หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

พุทธทาสภิกขุ - ถ้ามันเป็นพรรคการเมืองเพื่อเห็นแก่พรรคแล้ว มันเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด



สังคมที่มีความถูกต้อง

          ระบบการเป็นอยู่ การควบคุม การปกครอง ของบุคคลเหล่านั้น ที่มักจะเรียกรวมๆกันว่าระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจ, เรียกง่ายๆก็ว่าที่จะเป็นผู้ปกครองก็แล้วกัน เป็นคณะผู้ปกครอง จะเรียกว่ารัฐบาลหรืออะไรก็จะยังไม่หมดเพราะว่ามันยังมีหลายฝ่ายที่รวมกันทำหน้าที่ปกครองทุกๆระบบที่เป็นระบบการปกครอง  ระบบการควบคุมมนุษย์จะต้องถูกต้องด้วย, มนุษย์แต่ละคนมีความถุกต้องแล้ว, ระบบการควบคุมการเป็นอยู่มนุษย์จะต้องถูกต้องด้วย นี้เป็นเรื่องที่ 2 คือว่า สังคมนั้นจะต้องมีความถูกต้อง.

        ข้อแรก  แรกเริ่มก็จะต้องมีระบบเศรษฐกิจที่ถูกต้องในสังคมนั้น.
          ในสังคมมนุษย์นั้นมีระบบเศรษฐกิจที่ถูกต้องเป็นข้อแรก เพราะมันมีอิทธิพลมาก.  เขามีระบบที่อาตมาเรียกชื่อเอาเองว่าธัมมิกสังคมนิยม คนมั่งมีกับคนยากจนบวกกันเข้าแล้วทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม, เป็นระบบเศรษบกิจที่ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ แต่กลับส่งเสริมทรัพยากรของธรรมชาติ จะออกผลออกประโยชน์มาได้อย่างไร เขาก็ไม่ทำลาย, นอกจากจะเก็บเอาผลประโยชน์รนั้นแล้ว ยังส่งเสริมให้มีผลประโยชน์ยิ่งๆขึ้นไป, ต้องเป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่ทำลายทรัพยากรของธรรมชาติ, ต้องเป็นระบบที่ทำสิ่งที่มีค่าน้อยให้มีค่ามาก หรือถึงกับว่าระบบที่ทำให้สิ่งที่ไม่มีค่ากลายเป็นของมีค่า.  นี่เป็นเศรษฐกิจทางวิญญาณไปแล้ว, เศรษฐกิจทางวิญญาณทางธรรมะ ทำร่างกายหรือชีวิตที่ไม่มีค่าให้กลายเป็นของมีค่า, ร่างกายอันเน่าเหม็นก็ไม่มีค่า ตายแล้วให้ใครก็ไม่มีใครเอานี้ แต่กลับทำให้มีประโยชน์ถึงสูงสุดบรรลุมรรคผลนิพพานได้ นี่เป็นยอดเศรษฐกิจ.  เราจะต้องถือว่า พระพุทธเจ้านั้นท่านทรงเป็นยอดนักเศรษบกิจ, เป็นนักเศรษฐกิจชั้นยอด คือทำสิ่งที่ไม่มีค่าให้เป็นของมีค่าสูงสุดขึ้นมาได้, เป็นนักเศรษฐกิจชั้นยอด คือทำสิ่งที่ไม่มีค่าเป็นของมีค่าสูงสุดขึ้นมาได้.  แต่เอาละเดี๋ยวนี้ไม่ต้องถึงนั้นดอก,คนธรรมดาสามัญทั่วไปนี้ มีระบบเศรษฐกิจชนิดที่ไม่ทำลายที่มาแห่งประโยชน์ ทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลาย แต่กลับทะนุบำรุงส่งเสริม.

          ทีนี้ข้อที่สอง  มีระบบการอยู่ร่วมกัน  ระหว่างคนด้อยกับคนเด่น.
          คนยากคนจนคนพิการคนอะไรก็ตาม เป็นฝ่ายหนึ่ง, แล้วคนมั่งมีคนมีอำนาจวาสนา นั้นอีกฝ่ายหนึ่ง, บวกกันเข้าแล้วร่วมทำประโยชน์แก่สังคมมนุษย์ เพราะมีหลัก เกิด แก่ เจ็บ ตายร่วมกัน.
          ถ้าไปพูดที่เมืองนอกเมืองนา หรือว่าคนที่เขามุ่งกันแต่วัตถุนิยมแล้ว เขาคงโห่ เขาคงหัวเราะฮาโห่ เห็นเป็นเรื่องบ้าบอไปก็ได้ ว่าเป็นเรื่องที่มันทำไม่ได้.  แต่ความจริงมันก็มีอยู่อย่างนั้น ถ้าเราจะมีระบบเศรษฐกิจที่ดีไม่ให้สูญเสียไปเลยทั้งฝ่ายคนมั่งมีและคนยากจนแล้ว มันก็ต้องบวกกันเข้า เกิดประโยชน์แล้วก็ปันกันเต็มที่, แล้วทำให้มีส่วนเหลือเพื่อทำประโยชน์แก่สังคม.  อาตมาเรียกเอาเองว่าธัมมิกสังคมนิยม คือมันมันต้องเป็นระบบสังคมนิยม ต้องเอาสังคมเป็นใหญ่, เอาบุคคลเป็นใหญ่ไม่ได้ แล้วมันต้องประกอบไปด้วยความถูกต้องที่ทำให้มันอยู่กันได้ จึงต้องเรียกว่าธัมมิกะ ธัมมิกะ.
          ในโลกนี้มันต้องมีทั้งคนมั่งมีและคนยากจน; ถ้าเห็นแก่คนมั่งมี แล้วจะเอาคนยากจน; ถ้าเห็นแก่คนมั่งมี แล้วจะเอาคนยากจนไปทิ้งเสียที่ไหนเล่า? ถ้าจะเห็นแก่คนยากจน แล้วจะเอาคนมั่งมีไปทิ้งเสียที่ไหนเล่า? เอาไปทิ้งได้เมื่อไรเล่า มันก็ต้องมีทางจะประสานให้มันร่วมมือกันได้ : ผลิตประโยชน์ออกมากินใช้เพียงพอด้วยกันแล้ว ที่เหลือก็เอาไปทำประโยชน์ส่วนรวม.  นี่เรียกว่าเศรษฐกิจชั้นเลิศ.  ระบบธัมมิกสังคมนิยม อยากจะเรียกว่าสังคมนิยมตามแบบของพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไป มันต้องมีอย่างนี้ สำหรับระบบการปกครองในโลก.

