หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

พัชระบูรณ์ สมนึก - ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับสถาบันกษัตริย์ (2)

 

“...ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตยอันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม เช่น การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะทำให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม ระบอบชนิดนี้เรียกว่า อนาธิปไตย หาใช่ประชาธิปไตยไม่ ขอให้ระวัง อย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย อนาธิปไตยเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงแก่สังคมและประเทศชาติ ระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงอยู่ได้ ต้องประกอบด้วยกฎหมาย ศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต หรือในครั้งโบราณกาลเรียกว่า การปกครองโดยสามัคคีธรรม...”

                                                  สุนทรพจน์ของนายปรีดี พนมยงค์

แสดงในสภาผู้แทนราษฎร วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙

(จาก)  รายงานการประชุมสภาฯ)

 

- จากหนังสือ “ชีวิตและผลงาน ดร.ปรีดี พนมยงค์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล บทที่ ๑๒ ผู้ประศาสน์การ ม.ธ.ก. หน้า ๑๖๑ - ๑๖๔

         “...ท่านปรีดี พนมยงค์ จึงหันมาสร้างคนพัฒนาคนเพื่อให้พร้อมที่จะออกไปรับใช้สังคม หรือรับใช้งานอภิวัฒน์แห่งชาติ เพื่อบรรลุเป้าหมาย คือความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติและความผาสุกของมวลราษฎรไทยทั้งหมด ตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยและเป็นการปลูกฝังและเผยแพร่ระบอบประชาธิปไตยไปในขณะเดียวกัน

         นั่นคือความคิดในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเพื่อเพาะคนไทยให้มีความรู้ความชำนาญ ในการปกครองบ้านเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตย เพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตย

         ท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ร่างโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยและเป็นผู้จัดหาสถานที่ตั้งมหาวิทยาลัย ตลอดจนเป็นผู้วางหลักสูตรมหาวิทยาลัย ส่วนทุนในกาสรจัดตั้งและก่อสร้างตัวอาคารสถานที่เล่าเรียนของมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เอามาจากงบประมาณแผ่นดิน แต่หากเอามาจากเงินค่าสมัครเข้าเรียนของนักศึกษาทั่วราชอาณาจักร ซึ่งเป็นการพอเพียงแก่การก่อสร้างอาคารสถานที่ในขณะนั้น และแถมยังเหลือได้เก็บไว้เป็นเงินหาดอกผลให้แก่มหาวิทยาลัย โดยลงทุนตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้นชื่อ ธนาคารเอเชีย นอกจากจะได้ดอกผลแล้ว ยังมีผลพลอยได้ คือเป็นสถานที่ฝึกอบรมปฏิบัติงานของนักศึกษาแผนกเศรษฐศาสตร์และการบัญชีด้วย

         แต่เป็นที่น่าเสียใจและน่าเสียดาย เพราะภายหลังการรัฐประหาร ๘ พ.ย. ๒๔๙๐ ธนาคารของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ไปเป็นของส่วนบุคคลกลุ่มหนึ่ง ที่มีอำนาจอาวุธอยู่ในมือ โดยไม่ได้ค่าตอบแทนและโดยวิธีการอันสกปรก

         มหาวิทยาลัยแห่งนั้น คือมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จึงได้เกิดขึ้นและท่านปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้ให้กำเนิดของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ก็ได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ประศาสน์การเป็นคนแรก และคนเดียว เพราะต่อมามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ได้ถูกอิทธิพลทางการเมืองปฏิกิริยาเข้าครอบงำ จึงได้เปลี่ยนตำแหน่งผู้ประศาสน์การเป็นอธิการบดี และใช่เท่านั้นยังได้เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยเสียอีก โดยตัดคำว่า “วิชา” และคำว่า “และการเมือง” ออก คงเหลือปัจจุบันเป็น “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” อักษรย่อของมหาวิทยาลัยที่เคยใช้ “ม.ธ.ก.” เปลี่ยนเป็น “ม.ธ.”

         ความเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ภายหลังรัฐประหาร ๘ พ.ย. ๙๐ ดังกล่าวนี้ มีความมุ่งหมายที่จะลบชื่อท่านปรีดีฯออกเสียจากฐานะผู้ให้กำเนิดมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แต่ถึงกระนั้นก็หาสำเร็จไม่ เพราะนักศึกษาทุกคนที่ผ่านจากมหาวิทยาลัยโดมแห่งนี้ โดยที่ไม่ต้องมีใครไปเสี้ยมสอนแนะนำ เพราะสัจจะย่อมเป็นสัจจะอยู่วันยังค่ำ

         จากบันทึกของคณะผู้จัดทำหนังสือที่ระลึก “ธรรมศาสตร์บัณฑิต” ซึ่งได้จัดทำขึ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๒ กล่าวถึงมหาลัยแห่งนี้ไว้ว่า

รัฐบาลโดยท่านปรีดี พนมยงค์ ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ต่อสภาผู้แทนราษฎรซึ่งได้เห็นชอบด้วย และได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ และมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ได้ให้กำเนิดเพื่ออำนวยการศึกษาวิชากฎหมาย วิชาการเมือง วิชาเศรษฐกิจและบรรดาวิชาอื่นๆ อันเกี่ยวกับวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองแต่บัดนั้นมา โดยให้โอนคณะนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยใหม่ด้วย

         มหาวิทยาลัยใหม่นี้ได้กระทำพิธีเปิดเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ซึ่งเป็นวันตรงกับวันพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ณ ตึกโรงเรียนกฎหมายเดิม เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา ต่อมาด้วยการจัดการของท่านปรีดี จึงในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ และ ๒๔๘๐ ได้มีพระราชบัญญัติให้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินบริเวณโรงเรียนทหาร ร.พัน ๔ ร.พัน ๕ และบริเวณคลังแสง ตำบลท่าพระจันทร์ ให้แก่มหาวิทยาลัยเพื่อดำเนินกิจการสืบมาจนบัดนี้

         เพื่อให้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาแห่งนี้มีความสำนึกและจงรักษ์ภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และระบอบประชาธิปไตยอย่างไม่เสื่อมคลาย ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จึงให้มีการปฏิญาณตนก่อนรับปริญญา ซึ่งมีข้อความว่า

         ข้าพเจ้า จะรักษาไว้และปฏิบัติตาม ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยบาม”

           ข้าพเจ้าจะดำรงตนอยู่ในทางที่ชอบ จะไม่ปฏิบัติผิดศีลธรรม อันจะนำมาซึ่งเกียรติคุณแห่งมาหวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ

        

เนื่องจากท่านปรีดี พนมยงค์ มีความสำนึกในการรับใช้ประชาชนและประเทศชาติ ท่านปรีดี จึงได้ชี้ทัศนะในการศึกษาให้นักศึกษาทั้งหลายได้เข้าใจว่า จง “ศึกษาเพื่อมวลชน” และท่านปรีดีฯ ไม่เว้นในการที่จะเชิดชู ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างชีวิตจิตใจ ในที่ทุกหนทุกแห่งที่มีโอกาส ดังหปรากฏในโอวาทของผู้ประศาสน์การ ท่านปรีดี พนมยงค์ ซึ่งกล่าวแก่นักศึกษาผู้ได้เรียนปริญญาโทและตรี ประจำปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ดังมีความตอนหนึ่งว่า

ในโอกาสที่เป็นฤกษ์ชัยแห่งการศึกษาของท่านคราวนี้ ข้าพเจ้าใคร่จะกล่าวเตือนให้ท่านมีสติ ขออย่าได้ลุ่มหลงทะนงในความดี ซึ่งท่านได้บำเพ็ญมาแล้ว อันความดีความชอบในอนาคตนั้น ยังจะมีให้ท่านยึดเหนี่ยวอีกไม่สิ้นสุด ท่านไม่ไกด้ทนลำบากยากเพื่อมาชงักหยุดประกอบความดี ท่านได้อุตส่าห์ศึกษามามากหลายก็เพื่อใช้วิชาเป็นเครื่องประกอบความดีความงามต่อไป

เรื่องความดีความงามนี้ ข้าพเจ้ามิได้หมายความถึงความดีความงามเฉพาะตัวท่านแต่ละคนเท่านั้น แต่หมายถึงความดีความงามของหมู่คณะด้วย นับตั้งแต่ความดีงามของมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งเป็นสำนักศึกษาของท่าน ตลอดจนความดีความงามของ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้น ขอท่านจงแสดงตนให้เป็นที่ไว้วางใจได้ว่า ท่านจะไม่ทำลายความดีงามอย่างสูงดังกล่าวนี้ ด้วยกายวาจาใจอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่พึงตั้งตนอยู่ในวิถีทางที่จะทำนุบำรุงชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ ของประชาชนชาวไทย ให้สถิตสถาพรอยู่ชั่วกาลนาน.”



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น