พระร่วงได้พระพุทธสิหิงค์
จาก
ชินกาลมาลีปกรณ์
![]() |
ได้ยินว่า เมื่อพระศาสดาปรินิพพานล่วงแล้วได้ 700 ปี
พระเถรที่เป็นขีณาสพ(1) ยังมีอยู่ในลังกาทวีป 20 องค์
ครั้งนั้นพระเจ้าสีหลใคร่จะทอดพระเนตรรูปของพระพุทธ จึงเสด็จไปยังวิหารตรัสถามพระสังฆเถระว่า เขาว่าพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย เมื่อทรงพระชนม์อยู่ได้เสด็จมาลังกาทวีปนี้ถึง
3 ครั้ง ผู้ที่ได้เห็นพระพุทธนั้น เดี๋ยวนี้ยังจะมีอยู่หรือหามิได้ ทันใดนั้น
ด้วยอานุภาพของพระขีณาสพ
ราชาแห่งนาคได้แปลงรูปมาเป็น
แล้วเนรมิตตนเป็นรูปพระพุทธ
เพื่อที่จะเปลื้องความสงสัยของพระเจ้าสีหลพระราชาทรงบูชาพระพุทธรูป 7 คืน 7
วัน ครั้งนั้นพระราชาตรัสสั่งให้หาช่างปฏิมากรรมชั้นอาจารย์มาแล้ว โปรดให้เอาขี้ผึ้งปั้นถ่ายแบบพระพุทธมีอาการดั่งที่นาคราชเนรมิต และให้ทำแม่พิมพ์ถ่ายแบบพระพุทธนั้นด้วย แล้วให้เททองซึ่งผวมด้วยดีบุก ทองคำ
และเงินอันหลอมละลายคว้างลงวในแม่พิมพ์นั้น
พระพุทธปฏิมานั้น
เมื่อขัดและชักเงาเสร็จแล้ว
งามเปล่งปลั่งเหมือนองค์พระพุทธยังทรงพระชนม์อยู่
ฝ่ายพระเจ้าสิงหล
ทรงบูชาด้วยเครื่องสักการและความนับถือเป็นอันมาก โดยเคารพ
แม้พระราฃบุตร พระราชนัดดา พระราชปนัดดา
ของพระองค์
ก็ได้ทรงบูชาพระสีหลปฏิมาสืบๆกันมา
ต่อจากนั้น
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธปรินิพพานแล้วได้ 1800 ปี จุลศักราช 618
มีกษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามว่า โรจราช (2)
ครองราชสมบัติอยู่ในเมืองสุโขทัย
ประเทศสยาม
ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของชมพูทวีป (3)
ได้ยินมาว่า[1] ที่ตำบลบ้านโค (4) ยังมีชายคนหนึ่งรูปงาม มีกำลังมาก
ท่องเที่ยวอยู่ในป่า
มีนางเทพธิดาองค์หนึ่ง
เห็นชายคนนั้นแล้วใคร่จะร่วมสังวาสด้วย
จึงแสดงมารยาหญิง
ชายคนนั้นก็ร่วมสังวาสกับนางเทพธิดาองค์นั้น เนื่องจากการร่วมสังวาสของเขาทั้งสองนั้น จึงเกิดบุตรชายคนหนึ่ง และบุตรชายคนนั้นมีกำลังมาก รูปงาม
เพราะฉะนั้น
ชาวบ้านทั้งปวงจึงพร้อมใจกันทำ
ราชาภิเษกบุตรชายคนนั้น บุตรชายซึ่งครองราชสมบัติในเมืองสุโขทัยนั้น
ปรากฏพระนามในครั้ง
นั้นว่า โรจราช ภายหลังปรากฏนามว่า
พระเจ้าล่วง (5) ได้ยินว่า ครั้งหนึ่งพระเจ้าโรจใคร่ทอดพระ
2 โรจราช สมัย พ.ศ.1800 ได้แก่ พ่อขุนบางกลางท่าว
เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง หรือราชวงศ์สุโขทัย ในศิลา
จารึกเรียกว่า
