การแก้ปัญหาไม่ถูกจุด
คนเราในปัจจุบันนี้สนใจแต่เรื่องทางเนื้อหนังและเฝ้าแก้ปัญหาทางเนื้อหนังกันมากยิ่งขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องส่วนรวมของโลก.
ว่าที่แท้แล้ว
เรื่องส่วนรวมของโลกก็สืบเนื่องไปจากเรื่องส่วนตัวของบุคคล เมื่อบุคคลแต่ละคนเป็นอย่างไร โลกทั้งหมดก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะว่ามันเป็นเพียงที่รวมของบุคคลทุกคน. เพราะฉะนั้น
เมื่อพูดถึงคำว่า โลก ก็คือคนทุกคนในโลกนั่นเอง, เดี๋ยวนี้คนแต่ละคนในโลกถูกกระทำให้สนใจหรือเข้าใจ เข้าเกี่ยวข้องแต่เรื่องทางฝ่ายวัตถุ
จึงมัวสาละวนกันแต่เรื่องทางวัตถุมากเกินไป, จนถึงกับไม่สนใจหรือเหลียวแลเรื่องทางฝ่ายจิต;
จนกระทั่งเรื่องทางฝ่ายจิตกลายเป็นสิ่งที่เร้นลับเข้าใจไม่ได้ และค่อยเลือนหายไปในที่สุด.
สิ่งที่จะต้องสังเกตดูให้ดี ก็คือ
การที่มนุษย์สมัยนี้
เมื่อสนใจในเรื่องฝ่ายวัตถุหรือฝ่ายร่างกายมากเข้า ก็จะรู้สึกว่า
เรื่องทั้งหมดนี้มีแต่เรื่องเดียวคือ
เรื่องทางฝ่ายร่างกาย; ไม่ได้แยกออกเป็น 2 เรื่อง คือเรื่อง กายกับจิต; เห็นว่ามีแต่กายอย่างเดียว สำคัยอยู่ที่สัตถุอย่างเดียว;
ถือเสียว่าคนสมัยนี้จะมีคำว่า
จิตพูดกันอยู่
หรือคำว่าวิญญาณพูดกันอยู่ก็มีความหมายเพียงระบบประสาท, ความรู้สึกทางประสาท.
ความเข้าใจอย่างนี้ มันดูเป็นเรื่องน่าหัว เพราะว่าถ้าคนหรือสัตว์ก็ตามที่มีชีวิตนี้ ไม่มีความรู้สึกทางระบบประสาทเป็นต้นแล้ว มันจะมีชีวิตได้อย่างไร. ฉะนั้นเรื่องทางระบบประสาท หรือความรู้สึกเพียงเท่านี้ มันก็เป็นเรื่องที่ต้องมีเป็นธรรมดา และมันเนื่องกันอยู่กับร่างกายจริง;
เพราะว่าถ้าไม่มีความรู้สึกทำนองนี้แล้ว
มันก็มีชีวิตไม่ได้.
ร่างกายที่มีชีวิตก็ต้องมีความรู้สึก
ที่เป็นความรู้สึก
เช่นระบบประสาทเป็นต้น,
ที่เขาเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่า จิต.
พุทธศาสนา หรือศาสนาอื่น
ที่เป็นเครือข่ายเดียวกัน มีความหมายของคำว่า “จิต”นั้นเป็นอย่างอื่น, จึงมีปัญหาเกิดขึ้นเป็น 2 ฝ่าย หรือ 2 เรื่อง คือทางฝ่ายกายและฝ่ายจิต. แม้เรื่องทางฝ่ายกายจะหมดปัยหาไปแล้ว เรื่องทางฝ่ายจิตก็ยังเหลืออยู่อีกมาก;
มากกว่าเรื่องทางร่างกายมากมายหลายเท่าหรือหลายสิบเท่า. ตรงกันข้ามกับคนสมัยนี้
ซึ่งเป็นวัตถุนิยมจะมีความรู้สึกว่าเรื่องทางฝ่ายกาย
หรือฝ่ายวัตถุนั้นมีปัญหามากมายหลายเท่าหรือหลายสิบเท่า. ตรงกันข้ามกับคนสมัยนี้
ซึ่งเป็นวัตถุนิยมจะมีความรู้สึกว่าเรื่องทางฝ่ายกาย
หรือฝ่ายวัตถุนั้นมีปัญหามากมายหลายสิบเท่ายิ่งกว่าเรื่องทางฝ่ายจิต; จนถึงกับได้พูดว่า ถ้าเรื่องทางกายดีแล้ว เรื่องทางฝ่ายจิตก็ดีเอง. นี่เอาเรื่องทางฝ่ายจิตไปเป็นของพ่วงกันอยู่กับเรื่องทางกาย;
และก็เห็นไปว่าเป็นของนิดเดียวเท่านั้น
เหมือนกับเรือลำนิดๆพ่วงท้ายเรือลำใหญ่เบ้อเร่อ; ปัญหามันมีต่างกันอยู่อย่างนี้.
ทีนี้
เราจะพิจารณากันเฉพาะพฤติการณ์ของคนในโลกสมัยนี้ ที่มัวแก้ปัยหากันเฉพาะ แต่ทางฝ่ายกาย
หรือฝ่ายวัตถุอย่างเดียว; เพราะว่าเมื่อเราเข้าใจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว
คงจะมีประโยชน์ในการที่จะช่วยกันแก้ปัยหาของสังม;
หรือแม้ในที่สุดแต่ปัญหาของเราเองโดยเฉพาะซึ่งกำลังจะเปลี่ยนไปตามร่องรอยของสังคม คือจะพลอยกลายเป็นวัตถุนิยมไปด้วย. ดังนั้นเราจะได้พิจารณากันดูให้ดีๆถึงปัยหาอันนี้โดยเฉพาะ แม้ว่าจะเป็นการซ้ำซาก ก็เป็นการซ้ำซากที่ทำให้เข้าใจได้ยิ่งๆขึ้นไป.
เอาละ
เราจะพูดกันแต่เรื่องปัญหาทางฝ่ายกายอย่างเดียว
จนกระทั่งถึงเรื่องที่คาบเกี่ยวกันอยู่กับปัญหาทางฝ่ายจิต;
เมื่อเราแยกออกมาเป็นปัยหาทางฝ่ายวัตถุหรือทางฝ่ายร่างกายแล้ว เราอาจจะแบ่งเป็ยออกเป็น 3 ตอน หรือ 3 ส่วน.
ปัญหาตอนแรกที่สุด ก็เป็นปัยหาเรื่องการไม่มีปัจจัย ที่จำเป็นแก่ชีวิต เช่นไม่มีกิน
ไม่มีใช้ ไม่มีอนามัยที่ดี, เรียกว่าไม่มีปัจจัยที่จำเป็นแก่ชีวิต;
กระทั่งปัญหาที่คนไม่รู้หนังสือ
ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาจัดเป็นปัญหาใหญ่ด้วย.
ไม่ใช่เพียงแต่ว่าไม่มีกินไม่มีใช้
หรือว่าไม่มีอนามัยดีเท่านั้น
ยังมีเรื่องไม่รู้หนังสือด้วย.
เรื่องไม่รู้หนังสือนี้ อยากจะพูดแทรกเป็นพิเศษที่ตรงนี้ว่า เดี๋ยวนี้เขาเห็นว่า เรื่องการไม่รู้หนังสือนี้ เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นเหกตุให้ขัดข้องในการที่จะก้าวหน้าหรือแก้ปัญหาอย่างอื่นๆ;
แล้วก็กลัวกันมากที่สุดพยายามกันมากที่สุด
เรื่องที่จะให้คนรู้หนังสือ.
แต่ถ้าเราย้อนไปดูในครั้งโบราณ
ที่คนยังไม่รู้หนังสือนั้น
กลับกลายเป็นว่ามีวัฒนธรรมดีกว่าที่รู้หนังสือ มีความสงบสุขในสังคมยิ่งกว่าสมัยที่คนรู้หนังสือ. นี้ตามความรู้สึกของผม จะเท็จหรือจริงอย่างไรก็ไปสังเกตดูเอาเอง ไปศึกษาในแง่ของประวัติศาสตร์ก็ได้.
ความเป็นอยู่ หรือระบบการปกครอง
หรืออะไรต่างๆของคนสมัยที่ไม่รู้หนังสือนั้น ไม่ยุ่งยากลำบาก ไม่คดโกง
เหมือนกับสมัยที่คนรู้หนังสือ.