          แล้วทีนี้อันถัดมา ข้อที่สาม มีระบบการเมืองที่ถูกต้อง.
          คำว่า การเมือง การเมือง เขาจะพูดกันอย่างไรก็ไม่รู้ตามปรัชญาการเมืองของเขาอาตมาไม่รู้ดอก แล้วไม่อยากจะรู้ด้วย, จะรู้แต่เพียงว่าการเมืองคือระบบที่ทำให้อยู่กันเป็นผาสุกโดยไม่ต้องใช้ศาสตรา โดยไม่ต้องใช้อาชญา, ไม่ต้องใช้ศาสตรา ไม่ต้องใช้อำนาจอะไร, เราอยู่กันได้ ตกลงได้ เข้าใจกันได้ อยู่กันด้วยความเป็นสุข สงบสุข เป็นผาสุก โดยไม่ต้องใช้ศาสตรา, นั้นแหละคือระบบการเมืองที่เราต้องการในที่นี้; แต่มันก็ต้องประกอบด้วยส่วนประกอบหลายๆอย่าง เช่นว่ามันจะต้องเป็นอย่างที่มีอยู่นี้ จะต้องมีรัฐบาล มีการบริหาร มีตุลาการ มีนิติบัญญัติ มีสภา มีตุลาการเอาละ, เรายอมรับสิ่งเหล่านี้ว่าต้องมีในระบบการเมือง แต่ขอให้มันถูกต้อง.
          ให้มีรัฐสภาหรือสภาประชาชน ที่ออกกฎหมายมาโดยถูกต้องสมควรแก่สถานการณ์จริงๆ; แต่ถ้าเอาคนโง่มาเป็นสมาชิก มันก็ทะเบาะกันไม่มีที่สิ้นสุดแหละ, มันต้องมีคนที่มีธรรมะ มีศีลธรรม หรือเป็นมนุษย์อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นถุกต้องนั้น มาเป็นสมาชิกของรัฐสภา หรือสภาประชาชน.  อย่าละเมอเพ้อฝันว่า เพื่อประชาชน โดยประชาชน ของประชาชน; ถ้ามันประชาชนคนโง่คนบ้า คนเห็นแก่ตัว คนอันธพาล แล้วทนไหวที่ไหนล่ะ, ใครมันจะทนไหว, มันก็เป็นคำพูดที่ถือตามนั้นไม่ได้, มันต้องเติมเข้าไปว่าประชาชนที่มีศีลธรรม, มีสภา รัฐสภาหรืออะไรสภาก็ตามที่ออกกฎหมายมาถูกต้องแก่สถานการณ์.
          แล้วจะต้องมีการควบคุมรัฐบาลอย่างถูกต้อง ควบคุมรัญบาล สภาต้องควบคุมรัฐบาลด้วยจิตใจที่เป็นธรรม, ไม่ใช่เพื่อจะล้มรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา.  เดี๋ยวนี้เรามีพรรคการเมืองที่พร้อมที่จะล้มรัฐบาลอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีเวลาทำงานทำหน้าที่, พรรคการเมืองนี้ที่จริงส่วนใหญ่แล้ว มันเป็นของที่ไม่น่าเสน่หา เพราะว่าพรรคการเมืองมันเห็นแก่พรรคยิ่งกว่าเห็นแก่ชาติ, พรรคการเมืองไหนๆก็ตาม มักเห็นแก่พรรคยิ่งกว่าเห็นแก่ชาติทั้งนั้นแหละ.  อาตมาคิดว่าทั้งโลกเลย จะเอาพรรคอยู่รอดและเอาพรรคเจริญก่อนชาติเจริญ, เพราะมันมีพรรคอย่างนี้แหละมันจึงยุ่ง; ถ้ามันไม่มีพรรค มันมีพรรคเดียว ทุกคนมุ่งหน้าต่อประเทศชาติแล้ว มันคงจะไม่ยุ่ง.
          ฉะนั้นคำว่าพรรคการเมืองนั้นไปคิดดูให้ดี ว่าถ้ามันเป็นพรรคการเมืองเพื่อเห็นแก่พรรคแล้ว มันเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด; แต่ดูๆแล้วไม่เห็นว่าพรรคการเมืองไหนจะเห็นแก่ชาติยิ่งกว่าเห็นแก่พรรค, แล้วมันต้องการความเจริญให้แก่พรรคโดยไม่ต้องคิดว่าผิดถูกชั่วดี มีสติปัญญาที่จะโค่นฝ่ายตรงกันข้ามลงได้เท่าไรก็ใช้กันหมด.  แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามทางธรรม เป็นการคดโกง เป็นการอะไร พรรคการเมืองก็เอามาใช้ เพื่อการทำลายล้างระหว่างกันและกัน; ถ้าอย่างนี้มันไม่มีความสงบ; เรียกง่ายๆว่าไม่ต้องมีพรรคฝ่ายค้าน มีแต่ฝ่ายที่ร่วมมือกันทุกฝ่ายเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมของประเทศชาติ, ไม่ต้องมีพรรคฝ่ายค้าน.  แต่ถ้าคนยังเลวยังไม่ดีพอมันก็ต้องมีพรรคฝ่ายค้าน, ถ้าเรามีพลเมืองดีอย่างที่ว่ามาแล้ว ประชุมกันในรัฐสภาควบคุมรัฐบาล ไม่ต้องมีพรรคฝ่ายค้านก็ได้;  เพราะพรรคฝ่ายค้านนั้นเขาจะต้องหลับหูหลับตาค้านท่าเดียว.  ดูเอาเองก็แล้วกัน : เรื่องไม่ควรค้านก็ค้าน, หายใจเป็นการค้านอยู่ตลอดเวลา แล้วเพื่อนจะเอาเวลาไหนมาทำงานให้ถุกต้องได้.  ฉะนั้นไม่ต้องมีพรรคฝ่ายค้านดอก ว่าที่จริง.
