภายในการปะทะกันของภาคส่วนเหล่านี้อย่างบ่อยครั้ง(regions
collisions frequently), ได้เกิดอนุภาคขนาดเล็ก(small
particles)ทีละน้อย, เติบโตขึ้นกลายไปเป็นดาวเคราะห์น้อยทั้งหลาย(planetesimals).
ดาวเคราะห์น้อยทั้งหลาย(planetesimals)ดำเนินต่อไปในการชนปะทะกับอนุภาคที่เล็กกว่า(smaller particles)และกับดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นๆ(planetesimals),
ในที่สุด(eventually)เติบโตขึ้น(growing to)เป็น ดาวเคราะห์ใหญ่ทั้งหลาย(planets) ดังเช่น โลก(the
earth).
* 4.56 พันล้านปีก่อน: การก่อรูปแบบของ
โลก (The
formation of the Earth)
ดาวเคราะห์จำนวนหนึ่ง(a number of
planets)ได้เคลื่อนที่ในลักษณะวงโคจรเดียวกัน(the same orbit).
โลกในตอนเริ่มแรก(the early
Earth)ได้ชนปะทะ(collided)กับดาวเคราะห์เล็กกว่าขนาดๆเท่าดาวอังคาร(a
smaller mars-sized planet).
* 4.55 พันล้านปีก่อน: การชนปะทะขนาดยักษ์
(Giant
impact)
เศษชิ้นส่วนที่แตกหัก(debris)จากการชนปะทะนี้(this impact)ในที่สุด(eventually)ได้กลายมาก่อรูปขึ้น(to form)เป็นดวงจันทร์ของเรา(our
moon).
ระบบโลก-ดวงจันทร์(the earth-moon)อย่างที่เรารู้กันในทุกวันนี้ว่าได้เข้าที่แล้ว(in place).
ตอนที่
2: การเริ่มต้นของ การแปรสัณฐานทั้งหลายของเปลือกโลก(Initiation of
Plate Tectonics)
ดาวเคราะห์น้อยทั้งหลาย(planetesimals)นับไม่ถ้วน(countless)และดาวเคราะห์น้ำแข็งทั้งหลาย(icy
planets)โจมตีทิ้งระเบิดลงมา(bombarded)ใส่ดาวโลกแห้งแล้งในตอนเริ่มแรกนี้(the
early dry earth).
ด้วยการทิ้งระเบิดลงมาใส่นี้, น้ำ(water)ได้อุดมด้วยดาวเคราะห์น้อยทั้งหลาย(planetesimals),
โลกได้กลายมาห่อหุ้ม(enveloped)ด้วยระบบบรรยากาศมหาสมุทร(an
ocean atmosphere system).
*
4.37 – 4.20 พันล้านปีก่อน: การก่อรูปแบบของ
ชั้นบรรยากาศและมหาสมุทร (The formation of atmosphere and ocean)
ไอน้ำในชั้นบรรยากาศ(water vapor in
the atmosphere)ผลิตสร้าง(produced)ฝน(rain), ยก่อรูปเป็นมหาสมุทร(forming an ocean).
ความกดดันของชั้นบรรยากาศ(the atmospheric pressure)ค่อยๆทำให้ชั้นบรรยากาศที่อุดมด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง(decreased
the carbon dioxide atmosphere) เปลี่ยนผ่าน(transitioned)ไปสู่มหาสมุทรของ CO2 ปกคลุม(covering)มหาสมุทรน้ำนั้นไว้(the water ocean).
คาร์บอนไดออกไซด์ยังรวมตัวเข้ากับส่วนประกอบทั้งหลายของหิน(combined with
rock components)และได้ถูกขนส่ง(transported)ไปสู่ก้นมหาสมุทรผ่านการผุพังของตนเองและการกัดกร่อน(weathering
and erosion).
ในเวลานี้(at this time)มหาสมุทร(the ocean)ยังคงเป็นพิษ(toxic)ด้วยสารละลายของเกลือ(salinity)และโลหะทั้งหลายที่มากมายเกินไป(overabundance
of metals). มันเป็นพิษเกินไป(too toxic)ที่จะสนับสนุนชีวิต(support
life).
* 4.37-4.20 พันล้านปีก่อน: การเริ่มต้นแปรสัณฐานทั้งหลายของเปลือกโลก
(The
initiation of plate tectonics)
เปลือกโลกที่ลอยตัวอยู่(upwelling
mantle)ได้ขึ้นมาแทนที่(displaced)เปลือกมหาสมุทรทั้งหลายข้างบน(the
oceanic plates above). การยกตัว(uplift)ของเปลือกโลก(the
plate)โดยผิวหุ้มห่อของเหลวและก๊าซร้อน(mantle convection)ทำให้เกิดการเลื่อนไหลในแนวราบ(horizontal slippage)ไปตามน้ำหนักของเปลือกโลกนั้น(due
to the plate).
นี่คือการแปรสัณฐานของเปลือกโลกทั้งหลายในการปฏิบัติการ(in action).
เปลือกโลกที่เป็นมหาสมุทร(the oceanic
plate)ดึงตัวลง(subducting)ไปใต้เปลือกทวีปที่เบากว่า(the
lighter continental plate).
ตะกอนสภาวะอากาศทั้งหลาย(weathered
sediments)ทำให้มหาาสมุทรที่เป็นกรดอย่างสูงได้เป็นกลางลง(neutralized
the ultra acidic ocean). โลหะหนักทั้งหลาย(heavy metals)ได้ตั้งถิ่นฐานลงตัวออกมา(settled out)และกลายมาเป็นถูกยึดติด(fixed)เป็นตะกอนทับถมที่สันแกนกลางของมหาสมุทร(as deposits at the
mid-ocean ridge). ตะกอนทับถมเหล่านี้(these deposits)ได้ถูกขนส่ง(transported through)ผ่านไปตามการแปรสัณฐานของเปลือกโลก(the plate tectonics)เข้าไปสู่เปลือกโลกระดับลึก(the deep mantle).
อย่างช้าๆ(gradually), มหาสมุทรก็ค่อยๆกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่สามารถอยู่อาศัยได้(a
habitable environment).
ในราว 4.2
พันล้านปีก่อน, แกนของเหลว(a liquid core)ได้ก่อรูป(formed)ขึ้นในศูนย์กลางของโลก(in
the center of the earth), การหมุนเวียนพาความร้อน(convection)ภายในแกนของเหลว(the liquid core)ได้สร้างสรรค์(created)สนามแม่เหล็กอย่างแรงขึ้น(a strong magnetic field)ล้อมรอบ(surrounding)โลก(the earth).
สนามแม่เหล็กโลกนี้(this geomagnetic
field) เป็นโล่(shields)ให้กับพื้นของผิวโลก(the
Earth’s surface)ปกป้องจากรังสีคอสมิคทั้งหลาย(cosmic rays).
พื้นผิวของโลก(the Earth’s
surface)ได้เกือบใกล้ความพร้อมสำหรับชีวิต(nearing readiness
for life)”
ตอนที่ 3: การเกิดของ ชีวิต-ดั้งเดิม(Birth of
Proto-Life)
โลกในตอนเริ่มแรกเมื่อชั้นบรรยากาศ(the atmosphere)ได้ถูกกีดกัน(prevented)
แสงอาทิตย์จากการมาถึงพื้นผิว(the surface),
ชีวิตดึกดำบรรพ์(primitive life)ต้องเกือบโผล่ออกมาจากใต้ดิน(emerge
underground)ในถ้ำของน้ำพุร้อน(the cave of a geyser).
สินแร่ยูเรเนียม(uranium ore)ปล่อยรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาจำนวนมาก(emitted large amount
of radiation)ได้รังสรรค์(creating)พิสัยหลากหลายของวัตถุทั้งหลาย(a
diverse range of materials) และในที่สุด(eventually), ได้ผลิต(producing)ตัวต่อก่อรูปของชีวิตในยุคเริ่มแรก(the
early building block of life).
น้ำเดือด(boiled)และขึ้นไปสู่พื้นผิว(surface)และน้ำที่พื้นผิว(the
surface water)ก็ไหลกลับลงมาเข้าไปในปฏิกิริยาปรมาณูของธรรมชาติ(the
natural nuclear reactor).
อุณหภูมิน้ำของน้ำพุร้อน(the temperature
of the geyser water)ยังเหลืออยู่(remained)ต่ำกว่า
100 องศาเพื่อปกป้องโมเลกุลชีวะที่ก่อรูปขึ้นใหม่(the
newly formed biomolecules).
สภาพแวดล้อมใต้ดิน(the
underground environment)ได้ลดตัวลง(reductive)ขณะที่สภาพแวดล้อมของพื้นผิวโลก(the
surface)รวมตัวกับออกซิเจน(oxidizing).
สภาวะเหล่านี้(these conditions)เป็นสิ่งจำเป็นที่จะสังเคราะห์(synthesize)โมเลกุลชีวะทั้งหลาย(biomolecules).
ในแรงน้ำขึ้นน้ำลงที่ซ่อนอยู่นี้ของโลก(the Earth’s
hidden’ya tidal forces)ถูกประกาศออกมามากมายกว่าที่พวกเขาเป็นในวันนี้(today).
แม้กระทั่งทะเลสาบทั้งหลาย(lakes)ก็ได้มีการคับคั่งชุมชนไหลท่วมท้นสำคัญของน้ำ(significant urban
flow of water), สร้างวงจรของการเปียกและแห้ง(wet and dry
cycles).
วงจรการเปียกและแห้งนี้(these wet and
dry)เป็นหนึ่งของปัจจัยสำคัญมากที่สุดทั้งหลาย(one of the
most crucial factors)ในการผลิตสร้าง(in producing)ตัวต่อก่อรูปของชีวิต(the building blocks of life).
กรดไขมัน(fatty acids)มาด้วยกัน, ห่อหุ้มโมเลกุลของชีวิตดั้งเดิมทั้งหลาย(the
proto-life molecules).
กระบวนการก่อเกิดสารโพลีเมอร์(polymerization)ได้พัฒนาก้าวหน้า(progressed)ภายใต้วงจรเปียกและแห้ง(under
the wet and dry cycles). ในท้ายสุด(eventually), โปรตีน(protein), เหมือนวัตถุพื้นฐานทั้งหลาย(basic
materials)ที่สามารถกระทำตนเหมือนเป็น(act as)ตัวเร่งปฏิกิริยา(catalyst)ได้ถูกผลิตสร้างขึ้น(produced).
โมเลกุลเหล่านี้(these
molecules)หมุนเวียน(circulated-เคลื่อนไหวเป็นวง)ระหว่างถ้ำน้ำพุร้อน(the
geyser cave)และสภาพแวดล้อมของพื้นผิว(the surface
environment).
การมีปฏิสัมพัทธ์ทั้งหลายของโมเลกุลเหล่านี้(the
interactions of these materials)นำไปสู่โมเลกุลชีวะที่สลับซับซ้อนมากขึ้น(more
complex biomolecules).
RNAดั้งเดิม(proto-RNA) ประกอบเข้ากันด้วยเอนไซม์(enzyme)เหมือนวัตถุพื้นฐาน
(basic materials)และวิวัฒนะ(evolved)ไปสู่
ไรโบไซมสิ์(ribozymes). ที่มีความสามารถ(ability)ที่จะทำสำเนาซ้ำตัวเอง(ability replicate themselves).
สิ่งนี้ทอดวางรากฐาก(the groundwork)สำหรับชีวิต(life)ที่จะผลิตสร้างซ้ำ(reproduce). ในที่สุด(finally), โมเลกุลเหล่านี้ได้ถูกปิดหุ้ม(enclosed)ภายในเยื่อหุ้มอินทรีย์ไขมันทั้งหลาย(lipid membranes), ก่อรูปเซลล์ชีวิตดั้งเดิมดึกดำบรรพ์(forming primitive proto
cellular life).
*
4.1 พันล้านปีก่อน: การเกิดของชีวิตแรก-ดั้งเดิม
(The
birth of first proto-life)
นี่คือการเริ่มต้นของชีวิต(the beginning
of life).
