หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558

พระร่วงได้พระพุทธสิหิงค์ จาก ชินกาลมาลีปกรณ์



พระร่วงได้พระพุทธสิหิงค์
จาก
ชินกาลมาลีปกรณ์


 
       
        ได้ยินว่า  เมื่อพระศาสดาปรินิพพานล่วงแล้วได้ 700 ปี พระเถรที่เป็นขีณาสพ(1) ยังมีอยู่ในลังกาทวีป 20 องค์  ครั้งนั้นพระเจ้าสีหลใคร่จะทอดพระเนตรรูปของพระพุทธ  จึงเสด็จไปยังวิหารตรัสถามพระสังฆเถระว่า  เขาว่าพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย  เมื่อทรงพระชนม์อยู่ได้เสด็จมาลังกาทวีปนี้ถึง 3 ครั้ง  ผู้ที่ได้เห็นพระพุทธนั้น  เดี๋ยวนี้ยังจะมีอยู่หรือหามิได้  ทันใดนั้น  ด้วยอานุภาพของพระขีณาสพ  ราชาแห่งนาคได้แปลงรูปมาเป็น  แล้วเนรมิตตนเป็นรูปพระพุทธ  เพื่อที่จะเปลื้องความสงสัยของพระเจ้าสีหลพระราชาทรงบูชาพระพุทธรูป 7 คืน 7 วัน ครั้งนั้นพระราชาตรัสสั่งให้หาช่างปฏิมากรรมชั้นอาจารย์มาแล้ว  โปรดให้เอาขี้ผึ้งปั้นถ่ายแบบพระพุทธมีอาการดั่งที่นาคราชเนรมิต  และให้ทำแม่พิมพ์ถ่ายแบบพระพุทธนั้นด้วย  แล้วให้เททองซึ่งผวมด้วยดีบุก ทองคำ และเงินอันหลอมละลายคว้างลงวในแม่พิมพ์นั้น  พระพุทธปฏิมานั้น  เมื่อขัดและชักเงาเสร็จแล้ว  งามเปล่งปลั่งเหมือนองค์พระพุทธยังทรงพระชนม์อยู่
          ฝ่ายพระเจ้าสิงหล  ทรงบูชาด้วยเครื่องสักการและความนับถือเป็นอันมาก  โดยเคารพ  แม้พระราฃบุตร  พระราชนัดดา  พระราชปนัดดา  ของพระองค์  ก็ได้ทรงบูชาพระสีหลปฏิมาสืบๆกันมา  ต่อจากนั้น  เมื่อพระสัมมาสัมพุทธปรินิพพานแล้วได้ 1800 ปี จุลศักราช 618 มีกษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามว่า โรจราช (2) ครองราชสมบัติอยู่ในเมืองสุโขทัย  ประเทศสยาม  ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของชมพูทวีป (3)
          ได้ยินมาว่า[1] ที่ตำบลบ้านโค (4) ยังมีชายคนหนึ่งรูปงาม  มีกำลังมาก  ท่องเที่ยวอยู่ในป่า  มีนางเทพธิดาองค์หนึ่ง  เห็นชายคนนั้นแล้วใคร่จะร่วมสังวาสด้วย  จึงแสดงมารยาหญิง  ชายคนนั้นก็ร่วมสังวาสกับนางเทพธิดาองค์นั้น  เนื่องจากการร่วมสังวาสของเขาทั้งสองนั้น  จึงเกิดบุตรชายคนหนึ่ง  และบุตรชายคนนั้นมีกำลังมาก  รูปงาม  เพราะฉะนั้น  ชาวบ้านทั้งปวงจึงพร้อมใจกันทำ
ราชาภิเษกบุตรชายคนนั้น  บุตรชายซึ่งครองราชสมบัติในเมืองสุโขทัยนั้น ปรากฏพระนามในครั้ง
นั้นว่า โรจราช ภายหลังปรากฏนามว่า พระเจ้าล่วง (5) ได้ยินว่า ครั้งหนึ่งพระเจ้าโรจใคร่ทอดพระ