          แล้วจะต้องมีรัฐสภาหรือผู้แทนราษฎร ที่สื่อความประสงค์ของประชาชนอย่างถูกต้องอย่างครบถ้วน; ถ้ามันเป็นหน้าที่ของสมาชิกสภามันก็ต้องเป็นผู้แทนราษฎรชนิดที่สื่อความประสงค์ของราษฎร ให้แก่สภาหรือแก่รัฐบาลอย่างถูกต้องและครบถ้วน.
          เดี๋ยวนี้เขาไม่มีเวลาที่จะทำอย่างนั้น, มีเวลาสำหรับจะป้องกันตัวเอง รักษาตัวเอง เลื่อนชั้นตัวเองอะไรจนหมดเวลา, มันก็ไม่มีเวลาที่จะทำหน้าที่ช่วยเหลือส่งเสริมให้ความประสงค์ของประชาชนสำเร็จประโยชน์.  เขาจะต้องรับผิดชอบ พิทักษ์สิทธิ พิทักษ์ความเป็นธรรมดาความถูกต้องของประชาชนให้ดีที่สุด ให้สมบูรณ์ที่สุด;  แต่เขาก็เอาเวลาไปพิทักษ์ประโยชน์ของตนเสียหมด, ไม่มีเวลาที่จะพิทักษ์สิทธิและความถูกต้องของประชาชนผู้ยากจนหรือผู้ลำบากยากแค้น, เพราะว่าประโยชน์ของตนมันไม่รู้จักพอ ก็เอาเวลา เอากำลัง เอาอำนาจอะไรก็ตาม ไปพิทักษ์ประโยชน์ของตนเสียหมด โดยไม่ได้พิทักษ์สิทธิและความเป็นธรรมที่ควรพิทักษ์ของประชาชนการเมืองอย่างนี้มันก็ไม่ไหว.
          ในที่สุดเราจะพูดว่า เขาจะต้องถือหลักในการปฏิบัติหน้าที่ทุกแขนง; รัฐบาลก็ดี รัฐสภาก็ดี ตุลาการก็ดี อะไรก็ดี ที่รวมกันเป็นระบบการปกครองนี้ จะต้องมีศีลธรรมเป็นหลัก ให้เรามีความเป็นชาติหรือชาติที่มีศีลธรรม ซึ่งจะต้องรวมถึงว่า มีวัฒนธรรม มีศาสนา มีขนบธรรมเนียมประเพณี อะไรที่ถูกต้อง.  แต่เราใช้คำว่าศีลธรรมคำเดียวก็พอ ถ้ามีศีลธรรมได้จริง มันไม่จะไปในทิศทางไหน จะต้องมีความเป็นธรรม คือมีศีลธรรม ในการปฏิบัติหน้าที่การงาน.
          อาตมาเคยพูดไปตามที่ไม่มีอำนาจอะไร แต่ก็พูด ว่าเราควรจะมีกระทรวงศีลธรรม, มีกระทรวงศีลธรรมขึ้นมา สำหรับควบคุมกระทรวงทุกกระทรวงหรือทุกบุคคลให้มีศีลธรรม.  เดี๋ยวนี้ดูสิในโลกนี้ ประเทศไหนบ้างที่มีกระทรวงศีลธรรม จะมีก็แต่ชื่อดูไม่ค่อยมี, จะมีกระทรวงวัฒนธรรมและศาสนาดูเหมือนจะได้ยินอยู่บ้าง, แต่ว่ากระทรวงศีลธรรมนี้ไม่เคยได้ยิน.  แต่เราต้องการให้โลกนี้ ทุกประเทศมีกระทรวงศีลธรรมซึ่งมีศีลธรรมจริง แล้วมันควบคุมทุกกระทรวง ให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีศีลธรรม, แล้วประเทศชาติก็มีวิเศษ เป็นโลกพระศรีอารยเมตไตรยโดยแน่นอน.
          เดี๋ยวนี้ความไม่มีศีลธรรมมันมากขึ้นๆแผ่กระจายไปทั่วทุกหัวระแหงและยิ่งขึ้นๆ, คิดดูก็น่าเศร้าน่าห่วง.  แต่ว่าเรายังคิดว่า เราคงตายเสียก่อน, เราคงตายไปก่อนที่เหตุร้ายเหล่านั้นจะได้มาปรากฏแก่เรา แต่ก็อดหวังไม่ได้ว่า คนที่อยู่ข้างหลังจงอยู่กันอย่างมีกระทรวงศีลธรรมทุกประเทศ ควบคุมกระทรวงทุกกระทรวงให้มีศีลธรรม, กระทรวงเกษตรก็มีศีลธรรม, กระทรวงมหาดไทยก็มีศีลธรรม, ทุกกระทรวงมีศีลธรรม แล้วมันก็จะไม่มีปัญหา.  นี้เราต้องการระบบการเมืองอย่างนี้ สำหรับระบบการปกครองสังคม ปกครองมนุษย์.

          ข้อที่สี่ต้องการระบบการปกครองที่มีธรรมะเป็นหลัก.
          แยกออกมาเฉพาะระบบการปกครอง ที่เป็นธัมมิกประชาธิปไตย คือ เป็นประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วยธรรม, ประชาธิปไตย ถ้าว่าประชาชนหรือคนแต่ละคนมันไม่มีศีลธรรมแล้วมันก็วินาศแหละ, วินาศในเวลาอันสั้น; ถ้าประชาชนทุกคนไม่มีศีลธรรม แล้วก็เอามาเป็นส่วนใหญ่สำหรับการปกครองบ้านเมือง พักเดียวมันก็วินาศหมด.  เราต้องมีประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วยธรรมเรียกว่าธัมมิกประชาธิปไตย, นี้เกี่ยวกับการปกครอง, ธัมมิกสังคมนิยม นั้นมันเกี่ยวกับเศรษฐกิจ, ถ้าธัมมิกประชาธิปไตยนี้มันเกี่ยวกับการปกครอง เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาความถูกต้องเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคนที่เห็นแก่ตัว, เอาคนที่เห็นแก่ตัวเต็มอัดทุกๆคนมาเป็นระบบปกครองเป็นประชาธิปไตย มันก็ฆ่ากันตายหมดแหละ ด้วยความแตกต่างเห็นแก่ตัว ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว.  ฉะนั้นประชาธิปไตยต้องจำกัดความให้ดีๆ ว่าต้องของประชาชนที่มีศีลธรรมเลยต้องใช้คำว่า ธัมมิกประชาธิปไตย, มีธรรมะเป็นหลัก มีความถุกต้องเป็นหลัก อย่าเห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ธรรมะ, เห็นแก่ธรรมะ แล้วก็อย่าเห็นแก่ตัว.
