...โพสต์คราวที่แล้ว - เป็นเรื่องของ ท่านปรีดี พนมยงค์ ในฐานะ ผู้ก่อตั้งสถาปนา/ผู้ประศาสน์การ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่แสดงออกถึงความยึดมั่น/เชิดชู สถาบันกษัตริย์ อย่างไร?
โพสต์นี้ - เป็นเรื่อง ท่านปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญฯที่ตนทูลเกล้าของพระราชทาน และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ทรงพระราชทานให้แก่ปวงชนชาวสยาม - ให้เป็นประชาธิปไตย...อ่านสุนทรพจน์(speech)นี้แล้ว...ท่านจะทราบทันที - ว่ามารร้าย/ผีร้ายทุนนิยมสามานย์ - ต่างแอบอ้าง สถาบันกษัตริย์/แอบอ้าวงท่านปรีดีฯ ไปกระทำการสามานย์ต่อแผ่นดิน/ประเทศนี้ กันในตอนนี้อย่างไร?
...เรื่องโพสต์ที่แล้วและโพสต์นี้ - ข้าพเจ้าได้บังอาจเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากหนังสือต้นฉบับ...ในเรื่องการเว้นประโยค/บรรทัด - เพื่อให้สามัญชนอย่างพวกข้าพเจ้าได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น...
...ในเรื่อง มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง - นั้น...มีจุดสังเกตอีกอย่างหนึ่ง...ท่านปรีดีฯได้เลือกเอาวันที่ ๒๗ มิถุนายน ในปี พ.ศ.๒๔๗๗ ที่เป็นวันที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ครั้งแรกภายหลังการประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน...ทั้งที่ท่านปรีกดีฯสามารถเลือกวันใดก็ได้...มาทำพิธีเปิดเป็นปฐมฤกษ์ ขแองมหาวอทยาลบัย-ธรรมศาสตร์ - ที่ลูกหลานกำลังบ่อนแซะยึดครอง/และบังอาจทำลายซึ่งเจตนารมณ์/อุดมการ/อุดมคติ-ของท่านปรีดีฯผู้เป็นผู้ประศาสนฯการ - เพื่อรับใช้ทุนนิยมสามานย์ตามสันดานของตน...
...ก็อ่านสุนทรพจน์ฉบับเต็ม - เป็นหลักฐานทางราชการ/เอกสารบันทึกที่เก็บไว้ที่รัฐสภา-นั่นแหละ...เป็นหลักฐานว่า - อุดมการ/อดุมคติ/เจตนารมณ์ของท่านปรีดีฯกับระบอบประชาธิปไตย และสถาบันกษัตริย์ นั้น...ยิ่งใหญ่เหนือกว่าบรรดาทาสรับใช้ทุนนิยมสามานย์ทั้งหลายที่พยายามแอบอ้าง-ทำลายล้างซึ่งกันและกัน - บน"หัว"ของประชาชนชาวสยาม ในตอนนี้.
ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส กับสถาบันกษัตริย์
- จากหนังสือ”ชีวิตและงาน ดร.ปรีดี พนมยงค์” โดย สุพจน์
ด่านตระกูล, หน้า ๒๗๐ - ๒๗๓.
