หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2558

ประชาธิปไตยสังคมนิยมกับคนไทย : ภิญโญ สาธร บทความเขียนลง “หนังสือ มหาวิทยาลัย 23 ตุลาคม 2517”



ประชาธิปไตยสังคมนิยมกับคนไทย
ภิญโญ  สาธร
บทความเขียนลง “หนังสือ มหาวิทยาลัย 23 ตุลาคม 2517”
จัดทำโดย แผนกสาราณียกร สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2517

บทนำ
          หลังวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 คนไทยทั่วไปดูจะสนใจคำว่า “ประชาธิปไตย” เป็นพิเศษ แต่การแปลความหมายของคำว่า “ประชาธิปไตย” ค่อนข้างจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ภูมิหลังทางการศึกษา การอาชีพและประสบการณ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยกับนิสิตนักศึกษาซึ่งมีส่วนอันสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในวันนั้น ส่วนมากมีความคิดเกี่ยวกับคำว่า “ประชาธิปไตย” ทำนองเดียวกับความคิดชาวตะวันตก เพราะได้รับอิทธิพลทางการศึกษามาจากชาวตะวันตก แม่ค้าหาบเร่มองประชาธิปไตยในแง่ความอิสระที่จะวางหาบขายของบนบาทวิถีและนอกตลาดสดคนขับแท๊กซี่คิดว่าประชาธิปไตยทำให้ตำรวจรีดไถและจับกุมน้อยลง ส่วนนักการ-เมืองว่างงานและ ส.ส. ถูกปลดเพราะรัฐบาลทหาร หวังว่าประชาธิปไตยจะเปิดโอกาสให้ตนได้สมัครรับเลือกตั้งและมีหนทางได้แสดงฝีมืออีกครั้งหนึ่ง

          ประชาธิปไตยคืออะไร?
          องค์ประกอบของประชาธิปไตยมีอะไรบ้าง?
          คนไทยดำเนินชีวิตแบบประชาธิปไตยได้เพียงใด?
          เหล่านี้เป็นปัญหาที่มีคนหลายคนพยายามตอบ และตอบกันมาแล้วจนน่าเบื่อ ผู้เขียนก็เบื่อเหมือนกัน แต่เมื่อเขาเห่อกัน ก็ขออนุญาตตามไปดูแห่ด้วยคน บางทีผู้อ่านอาจจะได้อะไรแปลกออกไปบ้างก็ได้
วิถีชีวิตในสังคม
          วิถีชีวิตในโลกปัจจุบันมี 2 แบบ คือ
         วิถีชีวิตแบบเผด็จการ (Totalitarian way of life) กับ วิถีชีวิตแบบประชาธิปไตย (The Democratic way of life)
         วิถีชีวิตแบบเผด็จการที่เด่นเป็นที่รู้จักกันมากในสังคมปัจจุบัน มี 2 แบบคือ เผด็จการคอมมูนิสต์ (Totalitarian Communistm) กับเผด็จการฟาสซิสม์ (Totalitarian Fascism)
        
วิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยมี 2 แบบ คือประชาธิปไตยทุนนิยม (Democratic Capitalism) กับประชาธิปไตยสังคมนิยม (Democratic Socialism)

เผด็จการคอมมูนิสต์
          ก่อนสมัยของมาร์กซ (Marx) สังคมถูกครอบงำโดยคน 4 กลุ่ม ซึ่งผลัดกันทรงอิทธิพลตามลำดับคือ
- กลุ่มศาสนา  อะไรๆก็เพื่อพระผู้เป็นเจ้า (God)
- กลุ่มการเมือง  อะไรๆก็แล้วแต่ผู้ทรงอำนาจทางการเมืองซึ่งได้แก่ พระจักรพรรดิ์  พระมหากษัตริย์  สมาชิกรัฐสภา  และทหารที่กุมอำนาจการเมืองไว้
- กลุ่มวีรบุรุษ  อะไรๆก็แล้วแต่นักรบผู้ยิ่งใหญ่  มหาราช  จักรพรรดิ์ผู้เก่งกล้า  สมาชิกรัฐสภาผู้มีคารมคมคาย  นักปฏิรูปสังคม และนักปฏิวัติซึ่งล้วนแต่เป็นวีรบุรุษของสังคม
- กลุ่มนักคิด  อะไรๆก็ต้องว่ากันไป ตามทฤษฎีหรือความคิดของนักคิดต่างๆ นักปราชญ์ต่างๆ ทั้งในด้านสังคมเศรษฐกิจ วิชาการ งานเทคนิค และการทหาร กลุ่มนี้คิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเรื่องเสรีภาพและประชาธิแปไตย (Freedom and Democracy)