เดี๋ยวนี้เขามีปัญหาหนัก
เรื่องคนไม่รู้หนังสือ
แล้วพยายามกันมาก; จะพยายามแต่ปาก หรือเพื่อผลทางโฆษณาอย่างอื่นก้ไม่ทราบได้;
แต่เอาตามที่ปรากฏอยู่จริงนี้ขวนขวายกันมาก เรื่องที่จะให้คนรู้หนังสือ. เพราะฉะนั้น
สมัยนี้เขาจึงมีปัญหาใหญ่ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 3 เรื่อง คือเรื่องไม่มีกินไม่มีใช้อย่างหนึ่ง, แล้วก็ไม่มีอนามัยดีนี้อย่างหนึ่ง, แล้วก็ไม่รู้หนังสือนี้อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเพิ่งจะเพิ่มขึ้นมา, ปัญหาตามธรรมชาติแท้ๆก็จะมีเพียงว่า ไม่มีกินไม่มีใช้เพียงพอ และไม่มีอนามัยที่ดี. ปัญหาข้อนี้ก็ต้องแก้ได้ด้วยการทำให้มันมี, เมื่อมันไม่มี
ก็ต้องทำให้มันมีขึ้นมา.
ปัญหาถัดไปก็มีว่า ในการที่จะทำให้มันมีขึ้นมา จะให้โลกมีกินมีใช้ จะให้อนามัยดี
เหล่านี้ก็มีปัญหาตรงที่ว่าเต็มไปด้วยความยากลำบาก,
แล้วก็นำมาซึ่งความทุกข์
เป็นทุกข์ทางใจด้วยก็ได้
ในการที่จะแก้ปัยหาเหล่านี้ พวกวัตถุนิยม มุ่งแก้ปัญหานี้ด้วยการมีเครื่องทุ่นแรง.
เครื่องมือเครื่องใช้ที่ประดิษฐ์ขึ้นตามแบบสมัยใหม่ที่เรียกว่าเครื่องทุ่นแรงทุกชนิดนี้จะแก้ปัยหาเรื่องไม่มีกินไม่มีใช้; เขาหวังที่จะพึ่งเครื่องทุ่นแรง.
หรือว่าความก้าวหน้าด้วยวิชาความรู้ทางเทคนิคต่างๆ เช่นเรื่องการเกษตร เรื่องการอุตสาหกรรมหรือเรื่องอะไรก็ตาม ซึ่งล้วนแต่ว่าเป็นเรื่องเทคนิคที่เขาค้นพบได้ใหม่ๆ ทำให้มีขึ้นเจริญขึ้น ประกอบพร้อมกันไปกับการทุ่นแรง.
คือว่ามีวิชาความรู้เกี่ยวกับเทคนิคที่ประกอบกันไปกับเครื่องทุ่นแรง เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้. แล้วก็หวังกันอย่างนี้ แล้วก็ระดมทุ่มเทกันลงไปในลักษณะอย่างนี้.
ทีนี้จะต้องคิดดูให้ดีว่า การที่มีความรู้ มีปัญญาแก้ปัญหาทางวัตถุทำนองนั้น เกิดเป็นปัญหาขึ้น 2 ทาง คือว่าคนโดยมากทำไม่ได้ : เช่นเราเห็นกันอยู่ว่า
ชาวนาส่วนมากนี้จะมีเครื่องทุ่นแรงไม่ไหว, มีไม่ได้. แม้แต่เครื่องทุ่นแรงขนาดเล้กๆก็ยังไม่มี อย่างว่าจะเย็บผ้าก็ต้องเย็บด้วยมือ ไม่มีจักจะใช้เย็บ นี้เป็นอย่างต่ำที่สุด;
กระทั่งเครื่องทุ่นแรงอย่างอื่นจะระดับสูงขึ้นไป นีก็มีไม่ได้
นี้อย่างหนึ่ง. แล้วอีกอย่างหนึ่ง แม้ว่าจะมีได้มีสมบูรณ์แล้วก็ยังมีความรู้สึกเป็นทุกข์ในทางฝ่ายจิต คือความไม่ได้อย่างใจ ความไม่พอกับความต้องการ ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นเนื่องในการแข่งขัน. ยิ่งเพิ่มการทุ่นแรงมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มความหมายของการแข่งขัน หนักมากขึ้นเท่านั้น; มันก็มีปัญหาทางฝ่ายจิตแทรกขึ้นมา. ดังนั้นคนจนต้องมีธรรมะ
หรือต้องมีศาสนาเพื่อระงับความกระวนกระวายในข้อนี้ เพราะว่าขาดเครื่องทุ่นแรงเป็นต้น;
ส่วนคนมั่งมีที่มีเครื่องทุ่นแรง
ก็จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ทางจิต
สำหรับดับความร้อน ความวิตกกังวลความทะเยอทะยานนั้น นี้เรียกว่าปัญหามันเกิดคาบเกี่ยวกันขึ้นมา ซับซ้อนกันขึ้นมา โยงไปถึงสิ่งอื่น. นี่คือการแก้ปัยหาทางกายมันไม่เพียงพอ มันก็โยงไปถึงการแก้ปัยหาทางฝ่ายจิตด้วย.
ปัญหาอันสุดท้าย อันที่ 3 จึงมีว่าแม้จะมีกิน มีใช้
มีอนามัยดี กระทั่งรู้หนังสือกันหมดแล้วก็ตาม ก็ยังหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้; คือทางฝ่ายกายนี้มันหมดปัญหาแล้วทุกประการ ก้หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้
เพราะว่าได้มีโรคภัยไข้เจ็บทางจิตทางประสาทนี้เพิ่มขึ้นมาใหม่ ในลักษณะที่ไม่เคยมีมาแต่กาลก่อน. โรคประสาทหรือโรคจิต
ชนิดที่ไม่เคยมีมาแต่กาลก่อนได้เกิดมีขึ้นมา. ม้แต่เชื้อโรคทางกาย ซึ่งเป็นเรื่องทางกายทางวัตถุแท้ๆนี้ มันก็มีแปลกปลอมออกมา เนื่องจากทางจิตมันแปลกออกไป.
ปัญหาเรื่องอนามัยเรื่งออะไรมันก็ไม่มีทางจะสิ้นสุดลงได้; แม้ว่ามีกิน มีใช้
มีอนามัยดี
ตามที่ต้อวการในระดับหนึ่งแล้ว
มันก็ยังมีปัญหาเพิ่มขึ้นมาใหม่; เป้นความไม่สมบูรณ์ ไม่เพียงพออยู่นั่นเอง.
โรคประสาท โรคจิตเพิ่มขึ้นมาก
เพราะความสมบูรณ์แต่ทางร่างกายหรือฝ่ายวัตถุนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ โรคความเห็นแก่ตัวนี้มันเพิ่มมากขึ้น คุรก็ควรเข้าใจคำว่า
“โรคความเห็นแก่ตัว”นี้ให้ดีๆ,
โรคความเห็นแก่ตัวนี้มันทรมานทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต :
เห็นแก่ตัวมากจนนอนไม่หลับ
ทรมานทางฝ่ายกาย;
ทีนี้ทางฝ่ายจิตก็มีความเสื่อมทรามในส่วนศีลธรรม, นี่เป็นเรื่องทางวิญญาณไปแล้ว คือมีความเสื่อมทรามทางวิญญาณทางศีลธรรม แล้วก็เบียดเบียนกัน ฆ่าฟันกัน
มีวิกฤตกาลถาวร
เป็นสงครามนิรันดรไม่มีที่สิ้นสุดอะไรทำนองนี้; ล้วนแต่มาจากโรคเห็นแก่ตัวทั้งนั้น.
การที่เราเป็นโรคจิตโรคประสาท
ไปอยู่กันเต็มโรงพยาบาลนี้ก็มีมูลมาจากโรคเห็นแก่ตัว.
ข้อนี้มันยืดยาวต้องไปพิจารณาดูเองอีกทีหนึ่ง พูดกันตั้งชั่วโมงก็จะไม่หมด; แต่ให้รู้ว่า ความเห็นแก่ตัวจัดยิ่งขึ้นทุกที ทำให้เป็นโรคประสาทและโรคจิตชนิดทางฝ่ายร่างกาย หรือวัตถุ,
แล้วก็เป็นโรคฝ่ายวิญญาณ
คือศีลธรรมเสื่อมจนเบียดเบียนตัวเอง
เบียดเบียนผู้อื่น
เบียดเบียนตัวเองด้วยการถูกกิเลสเผาลน
เหมือนอยู่ในกองไฟ;
เบียดเบียนผู้อื่นก็คือ
ไม่มีศีลธรรม
แล้วก็เบียดเบียนผู้อื่นด้วยการแย่งชิง,
ใช้สงครามร้อนสงครามเย็น
เป็นเครื่องมือสำหรับการแย่งชิง
การทำลายผู้อื่น.
