ความรู้สึกเกี่ยวกับ
พระพุทธศาสนาในถิ่นไทยสุดทางใต้*
*
เรื่องนี้ เป็นบันทึกตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๘
นมนานมาแล้วบัดนี้เหตุการณ์เปลี่ยนไปมาก การนำมาพิมพ์ไว้ที่นี้ เป็นเพียงเพื่อประกอบการพิจารณาบางอย่างเท่านั้น,
ข้อความบางอย่างที่ได้ตัดออกเสีย เมื่อบทความนี้ได้รับการพิมพ์ครั้งแรก ก็ยังมี.
เมื่อเดือนเมษายนที่แล้วมา
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเที่ยวชมกจการและภาวะทางพุทธศาสนาบางอย่าง
ในถิ่นของชาวไทยสุดแดนนทางทิศใต้ ได้ไปที่ จ. นราธิวาส
และเลยไปกลันตันอันได้ตกไปเป็นเขตของอังกฤษ มีเรื่องน่าบรรยายสู่กันฟังอยู่บ้าง เพื่อประโยชน์ทั้งแก่ผู้ฟัง
และสิ่งที่ถูกนำมาบรรยายเท่าที่ข้าพเจ้าได้ไปเห็นมาชั่วเวลาเล็กน้อย
ที่จังหวัดกลันตัน
กล่าวได้ว่า
ในดินแดนไทยที่ตกเป็นของอังกฤษแล้วนั้น
มีพี่น้องชาวไทยเราอาศัยอยู่สุดสิ้นลงเพียงจังหวัดนี้เท่านั้น ต่อนั้นไปไม่มี
(นี่หมายถึงที่มีภูมิลำเนาเป็นหมู่บ้านจริงๆ มาแต่ครั้งยังเป็นขอไทย)
พลเมืองของจังหวัดนี้เป็นแขกมลายู มีคนไทยเป็นส่วนน้อยแทรกอยู่เป็นหมู่เล็กๆ มีวัดอยู่กลางประจำหมู่บ้าน
ทั้งจังหวัดมีเพียง ๑๗ วัด. ไม่มีวัดที่ในตัวเมือง (โกตาบารู)
มีแต่ที่หมู่บ้านนอกๆ ห่างเมืองออกไปมาก คนไทยในแถบนี้
มีรูปร่างการแต่งกายน้ำเสียงเหมือนกับแขก นอกจากจะสังเกตตรงที่พูดภาษาไทย
และยกมือไหว้พระเมื่อพบแล้ว ดูหมือนจะสังเกตยากทีเดียวว่าเป็นแขกหรือไทย
ถ้าพบเขาภายนอกบ้าน ข้าพเจ้าใครจะยืนยันว่า “เขาไหว้พระกันทุกคน”
พี่น้องชาวไทยเหล่านี้ แม้จะต้องขยันในกิจการงานอาชีพยิ่งกว่าชายไทยในเขตสยาม
(เพราะการเก็บภาษีรายได้แรงกว่า) ก็จริง แต่กระนั้นก็ยังพยายามหาอกาสไปสู่วัดเพื่อบำเพ็ญกิจทางพุทธศาสนา
ดูราวกับว่า วัดเท่านั้นที่เป็นเครื่องชุ่มชื่นใจของเขาทั้งหลายยิ่งกว่าสิ่งอื่น
วัดได้เป็นคู่ทุกข์คู่ยากอย่างที่จะแยกกันมิได้ดังจะเห็นได้ว่า
ทุกๆเย็นมีชาวบ้านจำนวนสิบๆคนไปที่วัดพร้อมกันสวดมนต์และสนทนาธรรมทุกๆวันทั้งปีๆ
มิใช่เฉพาะแต่วันอุโบสถหรือคราวพรรษาเป็นต้น.
ได้ช่วยกันประคับประคองวัดไว้ได้เป็นปรกติราบรื่น
ทั้งที่มิได้รับความช่วยเหลือจากทางบ้านเมืองของรัฐบาลอังกฤษแต่อย่างใด นอกจากการคุ้มภัยตามธรรมดาบ้านเมือง
และปล่อยให้จัดการเอาเองเท่านั้น.