ครั้ยถึงยุคของมาร์กซ (Marx) มาร์กซแปลสังคมไปในทางเศรษฐกิจ โดยฉพาะในเรื่องการผลิตสินค้าหรือสิ่งของ แหละการให้บริการ มาร์กซถือว่ากระบวนการทางสังคม คือการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือสิ่งของ และบริการ แม้มาร์กซจะมิได้กล่าวว่าเศรษบกิจเป็นตัวการสำคัญอย่างเดียวของสังคม แต่มาร์กซก็ยืนยันว่าเศรษฐกิจสำคัญที่สุด เศรษฐกิจเป็นรากฐานของวิฒนธรรม กฎหมายและรัฐบาลซึ่งจะต้องเกี่ยวเนื่องกับการเมือง สังคม ศาสนา วรรณกรรมและศิลปวิทยาการต่างๆ มาร์กซกล่าวว่า เครื่องมือผลิตในทางอุตสาหกรรม คือ ตัวการสำคัญ (Master key) และผู้เป็นเจ้าของเครื่องมือดังกล่าวหรือนายทุน (Capitalists) คือคนสำคัญที่กำหนดชะตากรรมของสังคม เป็นผู้ครอบครองสังคมในทางการเมือง และเป็นผู้กำหนดมาตรฐานต่างๆตลอดจนค่านิยมของสังคม บรรดานักกฎหมาย นักการศึกษา นักหนังสือพิมพ์ ศิลปิน และวรรณกวี ล้วนแต่ช่วยกันปกป้องทรัพย์สมบัติและความเป็นจ้าวเป็นใหญ่ของนายทุนทั้งสิ้น
ทั้งมาร์กซและกลุ่มอิทธิพลทั้ง 4 กลุ่มก่อนมาร์กซ ล้วนมองสังคมได้แง่เดียว สรุปสังคมง่ายๆ และเร็วเกินไป ทั้งๆที่องค์ประกอบของสังคมซับซ้อน และมีตัวการหลายอย่างเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามมาร์กซทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมขนาดใหญ่ และทำให้เกิดการต่อสู้กันขึ้นระหว่างนายทุนกับลูกจ้าง จนกระทั่งกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างจักรวรรดิ์นิยมคอมมูนิสต์ (Communist Imperialism) กับ โลกเสรี (The Free World) การต่อสู้ดังกล่าวได้ห่างเหินจากลัทธิเศรษฐกิจตามทรรศนะของมาร์กซ์มากยิ่งขึ้นทุกที เพราะเป็นการขัดกันระหว่างระบบอำนาจ (Power Systems) และการขัดกันระหว่างระบบค่านิยม (Value Systems)  แทนที่จะขัดกันในเรื่องของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (Economic Interests) ซึ่งเป็นแนวความคิดดั้งเดิมของมาร์กซ
เนื่องจากมาร์กซอธิบายใน (The Communists Manifesto) ว่า การที่จะปฏิรูปสังคม จะทำได้ก็โดยการปฏิวัติ (Revolution) เท่านั้น สาวกของมาร์กซจึงใช้วิธีรุนแรง ปฏิวัติสังคมและท้ายที่สุด ผู้ที่ปฏิวัติสำเร็จก็เข้าสะสมอำนาจแทน และใช้ระบบเผด็จการคอมมูนิสต์ครอบครองสังคม
ผู้นำของระบบเผด็จการคอมมูนิสต์คือ ประเทศโซเวียตรัสเซีย พลังของประเทศคอมมูนิสต์มาจากกลุ่มผู้บริหารประเทศ ซึ่งคัดเลือกมาจากกลุ่มอาชีพต่างๆอย่างกว้างขวาง การแข่งขันกันเป็นผู้นำดุเดือดรุนแรง แต่เมื่อเป็นผู้นำหรือผู้บริหาร ที่ทำงานสำเร็จได้ผลดี ก็ได้ผลตอบแทนคุ้มค่า ตรงกันข้ามถ้าผิดพลาดจะถูกลงโทษถึงจำคุกหรือถึงประหารชีวิต แหล่งพลังระดับสองมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมหนักเป็นหัวใจของความเจริญ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหนักเกี่ยวกับอาวุธ เพื่อพลังทางการทหาร แหล่งพลังระดับสาม คือการศึกษา และวิทยาศาสตร์ ประเทศคอมมูนิสต์ทุ่มเทงบประมาณเพื่อการศึกษาและวิทยาศาสตร์ สูงกว่าโลกเสรีหลายเท่า กล่าวกันว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยในโซเวียตรับเงินเดือนสูงกว่าคนงานรฝีมือในโรงงานขนาดใหญ่ถึง 9 เท่า ขณะที่อาจารย์มหาวิทยาลัยอเมริกัน ได้เงินเดือนสูงกว่าคนงานเพียง 1 ½ เท่า เพราะโซเวียตต้องการคนระดับสมองสาขาต่างๆจำนวนมาก แหล่งพลังสุดท้ายคือ กำลังทหาร โซเวียตทุ่มเทเงินเพื่อการทหารมากพอๆ กับสหรัฐทั้งๆที่มีกำลังเงินเพียง 40 เปอร์เซนต์ของสหรัฐ
ปัจจุบันจุดอ่อนของระบบเผด็จการคอมมูนิสต์อยู่ที่กลุ่มบริหารเช่นเดียวกับที่เขาเคยทำความเจริญให้ เพราะทุกวันนี้ ผู้บริหารคอมมูนิสต์กลายเป็นคนทำงานนั่งโต๊ะในสำนักงานแบบราชการที่เรียกว่า Bureaucrat และส่วนมากพากัน “ขอรับกระผม” หรือเป็น Yes-man กันไปหมดเพราะหวาดกลัวการลงโทษเมื่อคัดค้านหรือผิดพลาด  แม้แต่นวนิยายถ้าแต่งนอกแบบนอกฟอร์มก็พิมพ์เผยแพร่ไม่ได้ บางทีนักประพันธ์ถูกเก็บหรือเนรเทศไปเลย ดังนั้น ความคิดของผู้บริหารจึงคบลงทุกวันเพราะระบบ Conformity แม้นักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นของใหม่ ถ้าขาดการรับรองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมูนิสต์ ก็ไม่อาจดำเนินการได้ ปรัชญา ศิลป วรรณกรรม ดนตรี ล้วนถูกจำกัดอยู่ในวงล้อมที่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมูนิสต์ต้องการทำให้ความเจริญในด้านนี้ลดลงเป็นลำดับ อิสรภาพและเสรีภาพเป็นสิ่งที่ขาดแคลน แร้นแค้นที่สุดในระบบเผด็จการคอมมูนิสต์ จุดอ่อนที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์กับความเป็นจริง (Ideal And Reality) คอมมูนิสต์ประกาศปฏิรูปสังคมมนุษย์ แต่ใช้วิธีการอมนุษย์มาปฏิรูป เพราะถือว่า จะต้องทำให้สำเร็จ จะใช้วิธีการอย่างไรไม่สำคัญ ซึ่งแตกต่างจากโลกเสรีโดยสิ้นเชิงในเรื่องนี้ เพราะโลกเสรีถือว่าวิธีการและเป้าหมายต้องสอดคล้องกัน จะใช้วิธีการทำลายและฆ่าฟันเพื่อบรรลุเป้าหมายในการสร้างสรรค์สังคมไม่ได้ นอกจากนี้ในระบบเผด็จการคอมมูนิสต์นั้น คำมั่นสัญญากับการกระทำตามสัญญาไม่ใช่เรื่องสำคัญ ดังนั้น ในระบบนี้สังคมจะได้รับคำมั่นสัญญามากมายแต่ไม่มีผลใดๆ เพราะไม่มีการกระทำตามคำสัญญานั้นๆ

