ปริเฉทที่สอง
บัดนี้,
เมื่อองค์ท่านของเราได้มายุถึงสิบแปดชันษา,
พระราชาได้บัญชาให้ได้มีการสร้าง
พระราชวังสามสถานตามฤดูกาล,
หนึ่งนั้นด้วยคานไม้สนซีดาร์จตุรัส
ถากฟันประกอบกันเรียงราย,
อบอุ่นในเหมันตกาล;
หนึ่งนั้นด้วยหินอ่อนลายแซมสายแร่,
เย็นฉ่ำในยามกลางใจร้อนของคิมหันตฤดู;
และอีกหนึ่งนั้นทำด้วยอิฐเผา,
พร้อมด้วยกระเบื้องสีฟ้าประดับดาด,
สุขสบายในยามหว่านเมล็ดพันธุ์,
เมื่อยามจำปาแตกยอดอ่อน –
สุภะ
(Subha-คำเดิมต้นฉบับ), สุรัมมะ (Surumma-คำเดิมต้นฉบับ), รามมะ (Ramma-คำเดิมต้นฉบับ),
คือชื่อของเขาเหล่านั้น.
ทั่วทั้งอุทยานต่างล้วนเลิศล้ำด้วยการแย้งผลิบานของพวกเขา.
ลำธารทั้งหลายไหลถะถั่งแรงและอายกลิ่นฉุนแรงหนาทึบออกมา,
ด้วยศาลาสดใสมากมายและสนามหญ้าขจีนุ่มเหล่านั้นเอง
ในท่ามกลางอันองค์สิทธัตถะอาศัยตามใจประสงค์,
ความยินดีพึงใจอันใหม่จัดหาให้อยู่ในทุกชั่วโมง;
และหลายชั่วโมงความสุขนั้นพระองค์ทรงรู้,
ถึงชีวิตนั้นร่ำรวย,
ด้วยสายโลหิตวัยหนุ่มอันร้อนแรงว่องไวที่สุด; กระนั้นก็ยัง
กลับมาให้คำนึงถึงเงาของการนั่งสมาธิครั้งนั้น,
ยามที่ทะเลสาบเป็นสีเทาเงินวาวขุ่นมัวด้วยเมฆาล่องลอย.
ซึ่งองค์ราชาได้สังเกตเห็นการนั้นได้,
ตรัสเรียกเสนาบดีของพระองค์:
เจ้าเร่งคิดเถิด, สูเจ้า! มหาริชีชราได้ว่าไว้เช่นไร,”
องค์ราชาตรัส,
“และโหราจารย์ผู้อ่านฝันของเราได้ทำนายไว้เช่นไร.
เด็กชายผู้นี้,
เป็นที่รักของข้ามากกว่าสายโลหิตจากดวงใจของตัวข้า,
จะเป็นผู้ครอบครองทั่วเอกภพจบแว่นแคว้นทั้งปวง,
เหยียบย่ำซึ่งทุกคอของศัตรูทั้งปวงของเขา,
ราชาแห่งราชา –
และนี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวใจของข้า; --
หรือว่าเขาจะก้าวย่างไปในสิ่งเศร้าโศกและวิถีต่ำต้อย
ของการปฏิเสธตนเองและเคร่งในศรัทธาแห่งธรรมอันทุกข์ยาก,
บรรลุซึ่งว่าผู้ที่รู้ว่าอันใดคือธรรม,
เมื่อทั้งหมดนั้นได้สูญเสียสิ้น
ซึ่งสิ่งที่ควรค่าต่อการรักษาไว้; และต่อสิ่งนี้ในสายตาชาญฉลาดยิ่งของเขา
จะยังคงหันเหไปจากท่ามกลางราชวังทั้งหลายของข้า.
แต่พวกสูคือบรรดาปราชญ์ผู้เจนจบ,
และพวกสูท่านนั้นได้ให้แก่คำปรึกษาต่อข้า;
เท้าของเขานั้นอาจจะหันเบนไปจากวิถีทางอันสูงศักดิ์นั้นได้อย่างไรกัน
ที่ใดหรือที่พวกเขาควรจะก้าวย่างไป,
และบรรดาลางเหตุปรากฏทั้งปวงจะมาเป็นจริง
ซึ่งมอบต่อเขาซึ่งปฐพีภพให้ปกครอง,
ถ้าเขาจะครอบครองกระนั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสทูลตอบ, “มหาราชา! ความรัก
จะบำบัดรักษาอารมณ์เปราะบางที่ผิดร้ายไปนี้ได้; ถักทอด้วยมนตรา
แห่งเพทุบายของอิสตรีต่อหัวใจอันเฉื่อยชาขององค์โอรส.
โอรสผู้เยาว์สูงศักดิ์นี้ยังหาได้ล่วงรู้ถึงความงามนั้น,
ดวงตางามงดที่ทำให้สวรรค์หลงลืมตน,
และริมฝีปากอันหอมละมุนนั้นหรือ?
โปรดหาเหล่าภรรยาที่นุ่มนวลให้กับองค์โอรสและเพื่อนเล่นอิสตรีเถิด;
ความคิดทั้งหลายที่ว่าตนจะมิอาจอยู่ยั้งย่อมจำนนต่อโซ่ตรวนแวววาว
ด้วยเกศาสลวยนุ่มบางเบาของเด็กสาวบดบังดังม่านไหม.”
และทั้งหมดต่างพ้องกันคิดว่าดี,
แต่องค์ราชาตรัสตอบว่า, “
ถ้าเราเสาะหาเหล่าภริยาแก่เขา,
ความรักที่ถูกเลือกมาผิดกาละด้วยสายตาของผู้อื่นนั้น;
และถ้าเราเชื้อเชิญยกเอาเหล่าอุทยานความงามมาเสนอเช่นนั้น,
เพื่อจะเด็ดดึงอะไรที่ผลิบานตามใจชอบแล้ว,
เขาก็จะแย้มยิ้ม
และหันหนีอย่างง่ายดายเบิกบานที่เขาหาได้ล่วงรู้ซึ้งถึงไม่.”
แล้วก็มีอีกผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นบ้าง,
“ขับต้อนกวางบาราซิงก้า (Barasingh-คำเดิมต้นฉบับ) ให้ท่องไป
จนกว่าลูกศรและชตาลิขิตจะโบยบินเข้าหา; สำหรับองค์โอรสแล้ว,
ที่จิตวิญญาณเทพเทวะลดน้อยลงแล้ว,
เสน่ห์เหล่านั้นสักอย่าง,
บางใบหน้าที่ดูเหมือนสรวงสวรรค์,
ลางรูปร่างทรวดทรง
ที่งามงดกว่าเทวีอรุณเมื่อพระนางปลุกตื่นโลกา,
นี่จะได้ผล, องค์ราชาของข้า! จงมีบัญชาให้จัดงานเฉลิมฉลอง
ที่ซึ่งเหล่าสาวงามจะได้มาประชัน
ในวัยเยาว์และงามสง่า,
และมีกีฬาเช่นที่เหล่าศากยะ (Sâkyas-คำเดิมต้นฉบับ) ได้ใช้มาเถิด.
ให้เจ้าชายได้ประทานรางวัลแก่เหล่าสาวงามนั้น,
และ,
เมื่อผู้มาเยือนอันน่ารักนั้นได้ผ่านที่ประทับขององค์โอรส,
จะได้มีผู้ที่ให้หมายสังเกตเห็นได้สักรายหนึ่งหรือสอง
ที่ได้ทำให้ความโศกาอันปรากฏที่บนแก้มขององค์โอรสได้เปลี่ยนไป;
แล้วเราก็จะได้เลือกเอารักนั้นด้วยความรักอันปรากฏซึ่งดวงตาของตนเอง.
และโกงองค์โอรสเข้าสู่ความสุขสันต์.”