1              ขีณาสพ  ผู้สิ้นอาสวะ คือ เป็นพระอรหันต์

2              โรจราช  สมัย พ.ศ.1800 ได้แก่ พ่อขุนบางกลางท่าว เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง หรือราชวงศ์สุโขทัย ในศิลา

จารึกเรียกว่า ศรีอินทราทิตย์ ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพ่อขุนรามคำแหง

3              อินเดีย

4              บ้านโค อาจเป็น บ้านโคน จังหวัดกำแพงเพชร

5              พระเจ้าล่วง  ท่านผูกสัพท์บาลีว่า รทฺราราชา คำว่า รทฺรา แปลว่า ล่วง ลุล่วง สำเร็จ ภาษาสํสฺกฺฤต ว่า รธ แปล

เหมือนกัน ต่อมาคำว่า ล่วง กลายเป็น ร่วง คือพระร่วง


เนตรมหาสมุทรแวดล้อมด้วยทหารหลายหมื่นเสด็จล่องใต้ไปตามลำน้ำน่านจนกระทั่งถึงสิริธรรมนคร (1) ได้ยินว่า  พระเจ้าสิริธรรม (2) ครองราชสมบัติอยู่ในเมืองนั้น  พระองค์ทรงทราบว่าพระเจ้าโรจเสด็จมา  จึงเสด็จไปต้อนรับ  ทรงรับรองเป็นอย่างดีแล้ว  ตรัสเล่าให้พระเจ้าโรจฟังถึงความอัศจรรย์ของพระสีหลปฏิมาในลังกาทวีป  ตามที่ได้ทรงสดับมา  พระเจ้าโรจทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว  ตรัสถามว่า  เราจะไปที่นั่น (ลังกาทวีป) ได้ไหม  พระเจ้าสิริธรรมตรัสตอบว่า  ไปไม่ได้  เพราะมีเทวดาอยู่ 4 ตน ชื่อ  สุมนเทวราช 1  รามเทวราช 1  ลักขณเทวราช 1  ขัตตคามเทืวราช 1  มีฤทธิ์เดชมาก  รักษาเกาะลังกาไว้เป็นอย่างดี  เมื่อเป็นดั่งนั้น  สองกัตริย์จึงส่งทูตไป  ครั้นแล้วพระเจ้าโรจก็เสด็จกลับเมืองสุโขทัย
          ราชทูตไปถึงลังกาทวีปแล้ว  กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดนั้นแก่พระเจ้าสีหล  พระเจ้าสีหลทรงทราบเรื่องราวนั้นแล้ว  ทรงบูชาพระสีหลปฏิมา 7 คืน 7 วัน แล้วพระราชทานให้แก่ราชทูต  ราชทูตอัญเชิญพระสีหลปฏิมา]งเรือแล้วกลับมา  แต่เรือนั้นแล่นไปด้วยกำลังพายุพัดกระทบกับหินนท้องทะเลเข้าก็แตกไป  ส่วนพระพุทธปฏิมาประดิษฐานอยู่บนกระดานแผ่นหนึ่ง  กระดานแผ่นนั้นลอยไปได้ 3 วัน  ถึงสถานที่แห่งหนึ่งใกล้สิริธรรมนครด้วยอานุภาพนาคราช  ครั้นงนั้นเทวดามาเฝ้าพระเจ้าสิริธรรมในเวลากลางคืนให้เห็นพระสีหลปฏิมาเสด็จมาอย่างชัดเจน  รุ่งเช้าจึงส่งเรือหลายลำไปในทิศต่างๆ  แม้พระองค์เองก็ทรงเรือพระที่นั่งเสด็จไปทรงค้นหาพระสีหลปฏิมา  ด้วยการอธิษฐานของพระอินทร์  พระเจ้าสิริธรรมทรงพบพระสีหลปฏิมาประดิษฐานบนกระดานนั้นเข้าแล้ว  ทรงนำมาสักการบูชา  ครั้นแล้ว  พระเจ้าสิริธรรมจึงส่งพระราชสาส์นถึงพระเจ้าโรจแจ้งว่าได้พระพุทธปฏิมาแล้ว  พระเจ้าโรจจึงเสด็จไปสิริธรรมนครแล้วอัญเชิญพระสีหลปฏิมา  มาเมืองสุโขทัย  ทรงสักการบูชา
          ท่านประพันธ์ไว้เป็นวสันตดิลกฉันท์  แปลความว่า
          พระเจ้าแผ่นดินผู้ประเสริฐนั้น  โปรดให้สร้างพระปรางค์ขึ้นองค์หนึ่งในเมืองสัชชนาลัย 
ล้วนแล้วด้วยศิลา (แลง) และอิฐ โบกปูนขาว (3) หุ้มแผ่นทองบแดงแน่นหนา ปิดทอง ไม่ใช่
แลเป็นหิน  งามดั่งรูปทิพยพิมานฯ
ครั้นสร้างเสร็จแล้ว  โปรดให้ฉลองมหาวิหารเป็นการใหญ่  พร้อมกับมหาชนที่มาประชุมกันจากนครต่างๆ  มีสัชชนาลัย กำแพงเพชร (4) สุโขทัย  และชัยนาท เป็นต้น  และพระเจ้าโรจทรงสะสมบุญเป็นอเนกแล้วสวรรคต