เผด็จการฟาสซิสม์
          ระบบเผด็จการฟาสซิสม์เกิดขึ้นทีหลังระบบเผด็จการคอมมูนิสต์ ลักษณะเด่นของระบบนี้คือการจัดรูปแบบของรัฐบาลและสังคมในทำนองเผด็จการ โดยมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ยึดมั่นในชาตินิยมอย่างหนัก โดยเฉพาะ เชื้อชาติและผิวพรรณ ผู้ทรงอำนาจสูงสุดในสังคมคือ ทหาร นโยบายของประเทศมุ่งไปในรูปจักรวรรดิ์นิยม (Imperialists) คือการสร้างความยิ่งใหญ่ของชาติตน และคอยรังแกชาติที่อ่อนแอกว่า ลักทธิเผด็จการฟาสซิสม์เริ่มขึ้นในอิตาลี ติดตามโดยเยอรมันและญี่ปุ่น  เมื่อก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เผด็จการคอมมูนิสต์เริ่มในประเทศยากจน เช่นรัสเซีย และจีน ซึ่งยากจนมาก่อน แต่เผด็จการฟาสซิสม์เริ่มในประเทศที่เจริญอย่างเยอรมันและญี่ปุ่นก่อนสงครามโ,กครั้งที่สอง ซึ่งเจริญมากในระยะนั้น เผด็จการคอมมูนิสต์เริ่มในสังคมซึ่งขยับจะเป็นประชาธิปไตย และขยับจะปฏิวัติอุตสาหกรรม (Predemocratic And Preindustrial) แต่เผด็จการฟาสซิสม์เริ่มในสังคมหลังจากได้ประชาธิปไตยและผ่านปฏิวัติอุตสาหกรรมมาแล้ว (Postdemocratic And Postindustrial) ประเทศที่ไม่เคยใช้ระบบประชาธิปไตยเลยจะเป็นฟาสซิสม์ไม่ได้ เพราะขาดการสนับสนุนจากประชาชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของฟาสซิสม์ แต่อาจเป็นเผปด็จการธรรมดาได้ โดยความช่วยเหลือของกองทัพบก ข้าราชการและชื่อเสียงกิติศัพท์ส่วนตัวของผู้เผด็จการ แต่ประเทศที่ได้ประชาธิปไตย ต่อเนื่องกันมานานๆ ก็ยากที่จะกลายเป็นเผด็จการฟาสซิสม์ ดังนั้น ประเทศที่เพิ่งได้ประชาธิปไตยใหม่ๆ พึงระวังระบบเผด็จการฟาสซิสม์ให้จงหนัก เพราะประชาชนชอบสนับสนุนการเรียกร้องหรือการต่อสู้ที่รุนแรง ผู้นำการเรียกร้องหรือการต่อสู้ก็กลายเป็นวีรบุรุษ และอาจกลายเป็นเผด็จการได้ในภายหลัง
          ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เผด็จการฟาสซิสม์มักตามหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพราะการพัฒนาอุตสาหกรรมมักก่อให้เกิดความตึงเครียดในทางสังคมและเศรษฐกิจ (Social And Economic Tensions) การแก้ความตึงเครียดดังกล่าวทำได้ 2 วิธี คือวิธี เสรีนิยม (Liberal) และวิธีเผด็จการ (Totalitarian) วิธีเสรีนิยมยอมรับว่าในสังคมย่อมมีกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆกันไปรวมๆกันอยู่ เช่น ฝ่ายนายทุน กับฝ่ายลุกจ้าง ฝ่ายเกษตรกร กับฝ่ายอุตสาหกรรม คนงานฝีมือกับคนงานขาดฝีมือ เป็นต้น การแก้ปัญหาขัดแย้งระหว่างกลุ่มจะใช้สันติวิธีและการค่อยทำค่อยไป แต่วิธีเผด็จการไม่ยอมรับว่าสังคมประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์หลายๆกลุ่ม พยายามลดกลุ่มให้กลายเป็นกลุ่มเดียว ซึ่งจะต้องทำตามที่ฝ่ายบริหารต้องการ และจะแก้ปัญหาด้วยกำลัง และอำนาจ เพื่อให้ผลโดยเร็ว
          คนที่ชอบสนับสนุนหรือชอบก่อให้เกิดระบบเผด็จการฟาสซิสม์ได้แก่ พวกอุตสาหกรและเจ้าของที่ดิน (Industrialists And Landowners) เพราะต้องการกำจัดอำนาจหรือเสรีภาพของสมาคมกรรมกร หรือกลุ่มเกษตรกร ในสังคมใดประชาธิปไตยอ่อนแอลง คน 2 กลุ่มนี้ก็จะฉวยโอกาสสนับสนุนพวกเผด็จการฟาสซิสม์ทันที พวกหที่จะสนับสนุนระบบนี้อีกพวกหนึ่งได้แก่ พวกชนชั้นกลางที่ยากจน (Lower Middle Class) โดยเฉพาะพวกทำงานกินเงินเดือน เพราะต้องการก้าวหน้าในงานและต้องการชื่อเสียงโดยสะดวกๆ พวกสุดท้ายแต่สำคัญที่สุดที่ชอบสนับสนุนระบบเผด็จการฟาสซิสม์ก็คือทหาร เพราะทหารเป็นกลุ่มที่มีวินัยและรวมตัวเกาะกันเหนียวแน่นที่สุด ทหารต้องการความเด็ดขาดรวดเร็วในการแก้ปัญหา และต้องการเห็นประชาชนอยู่ในระเบียบวินัยเคร่งครัดเหมือนตน จึงมักสนับสนุนเผด็จการฟาสซิสม์ แต่บางทีทหารก็ฌป็นกลุ่มสำคัญอีกกลุ่มหนึ่งที่ช่วยขจัดหรือขับไล่เผด็จการฟาสซิสม์ เมื่อประชาชนส่วนใหญ่เรียกร้อง
          แม้เผด็จการฟาสซิสม์จะมิได้เกิดขึ้นเพราะความตกต่ำทางเศรษฐกิจโดยตรง แต่ความแตกต่างทางเศรษบกิจก็มีส่วนสำคัญที่กระตุ้นให้คนต้องการเผด็จการฟาสซิสม์ได้ ทั้งนี้เพราะความล้มเหลวของกระบวนการประชาธิปไตยโดยที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและเพราะประชาชนหวาด กลัวจะแร้นแค้นยิ่งขึ้น หรือเกิดความเครียดขึ้นในสังคม การก่อตัวของเผด็จการฟาสซิสม์ ส่วนมากเริ่มจากการว่างงานในระหว่างเศรษฐกิจตกต่ำ คนว่างงานจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มพลัง ซึ่งส่วนมากจะเป็นพวกที่มีเชื้อชาติเดียวกันที่ตกงาน และลำบากลำบนด้วยกัน ก็เลยสร้างลัทธิชาตินิยมขึ้นในทันที และกลายเป็นฟาสซิสม์ในที่สุด

