หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2566

พุทธทาสภิกขุ - สิ่งที่เรียกว่าชีวิต

พุทธทาสภิกขุ - สิ่งที่เราเรียกว่าชีวิต

         https://youtu.be/7TfSyVmVEJk?si=6UsxmhI3vft8Mipe

 

สาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย

         การบรรยายประจำวันเสาร์แห่งภาคอาสาฬหบูชา เป็นครั้งที่ 4 ในวันนี้นั้น อาตมาก็ยังกล่าวเรื่อง ธรรมะในฐานะวิทยาศาสตร์ ต่อไปตามเดิม

         แต่ในวันนี้จะกล่าวในหัวข้อย่อย เพราะว่า โครงสร้างแห่งสิ่งที่เรียกว่าชีวิต การที่บรรยายธรรมะในฐานะเป็นวิทยาศาสตร์นั้น ต้องการทำให้ลักษณะสำคัญของพุทธศาสนา ปรากฏชัดเจนแจ่มแจ้งออกมา ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ และได้ย้ำแล้วย้ำอีกว่า ให้เห็นชัดลงไป ว่ามันเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง แต่ไม่ใช่ลึกลับ และถ้าลึกลับก็จะเป็นไสยศาสตร์ ถ้าเป็นลึกซึ้งก็จะเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่มีอะไรจะลึกลับได้ สำหรับวิทยาศาสตร์ เพราะว่ามีปัญญา มีความสามารถที่จะหยิบขึ้นมาดู แม้จะลึกเท่าไรก็ขุดลงไปจนถึงส่วนที่ลึกซึ้ง จึงเห็นว่า โอ้ มันลึกซึ้งจริง แต่มันไม่ใช่ลึกลับ ถ้าลึกลับก็คือเรารู้มันไม่ได้ รู้จักมันไม่ได้ ทีนี้ธรรมะในฐานะที่เป็นวิทยาศาสตร์ มันก็หมายความว่าอย่างนี้.

         ให้เรารู้จักธรรมะในพุทธศาสนาของเรา ยิ่งๆขึ้นไป ในฐานะเป็นสิ่งลึกซึ้ง แต่ไม่ใช่ลึกลับ ถ้าเป็นลึกลับ เป็นสิ่งลึกลับ ก็ไม่เป็นสันทิฐฏิโก1ไม่เป็นสวากขาโต ไม่เป็น ปัจจังเวทิตัพโพ อะไรได้ มันลึกลับ มันเห็นไม่ได้.

         1 https://www.dhammahome.com/webboard/topic/386

         แต่ถ้ามันลึกซึ้ง ไม่ว่ามันจะลึกซึ้งสักเท่าไรก็ยังเห็นได้ เรียกกันมาดูได้ นั้นจึงเป็นลักษณะของพระธรรมในพระพุทธศาสนา ที่เปรียบกันได้กับว่าเป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ สามารถเข้าถึงสิ่งที่ลึกซึ้ง จนกระทั่งไอ้ความเป็นของลึกลับนั้นหายไป.

         ในวันนี้จะกล่าวในหัวข้อย่อยว่า โครงสร้างแห่งชีวิต นี่ก็สารภาพว่า ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี ก็เรียกว่าอย่างนี้ไว้ทีนึงก่อน คือจะชี้ให้เห็นว่า ร่างกายของคนหนึ่งๆนี่ ในนั้นมันมีอะไรมากมายเหลือเกิน เป็นโครงสร้างระบบทุกๆระบบในชีวิต จะเรียกว่าเป็นสำนักงานใหญ่ ใหญ่โตยิ่งกว่าโรงงานใดๆในโลกก็ได้ เป็นสำนักงานของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต หรืออาจจะกล่าวว่าเป็นจักรวาลแห่งชีวิตก็ได้ อันมีเรื่องมากเหลือเกินขณะที่เรียกว่าเป็นจักรวาล แล้วทำไมมาอยู่ได้ ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ ที่ยังเป็นๆ คือยังมีทั้งสัญญาและใจ.

         พวกเราก็พูดกันเป็นทุกคน ว่ากายนี้ยาววาหนาคืบ แต่ไม่เติมว่ากว้างศอกเข้าไปด้วยเท่านั้นเอง เนี่ยะ สิ่งนี้จะต้องขอให้ทำเป็นอารมณ์ อยู่ในใจสำหรับวันนี้ ว่าร่างกายนี่ ยาววาหนาคืบ กว้างก็ไม่เกินศอก เนื้อที่เท่านี้น่ะ จะเป็นจักรวาลทั้งหมดได้อย่างไร?

         แม้จักรวาลภายนอกโลก จักรวาลของโลกๆนี่น่ะ ก็รวมอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนี้ด้วยเหมือนกัน ชีวิตในที่นี้เราหมายถึง การมองดูในทางนามธรรม สิ่งที่เรียกว่าชีวิต คือความเป็นไปตลอดสาย ตั้งแต่เกิดมามีความทุกข์ ความสุข กระทั่งตาย หรือกระทั่งนิพพาน ทั้งหมดนี้จะรวมเรียกง่ายๆว่าชีวิต การเกิด การเปลี่ยนไปก็เอา มีความทุกข์กระทั่งดับทุกข์กระทั่งเป็นนิพพาน มันก็รวมเรียกด้วยคำสั้นๆคำเดียวว่า มันเป็นเรื่องของชีวิต.

นี้เรียกว่าพูดกันในแง่ของนามธรรม ในทางจิตใจ แต่ถ้าพูดในแง่ของวัตถุ นั้นมันแคบนิดเดียว คือทางวัตถุ ทางชีววิทยา เค้าถือว่าชีวิตนี้ คือความที่เซลล์(cell)หนึ่งๆ มันยังไม่ตาย ยังมีความสดอยู่ในศูนย์กลางของเซลล์ ยังทำหน้าที่ของเซลล์อยู่ แต่ละเซลล์ละเซลล์ ถ้าเซลล์นี้ยังสดอยู่ เค้าก็เรียกว่า มีชีวิต นี้มัน...มันไม่มีความอะไรสำหรับธรรมะ แล้วมันก็ไม่ใหญ่โตอะไร เป็นของธรรมดา.

คำว่าชีวิต ไม่ใช่สักว่าความสดอยู่ของเซลล์แต่ละเซลล์ ในร่างกายของคน เราพูดชีวิตในทางภาษาธรรม ซึ่งหมายถึงนามธรรมที่ไม่เป็นวัตถุ ไม่เป็นเรื่องทางวัตถุ แต่เป็นเรื่องทางนามธรรม ในชีวิตทุกรูปแบบนี้เราก็จะแจกไปได้ว่า มันมีอะไรบ้าง และว่ามีความทุกข์ มีเหตุให้เกิดทุกข์ มีความดับทุกข์และพาให้ถึงทางดับทุกข์ ที่เรียกว่า อริยสัจ ๔ นี้ก็เป็นเรื่องของชีวิต ในหนึ่ง มุมหนึ่งๆ เท่านั้น และพระพุทธเจ้าท่านทรงเห็นว่า ทั้งหมดนี้มันก็เป็นธรรมดา จึงตรัสเรียกว่าโลก คล้ายกับจะตรัสบอกว่า ไอ้โลกน่ะ ไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องความทุกข เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ และทางให้ถึงความดับทุกข์.

ทีนี้เราฟังคำของพระองค์ ก็ชักจะงงๆ เพราะเราพูดกันแต่ภาษาคน ว่าโลกทั้งโลกหรือทุกๆโลกเนี่ยะ มันใหญ่กว้างมโหฬาร ทำไมจะมาอยู่ในร่างกายที่ยาวเพียงวาหนึ่งหนาคืบหนึ่งกว้างศอกหนึ่งนี้ได้ เนี่นยะคือเรื่องที่ต้องการให้เข้าใจกันต่อไปในวันนี้ ว่าในกายที่ยาววาหนึ่งนี้ มันมีอะไรในนั้นหมด มีโลกทุกรูปแบบ ความทุกข์ก็อยู่ในนั้น ความดับทุกข์ก็อยู่ในนั้น ในกายที่ยาววาหนึ่งเท่านั้น ก็มีวัฏสงสาร ก็อยู่ในนั้น มีนิพพาน ก็อยู่ในนั้น โลกทั้งหมดและความดับแห่งโลกทั้งหมด ก็มีอยู่ในนั้น อยู่ในร่างกายของเราที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ เนี่ยะ-เรียกว่ามันน่าสนใจสักเพียงไร.

นี้ใครเคยเห็นเคยรู้สึก ว่าอะไรๆมันอยู่ในร่างกาย ที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้บ้าง? ความรู้สึกของคนทั่วไป เห็นร่างกายเป็นเพียงร่างกายเน่าหนอน ไม่เท่าไหร่ก็ตายเอาไปเผาเอาไปฝัง หารู้ไม่ว่าในร่างกายนั้นมันมีอะไรหมด มีโลกทั้งหมด มีธรรมทั้งปวง.

ธรรมทั้งปวง ที่ว่าตัวธรรมชาติก็ดี ตัวกฏของธรรมชาติก็ดี หน้าที่ตามธรรมชาติก็ดี ผลที่เกิดจากหน้าที่ตามธรรมชาติก็ดี รวมอยู่ในร่างกายที่ยาวสักวาหนึ่งนี้เท่านั้น ขอท่านทั้งหลายจงได้สนใจ ในสิ่งที่เรียกว่าร่างกาย อันยาวสักวาหนึ่ง หนาคืบหนึ่ง กว้างสักศอกหนึ่งนี้เท่านั้น ว่าในนี้มันเป็นโครงสร้างทั้งหมดของสิ่งเรียกว่าชีวิต ทั้งทาง...ฝ่ายรูปธรรม และฝ่ายนามธรรม.

จักรวาล ใช้คำนี้ดีกว่า มัน...มันกว้างขวางใหญ่โตดี จักรวาลแห่งชีวิต มันอยู่ในร่างกายที่ยาวสักวาหนึ่ง หนาสักคืบหนึ่ง กว้างสักคืบหนึ่งนี้เท่านั้น ในร่างกายยังเป็นๆไม่ใช่ร่างกายตาย มีอะไรให้ศึกษามากมายเหลือประมาณ ยิ่งกว่าโรงงานหรือโรงจักรกลอะไรใหญ่โตมหารในโลกสมัยนี้ ก็ไม่น่าสนใจน่าอัศจรรย์เท่ากับร่างกายนี้ เราจะศึกษาทุกอย่างจากร่างกายนี้ โดยไม่ต้องไปสนใจเรื่องนอกไปจากร่างกายนี้ ศึกษาตั้งแต่ ก ข ก กา ของพุทธศาสนาไปจนถึงจุดสุดท้ายของพุทธศาสนา คือนิพพาน จากร่างกายนี้ ร่างกายยาววาหนึ่งนี้ เราใช้เป็นที่ศึกษาตั้งแต่ต้น จนจบ.

เรามันคิดแต่จะอ่านหนังสือ คิดแต่จะไปถามคนนั้นไปถามคนนี้ เพราะคิดว่าไอ้เรื่องต่างๆมันอยู่นอกร่างกายนี้ เช่นนิพพาน อันนี้มันรู้สึกว่ามันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันอยู่เหนือโลก หรือว่ามันยังอีกนาน เป็นกัปเป็นกัลป์ กว่าจะบรรลุนิพพาน มองไม่เห็นว่า แม้แต่เรื่องนิพพานก็ต้องศึกษาจากร่างกายนี้ และอาจจะหาพบได้ในร่างกายนี้ อย่างน้อยก็มองเห็นได้ ว่าเมื่อดับทุกข์ลงไปเมื่อใด นั่นแหละก็เป็นนิพพานที่นั่น เมื่อนั้นที่นั่น ไม่ได้ตั้งใจจะศึกษากันอย่างนี้ ดังนั้นเราจึงไม่รู้ธรรมะ จะบวชมากี่สิบพรรษามันก็ยังไม่รู้ธรรมะ เป็นอุบาสกอุบาสิกากันมากี่สิบปี ก็ไม่รู้ธรรมะ เพราะเหตุว่าไม่รู้จักศึกษา ลงไปในสิ่งซึ่งมันเป็นโครงสร้างทั้งหมดของธรรมะ.