          นี่เรียกว่ามีธรรมะเป็นหลัก มีระบบการปกครองชนิดนี้ แล้วก็จะมีการปกครองสังคม หรือโลกให้มีสันติภาพได้โดยง่าย.

          ข้อที่ห้าต่อไปคือระบบศีลธรรมและศาสนา.   
 ระบบศีลธรรมและศาสนา วัฒนธรรม ศิลปะ ประเพณี อะไรเหล่านี้ด้วย มันรวมอยู่ในคำว่าวัฒนธรรมนั่นแหละ.  แล้ววัมนธรรมมันก็รวมอยู่ในคำว่าศีลธรรมวัฒนธรรม เครื่องทำความเจริญ มันก็ถุกต้องนะ.
          คำว่าวัฒนธรรม, วัฒนธรรมนี้เป็นคำกำกวมแล้วน่าอันตราย; เพราะคำว่า วัฒน, วัฒนที่เป็นภาษาบาลีที่ยืมมาใช้ คำนี้กำกวม, คำว่า วัฒนะ วัฒนะนี้ไม่ได้เล็งไปถึงว่าดีหรือชั่ว.  มันเล็งแต่ว่ามากขึ้นเท่านั้นแหละ มากขึ้นๆ, เต็มมากขึ้นเรียกว่า วัฒนะ.  อย่างว่าผมมันรกบนหัวอย่างนี้ โดยหลักบาลีมันก็วัฒนะเหมือนกัน, ผมมันวัฒนะ วัฒนาเหมือนกัน, หรือว่าคนบ้ามันเต็มขึ้นมาในโลก นี้ก็เรียกว่าวัฒนาเหมือนกัน.  คำว่าวัฒนะในภาษาบาลีแปลว่า มันมากขึ้นเท่านั้น, ดีก็ได้ ชั่วก็ได้;  ฉะนั้นเราต้องมาคัดเลือกให้มันเป็นไปแต่ในทางวัฒนะที่ดี, วัฒนะที่ดี.
          มีประโยคภาษาบาลีว่า อย่าทำโลกวัฒนา : น สิยา โลกวฑฺฒโน, ที่เขาแปลกันว่า อย่าเป็นคนรกโลก, ตัวหนังสือแท้ๆมันแปลว่า อย่าทำโลกให้วัฒนา ก็คือว่าอย่าทำโลกให้รก, มันรกมากไปด้วยอะไรก็ไม่รู้ จนเต็มอัดไปหมด โลกมันวัฒนา.  ฉะนั้นเราจะต้องมีความหมายที่ถูกต้อง วัฒนาให้เป็นไปแต่ในทางถุกต้องหรือเจริญถูกต้อง ไม่ใช่มากขึ้นๆแล้วก็จะเรียกว่าวัฒนา.
          มีคนค้นพบว่า คำว่า progress ที่แปลว่า เจริญวัฒนานั้น คำนี้ รากศัพท์แปลว่า บ้า, โปรเกรสนี้มันแปลว่าบ้า, คือมันมากเกินกว่าธรรมดา.  แต่เดี๋ยวนี้คำว่าโปรเกรสเอามาใช้ในความหมายทางดี เจริญดี; แต่คำเดิมๆของมันหมายถึงบ้าก็ได้คือ วัฒนาด้วยความคิดที่ไม่ถูกต้องมันก็เลยบ้า.
          นี่เราจะต้องมีวัฒนธรรมชนิดที่ถูกต้อง คือเป็นไปเพื่อสันติภาพ, อย่าปล่อยไปตามความหมายของคำว่าพัฒนา พัฒนา คือรกมากขึ้นเท่านั้น, มันจะต้องเป็นระบบศีลธรรมที่ถุกต้อง แล้วก็ศาสนาที่ถูกต้อง.
          คำว่าถูกต้องนี้มันถูกต้องในทางทฤษฎีก็มี, ถูกต้องในการให้สำเร็จประโยชน์เป็นผลก็มี, ถูกต้องในการให้สำเร็จประโยชน์เป็นผลก็มี, ถูกต้องในทางเหตุผล สบหลักเหตุผล สบหลักวิทยาศาสตร์ อย่างนี้ก็เรียกว่าถูกต้องเหมือนกัน.  แต่เรามุ่งหมายความถูกต้องที่มากกว่านั้น คือถุกต้องชนิดที่ทำให้เกิดสันติภาพ; เพราะว่าถูกต้องตามเหตุผล ตามตรรก ตาม logic อะไรนั้นมันไปทางไหนก็ได้, เราเอาให้มันถูกต้องมาในทางที่ว่าให้เกิดที่ควรปรารถนาที่เหมาะสมแก่ความเป็นมนุษย์.  นี่เราจะต้องมีศาสนาที่ถูกต้อง.
          เดี๋ยวนี้เรามีศาสนามาก, มีศาสนาหลายศาสนา เราจะต้องทำให้เป็นที่แน่ใจว่า มันถุกต้องสำหรับที่จะให้เกิดสันติภาพแก่มนุษย์, และยิ่งกว่านั้นอีกคือว่ามนุษย์สามารถจะรับได้ หรือสามารถปฏิบัติไหว; ถ้ามันถูกต้องหรือดี แต่มนุษย์ไม่สามารถสนองรับมาปฏิบัติได้ มันก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน.  ฉะนั้นคำว่าถูกต้องการนี้ ต้องถูกฝาถูกตัว, ต้องสามารถรับมาปฏิบัติได้ด้วย, แล้วเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ด้วย ไม่ใช่เหลือวิสัย, แล้วก็ถูกต้องตามที่ควรจะถูกต้อง คือว่ามันถูกต้องเพื่อสันติภาพของทุกคน, ไม่ใช่เพียงเพื่อของบางคน หรือที่วงการที่มันมีอำนาจ แล้วมันจะถูกต้อง อย่างนี้มันถูกต้องไปไม่ได้.