ข้อสังเกตเกี่ยวกับระบบเผด็จการ
          ระบบเผด็จการทุกแบบที่กล่าวมาแล้ว เกิดขึ้นเพราะแรงกระตุ้นของผู้นำกลุ่มต่างๆที่มีหัวเอียงไปในทางเผด็จการ ส่วนมากพวกนี้ต้องการแสวงหาอำนาจเพื่อตัวเอง คนอื่นเป็นเพียงเหยื่อหรือเครื่องมือเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในทางจิตวิทยาถือว่า บุคคลหรือชาติต่างๆมีหลายลักษณะบางคนหรือบางชาติมีบุคลิกภาพที่มีแนวโน้มอยู่แล้วที่จะเป็นเผด็จการ บุคคลหรือชาติที่ขาดบุคลิกภาพแบบเผด็จการยากที่จะรับระบบเผด็จการ ไม่ว่าในรูปใดๆ
          ในสังคมบางอย่าง คนในสังคมไม่ชอบตัดสินใจทำอะไรเอง แต่ชอบทำตามคำสั่งของผู้อื่น สังคมอย่างนั้นเป็นสังคมที่ขาดความรับผิดชอบ และเป็นสังคมตัวใครตัวมัน เมื่อเป็นเด้ก คนเหล่านั้นพอใจกับการใช้อำนาจของพ่อแม่ เพราะถือว่า เขาใช้อำนาจด้วยความหวังดี โตขึ้นจึงไม่เดือดร้อนกับการใช้อำนาจของผู้เผด็จการ ตราบใดที่ผู้เผด็จการแสดงความหวงัดีให้ปรากฏ และตราบใดที่ผู้เผด็จการไม่ไปก้าวก่ายในความสะดวกสบายและความง่ายๆของการดำเนินชีวิตโดยปกติของตน นอกจากนี้ในสังคมดังกล่าวชอบที่จะทำอะไรก็ทำตามกัน เหมือนๆกัน ไม่ชอบคิดอะไรใหม่ๆ ชอบเกาะกลุ่มเกาะพวกอย่างรุนแรง เน้นระเบียบวินัยและวัฒนธรรมของกลุ่มอย่างมาก ไม่ชอบให้ใครเพิกฉัยหรือไม่ทำตาม ว่าอะไรต้องว่าตามกัน พอใจในความมั่นยคงของสถานะเดิม แม้จะไม่ก้าวหน้ารวดเร็ว แต่ก็พอใจที่ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ชอบแสดงตัวหรือแสดงความเห็น แต่พอใจที่จะฟังผู้อื่นแสดง เมื่อมีอำนาจจะใช้อำนาจ เมื่อไม่มีอำนาจจะยอมเชื่อฟัง และยกย่องผู้มีอำนาจ