จะเรียกว่าเป็นจักรวาลของธรรมะก็ได้ ร่างกายนี้เป็นจักรวาลของธรรมทั้งหมด ก็ได้ ร่างกายนี้เป็นจักรวาลของชีวิต ก็ได้ ทุกสิ่งมันรวมอยู่ที่ร่างกายนี้ ถ้าพูดให้ชัดกว่านี้เค้าก็จะพูดว่า มันรวมอยู่ที่ใจ ที่มีอยู่ในร่างกายนี้ แต่ใจมันมีตามลำพังไม่ได้ มันต้องมีร่างกายด้วย จึงเอาร่างกายเข้าไปด้วย ร่างกายที่ยังเป็น ยังมีจิตมีใจเนี่ยะ ขอให้ถือเอาเป็นที่สำหรับศึกษาธรรมะทั้งหมด ชีวิตทั้งหมด แล้วก็จะรู้ธรรมทั้งหมด แล้วก็จะดับทุกข์ได้ทั้งหมด.

อย่าไปคิดถึงข้างนอก ไปคิดถึงผีสางเทวดาข้างนอก แล้วยิ่งไปกันใหญ่ ถ้าอยากจะมีผีสางเทวดาบ้าง ก็มีอยู่ในร่างกายนี้ จะหาพบผีสางเทวดาพรหมโลกอะไรต่างๆทั้งหมด ได้จากร่างกายนี้ มียาวสักวาหนึ่งนี้ ขอให้ค่อย กำหนดกันต่อไปให้สำเร็จประโยชน์ ในการที่อาตมาต้องการจะให้ท่านทั้งหลาย รู้จักไอ้ตัวโครงร่างทั้งหมด ของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ หรือชีวิต ในร่างกายนี้.

ในชั้นแรกนี้ให้สำนึกถึงพุทธภาษิตที่ตรัสว่า บุรุษนี้ประกอบไปด้วยธาตุ 6 นี้เป็นหลักอันแรก เปรียบดังกำหนดไว้ ตราไว้ก่อน เป็นข้อต้น.

เข้าใจว่าทุกคน หรือหลายคน คงจะได้ยิน เคยได้ยินคำนี้มาแล้ว ว่าบุรุษนี้ ประกอบไปด้วยธาตุ 6 ทีนี้ธาตุ 6 อะไรบ้าง? บางคนก็รู้บางคนก็ยังไม่รู้ ที่ยังไม่รู้ก็รู้เสียว่า ธาตุ 6 นั้นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็อากาศ แล้วก็วิญญาณ ธาตุดินธาตุน้ำธาตุลมธาตุไฟ นี้ก็เรียกว่าเป็นธาตุฝ่ายวัตถุ ฝ่ายรูปธาตุ ทีนี้วิญญาณนั้นเป็นฝ่ายนามธรรม คือไม่ใช่รูป ส่วนอากาศธาตุหมายถึงที่ว่างนี่ มันก็ไม่ควรจะเรียกว่ารูปหรือไม่ใช่รูป เรียกมันว่าอากาศก็แล้วกัน.

ดูให้เห็น ว่าร่างกายยาววาหนึ่งนี้ มีธาตุดินธาตุน้ำธาตุลมธาตุไฟ อยู่อย่างไร? ธาตุอากาศอย่างไร? มีธาตุวิญญาณอย่างไร? ร่างกายของเราประกอบไปด้วยธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมนี้มันเป็นส่วนเนื้อหนังร่างกายเลือด ที่เป็นส่วนร่างกาย ประกอบอยู่ด้วยร่างกายด้วยเนื้อด้วยเลือด.

ทีนี้วิญญาณนั้นมันก็เป็นเรื่องของธาตุอีกธาตุหนึ่ง คือธาตุที่รู้สึกอะไรได้ นี้เป็นธาตุที่ค่อนข้างลึกซึ้ง เด่วก็ต้องค่อยๆทำความเข้าใจ. ทีนี้ธาตุอากาศนั้นเป็นที่ว่าง(space) หมายถึงที่ว่างสำหรับสิ่งอื่นตั้งอยู่ หมายความว่าธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม ต้องตั้งอยู่บนที่ว่าง หรือในที่ว่าง ถ้าไม่มีที่ว่างมันก็ไม่รู้จะไปตั้งอยู่ที่ไหน ถึงต้องมีที่ว่างให้ตั้ง มันจึงตั้งอยู่ได้.

ทีนี้มันตั้งอยู่ได้ เป็นดินน้ำลมไฟ มันประชุมกุมกันเข้า ทำให้เกิดสิ่ง ที่จะเป็นที่ตั้งที่อาศัยของวิญญาณ วิญญาณจึงทำหน้าที่ในร่างกายนี้ได้ เราย่นดูไปตามลำดับ.

ธาตุดิน หมายถึง ไอ้สิ่งที่มีคุณสมบัติกินเนื้อที่ มันแข็ง มีคุณสมบัติที่มันมีการกินเนื้อที่ หรือทำให้เกิดความรู้สึกว่าแข็ง เป็นก้อนขึ้นมา นี้เรียกว่าธาตุดิน เห็นได้ง่ายที่ผมขนเล็บฟันหนัง เป็นต้น นี่เป็นธาตุดิน.

ทีนี้ ธาตุน้ำ คือคุณสมบัติที่มันเหลว ไหลได้ แต่ว่าเกาะกุม คือจับกลุ่มอยู่เสมอ การที่อะไรไม่กระจัดกระจายกันออกไป นี่ก็เพราะมีธาตุๆหนึ่ง มีหน้าที่ทำการเกาะกุม น้ำนี่มันเกาะกุมตัวเองกันอยู่เป็นน้ำ คุณสมบัติที่เกาะกุมตัวเองนั่นแหละ เป็นความหมายคำว่าธาตุน้ำ มันไหลได้มันเปลี่ยนรูปได้ มันไม่ยอมสลัดจากกันมันก็ไหลไปด้วยกัน เพราะการเกาะกุม เพ่งดูเฉพาะคุณสมบัติที่เป็นการเกาะกุมนี่ ที่เรียกว่าธาตุน้ำ ในร่างกายเรานี่เห็นได้ที่ว่าเลือด น้ำเหลือง น้ำตา น้ำหนอง อะไรต่างๆที่เป็นของเหลว แต่ให้เพ่งดูเฉพาะที่มันมีลักษณะเกาะกุม หรือเหลว ไหลได้.

ทีนี้ ธาตุลม ก็คือสิ่งที่มีคุณสมบัติระเหย หรือขยายตัว คือพวกแก๊ซทั้งหลาย ลม(air)นั้นไม่ใช่ที่ว่าง(space) ถ้าลมมันมาอยู่ในที่ว่าง มีสิ่งที่เรียกว่าลม เป็นธาตุลมอยู่ มันขยายตัว มันก็เลยพัดไปได้(wind) เดี๋ยวนี้เราเรียกกันสับสนกับคำว่า อากาศ(space) ก็มักจะเรียกสิ่งนี้ว่าอากาศ เสีย. อย่าเอาไปปนกันให้ยุ่ง ธาตุลมนั้นไม่ใช่อากาศ ธาตุลมก็เป็นธาตุๆหนึ่งที่มีคุณสมบัติ ระเหยขยายตัว.

ทีนี้มาถึง ธาตุไฟ ก็คือธาตุที่มีคุณสมบัติ เผาไหม้ คือมันมีอุณหภูมิ มีความร้อน แล้วมันก็มีการเผาไหม้ สิ่งใดมีการเผาไหม้ ก็มีคุณสมบัติของธาตุไฟ.

ทีนี้เราก็ดูสิว่าในร่างกายเราเนี่ยะ มันมีธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม อย่างไร? เนื้อของเราสดๆปาดเอามาสักก้อนหนึ่ง เราก็จะพบว่าไอ้ส่วนที่มันเป็นเส้นใย แข็ง นั้นเป็นธาตุดิน ที่ในเนื้อในก้อนเนื้อนั้นก็มีส่วนเป็นน้ำ ก็เป็นธาตุน้ำ ในก้อนเนื้อชิ้นนี้ก็มีส่วนที่ระเหยได้ ขยายตัวได้นี่เป็นแก๊ซ เป็นธาตุลม และในเนื้อที่ยังเป็นๆอยู่นี้มันมีอุณหภูมิ มีความร้อน จึงเรียกว่าเป็นธาตุไฟ  นี้ต้องเอากันที่คุณสมบัติ อย่าเอาง่ายๆเพียงปรากฏการณ์หยาบๆ ว่าเนื้อก็ต้องเป็นธาตุดิน เลือดแล้วก้เป็นธาตุน้ำ อย่างนี้มันไม่ถูก ถ้าจะพูดให้ถูก อย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้ว ก็ต้องเอาที่คุณสมบัติของมัน คุณสมบัติแข็งกินเนื้อที่ก็เป็นธาตุดิน คุณสมบัติเหลว ไหลได้เกาะตัวกัน เกาะกุมกันอยู่เสมอ เรียกว่าธาตุน้ำ ระเหยได้ขยายตัวได้ก็เป็นธาตุลม เผาไหม้ได้ก็เป็นธาตุไฟ.

เมื่อเราจะเอาเลือดมาสักชามหนึ่ง เข้ามาพิจารณาดู แล้วก็จะพบว่าในเลือดนั้นก็มีธาตุดิน คือส่วนที่จะจับตัวกันแข็งเข้าเป็นของแข็ง ส่วนนั้นมันเป็นธาตุดิน และส่วนหนึ่งก็เป็นธาตุน้ำ ที่รองรับที่เป็นธาตุดินนั้นอยู่ ในเลือดนั้นมันมีส่วนที่เป็นน้ำใส แล้วก็มีเยื่อเนื้อตัวเลือด แล้วมันก็ยังมีการระเหยและขยายตัว เป็นธาตุลม และในเลือดชามนั้นมันก็มีอุณหภูมิ คือความร้อนซึ่งเป็นธาตุไฟ.

บางทีเราจะดูแม้แต่กระดูกชิ้นหนึ่ง ไอ้ส่วนเป็นน้ำมันก็มีอยู่ในกระดูกนี่ แต่มันน้อย ส่วนที่เป็นเนื้อแข็งมันมีมาก ส่วนที่เป็นแก๊ซระเหยได้ในกระดูกที่เป็นธาตุลมนั้นมันก็มี แล้วกระดูกของคนเป็นๆมันก็มีอุณหภูมิ แล้วมันก็มีธาตุไฟอยู่ในกระดูก.

ถ้าพูดกันอย่างละเอียดแล้ว มันก็มีธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม แทรกไปอยู่ในที่ในทุกๆส่วน และจะพูดกันง่ายๆอย่างภาษาง่ายๆ ก็ชี้ไปที่ว่า เนื้อนั่นแหละเป็นธาตุ...เนื้อและกระดูกนี่เป็นธาตุดิน เลือดหนองนี่เป็นธาตุน้ำ มีลมหายใจเป็นธาตุลม หรือว่าความร้อน ไฟมันย่อยอาหารนี้เป็นต้น นี่เป็นเป็นธาตุไฟ นี้ก็ถูกเหมือนกัน เมื่อพูดกันหยาบๆ และถ้าพูดกันให้ละเอียดแล้ว เล็งกันถึงคุณสมบัติคุณสมบัติ เรารู้กันเสียทีว่าในกายที่ยาวสักวาหนึ่งนี้ ก็มีดินน้ำลมไฟ 4 ธาตุ เป็นเรื่องร่างกาย ผสมกันรูปนั้นเป็นเนื้อเป็นผมขนเล็บฟันหนัง ผสมกันในรูปนี้ เป็นเลือดน้ำมูกน้ำลายน้ำหนอง ผสมกันรูปนู้นกลายเป็นส่วน อากาศ เป็นลมหายใจ ผสมกันอย่างนั้นอย่างนี้ก็เป็นธาตุไฟ ที่มีความอบอุ่นอยู่ในร่างกาย ดินน้ำลมไฟผสมกัน ได้ทุกรูปแบบ ในรูปแบบที่แตกต่างกัน.

มองดูให้ดี ให้เข้าใจเรื่องดินน้ำลมไฟ ที่มีอยู่ในร่างกายนี้ก่อน แล้วทีนี้ก็เลยไปอีก 2 ธาตุ คือ

อากาศธาตุ กับ วิญญาณธาตุ อยากจะพูดวิญญาณธาตุก่อน อันนี้มันแปลก มันตรงกันข้ามกับรูปธาตุ มันไม่เหมือนกับดินน้ำลมไฟ มันเป็นธาตุอะไร? เพราะยากที่จะเรียก ท่านก็เรียกว่าวิญญาณธาตุ แปลว่า ธาตุสำหรับจะรู้สึก รู้แจ้ง วิญญาณธาตุแปลว่า ธาตุสำหรับจะทำความรู้สึก เนี่ยะ อันนี้มันจะเป็นจิตใจ นี้มันเป็น 5 ธาตุขึ้นมาแล้ว.