ตอนที่
4: ขั้นแรกของชีวิต(The
Initial of Life)
* 4.37 - 4.20 พันล้านปีก่อน: การสูญเสียทวีปแห่งยุคเริ่มแรกของโลก
และ ยุคของสนามแม่เหล็กโลกอันรุนแรง(The loss of the primordial continent
and the generation of a strong geomagnetic field)
การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกทั้งหลาย(the Earth’s
tectonics)ที่ได้เริ่มต้นด้วยการรังสรรค์(creation)มหาสมุทรของมัน(its ocean), ในที่สุด(eventually), ได้ทำลาย(destroyed)ทวีปยุคเริ่มแรกของมันเอง(its
primordial continent)และจัดรวมหมู่(subsumed)มันไปยังเปลือกโลกระดับลึก(deep
mantle).
ราวสี่พันล้านปีมาแล้ว, ทวีปแม่(mother
continent)ได้หายไป(disappeared),
ปล่อยทิ้งให้ชีวิตบนขอบเกินของเศษชิ้นส่วนของแผ่นดินทวีป(the margins of a
fragmented landmass).
ข้างในโลก(inside the earth), การเปลี่ยนแปลงอันเร้าใจ(a dramatic change)ได้จวนจะเริ่มต้น.
ทวีปยุคเริ่มแรกที่มุดตัวลง(the subducted
primordial continent)ได้เคลื่อนลงสู่เขตแกนของเปลือกโลก(the
core-mantle boundary).
ความมั่งคั่งของธาตุพลังกัมมันตภาพรังสี(the wealth of
radioactive elements)ในทวีปยุคเริ่มแรก(the primordial
continent)ทำให้ส่วนบนสุดของแกนนี้(the uppermost part of
the core)ได้ละลายลง(to melt).
ราว 4.2 พันล้านปีมาแล้ว,
ของเหลวของแกนที่เพิ่งถูกทำออกมาข้างนอกใหม่ๆนี้, ได้ช่วยสร้างความแข็งแรง(strengthening)ให้กับสนามแม่เหล็กของโลก(the Earth’s magnetic field), ที่ปกป้องสภาพแวดล้อมของพื้นผิวโลก(the surface environment)ต่อ(against)ลมสุริยะทั้งหลาย(solar winds)และรังสีคอสมิคทั้งหลาย(cosmic
rays).
และด้วยผลจากการนั้น,
ชีวิตสามารถดำรงชีวิตอยู่(exist)ในสภาพแวดล้อมบนพื้นผิวได้(the surface environment).
*
4.2 พันล้านปีก่อน: การโผล่ขึ้นมาของชีวิตจากพลังอำนาจดวงอาทิตย์
(The
emergence of sun-powered life)
เสบียง(supply)และธาตุอาหารทั้งหลาย(nutrients)ผ่านการไหลเวียนของวัตถุ(material circulation)เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต(life).
กลไกสำคัญในการธำรงชีวิตนี้(the essential
mechanism to maintain life)คือการไหลหลั่งไม่มีที่สิ้นสุดของอิเล็กตรอนทั้งหลาย(an
endless flow of electrons).
ชีวิตดั้งเดิมแรก(the first
proto life)ไม่อาจรอดไปได้ไกลมากนัก(survive very far)จากน้ำพุงร้อนปรมาณู(the nuclear geyser)เนื่องมาจากขาดแคลนพลังงานที่เพียงพอ(insufficient
energy).
การกลายพันธุ์ทั้งหลาย(mutations)อย่างไรก็ตาม, ยอมให้(allowed)ชีวิตได้วิวัฒนะ(to
evolve).
รูปแบบชีวิตทั้งหลายที่ฟื้นคืนสภาพมากขึ้น(the more
resilient life-forms)ได้สามารถที่จะปรับตัว(adapt)และอยู่รอด(survive)ในสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย(harsh
environments).
ขั้นที่สองของชีวิตดั้งเดิมนี้(this second of
proto-life)ได้วิวัฒน์(evolved)ที่จะทำใช้งาน(make
use of the sunlight available))ให้มีประโยชน์ได้บนพื้นผิวโลก(the
Earth’s surface).
พวกเขาได้พัฒนาระบบเผาผลาญอาหาร(a metabolism)ที่ได้เปลี่ยน(converted)พลังงานแสงสว่าง(light
energy)ไปเป็น พลังงานเคมีไฟฟ้า(electrochemical energy).
มากยิ่งกว่านั้น(moreover), พวกเขาได้ใช้น้ำตาล(sugars)ที่จะเก็บพลังงานไว้(store
energy)สำหรับชั่วโมงกลางคืนที่ไร้แสงอาทิตย์(the sunless
night hours).
แหล่งกำเนิดพลังงานสำหรับชีวิต(the source of
energy for life)บนโลก(earth)เปลี่ยนนผ่าน(shifted)จากน้ำพุปรมาณูทั้งหลาย(nuclear geysers)ไปสู่ดวงอาทิตย์(the
Sun).
*
4.1 พันล้านปีก่อน: การสูญสิ้นครั้งใหญ่
(Mass
extinction)
ราว 4.1 พันล้านปีมาแล้ว,
มหาสมุทรยังคงเป็นพิษอย่างที่สุด(extremely toxic),
ได้ฆ่ารูปแบบชีวิตดั้งเดิมทั้งหลายไปเป็นส่วนใหญ่(killing off most of the
proto life-forms)ที่อยู่ภายในมัน.
อย่างไรก็ตาม,
รูปแบบชีวิตดั้งเดิมทั้งหลายบางราย(some proto life-forms)อยู่รอดจากสภาพแวดล้อมอันร้ายแรงนั้น(the
extreme environment).
พวกเขาได้พัฒนากลไกการปกป้อง(protective
mechanism)เพื่อป้องกันอิออนโลหะ(metallic ions)ในน้ำของมหาสมุทร(ocean water)จากการเข้ามา(entering)ในเซลล์ดั้งเดิมทั้งหลายของพวกเขา(their protocells)”
ชีวิตดั้งเดิมนี้(this
proto-life)เริ่มต้นรวมตัวเชื่อมต่อกัน(coalescing)เข้าเป็นรูปแบบทั้งหลายที่โตขึ้นและซับซ้อนยิ่งขึ้น(larger and
more complex forms).
รูปแบบชีวิตทันสมัยทั้งหลาย(modern
life-forms)ใช้เพียงแค่กรดอะมิโนยี่สิบชนิด(twenty kinds of
amino acids).
นี่หมายถึงว่าบรรพบุรุษของเรา(our ancestors)ที่ใช้กรดอะมิโนทั้งหลายเช่นเดียวกันนี้, เป็นผู้ที่รอดชีวิต(survived)มาจากการสูญสิ้นครั้งใหญ่(the mass extinction).
วิวัฒนาการ(evolution)เดินไต่เส้นเชือกฝ่าอันตราย(walks a perilous tightrope)ต่อไปจนจบลงได้(continuing and ending).
RNA ที่ไม่เสถียร(unstable
RNA)วิวัฒน์ผ่าน(evolved through)รังสีชนิดก่ออิออน(ionizing
radiation)ไปสู่ DNAที่ทนทานมากกว่า(more
durable), ทำให้มันเป็นที่วางใจได้ในการผ่านข้อมูลข้ามรุ่นอายุทั้งหลาย(reliably
pass information across generations).
และขั้นที่สามของชีวิตดั้งเดิม(the third
stage of proto-life)ได้กำเนิดขึ้น.
นี่คือการเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตโพรคาริโอติคทั้งหลาย(prokaryotic
organisms) *สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีนิวเคลียส/สัตว์เซลล์เดียว
–บรรพบุรุษทั้งหลายของ อาร์เคียและแบ็คทีเรีย(archaea
and bacteria)
ตอนที่
5: ขั้นที่สองแห่งวิวัฒนาการของชีวิต
(Second Stage of Evolution of Life)
* 2.9 พันล้านปีก่อน: การโผล่ขึ้นมาของชีวิตสังเคราะห์แสง
(The
emergence of photosynthetic life)
ออกซิเจน เมื่อผูกติด(unbound)กับวัตถุอื่นใด(any other material)สามารถเป็นพิษ(toxic)กับชีวิต(life), เพราะออกซิเจนทำลายร่างของชีวิตที่หดตัวลง(reductive
life body).
ดังนั้นเอง,
ชีวิตสังเคราะห์แสงแรกทั้งหลาย(the first photosynthetic organisms)น่าจะเป็น
จุลินทรีย์ที่ดำรงชีพโดยปราศจากอากาศ(anaerobic microbes)ที่ไม่ได้ผลิตออกซิเจน(produced
no oxygen).
ชีวิต, อย่างไรก็ตาม, ปรับตัวเองให้รับเอาความได้ประโยช์จากออกซิเจน(advantage of
oxygen)เป็นเช่นแหล่งทรัพยากรอันมีค่า(a valuable source of)ของพลังงานที่เพิ่มขึ้น(additional energy).
การพัฒนานี้ได้ผลปรากฏออกมาเป็น ไซยาโนแบ็คทีเรีย(cyanobacteria).
ไซยาโนแบ็คทีเรีย(cyanobacteria)ทำการผลิตออกซิเจน(produced oxygen)ที่ตกผลึก(crytalized)เป็น ผลึกเหล็กหินอัคนีออกไซด์(felsic iron-bearing oxide)ซึ่งลดทอนจำนวนของธาตุเหล็กในมหาสมุทร(iron content of the ocean)ลง.
แต่กระนั้น, มหาสมุทรก็ยังประกอบด้วยเกลือ(saline)เป็นห้าเท่าของมหาสมุทรในทุกวันนี้(today).
* 2.7 พันล้านปีก่อน: เปลือกโลกชั้นใน(หินหนืด)พลิกคว่ำ(Mantle
overturn)
ในขณะที่ภายในของโลก(the Earth’s
interior)เย็นตัวลง(cooled), แผ่นหนาเก่า(old
slab)ของชิ้นเปลือกโลกยุคเริ่มแรก(primordial crust)ที่นอนพักอยู่ที่ก้นของชั้นเปลือกโลกหินหนืดตอนบน(upper mantle)ก็ตกลงไปสู่ชั้นหินหนืดตอนล่าง(the lower mantle).
ในขณะนั้นเอง(meanwhile), จุดร้อนของเปลือกโลกชั้นหินหนืดจำนวนมาก(numerous mantle plumes)เคลื่อนที่ขึ้นจากชั้นหินหนืดตอนล่าง(the lower mantle)เข้าไปสู่ชั้นหินหนืดตอนบน(the upper mantle).
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99
ปรากฏการณ์(phenomenon)นี้, รู้จักกันว่าคือ การพลิกคว่ำของเปลือกโลกชั้นหินหนืด(mantle
overturn). จุดร้อนของชั้นหินหนืด(mantle plumes)ผลักด้นชิ้นเปลือกชั้นบะซอลต์(basaltic crust)ขึ้นไป(upward), ก่อให้เกิดแผ่นดิน(generating landmass).
สิ่งนี้รังสรรค์(created)สภาพแวดล้อมทะเลน้ำตื้นขึ้น(shallow marine environments), ส่องทะลุถึงพื้นดินโดยแสงอาทิตย์(sunlight)ที่ยอมให้(allowed)ไซยาโนแบ็คทีเรีย(cyanobacteria)ที่จะอุดมสมบูรณ์เจริญขึ้น(flourish).
ออกซิเจนได้ถูกผลิตขึ้นโดยไซยาโนแบ็คทีเรีย(the
cyanobacteria)อย่างทีละน้อยก็ปรับเปลี่ยน(altered)ชั้นบรรยากาศของโลก(the Earth’s atmosphere).
บนพื้นมหาสมุทร(the ocean
floor), เหล็กเฟอร์ริคและเฟอร์รัส(ferric and ferrous)ได้เก็บสะสม(accumulating)อยู่ในรูปแบบของฮีมาไทติ์และแม็คนีไทติ์(the
form of hematite and magnetite)ได้สร้าง(creating)ก่อรูปแถบเหล็กใหญ่โตมโหฬาร(a massive banded iron formation).
รูปทรงแถบเหล็ก(remaining
banded iron formation)โดย 2.5 พันล้านปีก่อนที่ยังคงอยู่นี้,
เป็นประมาณสองสามกิโลเมตร, การลดลงอย่างรวดเร็วในปริมาณของเหล็ก(iron
content)ได้เปลี่ยนแปลง(changed)สีสัน(color)ของมหาสมุทรไปสู่สีฟ้าที่คุ้นเคยกันต่อมา(familiar blue).
ชีวิตเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นผิวโลก(surface
environment).