สิ่งนี้ดูท่าจะดี,
ที่ซึ่งต่อมาในวันเวลา
ได้ป่าวร้องให้สาวเยาว์และงดงาม
ผ่านสู่ยังพระราชวัง,
การนั้นเป็นเช่นในบัญชา
เพื่อยึดคงไว้ให้ราชสำนักแห่งหฤหรรษ์,
และเจ้าชาย
จะได้ประทานรางวัล,
บางสิ่งที่มั่งคั่งในทั้งปวง,
ร่ำรวยที่สุดสำหรับการตัดสินที่ทรงยุติธรรมที่สุด. แล้วก็คราคร่ำ
ด้วยสาวงามกบิลพัสดุ์ (Kapilavastu-คำเดิมต้นฉบับ) สู่ยังทวารบาน.
แต่ละนางด้วยเกศาดำขับนุ่มสลวยและผูกรวบไว้,
ขนตาอันแวววาวด้วยแท่งสีซูร์มา (soorma-stick-คำเดิมต้นฉบับ),
สรงน้ำชำระกายแล้วและกรุ่นกลิ่นอาย; ทั้งหมดอยู่ในชุดผ้าคลุมไหล่และส่าหรี
แห่งงานสุดเริงร่า,
มือและเท้าบอบบางเสลาเปลือยเปล่าและแต้มสีใหม่สดใส
ด้วยชาดแดง, และจุดแต้มดอกลายประทับสดใส.
งามสะพรั่งไปทั้วของบรรดาเด็กสาวอินเดียนเหล่านั้น
เยื้องกรายเชื่องช้าผ่านบัลลังก์ด้วยเนตรกลมโต
จับจ้องอยู่พื้นดิน,
เพราะเมื่อพวกเธอได้เห็นเจ้าชายนั้น
เป็นตื่นกลัวมากยิ่งกว่าชายหนุ่มเสียอีกที่ทำให้
หัวใจเขินอายของพวกเธอเต้นรัวระทึก,
องค์ท่านประทับนั่งอยู่อย่างช่างไร้อารมณ์,
อ่อนโยน,
แต่เหมือนอยู่ไกลโพ้นพ้นไปจากพวกนาง.
แต่ละสาวต่างหลุบตาลง
ด้วยเปลือกตาแต้มสีของนาง,
เกรงที่จะจ้องจับสายตา;
และถ้าผู้คนโห่ร้องชมเชยที่น่ารักรายหนึ่งใดขึ้นมา
ที่เหนือกว่าคู่แข่งขันควรค่าแก่รอยยิ้มขององค์ชาย,
นางก็ได้หยุดยืนยั้งดั่งกวางสาวที่ตื่นกลัวที่จะสัมผัส
พระหัตถ์สูงสง่างามนั้น,
แล้วก็รีบเร่งหนีไปเข้ากับกลุ่มสหายสาวงามของนาง
เนื้อตัวสั่นเทาต่อความกรุณา,
และช่างสูงส่งดุจเทวาที่พระองค์ปรากฏให้เห็น,
ช่างสูงและดุจเทพไท้เสียจริงและพ้นเหนือไปจากโลกต่ำต้อยของนาง.
การรีบหนีเป็นอยู่เช่นนี้ของพวกนาง,
รายแล้วรายเล่าของสาวเยาว์วัยอันสดใส,
มวลหมูผกาของนคร,
และทั้งหมดของขบวนความงามนี้ที่ได้ผ่านมา
จนถึงท้ายที่สุดและรางวัลได้ประทานหมดสิ้นไป,
เมื่อนางสุดท้าย
ได้มาถึงคือ ยโสธรา (Yasôdhara-คำเดิมต้นฉบับ), และพวกเขาเหล่านั้นที่ได้ยืนอยู่เคียงข้าง
ใกล้ชิดที่สุดกับเจ้าชายสิทธัตถะ (Siddârtha-คำเดิมต้นฉบับ) ได้เห็นเจ้าชายหนุ่ม
เริ่มต้นขึ้น, เมื่อสาวนางนั้นเปล่งรัศมีเข้ามา.
รูปร่าง
ดั่งหลอมออกมาจากเบ้าพิมพ์ของสวรรค์; เยื้องย่างปานประหนึ่งพระแม่ปารวตี (Parvati-คำเดิมต้นฉบับ- ชายาพระศิวะเทพีแห่งรักและความอุดมสมบูรณ์-ผู้แปล),
ดวงตาดุจกวางสาวในห้วงกาลแห่งรัก,
ใบหน้างามยิ่ง
สุดที่คำใดจะแต้มแต่งเติมมนตราของตนได้; และนางเองตามลำพัง
จับจ้องมองเต็มที่ –
กุมมือของตนผ่านพาดทรวงอกของนาง –
ในสายตาที่จับจ้องมาของเด็กหนุ่ม,
ลำคอระหงของนางนั้นหาได้อ่อนโค้งลงด้วยไม่.
“ยังมีรางวัลประทานให้แก่หม่อมฉันหรือไม่เพคะ?
นางถาม, และยิ้ม.
“รางวัลนั้นหมดสิ้นไปแล้ว,”
เจ้าชายน้อยตรัสตอบ, “กระนั้นก็ตามจงรับเอา
สิ่งนี้เป็นการแก้ไข,
น้องสาวที่รัก, แห่งเหล่าผู้งามสง่า
ที่ได้เป็นที่โจษจรรของเหล่าผู้คนสุขนครเรา,”
นั้นเองที่พระองค์ทรงเปลื้อง
สรอยมรกตจากพระศอขององค์ท่าน,
และสวมคล้อง
ประทานสังวาลย์เม็ดเขียวขจีใสคล้องลงรอบคอเข้มอันกลมกลึงและเนียนนุ่มดุจไหม;
และดวงเนตรของทั้งสองได้สบต้องผสานกัน,
และจากท่าทีนั้นเองที่ความรักได้กระโจนขึ้นมา.
นานหลังจากนั้น –
เมื่อการรู้แจ้งในพุทธิปัญญาได้เต็มเปี่ยม –
องค์พุทธะ –
ได้สวดภาวนาถึงว่าทำไมหัวใจของพระองค์นั้น
เป็นไฟลุกโชนมีคราแรกแห่งการชำเลืองแลเด็กสาวศากยะผู้นั้น,
ได้คำตอบว่า, “เรานั้นมิใช่ผู้แปลกหน้า,
สำหรับเรากันนั้น
และทั้งหมดนั้นดูจะเป็นเช่นนั้น; ในอดีตชาตินานยาวที่ผ่านมาแล้ว
บุตรชายของนายพรานผู้หนึ่ง,
กำลังเล่นหัวอยู่กับเด็กสาวชาวป่าทั้งหลาย
ในฤดูใบไม้ผลิของยามุน (Yamun-คำเดิมต้นฉบับ),
ที่ซึ่ง นันทาเทวี (Nandadevi-คำเดิมต้นฉบับ) ยืนอยู่,
ขณะที่ผู้อื่นกำลังสร้างความพึงใจต่อกรรมการยามที่พวกตนวิ่งแข่งกันภายใต้ร่มของสนเฟอร์
ดุจนางกระต่ายรื่นเริงที่วิ่งเล่นสนุกสนานอยู่ในสังเวียนสนาม;
หนึ่งนั้นประดับมงกุฏดอกไม้ดุจดวงดาราคือเขานั้น,
หนึ่งนั้นด้วยขนนกยาว
ที่ดึงออกมาจากหางลายดวงตาของนกยูงและไก่ป่า,
หนึ่งนั้นด้วยผลสนเฟอร์; แต่ผู้ซึ่งวิ่งเป็นคนสุดท้าย
มาถึงซึ่งเขาเป็นคนแรก,
และเมื่อนางมาถึงซึ่งเด็กชาย
ได้มอบลูกกวางน้อยให้และหัวใจรักของเขาเคียงด้วยนั้น.