โรคที่ประหลฃาด หรือปัญหาที่ประหลาดอีกอย่างหนึ่งก็คือ โรควัตถุเฟ้อ
นี่ผมเรียกเอาเอง เพราะไม่รู้จะเรียกอย่างไร. การที่วัตถุมันเฟ้อ เกินความจำเป็นมากนักนี้ มันกลายเป็นโทษ เป็นอันตราย
เป็นความรบกวนมนุษย์ให้มีปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด, แล้วก็ยังอยากจะเฟ้ออยู่นั่นเอง;
เฟ้อนจนต้องเอาไปทิ้งก็ยังมีการทำอยู่นั่น. นี้ก็มีมูลมาจากเครื่องทุ่นแรง เดี๋ยวก็มีปัญหาเรื่องข้าวไม่มี เดี๋ยวก็มีปัญหาเรื่องข้าวมีมากเกินไป, มีปัญหาเรื่องดีบุกไม่มี มีปัญหาเรื่องดีบุกมากเกินไป, เรื่องยางไม่มี หรือว่ามียางมากเกินไปแ; อยู่กันแต่อย่างนี้.
เรื่องวัตถุเฟ้อนี้ มีความยุ่งยากซับซ้อนมาก เป็นความปั่นป่วนของโลกทางเศรษฐกิจ และแม้ทางส่วนบุคคล ในบ้านเรือนเต็มไปด้วยปัญหาของวัตถุเฟ้อ; คือเราไปนั่งพิจารณาดูให้ดี ในบ้านเรือนที่มีทรัพย์สมบัติ มีอะไรเครื่องใช้ไม้สอยมาก เจริญที่สุด
นั่นแหละเต็มไปด้วยของเฟ้อทั้งนั้นเลย.
ของที่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ทั้งนั้นเลย.
นี่มันเฟ้อในส่วนที่จะมีสำหรับใช้สอย,
สิ่งของที่ขายอยู่ในห้าง ในร้าน บริษัท
ที่ขายของนี้ก็เหมือนกัน
ส่วนมากจะมีสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมีก็ได้.
นี่คุณทำใจให้ดีๆ
ทำใจให้บริสุทธิ์
แล้วก็ไปนั่งพิจารณาดู
ไปเดินพิจารณาดู
แต่ถ้าทำใจไม่ดี ทำใจไม่เป็นธรรมแล้ว จะเห็นว่าจำเป็นไปทั้งหมด;
ของที่ฟุ่มเฟือยนั้นจะมองเห็นเป็นของจำเป็นไปหมด. วัตถุเฟ้อเป็นปัญหาหนัก เป็นการลงโทษของพระเจ้าอย่างยิ่ง ที่ทำให้มนุษย์ลำบากไม่มีที่สิ้นสุด คือไม่รู้สึกว่าเฟ้อ.
แล้วก็จะมุ่งหามุ่งสร้างทำกันขึ้นมาให้มากไปกว่าที่มีอยู่แล้วอีก. นี่คือความบ้าหลังในทางวัตถุมีอย่างนี้ มัวแก้ปัญหากันแต่ทางวัตถุนี้ มันมีลักษณะอย่างนี้ มีผลอย่างนี้; ที่เราเรียกกันสั้นๆว่า การมัวแก้ปัญหากันแต่ทางฝ่ายวัตถุ.
อยากจะขอย้ำข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งอยู่เสมอเรื่อยไปว่า
อนุชนรุ่นหลังเกิดขึ้นมาก็ถูกกระทำให้มีความเข้าใจผิดโดยไม่รู้สึกตัว เหมือนกับถูกมอมให้มึนเมา โดยไม่รู้สึกตัวในการที่จะลุ่มหลงไปแต่ในทางวัตถุ เราอย่าลืมว่าอนุชนลืมตาขึ้นมาในโลกนี้ เขาจะทำตามอย่างผู้ใหญ่โดยไม่รู้สึกตัว; นี่มันง่ายข้อนี้ : ถ้าผู้ใหญ่เป็นวัตถุนิยม
ลูกเด็กๆก็เป็นวัตถุนิยม; ถ้าผู้ใหญ่เป็นธรรมนิยม
ลูกเล็กๆก็เป็นธรรมเนียมขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัวได้. นี่วัฒนธรรมประจำบ้านเรือนมีอิทธิพลมากอย่างนี้
ทำให้คนเราเป็นอะไรตามๆกันไปโดยไม่รู้สึกตัว แล้วเป็นกันหมด. เพราะฉะนั้นเพียงชั่ว generation เดียวเท่านั้นก็เปลี่ยนได้.
ยิ่งมาตั้งหลาย generarion มันก็เป็นเต็มที่ ให้เป็นโลกอีกโลกหนึ่งไปทันที โลกอีกแบบหนึ่งไปทันที; เรียกว่า หลับหู หลับตา
เอากันใหญ่ในเรื่องทางวัตถุ
จนกลายเป็นเรื่องวิ่ง,
เจริญอย่างวิ่ง, ไม่ใช่อย่างเดิน; เป็นอย่างวิ่ง หรืออย่างวิ่งเร็ว แล้วก็”ปลงเหวแห่งความร้อนใจ ทั่วไปหมดทุกหัวระแหง ไม่ยกเว้นใคร;
โดยที่คนเหล่านั้นไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไรกัน หรือมันมีมูลมาจากอะไรกัน นี่รู้แต่ว่า มันมีปัญหายุ่งยากไปหมด
แล้วก็มัวแก้กันแต่ปลายเหตุผิวๆเผินๆไม่ได้แก้กันที่ตัวต้นเหตุอันแท้จริง คือเรื่องทางจิต หรือเรื่องทางวิญญาณ.
ทีนี้ เราดูถึงภาพที่มันเป็นอยู่จริง : การที่ขาดความรู้สภาพที่เป็นอยู่จริงว่าเป็นอย่างไรนั้น เกิดมาจากการที่มันขาดความรู้ทางฝ่ายจิต หรือทางฝ่ายวิญญาณ, ข้อสำคัญอยู่ตรงที่มันขาดความรู้ทางฝ่ายจิต หรือทางฝ่ายวิญญาณ, ข้อสำคัญอยู่ตรงที่ว่า
ผู้ที่กำลังประสบความสำเร็จทางวัตถุทางฝ่ายร่างกายมีเครื่องทุ่นแรง มีความรู้ทางเทคนิคดี กำลังประสบความสำเร็จทางฝ่ายวัตถุนี้, เขาก็อิ่มใจ
พอใจ ยินดีตัวเอง นับถือตัวเองในที่สุด; นี่คือโง่อย่างที่สุด ไปสำคัญเอาว่าปัญหาหมดแล้ว,
นี่แหละความหลงหรือความโง่อย่างที่สุดมันอยู่ตรงที่เข้าใจว่า ปัยหาหมดแล้ว, สบายแล้วๆ
ดีกว่าผู้อื่นแล้ว.
จงไปดูความเข้าใจอย่างนี้ของประเทศที่อิ่มพัฒนา สมบูรณ์ในทางพัฒนาและการสังคมสงเคราะห์.
เดี๋ยวนี้ทุกประเทศรวมทั้งประเทศเราด้วย ก็ชะเง้อหวังเรื่องความสมบูรณ์ในทางพัฒนา และการสังคมสงเคราะห์, มีการกระทำที่
ให้อยู่ดีกินดีเต็มที่,
แล้วก็ประกันสังคมสงเคราะห์
ให้คนที่ทุพพลภาพเจ็บไข้
หรือคนแก่ หรือคนทั่วไปก็ตาม ที่ต้องการประกันสังคมสงเคราะห์ จะให้มีงานทำเรื่อย ให้มีอนามัยดีเรื่อย ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วย ก็มีส่วนกลางที่จะรักษา ไม่ต้องเป็นทุกข์ นอนตาหลับ; นี่เขารู้จักกันแต่เพียง 2 เรื่องนี้. พวกคุณก็กำลังจะมีความรู้สึกอย่างนี้ และกำลังบูชาเพียงเท่านี้ได้ นี่ผมคาดคะเนเอา แต่แล้วระวังดูให้ดีว่า นั้นยังเป็นเพียงความโง่ความหลงที่สุดอย่างหนึ่งว่าปัญหาหมดแล้ว ปัยหามีเพียงเท่านั้น.