เช่นนี้เองที่เป็นวิวัฒนาการร่วมกันของโลก(coevolution of
the earth)และผู้อาศัยอยู่ของมัน.
นี่เป็นก้าวขั้นที่สำคัญ(an important
step)ในการเดินทาอันยาวนานของชีวิตบนโลก(in life on earth’s
long journey )ไปสู่อารยธรรม(toward civilization).
ตอนที่
6: ขั้นที่สามแห่งวิวัฒนาการของชีวิต
(Third Stage of the Evolution of Life)
*
2.3 พันล้านปีก่อน: การสูญสิ้นครั้งใหญ่โดยลูกบอลหิมะโลก
(Mass
extinction by Snowball Earth)
การชนกันระหว่างกาแล๊กซี่ทางช้าวเผือก(the
Milky Way)และกาแล๊กซี่แคระที่อยู่ใกล้เคียง(a nearby dwarf
galaxy)ได้สร้าง(produced)ดวงดาวส่องแสงเรืองรองนับไม่ถ้วนขึ้น(countless
glowing stars).
ภายในสองสามพันปี(a few thousand
years), บางดวงดาวเล่านี้จบสิ้นลง(ended)ในการระเบิดของซูเปอร์โนวาทั้งหลาย(supernova
explosions).
รังสีคอสมิคอันมากมายมหาศาล(a myriad
cosmic rays)จากซุปเปอร์โนวา(supernova)ทำให้โล่ป้องกันเฮลิโอสเฟียร์ของดวงอาทิตย์(Sun’s
heliosphere*)เสื่อมโทรมลง(deteriorated)และกระหน่ำระเบิด(bombarded)เข้าใส่โลก(the Earth).
* http://astro.phys.sc.chula.ac.th/IHY/Heliosphere/Heliosphere_theory.htm
รังสีคอสมิค(cosmic rays)นี้, ช่วยผลิตสร้าง(help generate)เมฆนิวคลีไอควบแน่น(cloud
condensational nuclei) * ,
ซึ่งผลิตเมฆทั้งหลายมากขึ้นๆ(more and more clouds)จนกระทั่งโลกถูกห่มคลุมไปทั้งหมด(completely
blanketed)ด้วยพวกนั้น.
การปกคลุมของเมฆเหล่านี้ป้องกัน(prevented)แสงอาทิตย์จากการมาถึงผิวพื้นของโลกโดยตรง(reaching the surface
of the earth).
โลกประสบกับเหตุของการณ์เปลี่ยนสภาพธารน้ำแข็งทั่วโลก(a global
glaciation event), ที่รู้จักกันว่าคือ ลูกบอลหิมะโลก(the
snowball earth).
สิ่งนี้ทำให้เกิดการสูญสิ้นครั้งใหญ่ทั่วโลกอีกอย่างหนึ่ง(another global
mass extinction).
แต่ก็อีกครั้งหนึ่ง, บางชีวิตได้อยู่รอด(some life
survived),
แต่กระนั้นช่วงเวลาของความยุ่งยากอีกอันอยู่ภายใต้แผ่นน้ำแข็งเหล่านั้น(the
ice sheet).
ชีวิตเล็กๆ(tiny life)ถูกปกป้อง(protected)โดยระบบหมุนเวียนขนาดใหญ่โตของโลก(the
Earth’s massive circulating system).
และโลกก็ถูกจัดวางเข้าที่ด้วยเหมือนกัน(similarly held
in place)โดย ระบบสุริยะ(the solar system)และจักรวาลที่แผ่ขยายตัวออก(expansive
universe).
ชีวิต(life)เป็นแค่ส่วนหนึ่งของระบบอันมหึมา(enormous
system).
*
2.1 พันล้านปีก่อน: จาก
โพรคาลิโอต ไปสู่ ยูคาริโอต (From prokaryote to eukaryote)
โพรคาริโอต(prokaryote - สัตว์เซลล์เดียวไม่มีนิวเคลียส) * รอดชีวิตจากลูกบอลหิมะโลก(the
snowball
earth) และวิวัฒนะไปสู่ชีวิตที่สลับซับซ้อนยิ่งขึ้น (more
complex life). อย่างเช่น ระบบเอนโดซีมไบโอติคทั้งหลาย(endosymbiotic
systems) * อาศัยอยู่ด้วยกันภายในเซลล์ทั้งหลาย(living
together inside cells).
พวกเขาก่อรูปเป็นไมโตคอนเดรีย(mitochondria) และ คลอโรพลาสต์(chloroplasts)ทั้งหลาย,
ที่ยอมให้พวกเขาได้รับพลังงานมากขึ้น(get more energy)จากออกซิเจน(oxygen).
ร่างเดี่ยวของโพรคาริโอต(a single
prokaryote body)สามารถบรรจุได้วด้วยหลายพันของไมโตคอนเดีย(thousands
of mitochondria).
เนื้อเยื่อหุ้มนิวเคลียส(a nuclear
membrane)ก่อรูป(formed)ขึ้นมาปกป้อง DNA
จากความหนาแน่นของออกซิเจนในน้ำของมหาสมุทร(oxygen dense
ocean water).
ฟั่นเกลียวของ DNA เติบโตยาวขึ้นและเก็บรักษา(retaining)ข้อมูลพันธุกรรมที่มากิ่งขึ้น(ever
more genetic information).
ชีวิตวิวัฒนะ(evolved)ไปสู่ชีวอินทรีย์ทั้งหลายที่หลากหลายและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น(diverse
and complex organisms).
ในความยาวนานจนที่สุด, ยูคาริโอต(eukaryote)ก็ปรากฏขึ้น.
ยูคาริโอตนี้(the eukaryote)เติบโตใหญ่ขึ้นว่า โพรคาริโอต ทั้งหลายนั้น(prokaryotes)เป็นล้านเท่า(a million time larger).
ในทางทฤษฎีทุกสิ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้(inevitably), ย่อมตกไปสู่(falls into)ความไม่เป็นระเบียบสับสน(disorder).
แต่กระนั้น, ชีวิต(life)ก็ยังสลับซับซ้อนอย่างเป็นระเบียบและเพิ่มขึ้น(orderly and
increasingly complex).
ชีวิต(life)ดูเหมือนว่าจะดำเนินต่อไป(seems
to continue)ในการวิวัฒนะ(evolving)
โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง(undeterred)โดยเอนโทรปีของจักรวาล(by
universal entropy)
ตอนที่
7:
รุ่งอรุณแห่งการระเบิดขึ้นของธรณีกาลยุคแคมเบรียน (The Dawn
of the Cambrian Explosion)
* 1.9 – 0.8 พันล้านปีก่อน: การก่อรูปแบบของมหาทวีป
(The
Formation of the
Supercontinent)
การเปลี่ยนแปลงสัณฐานของเปลือกโลกทั้งหลาย(plate
tectonics), ทำให้ทวีปเล็กๆทั้งหลายที่กำลังพัฒนา(small
developing continents)เกิดการรวมตัวกันเข้า(assemble)ไปสู่มหาทวีปหนึ่งเดียว(a single supercontinent),
เรียกว่า นูนา(nuna).
ในขณะที่
นูนา ก่อรูป, แผ่นผืนดินหน่อผลิอ่อนของมัน(its burgeoning landmass)จัดหา(provided)ให้กับไซยาโนแบ็คทีเรีย(cyanobacteria)ด้วยที่อาศัยอันกว้างไพศาล(an expanding habitat).
ในมันนั้นเอง คือทั้งหลายของ ทะเลสาบ(lakes), แม่น้ำ(rivers), พื้นที่ชุ่มน้ำ(wetlands)และปากแม่น้ำ(estuaries -อ่าว).
ไซยาโนแบ็คทีเรีย(cyanobacteria)ผลิตสร้าง(produces)ออกซิเจนอิสระ(free
oxygen)ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง(through photosynthesis).
ในเวลานั้น,อย่างไรก็ตาม,
ออกซิเจนอิสระส่วนมากที่ถูกผลิตขึ้น, ได้ถูกบริโภค(consumedไป)ในการเสื่อมสลายของไซยาโนแบ็คทีเรียที่ตายลง(in
decomposing dead cyanobacteria).
ดังนั้นจึงมีออกซิเจนอิสระที่น้อยมาก(very little
free oxygen)ซึ่งได้สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศ(accumulated in
the atmosphere).
บนพื้นดิน,
อย่างไรก็ดี, ไซยาโนแบ็คทีเรียที่ตายลง(dead cyanobacteria)ได้ถูกฝังอยู่ภายใต้ตะกอนทั้งหลาย(under
sediments).
ดังนั้น,
ออกซิเจน(oxygen)ที่น่าจะมีร่างแตกสลายลง(have broken down their bodies),แทนที่จะเป็นเช่นนั้น, กลับจบลงในชั้นบรรยากาศ(the atmosphere).
การปรากฏขึ้นของแผ่นผืนดินขนาดใหญ่(a large
landmass)ช่วยเพิ่มปริมาณของออกซิเจนในชั้นบรรยากาศ(atmosphere). ในขณะที่พื้นที่แผ่นดินทั้งหมด(total land area)บนผิวของโลก(the
surface of the earth)ได้เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับระดับออกซิเจนของชั้นบรรยากาศ(atmospheric
oxygen levels)อย่างรวดเร็วเร้าใจ(dramatically).
เวลาล่วงไป,
มหาทวีปนูนา(the
nuna supercontinent)แตกแยกออกเป็นทวีปที่เล็กกว่าทั้งหลาย(broke
up into smaller continents).
แต่อีกครั้ง,
สัณฐานทั้งหลายของเปลือกโลกก็วนกลับมารวมกันกับมหาทวีป(reassembled a
supercontinent). ครั้งนี้(this one)ถูกเรียกว่า
โรดิเนีย(Rodinia).
ในแถบเส้นศูนย์สูตร(equator region), แผ่นหนาของเปลือกโลกทั้งหลายก้นมหาสมุทร(oceanic plates)มุดตัวลงไปใต้แผ่นพื้นทวีปทั้งหลาย(subducted under continental
plates).
ทีละเล็กละน้อย(gradually)ก็สะสมกับเข้าในเขตเปลี่ยนผ่านของชั้นโลกหินหนืด(in the mantle
transition).
ในที่สุด,
แผ่นเปลือกนี้(slabs)ก็ร่วงลงไปในแกนของโลก(the core).
แผ่นเปลือกทั้งหลายนี้(the slabs)ทำให้ผิวนอกขงแกนโลกเย็นลง(cooled
the outer core), เปลี่ยนแปลงการไหลของกระแสไฟฟ้า(the flow
of electricity)ภายใน.
ผลของการนี้,สนามแม่เหล็กสองขั้วของแกนโลก(the cores
dipole magnetic field)ได้เปลี่ยนรูป(transformed)ไปเป็นสนามแม่เหล็กสี่ขั้วที่อ่อนกำลังกว่า(a weaker quadrupole
magnetic field).
* 700 – 600 ล้านปีก่อน: ธารน้ำแข็งสเตอร์เทียน* (The Sturtian Glaciation)
* ยุคน้ำแข็งที่สองของโลก(ยุคแรกคือ
ลูกบอลหิมะโลก-snowball
earth)
https://th.wordssidekick.com/22254-ice-once-covered-equator
กาแล๊กซี่ทางช้างเผือก(the Milky Way galaxy)ที่ได้ชนกับกาแล๊กซี่แคระแล้วก็ประสบผลร้าย(underwent)ได้เปลี่ยนผ่านไปสู่(transition into)ภาวะดาวกระจายทั้งหลาย(starburst
conditions). *https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2
เวลาล่วงไป(overtime),
ดวงดาวทั้งหลายที่ถูกผลิตสร้าง(produced)ขึ้นนี้ก็จบลงเป็น(ended
in) การระเบิดซุปเปอร์โนวาทั้งหลาย(supernova explosions)และถล่มเข้าใส่โลก( bombarding
the earth)ด้วยรังสีคอสมิคทั้งหลาย(cosmic rays).
โลกนี้ที่มีสนามแม่เหล็กสี่ขั้วของตนเองซึ่งอ่อนกำลังลง(its weak
quadrupole magnetic field)ก็ได้รับผลกระทบนี้อย่างหนักออกมาเป็นเมฆทั้งหลาย(heavily
affected clouds)ปกคลุมไปทั่วทั้งโลก, และน้ำแข็ง(ice)ก็ปกคลุมผิวพื้นของมัน.