- สุนทรพจน์ของนายปรีดี
พนมยงค์(ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี), แสดงในสภาผู้แทนราษฎร วันที่ ๗
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙
(จาก) รายงานการประชุมสภาฯ)
“ท่านผู้เป็นประธาน
ในวาระที่การประชุมของสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญฉบับ
พ.ศ. ๒๔๗๕ จะได้สิ้นสุดลงในวันนี้ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสเชิญชวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายให้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕
พระราชประสงค์ซึ่งมีมาแต่ก่อนพระราชทานรัฐธรรมนูญนั้น คณะราษฎรพึ่งทราบเมื่อ ๖ วัน
ภายหลังที่ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว คือเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน
ได้มีพระราชกระแสรับสั่งให้พระยาพหลพลพยุหเสนา พระยาปรีชาสรยุทธ
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาศรีสารวาจา พร้อมทั้งข้าพเจ้า
ไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และเจ้าพระยามหิธรเป็นพระราชเลขาธิการในขณะนั้น
เป็นผู้จดบันทึก มีพระราชกระแสรับสั่งว่า มีพระราชประสงค์จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ
แต่เมื่อได้ทรงปรึกษาข้าราชการมีตำแหน่งสูงในขณะนั้น ก็ไม่เคยเห็นพ้องกับพระองค์
ในสุดท้ายเมื่อเสด็จกลับจากประพาสอเมริกาได้ให้บุคคลตนหนึ่งซึ่งไปเฝ้าในวันนั้นพิจารณา
(พระยาศรีสารวาจา, ผู้เขียน) บุคคลนั้นก็ถวายความเห็นว่า ยังไม่ถึงเวลาและที่ปรึกษากลับเห็นพ้องกับบุคคลนั้น
คณะราษฎรมิได้รู้พระราชประสงค์มาก่อน การเปลี่ยนแปลงการปกครองได้กระทำโดยบริสุทธิ์
ไม่ได้ช่วงชิงดังที่มีผู้ปลุกเสกข้อเท็จจริงให้เป็นอย่างอื่น
ความจริงทั้งหลายปรากฏในบันทึกการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในวันนั้นแล้ว
และโดยที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงมีพระราชประสงค์มาก่อนแล้ว หากมีผู้ที่ทัดทาน
ฉะนั้นเมื่อคณะราษฎรได้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ พระองค์จึงพระราชทานด้วยดี
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ชาวไทย
ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นี้ และบรรดาชาวไทยทั้งหลาย
จวงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเทอดพระเกียรติของพระองค์ไว้ชั่วกาลปาวสาน
บัดนี้ผู้ก่อการขอพระราชทานรัฐธรรมนูญและผู้ที่ได้ร่วมมือช่วยเหลือ
อันประกอบเป็นสมาชิกประเภท ๒ ก็จะสิ้นสุดสมาชิกภาพลงแล้ว
ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีความจำเป็นที่จะต้องซ้อมความเข้าใจถึงหลักประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญซึ่งคณะราษฎรได้ขอพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
ว่า ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตยอันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม
และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบหรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม
เช่น การใช้สิทธิ์เสรีภาพอันมีแต่จะเกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย
ความเสื่อมศีลธรรม ระบอบชนิดนี้เรียว่า “อนาธิปไตย” (Anarchy*- ข้าพเจ้า) หาใช่ประชาธิปไตยไม่
ขอให้ระวังอย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย
อนาธิปไตยเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงแก่สังคมและประเทศชาติ
ระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงอยู่ได้ ต้องประกอบด้วย กฎหมาย ศีลธรรม
และความซื่อสัตย์สุจริต หรือในครั้งโบราณเรียกว่า การปกครองโดยสามัคคีธรรม
การใช้สิทธิโดยไม่มีขอบเขตภายใต้กฎหมายหรือศีลธรรม หรือใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริต
ไม่ใช่หลักประชาธิปไตย ไม่ใช่หลักซึ่งคณะราษฎรขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ
และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนชาวไทยนั้น
ไม่มีพระราชประสงค์ให้เป็นอนาธิปไตย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างประเทศอิตาลีเมื่อก่อนสมัยมุสโซลินี
ซึ่งประชาธิปไตยของอิตาลีในขณะนั้น เข้าขีดที่ไม่มีระเบียบ มีความอลเวง
จึงเป็นเหตุหรือให้พวกฟาสซิสต์อ้างเป็นเหตุในการสถาปนาระบอบเผด็จการในประเทศอิตาลี
ข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์ที่จะให้มีระบอบเผด็จการในประเทศไทย ในการนี้ก็จำเป็นต้องป้องกันหรือขัดขวางมิให้มีอนาธิปไตยอันเป็นทางที่ระบอบเผด็จการจะอ้างได้