และในป่าไพรนั้นเองที่พวกเขาได้อาศัยอยู่ร่วมกันอีกหลายปีแห่งปรีดานั้น.
และในป่าไพรนั้นเองที่พวกเขามิได้แยกจากกันด้วยความตาย.
บัดนั้นเอง! เฉกเช่นซ่อนเมล็ดพันธุ์สืบต่อเอาไว้หลังหลายปีที่ฝนแล้ง,
แล้ว ดี และชั่ว, เจ็บปวดและพึงใจ,
เกลียด
และรัก,
และบรรดาโองการบัญชาของความตาย, มาถึงเบื้องหน้าอีกครา
ผลิบานซึ่งใบสดใสและมืดหม่น,
ผลหวานฉ่ำหรือเปรี้ยวฝาด.
เช่นนั้นที่เราคือเขาผู้นั้นและนางคือ
ยโสธรา;
และขณะที่กงล้อแห่งเกิดและตายได้หมุนเวียนไป,
นั้นเองซึ่งได้เป็นไปในระหว่างสองเรา.”
แต่พวกเขาเหล่าทั้งหลายที่ได้เฝ้าดูเจ้าชายประทานรางวัลนั้น
ต่างได้เห็นและได้ยินทั้งหมดนั้น,
ก็ได้ทูลต่อพระราชาผู้กังวลใจ
ว่ากรรมการตัดสิน สิทธัตถะ
นั้นกระทำ
ไม่เอาใจใส่ต่อผู้อื่นอย่างไร,
จนกระทั่งได้ผ่านมาถึง
ธิดาแห่ง มหาราชาสุปปพุทธะ (Great
Suprabuddha's child-คำเดิมต้นฉบับ), ยโสธรา;
และเช่นไร –
ในทันทีที่ปรากฏร่างของนาง – ที่องค์เจ้าชายได้เปลี่ยนไป,
และรางวัลอัญมณีที่ประทานให้นั้น,
และอะไรที่เคียงกันปรากฏออกมา
ผ่านการชำเลืองแลซึ่งกันของเขาทั้งสอง.
พระราชาผู้เปี่ยมด้วยรักในโอรสแย้มยิ้มในบัดดล,
ฟังนะ! เราได้พบเหยื่อล่อการนี้แล้ว,
เรียกประชุมปรึกษาเลยในบัดนี้
เพื่อจับให้มั่นไว้ด้วยเหยี่ยวของเราจากหมู่เมฆา.
ให้ผู้เดินสาส์นของเราถูกส่งไปขอสาวนางนั้น
ในการสมรสสำหรับโอรสของเรา.” แต่เป็นกฏ
ของศากยะ, หากมีการขอใดต่อสาว
แห่งราชสำนักแล้ว,
ซึ่งงามและเป็นที่ปรารถนา,
เขาผู้นั้นต้องเก่งกาจในทักษะการต่อศิลปะการต่อสู้
ผู้ร้องค้านทั้งหมดที่จะขอท้าชิงแย่ง;
ไม่มีการยกเว้นในประเพณีนี้ให้กับราชาใด.
ดังนั้นพระราชบิดาของนางจึงได้ตรัสสั่ง,
“จงทูลต่อองค์ราชา,
พระธิดานี้เป็นที่เสาะหาจากเจ้าชายมากมายผู้อยู่ไกลและใกล้;
ถ้าโอรสผู้มากเมตตาขององค์ท่านสามารถโน้มคันศรนี้ได้,
แกว่งดาบ,
และอยู่หลังอาชาดีกว่าเขาเหล่านั้น,
โอรสนี้ก็เป็นที่ดีที่สุดในทั้งปวงและดีที่สุดสำหรับเรา:
แต่การนี้จะทำเช่นไรฤา,
ด้วยวิถีสันโดษของเขานี้?
แล้วหัวใจของพระราชาก็ปวดร้าว,
เพราะตอนนี้การสู่ขอ
ของเจ้าชายต่อ ยโสธรา
ผู้แสนหวานมาเป็นภริยา – ก็น่าจะสูญเปล่า
ด้วย เทวฑัต (Devadatta-คำเดิมต้นฉบับ)
นั้นคือผู้โดดเด่นหน้าสุดในการธนู,
อารชุน (Ardjuna-คำเดิมต้นฉบับ) ปรมาจารย์แห่งอาชาพยศทั้งปวง,
และนันฑะ หัวหน้าในการเล่นดาบ; แต่เจ้าชายน้อย
หัวเราะเบาๆและตรัสว่า,
“สิ่งเหล่านี้, เช่นกันที่ข้าได้เรียนมา,
ให้ป่าวประกาศไปได้เลยว่าโอรสของพระองค์จะเผชิญกับ
ทุกผู้ที่มาสู่การประลองคัดเลือกเหล่านี้. ข้าคิดว่า
ข้าจะไม่สูญเสียที่รักของข้าไปในเยี่ยงนี้แน่.”
และเช่นนั้นเองในอีกเจ็ดวันข้างหน้า
เจ้าชายสิทธัตถะได้ท้าทายต่อผู้ใดก็ตามที่จะ
มาประลองกับพระองค์ในพิธีแห่งความเป็นบุรุษอาชาไนยนี้,
มงกุฏของผู้พิชิตชัยนั้นคือ
ยโสธรา (Yasôdhara-คำเดิมต้นฉบับ).
กระนั้นเอง,
เมื่อวันที่เจ็ดล่วงมาถึง, พวกเขาจึ่งไป;
เหล่าจ้าวศากยะและชาวเมืองและชาวชนบทคาม
ยังเขตแคว้นเจ้าสาว (maidân-คำเดิมต้นฉบับ); และสาวเจ้านั้นไปด้วยเช่นกัน
ในท่ามกลางหมู่ญาติของนาง,
แห่หามกันเยี่ยงเจ้าสาว,
ด้วยดนตรี,
และแคร่หามประดับประดาเริงร่า,
และวัวที่เขาประดับทองคำ,
ตกแต่งตัวด้วยดอกไม้ดารดาษ.
ที่ซึ่ง เทวฑัต อ้างสิทธิ,
แห่งสายเลือดขัตตีย,
และ นันฑะ และ อารชุน,
สูงศักดิ์ทั้งสอง,
ดอกไม้แห่งบรรดาหนุ่มสาวทั้งปวงที่นั้น,
จนกระทั่งเจ้าชายมาถึง
ทรงอาชาขาวนาม กัณทะกะ (Kantaka-คำเดิมต้นฉบับ), ซึ่งร้องคะนองมา,
ด้วยฉงนใจกับโลกอันแปลกยิ่งใหญ่นี้มิเคยพานพบ;
เช่นเดียวกันกับ สิทธัตถะ
จ้องมองด้วยดวงตางงงวย
ต่อบรรดาผู้คนเหล่านั้นที่กำเนิดภายใต้บัลลังก์,
จากราชสำนักนานาอื่นไป,
อาหารที่ต่างนานาอื่นไป,
และกระนั้นก็ยังเหมือนกันด้วย –
พ้องกัน – ในความปีติและโศกเศร้า.
แต่เมื่อเจ้าชายได้เห็น ยโสธรา
ผู้แสนหวาน,
พระองค์ทรงยิ้มอย่างสว่างไสว,
และดึงบังเหียนไหมของพระองค์,
กระโจนลงสู่ปฐพีพื้นจากหลังกว้างใหญ่ของ
กัณทะกะ,
และร้องตรัสว่า, “เขาผู้ที่ไม่ควรค่าต่อมุกมณีนี้
ผู้นั้นฤาที่ไม่ใช่ไร้ค่าที่สุด;
ขอให้คู่แข่งขันของข้าจงได้มาพิสูจน์
หากข้าได้หาญกล้าเกินไปในการสู่ขอนาง.”