การระเบิดของซุปเปอร์โนวาเป็นชุดต่อเนื่องเหล่านี้(a series of
supernova explosions)อุบัติขึ้นในช่วงระยะยาวนานของความร้อนอย่างยิ่งยวด(long
periods of extreme heat)ก็ถูกขัดจังหวะเป็นระยะสั้นๆกว่าด้วยความหนาวเย็นอย่างยิ่งยวด(by
shorter periods of extreme cold).
ในช่วงระยะเวลาหนาวเย็นยิ่งยวดนี้(the extreme
cold periods), ออกซิเจนในชั้นบรรยากาศ(oxygen in the
atmosphere)ก็ร่วงลงไปสู่ ระดับอาเคียนอีออน(Archaean
Eon levels),
ทำให้เกิดการสูญสิ้นมหาศาลทั้งหลาย(mass extinctions).
การสูญสิ้นมหาศาลเหล่านี้(these mass
extinctions), อย่างไรก็ตาม, สร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย(created
great opportunities)สำหรับชีวิต(life)ที่จะได้วิวัฒนะ(evolve)ไปสู่บางอย่างที่ใหม่สมบูรณ์ขึ้น(something completely new).
การเกิดซ้ำๆในการไหลหลั่งของรังสีคอสมิค(fluxes of
cosmic rays)และเกิดการแปรผันอย่างรุนแรงในระดับออกซิเจนทั้งหลาย(drastic
fluctuations in oxygen levels), การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเหล่านี้(environmental
changes)ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ทั้งหลายในพันธุกรรม(genetic
mutations)ที่เร่งให้เกิดปรากฏของชนิดพันธุ์ใหม่(accelerated
the appearance of new spacies).
* 700 – 600
ล้านปีก่อน: โลกที่รั่ว(The Leaking Earth)
ดาวกระจายนี้(the starburst)ได้จบลงและแกนของโลกthe Earth’s core)ได้หมุนกลับคืนสู่สภาพเดิมที่เป็นสนามแม่เหล็กสองขั้วที่เข้มแรงกว่า(a
stronger dipole magnetic field).
ในระหว่างที่สังเคราะห์แสงอยู่ต่อไป(ongoing
photosynthesis)ก็นำออกซิเจนกลับคืนมาสู่ชั้นบรรยากาศ(the
atmosphere)ในระดับทั้งหลายเหมือนครั้งที่ผ่านมา(previous
levels).
ในขณะนั้นเอง,
ข้างในของโลก(the
inner Earth)ก็ค่อยๆเย็นลงทีละนิด(gradually cooling down), เมื่อข้างในโลก(the inner Earth)เองก็กำลังร้อนเพียงพอ.
องค์ประกอบของน้ำ(the components of water)ที่ถูกกักดักไว้เป็นแร่ธาตุ(minerals)ในเปลือกโลกใต้มหาสมุทร(oceanic plates)ก็ถูกปล่อย(released)ออกมาขึ้นสู่สภาพแวดล้อมพื้นผิว(the surface environment). และระดับน้ำทะเล(the sea water)นั้นไม่ได้รับผลกระทบต่อย่างใด(unaffected).
อย่างไรก็ตาม,
เมื่ออุณหภูมิของเปลือกโลกชั้นหินหนืด(the mantle temperature)ลดลงไปต่ำกว่า
650 องศาเซลเซียส(650 degrees Celsius),
แร่ธาตุทั้งหลาย(minerals)ได้นำพา(carry)องค์ประกอบของน้ำทั้งหลายนี้(water components)ลงเข้าไปสู่เปลือกโลกชั้นหินหนืดตอนบน(the
upper mantle).
ในขณะเดียวกัน(meanwhile), บนพื้นผิว(on the surface)ที่ถูกลดทน(deprived )องค์ประกอบของน้ำไป(the
components of water), ระดับน้ำทะเลก็ค่อยๆลดลงทีละน้อย(gradually
decrease).
สิ่งนี้รู้จักกันว่าคือ
ปรากฏการณ์การรั่วของโลก(the
leaking earth phenomena)ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้บนดาวเคราะห์ที่เย็นตัวลง(the
cooling planet).
การก่อให้เกิดการรั่วนี้(this leaking
effect)เคลื่อนย้ายน้ำทะเล 3
เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด, เข้าไปสู่ในเปลือกโลกชั้นหินหนืดที่ลึกกว่า(into
the deeper mantle). ระดับน้ำทะเลลดลงไปราว 600 เมตร.
ด้วยผลจากการนี้,
พื้นที่แผ่นดินเติบโตขึ้นเช่นเดียวกับพื้นที่ไหล่ทวีปทั้งหลาย(continental
shelf areas) * ที่ได้รับแสงอาทิตย์(sunlight)ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชีวิตในอนาคตบนโลก(a habitat for future
life), ก็ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้น(being greated).
แม่น้ำทั้งหลายได้พานำ(carried)ธาตุอาหารทั้งหลาย(nutrients)จากแผ่นดินตอนใน(inlands)ลงไปสู่ไหล่ทวีปทั้งหลาย(the continental shelves)และผืนแผ่นดินที่เพิ่มขึ้น(the
additional landmass)ก็สำคัญในการเร่งให้เกิดการสร้างออกซิเจนขึ้นในชั้นบรรยากาศ(atmosphere).
ขบวนการเหล่านี้(these
processes)จัดตั้งลำดับขั้นเพื่อการระเบิดขึ้นของวิวัฒนาการของรูปแบบชีวิตทั้งหลาย(the
stage for explosive evolution of life-forms).
ตอนที่ 8: การระเบิดแคมเบรียน (The Cambrian Explosion)
* 640 ล้านปีก่อน: ต้นกำเนิดของชีวิตหลากหลายเซลล์ (The Origin of Multicellular
Life)
การเปลี่ยนสภาพโดยธารน้ำแข็ง มาริโนอัน(The Marinoan
Glaciation) *
https://en.wikipedia.org/wiki/Marinoan_glaciation
การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างยิ่งยวดทั้งหลาย(extreme climate
changes)ดำเนินต่อไป(continued), นำเอาชีวิต(putting
life)ไปวางบนวิถีสู่ลำดับขั้นทั้งหลายของวิวัฒนาการใหม่เพื่อการอยู่รอด(new
evolutional stages for survival).
ชีวิต(life)วิวัฒนะด้วย โพรคาริโอต และ ยูคาริโอต
ทั้งหลายอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นชีวิอินทรีย์ซีมไบโอติคทั้งหลายที่ขนาดใหญ่ขึ้น(ever
larger *symbiotic organisms), ชดเชยการขาดแคลนและแบ่ง
ปันความอุดมสมบูรณ์ให้กันและกัน(compensating
for each other’s shortcoming and thriving)เป็นทั้งหมดหนึ่งเดียว(as
a whole).
การแผ่ขยายอย่างใหญ่หลวงนี้(greatly
expanded)ในความเป็นไปได้ทั้งหลายสำหรับรูปแบบมากมายของชีวิต(the
possibilities for forms of life).
รูปแบบชีวิตทั้งหลาย(life forms)เติบโตขึ้นเป็น 1 ล้านเท่า(1 million times)ของขนาดของ ยูคาริโอต(eukaryotes),
และมีขนาดเป็น 1 ล้านล้านเท่า(1 trillion times) ของขนาดของ โพรคาริโอต(the size of prokaryotes).
การปรากฏของชีวิตหลากหลายเซลล์(the appearance
of multicellular life)คือจุดกระโจนวิกฤตสำหรับวิวัฒนาการ(critical
leap for evolution).
* 580 ล้านปีก่อน: การปรากฏของ อีเดียคาราน เฟานา (The Appearance
of *Ediacaran Fauna)
การเกิดธารน้ำแข็ง กาสกิเออร์ (The **Gaskiers
Glaciation)
* https://www.britannica.com/science/Ediacara-fauna
** https://en.wikipedia.org/wiki/Gaskiers_glaciation
อีกยุคของการเกิดธารน้ำแข็ง(another
glaciation period came)ก็มาและชีวิต(life)เจ็บปวด(suffered)กับการสูญเสียใหญ่อีกครั้ง(a mass extinction).
ด้วยเวลา,
การเกิดธารน้ำแข็งนี้(this
glaciation)ก็ยังผ่านไป(passed)และภูมิอากาศของโลก(global
climate)ก็ค่อยๆอุ่นขึ้น(gradually warmed). ฟอสฟอรัสและสสารวัตถุทั้งหลาย(phosphorus
and materials)ที่สำคัญสำหรับชีวิต(life)ได้หมุนเวียน(circulated)ผ่านระบบภูมิอากาศ(climate system)และได้สะสมตัว(accumulated)ในมหาสมุทรทั้งหลาย(the oceans).
สัตว์ทั้งหลายของยุค
อีเดียคาราน(the
Ediacaran period)ปรากฏขึ้นในเวลานี้(this time).
ดิคอินโซเนีย(*Dickinsonia) คือตัวโด่งดัง(iconic)ในท่ามกลาง
อีเดียคาราน เฟานา(Ediacaran fauna).
บางตัวเติบโตขึ้นไปถึง 1 เมตรในความยาว, พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายอ่อนนุ่ม(soft
bodied creatures)ด้วยไม่มีเปลือก(no shell)หรือกระดูกสันหลัง(skeleton).
พวกเขาอาจมีชีวิตอยู่(probably lived)อยู่ในสภาพแวดล้อมทะเลน้ำตื้นอบอุ่นทั้งหลาย(warm shallow marine
environments)รอบๆมหาทวีป โรดิเนีย(Rodinia
supercontinent)
* 550 ล้านปีก่อน: วิวัฒนาการตอบสนองทั้งหลาย
สู่ การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทั้งหลาย (Evolution Responds to
Environmental Changes)
เสบียงของธาตุอาหาร(the supply of
nutrients)จากแผ่นดิน(the land)ได้เพิ่มขึ้นอยู่ตลอด(ever-increasing), เช่นเดียวกับออกซิเจนของชั้นบรรยากาศ(atmospheric oxygen). ปริมาณของเหล็กเฟอรัส(ferrous iron)ในมหาสมุทรก็ได้เพิ่มขึ้น.
เหล็กฟอรัส(ferrous iron)นี้ได้รวมตัวเข้ากับออกซิเจน(oxidized), อีกครั้งหนึ่ง, สร้างแถบขนาดใหญ่ทั้งหลายของเหล็ก(large bands
of irons). ระดับของฟอสฟอรัสและแคลเซี่ยมทั้งหลาย(phosphorus
and calcium levels)ในมหาสมุทรได้เพิ่มขึ้น(increased). ชีวิต(life)ได้วิวัฒนะ(evolved)มาใช้แร่ธาตุเหล่านี้(these elements),
ได้กลายมาเป็นสัตว์ทั้งหลาย(animals)ที่มีกระดูก(bones)และเปลือกแข็ง(shells).
ตัวอย่างเช่น)
แคลเซี่ยม(calcium)ช่วยปกป้อง(protect)ไมโครดิคไทออน(*microdictyon)จาก
* https://en.wikipedia.org/wiki/Microdictyon
สัตว์อื่น(other animals). ร่างกายของพวกเขาใช้แคลเซี่ยม(calcium)ในการก่อรูป(form)สิ่งปิดหุ้มเป็นอย่างแข็ง(a covering hard scales).
ชีวิต(life)วิวัฒนะ(evolve)เพื่ออยู่รอด(survive), ด้วยการใช้ประโยชน์จากอร่ธาตุทั้งหลาย(making use of the
elements)ในสภาพแวดล้อมของมัน(its environment).
และสภพแวดล้อมของโลก(the Earth’s environment)แปรเปลี่ยน(alters)รูปร่างทั้งหลายของชีวิต(the shapes of life).
* 540 ล้านปีก่อน: ชีวอินทรีย์แรกทั้งหลายของยุคแคมเบรียน
(The
First *Cambrian Organisms)
การเกิดธารน้ำแข็ง ไบโกนูร์ (The **Baikonur
Glaciation)
* https://www.nationalgeographic.com/science/prehistoric-world/cambrian/
** https://en.wikipedia.org/wiki/Baykonurian_glaciation
โลกได้เข้าสู่ระยะที่ภูมิอากาศไม่เสถียรอีก(another period
of climatic instability). โลกได้เปลี่ยนผ่านระหว่างยุคร้อนสุดขีดและยุคหนาวเย็นสุดขีด(between
periods of extreme heat and extreme cold)ในเวลาไปถึงหลายสิบหลายล้านปี(for
tens of millions of years).