ศรีอินทราทิตย์ ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพ่อขุนรามคำแหง
3 อินเดีย
4 บ้านโค อาจเป็น
บ้านโคน จังหวัดกำแพงเพชร
5 พระเจ้าล่วง ท่านผูกสัพท์บาลีว่า รทฺราราชา คำว่า รทฺรา
แปลว่า ล่วง ลุล่วง สำเร็จ ภาษาสํสฺกฺฤต ว่า รธ แปล
เหมือนกัน ต่อมาคำว่า
ล่วง กลายเป็น ร่วง คือพระร่วง
เนตรมหาสมุทรแวดล้อมด้วยทหารหลายหมื่นเสด็จล่องใต้ไปตามลำน้ำน่านจนกระทั่งถึงสิริธรรมนคร
(1) ได้ยินว่า พระเจ้าสิริธรรม
(2) ครองราชสมบัติอยู่ในเมืองนั้น
พระองค์ทรงทราบว่าพระเจ้าโรจเสด็จมา
จึงเสด็จไปต้อนรับ
ทรงรับรองเป็นอย่างดีแล้ว
ตรัสเล่าให้พระเจ้าโรจฟังถึงความอัศจรรย์ของพระสีหลปฏิมาในลังกาทวีป ตามที่ได้ทรงสดับมา พระเจ้าโรจทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ตรัสถามว่า
เราจะไปที่นั่น (ลังกาทวีป) ได้ไหม
พระเจ้าสิริธรรมตรัสตอบว่า
ไปไม่ได้ เพราะมีเทวดาอยู่ 4 ตน
ชื่อ สุมนเทวราช 1 รามเทวราช 1
ลักขณเทวราช 1 ขัตตคามเทืวราช
1 มีฤทธิ์เดชมาก รักษาเกาะลังกาไว้เป็นอย่างดี เมื่อเป็นดั่งนั้น สองกัตริย์จึงส่งทูตไป ครั้นแล้วพระเจ้าโรจก็เสด็จกลับเมืองสุโขทัย
ราชทูตไปถึงลังกาทวีปแล้ว
กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดนั้นแก่พระเจ้าสีหล พระเจ้าสีหลทรงทราบเรื่องราวนั้นแล้ว ทรงบูชาพระสีหลปฏิมา 7 คืน 7 วัน
แล้วพระราชทานให้แก่ราชทูต
ราชทูตอัญเชิญพระสีหลปฏิมา]งเรือแล้วกลับมา แต่เรือนั้นแล่นไปด้วยกำลังพายุพัดกระทบกับหินนท้องทะเลเข้าก็แตกไป
ส่วนพระพุทธปฏิมาประดิษฐานอยู่บนกระดานแผ่นหนึ่ง กระดานแผ่นนั้นลอยไปได้ 3 วัน
ถึงสถานที่แห่งหนึ่งใกล้สิริธรรมนครด้วยอานุภาพนาคราช
ครั้นงนั้นเทวดามาเฝ้าพระเจ้าสิริธรรมในเวลากลางคืนให้เห็นพระสีหลปฏิมาเสด็จมาอย่างชัดเจน รุ่งเช้าจึงส่งเรือหลายลำไปในทิศต่างๆ
แม้พระองค์เองก็ทรงเรือพระที่นั่งเสด็จไปทรงค้นหาพระสีหลปฏิมา ด้วยการอธิษฐานของพระอินทร์
พระเจ้าสิริธรรมทรงพบพระสีหลปฏิมาประดิษฐานบนกระดานนั้นเข้าแล้ว ทรงนำมาสักการบูชา ครั้นแล้ว
พระเจ้าสิริธรรมจึงส่งพระราชสาส์นถึงพระเจ้าโรจแจ้งว่าได้พระพุทธปฏิมาแล้ว พระเจ้าโรจจึงเสด็จไปสิริธรรมนครแล้วอัญเชิญพระสีหลปฏิมา มาเมืองสุโขทัย ทรงสักการบูชา
ท่านประพันธ์ไว้เป็นวสันตดิลกฉันท์
แปลความว่า
พระเจ้าแผ่นดินผู้ประเสริฐนั้น
โปรดให้สร้างพระปรางค์ขึ้นองค์หนึ่งในเมืองสัชชนาลัย
ล้วนแล้วด้วยศิลา
(แลง) และอิฐ โบกปูนขาว (3) หุ้มแผ่นทองบแดงแน่นหนา ปิดทอง ไม่ใช่
แลเป็นหิน งามดั่งรูปทิพยพิมานฯ