          สังคมเช่นนั้น ยากที่จะหลุดพ้นจากระบบเผด็จการ ไม่ว่ารูปใดรูปหนึ่ง

ประชาธิปไตยทุนนิยม
          ปัจจุบันนี้ คนส่วงนมากเข้าใจเกี่ยวกับหลักการประชาธิปไตยต่างๆกันไป โซเวียตรัสเซียกับสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าใจประชาธิปไตยไปอย่างหนึ่ง สหรัฐอเมริกา อังกฤษและฝรั่งเศส เข้าใจประชาธิปไตยอีกอย่างหนึ่ง ประเทศไทยยิ่งไม่เหมือนใคร เพราะคนไทยต้องการประชาธิปไตย แต่ก็ยังอยากให้นายกรัฐมนตรีใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 17 บ่อยๆเวลาขัดใจอะไรขึ้นมา และหลายคนอยากเห็นตำรวจจับตายมากขึ้น เพราะรังเกียจอาชญ่ากรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว
          ประเทศมหาอำนาจตะวันตกมองประชาธิปไตยในเรื่อง การเลือกตั้งเสรี เสรีภาพของหนังสือพิมพ์ อิสรภาพของสมาคม และพรรคการเมือง อิสรภาพทางศาสนา การแสดงความคิดและการพูด ความเสมอภาคในทางกฎหมาย สิทธิคัดค้านรัฐบาล สิทธิในการเลือกงานอาชีพ สิทธิในการก่อตั้งสมาคมวิชาชีพและสมาคมกรรมกร สิทธิย้ายที่อยู่โดยเสรีภาพภายในประเทศ และสิทธิเดินทางออกนอกประเทศชั่วคราว หรืออพยพไปอยู่ที่ใดโดยถาวรได้อย่างเสรี สิทธิพัฒนาตัวเองในทางปัญญาความรู้ ว้ฒนธรรมและศีลธรรม ได้อย่างสุดสามารถ
          เหนทือสิ่งอื่นใด ประชาธิปไตยในทัศนะของชาวตะวันตก คือการพ้นจากความหวดกลัว (Freedom From Fear) สังคมใดก็ตามจะเป็นประชาธิปไตยโดยไม่ได้ ถ้าพลเมืองของสังคมนั้นยังไม่ปลอดภัยจากการบุกรุกก้าวก่านยในกิจการส่วนตัว โดยผุ้มีอำนาจในทางราชการของรัฐบาล เสียงเคาะประตูบ้านตอนย่ำรุ่งในสหรัฐ หมายถึงคนมาส่งนม แต่เสียงเคาะประตูบ้านตอนย่ำรุ่งในประเทศเผด็จการหมายถึง ตำรวจลับหรือสันติบาล มาจับพ่อบ้านหรือคนในครอบครัวคนใดคนหนึ่งไปเข้าห้องขังโดยไม่ต้องขึ้นศาล หรือทำให้คนใดคนหนึ่งในบ้านเป็นผู้หายสาปสูญไปหลังจากย่ำรุ่งวันนั้น
          ประชาธิปไตยของบางประเทศอ้างความต้องการหรือผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่มาบังหน้า เพื่อเบียดเบียนผลประโยชน์ของคนส่วนน้อย โดยไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า ความต้องการผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่คืออะไร และใครคือผู้พูแทนคนส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่คือพรรคคอมมูนิสต์อย่างนั้นหรือ คนส่วนใหญ่คือ เปรซิเดียม (The Presidium) แน่หรือ หรือว่าคนส่วนใหญ่คือ คนกุมอำนาจกองทัพบกไว้หรือ หรือเลขาธิการพรรคการเมืองซึ่งมีพรรคเดียว หรือว่าผู้บัญชการกองตำรวจลับ รัฐบาลประเทศเหล่านั้นไม่อยากให้คนคิด ไม่อยากให้ใครตอบคำถามเหล่านี้
          ประชาธิปไตยแบบคอมมูนิสต์หมายถึง อุปกรณ์การผลิตทั้งปวง (means of production) เป็นของรัฐ เสรีภาพของหนังสือพิมพ์ คือเสรีภาพที่จะสนับสนุนวิถีทางของพรรคคอมมูนิสต์
          ประชาธิปไตย ของโลกเสรีหมายถึงวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตย (democracy as a way of life) ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 ประการที่จะขาดเสียไม่ได้คือ
- ความเสมอภาคในทางการเมือง (POLITICAL EQUALITY)
- อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (POPULAR SOVEREIGNTY)
- การปกครองโดยเสียงส่วนใหญ่ (RULE BY MAJORITIES)