การเปลี่ยนแปลงอย่าวรุนแรงเหล่านี้(severe changes)ฆ่า อีเดียคาราน เฟาน่า หมดไป(killed off
the Ediacaran fauna).
อย่างไรก็ตาม,
สายพันธุ์ใหม่ทั้งหลาย(new
species)ได้จวนจะปรากฏขึ้น(about to appear).
กัมมันตภาพรงสี(radiation)ข้างในโลกได้เล่นบทบาทสำคัญในการวิวัฒนาการของชีวิต(play a
significant role in the evolution of life).
รอยแตกร้าวของทวีป(a continental
rift)คือสถานที่ที่ทวีปแตกเปิดออก(breaks open)ไปสู่การระเบิด(expose)ปะทุ(erupting)แม็กมา(magma)และธาตุกัมมันตภาพรังสีทั้งหลาย(radioactive
Elements)แผ่รังสีอย่างเร่งร้อน(hastens)ในการสร้างสรรค์ของสาพันธุ์ใหม่(the creation of new species)และกิ่งก้านสาขาใหม่ในต้นไม้แห่งชีวิต(new branches in the Tree
of Life).
นี่เป็น
ก้านวิวัฒนาการ(stem
evolution)ที่สร้าสรรค์(creating)สายพันธุ์ใหม่ที่รอยแยกของทวีปทั้งหลาย(continental
rifts).
ชีวิต(life)วิวัฒนะแยกจากกัน(evolved separately)อยู่บนแต่ละทวีปเล็กๆ(each
small continent). เมื่อทวีปเล็กๆเหล่านี้กลับหวนมารวมกันอีก(recombined), รูปแบบชีวิตของพวกเขา(their life forms)ข้ามเหล่า(crossbred).
การข้ามเหล่าที่แตกต่างกันนี้(different
crossbreeding)ได้สร้างสรรค์(ccreated)รูปแบบใหม่ของชีวิต(new
forms of life)หลากหลายแปรผัน(variation)เจริญงอกงาม(thrived)ขึ้น.
นี่คือ
มงกุฎแห่งวิวัฒนาการ(crown
evolution).
การปะทะกันของทวีป(continental
collision)ได้สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมพื้นผิวโลกให้เกิดความหบากหลายแตกต่างกันมากมาย(diverse
surface environments).
แอ่งและอ่าวทั้งหลาย(bays and gulfs)บนทวีปขนาดใหญ่ทั้งหลาย(large continents)ได้รับเสบียงดีเป็นพิเศษยิ่งด้วยธาตุอาหาร(especially
well supplied with nutrients)จากต้นธาร(upstream)สร้างใช้ประโยชน์จากธาตุอาหารเหล่านี้ของ ยุคแคมเบรียน(these
nutrients Cambrian era), รูปแบบชีวิตทั้งหลาย(life-forms)ได้แปรเปลี่ยนไป(
diversified)อย่าวรวดเร็วมากมายยิ่ง.
การระเบิดของ
แคมเบรียน(Cambrian
explosion)สร้างไฟลาใหม่(new *phyla)ขึ้น.
ไฟลา(phyla)เหล่านี้ได้ลายมาเป็นรากฐาน(foundation)สำหรับแบบชนิด(types)ทั้งหลายของพืชและสัตว์(plants
and animals)ที่เราเห็นกันทุกวันนี้.
มีอยู่สามสายทางหลัก(three main
ways)ที่ชีวิตวิวัฒนะ(life evolved), การสูญสิ้นมหาศาลทั้งหลาย(mass
extinctions)ที่กำจัดสายพันธุ์จำนวนมากมายสูญไป(eradicated
many species), ก้านวิวัฒนาการ(stem evolution)ที่ได้รีบเร่งกลายพันธุ์ในพันธุกรรมทั้งหลาย(hasten
genetic mutations)เมื่อทวีปทั้งหลาย(continents)แตกแยกออกจากกัน(break apart), และ มงกุฎแห่งวิวัฒนาการ(crown
evolution)
ที่เร่งรีบการแปรเปลี่ยนทางชีวะ(hastened bio diversification)เมื่อทวีปทั้งหลาย(continents)ปะทะชนกันอีก(collided).
ดังนั้น,
วิวัฒนาการของชีวิต(the
evolution of life)ได้เชื่อมโยงอย่างแก้ออกจากันไม่ได้(inextricably
linked)กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม(environmental
changes), อันเนื่องมาจาก(due to)ปัจจัยสากล(universal
factors)และทวีปทั้งหลายสมานฉันท์เข้าด้วยกัน(continents
assembling together)และแตกแยกออกจากัน(braking apart).
ตอนที่ 9: ยุคพาลีโอโซอิค (The
Paleozoic Era)
* 600 ล้านปีก่อน: การแผ่ขยายที่อยู่อาศัยทั้งหลาย
(Expanding
Habitats)
มหาสมุทรนั้นมีความเค็ม(saline -ประกอบด้วยเกลือ)มากกว่าห้าเท่า(more than five times)ของที่มันเป็นในทุกวันนี้.
เมื่อ 600 ล้านปีมาแล้ว, มหาสมุทรค่อยๆกลายมามีความเค็มน้อยลง(gradually
less salty)ทีละน้อย. เกลือ(salt)จากน้ำทะเล(seawater)ถูกย้ายที่ใหม่(relocated)ไปยังแผ่นดินในรูปของหินเกลือ(the
form of rock salt).
การลดลงของระดับน้ำทะเล(decreasing sea
levels), ทำให้สิ่งนี้เป็นไปได้(possible)ผ่านการเปิดเปลือยมากกว่าของแผ่นดิน(more
exposed land). แม้กระทั่งถ้าระดับน้ำทะเลยกตัวขึ้น(rose)อีกครั้งสูงพอที่จะจะทวงหินเกลือเกลือนี้คืน(reclaim the rock
salt), ส่วนมากของมันก็ได้กลายเป็นถูกห่อปิดไม่สามารถเข้าถึงได้(inaccessible
encased)อยู่ในสารตกตะกอน(sediments).
การลดลงของความเค็มในน้ำทะเล(the decrease
in seawater salinity), ทำให้มหาสมุทร(ocean)ใจดีมากขึ้น(more
hospitable)ในการที่จะหลากหลาย(diverse)รูปแบบชีวิตทั้งหลาย(life-forms)ที่ปากแม่น้ำ(estuaries)และทะเลเปิด(open seas)ให้ได้ยินดีต้อนรับต่อชีวิตใหม่(welcomed
to new life).
ด้วยการเพิ่มขึ้นของระดับออกซิเจนในบรรยากาศ(increasing
atmospheric oxygen levels), ชั้นของโอโซน(ozone layer)ก่อรูปขึ้น(formed)ในชั้นบรรยากาศตอนบนของโลก(the
Earth’s upper atmosphere).
ชั้นโอโซน(the ozone
layer)ดูดซับรังสีอัลตราไวโอเล็ต(absorbs ultraviolet
radiation)จากดวงอาทิตย์(the Sun). แผ่นดิน(the
land)ได้กลายมาเป็นสภาพแวดล้อมเหมาะในการอยู่อาศัยได้มากขึ้น(a
more habitable environment).
* 540
ล้านปีก่อน: วิวัฒนาการร่วมกันของ
พืช และ แมลง (The
Co-evolution of Plants and Insects)
อัลจี(*Algae - สาหร่ายประเภทเห็ดรา)เป็นรูปแบบชีวิต(life-form)อย่างแรกที่เปลี่ยนผ่าน(transition
)ออกมาจากน้ำ(out of the water)ขึ้นมาบนสภาพแวดล้อมที่ท้าทายของแผ่นดิน(the
challenging land environment).
* https://en.wikipedia.org/wiki/Algae
นี่คือทำไมสาหร่ายอัลจี(algae)ได้วิวัฒนะ(evolved)ก่อนสัตว์ทั้งหลายทำ(animals
did).
เมื่อแมลงทั้งหลาย(insects)ปรากฏขึ้น(appeared), พวกเขาได้ร่วมมือวิวัฒนะ(co-evolved)ด้วยกันกับพืชทั้งหลาย(together with plants).
* 550 – 540 ล้านปีก่อน: วิวัฒนาการของ เวอทีเบรตสิ์ -สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง
(The
Evolution of *Vertebrates)
เหตุปรากฏในช่วงระหว่างยุคการระเบิด
แคมเบรียน(the
Cambrian explosion), ปลา(fish)
เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังจำพวกแรก(the first of the vertebrates animals).
ด้วยการที่มีกระดูกสันหลัง(backbones)นี้, ปลาคือบรรพบุรุษของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังซึ่งเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์เรา(the
oldest vertebrate ancestors of us humans).
ในขณะที่ปลาดำเนินการที่จะวิวัฒนะต่อไป(continued to
evolve), อิชไธโอสเตจา(*Ichthyostega )ได้ปรากฏขึ้นเป็นบรรพบุรุษ(ancestor)ของพวกสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ(amphebians).
* https://en.wikipedia.org/wiki/Ichthyostega
พืชทั้งหลายอันอุดมสะพรั่ง(plants
flourished), ได้ผลิตสร้าง(producing)ออกซิเจนอิสระให้เปล่า(free
oxygen)ผ่านการสังเคราะห์แสง(photosynthesis),
ได้จัดหาให้(providing)ชั้นบรรยากาศ(atmosphere)ด้วย 1.5
เท่าของปริมาณออกซิเจนมากกว่าที่เคยมีอยู่เดิม.
ยาวนานต่อมาภายหลัง,
การคงอยู่ของพืชเหล่านี้(plants)ก็จะได้กลายเป็นหินถ่านตะกอน(*sedimentary coal),
ซึ่งหินถ่าน(coal)นี้ก็จะช่วยกลายเป็นเชื้อเพลิง(fuel), จุดทะลวงผ่านขึ้นไป(breakthrough)สู่อารยธรรมของมนุษย์(human
civilization), ซึ่งได้เริ่มต้นด้วยการปฏิวัติอุตสาห-กรรม(the
Industrial Revolution).
สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังถัดมา(next vertebrates)ติดอุปกรณ์(equipped)เข้าไปอีกด้วยปอดทั้งหลาย(lungs)ปรากฏขึ้นและสร้างทางของพวกเขา(made their way)ขึ้นไปบนผืนแผ่นดิน(onto
land).
ต้นไม้ของชีวิต(the tree of
life)ได้วิวัฒนะ(evolved),
ยื่นกิ่งก้านจากปลา(fish)ไปสู่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ(amphibians), ไปสู่สัตว์เลื้อยคลาน(reptiles)และแล้วก็เป็น
ไดโนเสาร์(dinosaurs), และสู่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม(mammals), และในที่สุด(eventually) เป็น มนุษย์(humans).
เจ้ารายนี้(this guys)ยังไม่ได้รู้ถึงเรื่องราวว่าทั้งหมดนั่นหรอก(just yet).
* 260 – 250 ล้านปีก่อน: การสูญสิ้นมหาศาลที่ใหญ่ที่สุด ของ อีออน ฟานีโรโซอิค
(The
Largest Mass of the Phanerozoic Eon)
การปะทะกับเนบูลามืด(Collision with
a Dark Nebula)
ระบบสุริยะ(the solar
system)ปะทะชนเข้ากับ(collided with)
เนบูลามืด(the Dark Nebula)ในขณะที่ระบบสุริยะ(the
solar system)ผ่านเข้าไปในเนบูลา(the nebula).
โลก(the earth)ได้ถูกถล่มเข้าใส่(bombarded)ด้วยรังสีคอสมิค(cosmic rays).
โลก(the earth)เข้าไปสู่(entered)ยุคสมัยเยือกแข็งอีกครั้ง(yet
another frozen age).
พืชทั้งหลาย(plants)ได้รับผลกระทบจากการนี้(affected)อย่างแรกคือผลการผลิตออกซิเจนอย่างรวดเร็ว(dramatically
reducing the oxygen), ที่พวกนี้เป็นเสบียง(supplied)ให้กับชั้นบรรยากาศ(the atmosphere).
สภาพแวดล้อมของพื้นผิวโลก(the surface
environment)กลับไปสู่สภาพเดิม(reverted)ในสถานะดำรงชีพโดยไม่ใช้ออกซิเจน(anaerobic
state -ดำรงชีพโดยปราศจากอากาศ). เหมือนกับสมัยยุค อาร์เคียน(Archean
period).