ครั้นสร้างเสร็จแล้ว โปรดให้ฉลองมหาวิหารเป็นการใหญ่ พร้อมกับมหาชนที่มาประชุมกันจากนครต่างๆ มีสัชชนาลัย กำแพงเพชร (4) สุโขทัย และชัยนาท เป็นต้น และพระเจ้าโรจทรงสะสมบุญเป็นอเนกแล้วสวรรคต

1 ท่านผูกศัพท์บาลีว่า
สิริธมฺมนครํ คงหมายถึง นครศรีธรรมราช
2 ท่านผูกศัพท์บาลีว่า
สิริธมฺมราชา คงหมายถึง พระเจ้าศรีธรรม
3 คงหมายถึงพระศรีรัตนมหาธาตุ
หรือพระปรางค์เมืองเชลียง อำเภอศรีสัชชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
4 ท่านผูกศัพท์บาลีว่า
วชิรปาการ
เมื่อพระเจ้าโรจล่วงลับไปแล้ว พระเจ้าราม (1) พระราชโอรสของพระเจ้าโรจครองราชสมบัติในเมืองสุโขทัย
พระเจ้ารามนั้นทรงบูชาพระสีหลปฏิมาเช่นเดียวกันเพมื่อพระเจ้ารามล่วงลับไปแล้วพระเจ้าปาล
(2) ได้รับราชสมบัติในเมืองสุโขทัยนั้นแล้วทรงบูชาพระสีหลปฏิมา เมื่อพระเจ้าปาลล่วงลับไปแล้ว พระเจ้าอุทกโชตถตะ (3)
พระราชโอรสของพระเจ้าปาลได้ราชสมบัติในเมืองสุโขทัยนั้นแล้ว ทรงสักการพระสีหลปฏิมา เมื่อพระเจ้าอุทกโชตถตะล่วงลับไปแล้ว พระเจ้าลิไทย (4)
ทรงครอบครองราชสมบัติในเมืองสุโขทัยนั้น
และพระเจ้าลิไทยนั้นมีชื่อเสียงปรากฏว่า
พระเจ้าธรรมราชา (พระมหาธรรมราชา) เพราะทรงศึกษาเล่าเรียนพุทธวจนะคือพระไตรปิฎก เล่ากันว่า
ครั้งหนึ่งเมืองชัยนาทเกิดทุพภิกขภัย (5) พระเจ้ารามาธิบดี (6) กษัตริย์อโยชฌปุระ
(7) เสด็จมาจากแค้วนกัมโพช (8)
ทรงยึดเมืองชัยนาทนั้นได้
โดยทำเป็นทีว่าเอาข้าวมาขาย
ครั้นยึดได้แล้ว ทรงตั้งมหาอำมาตย์ของพระองค์ชื่อ วัตติเดช (9)
ซึ่งครองเมืองสุวรรณภูมิ (10) ให้มาครองเมืองชัยนาท ส่วนพระองค์เสด็จกลับไปอโยชฌปุระ
ต่อแต่นั้นมาพระเจ้าธรรมราชาก็ส่งราชบรรณาการเป็นอันมากไปถวายพระเจ้ารามาธิบดี ทูลขอเมืองชัยนาทนั้นคืน ฝ่ายพระเจ้ารามาธิบดีก็ทรงประทานคืน
(เมืองชัยนาทนั้น) แก่พระเจ้าธรรมราชา
วัตติเดชอำมาตย์ก็กลับไปเมืองสุวรรณภูมิอีก
พระเจ้าธรรมราชาครั้นได้เมืองชัยนาทคืนแล้ว ทรงตั้งพระมหาเทวีผู้เป็นพระ
กนิษฐา(น้องหญิง)ของพระองค์ให้ครองราชสมบัติในเมืองสุโขทัย ทรงตั้งอำมาตย์ชื่อ ติปัญญา(11)
ให้ครองราชสมบัติในเมืองกำแพงเพชร ส่วนพระองค์อัญเชิญพระสีหลปฏิมาไปบูชาที่เมืองชัยนาท
![]() |
1 พระเจ้าราม คือ
พ่อขุนรามคำแหง แต่ปรากฏตามศิลาจารึกว่า เมื่อสิ้นพ่อขุนบางกลางท่าวแล้ว
พ่อขุนบานเมือง
ครองราชสมบัติ
และเมื่อสิ้นพ่อขุนบานเมืองแล้ว พ่อขุนรามคำแหงผู้เป็นพระอนุชาพ่อขุนบานเมืองจึงครองราช
สมบัติต่อมา แต่ท่านผู้รจนาชินกาลมาลีปกรณ์นี้
คงไม่ทราบเรื่องราวจึงกล่าวไว้เช่นนี้