การที่จะทำให้สิ่งต่างๆทั้งหมดนี้เป็นไปเหมือนกับเครื่องจักร คงจะควบคุมได้
อย่างนี้เป็นความโง่คสวามหลงที่สุด; ที่แท้มันเป็นเรื่องทางจิตใจ ซึ่งจะควบคุมไม่ได้เหมือนเครื่องจักร.
คนที่กินดีอยู่ดีกินดีแล้ว
มีหลักประกันสังคมสงเคราะห์ดีแล้วนั่นแหละมันก็ยังมีปัญฆา,
ไม่ใช่ปัญฆาทางศีลธรรมมันจะหมดไปได้โดยเหตุที่มีการประกันเพียงเท่านั้น. แม้ในประเทศที่มีสังคมสงเคราะห์ดี ก็ยังมีความเสื่อมทางจิตใจ ทางศีลธรรม
และกำลังเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะฆ่ามนุษย์ฝ่ายตรงกันข้าม. เมื่อมีความสมบูรณ์ทางวัตถุทางเนื้อหนัง กระทั่งมีความอุ่นใจทางสังคมสงเคราะห์แล้ว ทีนี้
ก็มีงานที่จะต้องทำต่อไปก็คือ
จะต้องมีการฆ่าฝ่ายตรงกันข้ามอยู่นั่นเอง; โดยเหตุที่ว่า เขาจะมาเป็นอุปสรรค
ทำลายความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทางวัตถุของเรา, เขาจะมาเป็นคู่แข่งขัน กระทั่งเป็นศัตรู กระทั่งทำลายลัทธินี้ที่เราบูชา. โดยหาว่าฝ่ายตรงกันชข้ามเป็นอุปสรรค เป็นศัตรูของความเป็นอยู่อย่างนี้ คือความหลงบูชาความเป็นอย่างนี้มันมากเกินไป, มันมีการทำสงคราม คือฆ่ากันต่อไป ต่อไปอีก
อย่างไม่มีสิ้นสุด
แล้วก็นอนตาไม่หลับเหมือนกัน.
ข้อที่เอามาหลอกตัวเอง หรือปลอบใจตัวเอง ให้ชื่นชมยินดีอยู่เพียงแค่กินดีอยู่ดี มีการสังคมสงเคราะห์ดีนี้ มันจึงไม่พอ
เพราะเหตุนี้. นี่แหละความเจริญทางฝ่ายวัตถุที่ขาดความเจริญในทางฝ่ายจิต,
ความรู้ทางฝ่ายวัตถุที่ขาดความรู้ในทางฝ่ายวิญญาณมันให้ผลเพียงเท่านี้;
คือมัวแก้ปัญหากันแต่ทางฝ่ายวัตถุหรือทางฝ่ายร่างกาย
ยิ่งแก้เท่าไรปัญหาก็ยิ่งมากขึ้นในทางฝ่ายวัตถุ ที่เรียกว่าวัตถุเฟ้อ วัตถุอาละวาด
วัตถุครองโลก
วัตถุครองจิตใจของมนุษย์จนมนุษย์ไม่เป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์วัตถุ เป็นมนุษย์เครื่องจักรอะไรชนิดหนึ่งไป.
โลกสมัยนี้กำลังสนใจ และกำลังเจริญไปแต่ในทางอย่างนี้
ที่กำลังทำให้ตัวเองเป็นเหมือนเครื่องจักรชนิดหนึ่งในทางวัตถุ วิชาเทคนิคต่างๆหรือพวก technicians ต่างๆที่เขามีกันอยู่ คุณดูเถอะมันทำอะไรได้นอกจากทำให้วัตถุเฟ้อ. คำว่า เฟ้อ นี้คือทันก้าวหน้า จนล้ำหน้าเรื่องทางฝ่ายจิตมากเกินไป. ผมขอประกาศตัว
หรือจะเรียกว่าออกตัว
หรืออะไรก็ตามใจว่า
ผมไม่ได้คัดค้านการเจริญวัตถุ
ไม่ได้คัดค้านความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ.
แต่คัดค้านที่มันเฟ้อ
หรือมันล้ำหน้าความเจริญทางฝ่ายจิตมากเกินไป. นี่คุณดูให้ดี
มันคนละเรื่องคนละอัน.
ขอคัดค้านความเฟ้อของวัตถุที่ล้ำหน้าความเจริญทางฝ่ายจิต; แต่ไม่ได้คัดค้านความเจริญทางวัตถุ; เพราะว่าต่อไป มันอาจจะมีมากว่านี้อีกมาก ในเรื่องความเจริญทางวัตถุนั้น,
แค่คนควรต้องรีบเพิ่มความเจริญทางฝ่ายจิตขึ้นไปให้ทันกัน; มิเช่นนั้นแล้ว วัตถุนั้นแหละมันจะกัดเอา หรือมันจะฝังมนุษย์ลงไปในนรก ในเหวใหญ่ในนรก.
ความเฟ้อทางวัตถุนี้ระวังให้ดี, ถ้าความก้าวหน้าทางจิตใจมันไม่ทันกัน, อย่างประเทสไทยเราหรือประเทศไหนก็ตาม, จะพัฒนานั่น
พัฒนานี่ จะสร้างเขื่อนยักษ์ จะสร้างอะไรก็ได้, จะสร้างระบบไฟฟ้าปรมาณูอะไรก็ตาม แต่ถ้าความเจริญทางจิตใจไปไม่ทันแล้ว มันจะมปัญหาเต็มไปหมด นับตั้งแต่มีการทุจริตในการพัฒนานั้นเอง มีคอร์รัปชั่นในการพัฒนาตั้งแต่ต้นขึ้นมาด้วยอย่างนี้
พัฒนาขึ้นมาแล้วก็ยิ่งเพิ่มคอร์รัปชั่นที่ลึกละเอียดยิ่งขึ้นไปทุกที.
นี่มนุษยชาติที่เคยได้รับเกียรติว่าเจริญ หรือเป็นสุภาพบุรุษ หรือไม่มีความคดโกง นี้มันจะหาไม่ได้แล้วในโลกนี้. ในโลกมันกลายเป็นประเทศชาติที่มีความคดโกง ความทุจริตอะไรตามๆกันไหมด เพราะความเฟ้อทางวัตถุ หรือเฟ้อในการพัฒนาทางวัตถุ, เพราะฉะนั้นปัญหามีอยู่ว่าทำอย่างไร ความเจริญ
ความก้าวหน้า
หรือความรู้ทางฝ่ายจิตจะขนานเคียงคู่กันไปกับความเจริญทางฝ่ายวัตถุ, เดี๋ยวนี้มันกำลังทิ้งกันไกล, ทิ้งกันไกลจนทิ้งหมดเลย จนไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน,
เรื่องทางจิตทางวิญญาณไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเพราะมีความเข้าใจผิดอย่างเดียว
ว่า ไม่มีความสำคัญ; สำคัญอยู่แต่เรื่องทางฝ่ายวัตถุ.
นี่เราพูดถึงบรมธรรมกันเรื่อยทุกวันๆ เราพูดถึงบรมธรรม
แล้วก็เตือนอยู่ว่าอย่าปเข้าใจไขว้กันเสีย. บรมธรรมทางวัตถุก้เป็นอย่างหนึ่ง บรมธรรมทางฝ่ายจิตก็เป็นอย่างหนึ่ง. บรมธรรมทางฝ่ายวัตถุนั้น คือบรมธรรมปลอม ความเฟ้อทางวัตถุมันก็ไม่มีทางที่จะถึงที่สุด หรือสูงสุดลงไปที่จุดไหนได้
เพราะว่าความอยากคงามต้องการไม่มีที่สิ้นสุด. เรื่องทางเนื้อหนัง ที่เป็นกิเลสตัรหา ไม่มีทางจะสิ้นสุดมันก้ไม่เป็นบรมธรรมอย่างยิ่งหรือสูงสุดตรงไหนได้; มันก็ไหลไปอย่างนั้นเอง,
มันก็เพิ่มกำลัง
เพิ่มกระแสอะไรมากขึ้นๆ
เผาลนมนุษย์มากขึ้น
แต่เขาก็บูชากันว่าเป็นบรมธรรมคือเหมาเอาว่า
สิ่งที่ดีที่สุดที่มนาย์ควรจะได้นั้นมีเพียงเท่านี้.
คำว่าบรมธรรมที่ถุกเป็นเรื่องทางฝ่ายจิต แล้วจะแก้ปัญหาต่างๆได้;
ขอให้มีความก้าวหน้าทางฝ่ายจิต
จะแก้ปัยหาทางฝ่ายวัตถุได้
แต่มันต้องในระดับที่ไม่เฟ้อ.