การขาดแคลนออกซิเจนได้ฆ่า(killed off)สายพันธุ์ส่วนใหญ่ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ(most species of amphibians), สัตว์เลื้อยคลาน(reptiles)และแมลง(insects).
ชีวิต(life)ได้จัดการ(managed)ที่จะดำเนินการวิวัฒนะต่อไป(continue
evolving), แต่ต้องเผชิญหน้ากับการท้าทายใหญ่โตอีกอย่าง(another
big challenge).
โดยที่ไม่ถูกแตะต้องโดยการเปลี่ยนแปลงของวิวัฒนาการทั้งหลาย(untouched by
evolutionary changes)บนพื้นผิวโลก(the Earth’s surface), จุลินทรีย์ไม่ใช้ออกซิเจน(anaerobic *microorganisms)ได้เจริญรุ่งเรือง(thriving)อยู่ในสภาพแวดล้อมทั้งหลายใต้ดินที่มีออกซิเจนต่ำ(in
oxygen-poor underground environments).
พื้นผิวสภาพแวดล้อมใหม่ที่มีออกซิเจนต่ำ(a new
oxygen-poor surface environment)ยินยอมให้พวกเขาที่จะโผล่กลับขึ้นมาบนแผ่นดิน(re-emerge
on land)และในมหาสมุทรทั้งหลาย(in oceans).
ที่อาศัยพื้นถิ่นตามธรรมชาติของพวกเขาได้ขยายกว้างไกลออก(expanded)ข้ามไปทั่วลูกโลก(across the glove).
ในขณะที่ระดับออกซิเจนทั้งหลาย(oxygen levels)ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง, จุลินทรีย์เหล่านี้(these microorganisms)ได้วิวัฒนะไปสู่(evolved to)การปรับตัว(adapt
to)เข้ากับสภาวะสภาพแวดล้อมใหม่ทั้งหลาย(the new environmental
conditions). จัดวางขั้นตอน(setting the stage)เพื่อระยะดำเนินการอีกอันหนึ่งของวิวัฒนาการ(another
phase of evolution).
การโผล่ขึ้นมาของสิ่งที่มีชีวิตใหม่ทั้งหลาย(the emergence
of new creatures)ที่จะวิวัฒนะเข้าไปสู่มนุษย์(evolve into
humans)นั้นอยู่ใกล้มือแล้ว(close at hand).
ตอนที่ 10: จากมหายุค เมโสโซอิค สู่การกำเนิดของมนุษย์ (From pthe Mesozoic
to the birth of human beings)
* การแพร่กระจาย(dispersion)และการรวมผสมปนกัน(amalgamation)ของทวีปทั้งหลาย(continents), และวิวัฒนาการของชีวิต(the evolution of life)
บนมหาทวีป
แพนจี(the
supercontinent Pangea), สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม(mammals)และสัตว์เลื้อยคลาน(reptiles)ได้ปรากฏขึ้น,และเริ่มต้นการวิวัฒนะ(evolving)ภายใต้ภูมิอากาศอบอุ่น(a warm climate).
ในขณะที่สัตว์เลื้อยคลาน(reptiles)ได้เปลี่ยนแปลงไปสู่มากมายหลากหลายชนิด, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม(mammals)ยังคงเป็นสัตว์มีขนาดเท่าหนูที่ออกหากินตอนกลางคืนทั้งหลาย(nocturnal
rat sized animals). สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลาย(the
mammals)อยู่ในเงามืด(the shadows).
ด้วยการปรากฏขึ้นของไดโนเสาร์(dinosaurs), สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย(reptiles)ก็เข้าไปสู่ ยุคทอง
(entered for Golden Age).
ไดโนเสาร์(dinosaur)มีอำนาจเหนือต่อ(prevailed against)สัตว์สายพันธุ์อื่นมากมาย(many
other animal species) และเอาชนะการดิ้นรนต่อสู้เพื่ออยู่รอด(survival).
หินหลอมละลายใต้ผิวโลกที่มีรังสีกัมมันตภาพสูง(high-radiation
magma)ได้ถูกผลิตขึ้น(produce)เมื่อทวีปแยกออกจากกัน(split
apart)และนี่คือที่กิ่งก้านวิวัฒนาการ(stem evolution)บังเกิดขึ้น(occurs)เนื่องเพราะเหนี่ยวนำให้กลายพันธุ์(induced
mutation).
ไดโนเสาร์(dinosaurs)ได้มาถึงจุดสุดยอดของระบบนิเวศน์ของพวกเขา(the pinnacle of their
ecosystems).
ชิ้นของ
แพนจีตอนเหนือ(the
piece of northern Pangaea)ที่ได้แยกออกจากกัน(had split), ภายหลังได้กลับมารวมกันอีก(later rejoined).
การนี้ทำให้เกิด มงกุฎของวิวัฒนาการ(caused crown evolution).
การรวมกันของทวีปทั้งหลาย(amalgamation
of continents)นำมาซึ่งการผสมข้ามพันธุ์ของชีวิต(hybridization
of life) และสายพันธุ์ใหม่ทั้งหลาย(new species)แผ่ขยายออกไปสู่ทวีปอื่นๆ.
ไดโนเสาร์(dinosaurs)เจริญรุ่งเรือง(flourished)ไปทั่วโลก(all
over the world).
ในโลกของพืช,
พืชชั้นสูง(angiosperms)ที่ก้าวหน้าด้วยความสามารถในการผลิตซ้ำ(advanced reproductive
capacities)ปรากฏขึ้น(appeared).
พืชชั้นสูงทั้งหลาย(angiosperms)ใช้ประโยชน์จากสัตว์ทั้งหลาย(utilize animals)ในการช่วยเหลือด้วยการผสมเกสร(pollination)และเจริญรุ่งเรืองจากการนั้น(thus flourished).
ในอีกด้านหนึ่ง(on the other
hand), ที่อยู่อาศัยของ ยิมโนสเปอร์มทั้งหลาย(the
habitat of *gymnosperms)ได้ลดลง(reduced).
* gymnosperm ความหมาย คือ จิมโนสเปิร์ม :
พืชจำพวกหนึ่งในดิวิชันเทรคีโอไฟตา ไม่มีดอก แต่มีเมล็ดอยู่ในอวัยวะที่เรียกว่าโคน
(cone) เช่น สน ปรง เป็นต้น
* การกำเนิดของ *ไพรเมท ทั้งหลาย(The Birth of Primates)
* primate คือ
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตระกูลลิง และรวมถึงมนุษย์ด้วย ได้แก่ lemurs,
bushbabies, marmosets, monkeys, apes, humans.
ไพรเมททั้งหลาย(primates), บรรพบุรุษของมนุษย์(humans)ได้ปรากฏขึ้นที่รอยแยก(the
rift)ของ กอนด์วานา มหาทวีป(the Gondwana super continent). โดยเส้นทางนี้(via)กิ่งก้านของวิวัฒนาการสายพันธุ์ใหม่ทั้งหลาย(the
stem of evolution new species)ได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางสัตว์ที่ใช้ฟันแทะ(rodents)เช่น พวกหนู(rats).
ด้วยเวลา(with time) กอนด์วานา(Gondwana)ได้แยกออกไปเป็น
อเมริกาใต้(South America)และ อาฟริกา(Africa).
หลังจากอเมริกาใต้ได้แยกตัวออกมาโดดเดี่ยว(isolated), ไพรเมท(primates)ได้วิวัฒนะ(evolved)เขาไปสู่ลิงโลกใหม่(the new world monkeys).
บนทวีปอาฟริกา(the Africa
continent), ไพรเมททั้งหลาย(the primates)ได้วิวัฒนะ(evolved)เข้าไปสู่ ลิงโลกเก่า(the old-world monkeys).
หลังจากอนุทวีปอินเดียน(the Indian
subcontinent)แยกตัว(split off)จาก
แอนตาร์คติกา(Antarctica), ไพรเมท(primates)บนทวีปนี้ได้วิวัฒนะ(evolved)เข้าไปสู่ ลิงจุ่น(*lorises
- นางอาย).
* https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA
ไพรเมททั้งหลาย(primates)ได้วิวัฒนะ(evolved)เป็นอย่างอิสรภาพต่อกันบนแต่ละทวีป(independently
on each continent) และในหนทางนี้(in this way)สายพันธุ์มากมายของไพรเมท(many
species of primate)ได้ปรากฏขึ้น(appeared).
ซูเปอร์-พลูม
แปซิฟิค
ขนาดใหญ่(a
large Pacific *super-plume) –
พื้นที่ผิดปกติขนาดใหญ่ที่เป็นผลพลอยได้จากหินหนืดหลอมละลายใต้ผิวโลก(mantle)ปะทุขึ้นมาและเย็นตัวลง – ดันเปลือก
* https://en.wikipedia.org/wiki/Superswell
โลกแปซิฟิค(Pacific plate)ขึ้นมาและยกระดับทะเลขึ้นด้วย(raised the sea level).
แผ่นดินต่ำ(lowlands)ตกลงไปใต้ระดับทะเล(fell below
sea level)และพื้นที่แผ่นดินทั้งหมด(total land area)ได้ลดลง(decreased).
การยกสูงขึ้นของระดับทะเลทั้งหลาย(rising
sea-levels)ได้แยกทวีปออกเป็นส่วน(segmented the continent), จัดหาสภาพแวดล้อมที่แยกจากกัน(providing isolated environments)สำหรับวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกายรูปเฉพาะราย(individualized
morphological evolution).
เหตุอุบัติในขนาดของเอกภพ(a universe
scale event)ได้เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของผิวโลก(Earth’s
surface environment). ระบบสุริยะ(the solar system)ได้ชนเข้ากับ(collided)เนบูลามืด(a Dark
Nebula). โลกได้ถูกปกคลุมมิดหมดไปด้วยเมฆทั้งหลาย(entirely
covered by clouds).
ทั่วโลกหนาวเย็นทำให้หายนะทำลายระบบนิเวศน์ทั้งหลาย(catastrophic damaging
ecosystems).
ในที่สุด(finally), อุกกาบาตหนึ่ง(a meteorite)ที่กว้างสิบกิโลเมตรก็ตกลงมายังคาบสมุทร
ยูคาตัน เพนินซูลา(*Yucatan Peninsula)”
เหตุการณ์นี้(this event)เป็นเสมือนไกปืนสุดท้ายที่ลั่นให้เกิดการทำลายล้างมหาศาลให้ไดโนเสาร์ทั้งหลายสูญสิ้น(the
mass extinction of dinosaurs).
ชะตากรรมของชีวิตบนโลก(the fate of
the Earth’s life)เชื่อมต่ออย่างลึกล้ำกับ(deeply connected
to)กับเหตุอุบัติ(the events)ทั้งหลายในเอกภพ(the
universe).
เหตุอุบัติในขนาดของเอกภพ(a universe
scale event)สามารถทำให้เกิดคสามหนาวเย็นไปทั่วทั้งโลก(global
cooling)และการสูญสิ้นมหาศาล(mass extinctions).
รังสีคอสมิคของกาแล๊กซี่ที่เข้ามามากไปทั่ว(moreover
galactic cosmic rays)เกิดผลกระทบโดยตรง(directly affects)ต่อDNAที่แบกถือพิมพ์เขียวของชีวิตอยู่(carries
the blueprints).
รังสีคอสมิคทั้งหลาย(cosmic rays)ทำให้เกิดการกลายพันธุ์(mutations)ที่ช่วยให้วิวัฒนาการดีขึ้น(promote
evolution).
รูปลักษณ์ทั้งหมดของชีวิตบนโลก(all aspects of
life on the earth)กระนั้นจึงได้รับอิทธิพล(thus influenced)โดยเหตุอุบัติในขนาดของเอกภพ(universe scale events)เช่นนี้.
ในที่สุด, ไดโนเสาร์(dinosaurs)ทั้งหลายที่เจริญรุ่งเรืองก็สูญสิ้น(extinct).