แล้ว นันฑะ
ก็ได้ท้าประลองในธนู
และตั้งกลองทองเหลืองห่างไปไกลหกก้าว
(gows-คำเดิมต้นฉบับ),
อารชุน หก และ เทวฑัต แปด;
แต่เจ้าชายสิทธัตถะเดิมพันข่มพวกเขาโดยให้ตั้งกลองของพระองค์
สิบก้าวห่างจากเส้นเริ่มต้น,
จนกระทั่งมันดูเหมือนว่า
เป็นเปลือกเบี้ยเล็กๆสำหรับเป้านั้น. แล้วพวกเขาก็ปล่อยลูกศรออกไป,
และ นันฑะ
เจาะเสียบกลองของเขา, อารชุน เช่นกัน,
และ เทวฑัต
นั้นเล็งยิงออกไปได้แรงดียิ่ง
จนทะลุทั้งสองข้างเป้าของตน,
ดังนั้นเองที่ฝูงชน
ตกตะลึงและโห่ร้อง; และ ยโสธรา ผู้แสนหวาน
ปล่อยส่าหรีสีทองที่ปกคลุมเหนือดวงตาอันตระหนกของตนหลุดลง,
ตามสายตาของนางนั้นได้เห็นธนูของเจ้าชายได้พ่ายแพ้เป็นแน่.
แต่พระองค์, ขณะที่พวกเขาหยิบลูกศรออกจากคันไม้ขัดมันเงาไปนั้น,
ด้วยเส้นเอ็นที่ผูกอยู่และยึดขึงไว้ด้วยลวดเงิน,
ซึ่งปราศจากอะไรอื่นนอกเหนือแขนอันแข็งแกร่งเท่าจึงจะง้างดึงมันได้
ให้ดีดมันไปได้ – หัวเราะเบาๆ --
ดึงสายธนูที่บิดขวั้นไว้นั้น
จนกระทั่งเขาของคันธนูโน้มลงมาจุมพิตกัน,
และท้องคันธนูนั้นแตกลั่นไป;
“นั่นสำหรับการละเล่น,
ไม่ใช่การ รัก,” พระองค์ตรัส; “ไม่มี
ธนูใดเหมาะสมกว่านี้ต่อเหล่าจ้าวศากยะใช้การเลยฤา?”
และมีผู้หนึ่งกล่าวว่า, “มีคันศรของ
สิงหธนู (Sinhahânu's bow-คำเดิมต้นฉบับ)
อยู่,
เก็บรักษาที่ในวิหารตั้งแต่เราหาได้รู้ไม่ว่าตั้งแต่เมื่อใด,
ซึ่งม่มีผู้ใดสามารถขึงสายได้,
หรือดึงน้าวสายเมื่อถูกผูกตึงแล้ว.”
“เจ้าไปนำมาให้ข้า,”
พระองค์ตรัสสั่ง, “นั่นคืออาวุธของชายชาตรี!”
พวกเขาได้นำเอาธนูโบราณนั้นมา,
โลหะหยาบดำสนิท
หุ้มด้วยทองคำมือจับคันที่ตรงก้านโค้ง
เหมือนเขากระทิงป่า; และ สิทธัตถะ ลอง
ความแข็งแรงด้วยพระชาณุของพระองค์,
แล้วตรัสว่า – “ยิงเลยในบัดนี้
ด้วยคันศรนี้, ญาติทั้งหลายของข้า!” แต่พวกเขาไม่สามารถโน้มน้าว
คันแขนอันดื้อดึงนั้นให้โก่งงอแม้สักเพียงหนึ่งนิ้วให้ใช้การได้;
แล้วเจ้าชายนั้น, เอนกายเล็กน้อย,
โค้งคันศรนั้น,
เล็งสายตาจับจ้องยังร่องบากนั้น,
และดีดสายปล่อย
เชือกผูกตึงนั้น, ซึ่ง,
เหมือนดังกับปีกของนกอินทรี
สั่นสะท้านนภากาศ,
ขับขานเพลงออกไปแสนจะชัดและดังก้อง
เหล่าผู้คนที่อ่อนเปลี้ยป่วยไข้อยู่ในบ้านของตนในวันนั้นร่ำร้องถามกันขึ้น
“เสียงอะไรนั่นหรือ?”
และผู้คนนอกเคหะต่างร้องตอบพวกเขา,
“เป็นเสียงธนูของ สิงหธนู (Sinhahânu's bow-คำเดิมต้นฉบับ),
ซึ่งโอรสของพระราชาได้สบัดสายและกำลังจะยิงธนูนั้น,”
และเมื่อใส่ลูกธนูไว้ในที่ดีแล้ว,
พระองค์ก็ดึงน้าวและปล่อยออกไป,
และลูกศรอันเฉียบคมก็ทะยานโค้งไปในท้องฟ้า,
และพุงลงหา
ผ่านทะลุเป้าเภรีทองเหลืองอันไกลที่สุดนั้น,
และทั้งหาได้ปรากฏอยู่เห็นในการพุ่งไปของมันไม่,
แต่ผ่านที่โล่งวาบหายลับพ้นไป,
ผ่านคลองสายตาจะเห็นไปถึงได้.
แล้ว เทวฑัต ได้ท้าประลองด้วยดาบ,
และฟันแยกต้นทาลาสหนาหกนิ้ว;
อารชุณ เจ็ด; และนันฑะ ฟันตัดผ่านหนาเก้านิ้ว;
แต่สองลำต้นนั้นได้เติบโตขึ้นมาด้วยกัน,
และทั้งคู่นั้น
ดาบของ สิทธัตถะ
กรีดวาบไปในการฟันหนเดียว,
เฉียบขาด,
แต่สุดราบรื่นเสียจนลำต้นนั้นยังคงตั้งตะหง่านอยู่,
และ นันฑะ ร้องขึ้นมาว่า,
“คนมีดของเขาเบี่ยงเบนแล้ว!”
และเจ้าสาวนั้น
ตัวสั่นอีกคราเมื่อเห็นต้นไม้ยังตั้งตรงอยู่,
จนกระทั่งเทพเทวาแห่งวาโย,
ผู้ที่ได้เฝ้าดูอยู่,
ได้โบกพัดเป่าลมบางเบาจากทิศใต้,
แล้วพุ่มใบเขียวขจีดั่งฉัตรกางทั้งคู่นั้น
ได้ฟาดกระจายลงสู่พื้นทราย,
คว่ำล้มลงอย่างหมดจด.