          ทีนี้ข้อต่อไปข้อที่หก ก็อยากจะพูดว่ามีการศึกษาถูกต้อง.  ระบบการปกครองของโลกที่มีการศึกษาถูกต้อง,  ก็เหมือนกับที่กล่าวมาแล้วในส่วนของบุคคล ที่ว่ามีการศึกษาถูกต้องนี้.   เดี๋ยวนี้ยิ่งมาเป็นระบบการปกครองของทั้งหมดของส่วนเป็นตัวระบบใหญ่แล้ว  ก็ยิ่งต้องมีการศึกษาที่ถูกต้อง.  ให้เป็นไปตามหลักการศึกษาที่ถูกต้อง  ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์คือให้เป็นมนุษย์กันให้ได้ มิฉะนั้นมันจะไม่มีความเป็นมนุษย์ มันถูกต้องสำหรับอะไรก็ไม่รู้ มันถูกต้องสำหรับแต่ทำอาชีพ มันไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องมันพอ. 
          เราเลือกเอาฝ่ายไหนละ คิดดู : จะเลือกเอาคนที่มีความรู้ กับคนที่มีความถุกต้องหรือมีศีลธรรม; ถ้ามันต้องเลือกเอาในระหว่าง 2 ฝ่าย คือว่ามีความรู้ความสามารถ กับคนที่ดีมีศีลธรรมจะเลือกเอาส่วนไหน?  หรือพูดง่ายๆว่า คนไม่รู้หนังสือแต่มันดี กับคนรู้หนังสือเปรื่องปราชญ์เป็นอันธพาล หรือว่าไม่อันธพาลก็เถอะ เอาเป็นกลางๆด้วยกันนี้ คนไหนมันปลอดภัยกว่า, เราเลือกฝ่ายไหนปลอดภัยกว่า?  เลือกคนมีความรู้หรือเลือกคนที่มีศีลธรรม; เลือกเอาคนมีความรู้ความฉลาดนะถ้ามันเกิดเป็นอันธพาลขึ้นมาแล้วก็วินาศหมด เพราะมันไม่มีอะไรรับประกัน มันเพียงแต่มีความรู้ความสามารถ.  แต่ถ้าคนมีศีลธรรม คือคนดี มันเป็นอันธพาลไม่ได้;  เพราะฉะนั้นมันปลอดภัย, ฉะนั้นเลือกเอาคนดี ก่อนที่จะเลือกเอาคนมีความรู้ จะดีกว่า, แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่นิยมกันอย่างนั้นใช่ไหม?  ถ้าเขานิยมกันอย่างนี้ ก็ไม่ต้องไปเรียนเมืองนอกเมืองนาให้ปริญญาเป็นหางดอก เพราะมันหาความดี ความถูกต้อง ความอะไรได้ในวงจำกัดของคนไทยเรา ที่มีพุทธศาสนาเป็นหลักนี่.  นี่เรียกว่าจะต้องมีการศึกษาที่ถุกต้องสมแก่ความเป็นมนุษย์.
          ยึดความหมายของคำว่ามนุษย์ไว้ให้ดีๆนะ, มันผิดกันมากกับคำว่าคน.  คำว่า คน นี้มันมาจากคำว่า ชน ชน ชะ-นะ ช-น แปลว่าเกิดมา, ส่วนคำว่ามนุษย์นี่มาจาก มน-อุณย แปลว่าใจสูง; เป็นคน เป็นเพียงเกิดมาก็เป็นคน, แต่ถ้าเป็นมนุษย์ มันต้องมีการกระทำจนใจสูงด้วย.  เราต้องมีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องคือมีจิตใจสูง ไม่เป็นแต่เพียงคน; การศึกษานี้ต้องทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ และเต็มแห่งความเป็นมนุษย์.
          อาตมาเคยเสนอแนะว่า ให้มันมีลำดับมาตั้งแต่ต้น เมื่อเราประชุมกันทำหลักสูตรจริยศึกษาที่นี่, อาตมาเสนอว่า ให้เรามีหลักสูตรประถมศึกษา ให้เด็กๆเขาเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา คือให้บิดามารดาชื่นใจ, และให้เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ คือให้สอนได้ พาไปได้ นำไปได้, ให้เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน คืออยู่กันอย่างเพื่อน ช่วยเหลือจริง, ให้เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ คือเป็นประโยชน์แก่ชาติ, ให้เป็นสาวกที่ดี, แล้วก็เป็นมนุษย์ที่เต็ม.  การศึกษาจะต้องเพื่อความเพื่อความเป็นมนุษย์ที่เต็ม, ไม่เป็นการศึกษาชนิดสุนัขหางด้วน.  ถึงภาษาฝรั่งก็คิดว่าจะใช้ได้ ถ้าเผื่อเขาวินิจฉัยกัน คำว่า sentient being นี่มันสักแต่ว่าเกิดมา มันตรงกับคำว่า คน; แต่ถ้าเป็น human being แล้ว มันจะเป็นมนุษย์.  คำว่า human มันมีรากศัพท์คล้ายๆกับมนุษย์อยู่แล้ว, ให้มันเป็น human being มันจะมีความเป็นมนุษย์; แต่ถ้ามันเป็นเพียง sentient being เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้.  ก็ระวังความหมายของคำว่าเป็นคน กับ ความเป็นมนุษย์ นี้ไว้ให้ดีๆเถอะ จะไม่เดินผิดทาง.
          การศึกษาจะต้องเพื่อความเป้นมนุษย์ที่เต็ม.  เมื่อพูดว่าเต็ม แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงความถูกต้องดอก ถ้าไม่ถูกต้องมันเต็มไม่ได้ดอก; ถ้ามันเต็มแล้วก็หมายความว่ามันต้องมีความถูกต้องมันก็มีความเป็นมนุษย์ที่เต็ม.