ตอนที่ 11ซ ยุค ฮูมาโรโซอิค อีออน(The Humanozoic eon):
กาปรากฏของมนุษย์ และ อารยธรรม (the appearance
of human being and civilization)
* วิวัฒนาการ เข้าไปสู่ ไพรเมท (Evolution
into primates)
กิจกรรมการระเบิดภูเขาไฟไปตามหุบเขารอยแยกอาฟริกัน(along the
African Rift Valley explosive volcanic activity)ได้ดำเนินต่อไป(continued)และหินหลอมละลายลักษณะประหลาด(peculiar magma)บรรจุไว้ด้วยธาตุรังสีกัมมันตภาพรังสีอย่างล้นเหลือ(containing
abundant radioactive elements)ปะทุระเบิดลิงโลกเก่าทั้งหลาย(erupted
old world monkeys)ด้วยบรรพบุรุษใหม่ของไพรเมท(a
new clade of primates)ได้ปรากฏขึ้นที่นั่น.
พวกเขาได้คิดว่าเป็นบรรพบุรุษระยะไกลของเรา(to be our
remote ancestors).
* การกำเนิดของมนุษย์,
หมวดหมู่สัตว์ลำดับที่สี่:
ยุค ฮูมาโนโซอิค อีออน (the Humanozoic
eon)
ราว
4.5 พันล้านปีได้ผ่านมาตั้งแต่การกำเนิดของโลก(the birth of earth), การผันแปรขนาดใหญ่ทั้งหลาย(large fluctuations)ในสภาพแวดล้อมบนพื้นดินผิวโลก(terrestrial
environments)ได้เกิดซ้ำๆ(occurred repeatedly)ของวัฎจักรมิรู้จบของชีวิตและความตาย(a
never3ending cycle of life and death).
ในท้ายสุด(finally), มนุษย์ปรากฏขึ้น(human being appeared).
นี่เป็นการเริ่มต้นรุกโจมตีของมนุษย์ทั้งหลาย(the onset of
the humans)ของฺยุค ฮูมาโนโซอิค อีออน (Humanozoic eon).
*https://en.wikipedia.org/wiki/Human
มนุษย์ มีภาคส่วนพันธุกรรมทั้งหลายที่เป็นกลุ่มลักษณะพิเศษหนี่งเดียว(a
unique set of genetic regions)ที่ถูกเรียกว่า
ภาคส่วนเร็วความเร็วมนุษย์(human accelerated regions) หรือ HARS. และภาคส่วนเหล่านี้แยกแยะทำให้แตกต่าง(differentiate)มนุษย์จากสัตว์อื่นๆ(humans from other animals).
มนุษย์พัฒนาสมองที่ใหญ่โตที่ทำให้เป็นไปได้ที่พวกเขาจะได้มีความสามารถในการใช้ภาษาทั้งหลาย(to gain
language capabilities).
พวกเขายังได้รับความสามารถทั้งหลายในการที่จะคิด(gained the abilities to
think),ที่จะตระหนักรู้ได้(to be conscious),
ที่จะจจดจำ(to remember)และที่จะจินตนาการ(to imagine).
ปริมาตรของสมองขอมนุษย์(the brain
volume of human beings)ได้หยุดการเพิ่มขึ้นต่อไป(discontinuously
increased)ในสามขั้นตอน(three stages).
การเติบโตของปริมาตรสมอง(the growth of
brain volume)ดูเหมือนจะถูกสอดพร้อม(synchronized)ไปกับขนาดใหญ่ของการระเบิดปะทุของภูเขาไฟ(volcanic eruptions). สิ่งนี้บ่งชี้(indicated)ว่า
การเพิ่มขึ้นในปริมาตรสมอง(the increase in brain volume)เกิดขึ้นโดยก้านวิวัฒนาการ(by
stem evolution)ที่ถูกขับดันโดย(driven by)HiR magma.
ราว 1 ล้าน 2แสนปีก่อน, มนุษย์เริ่มต้น(started)เคลื่อนย้ายออกมาจากทวีปอาฟริกา. ต้นตระกูลผู้หญิงธรรมดาสุดท้าย(the
last common female ancestor)ที่ออกจากทวีปอาฟริกามาเมื่อ 200,000ปีก่อนถูกเรียกว่า ไมโตคอนเดรียล อีฟ(Mitochondrial Eve).
ลูกหลานของ
ไมโตคอนเดรียล อีฟ(Mitochondrial
Eve)เข้าไปในอเมริกาเหนือและอเมริกากลาง(North America and
Central America) 15,000 ปีก่อน.
10,000
ปีก่อนลูกหลานนั้นไปไกลถึงปลายแหลมตอนใต้ของอเมริกาใต้(the southern tip of
South America), พวกเขาได้แผ่กระจาย(spread)ไปทั่วโลก.
ตั้งแต่นั้นมา(since then), ความก้าวหน้าสำคัญของอารยธรรมมนุษย์(an epochal advance of
human civilization)ได้เกิดขึ้น.
* 10,000 ปีก่อน: การปฏิวัติเกษตรกรรม (The
Agricultural Revolution)
มนุษย์ได้ประดิษฐ์สร้าง(invented)ผลผลิตเกษ๖ณกรรมและปศุสัตว์ขึ้น, ด้วยกรรมวิธีเหล่านี้(these
methods)เสบียงอาหารที่มั่นคง(a stable food supply)กลายมาเป็นไปได้(possible).
ประชากรมนุษย์(human
populations)เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว(rapidly).
* 5,000 ปีก่อน:
การปฏิวัติ
เมือง (The
Urban Revolution)
ความเชี่ยวชาญพิเศษในหลากหลายอาชีพ(various
occupational specializations)บังเกิดขึ้น(arose), ผู้คนเริ่มต้นซื้อขายแลกเปลี่ยน(barter and trade).
เพื่อให้สามารถทำการแลกเปลี่ยนได้อย่างได้ผลดี(enable
effective bartering), เมืองทั้งหลาย(cities)ได้ก่อรูปขึ้น(formed).
ด้วยเวลาผ่านไป(with time), เมืองเล็กๆทั้งหลาย(small cities)ได้พัฒนาเข้าไปสู่
นครรัฐเล็กๆ(small city states)ด้วยการมี เงินตรา(currencies), เศรษฐกิจ(economies), กฎหมาย(laws), ศาล(courts)และตำรวจ(police).
ในท้ายสุด(finally), สี่อารยธรรมยิ่งใหญ่ของโลก(*the four great civilizations of
the world)ได้ปรากฏขึ้นตามแม่น้ำสายใหญ่(along large rivers)ที่ซึ่งผลผลิตอาหาร(food productivity)นั้นสูงกว่าในภาคส่วนอื่นๆ.
* อารยธรรม อียิปเทียน(Egyptian
civilization)/อารยธรรม เมโสโปเตเมียน(Mesopotamian
civilization)อารยธรรมหุบเขาสินธุ(Indus Valley civilization)/อารยธรรมแม่น้ำเหลือง(Yellow River civilization)
* 2,400 ปีก่อน:
การปฏิวัติ
ทางความเชื่อ/ ลัทธิ/ ศาสนา (the Religious Revolution)
ความขัดแย้งในการต่อสู้ข้ามเขตแดน(conflicts in fighting
over territory)บังเกิดขึ้นระหว่างอารยธรรมทั้งหลาย(civilizations).
เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้,
ลัทธิศาสนา(religions)ได้แผ่ขยายเข้าไปแทนที่การปกครอง(replace governance)โดยตระกูลราชวงศ์(royal families)ขุดคูสนามเพลาะ(entrenched)ผ่านทะลุการสืบทอดทายาท(inheritance).
ด้วยเวลาผ่านไป(with time), ผู้นำประชาชาติทั้งหลาย(national leaders)มาเป็นการถูกเลือกตั้ง(be
elected)โดยผู้ลงคะแนนเสียง(voters).
ชาติประชาธิปไตยสมัยใหม่(Modern
democratic nations)ปรากฏขึ้น(appeared).
ประชาธิปไตย(democracy)เป็นรูปแบบทางสังคม(social
form)ที่ประทาน(grants) อิสรภาพ(freedom), ความเสมอภาคละสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์(basic human rights).
* 300 ปีก่อน: การปฏิวัติอุตสาหกรรม
(The
Industrial Revolution)
การปฏิวัติอุตสาหกรรม(the Industrial
Revolution)เริ่มต้นในสหราชอาณาจักร(Great Britain)หลังจาก “Principia” โดย
เซอร์ ไอแซค นิวตัน ได้ถูกตีพิมพ์.
เทคโนโลยีใหม่ได้ถูกสถาปนาขึ้น(established)หรือประยุกต์(applied)ขึ้นอยู่บนพื้นฐานของความรู้เชิงวิทยาศาสตร์(scientific
knowledge), ได้เปลี่ยนแปลงสังคมมนุษย์อย่างเร้าอารมณ์(dramatically
changed human society).
การประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ(steam
locomotive)ทำให้เกิดการขนส่งของสินค้าโดยทางรถไฟ(railway).
การประดิษฐ์รถยนต์(cars)และเครื่องบิน(airplanes)ทำให้เราสามารถที่จะเดินทางไกล(travel
long distance)ได้ง่ายๆ.
สังคมมนุษย์(human society)เข้าไปสู่ยุคสมัยของ ความอุดมสมบูรณ์ล้นเหลือ – ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน(the
age 0f never-before-seen abundance).
อย่างไรก็ตาม(however), สงคราม(war)ได้บังเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ(occurred
incessantly). บางครั้งโศกนาฏกรรม(tragedy)ที่ไม่สามารเอากลับมาได้(irreversible)ได้เกิดขึ้นจากการใช้ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์โดยผิดวิธี(the
misapplication of scientific knowledge).
* การปฏิวัติข่าวสาร (The
Information Revolution)
การปฏิวัติข่าวสาร(the information
revolution)ได้ผุดขึ้น(arose)ตามที่ได้มีการประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ขึ้น(the
invention of computers).
มันทำให้มนุษย์สามารถที่จะสำรวจค้น(explore)เอกภพ(universe)ได้ดังเป็นสัญลักษณ์(symbolized)โดยโครงการอพอลโล(Apollo program).
และการประดิษฐ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์(the invention
of internet)นำไปสู่ยุคใหม่(new era),
ที่ผู้คนข้ามโลก(across the world)สามารถติดต่อ(connect)เข้าด้วยกันและกันในพริบตา(instant).
พ้นจากการสำนึกผิด(out of
contrition)ต่อสงครามที่ผ่านมาทั้งหลาย(over past wars), การกำเนิดของประชาติโลกเป็นหนึ่งเดียว(a unified world nation)กำลังมาเพื่อที่จะได้ตระหนักรู้(realized).
ในปี
ค.ศ. 1993, สหภาพยุโรป(EU)ได้ก่อรูปขึ้น(formed)เป็นนครรัฐหนึ่งเดียว(a unified state)ในยุโรป,
ที่ซึ่งสงคราม(wars)ได้บังเกิดขึ้นอีกบ่อยครั้งเป็นส่วนใหญ่.
ในอีกพื้นที่อื่น(in other areas), สหพันธรัฐคล้ายคลึงกัน(similar federations)ได้โผล่ขึ้น(emerging)นำเราไปใกล้ยิ่งขึ้นกับการกำเนิดของโลกเป็นหนึ่งเดียว(the birth
of a unified world nation).
ภายในขอบเขตของประวัติศาสตร์ลก(within the
scope of Earth’s history), ยุค ฮูมาโนโซอิค อีรา(humanozoic
era)นั้นสั้นมาก(very short).
อย่างไรก็ตาม(however), มันก็เป็นประวัติศาสตร์ทั้งปวงของมนุษย์(humans entire history)คลี่กางออก(unfolding)ภายในบริบทของปะวัติศาสตร์โลก(the
context of the Earth’s history).
ในทางชีววิทยาแล้วมนุษย์(biologically
human being)เป็นแค่สายพันธุ์หนึ่งของสัตว์(one species of
animal).
อย่างไรก็ดี(however), เราเป็นก็แตกต่างไปจากสัตว์อื่นอย่างสำคัญยิ่ง(essentially
different from other animals)เพราะสมองที่ได้วิวัฒน์ของเรา(evolved
brains).
อะไรอื่นอีกหรือที่วางอยู่ต่อไปข้างหน้าสำหรับมนุษย์(lie ahead for
human beings).
ตอนที่ 12: อนาคตของโลก (Future of the Earth)
* การท้าทายสำหรับสังคมมนุษย์ (Challenges
for human society)
กิจกรรมทั้งหลายของมนุษย์(human
activities)ได้ถูกขึ้นอยู่กับ(dependent on)เชื้อเพลิงฟอสซิล(fossil
fuel). เชื้อเพลิงฟอสซิลถูผลิตขึ้น(produced)และสั่งสม(accumulated)ผ่านประวัติศาสตร์ของโลก(Earth’s history)ผ่านมากว่าหลายพันล้านปี(over
billions of years).
