“...ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตยอันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม
และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ
หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม เช่น
การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะทำให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย
ความเสื่อมศีลธรรม ระบอบชนิดนี้เรียกว่า อนาธิปไตย หาใช่ประชาธิปไตยไม่
ขอให้ระวัง อย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย
อนาธิปไตยเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงแก่สังคมและประเทศชาติ ระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงอยู่ได้
ต้องประกอบด้วยกฎหมาย ศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต หรือในครั้งโบราณกาลเรียกว่า
การปกครองโดยสามัคคีธรรม...”
สุนทรพจน์ของนายปรีดี พนมยงค์
แสดงในสภาผู้แทนราษฎร
วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙
(จาก) รายงานการประชุมสภาฯ)
- จากหนังสือ “ชีวิตและผลงาน ดร.ปรีดี พนมยงค์” โดย สุพจน์
ด่านตระกูล บทที่ ๑๒ ผู้ประศาสน์การ ม.ธ.ก. หน้า ๑๖๑ - ๑๖๔
“...ท่านปรีดี พนมยงค์ จึงหันมาสร้างคนพัฒนาคนเพื่อให้พร้อมที่จะออกไปรับใช้สังคม
หรือรับใช้งานอภิวัฒน์แห่งชาติ เพื่อบรรลุเป้าหมาย
คือความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติและความผาสุกของมวลราษฎรไทยทั้งหมด
ตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยและเป็นการปลูกฝังและเผยแพร่ระบอบประชาธิปไตยไปในขณะเดียวกัน
นั่นคือความคิดในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเพื่อเพาะคนไทยให้มีความรู้ความชำนาญ
ในการปกครองบ้านเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตย เพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตย
ท่านปรีดี พนมยงค์
เป็นผู้ร่างโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยและเป็นผู้จัดหาสถานที่ตั้งมหาวิทยาลัย
ตลอดจนเป็นผู้วางหลักสูตรมหาวิทยาลัย
ส่วนทุนในกาสรจัดตั้งและก่อสร้างตัวอาคารสถานที่เล่าเรียนของมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เอามาจากงบประมาณแผ่นดิน
แต่หากเอามาจากเงินค่าสมัครเข้าเรียนของนักศึกษาทั่วราชอาณาจักร ซึ่งเป็นการพอเพียงแก่การก่อสร้างอาคารสถานที่ในขณะนั้น
และแถมยังเหลือได้เก็บไว้เป็นเงินหาดอกผลให้แก่มหาวิทยาลัย โดยลงทุนตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้นชื่อ
ธนาคารเอเชีย นอกจากจะได้ดอกผลแล้ว ยังมีผลพลอยได้
คือเป็นสถานที่ฝึกอบรมปฏิบัติงานของนักศึกษาแผนกเศรษฐศาสตร์และการบัญชีด้วย
แต่เป็นที่น่าเสียใจและน่าเสียดาย
เพราะภายหลังการรัฐประหาร ๘ พ.ย. ๒๔๙๐ ธนาคารของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ไปเป็นของส่วนบุคคลกลุ่มหนึ่ง
ที่มีอำนาจอาวุธอยู่ในมือ โดยไม่ได้ค่าตอบแทนและโดยวิธีการอันสกปรก
มหาวิทยาลัยแห่งนั้น คือมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
จึงได้เกิดขึ้นและท่านปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้ให้กำเนิดของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ก็ได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ประศาสน์การเป็นคนแรก
และคนเดียว เพราะต่อมามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ได้ถูกอิทธิพลทางการเมืองปฏิกิริยาเข้าครอบงำ จึงได้เปลี่ยนตำแหน่งผู้ประศาสน์การเป็นอธิการบดี
และใช่เท่านั้นยังได้เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยเสียอีก โดยตัดคำว่า “วิชา” และคำว่า “และการเมือง”
ออก คงเหลือปัจจุบันเป็น “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์”
อักษรย่อของมหาวิทยาลัยที่เคยใช้ “ม.ธ.ก.” เปลี่ยนเป็น “ม.ธ.”
ความเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ภายหลังรัฐประหาร ๘ พ.ย. ๙๐ ดังกล่าวนี้
มีความมุ่งหมายที่จะลบชื่อท่านปรีดีฯออกเสียจากฐานะผู้ให้กำเนิดมหาวิทยาลัยแห่งนี้
แต่ถึงกระนั้นก็หาสำเร็จไม่ เพราะนักศึกษาทุกคนที่ผ่านจากมหาวิทยาลัยโดมแห่งนี้
โดยที่ไม่ต้องมีใครไปเสี้ยมสอนแนะนำ เพราะสัจจะย่อมเป็นสัจจะอยู่วันยังค่ำ
จากบันทึกของคณะผู้จัดทำหนังสือที่ระลึก
“ธรรมศาสตร์บัณฑิต” ซึ่งได้จัดทำขึ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๒
กล่าวถึงมหาลัยแห่งนี้ไว้ว่า
รัฐบาลโดยท่านปรีดี พนมยงค์ ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ต่อสภาผู้แทนราษฎรซึ่งได้เห็นชอบด้วย และได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ ๑๗
มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ และมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ได้ให้กำเนิดเพื่ออำนวยการศึกษาวิชากฎหมาย
วิชาการเมือง วิชาเศรษฐกิจและบรรดาวิชาอื่นๆ
อันเกี่ยวกับวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองแต่บัดนั้นมา โดยให้โอนคณะนิติศาสตร์
และรัฐศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยใหม่ด้วย
มหาวิทยาลัยใหม่นี้ได้กระทำพิธีเปิดเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่
๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ซึ่งเป็นวันตรงกับวันพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
ณ ตึกโรงเรียนกฎหมายเดิม เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา
ต่อมาด้วยการจัดการของท่านปรีดี จึงในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ และ ๒๔๘๐
ได้มีพระราชบัญญัติให้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินบริเวณโรงเรียนทหาร ร.พัน ๔ ร.พัน ๕
และบริเวณคลังแสง ตำบลท่าพระจันทร์ ให้แก่มหาวิทยาลัยเพื่อดำเนินกิจการสืบมาจนบัดนี้
เพื่อให้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาแห่งนี้มีความสำนึกและจงรักษ์ภักดีต่อชาติ
ศาสนา พระมหากษัตริย์ และระบอบประชาธิปไตยอย่างไม่เสื่อมคลาย
ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จึงให้มีการปฏิญาณตนก่อนรับปริญญา
ซึ่งมีข้อความว่า
“ข้าพเจ้า
จะรักษาไว้และปฏิบัติตาม ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยบาม”
ข้าพเจ้าจะดำรงตนอยู่ในทางที่ชอบ
จะไม่ปฏิบัติผิดศีลธรรม
อันจะนำมาซึ่งเกียรติคุณแห่งมาหวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และเพื่อชาติ
ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ”
เนื่องจากท่านปรีดี พนมยงค์
มีความสำนึกในการรับใช้ประชาชนและประเทศชาติ ท่านปรีดี
จึงได้ชี้ทัศนะในการศึกษาให้นักศึกษาทั้งหลายได้เข้าใจว่า จง “ศึกษาเพื่อมวลชน”
และท่านปรีดีฯ ไม่เว้นในการที่จะเชิดชู ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างชีวิตจิตใจ
ในที่ทุกหนทุกแห่งที่มีโอกาส ดังหปรากฏในโอวาทของผู้ประศาสน์การ ท่านปรีดี พนมยงค์
ซึ่งกล่าวแก่นักศึกษาผู้ได้เรียนปริญญาโทและตรี ประจำปี พ.ศ. ๒๔๘๒
ดังมีความตอนหนึ่งว่า
“ในโอกาสที่เป็นฤกษ์ชัยแห่งการศึกษาของท่านคราวนี้
ข้าพเจ้าใคร่จะกล่าวเตือนให้ท่านมีสติ ขออย่าได้ลุ่มหลงทะนงในความดี
ซึ่งท่านได้บำเพ็ญมาแล้ว อันความดีความชอบในอนาคตนั้น
ยังจะมีให้ท่านยึดเหนี่ยวอีกไม่สิ้นสุด ท่านไม่ไกด้ทนลำบากยากเพื่อมาชงักหยุดประกอบความดี
ท่านได้อุตส่าห์ศึกษามามากหลายก็เพื่อใช้วิชาเป็นเครื่องประกอบความดีความงามต่อไป
เรื่องความดีความงามนี้ ข้าพเจ้ามิได้หมายความถึงความดีความงามเฉพาะตัวท่านแต่ละคนเท่านั้น แต่หมายถึงความดีความงามของหมู่คณะด้วย นับตั้งแต่ความดีงามของมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งเป็นสำนักศึกษาของท่าน ตลอดจนความดีความงามของ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้น ขอท่านจงแสดงตนให้เป็นที่ไว้วางใจได้ว่า ท่านจะไม่ทำลายความดีงามอย่างสูงดังกล่าวนี้ ด้วยกายวาจาใจอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่พึงตั้งตนอยู่ในวิถีทางที่จะทำนุบำรุงชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ ของประชาชนชาวไทย ให้สถิตสถาพรอยู่ชั่วกาลนาน.”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น