          ถึงแม้เดี๋ยวนี้เราจะโตๆกันแล้วอย่างนี้ เราก็ยังต้องเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดานะ แม้ว่าบิดามารดาจะตายไปแล้ว เราอยู่ข้างหลัง ก็ยังจะต้องเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา อย่าปฏิเสธนะ.  แล้วเราต้องเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ จนกว่าจะเข้าโลงไป, จะต้องทำตนให้เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์, แล้วเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนจนตลอดชีวิต, เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ, เป็นสาวกที่ดีของศาสนา แล้วก็เป็นมนุษย์ที่เต็ม; นี่จะเรียกว่าการศึกษานั้นถูกต้อง ถ้ามันให้ผลอย่างนี้.
          เดี๋ยวนี้ลองไปเปรียบเทียบดูเอาเอง การศึกษาระดับประถม มัธยมมหาวิทยาลัย มันได้ความเป็นอย่างนี้หรือเปล่า? ทำไมจะต้องมียกพวกตีกันในโรงเรียนมัธยม ในระดับวิทยาลัยหรือแม้ในระดับมหาวิทยาลัย ให้สัตว์เดรัจฉานมันหัวเราะเล่า? ถ้าคนเรายังทะเลาะวิวาทกันในระดับโรงเรียนวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแล้ว จะไม่ให้สัตว์เดรัจฉานมันหัวเราะอย่างไรเล่า? บางทีคนป่าจะหัวเราะเยาะด้วยซ้ำไป, คนป่าก็ยังไม่เลวมากถึงนักศึกษาสมัยปัจจุบัน ที่มันยังมีการยกพวกตีกัน ทำลายล้างกัน ขัดแย้งกัน, แม้ในสถาบันการศึกษานั้นเอง เพราะว่าสถาบันการศึกษานั้นไม่ถูกต้อง มันก็ทำให้มีมนุษย์ที่เต็มไม่ได้, ขอให้ภาวนาหวังว่าจะมีมนุษย์ที่เต็ม.

          เอ้า, ทีนี้ข้อสุดท้าย  ข้อที่เจ็ด  ระบบการปกครองของโลกที่จะต้องมี  อีกสักข้อหนึ่งข้อสุดท้ายว่าจะต้องมีระบบนิเวศวิทยาที่ดี.  คำว่านิเวศวิทยา  ในความหมายของอาตมาไม่ใช่หมายแต่เพียงว่า ชำระ pollution ดอก มันเด็กเกินไป มันเล็กเกินไป คำว่า นิเวศวิทยาต้องหมายกว้าง จนถึงว่า วิทยาการสำหรับการเป็นอยู่, ความหมายของคำว่านิเวศ นิเวศ นั้นมันก็มีความถูกต้องไปหมดแหละ ไม่ใช่เพียงแต่ระบบกำจัดมลภาวะอย่างเดียว แล้วก็จะว่ามีนิเวศวิทยาถุกต้องก้หาไม่, มันก็ต้องมีระบบการเป็นอยู่ทุกแขนง ทุกทิศทาง ทุกระดับ ที่ถูกต้องซึ่งไม่เกิดปัญหาขึ้นมา.
          ก็อยากจะยกตัวอย่าง เช่นว่า เราอยู่กันอย่างเป็นหมู่บ้าน ดีกว่าจะเป็นนคร, อยู่กันอย่างเมืองธรรมดาเล็กๆ ดีกว่าที่จะเป็นอยู่อย่างมหานคร.  กรุงเทพฯเป็นมหานครหรือยังก็ไม่รู้ แต่มันบ้าเกือบจะตายแล้วใช่ไหม? มันควบคุมไม่ได้นี่ เพราะมันเหลือกำลังที่จะควบคุม; ถ้าว่ามันอยู่กันในลักษณะที่ควบคุมกันได้ เช่นเป็นหมู่บ้านๆมีมากๆก็ดี มันควบคุมกันได้ มันจะไม่เกิดปัญหาอย่างที่กำลังเกิด,

          เอ้า, ทีนี้ข้อสุดท้าย ข้อที่เจ็ด  ระบบการปกครองของโลกที่จะต้องมี  อีกสักข้อหนึ่งข้อสุดท้ายว่าจะต้องมี ระบบนิเวศวิทยาที่ดี.  คำว่านิเวศวิทยา ในความหมายของอาตมาไม่ใช่หมายแต่เพียงว่า ชำระ pollution ดอก มันเด็กเกินไป มันเล้กเกินไป คำว่า นิเวศวิทยาต้องหมายกว้าง จนถึงว่า วิทยาการสำหรับการเป็นอยู่.  ความหมายของคำว่านิเวศ นิเวศ นั้นมันก็มีความถุกต้องไปหมดแหละ ไม่ใช่เพียงแต่ระบบกำจัดมลภาวะอย่างเดียว แล้วก็จะว่ามีนิเวศวิทยาถุกต้องก้หาไม่, มันก็ต้องมีระบบการเป็นอยู่ทุกแขนง ทุกทิศทุกทาง ทุกระดับ ที่ถุกต้องซึ่งไม่เกิดปัญหาขึ้นมา.
          ก็อยากจะยกตัวอย่าง เช่นว่า เราอยู่กันอย่างเป็นหมู่บ้าน ดีกว่าที่จะเป็นนคร, อยู่กันอย่างเมืองธรรมดาเล็กๆ ดีกว่าที่จะเป็นอยู่อย่างมหานคร.  กรุงเทพฯเป็นมหานครหรือยังก้ไม่รู้ แต่มันบ้าเกือบจะตายแล้วใช่ไหม?  มันควบคุมไม่ได้นี่ เพราะมันเหลือกำลังที่จะควบคุม; ถ้าว่ามันอยู่กันในลักษณะที่ควบคุมกันได้ เช่นเป็นหมู่บ้านๆมีมากๆก็ดี มันควบคุมกันได้ มันจะไม่เกิดปัญหาอย่างที่กำลังเกิด, กำลังเกิดถึงขนาดวินาศหรือฆ่ากันตาย;  มลภาวะก็กำจัดไม่ได้เพราะมันเหลือกำลังนี่ ถ้าอยู่กันอย่างมหานคร.  อยู่กันอย่างหมู่บ้านใหญ่ๆ, หรือว่าอยู่อย่างเมืองเล็กๆ, อย่าอยู่กันอย่างมหานคร ซึ่งมีพลเมืองหลายสิบล้าน สิบล้าน ยี่สิบล้าน แล้วจะเป็นนิเวศวิทยาที่พอดี, พอดีแก่การที่จะควบคุมรักษาดูแล มีความสงบสุขได้โดยง่าย นี้ก็จะขอเรียกว่ามีนิเวศวิทยาที่ถูกต้อง คืออยู่ในขนาดที่พอดี ในลักษณะที่พอดี, บางทีจะต้องใช้คำว่ายิ่งเล็กยิ่งดีด้วยซ้ำไป.