แล้วก็ได้นำเหล่าม้ามาสู่พวกเขา,
ห้าว-หาญ, สายเลือดสูงศักดิ์,
และควบขี่เป็นสามเที่ยว
ไปรอบลานสนามประลอง,
แต่ม้ากัณฑะกะขาวละออนั้น
ทิ้งนำหน้าห่างไกลไว้เบื้องหลังแม้กระทั่งที่ว่ามีฝีเท้ารวดเร็วที่สุด
– สุดฉับพลัน,
ซึ่งฟองน้ำลายฟูมไหลจากปากของตนลงสู่พื้นดินก่อน
ยี่สิบความยาวของหอกซัดที่เขาโบยบิน,
แต่ นันฑะ กล่าว,
“เราเองก็อาจเอาชนะได้เช่นกันด้วยอาชาเช่น
กัณฑะกะ นั้น
นำมาที่ยังไม่ได้ฝึกหัดมาสิ,
แล้วให้ผู้คนดูกัน
ว่าใครดีที่สุดซึ่งสามารถขึ้นหลังขี่เขาได้! ดังนั้นคนรับใช้จึงได้นำเอา
ม้าเพศผู้ตัวดำทะมึนดุจราตรีมา,
ล่ามด้วยโซ่สามเส้น
ดวงตาถมึงดุร้าย,
จมูกบานกว้างและแผงคอชี้ชันสบัดไปมา
ไร้เกือกม้า, ไร้อาน,
เพราะยังไม่มีผู้บังคับม้าใด
ได้ขึ้นคร่อมขี่หลังเขาได้. สามคราที่ ศากยะหนุ่ม นันฑะ
กระโจนขึ้นไปยังหลังใหญ่โตของเขา,
แต่อาชาอันคึกคะนองนี้
ก็หกหลังด้วยความโกรธา,
และสะบัดเอาพวกเขาลงมาสู่พื้นดิน
คลุกฝุ่นและอับอาย, มีเพียง
อารชุณ เท่านั้นที่หยัดอยู่ได้
บนหลังที่นั่นในชั่วขณะ, และ,
ผ่อนปล่อยโซ่ล่ามเหล่านั้น,
สะบัดแซ่ฟาดสีข้างดำมันนั้น,
และกระชากดึงเล็กน้อย, และรั้ง
โอบกรามแน่นคีบจับไว้ด้วยมือเยี่ยงเป็นนาย,
ดั่งนั้นเองในพายุของความพิโรธและโกรธแค้นและหวาดกลัว
ที่ม้าเถื่อนตนนี้ได้หมุนวนครั้งหนึ่งไปโดยดี
ดุจกึ่ง-ยอมจำนน;
แต่ทันใดนั้นก็หันกลับด้วยอ้าปากเปลือยฟัน,
งับเอาเท้าของ อารชุณ,
กระชากเขาตกลงมา,
และอาจจะกระทืบเข่นประหารเขาได้,
แต่เหล่าบรรดาอัศวรักษ์ทั้งหลายได้วิ่งเข้าไป
ดึงรั้งโซ่ล่ามเจ้าสัตว์ร้ายโกรธคลั่งนั้นเอาไว้ได้. แล้วคนทั้งปวงก็ร้องกันว่า,
“อย่าให้องค์สิทธัตถะไปยุ่งกับเจ้าม้าสามานย์
(Bhût-คำเดิมต้นฉบับ)
นี้,
ที่ตับไตไส้พุงพุ่งพล่าน,
และเลือดของเขา
เดือดแดง;” แต่เจ้าชายหนุ่มกลับตัรสว่า,
“จงปล่อยโซ่ล่ามพวกนั้นเสีย,
เอาขนปรกของเขามาให้ข้าเพียงเท่านั้น,”
ซึ่งพระองค์ได้ยึดกุม
ด้วยอุ้งมืออย่างเบาเงียบ, และ,
พูดบางคำในน้ำเสียงต่ำเบา,
วางฝ่าพระหัตถ์ขวาของพระองค์พาดผ่านดวงตาของม้าเถื่อนนั้น,
และลูบมันลงอย่างนุ่มเบาตามใบหน้าอันโกรธเกรี้ยว,
และลงไปตลอดลำคอและสีข้างที่หอบเหนื่อย,
จนกระทั่งผู้คนต่างพากันประหลาดใจที่ได้เห็นอาชาดำทะมึนดุจราตรีกาลนี้
ก้มศีรษะอันดุร้ายของเขาลงและยืนสยบและนอบน้อมให้,
ดุจราวกับว่าเขาได้รู้จักกับองค์ท่านและเคารพพบูชาพระองค์.
มิได้กระสับกระส่ายไหวตนเลยเขายามที่องค์สิทธัตถะขึ้นขี่,
และ
ย่างไปอย่างเมื่อได้สัมผัสพระชานุและสายบังเหียน
ต่อหน้าสายตาตั้งหมด,
เช่นนั้นแล้วเหล่าผู้คนต่างพากันร้องว่า,
“อย่าได้อุตสาหะอีกต่อไปเลย,
เพราะ สิทธัตถะ นั้นคือผู้ดีที่สุดแล้ว.”
และบรรดาโจทก์ (suitors-คำเดิมต้นฉบับ) ทั้งหลายก็ป่าวร้องรับทันทีว่า
“เขาคือผู้ที่ดีที่สุด!”
และ ราชาสุปปพุทธะ(Suprabuddha-คำเดิมต้นฉบับ),
บิดาของสาวเจ้า,
ตรัสว่า, “มันได้อยู่ในหัวใจทั้งหลายของเราแล้วที่จะได้ค้นพบเจ้าผู้ดีที่สุด,
เป็นที่รักที่สุด,
กระนั้นในอะไรที่ดุจเวทย์มนต์สอนสูเจ้าเป็นยิ่งกว่า
คุณสมบัติความเป็นชายในท่ามกลางอุทยานของเจ้าและความฝันของเจ้า
ที่มากกว่าสงครามและการไล่ล่าและทำงานในโลกียโลกนำมาสู่นี้.
แต่จงได้สวมใส่,
เจ้าชายผู้สง่างาม, ในสมบัติที่สูเจ้าได้ชัยเถิด.”
แล้วเมื่อคำพูดนั้นสาวน้อยอินเดียนผู้น่ารัก
ได้ลุกขึ้นจากที่ของเธอเหนือที่ชุมนุมแออัด,
และหยิบเอา
มงกุฏของดอกโมกขรา (môgra-flowers-คำเดิมของต้นฉบับ) และดึงเบาแผ่ว
ซึ่งผ้าคลุมหน้าสีดำและทองซึ่งคาดผ่านขนงของนางลง,
เยื้องกรายอย่างสง่างามผ่านเหล่าหนุ่มสาว,
จนกระทั่งนางได้มาถึง
ยังที่ สิทธัตถะ
ยืนสง่าดุจเทพเทวาอยู่,
สว่างไสวใหม่ต่างจากอาชาดำทะมึนดุจราตรี,
ซึ่งน้อม
ลำคออันแข็งแกร่งของตนซุกอยู่ในใต้วอกแขนขององค์ท่าน.
ค้อมกายเบื้องหน้าเจ้าชายอย่างช้าๆที่นางกระทำ,
และเปลือยเปิด
ใบหน้าของนางดุจจันทรากระจ่างนวลด้วยรักอันปลื้มปีติใจ;
แล้วที่พระศอขององค์ท่านนั้นนางก็ได้สวมมาลัยดอกไม้หอมให้,
และในอ้อมอกของพระองค์นางก็ได้ทอดวางศีรษะอันงามของนาง,
และก้มตัวลงไปแตะสัมผัสพระบาทขององค์ท่านด้วยดวงตาอันภาคภูมิดีใจ,
กล่าวออกมาว่า, “เจ้าชายที่รัก,
จงเมตตาต่อข้า, ผู้เป็นของพระองค์ด้วยเถิด!”
แล้วบรรดาฝูงชนอันเนืองแน่นก็ต่างพากันปีติยินดี,
เมื่อได้เห็นทั้งสององค์เสด็จผ่าน
มือกุมอยู่ในมือ,
และดวงใจเต้นรัวด้วยดวงใจซึ่งกัน,
ผ้าคลุมสีดำแซมทองนั้นได้ปล่อยลงคลุมใบหน้าอีกครา.
นานภายหลังจากนั้น
– เมื่อได้บรรลุถึงซึ่งพุทธิปัญญาแล้ว –
พวกเขาทั้งหลายได้กราบบังคมทูลถามต่อพุทธองค์ถึงการแตะสัมผัสทั้งหมด,
และทำไม
นางจึงได้แต่งองค์ด้วยผ้าสีดำและทอง,
และก้าวย่างอย่างภาคภูมิใจยิ่ง,
และพระผู้ทรงเกียรติคุณทั้งโลกได้ตรัสตอบว่า,
“สำหรับตัวเราแล้ว
นี้เป็นที่ไม่ได้เป็นที่รู้,
ถึงแม้ว่าดูเหมือนจะกึ่งรู้บ้าง;
เพราะขณะที่กงล้อแห่งเกิดและตายได้หมุนไปนั้น,
ผ่านเลยสิ่งและสำนึกคิด,
และชีวิตที่ดับแล้วได้กลับมา.