เพราะฉะนั้นต้องระวังคำว่าเฟ้อ
หรือไม่เฟ้อไว้ให้ดีๆต้องอยู่ในระดับที่ไม่เฟ้อ. เรื่องมีกินมีใช้ทางปากท้องนี้ ก็ต้องไม่เฟ้อ. ถ้าคนมีจิตใจสูง มีคุรธรรมทางจิตใจสูงจริงแล้ว ก็ไม่ต้องอดตายแน่ จะต้องำอมีกินมีใช้ตามสมควรแก่อัตตภาพ; แต่ไม่หรูหรา เหมือนที่เขาต้องการกันสมัยนี้, ไม่หรูหราฟุ่มเฟือยเหมือนที่เขาต้องการสมัยนี้; จะมีแต่เพียงพอกินพอใช้ อย่างที่เรียกว่า กินอยู่พอดี.
มันอาจจะไม่มีกินดีอยู่ดีตามความต้องการของคนสมัยนี้จริง, แน่นอน;
แต่มีการกินอยู่พอดีตามที่ธรรมชาติต้องการ. ขอเตือนเสมอว่า อย่าให้คำพูด 2 คำนี้ ปนกันยุ่งไปหมดว่า กินอยู่พอดี
กับ กินดีอยู่ดี. ถ้ามี บรมธรรมทางจิตแล้ว เพียงแต่กินอยู่พอดีนี้ก็ไม่มีปัยหาแน่.
ทีนี้ พูดถึงเรื่องอนามัย หรือเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ถ้ามีวัฒนธรรมทางจิตเพียงพอ มีบยรมธรรมทางจิตเพียงพอ โรคภัยไข้เจ็บจะไม่ท่วมท้นโลกมากสมัยนี้.
นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องแยกดูกันโดยละเอียด ว่าโรคภัยไข้เจ็บทางกายนี้ มันมาจากโรคภัยไข้เจ็บทางวิญญาณอย่างไร, ขอยืนยันเป็นเพียง hypothesis ไว้ทีหนึ่งก่อนว่า
ความเจ็บไข้ทางเนื้อหนังทางวัตถุนี้
มันมาจากทางจิต. ยกตัวอย่าง แม้แต่โรคกระเพาะอาหาร โรคความดันโ,หิตสูง ฯลฯ เหล่านี้ ก็มีมูลมาจากโรคทางจิตวิญญาณก่อน จึงเป็นโรคกระเพาะอาหารเป็นต้นได้. เพราะว่าทางจิตทำให้ระบบประสาทหรือระบบของจิตไม่ปรกติ,
มันเอาเลือดไปเลี้ยงความบ้าของมันสมองเสียมากเกินไป จนไม่เอามาย่อยอาหาร, นานเข้าก็เป็นโรคกระเพาะอาหารซึ่งวเป็นวัตถุแท้ๆ เป็นที่กระเพาะอาหาร; แต่คนก็นึกไม่ถึงว่า มีมูลมาจากเรื่องทางจิต, ไปจัดเป็นโรคทางกายก็ถุกแล้ว เพราะมันปรากฏที่กาย; แต่มูลเหตุแท้จริงนั้นมาจากความวิตกกังวล ที่ไม่เคยนอนหลับสนิทจนตลอดชีวิต ถ้ามากเข้ามันก้เป็นโรคทางกายปรากฏออกมา.
ถึงเป็นโรคทางจิต มันก็โรคทางกายนั่นแหละ, บ้าคลั่งไปอยู่โรงพยาบาลปากคคลองสานนั้น ก็เป็นโรคทางกาย คือระบบประสาท
ระบบมันสมองมันเสื่อมเสียไป
นั้นไม่ใช่โรคทางจิตแท้ๆ.
โรคกิเลสนั่นแหละจึงจะเป็นโรคทางจิต
หรือโรคทางวิญญาณแท้ๆ,
เดี๋ยวนี้เขารู้กันแล้วว่า
โรคจิตที่ไปอยู่ปากคลองสานนั้นไม่ใช่โรคจิต เป็นเรื่องของระบบประสาทที่เกี่ยวอยู่กับร่างกาย. เขาก็ยังงงอยู่ว่า โรคจิตแท้ๆคืออะไร เพราะเขารู้เรื่องจิตแต่เพียงจิตชนิดที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่กับร่างกาย. มันต้องมาเรียนเรื่องทางศาสนาโดยเฉพาะ
ให้รู้เรื่องโรคทางจิตวิญญาณจริงๆเสียก่อน,
แล้วก็จะรู้ว่านั่นแหละมันเป็นต้นเหตุของโรคทางจิตด้านนอก กระทั่งโรคทางกาย, โรคทางจิตด้านใน
ทางจิตแท้ๆนั้นมันเป็นต้นเหตุของโรคทางจิตด้านนอกๆ กระทั่งเป็นโรคที่ปรากฏออกมาทางเนื้อ ทางหนัง
ทางร่างกาย.
คำว่า อนามัยนี้
ไม่ได้หมายเพียงว่าอนามัยทางกายเหมือนที่เข้าใจกัน. ต้องมีอนามัยทาง
จิตด้วย.
สมัยนี้เขาก็พูดถึงอนามัยทางจิต
แต่แล้วก็มีความหมายอยู่แค่อนามัยทางกาย
คือจิตที่เนื่องกันอยู่กับกาย, แล้วก็คุยโวโอ้อวยต่างๆนานาว่า รู้เรื่องอนามัยทางจิต. ผมว่าไม่ได้เท่าปีกริ้น
ในเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับอนามัยทางจิตของทางฝ่ายศาสนา; ไม่ว่าของศาสนาไหน ไม่ต้องพูดถึงของพุทธศาสนาอย่างเดียว,
แต่ว่าทางฝ่ายศาสนาเขาไม่เรียกว่าอนามัยทางจิต
เพราะเขาไม่รู้จักเพียงแค่ร่างกายอย่างเดียวเหมือนคนสมัยนี้ หรือไม่รู้เรื่องอนามัยในความหมายอย่างคนสมัยนี้.
ขอใหก้ศึกษาธรรมะเรื่อง มรรค
ผล นิพพาน
ชั้นสูงสุดนี้ในฐานะที่ว่าจะเป็นประโยชน์แก่อนามัยทางจิตเถิด. คุรจะต้องศึกษาธรรมะในฐานะเป็นเครื่องมือ หรืออุปกรณ์เพื่ออนามัยทางจิตด้วย; แล้วอนามัยทางกายก็จะดีเอง. โดยภัยไข้เจ็บตั้ง 80. 90, 95
เปอร์เซ็นต์จะหายไป จะไม่เกิดขึ้น เพราะว่ามีอนามัยทางจิตดี. อนามัยทางจิตดี แล้วก็”ม่เป็นคนสะเพร่า ไม่ทำบีดบาดมือ ไม่เดินตกล่อง. คนที่เกิดหกล้มปากแตก, นี่พูดแล้วมันก็น่าหัว
หรือไม่น่าเชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บทางกายทั้งหมดนี้ มีมูลมาจากโรคภัยไข้เจ็บในทางฝ่ายวิญญาณ.
ธรรมะทุกอย่างเป็นเรื่องแก้ไขโรคทางวิญญาณทั้งนั้น : โดยหัวข้อใหญ่ๆก็มีเพียง ศีล
สมาธิ ปัญญา 3 เรื่อง
แต่โดยรายละเอียดก็มีหลายสิบหลายร้อยเรื่อง; ทั้งหมดนั้นเพื่อแก้ไขโรคทางวิญญาณ. เมื่อไม่มีโรคทางวิญญาณ โรคทางกายก็พลอยไม่มีไปด้วย,
หรือมีน้อยเหลือเกิน.
การที่มีเชื้อโรคทางวัตถุล้วนๆ เช่นโรคอหิวาต์ โรคอะไรเกิดขึ้นนี้ ดูแล้วก็ยังน่ากลัวน้อยกว่าโรคทางฝ่ายจิต เพราะมันทรมานมากกว่ากันมาก;
และบางทีมันจะเกิดขึ้นไม่ได้
ถ้ามนาย์มีความรู้ดีในทางฝ่ายจิต,
ซึ่งสามารถจะมีร่างกายที่เข้มแข็ง
ต่อต้านเชื้อโรคชนิดนี้ได้.