 


1              ท่านผูกศัพท์บาลีว่า สิริธมฺมนครํ คงหมายถึง นครศรีธรรมราช

2              ท่านผูกศัพท์บาลีว่า สิริธมฺมราชา คงหมายถึง พระเจ้าศรีธรรม

3              คงหมายถึงพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือพระปรางค์เมืองเชลียง อำเภอศรีสัชชนาลัย จังหวัดสุโขทัย

4              ท่านผูกศัพท์บาลีว่า วชิรปาการ



เมื่อพระเจ้าโรจล่วงลับไปแล้ว  พระเจ้าราม (1) พระราชโอรสของพระเจ้าโรจครองราชสมบัติในเมืองสุโขทัย  พระเจ้ารามนั้นทรงบูชาพระสีหลปฏิมาเช่นเดียวกันเพมื่อพระเจ้ารามล่วงลับไปแล้วพระเจ้าปาล (2) ได้รับราชสมบัติในเมืองสุโขทัยนั้นแล้วทรงบูชาพระสีหลปฏิมา  เมื่อพระเจ้าปาลล่วงลับไปแล้ว  พระเจ้าอุทกโชตถตะ (3) พระราชโอรสของพระเจ้าปาลได้ราชสมบัติในเมืองสุโขทัยนั้นแล้ว  ทรงสักการพระสีหลปฏิมา  เมื่อพระเจ้าอุทกโชตถตะล่วงลับไปแล้ว  พระเจ้าลิไทย (4) ทรงครอบครองราชสมบัติในเมืองสุโขทัยนั้น  และพระเจ้าลิไทยนั้นมีชื่อเสียงปรากฏว่า  พระเจ้าธรรมราชา (พระมหาธรรมราชา) เพราะทรงศึกษาเล่าเรียนพุทธวจนะคือพระไตรปิฎก  เล่ากันว่า ครั้งหนึ่งเมืองชัยนาทเกิดทุพภิกขภัย (5) พระเจ้ารามาธิบดี (6) กษัตริย์อโยชฌปุระ (7) เสด็จมาจากแค้วนกัมโพช (8) ทรงยึดเมืองชัยนาทนั้นได้  โดยทำเป็นทีว่าเอาข้าวมาขาย  ครั้นยึดได้แล้ว ทรงตั้งมหาอำมาตย์ของพระองค์ชื่อ วัตติเดช (9) ซึ่งครองเมืองสุวรรณภูมิ (10) ให้มาครองเมืองชัยนาท  ส่วนพระองค์เสด็จกลับไปอโยชฌปุระ  ต่อแต่นั้นมาพระเจ้าธรรมราชาก็ส่งราชบรรณาการเป็นอันมากไปถวายพระเจ้ารามาธิบดี  ทูลขอเมืองชัยนาทนั้นคืน  ฝ่ายพระเจ้ารามาธิบดีก็ทรงประทานคืน (เมืองชัยนาทนั้น) แก่พระเจ้าธรรมราชา  วัตติเดชอำมาตย์ก็กลับไปเมืองสุวรรณภูมิอีก  พระเจ้าธรรมราชาครั้นได้เมืองชัยนาทคืนแล้ว  ทรงตั้งพระมหาเทวีผู้เป็นพระ
กนิษฐา(น้องหญิง)ของพระองค์ให้ครองราชสมบัติในเมืองสุโขทัย  ทรงตั้งอำมาตย์ชื่อ ติปัญญา(11)
ให้ครองราชสมบัติในเมืองกำแพงเพชร  ส่วนพระองค์อัญเชิญพระสีหลปฏิมาไปบูชาที่เมืองชัยนาท