ตัวเราในบัดนี้จึงจำได้,
เมื่อหลายคณาฝนที่ล่วงผ่านมานั้น,
เมื่อครั้งที่ตัวเราท่องไปในป่าพงไพรของหิมาลัย
(Himâla's
hanging woods-คำเดิมต้นฉบับ),
เสือตัวหนึ่ง,
ด้วยลายพาดของเราและเยี่ยงหิวโหย;
คือตัวเรา, ผู้เป็นองค์พุทธะ,
นอนอยู่ในพงหญ้าคูสา (kusa grass-คำเดิมต้นฉบับ)
เพ่งมองอยู่ด้วยตาอันเขียวปัดจ้องจับไปที่ฝูงสัตว์
ซึ่งและเล็มอยู่ใกล้ในทุ่งหญ้าและใกล้ยิ่งกว่าที่จะถึงครามรณะของพวกตน
รายรอบรังหลบซ่อนของตัวเรายามกลางวัน;
หรือไม่ก็ในภายใต้ดวงดารา
ที่ตัวเราได้ท่องไปเพื่อล่าเหยื่อ,
ดุร้าย, ไม่รู้จักพอ,
สูดดมกลิ่นตามหนทางเพื่อแกะตามรอยมนุษย์และกวาง,
ที่ได้พบกันในป่าลึกหรือตามพงรกริมบึง,
ซึ่งนางเสือตัวหนึ่ง,
น่าพึงใจที่สุดของป่าไพรนี้, ทำให้
เกิดสงครามขึ้นในระหว่างเสือเพศผู้ทั้งหลาย;
ผิวหนังของนางนั้นเป็นประกายด้วยขนทอง
และพาดลายดำเหมือนเช่นเดียวกับผ้าคลุมหน้าของพระนางยโสธรา
ประดับแต่งให้สำหรับตัวเรานั้น; ป่าพงใหญ่นั้นร้อนระอุขัดแย้งประชันกัน
ด้วยเขี้ยวและเล็บ,
ขณะที่ภายใต้ต้นสะเดาป่านั้น
นางเสือผู้งามงดเฝ้าดูเหล่าพวกเราหลั่งเลือดเหงื่อ,
การเกี้ยวพาราสีกันที่แข่งขันดุร้ายเช่นนี้.
และตัวเราก็จดจำได้,
ในท้ายสุดนางก็มาหา
ขู่คำรามยามเดินผ่านนี่และนั่นอันยับเยินของเจ้าป่า.
ซึ่งตัวเราได้พิชิตแล้ว,
และด้วยแย้มเขี้ยวขาวอย่างประจบ
เลียงสีข้างที่หอบกระเพื่อมหนักนั้น,
และตามตัวเราไป
สู่พงไพรด้วยฝีเท้าย่างอย่างภาคภูมิ,
อย่างคลอเคลียเสน่หา.
วงล้อของการเกิดและตายได้หมุนวนต่ำลงและสูงขึ้น.”
ดังนั้นเองที่เจ้าสาวได้ถูกมอบให้แก่เจ้าชายหนุ่ม
เจตจำนงที่จะตามใจให้เสียคน; และเมื่อฤกษ์ดวงดาวที่มาสถิตในตำแหน่งที่ดี
–
มีชะ (Mesha-คำเดิมต้นฉบับ/ราศีเมษ-ผู้แปล), แกะสีแดง, เป็นเทพแห่งสวรรค์ –
งานฉลองพิธีมงคลสมรสได้ดำเนินต่อไป,
ดังเช่นที่วงศ์ศากยะใช้ตลอดมา,
บัลลังก์กะดีร์ทองคำ
(golden gadi-ต้นฉบับ) ได้จัดวาง, พรมปูแผ่,
พวงมาลัยแต่งงานถุกสวมคล้องศีรษะ,
ด้ายถูกพันแขนโยง,
ขนมก้อนหวานถุกบิแตก,
ข้าวสารและหัวน้ำมันดอกกุหลาบถุกสาดซัด,
สองหลอดฟางลอยอยู่บนน้ำนมสีแดง,
ซึ่ง, เข้ามาใกล้ถึง,
เครื่องแสดงซึ่ง “รักจวบจนมรณา;”
เจ็ดก้าวเดินสามหนรอบกองไฟ,
ของขวัญทั้งหลายถูกมอบให้กับนักบวชผู้ศักดิ์สิทธิ์,
และขอทาน
และถวายของแด่วิหารต่างๆ,
มนตราได้ถูกร่ายสวด,
เสื้อผ้าของเจ้าสาวและเจ้าบ่าวได้ถูกผูกพันธการซึ่งกัน.
แล้วราชาบิดาผู้เฒ่าก็ตรัสว่า : เจ้าชายผู้น่าสรรเสริญ,
นางนั้นที่ได้เป็นของเราต่อจากนี้ไปคือของสูท่านเพียงผู้เดียว;
จงดีต่อนาง,
ผู้ซึ่งได้มอบชีวิตของนางต่อสูท่าน.”
ที่นั้นเองที่พวกเขาได้นำกลับสู่บ้านซึ่ง
ยโสธรา,
แห่แหนด้วยเพลงและแตรเป่า,
สู่อ้อมอกของเจ้าชายหนุ่ม,
และความรักก็ท่วมท้นไปทั้งหมด.
กระนั้นต่อลำพังเพียงแค่ความรัก
ไม่อาจทำให้องค์ราชาวางใจได้; ราชวังแห่งรักดั่งคุก
โอ่อ่าและงดงามที่องค์ราชาได้มีบัญชาให้สร้างขึ้น,
เพื่อที่ทั้งหมดในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดน่าพิศวงเท่าเทียมได้
เหมือน วิชรามวัน (Vishramvan-คำเดิมต้นฉบับ), สถานที่สำราญใจของเจ้าชาย.
กึ่งทางอยู่ในพื้นที่พระราชวังที่นั้นได้มีผุดขึ้น
ซึ่งเนินเขาเขียวขจีที่ตอนฐานล่างคือแม่น้ำโรหิณีไหลอาบท้น,
พึมพัมเอื่อยเรื่อยลงมาจากเบื้องบาทแผ่กว้างของ
หิมาลัย,
เพื่อกำเนิดซึ่งบรรณาการของตนไปสู่
ระลอกคลื่นแห่งพระแม่คงคา (Gunga's waves-คำเดิมต้นฉบับ).
ทางด้านทิศใต้ที่เติบโตคือเหล่าต้นมะขามและมะเกลือ,
กลุ่มทึบหนาด้วยบุปผาคานธี (ganthi flowers-คำเดิมต้นฉบับ) สีดุจท้องฟ้าเผือด,
ปิดกั้นจากโลกภายนอก,
ปกปักษ์นครให้เสียงลมกระหึ่มมา
เป็นหาได้ให้ระคายโสตไปกว่าเสียงกระพือของเหล่าผึ้ง
ส่งเสียมหึ่งพ้นจากสายตาในป่าทึบ. ทางตอนเหนือนั้นพุ่งตระหง่าน
ลาดเอียงวาวดุจโลหะของกำแพงหิมาลัยอันมหึมา,
แนวเขตคั่นในแถวขบวนขาวโพลนตัดกับท้องนภาสีคราม
– ไม่ถูกเหยียบย่ำ
ไม่สิ้นสุด, มหัศจรรย์ –
ซึ่งที่สูงแผ่กว้างไกล,
และยกขึ้นถึงจักรวาลด้วยยอดชะง่อนสูงแทงเสียดฟ้านั้น,
ไหล่และตะพัก,
เนินลาดเขียวขจีและยอดแหลมเย็นยะเยียบ,
โตรกหุบเหวแยก,
และหน้าผาแตกชัน,
ชักนำให้ผู้ปีนป่ายคิดคาดว่าสูงยิ่งกว่าและยิ่งกว่า,
จนกระทั่ง
ดูเหมือนยืนอยู่ที่ในสวรรค์และได้จำนรรจากับเหล่าเทพเทวา.