ทีนี้ทั้ง 5 ธาตุนี้มันอาศัยอยู่ในที่ว่าง และธาตุว่างนั้นคือ อากาศธาตุ ฉะนั้นดูให้เห็น ธาตุทั้ง 6 ที่ประกอบกันเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าดูแบบหยาบๆจะไม่เห็นไอ้ธาตุว่าง ไอ้ดินน้ำลมไฟที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายนี้ ให้ร่างกายนี้เป็นที่อาศัยแห่งวิญญาณนี่ ทั้งร่างกายและวิญญาณ วิญญาณธาตุน่ะ มันตั้งอยู่บนที่ว่าง ไอ้เรื่องที่ว่างนี้ทำให้เกิดปัญหาเถียงกันยุ่งยาก ก็ลองคิดดูว่า ถ้าเอาสิ่งมีอยู่นั้นออกไปเสีย มันก็เหลือที่ว่าง เพราะเอาธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ออกไปเสีย มันจะเหลือที่ว่าง อันนั้นก็เป็นธาตุอันหนึ่ง พวกฝรั่งเค้าชอบเรียกไอ้ธาตุว่างนี่ อีเธอร์(ether2) จะถูกหรือไม่ถูกก็ไม่ทราบ แต่พวก

2https://www.facebook.com/varayogajourney/photos/a.899949820547921/878277906048446/?type=3

ฝรั่งเค้าแปลกันอย่างนั้น เค้าเรียกกันอย่างนั้น ถ้าอีเธอร์เป็นตัวเป็นตนอะไรอีก ก็ไม่ใช่ธาตุว่าง แต่เค้าเล็งถึงข้อว่า ไอ้ที่ธาตุอีเธอร์นั้นน่ะ เป็นที่รองรับสิ่งทั้งปวง ถ้าถามว่าโลกทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนอะไร? เค้าบอกว่าตั้งอยู่บนอีเธอร์ ถ้าถามพวกเราว่าโลกทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนอะไร? เราก็ตอบว่า ตั้งอยู่บนที่ว่าง สากลโลกและทุกโลกนี้ตั้งอยู่บนอะไร? เราตอบเค้าว่าตั้งอยู่บนที่ว่าง หรืออวกาศ(space) แต่พวกฝรั่งเค้าแปลคำนี้ว่าอีเธอร์(ether) เค้าจึงมักจะพูดว่า ไอ้โลกนี้มันตั้งอยู่บนสิ่งที่เรียกว่า อีเธอร์(ether).

         เราจะไม่มาทะเลาะกันในส่วนนี้ เราจะพูดให้มันไปกันได้ว่า ไอ้โลกนี่ ตัวธาตุทั้งหลายที่เป็นรวัตถุนี่ มันต้องตั้งอยู่บนอะไรสักอย่างหนึ่งล่ะ เราสมัครที่จะพูดว่าตั้งอยู่บนที่ว่าง(space – อากาศธาตุ)หรืออยู่บนความว่าง ทุกอย่างมันตั้งอยู่บนที่ว่าง แม้วัตถุสิ่งของชิ้นหนึ่งๆเนี่ยะ มันต้องมีที่ว่างให้มันตั้ง ถ้าไม่มีที่ว่าง มันก็ตั้งไม่ได้.

ไอ้ที่ว่างเนี่ยะมีความหมายมาก ไปทางภาษาคนภาษาธรรม มีความหมายเข้าใจยาก ค่อยๆศึกษากันต่อไป เดี๋ยวพูดเป็นเรื่องวัตถุ เป็นเรื่องเกี่ยวกับวัตถุ มันต้องเป็นที่ว่าง จึงจะวางอะไรลงไปได้ ถ้ามันมีอะไรอยู่ก่อนแล้วมันก็วางลงไปไม่ได้ หรือว่าเราจะเข้าไปอยู่ในบ้านในเรือนในห้องนี่ มันต้องว่าง เราจึงจะเข้าไปอยู่ได้ หรือจะเอาน้ำใส่ลงไปในขวด ขวดนั้นมันต้องว่าง น้ำจึงจะลงไปได้ นี้เราทำไมไม่มองว่า ไอ้ทุกสิ่งมันต้องตั้งอยู่ในที่ว่าง หรือบนความว่าง ในที่นี้ก็ให้มองไปในทางที่ว่า รดินน้ำลมไฟ 4 ธาตุ ที่ประกอบกันเป็นร่างกายเรานั้น มันต้องตั้งอยู่บนที่ว่างหรือความว่าง ที่เรียกในที่นี้ว่า อากาศธาตุ.

เมื่อมีที่ว่างให้ตั้ง ไอ้ดินนำลมไฟมันก็ตั้ง เมื่อดินน้ำลมไฟมันก็ตั้งแล้ว มันก็ปรุงกันเข้า ประชุมกุมรุมกันเข้า ปรุงกันเข้า เพื่อให้เป็นรูปกายนี่ เพื่อให้เป็นรูปกาย เมื่อมันเป็นรูปกาย สูงขึ้นเป็นระบบประสาท และวิญญาณมันก็เข้ามาทำหน้าที่ได้ นี่ฟังดูให้ดีด้วยว่า ผมขนเล็บฟันหนัง เลือดหนองลมไฟไออุ่นอุณหภูมิใดก็ตาม ประชุมกุมกันเข้าได้ที่แล้ว มันก็เกิดระบบประสาท ที่จะมีความรู้สึก ทางตาทางหุทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ คือประสาททั้ง 6 แต่ไม่ใช่ตัววิญญาณ ยังไม่ใช่ตัววิญญาณ เป็นเพียงตัวประสาท ระบบประสาททั้ง 6 หรือในทั้ง 5 ทั้ง 6 มันจะเข้าใจยาก ว่าเป็นทั้ง 5 ว่า ประสาทตา ประสาทหู ประสาทจมูก ประสาทลิ้น ประสาทผิวหนัง.

ระบบประสาทเกิดขึ้นแล้ว ก็พร้อมที่จะให้วิญญาณธาตุ เข้ามาทำหน้าที่ ที่ระบบประสาทนี้ เกิดความรู้แจ้ง ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายขึ้นมา. ฉะนั้นสิ่งที่เรียกระบบประสาทนี้ ยังไม่ใช่วิญญาณธาตุ ยังไม่ใช่จิต เค้าจัดไว้เป็นรูปธาตุอันหนึ่ง ที่แฝงกันอยู่กับธาตุดินน้ำลมไฟ ดินน้ำลมไฟเป็นระบบเนื้อหนังร่างกายล้วนๆ ทีนี้ไอ้ส่วนประสาทนั้น หมายถึงการปรุงกันเป็นพิเศษ สำหรับจะให้ไอ้วิญญาณธาตุ หรือจิตนั่นน่ะ ทำหน้าที่ของมันได้ ฉะนั้นเราจะเรียกระบบประสาทนั้นคืออวัยวะ เพื่อวิญญาณธาตุทำหน้าที่ของมันได้ หรือว่าฐานที่ตั้งของวิญญาณ ตามหลักที่พูดกันอยู่ทั่วไป ก็ถือว่า ได้ประสาทนี่ยังจัดเป็นรูปธาตุ เรียกว่า อุปทายรูป3

3https://www.facebook.com/varayogajourney/photos/a.899949820547921/878277906048446/?type=3

ความรู้อย่างนี้ไม่จำเป็นต้องถือว่า เป็นของพุทธศาสนาโดยส่วนเดียว ถ้าจะพูดจะสอนมาก่อนแล้วก็ได้ เป็นธาตุเป็นรูปในลักษณะอย่างนี้ ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสรู้ เรื่องอย่างนี้ อย่างเดียวกันนี้ แล้วก็สอนที่ไม่ขัดขวางกัน และเราจึงมีเรื่องของระบบประสาท ก็ในร่างกายนี้มีระบบประสาทขึ้นมาแล้ว ไอ้วิญญาณธาตุก็ทำหน้าที่ได้ ทำหน้าที่ทางระบบประสาท ถ้าไม่มีระบบประสาทมันก็ทำหน้าที่ไม่ได้ ไม่มีจักษุประสาท ก็ทำหน้าที่ทางวิญญาณไม่ได้ ตาทำหน้าที่ทางวิญญาณ...จักษุวิญญาณไม่ได้ ไม่มีโสตประสาท ไอ้หูก็ไม่มีก็จะให้เกิดโสตวิญญาณได้.

เรามีระบบประสาทครบแล้ว ไอ้วิญญาณธาตุก็เข้ามาทำหน้าที่โดยทางประสาทนั้นตามโอกาส เช่นเมื่อมีรูปมากระทบตา ซึ่งมีระบบประสาทอยู่ ก็เกิดจักษุวิญญาณคือเห็นรูป เมื่อเสียงมากระทบหู มีโสตประสาทอยู่ มันก็ได้ยินเสียง มันก็เกิดโสตวิญญาณขึ้นมา เมื่อกลิ่นมากระทบจมูก ซึ่งมีฆานประสาทอยู่แล้ว มันก็รู้สึกกลิ่น เกิดเป็นฆานวิญญาณขึ้นมา เมื่อรสมากระทบลิ้น มีชิวหาประสาทอยู่แล้ว มันก็เกิดความรู้สึกที่เป็นชิวหาวิญญาณขึ้นมา เมื่อมีอะไรมากระทบผิวหนัง มีกายประสาทอยู่แล้ว ก็เกิดรู้สึกที่เป็นกายวิญญาณขึ้นมา.

ส่วนคู่หลัง คือมโนกับธรรมารมณ์นี้ ไม่มีการกล่าว คือมโนกับธรรมารมณ์ ไม่มีการกล่าวในลักษณะเช่นนี้ โดยเนื้อแท้แล้วต้องมีอะไรที่คล้ายกัน คือทำให้สามารถที่จะรับอารมณ์จากภายนอกได้ ที่เรามีร่างกาย ดินน้ำลมไฟแล้วมันประชุมกันหมดส่วนแล้ว เราก็มีระบบประสาท คือแฝงอยู่ในรูปกายอันหยาบนั้น เมื่อมีระบบประสาทแล้ว มันก็อาจจะเกิดวิญญาณ คือวิญญาณธาตุทำหน้าที่ได้ทางระบบประสาทนั้นๆ ประสาทจะรู้อะไรไม่ได้ ถ้าวิญญาณนั้นๆไม่ทำหน้าที่นั้นๆ ลังระบบประสาทนี่จะไปรู้อะไรไม่ได้ รู้สึกอะไรไม่ได้ คือมันจะรู้สึกได้เพราะมันมีสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ หรือวิญญาณธาตุ มาทำหน้าที่ที่ระบบประสาทนั้น.

ดังนั้นระบบประสาทจึงถือว่ายังเป็นรูป แล้วมันก็มีอยู่ สำหรับให้จิตหรือวิญญาณ ทำหน้าที่ได้ นี้เราก็มีไอ้ส่วนใหญ่ที่ต้องรู้จักกันก่อนคือ ร่างกาย แล้วก็ระบบประสาทของร่างกาย แล้วก็วิญญาณธาตุ ที่จะมาทำหน้าที่ที่ระบบประสาทของร่างกาย วิญญาณธาตุทำหน้าที่ที่ระบบประสาทของร่างกาย อย่างลึกซึ้ง จะไม่เรียกว่าลึกลับ อย่างลึกซึ้งคือตามธรรมชาติอันลึกซึ้ง บางทีก็เป็นใต้สำนึก รู้สึกใต้สำนึก ที่เราไม่ได้มีเจตนา มันรู้สึกได้โดยไม่ต้องเจตนา.

ในร่างกายของคนเราเนี่ยะ มันมีส่วนที่เป็นใต้สำนึกก็มี ที่เป็นสำนึกก็มี ที่ใต้สำนึกคือมันรู้สึกได้เอง เช่น มันหายใจเอง หรือว่ามันทำอะไรของมันได้เอง ร่างกายทำอะไรแก้ไขป้องกันของมันได้เอง ทางอวัยวะต่างๆ เรื่องนี้มีรายละเอียดมาก ไปศึกษาเอาดูจากในเรื่องสรีระศาสตร์ แล้วจะรู้สึกอัศจรรย์ อ้า เช่นว่าอะไร ผงเข้าตา น้ำตาก็จะออกมาเอง โดยระบบใต้สำนึก เราไม่ต้องเจตนาให้น้ำตาออกมา รู้ว่ามันมีอะไรอันตรายเข้ามา ก็รีบของมันเอง เช่นว่าพอเหยียบไฟมันก็สะดุ้ง กระโดดผลุงขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องมีเจตนา อย่างนี้เป็นต้น.