ความเสมอภาค (EQUALITY) ไม่ได้หมายความว่า คนทุกคนเหมือนกัน (identical) แต่ทุกคนต้องเท่านเทียมกันในเรื่องมูลฐานทุกเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของสิทธิขั้นมูลฐาน เช่นสิทธิในชีวิต ทรัพย์สิน การแสวงหาความสุขภายในขอบเขตของกฎหมาย และความเท่าเทียมกันในเรื่องของการมีโอกาส (Opportunity) ต่างๆโดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับการเมือง
อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (POPULAR SOVEREIGNITY) ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ เมื่อมีนโยบายใดที่รัฐบาลจะต้องเลือก รัฐบาลจะต้องเลือกนโยบายที่พลเมืองส่วนใหญ่ต้องการให้เลือก ไม่ใช่เลือกเพราะคณะรัฐมนตรีต้องการ หรือเพราะผู้เช่ยวชาญของรัฐบาลแนะนำให้เลือก
          การปกครองโดยเสียงส่วนใหญ่ (RULE BY MAJORITIES) หมายความว่า ผู้ที่จะมารทำหน้าที่ปกครองหรือบริหารต้องเป็นผู้แทนปวงชนที่ปวงชนเลือกเข้ามา และเมื่อมาปกครองหรือบริหารจะต้องทำความต้องการของเสียงส่วนใหญ่ แต่ขณะเดียวกันก็ยังเคารพสิทธิของคนส่วนน้อย เปิดโอกาสให้คนส่วนน้อยคัดค้านหรือหาเสียงสนับสนุนคัดค้านของตนได้ทุกเมื่อ คนส่วนน้อยหรือเสียงส่วนน้อยที่แพ้ในตอนแรกอาจกลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่ชนะในตอนหลังได้ เพราะมีโอกาสคัดค้านและหาเสียงได้ตลอดเวลา ที่ฝ่ายปกครองทำตามเสียงส่วนใหญ่ที่สนับสนุนให้ชนะในตอนแรก
          ประชาธิปไตยของโลกเสรีเน้นเหตุผล (rational empiricism) เน้นเอกชน (individual) เน้นว่ารัฐเป็นเพียงเครื่องมือของสังคมหรือประชาชน (instrumental nature of state) อำนาจบังคับของรัฐจะใช้เมื่อสังคมไม่สมัครใจโดยขาดเหตุผล หรือไม่ยอมฟังเหตุผลของรัฐโดยไม่มีเหตุผลอื่นมาหักล้าง เพราะถือว่าความสมัครใจ (voluntarism) คือเส้นโลหิตใหญ่ของโลกเสรี นอกจากนี้ทุกอย่างต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย กระบวนการทำงานทุกชนิดต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์จะให้คนจนมีฐานะดีขึ้น ก็จะต้องหาวิธีให้คนจนได้ทำงานและรับค่าจ้างเหมาะสม หรือหาวิธีให้เพิ่มรายได้ มิใช่บีบบังคับคนรวยให้จุนเจือคนจนโดยคนจนไม่ต้องเพียรพยายามหรือทำงาน
         ที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ โอกาสที่จะให้มีการอภิปรายโต้แย้งเพื่อหาข้อสรุปที่คนส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกัน เพื่อนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป
ประชาธิปไตยในทางการเมืองที่สำคัญคือ ในการปกครองจะต้องมีพรรคการเมืองมากกว่าหนึ่งพรรค และการให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยจะไม่มีโทษทั้งในทางกฎหมาย ในทางสังคมและในทางเศรษฐกิจ
ในสังคมประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิที่จะทำผิด (the right to make mistake) คือคนเราอาจผิดพลาดได้ เพราะเลือกผิดหรือเพราะมีเสรีที่จะเลือก เมื่อผิดก็รับผิดรับโทษไปตามควร โดยสังคมหาทางให้เขาแก้ตัว และให้โอกาสเขาเลือกทางที่ถูกในคราวต่อไป ซึ่งต่างจากสังคมเผด็จการที่ทุกคนจะต้องทำและคิดตามที่ผู้ทรงอำนาจสั่งให้ทำ สั่งให้คิด จึงไม่มีรโอกาสผิด
ประชาธิปไตยทุนนิยม (capitalalist democracy) มีหลักการประชาธิปไตยทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว แต่ที่สำคัญที่สุดซึ่งตรงกันข้ามกับเผด็จการคอมมูนิสต์ก็ตรงที่ เอกชนเป็นเจ้าของอุปกรณ์การผลิตมิใช่รัฐเป็นเจ้าของไปเสียหมด (ownership of the means of production is held by individuals not by state) เช่น เอกชนเป็นเจ้าของที่ดิน เอกชนเป็นเจ้าของโรงงาน เอกชนเป็นเจ้าของเครื่องจักรกลต่างๆ และเอกชนเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติอย่างอื่น เป็นต้น ยกเว้น กิจการสาธารณูปโภคมูลฐานเท่านั้นที่รัฐจัดหรือผูกขาด เช่น การไปรษณีย์ อาวุธใช้รบในสงคราม และน้ำประปา เป็นต้น เพราะประชาธิปไตยทุนนิยมมีความเชื่อว่า ให้คนหลายคนเป็นเจ้าของกิจการต่างๆดีกว่าให้รัฐแต่ผู้เดียวเป็นเจ้าของ เพราะโอกาสที่เอกชนจะพัฒนากิจการของตนให้เจริญและเมื่อรัฐบาลมาจากปวงชน ปวงชนก็อาจคุมกิจการของเอกชนได้อยู่แล้วโดยทางอ้อม ในด้านการควบคุมดูแล ช่วงแห่งการควบคุมดูแล (span of control) ของรัฐบาลจะกว้างขวางเกินไปจนดูแลไมทั่วถึง อาจทำให้เศรษฐกิจทรุดโทรมได้ ถ้ารัฐเป็นเจ้าของกิจการต่างๆไปเสียหมด
จุดอ่อนของประชาธิปไตยทุนนิยมก็คือ ความเจริญเติบโตของกิจการเอกชนที่ไม่มีขอบเขตจนกลายเป็นจักรวรรดินายทุน และกลายเป็นการผูกขาดโดยอัตโนมัติ รัฐจึงควรยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องโดยจำกัดความยิ่งใหญ่ จนกกลายเป็นการผูกขาดเสียบ้าง เช่น ไม่ยอมให้มีกิจการที่มีนายทุนเกินกำหนด หรือไม่ให้รวมหัวตั้งราคา หรือ กำหนดกิจการตามอำเภอใจ โดยออกกฎหมายในทำนองกฎหมายของ สหรัฐอเมริกา ความจริงระบบเศรษฐกิจทุนนิยม (capitalist economy) ยึดหลักแห่งการเสี่ยงของเอกชน (individual risk-taking) ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานของประชาธิปไตยในด้านสิทธิและเสรีภาพของเอกชน ซึ่งเอกชนอาจจะตัดสินใจได้เองโดยรัฐไม่อาจเข้าบีบบังคับ ถ้าจะยกเลิกระบบนายทุนเสีย อย่างน้อยสิทธิและเสรีภาพของเอกชนในเรื่องนี้ก็สูญไป อาจกล่าวได้ว่าเป็นประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์ก็ได้