ภายใต้หิมะนั้นป่าทึบทมึนได้แผ่ออกกว้าง,
ตัดแนวคมตรงอยู่
ด้วยน้ำตกสูงชันกระโจนชัดและเมฆคลุมบัง:
ต่ำลงไปนั้นปลูกต้นโอ๊ค-กุหลาบและสนพุ่มใหญ่
ที่ซึ่งก้อนสะท้อนเสียงร้องของเหล่าไก่ฟ้าและเสือดำคำราม,
กลุ่มกระจายด้วยเลียงผาบนหมู่หิน,
และเสียงกรีด
ของอินทรีที่บินบนวน: ใต้ของเหล่านี้คือทุ่งราบ
เรืองรองดุจพรมในวิหารสักการะที่รองรับขาแท่น
ของเหล่าธรรมาสน์ศักดิ์สิทธิ์.
ด้านหน้าของสิ่งนี้
คือเหล่าอาคารจัดตั้งเป็นพลับพลาขึ้น,
ประดับพืชพันธุ์อันงามบนเชิงเนินเขานั้น,
ด้วยบรรดาหอคอย
ขนาบข้างและทางเดินเสารายเรียงรอบ.
คานขวางของสิ่งนั้นแกะสลักลวดลายเรื่องราวของสมัยกาลก่อน
–
พระแม่ราธา และ พระกฤษณะ
และเหล่าสาวชาวป่า --
พระนางสีดา (Sita-คำเดิมต้นฉบับ) และ หนุมาณ (Hanuman-คำเดิมต้นฉบับ) และพระนางนาฏตวตี
(Draupadi-คำเดิมต้นฉบับ);
และบนตรงกลางของมุขคือเทพพิคเณศวร์
(God
Ganesha-คำเดิมต้นฉบับ),
ด้วยถาดจานและตะขอ –
เพื่อนำมาซึ่งปัญญาและความมั่งคั่ง –
นั่งอยู่อย่างอวบอิ่ม,
คล้องพวงมาลัยงวงยาวเฉียงพาดของพระองค์.
ด้วยทางคดเคี้ยวของอุทยานและลานโล่ง
ก็มาถึงประตูด้านใน,
สร้างขึ้นด้วยหินอ่อน,
ขาวแซมเส้นชมพู,
ทับหลังหินลาซูไล,
ธรณีประตูหินขาวอะลาบาสเตอร์,
และประตูทั้งหลาย
เป็นไม้จันทน์หอม,
บานแกะสลักลายรูปภาพ;
ที่ซึ่งเปิดไปสู่โถงสูงสง่าและซุ้มร่มเงาทั้งหลาย
ผ่านไปด้วยบาทจรอันปรีดา,
ขึ้นไปบนบรรดาบันไดโอ่อ่า,
ทะลุไปตามเฉลียงลายโลหะ,
ภายใต้หลังคาทาสี
และกลุ่มเสาเรียง,
ที่ซึ่งน้ำพุพุ่งเย็นฉ่ำ – ริมชายขอบ
ประดับด้วยบัวหลวงและดอกบงกช –
ร่ายรำ, และปลา
เปล่งประกายผ่านผลึกแก้วเจียรนัย,
แดง, ทอง, ฟ้า.
ละมั่งตากลมโตในเวิ้งเว้าแสงตะวันกวาดมองไปรอบๆ
จมูกสีน้ำตาลแดงเชิดชูชัน; เหล่านกปีกสายรุ้ง
กระพือปีกบินอยู่ในหมู่ต้นปาล์ม; นกเขา, เขียวและเทา,
สร้างรวงรังปลอดภัยของพวกตนบนซอกไม้บัวเคลือบทอง;
เหนือลานผิวมันประกายคือนกยูงเดินลาก
หางยาวงดงามของพวกตน; ชำเลืองมองช้าๆ
คือเหล่ากระสาสีขาวน้ำนมและนกฮูกบ้านตัวเล็ก.
เหล่านกแก้วคอสีม่วงเข้มโผจากผลไม้หนึ่งไปยังอีกผลหนึ่ง;
นกกินปลีสีเหลืองหมุนวนจากดอกไม้บานหนึ่งไปยังอีกดอกบานหนึ่ง,
จิ้งจกหวาดซุกซ่อนที่ในหลืบซอกลูกกรงตารางหน้าต่าง
ไร้ความกลัว,
กระรอกวิ่งซอยเท้ามาเอาอาหรจากมือ,
เพราะทั้งหมดเหล่านี้มีแต่สันติสุข; งูดำเขินอาย, ที่ให้
โชคลาภแก่บ้านเรือน,
ขดวงอาบแดดอุ่นของตน
อยู่ใต้ดอกไม้จีน,
ที่ซึ่งกวางมุสค์เล็กวิ่งเล่นกันอยู่,
และลิงตาสีน้ำตาลจำนรรจากับเหล่านกกา.
และในทั้งหมดของเรือนรักนี้ก็คือผู้คนงามงด
ด้วยความใส่ใจอ่อนหวาน,
เพื่อเช่นนั้นในแต่ละส่วน
ก็น่ารักงามยามมองคือใบหน้าอันนุ่มนวลได้ประสพ,
เสียงพูดจาแผ่วเบาและมุ่งปรนนิบัติ,
แต่ละคนยินดี
ที่ได้ปรีดา,
พึงใจในความน่าพึงใจ, ภูมิใจที่ได้เชื่อฟัง;
กระทั่งชีวิตรื่นไหลไปกับความเพลิดเพลิน,
เหมือนสายธารราบเรียบ
กั้นฝั่งไว้ด้วยบุปผานิรันดร์,
ยโสธรา
ราชินีแห่งราชสำนักแห่งมนต์เสน่หา.
แต่ในส่วนลึกสุด,
พ้นไปจากความร่ำรวยของโถงวังเป็นหลายร้อยนั้น,
ตำหนักหอลับได้จัดทำซุ่มซ่อนไว้,
ที่ได้ใช้ทักษะฝีมือกันถึงที่สุด
รวมเอาไว้ซึ่งความเพ้อฝันอันน่ารักทั้งปวงเอามาไว้เพื่อมอมเมาจิตใจ.
ทางเข้านั้นเป็นลานระเบียงสันโดษจตุรัส
–
หลังคาด้วยท้องฟ้า,
และในท่ามกลางนั้นคือถังใหญ่
ของหินอ่อนน้ำนมถูกสร้างขึ้นไว้,
และปูวางด้วยแผ่นราบ
ของหินอ่อนสีขาวน้ำนม; รัดรอบแนวขอบของถังนั้น
และบนพื้นขั้นบันไดก้าว,
และทั้งหมดไล่เรียงด้วยบัวคิ้วลวดลายสลัก
อย่างอ่อนช้อยนุ่มนวลฝังเลี่ยมด้วยมุกหินโมรา.
เย็นฉ่ำยามเมื่อย่างก้าวไปในฤดูร้อนดุจบนหิมะ
เป็นที่น่าเตร็ดเตร่เอ้อระเหยที่ในนั้น; แสงตะวันคล้อยลง
เรืองทอง,
และผ่านเข้าไปสู่มุขหน้าและช่องหลืบ,
อ่อนนุ่มนวลตาลงด้วยเงาสลัว,
วาวเงิน, ซีดจาง, และมัว,
ราวกับว่าวันเวลาของวันนั้นได้หยุดนิ่งสงบ
และเริ่มแรกก่อน
ในห้วงแห่งความรักและความสงัดที่ประตูซุ้มไม้สวนนั้น
เพราะว่าเมื่อพ้นผ่านเข้าไปจากนี้แล้วก็คือตำหนักวังหอลับนั้น,
ที่ซึ่งงามงด, อ่อนหวาน;
มหัศจรรย์ยิ่งแห่งโลกนี้!