ข้าพเจ้าเชื่อว่า
ถ้าเราช่วยกันประคองให้ระบอบประชาธิปไตยนี้ได้เป็นไปตามระเบียบเรียบร้อยอย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว
ระบอบเผด็จการย่อมมีขึ้นไม่ได้ ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่วมกับเพื่อนคณะราษฎรของพระราชทานรัฐธรรมนูญ
ข้าพเจ้าได้ประคับประคองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญนี้ตลอดมา
แม้ในการต่อต้านญี่ปุ่น
ซึ่งในการต่อต้านนั้นอาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องตั้งรัฐบาลชั่วคราว
แต่ข้าพเจ้าก็เลือกเอาทางที่จะตั้งรัฐบาลตามระบอบรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ ข้าพเจ้าไม่มีเหตุผลอันใดที่จะกลายมาเป็นศัตรูของประชาธิปไตย
ข้าพเจ้าสังเกตว่ามีผู้เข้าใจระบอบประชาธิปไตยโดยผิด โดยเอาระบอบอนาธิปไตยเข้ามาแทนที่
ซึ่งเป็นภัยต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้ใดเชื่อข้าพเจ้าโดยไม่มีค้าน
ข้าพเจ้าต้องการให้มีค้าน แต่ค้านโดยสุจริตใจ ไม่ใช่ปั้นข้อเท็จจริงขึ้น
ทางธรรมนั้นการกล่าวเท็จหรือมุสาวาทก็เป็นผิด ในทางการเมือง
การใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตยต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังผลส่วนรวมจริงๆ
ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว หรือมีความอิจฉาริษยาอันเป็นมูลฐานเนื่องมาจากความเห็นแก่ตน
(เอโกอิสม์) ความสามัคคีธรรมหรือระบบประชาธิปไตยอันแท้จริงจึงจะเป็นไปได้
ผู้ใดมีอุดมคติของตนโดยสุจริต ข้าพเจ้าเคารพในผู้นั้น และเราร่วมมือกันได้
ผู้ใดมีอุดมคติของตนโดยสุจริต ข้าพเจ้าเคารพในผู้นั้น และเราร่วมมือกันได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าต่างฝ่ายต่างสุจริต
มุ่งส่วนรวมของประเทศชาติ ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว
แม้แนวทางที่จะเดินไปสู่จุดหมายจะเป็นคนละแนว แต่ในอวสานเราก็พบกันได้ ข้าพเจ้าขออ้างเจ้านายหลายพระองค์
ซึ่งเดิมท่านมีแนวทางอย่างหนึ่ง และข้าพเจ้ามีแนวทางอีกอย่างหนึ่ง แต่เจ้านายหลายพระองค์นั้นท่านมีจุดหมายเพื่อส่วนรวมของประเทศชาติ
ไม่ใช่ส่วนพระองค์ ผลสุดท้ายเราก็ร่วมมือทำงานด้วยกันมาเป็นอย่างดีในการรับใช้ประเทศชาติ
และรักใคร่กันสนิทสนมยิ่งเสียกว่าผู้ซึ่งเอาประเทศชาติเป็นสิ่งกำบัง แต่ความจริงมุ่งหวังในประโยชน์ส่วนตัวมาก
ผู้ที่คอยอิจฉาริษยาเมื่อไม่ได้ผลสมหวังแล้ว
ก็ทำลายกิจการอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
แทนที่จะเสริมก่อให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติอันเป็นส่วนรวม ผู้ที่ทำการปฏิปักษ์ต่อคณะราษฎรโดยมีอุดมคติซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์
ข้าพเจ้าเคารพในความซื่อสัตย์ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากหลายที่ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ร่วมกิจการรับใช้ชาติกับข้าพเจ้า
ท่านเหล่านี้ไม่ต้องวิตกกังวล แต่ผู้ซึ่งแสดงว่าซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ในภายนอก
ส่วนภายในหวังผลส่วนตัวหรือมูลสืบเนื่องมาแต่ความไม่พอใจเป็นส่วนตนเช่นนี้แล้ว
ก็เกรงว่าผู้นั้นก็อาจหันเหไปได้
สุดแต่ว่าตนจะได้รับประโยชน์ส่วนตนอย่างไหนมากกว่า
ข้าพเจ้าหวังว่า
ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายคงจะใช้สิทธิของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจและอาศัยกฎหมายและศีลธรรมความสุจริตเป็นหลัก
ไม่ช่วยกันส่งเสริมให้มีระบอบอนาธิปไตย
ข้าพเจ้าของฝากความคิดไว้ต่อท่านผู้แทนราษฎรทั้งหลาย โดยเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติ
ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นประเทศชาติปลอดจากระบอบอนาธิปไตยอันพรั่วงพร้อมไปด้วยความสามัคคีธรรม
ระบอบประชาธิปไตยโดยพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรมนี้ เป็นวัตถุประสงค์ของคณะราษฎรที่ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ
และเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าดเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานรัฐธรรมนูญ
ข้าพเจ้าขอขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือรัฐบาลนี้ด้วยดี ขออวยพรให้ท่านทั้งหลายประสพความสุขสำราญ และในอวสานขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย อวยพรให้ระบอบประชาธิปไตยพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมตามรัฐธรรมนูญ จงสถิตสถาพรอยู่ในประเทศไทยชั่วกาลปาวสาน.”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น