มีมากมาย ให้ไปสังเกตดูว่า ไอ้ระบบใต้สำนึกเนี่ยะก็มีอยู่ แล้วบางทีมีอยู่เป็นระบบสำคัญให้รอดชีวิตอยู่ได้ หรือไม่ถึงกับเสีย...สูญเสียอวัยวะนั้นก็ได้ เป็นอันว่าเรามีร่างกาย มีระบบประสาท แล้วมีวิญญาณธาตุ อันเป็นธาตุที่ 6 สำหรับหน้าที่ที่ระบบประสาท ดังนั้นเราจึงรู้สึกในอารมณ์ได้ เราจึงคิดนึกได้ แล้วจีงกระทำยังงู้นยังงี้ได้ เพราะสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณธาตุ ที่มันทำหน้าที่อยู่ที่ระบบประสาท โดยอาศัยร่างกายเป็นเครื่องรองรับ.

แม้มันจะมีอย่างครบถ้วน ทำอะไรได้มากอย่างนี้ เราก็ยังไม่เรียกว่าตัวตน เนี่ยะมันจะประหลาดที่ตรงนี้ คือพุทธศาสนาจะไม่ยอมเรียกสิ่งที่มหัศจรรย์นี้ว่าตัวตน ร่างกายก้ไม่ใช่ตัวตน ระบบประสาทก็ไม่ใช่ตัวตน วิญญาณธาตุก็ไม่ใช่ตัวตน แต่พอมันมารวมกันเข้า แล้วมันทำอะไรได้มากเหลือเกิน กระทั่งรู้สึก คิดนึกได้ รู้จักตัดสินใจได้ ทำอะไรได้ แต่ทุกอย่างนั้นก็มิใช่ตัวตน.นระบปำ

รู้จักไอ้ความมิใช่-ตัวตน ในชั้นนี้ กันเสียทีหนึ่งก่อน ว่าอะไรมากระทบตา มีระบบประสาทมีการเห็นทางตา เกิดผัสสะ เกิดเวทนา ความคิดนึกเกิดการกระทำ ได้โดยธรรมชาติ เลยไม่เรียกว่าตัวตน ผู้อื่นเค้าจะเรียกว่าตัวตน และก็สอนกันอยู่ก่อนพุทธกาล แล้วก็แพร่หลายมาก เมื่อพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ท่านปฏิเสธไอ้สิ่งที่เค้าเคยถือกันว่าตัวตนนั่นแหละ ว่าไม่ใช่-ตัวตน ถือว่าตัวตนก็ถือไป ไอ้พวกพุทธนี่ไม่ถือว่านั่นเป็นตัวตน แม้ว่ามันจะรู้สึกคิดนึกเป็นสุขเป็นทุกข์เป็นอะไรได้.

นี่ของเรามันรู้ลึกซึ้ง ถึงกับว่ามันไม่ใช่-ตัวตน มันเป็นอิทัปปัจจยตา4 เป็นธัมมนิยามตา5 เป็น

4https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CD%D4%B7%D1%BB%BB%D1%A8%A8%C2%B5%D2&detail=on

5https://www.facebook.com/BuffalosfollowThamma/photos/a.918748571594233/1343344025801350/?type=3

ตถาตาเช่นนั้นเอง ไปสอนว่ามีตัวตนมันก็หมดพุทธศาสนา แล้วก็มีธาตุอยู่ตามธรรมชาติ ทำหน้าที่ตามหน้าที่ แล้วก็ไม่มีตัวตน ไม่เป็นสัตว์บุคคล มีแต่กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา.

         ทีนี้กระแสแห่งอิทัปปัจจยตาหรือปฏิจสมุปบาท มันไม่ได้อยู่ที่อื่น มันอยู่หรือเห็นได้ที่ร่างกายที่ยาววาหนาคืบกว้างศอกนี่เอง เกิดทุกข์ก็ที่นี่ ดับทุกข์ก็ที่นี่ เราก็จะดูกันต่อไป ซึ่งเป็นหลักสำคัญอย่างยิ่ง เราจะทบทวนกันอีกทีหนึ่งว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่า ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ที่ประกอบกันอยู่เป็นคนๆหนึ่งนี่ แล้วมันก็มีของคู่กันที่จะมากระทบ ก็คือ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏทัพพะธรรมารมณ์ อย่าฟังแต่มาพูดออกเสียง ต้องไปรู้มองเห็นตัวจริงของมัน ว่าตามีประสาท ประสาทตา แล้วก็มีรูป ครั้นมาถึงกันเข้าก็เกิดจักษุวิญญาณ หูมีประสาทเสียง เมื่อถึงกันเข้า ก็เกิดโสตวิญญาณ จมูกก็มีประสาท เมื่อกลิ่นมาถึงกันเข้ามันก็เกิดฆานวิญญาณ ลิ้นมันก็มีประสาท รสมาถึงกันเข้ากับลิ้น มันก็เกิดชิวหาวิญญาณ กายมันก็ฌมีประสาท พอสิ่งที่มากระทบกาย มาถึงเข้ามันก็เกินกายะวิญญาณ มโนคือใจมันมีอยู่ พอความรู้สึกหรืออารมณ์ทางใจมากระทบใจ ก็เรียกว่า...ก็เกิดมโนวิญญาณ.

         เพราะฉะนั้นจึงมีวิญญาณใน 6 รูปแบบ คือจักษุวิญญาณ/โสตวิญญาณ/ฆานวิญญาณ/ชิวหาวิญญาณ/กายะวิญญาณ/มโนวิญญาณ สำหรับจะเกิดที่ระบบประสาท ที่มีอยู่ที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ โดยมีรูปเสียงกลิ่นรสโผฏทัพพะธรรมารมณ์จากภายนอกเข้ามากระทบ.

         ทีนี้เรื่องมันก็จะมีต่อไปว่า เมื่อเกิดวิญญาณ ทางตาเป็นต้นแล้ว มันก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าสัมผัส ตา-รูป-แล้วก็-จักษุวิญญาณ 3 อย่างนี้ ทำงานร่วมกัน คิด-ถึงกัน แหละนั่นแหละ เรียกว่า สัมผัส ไม่ใช่ตากับรูปกระทบกันแล้วเราจะเรียกว่าสัมผัส มันเป็นไปไม่ได้ มันสัมผัสไม่ได้เพราะมันไม่มีวิญญาณ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สัมผัส เป็นตัวการที่จะสัมผัส ต้องมีตาซึ่งมีประสาทรวมอยู่ด้วย แล้วก็ต้องมีรูป คู่กับตา พอถึงกันเข้า เกิดจักษุวิญญาณ เป็นสิ่งที่ 3 และทั้ง 3 สิ่งนี้มันจึงทำหน้าที่สัมผัส ตาสัมผัสรูปด้วยจักษุวิญญาณ จึงเรียกว่ามีสัมผัสเกิดขึ้นตามธรรมชาติ พอตาเห็นรูปเกิดจักษุวิญญาณ มีการสัมผัสทางตา.

         นี้การสัมผัสทางตานี้เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อเป็นไปตามธรรมชาติแท้ๆ มันก็มีความรู้ ไม่มีการรู้ความจริงในเรื่องนี้ ตัวคนเราเกิดมาจากท้องแม่ ทารกนี้ไม่มีความรู้ดเรื่องเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ6 นี่คำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็ตรัสอย่างนี้ ทารกนี้ไม่มีความรู้ในเรื่องเจโตวิมุตติ หรือปัญญา-

         6https://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=%E0%A8%E2%B5%C7%D4%C1%D8%B5%B5%D4&detail=on

วิมุตติ เรื่องทุกข์หรือเรื่องดับทุกข์นั่นเอง ฉะนั้นเมื่อมันไปสัมผัสอะไรเข้า โดยไม่มีความรู้ มันก็เป็นการสัมผัสด้วยความไม่รู้ ฉะนั้นตามปกติคนทั่วไป จึงสัมผัสสิ่งทั้งหลายด้วยความไม่-รู้ เพราะเราไม่รู้มาแต่ในท้อง แล้วเราก็ไม่รู้กันเรื่อยๆมา แม้จนบัดนี้เราอาจจะไม่รู้ก็ได้ เรื่องเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ เพราะเรายังไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษา ตลอดเวลาเราจึงสัมผัสสิ่งทั้งปวงด้วยความไม่-รู้ นี้เป็นจุดสำคัญที่สุด ว่าเราสัมผัสสิ่งทั้งปวงในโลกนี้ด้วยความไม่-รู้ ตามที่เป็นจริงว่าสิ่งนั้นคืออะไร แล้วมันก็สัมผัสด้วยการไม่รู้ คือสัมผัสตามธรรมชาติ ก็เรียกว่าสัมผัส-โง่ พูดให้ง่ายๆ จำได้ง่ายๆว่า เราสัมผัสสิ่งต่างๆด้วยความโง่ ด้วยความไม่-รู้ ด้วยอวิชชา จึงเรียกว่าอวิชชาสัมผัส.

         ฉะนั้นรู้ไว้นะว่า ไอ้เราที่ยังไม่รู้เรื่องนี้น่ะ เราจะสัมผัสทุกสิ่ง ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจก็ตาม ด้วยอวิชชาสัมผัส คือสัมผัส-โง่ สัมผัส-โง่นี่มันจะเกิดผลอีกอย่างหนึ่ง จิตจะสัมผัส-ฉลาด ถ้าเรามีความรู้เรื่องนี้ดี เช่นเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านมีความรู้สิ่งต่างๆดี เพราะสัมผัสอะไรในโลกนี้ ท่านสัมผัสด้วยวิชชา ไอ้เรานี้สัมผัสด้วยอวิชชา เราสัมผัสด้วยสัมผัส-โง่ พระอรหันต์สัมผัสด้วยสัมผัส-ฉลาด งั้นมันก็ต้องต่างกัน การสัมผัสนั้นมันคนละรูปแบบ ดังนั้นเมื่อสัมผัสเพื่อให้เกิดเวทนาออกมา เวทนามันก็คนละรูปแบบ เราสัมผัสสิ่งหนึ่งลงไปด้วยอวิชชา เราเกิดเวทนาเข้ามาจากไอ้สัมผัส-โง่ มันก็เป็นเวทนา-โง่ สำหรับจะหลอกเราต่อไป ทีนี้พระอรหันต์สัมผัสในทุกอย่างด้วยวิชชา ด้วยความรู้แจ้งด้วยปัญญา มันก็ไม่เกิดเวทนา-โง่ มันเกิดเป็นความรู้ไปเสียว่านี่มันคืออะไร นี่มันเพื่ออะไร นี่มันทำไม จะต้องจัดการอะไร ก็ทำไปด้วยที่ควรจัด ถ้าไม่มีเรื่องจัด ก็ไม่ต้องสนใจ นี่เขาสัมผัสด้วยวิชชา ด้วยปัญญา ไอ้เรามันไม่อย่างนั้น เพราะสัมผัสแล้วมันก็ หลงไปตามเวทนา ถ้าเวทนานั้นมันน่ารักน่ายวนใจ มันก็รัก ถ้าเวทนานั้นไม่น่ารัก ไม่น่ายวนใจ มันก็โกรธ หรือถ้ามันไม่แน่ มันก็สงสัยลังเลอยู่ มันจึงผิดกัน ว่าเราสัมผัสอะไรเข้าแล้ว มันก่อให้เกิดเวทนา รักหรือโกรธ หรือสงสัยลังเล ส่วนพระอรหันต์สัมผัสสิ่งต่างๆด้วยวิชชาด้วยปัญญา มันก็ไม่เกิดเวทนาชนิดนี้ คือไม่เกิดเวทนาที่ทำให้รักหรือให้โกรธ หรือให้สงสัยลังเลอะไร.

         ดังนั้นโลกนี้มันก็ต่างกันสำหรับเรากับพระอรหันต์ โลกนี้มันมีถ้าให้เราสัมผัสแล้วรักหรือโกรธหรือเกลียดหรือกลัว หรืออะไรไปตามภาษาโง่ ภาษาอวิชชา และโลกนี้มันมีสำหรับพระอรหันต์ดังที่ว่า มันไม่ได้หลอกให้ท่านรักโกรธเกลียดกลัวอะไรได้ มันรู้ไปตามที่เป็นจริงว่า อะไรคืออะไรจะต้องทำอย่างไร ก็ทำไป ไม่ต้องทำก็ไม่ต้องทำ ฉะนั้นสำหรับคนที่ไม่รู้ ปุถุชนธรรมดาสามัญทั่วไป นี่ก็สัมผัสสิ่งต่างๆด้วยอวิชชา แล้วก็เกิดเวทนาขึ้นมา ตามอำนาจสัมผัสด้วยความโง่ จึงได้รู้สึกเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง เป็นอทุกข์ขมสุข7บ้าง ทีนี้มันก็ทำให้รักบ้าง ให้โกรธบ้าง ให้สงสัยลังเลบ้าง นี่เกิดเวทนาแล้วนะ.