แสงอ่อนจากตะเกียงหอมผ่านม่านหน้าต่างบัง
ของดวงดาราพร่างเปลือยและแต้มแต่งบนผืนบางสุวิมล
จับลงบนผ้าทองแผ่กว้าง, และตั่งเตียงไหมทั้งหลาย,
และแจ่มจรัสเข้มของฉากม่านหนักชายห้อย,
ถูกยกขึ้นเพื่อเปิดรับแต่ผู้น่ารักที่สุดเข้ามาใน.
ที่นี่เอง,
ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็มิมีผู้ใดได้รู้,
เพราะมักจะมีแต่แสงอันนุ่มนวลดังว่าอยู่เสมอ,
สว่างกว่า
แสงตะวันรุ่ง,
แต่อ่อนโยนเช่นแรกเริ่มของวันกาล;
และก็มักจะอากาศอันหอมหวานได้สูดดมลมหายใจเสมอ,
ให้ความรื่นรมย์กว่ามาก
ของยามรุ่งอรุณนั้น,
แต่ก็เย็มชุ่มฉ่ำดังลมหายใจของยามเที่ยงคืน;
และทั้งนและวันนั้นได้บรรเลงพิณทอดถอนใจ,
และทั้งคืนและวันนั้น
อาหารเลิศรสได้ถูกวางเต็ม,
และผลไม้สดฉ่ำด้วยน้ำค้างทั้งหลาย,
ขนมหวานครีมใหม่เย็นยะเยือกด้วยหิมะของ
หิมาลัย,
และเนื้อหวานที่ทำด้วยความบางประณีต,
ของมะพร้าวกะทิหวานด้วยตนเองในถ้วยงา.
และทั้งคืนและวันนั้นก็นำเสนอด้วยคณะที่ถูกคัดเลือก
เหล่าเด็กสาวนักแสดงการละเล่น,
นักเล่นฉิ่ง, และนักเล่นฉาบ,
บอบบาง,
นัยตาดำขลับน้ำตาลเข้มในจ้าวแห่งรัก,
ผู้โบกพัดวีให้กับดวงตาหรี่ปรือของเจ้าชายผู้อิ่มสุข,
และเมื่อองค์ท่านตื่นขึ้นก็นำความคิดของพระองค์ไปสู่สุขสรวงสวรรค์
ด้วยดนตรีกระซิบคลอเคลียผ่านความเบ่งบาน,
และน่าหลงใหล
ของบรรดาเพลงเสน่หาขับกล่อมและนางร่ายรำดั่งฝัน,
เชื่อมยึดเข้า
ด้วยกระดิ่งกังวานห้อยที่ข้อเท้าและคลื่นโบกของแขน
แห่งกลิ่นชะมดและจำปาและหมอกสีฟ้าโชยแผ่กว้าง
จากการเผาเครื่องเทศหอมกล่อมคลายจิตวิญญาณของพระองค์อีกครา
เพื่อง่วงงุนอยู่กับ ยโสธรา; และเช่นนั้นเอง
ที่องค์สิทธัตถะ
อยู่ในความลืมสรรพสิ่งไป.
ไกลไปยิ่งกว่านั้น,
พระราชาได้บัญชาให้ภายในกำแพงวังนั้น
ห้ามเอ่ยถึงซึ่งการมรณะหรืออายุขัย,
ความเศร้าโสก, หรือเจ็บปวด,
หรือป่วยไข้. ถ้าผู้ใดหมดสิ้นแรง
ในราชสำนักแห่งรักนี้ – เนตรนัยนาของนางพร่ามัวลง,
แรง
ร่ายรำของนางอ่อนล้าลง – ความผิดเยี่ยงอาชญานี้คือ
จะต้องถูกรายงานขึ้นไปและถูกเนรเทศออกจากสรวงสวรรค์.
หาได้ให้องค์ท่านได้เห็นและทุกข์ใจไปกับปริเวทนาของนาง.
ผู้ควบคุมดวงตาแจ่มกระจ่างเฝ้าจับดูเพื่อควบคุมจัดการ
พิพากษาในเหตุดังกล่าวนั้นแห่งโลกอันหยาบกระด้าง
ปราศจาก,
ที่ซึ่งเจ็บและไข้จะพึงมีได้, น้ำตาและหวาดกลัว,
และเสียงคร่ำครวญของเหล่าผู้โศกา,
และกลิ่นไหม้หืนของกองฟอน.
ถือเช่นนั้นว่าคือกบถถ้าสร้อยถนิมเงินหลุดรุ่ยเรี่ย
ในปอยเปียผมมัดของสาวนักร้องขับเพลงหรือเหล่าสาวเริงร่ายระบำ;
และทุกรุ่งอรุณเหล่ากุหลาบที่เฉาจะถูกหยิบทิ้ง,
ใบไม้แห้งเหี่ยวถูกซ่อนเก็บ, บรรดาภาพชั่วร้ายทั้งหลายถูกเคลื่อนย้ายไป:
ดังกล่าวโดยพระราชานั้นว่า, “ถ้าพระองค์จะได้ผ่านวัยเยาว์ของพระองค์ไป
เลยพ้นจากสิ่งเช่นนั้นแล้วไปสู่ความมีปัญญายิ่ง,
และความหมกหมุ่นวิตกกังวลใดในไข่ที่ว่างเปล่าของความคิดพวกนี้แล้ว,
เงามืดของชะตาลิขิตนี้,
กว้างใหญ่เกินไปสำหรับมนุษย์,
อาจจะเลือนหายไป, บางที,
และข้านั้นจะได้เห็นเขาเติบโตขึ้น
สู่ความมีชื่อเสียงแห่งการปกครองเยี่ยงจักรพรรดิธรรม
เมื่อเขาจะได้ครอบครองซึ่งแผ่นดินทั้งปวง
– ถ้าเขาจะครอบครอง –
ราชาแห่งราชาและเกริกขจรไกลไปชั่วรัชสมัยของเขานั้น.”
ด้วยเหตุนั้น,
รายรอบตำหนักวังดั่งคุกขังนั้น –
และซึ่งรักคือผู้คุมและพวากพึงใจคือลูกกรงกั้น,
แต่ไกย้ายห่างไปจากสายตา – พระราชาได้บัญชาให้สร้าง
กำแพงหนาใหญ่, และทวารช่องที่ในกำแพงนั้น
ซึ่งเป็นประตูเฟี้ยมพับทองเหลือง,
ซึ่งแต่ที่จะม้วนได้
กลับไปบนบานพับทั้งหลายของตนนั้น,
ก็ต้องใช้กำลังแขนคนนับร้อย;
อีกทั้งยังมีเสียงของทวารบานมหึมานั้น
เมื่อเปิดเผยออก, จะถูกได้ยินไปถึงกึ่งโยชน์
(a yôjana-คำเดิมต้นฉบับ)เต็ม.
และภายในนั้นก็ยังมีประตูอีกบานหนึ่งซึ่งถุกทำไว้,
และกระนั้นภายในประตูอีกอันนั้น
– ไปถึงสามชั้น
ที่คนเราจะต้องผ่านได้ถ้าเขาผู้นั้นจะเลิกจากไปจากราชวังปีติสุขนี้.
สามทวารบานอันยิ่งใหญ่ที่ได้ถูก,
ใส่สลักและใส่ซี่กรง,
และเหนือเหล่านั้นคือกลุ่มสัตย์ซื่อภักดีได้คอบจับจ้องเฝ้าระวัง;
และรับสั่งขององค์ราชามีไว้ว่า,
“จงอย่าให้ผู้ใด
จะได้ผ่านซึ่งประตูเหล่านี้,
ถึงแม้นว่าจะเป็นเจ้าชายเอง;
นี่คือโทษถึงชีวิตของพวกเจ้าทั้งหลาย
– กระทั่งมันอาจจะเป็นชีวิตของโอรสข้าเช่นกัน.”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น