2 พระเจ้าปาล
คือ พ่อขุนบานเมือง
3 พระเจ้าอุทกโชตถตะ
คือ พ่อขุนจมน้ำ หมายถึงพระเจ้าเลอไทย ความจริงพระองค์เป็นพระราชโอรสของพ่อขุน
รามคำแหง
ไม่ใช่เป็นราชโอรสของพระเจ้าปาล แต่เพราะเรียงลำดับเจ้าผู้ครองนครผิด
พระราชโอรสจึงพลอยผิดไป
ด้วย
4 พระเจ้าลิไทย
ท่านผูกศัพท์บาลีว่า ลืเทยฺยราชา คือพระเจ้าลือไทย ที่ได้เฉลิมพระนามว่า
พระเจ้าศรีสุริยพงศ์ ราม
มหาธรรมราชาธิราช
5 ทุพภิกขภัย
คือ ทำนาไม่ได้ผล ข้าวยากหมากแพง ประชาชนพลเมืองอดหยาก
6 พระเจ้ารามาธิบดี
คือ พระเจ้าอู่ทอง หรือที่เรียกว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ผู้สร้างพระนครศรีอยุธยา
7 อโยชฌปุระ
เข้าใจว่า พระนครศรีอยุธยา
8 แคว้นกัมโพช
ผู้แปลเข้าใจว่า แค้วนลพบุรี ไม่ใช่แคว้นเขมรเมืองกัมพูชา
เพราะพระเจ้ารามาธิบดีกษัตริย์กรุงศรี
อยุธยา
จะเสด็จมาตีเมืองชัยนาท ย่อมผ่านเมืองลพบุรีแล้วไปถึงชัยนาท
มิใช่ว่าออกจากกรุงศรีอยุธยาแล้วไปเขมร
ก่อน
แล้วย้อนกลับมาเมืองชัยนาท ไม่น่าจะเป็นไปได้ คำว่า “แคว้นกัมโพช”
จึงเห็นว่าเป็นเมืองลพบุรี โดยท่านผู้
รจนาชินกาลปกรณ์คงยึดชื่อเมืองที่เคยเป็นเมืองของขอมมาก่อน
แล้วใช้เรียกชื่อเดิมว่าแคว้นกัมโพช
9 มหาอำมาตย์วัตติเดช
คือ พ่อขุนหลวงพะงั่ว
10 เมืองสุวรรณภูมิ
คือ ท้องที่จังหวัดสุพรรณบุรี
11 อำมาตย์ชื่อ
ติปัญญา ในพงศาวดารโยนกกล่าวว่า ติปัญญาอำมาตย์ อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า
ตรีปัญญาอำมาตย์ เจ้า
เมืองกำแพงเพชร
แต่ในตำนานพระพุทธสิหิงค์ว่า พระนาญาณดิส เสวยราชสมับติในนครวชิรปราการ คือ
เมืองกำแพงเพชร
ชัยนาท
เมื่อพระเจ้ารามาธิบดีผู้เป็นใหญ่แก่แคว้นกัมโพชและอโยชฌปุระสวรรคตแล้ว วัตติเดชอำมาตย์มาจากเมืองสุวรรณภูมิยึดแคว้นกัมโพชได้ ครั้นพระเจ้าธรรมราชาเมืองชัยนาทสวรรคตแล้ว วัตติเดชอำมาตย์มาจากเมืองอโยชฌปุระยึดเมืองชัยนาท
แล้วอัญเชิญพระสีหลปฏิมาไปบูชาที่อโยชฌปุระ และมหาอำมาตย์ชื่อพรหมไชยก็ยึดเมืองสุโขทัยได้
อนึ่ง ติปัญญาอำมาตย์ ครองสมบัติอยู่ในเมืองกำแพงเพชร
ท่านได้ส่งมารดาของท่านถวายแก่พระเจ้าอโยชฌปุระ
ครั้งหนึ่งนางได้ทูลด้วยถ้อยคำเป็นที่รัก ทำทีเป็นทูลขอพระพุทธรูปทองแดงธรรมดา แล้วอัญเชิญเอาพระสีหลปฏิมาส่งมาเมืองกำแพงเพชรโดยเรือเร็ว
ฝ่ายติปัญญาอำมาตย์ดีใจยิ่งนัก บูชาพระสีหลปฏิมาด้วยเครื่องสักการอันวิเศษเป็นอันมากด้วยความเคารพ
อยู่มาวันหนึ่ง
เจ้ามหาพรหมผู้เป็นใหญ่ในเชียงราย