 
1          พระเจ้าราม คือ พ่อขุนรามคำแหง แต่ปรากฏตามศิลาจารึกว่า เมื่อสิ้นพ่อขุนบางกลางท่าวแล้ว พ่อขุนบานเมือง

ครองราชสมบัติ และเมื่อสิ้นพ่อขุนบานเมืองแล้ว พ่อขุนรามคำแหงผู้เป็นพระอนุชาพ่อขุนบานเมืองจึงครองราช

สมบัติต่อมา แต่ท่านผู้รจนาชินกาลมาลีปกรณ์นี้ คงไม่ทราบเรื่องราวจึงกล่าวไว้เช่นนี้

2              พระเจ้าปาล คือ พ่อขุนบานเมือง

3              พระเจ้าอุทกโชตถตะ คือ พ่อขุนจมน้ำ หมายถึงพระเจ้าเลอไทย ความจริงพระองค์เป็นพระราชโอรสของพ่อขุน

รามคำแหง ไม่ใช่เป็นราชโอรสของพระเจ้าปาล แต่เพราะเรียงลำดับเจ้าผู้ครองนครผิด พระราชโอรสจึงพลอยผิดไป

ด้วย

4              พระเจ้าลิไทย ท่านผูกศัพท์บาลีว่า ลืเทยฺยราชา คือพระเจ้าลือไทย ที่ได้เฉลิมพระนามว่า พระเจ้าศรีสุริยพงศ์ ราม

มหาธรรมราชาธิราช

5              ทุพภิกขภัย คือ ทำนาไม่ได้ผล ข้าวยากหมากแพง ประชาชนพลเมืองอดหยาก

6          พระเจ้ารามาธิบดี คือ พระเจ้าอู่ทอง หรือที่เรียกว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ผู้สร้างพระนครศรีอยุธยา

7          อโยชฌปุระ เข้าใจว่า พระนครศรีอยุธยา

8          แคว้นกัมโพช ผู้แปลเข้าใจว่า แค้วนลพบุรี ไม่ใช่แคว้นเขมรเมืองกัมพูชา เพราะพระเจ้ารามาธิบดีกษัตริย์กรุงศรี

อยุธยา จะเสด็จมาตีเมืองชัยนาท ย่อมผ่านเมืองลพบุรีแล้วไปถึงชัยนาท มิใช่ว่าออกจากกรุงศรีอยุธยาแล้วไปเขมร