ประชาธิปไตยสังคมนิยม
          สังคมนิยมเริ่มขึ้นเมื่อใด หลายคนบอกว่า หลักการมีมาตั้งแต่เพลโต (Plato) เขียนหนังสือชื่อ The Republic ออกมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ หลายคนว่า สังคมนิยม เริ่มตั้งปต่คัมภีร์ไบเบิ้ลรุ่นเก่า (the old testament) เพราะกำหนดให้คุ้มครอง คนงาน สตรีและคนอ่อนแอ
          แต่ในสมัยปัจจุบัน หลายคนลงความเห็นว่า สังคมนิยม (Socialism) เป็นผลของระบบอุตสาหกรรมทุนนิยมสมัยใหม่ (the result of modern industrial capitalism) เพราะการคัดค้านความไม่เสมอภาคในสังคมเริ่มขึ้นในสังคมอุตสาหกรรมระบบทุนนิยม และนักสังคมนิยมไม่ต้องการให้สังคมนิยมยึดเงินตรา (money) เป็นค่านิยมและแบ่งยบกชนชั้นในสังคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้คู่กันเสมอเมื่อกล่าวถึงสังคมนิยม
          ว่าที่จริงแล้วอุตสาหกรรมในประเทศเสรีนิยมมุ่งที่จะให้ความผาสุกแก่เอกชน ซึ่งแตกต่างจากอุตสาหกรรมในประเทศเผด็จการ ที่มุ่งสร้างความยิ่งใหญ่ของรัฐมากกว่าความผาสุกของเอกชน

          อย่างไรก็ตาม ทั้งทุนนิยมและสังคมนิยม (Capitalism and Socialism) มีระบบเศรษฐกิจในรูปตลาดเสรี (Free Market) โดยอิสรภาพ สวัสดิการ และความสุข (Freedom, Welfare and Happiness) โดยดำเนินการแบบประชาธิปไตย ซึ่งแตกต่างจากคอมมูนิสต์ และฟาสซิสม์ (Communism and Fascism) ซึ่งมีระบบเศรษฐกิจตามคำสั่ง และการบังคับ (Command and Coercive Economic) มุ่งเพื่อความยิ่งใหญ่ของรัฐและฝ่ายทหาร
          ทุนนิยมต่างจากสังคมนิยมตรงที่ วิธีการทุนนิยมเน้นประโยชน์ในด้านสินทรัพย์ และการดำเนินการของเอกชน (Individual Property and Effort) แต่สังคมนิยมเน้นประโยชน์ในด้านสินทรัพย์ และดำเนินการของมหาชนหรือรัฐ (Collective Property and Effort)

          สังคมนิยมอาจขัดกันกับทุนนิยม แต่ก็เป็นการขัดกันระหว่างสมาชิกครอบครัวเดียวกัน เพราะต่างก็ยังเห็นด้วยในหลักเอกภาพของการทำงานและการเป็นเจ้าของกิจการ (Unity of Work and Ownership) ไม่เหมือนกันตรงที่เอกชนเป็นเจ้าของหรือมหาชนเป็นเจ้าของเท่านั้น
          ในด้านสังคมนิยมกับประชาธิปไตยนั้น กล่าวได้ว่า สังคมนิยมเติบโตได้ในสังคมประชาธิปไตย เช่น อังกฤษ ฮอลแลนด์ เบลเยี่ยม สวิสเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย และอิสราเอล เป็นต้น เพราะประเทศเหล่านี้ให้เสรีภาพแก่ความเคลื่อนไหวต่างๆ การให้โอกาสแก่คนจน การขจัดความไม่เสมอภาคโดยการกำเนิดการให้การศึกษาแก่คนทุกคน การขจัดการแบ่งแยกเพศ ผิวพรรณ ศาสนา เชื่อชาตอและชนชั้น การปฏิรูปสังคมเพื่อประโยชน์ของชุมชน การประกันการเจ็บป่วยและว่างงาน การขจัดแหล่งเสื่อมโทรมโดยหาที่อยู่ใหม่ที่ดีกว่าให้ และการให้ยาและการรักษาโรคแก่คนทุกคนโดยไม่เลือกยากดีมีจน สิ่งเหล่านี้เป็นเป้าหมายของสังคมนิยม
          สังคมนิยมต่างจากคอมมูนิสต์ในด้านวิธีการปฏิรูปสังคม เพราะสังคมนิยมอาศัยกฎหมายและรัฐธรรมนูญเป็นหนทางปฏิรูป แต่คอมมูนิสต์ใช้วิธีรุนแรง หรือการปฏิวัติมาดำเนินการ สังคมนิยมแสวงหาอำนาจโดยอาศัยคะแนนเสียงเลือกตั้ง  แต่คอมมูนิสต์แสวงหาอำนาจโดยการใช้อาวุธ คอมมูนิสต์บีบบังคับให้โอนสภาพการเป็นเจ้าของกิจการเช่นเดียวกัน เพราะสังคมนิยมเคารพสิทธิของเอกชนและไม่เห็นด้วยกับการขจัดทรัพย์สินของเอกชน ด้วยวิธีการอันไม่สมควรหรือโดยไม่จ่ายค่าทดแทนให้ และค่อยทำค่อยไปจนท้ายที่สุดรัฐเป็นเจ้าของกิจการเช่นเดียวกัน
          สังคมนิยมเข้ากันได้ดีกับศาสนาต่างๆ โดยเฉพาะพระมีส่วนช่วยอย่างยิ่งในการเผยแพร่ความเข้าใจในด้านสังคมนิยม เพราะสังคมนิยมยึดมั่นในศีลธรรมและสุนทรียภาพต่างๆ
          สังคมนิยมยึดหลักค่อยทำค่อยไป แต่จะทำอย่างหนักแน่นมั่นคงตามทฤษฎีเฟเบียน (Fabian Empiricism) และใช้วิธีการอรูปนัย (Informal) มากกว่าวิธีการูปนัย (Formal) มุ่งทำความเข้าใจกับกลุ่มชนกลุ่มเล้กๆ แล้วขยายวงออกไปมากกว่าที่จะเรียกร้องเอาจากพระมหากษัตริย์หรือรัฐสภาพ และการอภิปรายถกเถียงก็เน้นข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดมากกว่าหลักการเข้าใจยาก
          เกี่ยวกับการยึดกิจการเอกชนเป็นของรัฐทั้งๆที่จ่ายเงินทดแทนให้ สังคมนิยมยังยังต้องการเหตุผล และความจำเป็นมาสนับสนุนการยึดนั้น มิชายึดมาจากทุกอย่างเพียงเพื่อให้เป็นของรัฐให้หมดโดยขาดเหตุผล แต่จะทำตามความจำเป็นและทำเป็นระยะๆแล้วแต่สถานการณ์