ทรงทราบความอัศจรรย์ของพระพุทธรุปสีหลจากสำนักพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมาจากแคว้นใต้ ทั้งได้ทอดพระเนตรเห็นรูปขี้ผึ้ง ซึ่งมีภิกษุนั้นปั้นไว้
มีลักษณะเหมือนพระสีหลปฏิมา
ทรงดีพระทัย
แต่แล้วก็กลับเสียพระทัยใคร่จะทอดพระเนตรพระสีหลปฏิมา (องค์จริง)
จึงตระเตรียมพลนิกายเสด็จมาเมืองเชียงใหม่
ทูลขอพลนิกายจากพระเจ้ากือนา
พระเชษฐา แล้วพาทหาร 80,000
เสด็จไปโดยลำดับบรรลุถึงสถานที่ใกล้เมืองกำแพงเพชร ตรัสสั่งให้พักกองทัพ แล้วส่งทูตเข้าไปเฝ้าพระเจ้าติปัญญา ลำดับนั้น
ฝ่ายพระเจ้าติปัญญาก็ส่งราชสาส์นไปสำนักพระเจ้าอโยชฌปุระ พระเจ้าวัตติเดช (พ่อขุนหลวงพะงั่ว)
รีบตระเตรียมพลนิกายเสด็จมาถึงปากน้ำโพ (1) พระเจ้ามหาพรหมได้ส่งอำมาตย์ทูตกับพระมหาสุคนธเถรไปพร้อมด้วยเครื่องบรรณาการ
อำมาตย์ทู๖และพระมหาสุคนธเถรทั้งสองนั้นเข้าไปถึงนครแล้วได้กระทำปฏิสันถารด้วยถ้อยคำสุภาพไพเราะ พระมหาสุคนธเถรอยู่ในเรือท่ามกลางกัตริย์ทั้งสองเพื่อเป็นพยาน
กษัตริย์ทั้งสองประทับอยู่ในเรือ (ขนาบอยู่) 2 ข้าง
พระมหาสุคนธเถรได้กล่าวคำดั่งต่อไปนี้ เพื่อให้กษัตริย์ทั้งสองมีความสามัคคีต่อกัน
ข้อความที่พระมหาสุคนธเถรกล่าว
ท่านประพันธ์ไว้เป็นคาถา แปลความว่า
มหาบพิตรทั้งสองทรงมีบุญมาก มีปัญญามาก มีกำลังรี้พลมาก
ทรงตั้งอยู่ในความสัตย์ แน่วแน่อยู่ในความสัตย์ ทรงนับถือพระพุทธศาสนา
ทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นบิดาของราษฎรทั้งหลาย ทรงเป็นผู้มีศีล เป็นที่รักใคร่ของประชาชนทั้งหลาย
ขอมหาบพิตรทั้งสองพระองค์จงสามัคคี อย่าพิโรธแก่กันเลย นี่ก็เมืองกำแพงเพชร
โน่นก็นครเชียงใหม่ ขอให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่าแบ่งแยกกันเลย
ขอให้นครทั้งสองจงมัดไว้ด้วยเชือก คือพระราชไมตรีเถิดฯ
กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ได้ทรงสดับคำของพระมหาเถรสุคนธนั้นแล้ว ต่างก็น้อมรับไว้เป็นอันดี
พระเจ้าติปัญญาได้ประทานเครื่องบรรณาการมีพญาช้างอันเป็นของกำนัลเป็นต้น แก่อุปราชของพระเจ้ามหาพรหม
พระเจ้ามหาพรหมก้ประทานม้าเป็นต้นกับเครื่องราชาภิเษกแก่พระเจ้าติปัญญา พระเจ้ามหาพรหมครั้นประทานเสร็จแล้ว จึงทูลขอพระสีหลปฏิมาต่อพระเจ้าติปัญญา
พระเจ้าติปัญญาก้ประทานพระสีหลปฏิมาแก่พระเจ้าหมาพรหมตามพระประสงค์ฝ่ายพระ

1 ปากน้ำโพ
ท่านผูกศัพท์บาลีว่า มหานทีมุขํ แปลตามศัพท์ว่า ปากแม่น้ำใหญ่