ก่อน แล้วย้อนกลับมาเมืองชัยนาท ไม่น่าจะเป็นไปได้ คำว่า “แคว้นกัมโพช” จึงเห็นว่าเป็นเมืองลพบุรี โดยท่านผู้

รจนาชินกาลปกรณ์คงยึดชื่อเมืองที่เคยเป็นเมืองของขอมมาก่อน แล้วใช้เรียกชื่อเดิมว่าแคว้นกัมโพช

9          มหาอำมาตย์วัตติเดช คือ พ่อขุนหลวงพะงั่ว

10           เมืองสุวรรณภูมิ คือ ท้องที่จังหวัดสุพรรณบุรี

11           อำมาตย์ชื่อ ติปัญญา ในพงศาวดารโยนกกล่าวว่า ติปัญญาอำมาตย์ อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ตรีปัญญาอำมาตย์ เจ้า

เมืองกำแพงเพชร แต่ในตำนานพระพุทธสิหิงค์ว่า พระนาญาณดิส เสวยราชสมับติในนครวชิรปราการ คือ เมืองกำแพงเพชร

ชัยนาท  เมื่อพระเจ้ารามาธิบดีผู้เป็นใหญ่แก่แคว้นกัมโพชและอโยชฌปุระสวรรคตแล้ว  วัตติเดชอำมาตย์มาจากเมืองสุวรรณภูมิยึดแคว้นกัมโพชได้  ครั้นพระเจ้าธรรมราชาเมืองชัยนาทสวรรคตแล้ว  วัตติเดชอำมาตย์มาจากเมืองอโยชฌปุระยึดเมืองชัยนาท  แล้วอัญเชิญพระสีหลปฏิมาไปบูชาที่อโยชฌปุระ  และมหาอำมาตย์ชื่อพรหมไชยก็ยึดเมืองสุโขทัยได้
          อนึ่ง ติปัญญาอำมาตย์ ครองสมบัติอยู่ในเมืองกำแพงเพชร ท่านได้ส่งมารดาของท่านถวายแก่พระเจ้าอโยชฌปุระ ครั้งหนึ่งนางได้ทูลด้วยถ้อยคำเป็นที่รัก ทำทีเป็นทูลขอพระพุทธรูปทองแดงธรรมดา แล้วอัญเชิญเอาพระสีหลปฏิมาส่งมาเมืองกำแพงเพชรโดยเรือเร็ว ฝ่ายติปัญญาอำมาตย์ดีใจยิ่งนัก บูชาพระสีหลปฏิมาด้วยเครื่องสักการอันวิเศษเป็นอันมากด้วยความเคารพ
          อยู่มาวันหนึ่ง เจ้ามหาพรหมผู้เป็นใหญ่ในเชียงราย ทรงทราบความอัศจรรย์ของพระพุทธรุปสีหลจากสำนักพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมาจากแคว้นใต้  ทั้งได้ทอดพระเนตรเห็นรูปขี้ผึ้ง ซึ่งมีภิกษุนั้นปั้นไว้ มีลักษณะเหมือนพระสีหลปฏิมา  ทรงดีพระทัย  แต่แล้วก็กลับเสียพระทัยใคร่จะทอดพระเนตรพระสีหลปฏิมา (องค์จริง) จึงตระเตรียมพลนิกายเสด็จมาเมืองเชียงใหม่  ทูลขอพลนิกายจากพระเจ้ากือนา  พระเชษฐา  