         7https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B2

ร่างกายที่ยาวว่าหนึ่งนี่นะ เมื่อตะกี้มี ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสรูปรสกลิ่นเสียงเกิดจักษุวิญญาณ เป็นสัมผัสด้วยอวิชชา แล้วก็เกิดเวทนาแล้ว ในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้.

ทีนี้เมื่อเวทนาเนี่ยะ มันก็จะต้องเกิดตัณหาโดยอนุรูป คืออนุโลมกันกับเวทนานั้น ถ้ามันเวทนาที่ทำให้คนโง่นั้นหลงรัก มันก็เกิดตัณหาที่อยากได้อยากเอา อยากเป็น ถ้ามันเกิดเวทนาที่ทำให้เกลียด มันก้เกิดตัณหาที่อยากจะทำลายเสีย ความอยากมันมีอยู่อย่างเนี่ยะ อยากได้อยากเอาเข้ามานี้อย่างหนึ่ง แล้วสก็อยากทำลายเสีย อยากไม่เอาไม่เป็นนี่อีกอย่างหนึ่ง.

เวทนาของปุถุชนคนธรรมดา คือคนโง่น่ะ จะต้องทำให้เกิดตัณหา อย่างใดอย่างหนึ่ง และเวทนาของพระอรหันต์ไม่ว่าจะเกิดขึ้นมาอย่างไร เป็นเวทนาอย่างไร มันก็เป็นเวทนา-ฉลาด จึงไม่เกิดตัณหาแก่พระอรหันต์อีกต่อไป เพราะท่านฉลาดเต็มที่เสียแล้ว มันป้องกันความโง่มาตั้งแต่สัมผัสขณะเวทนา มันจึงไม่เกิดตัณหา.

ที่ตรงนี้ จะพูดเลยไปว่า เมื่อเกิดตัณหา คือความอยาก ในทางเอา หรืออยากในทางไม่เอาก็ตามเนี่ยะ มันก็จะเกิดอุปาทาน เป็นความรู้สึกว่ามีเรา-ผู้อยาก สังเกตดูให้ดีนะว่า ความอยาก รู้สึกอยากเนี่ยะ เกิดขึ้นก่อน แล้วจึงค่อยมีความหมายเป็นเรา-ผู้อยาก ตามมาอีกทีหนึ่ง นี่เป็นเรื่องทางนามธรรม มันเป็นอย่างนี้เอง มันเกิดความอยาก-ได้ แล้วเกิดความรู้สึกเป็นผู้อยากทีหลัง.

ถ้าภาษาธรรมดาภาษาชาวบ้านเขา เค้าว่ายังเป็นไปไม่ได้ ว่าไม่มีผู้อยากแล้ว ใครมันจะอยากเล่า? (แบบว่า-ไก่กับไข่-อะไรเกิดก่อนกัน-ผู้ถอดความ) มันต้องมีผู้อยากก่อนแหละ แล้วจึงค่อยมี ความอยาก นั่นพูดเรื่องภาษาชาวบ้าน ไม่ลึกซึ้ง ไม่จริง หรือไม่ถูก-กับเรื่องนี้ ที่มันลึกซึ้ง มันจริงเนี่ยะ ในจิตมันเกิดเวทนา รู้สึกถูกใจหรือไม่ถูกใจนี้ก่อน แล้วมันจึงเกิดความอยากตามเวทนา แล้วเกิดความรู้สึกเมื่อเราเป็นเจ้าของความอยาก.

ตรงนี้จะพูดให้ละเอียดขึ้นไปชั้นหนึ่ง ขอทบทวนว่าเมื่อเกิดสัมผัสแล้ว ก็เกิดเวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา แล้วมันจะเกิดไอ้ความรู้สึกอย่างอีกอันหนึ่ง ซึ่งอยู่ในตอนนี้ ที่พูดกันโดยละเอียดแล้วมันก็พูดได้ ถ้าไม่พูดละเอียดก็ข้ามไป เมื่อหลังจากเกิดเวทนาแล้ว มันก็คือเกิดสัญญา ความสำคัญมั่นหมาย ในเวทนานั้น ว่าสุขสัญญา สัญญาว่าสุข ทุกขสัญญา สัญญาว่าทุกข์ หรือเวทนานี้เป็นไปในทางเพศ มันก็เกิดสัญญาว่า ผู้หญิงสัญญาว่าผู้ชาย หรือว่ามันหลงใหลในผล มันก็เกิดสัญญาว่า-ได้ สัญญาว่า-เสีย มันเป็นความรู้สึกต่อมาจากเวทนา เช่นเรารู้สึกอร่อยเนี่ยะ มันก็มีสัญญาในความอร่อย ว่าเป็นของอร่อย มันก็ตจะเลยไปถึงว่า ไอ้หมู่นี้ของความอร่อยเนี่ยะ เป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชาย อย่างนี้ มันก็มีสัญญาว่าผู้หญิง สัญญาว่าผู้ชาย ตลอดถึงสัญญาไปทุกแง่ทุกมุม มันมีสัญญาอย่าวงนี้เกิดขึ้น ต่อมาจากเวทนา.

เพราะฉะนั้นมีสัญญาอย่างนี้แล้ว มันก็เกิดความรู้สึกอีกอันหนึ่ง เรียกว่าสัญเจตนา8 คือเจตนาครบบริบูรณ์ที่จะทำตามนั้น มันมีสัญญาว่าอะไร แล้วมันก็จะมีสัญเจตนาที่จะทำตามนั้น สัญญาว่าหญิง สัญญาว่าชาย ทางกามารมณ์เนี่ยะ จึงมีสัญเจตนาที่จะทำคสวามหมายนั้นๆ ทำตามความต้องการนั้นๆ มีสัญเจตนา จงใจที่จะทำตามสัญญานั้นแล้ว มันก็มีวิตก มีวิตก คิดเจาะจงลงไปที่สิ่งนั้น คือสิ่งที่มีเจตนา มันจะคิดลงไปที่นั่น โดยความคิดว่าจะเอา หรือจะทำอย่างไร ก็ตามเถอะแล้วแต่วิตก เมื่อมันลง เจาะจงคิดลงไปที่สิ่งนั้นแล้ว มันก็มีการใคร่ครวญอย่างละเอียดที่สิ่งนั้น โดยรายละเอียดอีกทีหนึ่ง นี้เรียกว่าวิจาร.

เมื่อมี...จะทบทวนว่า เมื่อมีเวทนาแล้ว ก็มีสัญญา มั่นหมายในเวทนานั้น ก็จะมีสัญเจตนา เจตนาที่จะทำ ตามสัญญานั้น ตามความสำคัญมั่นหมายนั้น แล้วก็มีความคิดคือวิตก แล้วก็มีวิจาร มีการใคร่ครวญ จนแจ่มแจ้งว่าจะทำกันอย่างไร.

เมื่อเกิดสัญญา ไอ้สัญญานี้จะต้องรวมไว้ในเวทนา ครั้นเกอิดสัญเจตนา เกิดวิตกวิจารเนี่ยะ มารวมไว้ในคำว่าตัณหา ตัณหามีลักษณะของสัญเจตนา คือเจตนาไปตามสัญญานั้น แล้วก็มีวิตกไปตามนั้น แล้วก็มีวิจารไปตามนั้น 3 อาการนี้รวมอยู่ในคำว่าตัณหา. ถ้าเราไม่อยากจะพูดในรายละเอียด เราพูดเพียงว่าตัณหาคำเดียวก็พอ แต่ถ้าจะพูดให้ละเอียด เป็นธรรมะอันละเอียดเราจะพูดว่า สัญเจตนา แล้วก็ตัณหา แล้วก็วิตกแล้วก็วิจาร ถ้าพูดแยกออกไปมันก็จะเป็นถึง 3 ถึง 4 ดึงเอาสัญญามาด้วย แต่ที่โดยตรงมันก็มีสัญเจตนา มีวิตกมีวิจาร นั่นแหละเป็นกิริยาของตัณหา.

พอเกิดตัณหา ก็หมายความว่ากิเลส กิเลสอย่างนี้แล้วก็เป็นสังขารขันธ์อันหนึ่งแล้ว เมื่อเป็นเวทนาก้เป็นเวทนาขันธ์ เวทนาเกิดสัญญา ก็เป็นสัญญาขันธ์ เกิดสัญเจตนา วิตกวิจารแล้วก็เป็นสังขารขันธ์.

มีตัณหาแล้ว ก็มีอุปาทาน เกิดความรู้สึกเป็นตัวเรา ยึดมั่น ในสิ่งที่อยากนั้นๆ.

สิ่งที่เรียกว่าตัณหานั้น แจกลูกไปตามอารมณ์ คือว่าตัณหาในรูปตัณหาในเสียงตัณหาในกลิ่นตัณหาในรสตัณหาในโผฏทัพพะตัณหาในธรรมารมณ์ เมื่อเป็นสัญญา8ก็แจกไปตามอารมณ์นั้น รูปะสัญญาโสตะตสัญญา จนกระทั่งธรรมสัญญา เมื่อมีสัญเจตนาวิตกวิจารก็เหมือนกัน แจกไปตามอารมณ์

8https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2_(%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98)

คือมันมีสัญญาในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏทัพพะธรรมารมณ์ มีวิตกในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏทัพพะธรรมารมณ์ มีวิจารในรูปรสกลิ่นเสียงโผฏทัพพะธรรมารมณ์ เรียกว่ามีตัณหาแล้ว เป็นสังขารขันธ์แล้ว ทีนี้ตัณหาก็ก่อให้เกิดอุปาทาน9 มีความรู้สึกเป็นตัวเรา กูอยาก กูยึดถือ นี้จะแจกไปตามวัตถุ มันเป็นที่ตั้ง หรือกิริยาอาการเป็นที่ตั้ง ว่ากามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน แม้ว่าจะยึดถือ

         9https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99

ในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏทัพพะ ก็ตาม มันยึดถือในรูปแบบของกาม หรือยึดถือด้วยทิฏฐิ หรือยึดถือด้วยสีลัพพัตตะ ยึดถือด้วยอัตตวาทุ ว่าตน มันก็เลยมีอุปาทาน หลังจากตัณหา.

         ตอนนี้ความรู้สึกว่าตัวเรา ของเรา หรือความโง่ที่สุดเกิดขึ้นอย่างเต็มที่ มีความอยากแล้วจะเกิดความรู้สึกว่า มีเรา กูอยาก มันก็เร็วอย่าง...ยิ่งกว่าสายฟ้าแลบอ่ะนะ พอเกิดตัณหา ก็เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นไปถึงกับว่า มีเรา ผู้อยาก ผู้ต้องการ เต็มที่แล้ว ก็เรียกว่าเกิดภพ อุปาทานทำให้เกิดภพ ภพคือความมีความเป็น ความมีความเป็นแห่งตัวเรา เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ตามความรู้สึกที่รู้สึกอยู่ ยึดถืออย่างมนุษย์ เป็นมนุษย์ ยึดถืออย่างเทวดา เป็นอย่างเทวดา ยึดถืออย่างสัตว์นรก เป็นอย่างสัตว์นรก ยึดถืออย่างสัตว์เดรัจฉาน ก็เป็นอย่างสัตว์เดรัจฉาน.

         อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นน่ะ เป็นเหตุให้เกิดภพ ภพคือความมีความเป็น เมื่ออุปาทานทำให้เกิดภพ ภพนั้นเป็นกรรมภพ เรียกว่ากรรมภพ ภพ...อ่า...ที่เป็นการกระทำให้เกิดภพ พอต่อมาอีกภพนั้นก็กลายเป็นวิบาก ที่เรียกเป็นภพขึ้นมาแล้ว ก็เรียกว่ามีภพ คำว่าภพนี้ มีเป็นสองขยักอยู่ว่า มันเป็นการกระทำให้เกิดภพก็มี เรียกว่ากรรมภพ และภพนั้นมีภพสมบูรณ์แล้ว มีต่อมาก็เรียกว่าวิบาก วิบากภพ มีความรู้สึกเต็มที่แล้ว มีฉันเต็มที่แล้ว ก็เรียกว่ามีชาติ ภพให้เกิดชาติ เกิดเป็นตัวตนที่สมบูรณ์ในความหมาย เกิดมีความเป็นตัวเป็นตนในความหมายที่สมบูรณ์ จนชาติอย่างนั้น ชาติอย่างนี้ เช่นเป็นชาติมนุษย์ อย่างนี้เป็นต้น ตามความรู้สึก แล้วบัญญัติกันว่าเป็นชาติอะไร.