ที่นี่ไม่ได้มีการปกครองคณะสงฆ์อย่างในสยาม
วัดใครๆปกครองจัดการวางระเบียบแบแผนกันเองไม่ขึ้นวัดอื่น
หรือมีเจ้าคระปกครองเป็นชั้นๆ เพราะเหตุนี้การศึกษาธรรมจึงไม่มีเป็นกิจจะลักษณะ นอกจากศึกษากันเองด้วยหนังสือที่ได้ไปจากสยาม
เรื่องนี้แทนที่จะเห็นเป็นของน่าติเตียน
ขอให้ช่วยเห็นอกและสงสารพี่น้องชาวไทยเหล่านัน
ที่ช่วยประคองพุทธศาสนาเท่าที่มีอยู่ให้หานสาผสูญไปเสียได้. การเรียนหนังสือไทยไม่มีสอนในโณงเรียน
อาศัยศึกที่วัดเมื่อจะบวช
จึงยิ่งเป็นการยากอีกอย่างหนึ่งที่จะมีการศึกษาธรรมและบาลีอันเจริญ
ได้เหมือนในเขตสยาม ซึ่งมีการศึกษาหนังสือไทยเป็นพื้นเดิมอยู่ก่อนแล้ว.
พี่น้องชาวไทยที่นั่นกำลังต้องการธรรมทั้งฝ่ายปริยัติและปฏิบัติ
ดังข้าพเจ้าสังเกตเห็นจากการให้มีธรรมเทศนาถึงสองครั้งชั่วขณะที่ข้าพเจ้าพักอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งไม่กี่ชั่วโมง
ขอพี่น้องชาวไทยในสยามจงช่วยกันทำความติดต่อและช่วยเหลือพี่น้องที่ยังตกอยู่ในถิ่นอันไกลนั้น
ตามควรเถิด ทาลที่จะช่วยก็เช่นส่งหนังสือที่เป็นประโยชน์แก่การศึกษาไปให้ หรือส่งครูไปให้
หรือถ้ามีเวลาก็ไปอบรมสั่งสอนให้โดยตนเองสมทบกับภิกษุที่มีความสามารถอยู่บ้างทางโน้นแล้ว
ถ้าคณะสงฆ์หรือมหามกุฏราชวิทยาลัย หรือผู้ที่มีอิทธิพลในการพระศาสนาผู้อื่นๆ
จะแผ่เมตตากายกรรมไปยังพี่น้องชาวไทยเล่านี้บ้างแล้วจะเป็นกุศลแก่คนไทยในถิ่นนี้หาน้อยไม่,
เป็นการช่วยเหลือคนไทยอย่างทั่วถึง ดุจฝนตกทั่วทุกหย่อมหญ้าทีเดียว.
ที่จังหวัดนราธิวาส
ควรทราบเสียก่อนว่า
ทางสุดแดนสยามทางใต้นั้น การพระศาสนายังไม่สู้เจริญ
เนื่องจากพลเมืองเป็นคนไทยอิสลามแทบทั้งนั้น การปกครองทางคณะสงฆ์ได้รวมเอา
จ.นราธิวาส จ.ยะลา จ.ปัตตานี เข้าเป็นจังหวัดเดียวกัน เพราะมัดมีพระภิกษุสามเณรน้อย
สำหรับ จ.นราธิวาส ทางคณะสงฆ์เป็นเพียงแขวง(อำเภอ)ที่ศูนย์กลางจังหวัด
มีวัดเพียงวัดเดียว และก็พอเพียงแก่ความต้องการของพลเมืองในบริเวณจังหวัดนั้นแล้ว
กิจการพระศาสนาทางฝ่ายวัตถุ (การก่อสร้าง) การปริยัติ และการปฏิบัติ
นับได้ว่าเริ่มเจริญขึ้นเป็นลำดับ
วัดบางนราได้ให้ปฏิสันถารแก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างดี
จนนอกจากจะลืมเสียมิได้แล้ว ยังจะต้องนำมากล่าวไว้ในที่นี้อีกด้วย.