บทสรุป
          เมื่อได้ศึกษาวิถีชีวิตแบบต่างๆนับตั้งแต่เผด็จการคอมมูนิสต์ (Totalitarian Communism) เผด็จการฟาสซิสต์ (Totalitarian Fascism) ประชาธิปไตยทุนนิยม (Democratic Capitalism) และประชาธิปไตยสังคมนิยม (Democratic Socialism) อย่างกว้างขวางในหลักการแล้ว ลองพิจารณาวิถีชีวิตของคนไทยดูบ้างว่าจะดำเนินไปในแนวใดจึงจะมีความสุขทุกฝ่าย

          ผู้เขียนเข้าใจว่าประชาธิปไตยสังคมนิยมน่าจะสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทยมากที่สุด เพราะคนไทยรักอิสรภาพและเสรีภาพอย่างยิ่ง เผด็จการทุกรูปแบบไม่อาจชนะใจคนไทย ที่เผด็จการเคยดำรงอยู่ได้โดยไม่มีเสียงต่อต้านก็เพราะคนไทยหวาดกลัวว่าตนเองจะต่อต้านไปตามลำพัง เนื่องจากคนไทยขาดการรวมพลังและขาดสมาคมต่างๆซึ่งน่าจะเป็นแหล่งรวมพลัง เพราะสมาคมต่างๆที่มีอยู่พากันหาชื่อเสียงด้วยการหาเงินบำรุงการกุศลกันเสียหมดมิได้สนใจวิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่เท่าที่ควร

          ในด้านทุนนิยม นายทุนไทยไม่ใช่นายทุนประชาธิปไตยซึ่งพอใจตลาดเสรีและยึดหลักความเสมอภาคยุติธรรมเป็นแนวปฏิบัติ ตรงกันข้ามนายทุนของเราเป็นชนกลุ่มน้อยผูกขาดที่มิได้มุ่งความผาสุกของชุมชนเป็นเป้าหมายตามระบบประชาธิปไตยทุนนิยม แต่เป็นนายทุนเผด็จการผูกขาดและฉวยโอกาสเพื่อตนเองโดยลำพัง (Totalitarian Feudalists) จึงพากันตามหลังเผด็จการฟาสซิสต์เกือบทั้งหมด วิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยทุนนิยมแบบไทยจึงน่าจะสอดคล้องกับสภาพสังคมไทย
          หากคนไทยหลายคนยังคิดวิธีการของเผด็จการฟาสซิสต์อยู่บ้างก็เป็นเพราะความเคยชินที่ถูกครอบงำด้วยระบบนั้นนานเกินไปมากกว่าที่จะเป็นทัศนคติอันเป็นธาตุแท้ของคนไทย
          การค่อยทำค่อยไปในการให้รัฐเข้ามาดำเนินกิจการสำคัญๆแทนเอกชนตามทฤษฎีเฟเบียน (Fabian Empiricism) อันเป็นทฤษฎีหลักของสังคมนิยมน่าจะถุกใจคนไทย เพราะคนไทยไม่ชอบวิธีการรุนแรง คนไทยเห็นใจคนและใจอ่อนเกินกว่าที่จะทนดูใครๆทำอะไรด้วยความรุนแรง

          อย่างไรก็ตามแสงสว่างแห่งความหวังยังรุบหรู่เต็มที  ในสังคมที่เคยถูกบีบคั้นมานานอย่างสังคมไทย การตื่นตัวของนิสิตนักศึกษาน่าชื่นชมก็จริงแต่ดูจะไม่ยั่งยืนนัก เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่นั่นเอง จะให้เด็กมีช่วงแห่งความสนใจ (Span of Attention) ยาวนานเท่าผู้ใหญ่ดูจะเร่งรัดให้คนตั้งครรภ์คลอดลูกก่อนกำหนดอาจแท้งได้เหมือนกัน.

         
         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น