         ทีนี้ ชาตินี่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งปวง ความแก่ความเจ็บความตาย ความประสบของไม่รัก ความพรากจากของรัก ความไม่ได้ตามใจหวัง อะไรก็ตาม มันก็จะเป็นความทุกข์ขึ้นมา เพราะมันมีชาติคือตัวตน มายืน...มายืนโรงอยู่ มันก็เลย โง่ ไอ้ตัวตน ชาติ ตัวตนนี้มาจากความโง่ ดังนั้นมันก็โง่พอ ที่จะยึดว่าความ...เอ้อ...ความชราของเรา ความแก่ของเรา ความตายของเรา อะไรเราเราเราเราเราเนี่ยะ ไอ้สิ่วงเหล่านั้นมันเป็นธรรมชาติอยู่แท้ๆ มันก็เกิดเป็นความทุกข์ขึ้นมา เป็นความแก่ ความเจ็บ ความตาย นี้เป็นของธรรมชาติแท้ๆ ถ้าจิตอย่าไปเอามาเป็นความเกิดแก่ตายของเรา มันก็ไม่ต้องเป็นทุกข์หรอก.

         จิตนี้ต้องไปโง่ เอาความแก่เจ็บตายเป็นต้น มาเป็นของฉันก่อน มันจึงจะทุกข์ เนี่ยะมันทุกข์จริงมันอยู่ตรงนี้ ทุกข์เพราะไปยึดถือเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของตน ถ้าจิตไม่ยึดถือเอาความแก่ความเจ็บความตายมาเป็นของตน ก็ไม่เป็นทุกข์ในส่วนนี้ แม้ว่ามันจะทุกข์ในเรื่องร่างกาย เจ็บป่วยไปตามแบบของความแก่ความเจ็บความตาย มันก็เป็นความเจ็บปวด เป็นทุกขเวทนาตามธรรมดา แต่ถ้าไปยึดถือเอาทุกขเวทนานี้มาเป็นของเราทีหนึ่งแล้ว มันก็ถึงที่สุดน่ะ มันเจ็บถึงที่สุด มันปวดถึงที่สุด มันทุกข์ที่สุด.

         ในพระอรหันต์ สลัดกิเลสอุปาทานได้แล้ว ร่างกายของท่านจะแก่จะเจ็บจะตาย มันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นเรื่องของร่างกาย จิตใจของท่านไม่ได้หลง ไม่ได้รู้สึก ไม่ได้เป็นไปในทางที่จะรู้สึกว่า แก่เจ็บตาย แก่ฉัน หรือของฉัน ดังนั้นท่านจึงไม่มีความทุกข์ในส่วนนี้ เป็นเพียงทุกขเวทนาดเพราะร่างกายมันเจ็บ แค่เนี่ยะ มันก็รู้สึกเป็นทุกขเวทนาตรงนั้น จิตไม่ได้เอามาถือว่าเป็นของฉัน ไม่เป็นนิมิตแห่งความตาย ไม่น่ากลัว ไม่อะไรหมด ท่านจึงไม่เป็นทุกข์ในส่วนนี้ ในส่วนที่ใหญ่จริงๆ คือทุกข์เพราะไปยึดเอามาเป็นของเรา ความแก่ความเจ็บความตายมีอยู่ตามธรรมชาติ มันก็เป็นทุกขเวทนา เด็กเล่น ยังงั้นแหละ.

         แต่พอจิตมันโง่ ไปเอาความแก่เจ็บตายมาเป็นของเรา มันก็ทุกข์ถึงที่สุด เหมือนที่เราเป็นทุกข์ ด้วยความแก่ความเจ็บความตาย แต่ให้จำง่ายๆตรงนี้ ให้จำว่า ท่านกล่าวไว้ว่า พระอรหันต์ท่านไม่ถูกลูกศรดอกที่ 2 อุปมานี้ทำให้จำง่าย คือเปรียบอุปมาว่า ถูกยิงด้วยลูกศรดอกเล็กๆก่อน เหมือนว่า เข็มแทงธรรมดาๆอย่างนี้ แล้วต่อมาถูกยิงด้วยลูกศรอันใหญ่อาบยาพิษ นี้เจ็บเท่าไหร่ ลองคิดดู ยิงด้วยลูกศรธรรมดา สะอาด เด็กเล่น อย่างเนี่ยะ แป้ะ-นี่เจ็บเท่านี้ แต่ทีนี้มีลูกศรอีกอันหนึ่งใหญ่โตแล้วอาบยาพิษด้วย ยิงพรวดเข้ามาอีก มันเจ็บเท่าไหร่ ลูกศรดอกที่ 2 ให้การเจ็บเท่าไหร่? นี่ พระอรหันต์ไม่ถูกลูกศรดอกที่ 2 นี่ ถูกแต่ดอกที่ 1 เช่นว่าความแก่เจ็บตายเกิดขึ้น มันก็ไม่ทุกข์ ก็เวทนาเหมือนกับเด็กเล่นนั่นแหละ มันไม่ยึดถือเอาเป็นความแก่เจ็บตายเป็นของกูเหมือนเรา ท่านจึงไม่ต้องทุกข์เพราะอุปาทาน ความทุกข์เพราะอุปาหังท่านไม่มี มีความทุกข์ตามธรรมดา มันก็เหมือนถูกลูกศรเล็กๆเด็กเล่น ไม่ถูกลูกศรดอกใหญ่ที่อาบยาพิษ.

         เนี่ยะ-ชาติ มีความเป็นตัวตน เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะโสกะทุกขัง อันที่เป็นความทุกข์ทั้งมวล เพราะมันมีตัวตนสำหรับ ยึดเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของฉัน ความแก่ของฉันความเจ็บของฉันความตายของฉัน อะไรๆก็ของฉัน ไอ้ทุกข์เนี่ยะ ทุกข์ใหญ่ ทุกข์จริง ทุกข์เหมือนลูกศรดอกใหญ่อาบยาพิษ ซึ่งเป็นอยู่เองตามธรรมชาติมันก็ทุกข์เท่านั้นแหละ ปุถุชนก็ถูก พระอรหันต์ก็ถูก เพราะเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังแก่เจ็บตายโดยร่างกายอยู่นั่นแหละ แต่ด้วยที่จิตใจท่านไม่ยึดถือ ฉะนั้นท่านจึงไม่มีความทุกข์ที่เนื่องมาจากแก่เจ็บตายมากเหมือนเรา เรามันมีมาก มีความทุกข์เนื่องด้วยความแก่เจ็บตายนี้มากเหลือประมาณ ซึ่งไม่มีแก่พระอรหันต์เลย เป็นพระอรหันต์น่ะไม่ถูกลูกศรดอกที่ 2 ซึ่งใหญ่โตมากเจ็บปวดมาก.

         นี้เรียกว่ามาถึงความทุกข์แล้วนะในร่างกาย ที่ยาววานี้ หนาคืบนี้ มีความทุกข์นะ ทีนี้คิดเป็นจริง ต้องการให้ดูในข้อที่ว่า ที่มันเป็นมาอย่างนี้น่ะ มันไม่ใช่ ไม่ใช่ลึกลับ ไม่ใช่พิเศษอะไร มันเป็นไปตามธรรมชาติ เกิดสัมผัสแล้วเกิดเวทนา แล้วเกิดตัณหา แล้วเกอิดอุปาทาน แล้วเกิดภพ แล้วเกิดชาติ แล้วเกิดทุกข์ ไม่ใช่ของพิเศษ หรือว่าเอาเป็นตัวตนอะไรได้ มันเป็นไปตามธรรมชาติ ทั้งหมดนี้ที่เรียกว่า ธัมมัฏฐิตตา10 เป็นไปตามธรรมชาติ ตั้งอยู่ตามธรรมชาติ เป็นตถาตา(suchness) เป็นอย่างนี้

10https://www.facebook.com/BuffalosfollowThamma/photos/a.918748571594233/1343344025801350/?type=3

เอง ถ้าเห็นความจริงข้อนี้ เห็นว่าอย่างนี้เอง เป็นไปตามธรรมชาติแล้ว มันไม่เกิดความยึดถือได้ แล้ว

ความจริงมันก็เป็นอย่างนั้น มันไม่มีตัวตนอะไรที่ไหน ในตัวตนนั้นเป็นผลของความโง่เกิดขึ้นมา โง่แล้วมายึดเป็นตัวตน เป็นของตน ไม่เห็นเป็นของธรรมชาติธรรมดา มันก็ได้มีความทุกข์เพราะยึดถือ ถ้าเห็นเป็นธรรมชาติธรรมดา เป็นตถาตา เป็นธัมมัฏฐิตตาแล้ว มันก็ไม่ได้ยึดถือ มันก็ไม่ได้เป็นทุกข์.

         เอ้า มาดูกันทีเดียวให้ตลอดอีกทีหนึ่งว่า ตั้งแต่ต้นเลยนะ เรามีร่างกาย ที่ประกอบด้วยดินน้ำลมไฟ ผมขนเล็บฟันหนัง น้ำเลือดน้ำเหลือง เป็นอะไรเป็นร่างกายขึ้นมา ด้วยธาตุทั้ง 4 ตั้งอยู่บนอากาศธาตุ คือที่ว่าง(space) แล้วไอ้ธาตุทั้ง 4 ที่เป็นร่างกายเนี่ยะ มันประชุมกุมกันเข้า ให้เกิดระบบประสาท ขึ้นมาเป็นรูป...เอ้อ...ประสาททางตา ประสาททางหู ประสาททางจมูก ประสาททางลิ้นทางกาย ครั้นมันเกิดระบบประสาทแล้ว ไอ้วิญญาณธาตุก็มีออฟฟิช(office)นั่ง ที่ทำงาน มันทำงานที่ประสาท มันก็เกิดวิญญาณได้ คือวิญญาณธาตุทำหน้าที่ของมันได้. ทีนี้มันทำงานอย่างไร?

         มันมีระบบประสาท เป็นตาหูจมูกลิ้นกายอยู่แล้ว มันก็รับรูปรสกลิ่นเสียงโผฏทัพพะ พอมันรับเมื่อไร ไอ้จักษุวิญญาณก็เกิด โสตวิญญาณก็เกิด ฆานวิญญาณก็เกิด ชิวหาวิญญาณก็เกิด กายะวิญญาณก็เกิด แล้วก็เกิดมโนวิญญาณตามแบบของมโนอีกส่วนหนึ่งด้วย นี่เราจึงมีเรื่อง อายตนะภายใน อายตนะภายนอก11แล้วก็วิญญาณ 3 อย่างนี้ ทำให้เกิดสัมผัส. คนธรรมดาทั่วไปจะสัมผัสด้วย

         11https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%B0

ความโง่ เพราะไม่รู้เรื่องวิมุตติ12 จึงสัมผัสด้วยความโง่ก็เกิดเวทนา สำหรับเป็นที่เกิดแห่งตัณหา เวท-

         12https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4

นาทำให้เกิดตัณหา โดยผ่านทางสัญญา สัญเจตนา วิตก วิจาร ตัณหาทำให้เกิดอุปาทาน เกิดภพ ภพให้เกิดชาติ ชาติให้เกิดทุกข์ทั้งปวง.

         นี่อย่าไปดูที่อื่นที่ร่างกาย ให้ดูที่ข้างใน ร่างกายที่ยาววาหนึ่ง หนาคืบหนึ่ง กว้างศอกหนึ่ง ดูให้เห็นว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ก็ยังดี ถ้าเก่งกว่านั้นก็จะเห็นว่า โอ้ย มันคือธรรมชาติ ตามธรรมชาติ ไม่มีส่วนแห่งตัวตน นี้ที่ว่าจะให้ดู จักรวาลแห่งธรรมะ จักรวาลแห่งชีวิตในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี่ ก็เพื่อดูอย่างนี้.

         อ้าว ทีนี้ก็จะดูต่อไป ถึงเรื่องสำหรับการปฏิบัติ เกี่ยวกับพระธรรมที่จะดับทุกข์ได้ ก็ต้องย้อนไปดูถึงว่า เมื่อมีสัมผัสแล้วก็มีเวทนา ครั้นมีเวทนาแล้วก็มีตัณหา ตรงนี้จะเป็นจุดที่ต้องสนใจ เพราะว่าตัณหา อุปาทานนี่ ตัณหาเกิดอุปาทาน สองอันนี้มันเป็นกิเลส ตัณหาอุปาทานเกิดขึ้นแล้วเป็นสังขารขันธ์ เป็นกิเลส ตัณหาก็คือกิเลสชนิดหนึ่ง อุปาทานก็คือกิเลสชนิดหนึ่ง ตัณหานี่แหละเป็นสิ่งที่จะแยกออกเป็น ตัณหาจะได้จะเป็น ตัณหาจะไม่เอาจะไม่เป็น  เป็นความโลภ เป็นความโกรธ เป็นความหลง แยกตัวออกมาได้ ทีนี้ก็เรียกว่า มีกิเลส เกิดทุกทีที่เกิดตัณหา และทุกคนต้องไปสังเกตดูให้ชัด เมื่อไรเกิดตัณหา จากเวทนา พอมี รู้สึกว่ามีตัณหาเกิดขึ้นแล้ว ก็ให้ดูให้ดีว่ามันเป็นกิเลสอย่างไร?