เดี๋ยวนี้มนุษย์เลวลงๆในทางฝ่ายจิต ฉะนั้นสภาพทางร่างกายมันก็เลวลงๆ; ความต่อต้านทางร่างกายมันก็เลวลง.
เชื้อโรคในลักษณะหนึ่งมันทำอันตรายแก่ร่างกายนี้ได้ แต่มันไม่ทำอันตรายแก่ร่างกายอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมีความเข้มแข็ง มีความต่อต้านสูง เพราะว่ามันมีจิตสูง.
เพราะฉะนั้นเราจึงไม่พบพวกโยคีที่มีกายและจิตแข็งแกร่ง คือแข็งทั้งกายและจิตตามป่าดง เป็นโรคชนิดนี้ โรคที่เกิดจากเชื้อโรคเพียงเท่านี้, หรือว่าถ้าจิตสูงจริงๆกินยาพาก็ได้ อย่าว่าแต่เชื้อโรคเลย. นี่เดินกันคนละทางอย่างนี้.
ทีนี้เรามาโง่ทางวัตถุ เป็นทาสทางวัตถุ วัตถุมันก็กดเราให้จมลงๆต่ำลง กระทั่งเรามีความอ่อนแอทางร่างกาย กระทั่งมีเชื้อโรคชนิดหนึ่งก็ทำอันตรายได้ ไม่มีความต้านทานสูงเลย.
แม้โรคเล้กๆน้อยๆมันก็ทำอันตรายมนุษย์ให้ตายหมดทั้งโลกได้ เพราะมนุษย์เลวลงในทางความต้านทานเพราะบูชาเนื้อหนัง จนเนื้อหนังอ่อนแอต่อการต้านทานโรค. ปัญหาก็เกิดขึ้นอย่างสมน้ำหน้า, ขออภัยพูดหยาบๆ เพราะมันเป็นอย่างนี้จริงๆ.
สมน้ำหน้าที่ว่ามนุษย์บูชาวัตถุมากเข้าเท่าไหร่ ก็ต้องได้รับผลตอบแทน หรือการลงโทษตอบแทนมากอย่างสาสมกันทีเดียว.
ปัยหาจึงเต็มไปหมดยุ่งยากเต็มไปมหดจนเวียนหัว จนไม่รู้ว่าจะแก้กันอย่างไร; ยิ่งแก้ก็ยิ่งเข้าลึก, ไม่ใช่ว่ายิ่งแก้แล้วมันยิ่งดี แต่ยิ่งแก้มันยิ่งเข้าไปลึกมากกว่าเดิม. ข้อนี้อาจจฟังยาก แต่ไม่ยากเกินไปจนเข้าใจไม่ได้ คุณไปคิดดูให้ดีเถอะ.
ปู่ ย่า
ตา ยาย ของเราก็พูดวลีหนึ่งมีว่า : “วัวยิ่งแล่น ไถก็ยิ่งกินลึก”
นี้หมายความว่า
วัวมันยิ่งกระชากไปเท่าไร
ไถมันก็ยิ่งกินลึกมากเขาเท่านั้น
มันเป็นเรื่องของความโง่.
เรายิ่งโง่มากเข้าไปเท่าไร
โง่ยิ่งลึกเข้าไปเท่าไร,
ปัญหามันก็ยิ่งมากยิ่งลึกเข้าไปเท่านั้น.
ฉะนั้นจะระดมทุ่มเทกำลังเครื่องทุ่นแรงกำลังทางเทคนิค กำลังอะไรยิ่งลึกเท่าไร, ปัญหาก็ยิ่งลึกตามมากขึ้นไปเท่านั้น. มันก็ไม่เป็นไปในทางแก้ แต่เป็นไปในทางทำให้ปัญหาเพิ่มมากขึ้นๆ โดยไม่รู้สึกตัว. มันเหมือนกับฝ่ายสนองตอบ เช่นเราอยากได้เงินบาทหนึ่ง พอได้มาบาทหนึ่ง ก้ไม่พอใจ,
เพราะว่าอยากได้ 5 บาท 10 บาทเสียแล้ว; อย่างนี้เรื่อยไปจนไม่มีที่สิ้นสุด ความพอใจเกิดขึ้นไม่ได้. เรื่องสนองความต้องการทางวัตถุก็เหมือนกัน ยิ่งแก้มันยิ่งกินลึก.
เดี๋ยวนี้ยิ่งไปไกลกว่านั้นอีก,
ที่น่าเศร้าใจ น่าตกใจก็คือว่า
เครื่องมือที่สร้างขึ้นมาเพื่อแก้นี้
มันกลายเป็นเครื่องมือที่ไปเพิ่มกำลังให้แก่ปัญหา,
ยกตัวอย่างที่เราสร้างเครื่องมือสื่อมวลชนขึ้นมาได้ เพื่อจะแก้ปัยหาของสังคมนี้ มันกลับไปเพิ่มปัยหาทางสังคม คุณไปมองดู : เราประดิษฐ์อะไรขึ้นมา
เพื่อจะแก้ปัญหายุ่งยาก
หรือความเดือดร้อน แล้วก็สร้างขึ้นมา.
อย่างสร้างเครื่องวิทยุขึ้นมาสำเร็จอย่างนี้ ส่งกระจายเสียงไปทั่วโลกอย่างนี้
พวกชาวโลกก็หาได้ใช้ไปในทางที่จะแก้ปัญหานั้นไม่ มันกลับเพิ่มปัญหา คือเป็นสื่อสำหรับแพร่โรคติดต่อ หรือเชื้อโรคทางวิญญาณนี้ ให้ระบาดไปทั่วโลก; ก็มีโรคมากขึ้น มีปัญหามากขึ้นกว่าเดิม.
เช่นเราจะเล็งถึงการศึกษา มีระบบการศึกษาดีมาก. แต่แล้วมันก็ถูกใช้ไปในทางทำให้คนเป็นทาสของวัตถุ, แล้วปัญหามันจะสิ้นสุดอย่างไร เพราะปัญหามาจากวัตถุนิยม. อะไรๆที่สร้างขึ้นมาก็เป็นเหยื่อของวัตถุนิยม, เพราะฉะนั้นความเจริญก้าวหน้าทั้งหมดนี้ มันก็เป็นการช่วยฝ่ายภูตผีปีศาจ ที่จะรังความมนุษย์มากขึ้นเท่านั้นเอง, แล้วก็เรื่อยๆไป,
นี้คือความตกเป็นทาสของวัตถุนิยมมีลักษณะอย่างนี้. ทีนี้ถ้าเป็นมนุษย์ที่มีมโนธรรม มีความนิยมในท่างธรรม หรือทางจิตนี้จะมีอย่างนี้ไม่ได้ จะมีภาวะอย่างนี้เกิดขึ้นไม่ได้ จะไม่ทำสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำ; จะเป็นอยู่พอดีกินอยู่พอดี มีอนามัยพอดี
มีความแข็งแกร่งจากธรรมชาติ
โดยธรรมชาติเพื่อต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติของมันได้.
นี่แหละ เรามีวิธีการที่จะต่อต้าน
หรือแก้ปัญหาตามแบบของฝ่ายมโนนิยมหรือบรมธรรมในลักษณะอย่างนี้; เราไม่พึ่งเครื่องจักร ไม่พึ่งเครื่องทุนแรง ไม่พึ่งเทคนิคอะไร เราก็สามารถจะต่อต้าน แก้ปัยหาเรื่องไม่มีกิน ไม่มีใช้
ไม่มีอนามัยดีนี้ได้; และจะเป็นไปนำลักษณะที่พอดี. คุรดูก็แล้วกันว่า ทำไมคนจึงเหลือมาจนถึงสมัยนี้ มาเป็นปู่
ย่า ตา ยาย
ของคนสมัยนี้ได้;
ทำไมมันตายไม่หมด.
คนที่ไม่ณุ้หนังสือ
ไม่มีอนามัยดีอะไรเหล่านั้น
ทำไมจึงตายไม่หมด,
ทำไมจึงมาเป็นบิดามารดา ปู่ ย่า
ตา ยาย ของคนสมัยนี้ได้. ถ้ามีความสุขทางจิตใจ มันไม่มีปัญหาอย่างนี้ แม้แต่การงานก้เป็นของเล่นไป ไม่หนักอกหนักใจ ไม่วิตกกังวล
ไม่มีการนอนไม่หลับ
เหมือนที่กำลังเป็นกันอยู่ในหมู่นักนิยมวัตถุ หรือนายทุน
หรืออะไรก็ตาม.
แล้วปัญหาเรื่องความเจ็บความไข้นั้น
มันเป็นปัญหาน่าหัวเราะมากทีเดียว คุณไปคิดดูให้ดีเถิด.