แล้วพาทหาร 80,000 เสด็จไปโดยลำดับบรรลุถึงสถานที่ใกล้เมืองกำแพงเพชร  ตรัสสั่งให้พักกองทัพ  แล้วส่งทูตเข้าไปเฝ้าพระเจ้าติปัญญา  ลำดับนั้น ฝ่ายพระเจ้าติปัญญาก็ส่งราชสาส์นไปสำนักพระเจ้าอโยชฌปุระ  พระเจ้าวัตติเดช (พ่อขุนหลวงพะงั่ว) รีบตระเตรียมพลนิกายเสด็จมาถึงปากน้ำโพ (1) พระเจ้ามหาพรหมได้ส่งอำมาตย์ทูตกับพระมหาสุคนธเถรไปพร้อมด้วยเครื่องบรรณาการ  อำมาตย์ทู๖และพระมหาสุคนธเถรทั้งสองนั้นเข้าไปถึงนครแล้วได้กระทำปฏิสันถารด้วยถ้อยคำสุภาพไพเราะ  พระมหาสุคนธเถรอยู่ในเรือท่ามกลางกัตริย์ทั้งสองเพื่อเป็นพยาน กษัตริย์ทั้งสองประทับอยู่ในเรือ (ขนาบอยู่) 2 ข้าง พระมหาสุคนธเถรได้กล่าวคำดั่งต่อไปนี้ เพื่อให้กษัตริย์ทั้งสองมีความสามัคคีต่อกัน
          ข้อความที่พระมหาสุคนธเถรกล่าว ท่านประพันธ์ไว้เป็นคาถา แปลความว่า
มหาบพิตรทั้งสองทรงมีบุญมาก มีปัญญามาก มีกำลังรี้พลมาก ทรงตั้งอยู่ในความสัตย์ แน่วแน่อยู่ในความสัตย์ ทรงนับถือพระพุทธศาสนา ทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นบิดาของราษฎรทั้งหลาย ทรงเป็นผู้มีศีล เป็นที่รักใคร่ของประชาชนทั้งหลาย ขอมหาบพิตรทั้งสองพระองค์จงสามัคคี อย่าพิโรธแก่กันเลย นี่ก็เมืองกำแพงเพชร โน่นก็นครเชียงใหม่ ขอให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่าแบ่งแยกกันเลย ขอให้นครทั้งสองจงมัดไว้ด้วยเชือก คือพระราชไมตรีเถิดฯ
          กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ได้ทรงสดับคำของพระมหาเถรสุคนธนั้นแล้ว  ต่างก็น้อมรับไว้เป็นอันดี  พระเจ้าติปัญญาได้ประทานเครื่องบรรณาการมีพญาช้างอันเป็นของกำนัลเป็นต้น  แก่อุปราชของพระเจ้ามหาพรหม  พระเจ้ามหาพรหมก้ประทานม้าเป็นต้นกับเครื่องราชาภิเษกแก่พระเจ้าติปัญญา  พระเจ้ามหาพรหมครั้นประทานเสร็จแล้ว  จึงทูลขอพระสีหลปฏิมาต่อพระเจ้าติปัญญา  พระเจ้าติปัญญาก้ประทานพระสีหลปฏิมาแก่พระเจ้าหมาพรหมตามพระประสงค์ฝ่ายพระ