         ตัณหาเกิดทีไรมันก็เป็นกิเลสทีนั้น ทีนี้เรื่องมันก็ไปต่อไปว่า กิเลสนี้มันเกิดทีหนึ่งแล้ว มันก็จะเป็นนิสสัยปัจจัย สำหรับการเกิดอีกทีหนึ่งเหมือนกัน จะเรียกเป็นภาษาธรรมดาสามัญว่า ความเคยชินที่จะเกิดอีก กิเลสเกิดแล้วมันจะสร้างความเคยชินที่จะเกิดอีก กิเลสเกิดมาทีหนึ่งมันสร้างความเคยชินที่จะเกิดอีกให้เกิดขึ้น หน่วยหนึ่งน่ะ ความเคยชินหน่วยหนึ่งจะเกิดขึ้น แล้วกิเลสมันเกิดอีก มันก็เพิ่มความเคยชินที่จะเกิดกิเลสอันนั้นขึ้นอีกหน่วยหนึ่ง อีกหน่วยหนึ่ง อีกหน่วยหนึ่ง มันก็มากๆหน่วย มีความเคยชินที่จะเกิดกิเลสอย่างนั้นอีกมากๆหน่วย คือกิเลสจะเกิดง่ายขึ้นเพราะความเคยชินนั้น ความเคยชินที่จะเกิดกิเลสนี้ เราจะเรียกว่าอนุสัย ที่เค้าพูดกันว่านอนนิ่งอยู่ในสันดาน.

อนุสัยการนอนนิ่งอยู่ในสันดานนั้น พูดอย่างนั้นมันกระเดียดไปทางสัตตทิฏฐิ มันพูดไม่ได้ พูดได้แต่มันจะเกิดความเคยชิน แห่งการเกิดกิเลสขึ้นมาทุกทีทุกทีทุกที แม้ตัวอนุสัยเองก็เกิดดับเกิดดับเกิดดับเกิดดับ พอได้เหยื่อสำหรับกิเลสจะเกิด มันก็มีอนุสัยนี่แหละเป็นทุนที่จะเกิดกิเลส แล้วก็มีความเคยชินที่จะเกิดกิเลส เป็นต้นทุนให้เกิดกิเลส เรียกว่าความเคยชินที่จะเกิดกิเลสมันพอกพูนมากขึ้นมากขึ้น ความการเกิดของกิเลสที่มันบ่อยครั้งขึ้น บ่อยครั้งขึ้น แล้วเรามีกิเลสกี่ครั้ง มันก็เพิ่มอนุสัยเท่านั้นครั้ง แล้วอนุสัยมากขึ้นมากขึ้น ความเคยชินที่จะเกิดกิเลสมากขึ้นมันก็ง่ายยิ่งขึ้น ที่จะเกิดกิเลส ดังนั้นเราจึงเกิดกิเลสง่าย ง่ายจนป้องกันไม่ค่อยไหว ป้องกันไม่ค่อยทัน.

ถ้าถามว่าทำไมเราจึงกิเลส รักเร็วโกรธเร็วกลัวเร็วเนี่ยะ เพราะว่ามันมีอนุสัยเนี่ยะ มากเลยเร็ว มัน...มันสะสมไว้มาก ที่อนุสัยนี่มันเป็นการสะสมความเคยชิน ถ้าสะสมไว้มากมันก็แรงมาก กิริยาที่กิเลสจะออก จะเกิดกิเลสออกมาอีกใหม่ ทีนี้มันก็ง่ายและเร็ว ทีนี้กิริยาที่อนุสัยจะให้เกิดกิเลสไหลมาข้างนอกนี่ เราเรียกว่าอาสวะ13

13https://uttayarndham.org/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1/1120/%E0%B8%AD-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B0

อาสวะนี่ธรรมดาก็แปลว่า ไหล สิ่งที่ไหล เมื่ออนุสัยมากเข้ามากเข้า ความกดดันที่จะไหลออกมาข้างนอก มันก็มีมากเข้า นั้นอาสวะ คือการไหลออกของกิเลสมันก็มีมากเข้า ดังนั้นเราจึงเกิดกิเลสง่าย ความโลภง่าย ความโกรธง่าย ความหลงง่าย เพราะมีอนุสัย อัดไว้มาก ดันอยู่ข้างในไว้มาก ถ้าเราสร้างความเคยชินไว้มาก ก็เหมือนกับว่าตุ่มมีรูไหลออก ถ้าเรามีน้ำในตุ่มแต่น้อยๆ การไหลออกนั้นมันก็ไหลออกไม่แรง ถ้าเราใส่น้ำให้เต็มตุ่ม ไอ้การไหลออกทางรูนั้นมันก็จะแรง ไหลแรงหรือเร็ว ในสันดานนี้ก็เหมือนกัน ถ้ามันมีอนุสัยอัดไว้มาก อาสวะคือการไหลออกก็ง่ายและเร็ว และมาก ฉะนั้นเราจึงมีการเกิดกิเลสใหม่ ครั้งหลังๆนี่ง่ายและเร็วและมาก เพราะมีอนุสัยดันอยู่ให้ไหลออกมาเป็นอาสวะ.

อาสวะ คำนี้บางทีก็แปลว่า การหมักดอง การหมักดองนี่หมายถึงการหมัก การบูดเปรี้ยว คือเกิดแก๊ซขึ้นมาก พอเกิดแก๊ซขึ้นมากก็มีความดันมาก เหมือนเราเอาอะไรมาหมักในไหให้...ให้มันบูดนั่นน่ะจนเกิดการขยายตัวเป็นแก๊ซ ฉะนั้นจึงมีการดันออกมากเพราะความหมักหรือบูดเน่านั่นเอง ดังนั้นอาสวะนี่เป็นการไหลออกของสิ่งที่หมักไว้อย่างบูดเน่า นี่ก็เป็นอาสวะ.

กิเลสคือตัณหาเกิด เพราะเราโง่ในเวทนา เราโง่ในสัมผัส เราโง่ในเรื่องตาหูจมูกลิ้นกายใจ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏทัพพะ และวิญญาณ เราโง่มาแต่โน่น มันก็เกิดกิเลส พอเกิดกิเลสทุกที ก็เพิ่มอนุสัยทุกที อนุสัยมากขึ้นอาสวะก็มากขึ้น นั้นจึงเกิดกิเลสมากขึ้นมากขึ้นเร็วขึ้น นี่คือปัญหาของพวกเรา ที่มีอยู่ในร่างกายยาววาหนึ่งนี้ ใครเป็นอย่างนี้บ้างล่ะ?

ฉะนั้นอย่าดีแต่ฟังเทศน์ อย่าอ่านหนังสือนี่ จงอ่านร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ ยังเป็นๆนี้ อ่านเข้าไปข้างใน อ่านเข้าไปข้างใน ไปนั่งในที่เงียบสงัดสงบทำสมาธิ จิตเป็นสมาธิแล้ว ก็มองดูไปข้างในจะเห็นอย่างที่ว่านี้อย่างชัดเจน ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิมันเห็นยาก และถ้าจิตเป็นสมาธิก็จะเห็นง่าย เห็นสิ่งทั้งปวงถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่มีโอกาสมาที่ป่า ก็อยู่ที่บ้านนั่นแหละ หาโอกาสสงบสงัดเวลาไหนก็ได้ ทำจิตเป็นสมาธิแล้วก็มอง เข้าไปข้างใน ในร่างกายของตนให้เห็นความจริงข้อนี้ เนี่ยะคือตัวเรื่อง ที่จะสำเร็จประโยชน์.

เอ้า ทีนี้เรามีความทุกข์เพราะ กิเลสเกิดอยู่เสมอๆ เราต้องการดับทุกข์ เพราะหยุดกิเลสนั้นเสีย มาถึงตอนนี้ก็จะตั้งประเด็นขึ้นมาว่า เรามีความทุกข์เพราะกิเลสเกิด เราจะต้องหยุดการเกิดแห่งกิเลสเสีย เราจะทำอย่างไร? เรารู้ว่ากิเลสเกิด ไหลออกมาเป็นอาสวะ เพราะมีอนุสัยอยู่ข้างใน ฉะนั้นเราต้องมีหลักการที่จะไม่เพิ่มอนุสัย แล้วจะบรรเทาอาสวะ คือระวังไม่ให้เกิดกิเลส มีสติสัมปชัญญะพอ ไม่ให้เกิดกิเลส เมื่อไม่เกิดกิเลสก็ไม่เพิ่มอนุสัย เมื่ออนุสัยลดลง อาสวะมันก็น้อยลงลดลง คือไหลออกมาน้อย.

ทีนี้เราไม่เพิ่มกิเลส ไม่เกิดกิเลสไม่เพิ่มอนุสัย อนุสัยก็ลดลง เนี่ยะมันมีข้อที่ต้องสังเกตให้เห็นว่า การที่ไม่เกิดกิเลสครั้งหนึ่ง มันลดอนุสัยลงหน่วยหนึ่ง คือมันทำลบให้เกิดแก่อนุสัย พอเกิดอนุสัย...พอเกิดกิเลสทีหนึ่ง มันก็ทำบวกให้อนุสัย อนุสัยมันจะเกิดขึ้นหน่วยหนึ่ง ทำบวกขึ้นมาอย่างนี้ พอเราไม่เกิดกิเลสมีสติสัมปชัญญะ บังคับได้ในรายนี้ไม่ให้เกิดกิเลสเนี่ยะ มันจะไปลบอนุสัยออกเสียหน่วยหนึ่ง อนุสัยจะลดลงหน่วยหนึ่ง มันทำลบให้แก่อนุสัย อนุสัยมันก็ลดลง ลดลงจนไม่มีอนุสัยเหลือแล้ว ไม่มีอาสวะเหลือ ไม่มีอาสวะออกมา ฉะนั้นการที่จะอยู่ในลักษณะที่ที่ ไม่ให้เกิดกิเลสได้นั่นแหละ จะทำให้หมดกิเลส คือมันไม่เพิ่มอนุสัย ไม่เพิ่มความเคยชินแห่งกิเลส มันไม่มีอาสวะออกมา.

ฉะนั้นเรามีสติอย่าให้เกิดตัณหาได้ มีสติตอนไหน? ตอนที่สัมผัสนั่นแหละ ตอนที่สัมผัส อายตนะภายในภายนอกก็วิญญาณสัมผัสตอนนั้นก็ให้มีสติ อย่าให้เกิดเวทนาโง่ อย่าให้เกิดตัณหา หรือกิเลสขึ้นมา นี้เรียกว่า ไม่ให้ตัณหาเกิด หรือจะเรียกว่าตัณหา-ดับก็ได้เหมือนกัน คือมีสติเมื่อตัณหาเกิดแล้วก็ดับ แต่นี่มันช้าไป มันไม่ทัน และมันไปเพิ่มอนุสัยซะแล้ว ฉะนั้นอย่าให้ตัณหาเกิด มันก็ไม่เพิ่มอนุสัย.

ฉะนั้นการมีสตินั่นสำคัญมาก ในพุทธศาสนาจึงเน้นอย่างยิ่งว่า สตินี่จะปรารถนาในทุกกรณี จะกั้นกระแสแห่งตัณหาได้ก็ด้วยสติ สติปัฏฐาน 4 ที่เราได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอนั่นแหละ มันจะกั้นกระแสแห่งกิเลส หรือทำลายการเกิดแห่งกิเลส เมื่อสติแล้วกิเลสก็ไม่เกิด อนุสัยก็ไม่ก่อ อาสวะก็บรรเทา นี่เราอยู่โดยโพธิปักขิยธรรม14 ทั้ง 37 ก็ยิ่งดี สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 พละ 5 อินทรีย์ 5

14https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1

โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 อยู่ด้วยอาการที่เรียกว่ามีโพชฌงค์ 37 เนี่ยะ กิเลสก็ไม่มีทางจะเกิด แต่มันมีข้อเท็จจริงอยู่อย่างหนึ่งว่า อยู่ด้วยสติปัฏฐานทั้ง 4 เนี่ยะ อยู่ด้วยสติปัฏฐานทั้ง 4 น่ะแล้วจะครบทั้ง 37 เพราะเมื่อปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 อยู่นั่นน่ะ มันมีความเพียรครบ มันมีอิทธิบาทครบ มันมีอินทรีย์ครบ มันมีพละครบ มีโพชฌงค์ครบ มีมรรคมีองค์ 8 ครบ อยู่ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 และโดยเฉพาะสติปัฏฐาน 4 ตามแบบอานาปานสติ15 เรายืนยันว่าต้องเป็นสติปัฏฐาน 4 แบบอานาปานสติ อย่างที่เรา

         15https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4

สวดๆกันอยู่.