พวกที่ถือศาสนา ถือพระเจ้า
ถือมโนนิยมนั้น
เขาหัวเราะเยาะความเจ็บไข้
ความตาย. นี่คุณก็ต้องสังเกตนะ ผู้ที่เต็มไปด้วยคุณธรรมนี้ เขาหัวเราะเยาะความเจ็บ ความไข้
ความตาย, ไม่ใช่กลัวอย่างความกลัวขึ้นสมอง
เหมือนคนสมัยนี้.
ความเจ็บชนิดหนึ่งก้กลัวกันได้อย่างมากมาย,
ความตายก็กลัวกันอย่างทำอะไรไม่ถูก.
ส่วนพวกบริษัทของศาสนานั้น
เขาหัวเราะเยาะความเจ็บไข้
ความตาย ความอะไรก็ตาม.
พวกหนึ่งก็เชื่อว่า
ความตายนี้เป็นความประสงค์ของพระเจ้า จะเรียกตัวเราไปอยู่กับพระเจ้า เราก็ยินดีที่จะไป เพราะฉะนั้นความตายก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นใจไปเลย ไม่ใช่น่ากลัว. การเจ็บไข้
ก็เมื่อถือว่าเป็นความประสงค์ของพระเจ้า
ก็ไม่ต้องกลัวอะไร
ก็นอนเจ็บไข้อย่างยิ้มแย้มได้.
หรือความวิบัติต่างๆในโลกนี้
เช่นแผ่นดินไหว น้ำท่วม อะไรก็ตาม
ก็เป็นความประสงค์ของพระเจ้า,
เขาก้หัวเราะได้. ถ้าจะตายมันก็ตายอย่างเดียวกันอีก
คือตามประสงค์ของพระเจ้า.
หรือว่ามนุษย์ที่มีปัญญา
เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ก็หัวเราะได้ ไม่ต้องกลัว. นี้มันแก้ปัญหากันคนละแบบอย่างนี้, เพราะนั้นคุณต้องระวังให้ดีๆ.
พวกวัตถุนิยม ที่เป็นทาสของวัตถุ เขาก็บอกว่า
โอย, ป่วยการ, เรื่องศาสนา
นี้เอาไว้สำหรับปลอบใจคนที่ไม่มีความสามารถ, คุรเคยได้ยินไหมประโยคนี้? พวกนักการศึกษาก้าวหน้าสมัยนี้ เขาประณามศาสนาว่า ศาสนานี้ไว้เพียงเพื่อปลอบใจคนทุพพลภาพ;
ทุพพลภาพไม่มีกินไม่มีใช้ก็เอาศาสนาเป็นเครื่องปลอบใจว่า เออ,
มันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นกรรมของเรา. หรือปลอบใจ
เมื่อทำอะไรไม่ได้มากเหมือนเขา
ไม่มีเครื่องจักร ไม่มีอะไรทำ ก็ปลอบใจว่าเราก็สนัโดษยินดี. นี่มันเป็นความคิดของคนเหล่านั้น ที่เขามักจะตั้งปัญหาถามในรูปทำนองอย่างนี้.
มันเป็นการถามที่ล้อเลียน
หรือเยาะเย้ยไปในตัว.
เพราะเรื่องอบรมจิตเป็นจิตพิเศษ
ไม่กลัวตาย ไม่กลัวอะไรนี้ เขาว่ามันเป็นเรื่องปลอบใจคนโง่. เพราะว่าในถิ่นนั้นๆในประเทศนั้นๆ มันไม่มีพัฒนาการทางทำมาหากิน ไม่มีการอนามัยดี มีโรคภัยไข้เจ็บมาก เป็นคนจน
ก็ต้องมีเครื่องมาปลอบใจ
หรือหลอกให้ยินดีไปตามแกนๆอย่างนั้น;
เรื่องศาสนาก็มีเพียงเท่านี้เอง
เขาว่าอย่างนี้.
นี่คือคำพูดของคนที่ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า “ศาสนา”;
แม้เป็นคริสเตียนก็ทิ้งศาสนาคริสเตียน,
เป็นศาสนาไหนก็ทิ้งศาสนานั้น,
มันดีแต่ว่าศาสนาพุทธเรายังไม่เป็นเอามากๆถึงเพียงนั้น.
เราต้องมาลองคิดดูถึงข้อที่ว่า
พุทธศาสนาในอินเดียสองพันกว่าปีสามพันปีมานี้. อินเดียสมัยนั้นมันก็ไม่ได้แห้งแล้งอย่างอินเดียสมัยนี้, อย่าเข้าใจผิดนะ, การทำผิดของประชาชนพลเมืองทำให้แผ่นดินแห้งแล้งเกี่ยวกับเรื่องทางฟิสิกส์มันจึงมีอดอยากมาก,
ประเทศอินเดียคนที่ยากจนเพราะอยู่ในประเทศที่แห้งแล้ง. มันก็จริงถ้าพูดอย่างหลับหูหลับตา,
ดินแดรปาเลสไตน์ที่เป็นที่เกิดของศาสนาคริสเตียนหรืออาหรับนี้,
สมัยโน้นมันก็ไม่ได้แห้งแล้งเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้
มันยังมีความชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์
เพราะว่าโลกยังดีอยู่
ยังไม่ถูกทำลายเหมือนสมัยนี้,
หรือไม่ได้ผันแปรมาอย่างสมัยนี้.
เพราะฉะนั้นจะพูดว่าศาสนาพุทธ
ศาสนาคริสต์ เกิดขึ้นในยุค ในสมัย
ในถิ่นที่เต็มไปด้วยความแห้งแล้ง
อดอยากยากแค้น
ไม่มีอนามัยเหลือเลย นี้ไม่ถูก.
เขาดูถูกว่า สมัยนั้นกาสรแพทย์ไม่เจริญ คนเจ็บป่วยมาก
ต้องมีอะไรมาหลอกใจ
อย่างเรื่องพระเจ้า หรือศาสนา,
อย่าได้เป็นทุกข์ในเรื่องเจ็บไข้; นั่นก็ถูกอยู่นิดเดียวส่วนหนึ่งเท่านั้น
แต่ที่จริงเขาเป็นโรคภัยไข้เจ็บน้อยกว่าคนสมัยนี้ เป็นโรคภัยไข้เจ็บยากกว่าคนสมัยนี้; แล้วเขามีความกินอยู่พอดีคือพอสบายดีแล้วในทางกาย ส่วนทางสติปัญญามันยังไม่พอ; เขาคิดว่า ยังมีอะไรดีกว่านี้ เขาจึงคิดค้นจนพบหลักของศาสนา
จนพบหลักของการทำให้จิตให้มีความสุขสูงขึ้นไป จากความพอแล้วในทางร่างกาย, ทางร่างกายนั้น มีการกินอยู่พอดี สบายดี
อนามัยก็ดี.
นี่แหละคนสมัยนี้โง่เอง มองดูประเทศอินเดียสมัยนี้ มองดูดินแดนปาเลสไตน์สมัยนี้ ซึ่งเป็นถิ่นแห้งแล้งกันดารอดอยากยากแค้น ในอินเดียก็มีความยากจน อดตายก็มี
เขาก็มีพุทธศาสนาเพื่อจะแก้ปัญหานี้; คิดไปอย่างนี้
ว่าไปอย่างนี้
คนพูดบ้าเองโง่เอง.
ขอให้มองเห็นว่า
มันเป็นการก้าวหน้าอีกก้าวหนึ่ง
ออกไปทางฝ่ายจิต คนสมัยวัตถุนิยม เขาไม่มองในแง่นี้ แต่มองไปในแง่ว่า เพราะขาดแคลนทางวัตถุ จึงต้องปลอบใจตนเอง.
ที่แท้ความอิ่มหมีพีมันทางวัตถุจะต้องมีแล้วตั้งแต่สมัยโน้น.
พวกฝรั่งสมัยนี้ก็ไม่เข้าใจคำที่พระเยซูพูดว่า
:- ชีวิตมนุษย์ไม่ได้เนื่องกันอยู่กับขนมปัง แต่มันเนื่องกันอยู่ธรรมะของพระเจ้า”. คือเมื่อพระเยซูไปนั่งทำความเพียรบนภูเขา มีมารมาบอกว่า ถ้าเก่งจริง เป็นลุกพระเจ้าจริง, ก็จงเสกก้อนหินทั้งภูเขานี้ให้เป็นขนมปังดูซิ. พระเยซูจึงตอบประโยคนี้ออกมา, ซึ่งพวกฝรั่งสมัยนี้เองก็ไม่เข้าใจ ที่ว่า
“ชีวิตนี้มิใช่เป็นอยู่ได้ด้วยขนมปัง
แต่เป็นอยู่ด้วยพระธรรมของพระเจ้า”.