 

1          ปากน้ำโพ ท่านผูกศัพท์บาลีว่า มหานทีมุขํ แปลตามศัพท์ว่า ปากแม่น้ำใหญ่

เจ้าวัตติเดชส่งทูตไปเฝ้าพระเจ้าติปัญญา  ให้ทูลถามว่าขณะนี้  พระเจ้ามหาพรหมถอยกลับไปแล้วหรือยัง  เรายกขึ้นมาจักรบกับพระเจ้ามหาพรหม  พระเจ้าติปัญญาทรงทราบความนั้นแล้ว  จึงบอกพระมหาเถรสุคนธว่า  ข้าแต่พระคุณเจ้า  กษัตริย์ทั้งสองนี้กล้าหาญมีกำลังรี้พลมาก  ไม่มีใครสามารถที่จะห้ามได้  ขอพระคุณเจ้าโปรดให้พระเจ้ามหาพรหมถอยไปให้ไกล  ให้ไปตั้งอยู่ที่เมืองตาก (1) พระมหาเถรจึงส่งทูตไปทูลเนื้อความนั้นแก่พระเจ้ามหาพรหม  พระเจ้าพรหมได้ทรงฟังคำทูลนั้น  จึงตรัสว่าพระเจ้าวัตติเดชขืนตามเรามา  เราจะสู้รบกับพระองค์  แล้วก็ถอยไปจากเมืองกำอพงเพชรตระเตรียมการรบอยู่ที่เมืองตาก  พระเจ้าติปัญญาได้กราบทูลการถอยของพระเจ้ามหาพรหมให้พระเจ้าวัตติเดชทรงทราบ  และพระเจ้าติปัญญาได้อนุญาตพระสีหลปฏิมาแก่พระเจ้ามหาพรหมด้วยวาจาละมุนละม่อมของพระมหาสุคนธเถร  พระมหาเถรนั้นได้อัญเชิญพระสีหลปฏิมาลงเรือมาทางเหนือถึงเมืองตาก  ฝ่ายพระเจ้ามหาพรหมดีพระทัยดั่งว่าสรงน้ำอมฤต  ทรงอัญเชิญพระสีหลปฏิมาด้วยวอทองไปถึงเมืองเชียงใหม่โดยลำดับ  ประดิษฐานพระสีหลปฏิมาในวิหารหลวง (2) ภายในนคร
          ครั้งนั้น กษัตริย์ผู้เป็นพระเชษฐาของพระองค์(พระเจ้ากือนา) ทรงปรารถนาจะสร้างซุ้มจระนำขึ้นใหม่ให้เป็นที่ประดิษฐ์พระสีหลปฏิมาที่มุขด้านทิศใต้เจดีย์หลวงในวิหารหลวงนั้น  แต่เมื่อซุ้มจระนำทำไม่เสร็จ  พระเจ้ามหาพรหมได้อัญเชิญพระสีหลปฏิมาไปเมืองเชียงรายโดยพระประสงค์จะเอาไปทำแบบสร้างอีกองค์หนึ่งด้วยทองสัมฤทธิ์เหมือนองค์นั้น  แล้วเลยอัญเชิญพระสีหลปฏิมานั้นไปถึงเมืองนครเชียงแสน  ทรงกระทำอภิเษก (3) พระปฏิมาองค์นั้นที่เกาะดอนแท่น (4) ด้วยสัการเป็นอันมาก  แล้วอัญเชิญมาเมืองเชียงรายอีก  ประดิษฐานในวิหารหลวง (5) ที่ไว้พระพุทธรูป  แล้วเอาทองเหลือง ดีบุก ทองคำ เงิน ผสมกันหล่อพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง  มีขนาดและรูปร่างเท่าและเหมือนพระสีหลปฏิมา แล้วทรงทำหารฉลองพระพุทธรูปเป็นการใหญ่
กาลมาของพระสีหลปฏิมา
จบบริบูรณ์



 
1          ปากน้ำโพ ท่านผูกศัพท์บาลีว่า มหานทีมุขํ แปลตามศัพท์ว่า ปากแม่น้ำใหญ่

2          เมืองตาก ท่านผูกศัพท์บาลีว่า ตากฺกปุร

3          เข้าใจว่า วัดเจดีย์หลวง ในนครเชียงใหม่ กล่าวกันว่า ประดิษฐานไว้ในซุ้มจระนำประจำทิศที่องค์พระเจดีย์หลวง

4          กระทำอภิเษก คือ ทำพิธีสวดพุทธาภิเษก ชาวภาคพายัพเรียกว่า สวดเบิก

5          เกาะดอนแท่น ท่านผูกศัพท์บาลีว่า ปลฺลงฺกทีปก ปัจจุบันเรียกว่า เกาะหลวง อยู่ในแม่น้ำโขง ตรงที่ว่าการอำเภอเชียง

แสน

6          วิหารหลวงในเมืองเชียงราย คือ วัดพระสิงห์ ในปัจจุบัน






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น