สติปัฏฐาน 4 ตามแบบมหาสติปัฏฐานสูตรนั้นน่ะ มันไปครึ่ง มันไปไกลได้ครึ่งเดียวมันหยุด หรือมันพร่า ไม่รู้จะไปทางไหน มันมากหมวดมากหมู่ ไม่รู้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรสูตรๆนี้ พูดใดเดี๋ยวเค้าก็จะบอกว่า ไม่..เป็นมิจฉาทิฏฐิอีก คือไม่เชื่อว่าสูตรนี้มัน..มันจะ ใช้ประโยชน์ได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งที่เค้าสรรเสริญกันนัก และถ้าสติปัฏฐาน 4 ตามแบบอานาปานสติสูตรล่ะก็ สมบูรณ์แน่นอน ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามนั้นเถอะ โพชฌงค์ทั้ง 37 มันจะสมบูรณ์ แล้วมันก็จะเป็นการไม่เกอิดกิเลส ไม่เพิ่มอนุสัย และบรรเทาอาสวะอยู่ตลอดเวลา เรียกว่ามีชีวิตเป็นอยู่ชอบ คือทำให้ร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้ มันเป็นอยู่อย่างถูกต้อง ไม่เกิดกิเลส ไม่เพิ่มอนุสัย แล้วก็ไม่...มันก็เป็นการปิดกั้นอาสวะอยู่ในตัว เรียกว่าเป็นอยู่โดยชอบ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในตอนสุดท้ายว่า ถ้าภิกษุเหล่านี้จะเป็นอยู่โดยชอบไซร้ โลกนี้ก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ ถ้าเป็นอยู่โดยชอบ โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์.

เป็นอยู่โดยชอบ เป็นอยู่อย่างไร? คือเป็นอยู่ด้วยสติ เฉพาะสติปัฏฐาน กิเลสเกิดไม่ได้ ไม่ก่ออนุสัย แล้วก็บรรเทาอาสวะอยู่ในตัว เมื่อเป็นอย่างนี้เรื่อยๆไป จิตนี้ จิตที่มันเคยโง่ เป็นกิเลส ประกอบอยู่ด้วยกิเลส มันก็เปลี่ยนสภาพเป็นถูกต้อง สว่างไสวแจ่มแจ้ง บรรลุถึงวิสังขาร16 คือธรรมะที่ไม่มีการ

16https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%C7%D4%CA%D1%A7%A2%D2%C3

ปรุงแต่ง มีสติ ไม่เกิดการปรุงแต่ง ตามนัยปฏิจสมุปบาท17นั้น มันก็เป็นวิสังขาร มีความเป็นพระอรหัต์เกิดขึ้น มีการบรรลุพระนิพพานปรากฏ นี้เรียกว่าเรามีสติ เป็นอยู่ชอบ ตามลำดับ อนุสัยลดลง อาสวะ

         17https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97

สิ้นไป นี้เรียกว่า เป็นไปตามลำดับ เป็นแบบการหมดกิเลส ดับทุกข์ เป็นไปตามลำดับตามลำดับตามลำดับ โดยทั่วไปมีหลักอย่างนี้ คือให้มันเป็นไปตามลำดับ เป็นอยู่โดยชอบ เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี อนุสัยลด อาสวะสิ้น.

         ทีนี้มันมีอีกแบบหนึ่ง เค้าเรียกว่าแบบฉับพลัน แบบสายฟ้าแลบ แบบนี้พวกเซน(Zen)เค้าคุยอยู่ เค้าใช้แบบสายฟ้าแลบ แบบฉับพลัน ก็คือคนที่ มันมีอะไรพร้อมบริบูรณ์อยู่มากแล้ว แล้วไปฟังพระพุทธเจ้า ตรัสคำเดียว เป็นพระอรหันต์ที่ตรงนั้นเลย นั่นเป็นแบบพิเศษนะ ไม่ได้เอามาเป็นมาตรฐานอย่างที่กำลังกล่าวนี้ คนนั้นเค้ามีอะไร มีความถูกต้อง ความสนใจต้องการปรารถนามาตามลำดับ แก่รอบแล้ว เค้าไปสนทนากับพระพุทธเจ้า สองสามคำ บรรลุพระอรหันต์ ตรงหน้าพระพุทธเจ้านั้นเลย อย่างนี้เรียกว่าแบบฉับพลัน  คือการบรรลุธรรมของเขานั้นเป็นฉับพลัน ส่วนทั่วไปที่ร้องบอกให้ฟังเนี่ยะ มันเป็นตามลำดับเรียกว่าแบบเป็นไปตามลำดับ ไม่ใช่ฉับพลัน มันจึงมีอยู่ 2 แบบ คือไปตามลำดับที่แน่นอน หรือมิฉะนั้นถ้ามันเป็นเหตุปัจจัยอย่างอื่น มันก็บรรลุฉับพลัน ไอ้แบบฉับพลันนี่ มันขึ้นอยู่กับครูบาอาจารย์ หรืออะไรหลายๆอย่าง ซึ่งจะไม่ต้องพูดก็ได้ แต่แบบที่แน่นอนนี่ ก็อย่างที่พูดมาแล้ว ที่เราจะทำได้ด้วยตัวเราเอง.

เพราะฉะนั้นเป็นอันว่า ไอ้ร่างกายที่ยาวเพียงวาเดียว หนาคืบเดียว กว้างศอกเดียว นี่มีอะไรเยอะแยะอย่างนี้ มหาศาล เป็นจักรวาลแห่งธรรมะ อยู่ในร่างกายนี้ เอ้า สรุปความกันเสียทีว่า ผู้ประสงค์ประโยชน์อันนี้ ก็มีหลักปฏิบัติที่จะสรุปได้ว่า ให้มีความเป็นอยู่ อย่างที่จะไม่เผลอสติ เป็นอยู่อย่างไร เผลอสติ อย่าไปอยู่อย่างนั้น จัดใหม่ปรับปรุงเสียใหม่ ให้เราเป็นอยู่อย่างไม่เผลอสติ เมื่อตาเห็นรูป เมื่อหูฟังเสียง เป็นต้น จะไม่เกิดเผลอสติ แล้วก็ไม่มี...ไม่มีการเผลอสติ ทุกคราวที่อารมณ์มากระทบ ทุกคราวที่อารมณ์มากระทบ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่เผลอสติ คือไม่เป็นอวิชชาสัมผัส แต่เป็นวิชชาสัมผัสเรื่อยไป จะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสิ่งที่มาสัมผัส แล้วก็ไม่หลง รัก เกิดเวทนา ตัณหา ในสิ่งที่มาสัมผัส อย่างนี้เรียกว่าไม่เผลอสติ ทุกคราวที่สัมผัสอารมณ์ ทีนี้ก็ฝึกฝนไอ้ความมีสติ ทำนองนี้ให้มันแก่กล้า ให้มันแก่กล้า อบรมการปฏิบัติให้มันแก่กล้า กระทั่งเห็นตามที่เป็นจริง ว่ามันเป็นอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งเป็นอย่างไร เห็นชัดเจนไม่มีอะไรเป็นความลึกลับสำหรับเรา เห็นความจริงตามที่เป็นจริง แม้จะลึกซึ้งอย่างไรก็เห็นตามที่เป็นจริง ไม่เป็นของลึกลับอีกต่อไปสำหรับเรา.

ทีนี้อย่าลืมว่า ทุกอย่างมันรวมอยู่ที่ ร่างกายนี้ ที่ยาววาหนึ่งนี้ หนาคืบหนึ่งนี้ กว้างศอกหนึ่งนี้ วัฏสงสารอันยาวนานก็อยู่ในร่างกายนี้ พระนิพพานก็อยู่ในร่างกายนี้ ไอ้เรื่องโลก เรื่องเกิดโลกเรื่องดับโลก เรื่องทางให้ดับโลก ก็อยู่ในร่างกายนี้ พระพุทธศาสนาทั้งหมดก็อยู่ในร่างกายนี้ ไอ้คนที่มันฟังไม่เข้าใจ มันก็ด่าเอาอีก พระพุทธศาสนาทั้งหมดมันก็อยู่ในร่างกาย.

แล้วเป็นอันว่า อาตมาได้พูดถึงเรื่องชีวิตของคนเราเป็นอยู่กับร่างกายที่ยาวสักวาหนึ่งนี้ หนาคืบหนึ่งนี้ กว้างศอกหนึ่งนี้ ทั้งหมดทั้งสิ้น ในการที่จะเกิด ในทางที่จะดับ มันมี 2 ทาง เท่านั้น ถ้าเกิดก็เกิดทุกข์ ถ้าดับก็ดับทุกข์ นี่ค้นให้ครบว่ามันจะดับได้อย่างไร?

มีสติ มีจิต ประกอบอยู่ด้วยสติ ที่ฝึกไว้อย่างคล่องแคล่ว มีสติเมื่อสัมผัสโลก ไม่โง่สัมผัสโลกให้ผิดๆ ฉลาด สัมผัสโลกอย่างถูกต้อง อยู่ตลอดเวลา กิเลสไม่เกิด ตัณหามันก็หมดเท่านั้น เรื่องมันก็จบ ความไม่มีแห่งกิเลสนั่นมันเป็นนิพพาน เราไม่มีกิเลสชั่วคราว ก็เป็นนิพพานชั่วคราว เราไม่มีกิเลสโดยสมบูรณ์ มันก็เป็นนิพพานโดยสมบูรณ์ จึงขอให้มีอย่างชั่วคราวกันบ้างก็ยังดี ควบคุมอย่าให้กิเลสเกิดได้เท่าไร เราก็อยู่กับนิพพาน ได้เท่านั้นแหละ ถ้าอยู่กับตัวกู ของกู เต็มไปด้วยกิเลสแล้ว ก็ไม่มีทางสัมผัสพระนิพพาน อย่าให้จิตเกิดตัวกู มันก็ว่างจากกิเลส มันเกิดความชินในนิพพานน้อยๆๆได้ทุกวัน ก็จะมีศรัทธามากขึ้น ในพระนิพพาน จิตจะน้อมไปในพระนิพพาน โดยง่าย และถึงที่สุดได้สักวันหนึ่ง.

เรื่องมันก็มีอย่างนี้ สำหรับที่ว่าจะให้ดู ร่างกาย ร่างกายที่เค้าว่าเน่าหนอน ไม่มีประโยชน์อะไรเนี่ยะ นั้นมันหลับตาพูด มันว่านามรูป ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะตายเน่าตายหนอนเป็นรังแห่งความทุกข์ มันว่าเอาเอง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรังอย่างนั้น ตรัสว่าทุกอย่างมันอยู่ในร่างกายนี้ ความทุกข์มันก็อยู่ในร่าวงกายนี้ เหตุแห่งทุกข์มันก็อยู่ในร่างกายนี้ นิโรธหรือนิพพาน มันก็อยู่ในร่างกายนี้ ทางให้ถึงนิพพานหรือนิโรธ มันก็อยู่ในร่างกายนี้ นั้นอย่าไปประณามร่างกายนี้เป็นเน่าเป็นหนอน ไม่มีประโยชน์อะไร ทีนี้อีกพวกหนึ่งมันเอาร่างกายนี้สำหรับสร้างกิเลส เพื่อกามารมณ์ เรื่องอะไรต่างๆนั้นมันก็บ้าไปอีกพวกหนึ่ง มันก็ใช้ร่างกายนี้ผิด ถ้าเราใช้ร่างกายนี้ถูก เราก็ใช้เพื่อรู้แจ้ง ธรรมะทั้งปวง ก้ดับทุกข์ได้เพราะรู้แจ้งธรรมะทั้งปวง ที่จะเห็นได้จากการนี้.

จึงหวังว่าท่านทั้งหลายทุกคน ต่อไปนี้คงจะรู้จักใช้ร่างกายนี้ ให้เป็นประโยชน์ ในการศึกษาธรรมะ ให้ยิ่งๆขึ้นไป ในการบรรยายนี้สมควรแก่เวลาแล้ว อาตมาขอยุติการบรรยายในวันนี้ ไว้แต่เพียงเท่านี้ เป็นโอกาสแก่พระคุณเจ้าทั้งหลาย จะได้สวดบทพระธรรม คณะสาธยายส่งเสริมกำลังจิตกำลังปัญญา ให้มากในการปฏิบัติธรรมะ ตามลักษณะที่กล่าวแล้วนี้สืบต่อไป.

https://youtu.be/7TfSyVmVEJk?si=t4ztB7VBwTzpNYlp


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น