นี่หมายความว่า พวกคนร่ำรวยสมัยนั้น ไม่ยินดีรับคำสอนของศาสนา เพราะไปเข้าใจว่าเราเป็นมนุษย์มีชีวิตรอดอยู่ได้เพราะอาหารต่างหาก, คำว่าขนมปังหมายถึงอาหาร ฉะนั้นต้องทำทั้งหมดให้เป็นอาหารขึ้นมาจึงจะนับถือ
นี่พระเยซูพวกจิตนิยมก็บอกว่าชีวิตไม่ได้อยู่ได้เพราะอาหาร เพราะขนมปัง,
แต่อยู่ได้เพราะธรรมะของพระเจ้า.
นี่พระเยซูเป็นผู้รู้หรือเข้าใจในเรื่องนี้ จึงตอบมารอย่างนี้ เพราะฉะนั้น
มารก็ไม่มีอะไรนอกจากความหมายทั้งหมดของวัตถุนิยม. พวกฝรั่งเดี๋ยวนี้ แม้พวกคริสเตียนก็น้อยคนที่จะเข้าใจว่า “มนุษย์ไม่ได้อยู่ด้วยขนมปัง, แต่อยู่ได้ด้วยพระธรรมของพระเจ้า”. ทั้งๆที่คำพุดเหล่านี้เขาก็ท่องอยู่ทุกวัน
สวดอยู่ทุกวัน อ่านอยู่ทุกวัน. พวกศาสนาอื่นก็เหมือนกันจะต้องเข้าใจว่า ชีวิตไม่ใช่มีอยู่ได้ด้วยอาหาร หรืออาหารอย่างเดียว, จะต้องด้วยธรรมะเท่านั้น. นี้ก็หมายความว่าชีวิตนี้คือชีวิตจริง ไม่ใช่ชีวิตเนื้อหนังร่างกาย; ชีวิตที่เป็นเนื้อหนังร่างกายนั้น
แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็เป็นอยู่ด้วยอาหาร.
แต่ชีวิตคนนี้มันควรจะมีความหมายสูงกว่านั้น ต้องเป้นอยู่ด้วยธรรม; เรื่องทางจิตทางวิญญาณมันจึงเกิดขึ้น.
ทีนี้เมื่อเรามีความเข้าใจถูก ในทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ อย่างที่เรียกว่าเห็นได้ด้วยตนเอง, เห็นและคิดได้ด้วยตนเองว่า ระบบศาสนานี้มันไม่ใช่เพื่อหลอกคนให้ยินดีไปวันหนึ่งๆเพราะว่ายากจน หรือว่าหมดปัญญาหมดทางสู้;
แต่เขาต้องการให้จิตหรือไม่เป็นวัตถุ
ที่เรียกว่า “ว่าง” ไม่ยึดถือว่าเป็นอะไรอย่างนั้นอย่างนี้. มันเป็นธรรมชาติล้วนๆจึงว่างจากสิ่งที่จะเรียกว่ากาย หรือเรียกว่าจิตจิต; นี้คือตอนลึกสุดของสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ที่เป็นโลกุตตรธรรม :
จะไม่มีกาย จะไม่มีจิต, จะมีแต่ความว่าง ซึ่งอธิบายกันได้ยืดยาว ต้องพูดกันคราวอื่น. หรือคุณต้องไปหาอ่านดูเอง เรื่องความว่างนี้ ไม่รู้สึกว่า
สัตว์ บุคคล ตัวตน
เราเขา, ไม่มีทั้งกาย ไม่มีทั้งจิต
มันไปไกลลิบไปเลย;
นั่นแหละยอดสุดของความก้าวหน้าทางฝ่ายจิต
หรือบรมธรรมมันต้องไปถึงขนาดนั้น.
ทีนี้เรารู้สึกว่า น่าหัวเราะ
หรือน่าสงสาร
ที่พวกฝรั่งมาถึงก็ถามว่า
พวกท่านมีวิธีแก้ปัญหาความอดอยาก
อนามัยเลวกันอย่างไร?
นี้เขามาถึง
เห็นบ้านเราเป็นกระท่อมซอมซ่อ
เป็นกระต๊อบ เป็นอยู่อย่างนี้ เขาก้สันนิษฐานเอาว่าแย่แล้ว การกินอยู่ฝืดเคือง อดอยากอนามัยเลวมาก; ก้เลยถามทำนองเยาะเย้ย ทำนองล้อเลียนแฝงอยู่ในคำถามนั้น. เขากลัวจะเสียมารยาท ไม่กล้าล้อโดยตรง ถามโดยตรง
ก็ถามด้วยคำถามแฝงเยาะเย้ย
ล้อเลียนว่าพวกคุณแก้ปัญหาเรื่องความยุ่งยากลำบากไม่มีกินไม่มีใช้ เรื่องอนามัยไม่ดีนี้กันอย่างไร, ในเมื่อมัวแต่ไปวัดไปวา ทำบุญให้ทาน
หรือเป็นอยู่อย่างนั้น.
นี่ความที่เขาเคยชินแต่เรื่องความก้าวหน้าทางวัตถุ, มีอาชีพดี
มีสังคมสงเคราะห์ดี, หมดปัญหาเรื่องความเจ็บความไข้
ความไม่มีงานทำ อะไรต่างๆนี้มันน่าหัว.
ขอให้พวกเราเข้าใจถึงหัวใจ
หรือจุดปลายทางของเรื่องทางจิตทางวิญญาณนี้ แล้วจะหมดปัญหาเรื่องนี้, แล้วก็จะมองเห็นชัดว่า
ความเจริญทางวัตถุอย่างเดียวนั้นเป็นอันตรายที่สุด, ว่าการสังคมสงเคราะห์ที่ฟังไพเราะที่สุดของโลกสมัยนี้ก็เป็นเรื่องแต่ฝ่ายทางวัตถุ ฉะนั้นสังคมสงเคราะห์แบบนี้มีมากขึ้นเท่าไร คนก็จะอ่อนแอลงเท่านั้น เลวลงเท่านั้น; อ่อนแอลงจนไม่ช่วยตนเองได้ตามลำพัง ด้วยเรื่องกำลังจิต กำลังสติปัญญา
ต้องอาศัยระบบเครื่องจักร
มีการช่วยกันผลิต
แล้วมีการสังคมสงเคราะห์อย่างนี้เรื่อยไป; แล้วก็ทนอยู่ด้วยความหวาดกลัว นอนไม่หลับ
แล้วไม่อาจจระงับสงครามอันยืดเยื้อนี้ได้.
คุณเป็นนักศึกษา ก็ให้เป็นนักศึกษาดีๆก็แล้วกัน
อย่าไปหลงเรื่องการศึกษาชนิดที่ยิ่งศึกษายิ่งโง่ของคนสมัยนี้ ในโลกนี้
ในเวลานี้เลย. ยิ่งศึกษายิ่งโง่ ยิ่งศึกษามากยิ่งมีปัญหามาก ยิ่งพัวพันหนักขึ้นเหมือนสัตว์ที่มันชักใย พันตัวเองหนาเข้าๆ; แล้วไรก็ไม่รู้
ที่มันจะทำลายสิ่งห่อหุ้มเหล่านี้ออกมาได้. สู้ตัวด้วงตัวหนอนก้ไม่ได้
ที่มันมีวันเวลาที่จะทำลายสิ่งห่อหุ้มเหกล่านั้นออกมาได้ ส่วนมนุษย์ในโลกวัตถุนิยมนี้
ดูยังไม่มีหวังที่จะทำลายใยที่ชักพันตนเองนี้ออกมาได้ จนกว่าเมื่อไร
เขาจะหายโง่มาสนใจเรื่องบรมธรรม
หรือความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณกันเสียบ้างเท่านั้นเอง. เพราะว่าสิ่งนี้มันจะทำลายสิ่งที่ห่อหุ้มครอบงำ ปิดบัง
เผาลน อะไรต่างๆได้หมด.1
1 ธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส เรื่อง
บรมธรรมภาคต้น, ลำดับที่ 19 บนแถบพื้นสีแดง, เรื่องที่ 21 บรมธรรม กับ
การแก้ปัญหาไม่ถุกจุด, บรรยายวันที่ 28 เมษายน 2512, หน้า 371-390.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น