          เมื่อเร็วๆนี้มีนักคิดอะไรคนหนึ่ง เขาพูดขึ้นว่า ยิ่งเล็กยิ่งดี, ยิ่งเล้กยิ่งดีเพราะว่าควบคุมง่าย, ถ้ามันใหญ่จนควบคุมไม่ไหว มันก็จะเป็นอันตรายหรือเป็นบ้าไปเลย, มันอยู่ในขนาดที่ควบคุมกันได้ ดูแลกันได้รักษากันได้นั่นแหละมันพอดี, ยิ่งเล็กยิ่งควบคุมกันง่าย ยิ่งควบคุมกันง่าย ยิ่งควบคุมกันได้มันก็ยิ่งสวยงาม ยิ่งเล็กก็ยิ่งสวยยิ่งงาม เพราะมันควบคุมกันได้ รักษากันได้ดี.  ถ้าบ้านของเราใหญ่เกินไป เราก็รักษาให้สะอาดเรียบร้อยไม่ได้; ถ้าบ้านของเราพอดีหรือเล็กๆนี่ เราทำให้สวยงามวิเศษไปทุกระเบียดนิ้วก็ยังได้.
          นี่ต้องมีในลักษณะที่ควบคุมกันได้ หรือพอดี อย่างนี้อาตมาจะเรียกว่านิเวศวิทยาที่ถูกต้อง; มันไม่ใช่จะควบคุมแต่มลภาวะ, มันต้องควบคุมไปทุกอย่างที่มันถูกต้อง : สงบเรียบร้อย ราบรื่นมีความสงบสุข สันติสุข, หรืออาชญากรรมอะไรต่างๆเหล่านี้มันก็ต้องไม่มี.  เราจะมีนิเวศวิทยาที่ถุกต้องแก่เหตุผล เหมาะสมแก่ความมีสันติภาพ.
          เอาละ ทบทวนกันอีกทีหนึ่งว่า เราจะมีระบบการปกครองมนุษย์ ที่ประกอบไปด้วยระบบเศรษฐกิจอันถูกต้อง, ระบบการเมืองที่ถุกต้อง ระบบสังคมที่ถูกต้อง ระบบการปกครองที่ถุกต้อง ระบบศีลธรรมและศาสนาที่ถูกต้อง ระบบการศึกษาที่ถุกต้อง ระบบนิเวศที่ถุกต้อง.

          คำว่า ถูกต้อง คืออย่างไร.
          ได้ยินคำว่า ถูกต้อง เต็มไปหมดแล้ว ก็จะมีปัญหาเกิดขึ้นมาว่า ถูกต้องนั้นคืออย่างไร.  ถ้าถูกต้องของคนอันธพาลมันก็อย่างหนึ่ง; เราถูกต้องด้วยไม่ไหว ถ้าถูกต้องอย่างของอันธพาล.  มันก็ต้องถูกต้องอย่างของวิญญูชน ของสุภาพบุรุษ มันก็ต้องถุกต้อง; แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเถียงกันไม่รู้จักจบ ตรรกวิทยา logic ก็ดี, ปรัชญา philosophy นั้นก็ดี มันก็ล้วนแต่มุ่งหมายจะหาความจริง หรือคำยุติของคำว่าถูกต้องหรือความจริง, แล้วมันก็เถียงกันจนตายก็ยังไม่พบใช่ไหม?  มันยุติกันไม่ได้นี่ ถ้าเอาหลักชนิดนั้นมาเป็นหลักหาความตีความถุกต้อง.  มันก็มีเหตุผลที่จะแย้งยันขยายไกลออกไป, เรียกว่ามันมีคู่เถียงกันไปไม่มีทางพบกันได้ว่าถุกต้องอย่างไร.
          มีคนเขาเปรียบเทียบว่า สถานะของปรัชญาของ philosophy นั้นมันเหมือนกับทางรถไฟ 2 เส้น ซึ่งมันเป็นทางคู่กันไม่มีทางจะพบกัน, ทางรถไฟนั้นจะยาวกี่โยชน์ กี่ร้อยโยชน์พันโยชน์อะไรก็ตาม มันก็ไม่มีทางจะพบกันดอก, ถ้ามันพบกันแล้วมันก็ไม่เป็นทางรถไฟ.  นี่เรียกว่าเรื่องปรัชญาที่จะหาเหตุผลของความถูกต้องหรือความจริงนี้ มันมายุติอย่างนี้ เพราะว่ามันมีเหตุผลที่จะแยกออกมายืนยันอยู่เสมอ มันมีสมมตฐานใหม่ๆสร้างขึ้นมาเรื่อย  มันก็เลยไม่พบว่า อะไรถุกต้อง หรืออะไรดีอะไรจริง.