ปรกติของพลเมืองที่บางนรานั้น ข้าเพจ้าใคร่จะกล่าวว่า ต้องการธรรมะชั้นกาง
และชั้นสูงมากกว่าศีลธณรมขั้นต่ำ เช่นศีลห้า คงเนื่องจากปรกติของคนแถบนี้
สุภาพเรียบร้อยอยู่เองแล้ว เจ้าหน้าที่บ้านเมืองย่อมทราบความข้อนี้ได้ดี
ถึกับกล่าวกับข้าพเจ้าก็หลายคน ที่ข้าพเจ้าสังเกตเห็นเองก็มีมาก เช่น
การทิ้งสิ่งของเครื่องมือใช้ไว้ตามศาลาหรือที่อื่นๆซึ่งไม่มีคนรักษาก็ปลอดภัย
ต่างกับที่จังหวัดอื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางในกรุงฯ ถ้าชาวนราจะรักษาเกียรติอันนี้ไว้ได้ยั่งยืนแว
จะชื่อว่าเป็นแดนแห่งศีลธรรมประเภทนี้ได้เริ่มเสื่อมลงพอสังเกตเห็นได้
เชื่อกันว่าเป็นเพราะชาวแปลกถิ่นมาก่อ หรือมาสอนให้กลับกลายนิสัย.
นราที่เคยต้องการการอบรมสั่งสอนศีลธรรมขั้นต่ำแต่น้อยๆ
จะกลายเป็นเริ่มต้องการมากขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าใครจะเตือนให้พี่น้องชาวนรารู้ตัวไว้ให้ทันท่วงที
เพื่อการป้องกัน หรือการแก้ไขอันเหมาะสม
เป็นการน่าประหลาดอีกอย่างหนึ่ง
ที่ทางปลายแดนเช่นนี้ทั่วไปนี้ยังมีการสอนวิปัสสนาแบบปรำปราเหลืออยู่ ยังมีฆราวาสเป็นครูสอน
มีศิษย์เป็นฆราวาสชาวบ้าน ไม่มีภิกษุสามเณรเลย, ซึ่งถ้าฟังไม่ชอบด้วยเหตุผลแล้ว
ผู้ฟังอาจเข้าใจไปว่า นักวิปัสสนามีแต่ที่เป็นชาวบ้าน ไม่มีที่เป็นภิกษุสามเณร
คล้ายกับว่าภิกษุสามเณรกลับมีธุระห้าที่ตรงกันข้าม.
ข้อนี้เป็นเพราะการสั่งสอนประเภทนี้ในที่นี้ในที่นี่ยังไม่บริสุทธิ์สะอาดพอที่จะให้ภิกษุสามเณรหรือพุทธบริษัทผู้มีการศึกษามามากพอควรแล้วเลื่อมใสและเชื่อถือได้
เช่นงยังมีการเก็บค่าธณรมเนียม การไม่ยอมตอบข้อซักถามของผู้อยากทราบเป็นต้น
โดยในส่วนนี้เราอาจสรุปได้ ว่าในถิ่นที่ศีลธรรมของชาวเมือง ยังไม่ถูกทำลายด้วยการเจริญหรือเศรษฐกิจแผนใหม่เอี่ยมนั้น
ชาวเมืองย่อมต้องการความสุขในทางธรรมสูงขึ้นไป ถึงกับศึกษาในส่วนใจด้วยความหวังสุข
ถ้าเป็นโชคดีที่มีการสั่งสอนอย่างบริสุทธิ์ถูกทางก็ดีไป, ถ้าพลาดก็อันตรายเต็มที
เพราะเป็นช่องให้เพื่อนพุทธบริษัททั้งลหายช่วยทำอารักขาให้แก่กันในส่วนนี้ให้มาก
เราจึงจะปลอดภัย และฐานะของวิปัสสนาธุระหรือการปฏิบัติธรรมขั้นสูง
จะไม่ถูกเหยียบย่ำดูแคลนโดยคนที่เข้าใจผิด, พุทธศาสนาอันเป็นที่รักร่วมกันของชาวเรา
จึงจะส่องแสงรุ่งโรจน์ขึ้นได้โดยลำดับ.
ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนี้มีวัดที่สะอาดอากาศดีน่าอยู่อาศัยแต่ข้าพเจ้าพักที่นี่ไม่นาน
ยกาที่จะทราบถึงสภาพความเป็นอยู่ละเอียด แต่เท่าที่สังเกตเห็นพอจะสรุปได้ว่า ศีลธรรมของชาวเมืองยังคงสะอาดดีเหมือนอากาศที่นั่นอยู่นั่นเอง
นอกจากนั้นก็ตามธณรมดาของถิ่นอันอยู่สุดปลายแดนดังกล่าวแล้ว วัดชลธาราสิงเหของถิ่นนี้ได้ให้การปฏิสันถารอย่างน่าอิ่มใจเช่นเดียวกัน.
ที่อำเภอสุไหงบาดีของจังหวัดนี้
ข้าพเจ้าได้เห็นนายอำเภอใช้เวลาว่างขวนขวายเพื่อความเจริญของพระศาสนา
หรือศีลธรรมของพลเมือง โดยทำนองเดียวกัน เป็นที่หวังได้ว่า
แม้ว่ายังมีความเจริญอย่างกะปลกกะเปลี้ย
ก็เป็นการดำเนินขึ้นสู่ความเจริญเรื่อยๆตามฐานะ เป็นที่น่าปลื้มใจอยู่
ในถิ่นที่มีแต่ไทยอิสลามเป็นส่วนมากเช่นนี้ ย่อมก้าวได้ช้าๆที่ ตำบลโกโล๊ะของอำเภอนี้มีวัดที่เป็นอยู่อย่างน่าประหลาดใจอยู่วัดหนึ่ง
คือ เป็นวัดที่สร้างขึ้นและตั้งอยู่ได้โดยอาศัยความพร้อมเพรียงของคณะพนังานรถไฟ
พนักงานรถไฟทุกแผนก ตั้งแต่สุไหงโกลก (สุดแดนไทยทางใต้) ขึ้นมาถึงหาดใหญ่
ยอมเฉลี่ยรายได้บำรุงตามกำลัง. ที่วัดนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นพระภิกษุจำนวนยี่สิบเศษ
และเด็กวัดรวมทั้งเจานาคจำนวนสามสิบเศษทั้งที่ชาวบ้านรอบๆ วัดเป็นไทยพุทธศาสนิกไม่กี่สิบคนเลย
มีแต่ไทยอิสลามแทบทั้งนั้น.
ข้าพเจ้าพยายามจดจำเหตุการณ์เล่านี้มาบรรยาย
ให้ท่านผู้เป็นเพื่อนพุทธบริษัททั้งหลายฟังโดยมิได้หวังอย่างอื่นนอกจากหวังว่า
ท่านผู้ฟัง, สิ่งใดที่อาจเป็นทิฏฐานุคติแก่ตนหรือถิ่นของตนได้แว ก็จักได้ถือเอา ถ้าเห็นส่วนใดที่เป็นโอกาสให้ตนได้ช่วยเหลือชาวไทยในสุดแดนทางใต้แล้ว
ก็ขอให้ช่วย, เพราะตามความสังเกตของข้าพเจ้าเห็นว่า
การพุทธศาสนาทางสุดแดนทาใต้ของสยามนั้น ยังมีความเจริญย่อหย่อนกว่าทางอื่นอยู่มาก
และเชื่อว่ากำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่อย่างไม่น้อยเลย.
๓
พฤษภาคม ๒๔๗๘
(จากหน้า
๓๑๔ - ๓๑๙ ของหนังสือ “ชุมนุมข้อคิดอิสระ” โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ.)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น