เราในตอนนี้กำลังใช้หมดเปลือง(using up)เชื้อเพลิงเหล่านี้(these fuels)ในอัตราก้าวเดินอย่างดุดัน(a
furious pace).
การคงเหลืออยู่ของปริมาณของเชื้อเพลิงฟอสซิลถูกคาดหวังว่า(expected)จะลดลงอย่างเฉียบพลัน(decrease sharply)ภายหลังปี 2020”
มันเคยสมมติว่า(assumed)เชื้อเพลิงฟอสซิลน่าจะหมดไปในราว
2100. อย่างไรก็ดี, จากการปฏิวัติเชลล์แก๊ส(the *shale
gas revolution), การหมดสิ้นนี้(this depletion)จะเลื่อนออกไปอีก 100 ปี(be delayed 100
years).
* https://dscng.pttplc.com/(S(ctbei1s4qryggw43fb0kzpcv))/Files/Newsletter/Newsletter_346.pdf
ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีทางการแพทย์(progress in
medical technology)และการบริโภคอาหารสุขภาพ(the intake of
nutritious meals), ทำให้เกิดการระเบิดออกของการเติบโตประชากร(explosive
population growth).
และด้วยผลของการนี้,
การขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง(serious food shortage)จะเกิดขึ้น(occur)ในราว 2020. สิ่งนี้จะเป็นจุดเครื่องหมายการเริ่มต้นของยุคสมัยแห่ง
3 พันล้านผู้อพยพลี้ภัย(mark the beginning of the
era of 3 billion refugees).
อย่างไรก็ตาม,
ประชากรโลก(the
world’s population)ได้ถูกคาดว่าจะลดลงไปสู่ 5
พันล้านในปี 2100(decrease to 5 billion by 2100), หลังจากที่ถึงจุดสูงสุด(peaking)ที่ 10 พันล้าน(10 billion – 1
หมื่นล้าน)ในปี 2050.
จนถึง 2050, การเพิ่มขึ้นของประชากร(increasing population)จะดำเนินต่อไปให้เกิดภาวะการปนเปื้อนอย่างรุนแรงในด้านสภาพแวดล้อม(serious
environmental contamination).
การท้าทายทั้งหลายระดับโลกจำนวนมาก(numerous global
challenges)จะขยายความวิตกกังวลยิ่งขึ้น(amplify the anxiety)ภายในสังคมทั้งหลายของมนุษย์(within human societies).
อะไรคืออนาคตของมนุษย์ที่ยึดเอาไว้หรือ?
* อนาคตของสังคมมนุษย์
(Future
of human society)
ในวงการวิทยาศาสตร์(field of
science), เทคโนโลยีที่มีนวัตกรรมทั้งหลาย(innovative
technologies)จะถูกพัฒนาอย่างก้าวย่างเร็วเร่ง(an
accelerated pace).
มนุษย์จะสร้างฐานอวกาศ(space base)บนดวงจันทร์(on the moon)เพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำการค้นสำรวจดาวเคราะห์ทั้งหลายในระบบสุริยะของเรา(exploration
of our solar system’s planets).
หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์(artificially
intelligent robots)จะถูกนำมาเกี่ยวข้อง(involved)ในการสำรวจอวกาศ(in space exploration), ช่วยเหลือมนุษย์(assisting
humans)ในภารกิจทั้งหลายของพวกเขา(their tasks).
ในอนาคตอันใกล้, การสร้างซ้ำตนเองขึ้นของหุ่นยนต์ทั้งหลาย(self-replicating
robots)จะปรากฏ(appear),
และจะวิวัฒนะเลยโพ้นจากขีดจำกัดทั้งหลายของมนุษย์(evolve beyond human
limits).
รูปแบบชีวิตประดิษฐ์นี้(this
artificial life-form)จะค่อยๆ(gradually)เดินทางออกเข้าปสู่กาแล๊กซี่(the
galaxy).
เทคโนโลยีใหม่ๆมากยิ่งขึ้น(moreover new
technology)ทำให้เราสามารถ(enabling us)ที่ไปเข้าในมิติทั้งหลายที่แตกต่างออกไป(go
into different dimensions)จะได้พัฒนามนุษย์(developed
humans), ให้ต้องกลายมาสามารถที่จะจดจำโลกโพ้นเลยอวกาศและเวลา(recognize
the world beyond space and time).
ในที่สุดกระนั้น(eventually), บทบาทของมนุษย์(the role of human beings)จะถูกเสร็จสิ้นลง(will be finished).
นั่นคือจุดจบของยุคสมัย
ฮูมาโนโซอิค(the
humanozoic era).
ฉากจำลองนี้(this scenario)อาจจะผลลัพท์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของยุทธศาสตร์ของวิวัฒนาการของชีวิต(result
of the strategy of life’s evolution)ง
เพราะว่าในอนาคต,
โลกจะเผชิญหน้ากับกลียุคทั้งหลาย(upheavals)มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนที่เคยมีมา(ever
before)ในปรวัติศาสตร์ของตน.
* อนาคตของโลก (Future of the
Earth)
* 200 ล้านปีถัดจากนี้ไป: การก่อรูปของ
มหาทวีป
(Formation of
the supercontinent)
ศูนย์กลางที่เอเชีย(centering on
Asia), ทวีปทั้งหมดจะรวมเข้าหากันก่อรูปเป็น มหาทวีป อเมเซีย(gather
to form the supercontinent Amasia -อเมริกา/เอเชีย).
* 400 ล้านปีถัดจากนี้ไป: การสูญสิ้นของ พืช C4 ทั้งหลาย (Extinction of C4 plants)
พืชทั้งหลายบริโภค(consume) คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ(atmospheric co2) เพื่อทำให้คาร์บอนคงตัวในร่างกายของพวกตน(to
fix carbon in their bodies).
พืชที่ตายแล้วสร้างด้วยคาร์บอนคงตัว(made of fixed
carbon), ถูกปิดคลุม(covered)ด้วยสารตกตะกอน(sediment).
ขบวนการนี้(this process)เล่นบทบาท(a role)ในการลดจำนวนคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ(reducing
atmospheric co2).
การปรากฏขึ้นของ
มหาทวีปอเมเซีย(the
supercontinent Amesia), จะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของพื้นที่แผ่นดิน(land
area)ที่สามารถทำให้คาร์บอนคงที่(can fix carbon).
พืชที่มากขึ้นบนมหาทวีปที่ใหญ่ขึ้น(a larger
supercontinent)ลดคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศได้มากขึ้น(reduce
more atmosphere co2).
ปริมาณจำนวนมากของคาร์บอนไดออกไซด์จะลดลงไปสู่หนึ่งในสิบของระดับปัจจุบัน(one tenth of
the present level).
พืช C4 ทั้งหลายจำเป็นต้องการ(requiring)ความเข้มข้นสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์(higher
concentrations of co2)ก็จะไปสู่การสูญสิ้น(go extinct).
ผลลัพท์ของการนี้,
สัตว์อื่นๆที่พึ่งพาอยู่กับ(rely on)พืช C4
เพื่อเป็นอาหาร, ก็จะได้รับผลกระทบ(be affected).
* 1 พันล้านปีถัดจากนี้ไป: การหยุดชะงักของการแปรสัณฐานเปลือกโลก (Cessation of
plate
tectonics)
น้ำทะเล(seawater)ได้กำลังลดลง(has been decreasing)ผ่านมาโดยตลอดหกร้อยล้านปี,
ในขณะที่มันได้ขนย้าย(transported)ลงไปสู่หินหนืดหลอมละลาย(the
mantle)ในรูปของแร่ธาตุไฮดรัสทั้งหลาย(the form of *hydrous
minerals – แร่ที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบ).
* https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B9%88
ในท้ายสุด(finally)แนวสันกลางมหาสมุทรทั้งหลาย(mid-oceanic ridges)ก่อรูปยอดทั้งหลาย(summits)ขึ้นมาเหนือน้ำทะเล(the sea water).
น้ำ(water)ไม่สามารถถูกนำเข้าไปในเปลือกโลก(the crust)เช่นสารหล่อลื่น(a
lubricant)ได้อีกต่อไปและการแปรสัณฐานเปลือกโลก(plate
tectonics)ก็ถูกยุติลง(is terminated).
นี่คือชะตากรรมของดาวเคราะห์ที่กำลังหนาวเย็น(the fate of a
cooling planet).
กิจกรรมภูเขาไฟ(volcanic
activity)ไปตามย่านมุดตัวของเปลือกโลกเหล่านี้(these
subduction zone)หยุดการวุ่นวายของภูเขาทั้งหลายลง(stops upheaval
of the mountains), หยุดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่รุนแรงทุกข์ยากทั้งหลายของโลก(stop
the earth suffers severe environment changes)จากการกัดกร่อน(erosion).
เปลือกโลกเย็นที่มุดตัวลง(subducted cold
plate)ไม่ได้ลงไปถึงก้นของหนหนืดหลอมละลาย(the mantle). แกนโลกด้านนอก(the outer core)ไม่ได้เย็นตัวลงอีกต่อไปและสนามแม่เหล็กโลก(the
geomagnetic field)หายไป(disappears).
ชั้นบรรยากาศของโลก(Earth’s
atmosphere)ถูกเอาออกไป(removed)โดยลมสุริยะ(the
solar wind).
และเมื่อถึงจุดนี้,
สัตว์หลากหลายเซลล์(multicellular
animals)ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมพื้นผิว(living in the
surface environment)สูญสิ้นไป(go extinct).
* 1.5 พันล้านปีถัดจากนี้ไป: การหายไปของมหาสมุทร (Disappearance
of the ocean)
เมื่อมหาสมุทรหายไป(the ocean
disappears), สัตว์ทั้งหลายที่อยู่รอดในมหาสมุทรก็จะตายไปด้วยเช่นกัน.
ในที่สุด(finally)บรรดาชีวิตบนโลกทั้งหมด(all the Earth’s life)ก็หายไป(disappears).
ความร้อนที่สูงขึ้น(the heating up)ของพื้นผิวดวงอาทิตย์(the solar surface),
เพิ่มอุณหภูมิที่พื้นผิวโลกถึง 500 องศาเซลเซียส(°C).
โลก(the arth)กลายเป็นเหมือนดาวศุกร์(Venus).
* 4.5
พันล้านปีถัดจากนี้ไป: การชนกันระหว่าง
กาแล๊กซี่ทางช้างเผือก และ กาแล๊กซี่แอนโดรมีดา (Collision
between the Milky Way Galaxy and the Andromeda Galaxy)
กาแล๊กซี่แอนโดรมีดา(theAndromeda
galaxy)ชนปะทะเข้ากับกาแล๊กซี่ทางช้างเผือกของเรา(our Milky
Way galaxy).
เพราะการชนกัน(the collision)นี้เอง, อัตราการกำเนิดของดวงดาวทั้งหลายก็เพิ่มขึ้น(the birth
rate of stars increase).
เวลาผ่านไป(with time), ดวงดาวทั้งหลายเหล่านี้(those stars)ประสบเหตุทุกข์ยาก(udergo)จากการระเบิดของซูเปอร์โนวา(supernova explosions).
รังสีกาแล๊กซี่คอสมิคเข้มข้นทั้งหลาย(intense
galactic cosmic rays)โปรยปรายลงมาบนโลก(rain on the earth).
* 8 พันล้านปีถัดจากนี้ไป: การทำลายล้าง โลก(Annihilation
of the Earth)
ดวงอาทิตย์ที่พองขยายตัวออก(the expanding Sun)จะกลืนกินโลก(swallow the earth).
นี่คือวันที่ดาวเคราะห์โลกที่ให้กำเนิดต่อชีวิต(this is the
day when the planet Earth that give birth to life)จะหายไปจากเอกภพ(disappear
from the universe).
เมื่อถึงเวลานั้น(by that time), ชีวิตของดาวโลก(the Earth’s life)ก็จะได้ไปถึงกาแล๊กซี่อื่นๆ(reached
other galaxies)เป็นเช่น ชีวิตประดิษฐ์จำลองสร้างตนเองขึ้นซ้ำ(self-replicating
artificial life)ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป(different form).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น