          ฉะนั้น ขอให้ถือเอาหลักง่ายๆทางศาสนา โดยเฉพาะทางพุทธศาสนามีหลักง่ายๆที่สุดว่า ถ้าถูกต้องแล้วมันไม่มีอันตราย หรือเป็นทุกข์เป็นโทษแก่ฝ่ายใด มีแต่คุณและประโยชน์แก่ทุกฝ่าย;  นี่คือความถูกต้อง, ถ้ามันมีโทษแก่ฝ่ายใดแม้แต่นิดเดียว ถือว่าเป็นผิดแล้ว ไม่ถูกต้องแล้ว ถ้ามันไม่เป็นพิษเป็นภัยเป็นโทษอันตรายต่อแก่ฝ่ายใด มีแต่ความดีความได้ประโยชน์ก็เรียกว่าความถุกต้อง เอาเพียงเท่านี้ไม่ต้องเถียงกัน.  ไว้ให้พวกนักปรัชญาเขา หรือว่านักตรรกวิทยาเขา นักคำนวณอะไรเขาก็เถียงกันไปเถอะ จนไม่รู้ว่ามันจะไปดีตรงที่ไหน ไม่มีวันที่จะพบว่าถูกต้องหรือดีนั้นเป็นอย่างไร.  เดี๋ยวนี้เราเอง่ายๆตามภาษาเด็กๆ เด็กวัดก็ได้ ดีหรือถูกต้อง คือไม่เบียดเบียนใคร ได้รับประโยชน์แก่ทุกฝ่าย คือถุกต้องในทุกๆสิ่งที่ควรจะถุกต้อง;  นั่นคือระบบการปกครองของมนุษย์ที่ดีหรือของโลกที่ดี ในโลกมนุษย์ที่ดี จะต้องมีความถุกต้องอย่างนี้ แล้วก็มีสันติภาพ.
          เป็นอันว่า บุคคลแต่ละคนๆต้องมีความถูกต้องอย่างที่กล่าวมาแล้ว, ระบบการปกครองของบุคคลทั้งหมดนั้น ก็ต้องมีความถูกต้องอย่างที่กล่าวมาแล้ว.  เมื่อมีความถูกต้องทั้งของส่วนบุคคล และของระบบทั้งระบบที่จะใช้ปกครองบุคคลเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นความถุกต้อง มันก็หมดปัยหาก็มีสันติภาพ.
          อาตมาก็ขอเสนอหนทางแห่งสันติภาพไว้ในลักษณะอย่างนี้ เป็นเรื่องสุดท้ายของการบรรยายชุดนี้ เป็นที่ระลึกแก่ปีสันติภาพสากลปีนี้; ใช้หลักพระพุทธศาสนามาเป็นหลัก คือความถูกต้อง 8 ประการ ที่เรียกว่ามรรคมีองค์แปด : ถูกต้องทางความคิดเห็น ถูกต้องตามความต้องการ ถูกต้องทางการพูดจา ถูกต้องทางการทำการงาน ถูกต้องทางการดำรงชีวิต ถูกต้องในการใช้ความเพียร ถูกต้องในการมีสติควบคุมและถูกต้องในการตั้งใจไว้มั่น; เรียกว่าถูกต้อง 8 ประการ เป็นอริยมรรคมีองค์แปด.  นี่เป็นหลักที่เอามากระจายออกเป็นความถูกต้อง สำหรับบุคคลและสังคม.
          เมื่อมีความถุกต้อง 8 ประการนี้แล้ว ก็จะมีความถูกต้องอันสำคัญเกิดขึ้น คือความถูกต้องของความรู้-ญาณะ แปลว่าคงวามรู้; เมื่อรู้ถุกต้องแล้วมันก็ทำอะไรไม่ผิด,  ในที่สุดมันก็เกิดผล คือหลุดพ้นถูกต้อง, หลุดพ้นจากปัญหาทั้งปวงอย่างถูกต้อง, ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดความยุ่งยากลำบากใจเป็นทุกข์ทรมานใจ; นี่มันเป็นความถูกต้องอย่างนี้.  แต่เป็นสิ่งที่เราจะต้องประพฤติปฏิบัติ หรือสร้างมันขึ้นมา ในฐานะเป็นหน้าที่, จะมาถือไสยศาสตร์หวังความช่วยเหลือจากภูติผีปีศาจ ผีสางเทวดา หรือแม้แต่พระเจ้า ก็ไม่มีทางจะเป็นไปได้, พระเจ้าไม่ช่วยคนที่ไม่ปฏิบัติความถูกต้อง.
          ฉะนั้นเราจะต้องปฏิบัติความถูกต้องทุกประการอย่างที่กล่าวแล้ว แล้วความถูกต้องทุกประการนั้น ก็จะแปลงรูปออกมาเป็นพระเจ้าที่ช่วยเราได้จริงกว่าพระเจ้าชนิดไหน แล้วก็ไม่ต้องอ้อนวอนไม่ต้องติดสินบน ว่าจะให้อย่างนั้น ให้อย่างนี้.  พระเจ้าที่เกิดขึ้นมาจากการกระทำที่ถูกต้องอขงเรา; พระเจ้าอย่างที่เขามีๆกันอยู่นั้น ต้องเซ่นสรวง ต้องอ้อนวอน ต้องบูชายัญ คล้ายๆกับว่าต้องจ้างพระเจ้าจึงจะทำหน้าที่.  แต่ถ้าพระเจ้าเกิดมาจากความถูกต้องที่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นเอง  เราไม่ต้องเซ่นสรวง  ไม่ต้องบูชา ไม่ต้องอ้อนวอน การบูชาอ้อนวอนเซ่นสรวงพระเจ้าชนิดนี้ มีแต่การพยายามทำใหก้มันถูกต้อง การพยายามทำให้มันถูฏต้องนั่นแหละคือ การบูชา เซ่นสรวง อ้อนวอน, พระเจ้าชนิดที่จะช่วยเราได้จริง คือผลแห่งการทำหน้าที่ถูกต้อง.
          นี่ขอสรุปเป็นบทสุดท้ายว่า เราจะมีสันติภาพได้ โดยสรุปย่ออย่างที่เป็นการบรรยายในครั้งสุดท้ายนี้ว่า มีบุคคลถูกต้อง, แล้วมีระบบการปกครองบุคคลหรือสังคมของบุคคลอย่างถูกต้อง, แล้วเราก็มีสันติภาพ. 1

       1                ธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส  เรื่อง  สันติภาพของโลก  ลำดับที่ 18.ซ  บนแถบพื้นสีแดง, เรื่องที่ 13 จนกว่าโลกจะมีสันติภาพ.  บรรยายวันที่ 27 กันยายน 2529, หน้า 404-420.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น