เจ้าวัตติเดชส่งทูตไปเฝ้าพระเจ้าติปัญญา ให้ทูลถามว่าขณะนี้ พระเจ้ามหาพรหมถอยกลับไปแล้วหรือยัง เรายกขึ้นมาจักรบกับพระเจ้ามหาพรหม พระเจ้าติปัญญาทรงทราบความนั้นแล้ว จึงบอกพระมหาเถรสุคนธว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า กษัตริย์ทั้งสองนี้กล้าหาญมีกำลังรี้พลมาก ไม่มีใครสามารถที่จะห้ามได้ ขอพระคุณเจ้าโปรดให้พระเจ้ามหาพรหมถอยไปให้ไกล ให้ไปตั้งอยู่ที่เมืองตาก (1)
พระมหาเถรจึงส่งทูตไปทูลเนื้อความนั้นแก่พระเจ้ามหาพรหม พระเจ้าพรหมได้ทรงฟังคำทูลนั้น จึงตรัสว่าพระเจ้าวัตติเดชขืนตามเรามา เราจะสู้รบกับพระองค์
แล้วก็ถอยไปจากเมืองกำอพงเพชรตระเตรียมการรบอยู่ที่เมืองตาก
พระเจ้าติปัญญาได้กราบทูลการถอยของพระเจ้ามหาพรหมให้พระเจ้าวัตติเดชทรงทราบ
และพระเจ้าติปัญญาได้อนุญาตพระสีหลปฏิมาแก่พระเจ้ามหาพรหมด้วยวาจาละมุนละม่อมของพระมหาสุคนธเถร พระมหาเถรนั้นได้อัญเชิญพระสีหลปฏิมาลงเรือมาทางเหนือถึงเมืองตาก
ฝ่ายพระเจ้ามหาพรหมดีพระทัยดั่งว่าสรงน้ำอมฤต
ทรงอัญเชิญพระสีหลปฏิมาด้วยวอทองไปถึงเมืองเชียงใหม่โดยลำดับ ประดิษฐานพระสีหลปฏิมาในวิหารหลวง (2)
ภายในนคร
ครั้งนั้น
กษัตริย์ผู้เป็นพระเชษฐาของพระองค์(พระเจ้ากือนา)
ทรงปรารถนาจะสร้างซุ้มจระนำขึ้นใหม่ให้เป็นที่ประดิษฐ์พระสีหลปฏิมาที่มุขด้านทิศใต้เจดีย์หลวงในวิหารหลวงนั้น แต่เมื่อซุ้มจระนำทำไม่เสร็จ
พระเจ้ามหาพรหมได้อัญเชิญพระสีหลปฏิมาไปเมืองเชียงรายโดยพระประสงค์จะเอาไปทำแบบสร้างอีกองค์หนึ่งด้วยทองสัมฤทธิ์เหมือนองค์นั้น แล้วเลยอัญเชิญพระสีหลปฏิมานั้นไปถึงเมืองนครเชียงแสน ทรงกระทำอภิเษก (3)
พระปฏิมาองค์นั้นที่เกาะดอนแท่น (4) ด้วยสัการเป็นอันมาก แล้วอัญเชิญมาเมืองเชียงรายอีก ประดิษฐานในวิหารหลวง (5)
ที่ไว้พระพุทธรูป แล้วเอาทองเหลือง ดีบุก
ทองคำ เงิน ผสมกันหล่อพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง
มีขนาดและรูปร่างเท่าและเหมือนพระสีหลปฏิมา
แล้วทรงทำหารฉลองพระพุทธรูปเป็นการใหญ่
กาลมาของพระสีหลปฏิมา
จบบริบูรณ์
![]() |
1 ปากน้ำโพ
ท่านผูกศัพท์บาลีว่า มหานทีมุขํ แปลตามศัพท์ว่า ปากแม่น้ำใหญ่
2 เมืองตาก
ท่านผูกศัพท์บาลีว่า ตากฺกปุร
3 เข้าใจว่า
วัดเจดีย์หลวง ในนครเชียงใหม่ กล่าวกันว่า
ประดิษฐานไว้ในซุ้มจระนำประจำทิศที่องค์พระเจดีย์หลวง
4 กระทำอภิเษก คือ
ทำพิธีสวดพุทธาภิเษก ชาวภาคพายัพเรียกว่า สวดเบิก
5 เกาะดอนแท่น
ท่านผูกศัพท์บาลีว่า ปลฺลงฺกทีปก ปัจจุบันเรียกว่า เกาะหลวง อยู่ในแม่น้ำโขง
ตรงที่ว่าการอำเภอเชียง
แสน
6 วิหารหลวงในเมืองเชียงราย
คือ วัดพระสิงห์ ในปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น