หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ประทีปแห่งเอเซีย (มหาภิเนษกรมณ์) ปริเฉทที่สี่



ปริเฉทที่สี่

แต่เมื่อหลายเพลากาลผ่านพ้นไป, แล้วจึ่งได้บังเกิดขึ้น

การพรากจากไปของ องค์ผู้เป็นเจ้าของเรา – ซึ่งจักได้เป็นไป –

ที่ซึ่งได้มาคร่ำครวญอยู่ใน สุวรรณเคหาสน์ (Golden Home-คำเดิมต้นฉบับ),

ทุกข์ใจต่อองค์ราชาและเศร้าโศกาไปทั่วทั้งแผ่นดิน,

แต่สำหรับบรรดาคำสั่งการใหม่นั้น, และกฏ นั้นเอง

ซึ่ง – ใครก็ตามที่ได้ยิน – สิ่งเช่นเดิมนั้นจะทำให้พระองค์เป็นอิสระ.



รัตติกาลอินเดียนอย่างแผ่วเบาจมลงสู่บนทุ่งกว้างทั้งหลาย

ที่จันทราเพ็ญในเดือนแห่ง ไชยตรา ชุด (Chaitra Shud-คำเดิมต้นฉบับ/เดือนแรกของปีตามปฏิทินฮินดู),

เมื่อมะม่วงทั้งหลายสุกแดงและต้นอโศกา (asôka-คำเดิมต้นฉบับ) แตกหน่อ

สายลมเฉื่อยโชยแสนหวาน, และและถึงวันประสูติองค์รามมาถึง,

และทั้งหมดของทุ่งหญ้าต่างดีใจและบรรดาเมืองทั้งหมด.

รัตติกาลนั้นจมลงเหนือ วิชรามวัน,

หอมกรุ่นด้วยบรรดาบุปผาเบ่งบานและอัญมณีหนาทึบด้วยดวงดารา,

และความเย็นฉ่ำชื้นด้วยอากาศแห่งเหล่าขุนเขาทอดถอนใจลงมา

จากพื้นหิมะบนยอดหิมาลัย (Himâla-ต้นฉบับ) สูงแผ่กว้าง ;

เพราะจันทราลอยอยู่เหนือยอดเขาด้านตะวันออก,

ไต่ไล่เป็นประกายในหุบช่อง, และแสงสว่างกระจ่างชัด

โรหิณีมหานทีกระเพื่อมไหวและเหล่าเนินเขาและเหล่าทุ่งกว้าง,

และบรรดาแผ่นดินที่หลับไหล, และที่ใกล้เอื้อมมือ

วาวเงินในเหล่ายอดหลังคาของบรรดาบ้านเรือน-เปี่ยมสุข,

ที่ไม่มีอะไรจะรบกวนหรือมียามเฝ้าได้จับจ้องดู,

รักษาการในที่ทวารบานด้านนอกทั้งปวง, ซึ่งเหล่าผู้คุมร้องร่ำ

มุฑรา (Mudra-คำเดิมต้นฉบับ), คำขานยาม, และ และคำขานรหัสตอบ

อังคนา (Angana-คำเดิมต้นฉบับ), และกลองยามตีบอกหนึ่งรอบ;

ที่ซึ่งโลกภพนอนนิ่ง, นอกจากเสียงเรียก

ของพวกสุนัขจิ้งจอกที่เตร่ด้อมมอง, และเสียงรัวมิหยุด

ของหริ่งหรีดบนพื้นสวนทั้งหลาย.



ภายในนั้น –

ที่ซึ่งจันทราส่องประกายระยิบผ่านแนวช่องสลักหินฉลุ,

สาดส่องสว่างยังผนังของเปลือกมุกข์และพื้น

ปูผิวด้วยหินอ่อนลาย – แผ่วนุ่มในลำแสงของเธอ

ลงต้องในกลุ่มเด็กสาวอินเดียนอันเลิศทั้งหลาย,

มันดูเหมือนตำหนักแสนหวานบางวังใน สรวงสวรรค์

ที่ซึ่ง เทวี พักผ่อนกายา.  เหล่าบรรดาที่ถูกคัดสรรมาทั้งหมด.

แห่งวังปีติสุขของเจ้าชายสิทธัตถะซึ่งอยู่ที่นั่น,

ที่สว่างไสวที่สุดและไว้วางใจมากที่สุดแห่งราชสำนัก,

แต่ละรูปทรงช่างงามน่ารักเหลือในยามหลับใหล,

ซึ่งเราท่านจะพูดได้ว่า “นี่เป็นสุดยอดมุกข์มณีแห่งทั้งปวง!

รักษานั้นเคียงข้างเธอหรือพ้นไปจากเธอนอน

ยิ่งงามและยิ่งงาม, จนกว่าการและเล็มยิ่งพึงพอใจ

ได้เตร็ดเตร่ไปทั่วงานเลี้ยงของความงามดังที่ตระเวณไปนั้น

จากมณีหนึ่งไปยังอีกมณีในบางผลงานของช่างทองอันยิ่งใหญ่,

จับกุมด้วยแต่ละสีสันจนกว่าสิ่งถัดไปจะได้เห็น.

โดยมิระมัดระวังถึงความสง่างามที่พวกเขานอนอยู่นั้น, แขนขาอ่อนชดช้อยสีน้ำตาลของพวกนาง

บางส่วนปิดบัง, บางส่วนเผยเปิด; ผมอันดำวาวของพวกนาง

ม้วนผูกกลับไว้ด้วยปิ่นทองและดอกไม้, หรือปล่อยยาวสยาย

ไหลไปดุจคลื่นดำลงตามลำคอและต้นคอ.

สงบนิ่งเข้าสู่ความฝันอันเพลิดเพลินโดยงานหนักที่แสนสุข,

พวกเขานอนหลับ, ไม่เหนื่อยล้ามากไปกว่านกน้อยอัญมณีทั้งหลาย

ที่ได้ร้องเพลงและรักมาตลอดทั้งวัน, แล้วหุบปีก

ซุกหัวจนกระทั่งอรุณรุ่งจึงนกนั้นได้ร้องเพลงและรักอีกครา.

เหล่าตะเกียงเงินสลักลวดลายแกว่งไกวจากหลังคา

ในโซ่เงิน, และพ่นไอน้ำมันหอม,

ทำด้วยแสงจันทร์นุ่มนวลด้วยแสงและเงา,

ที่ซึ่งถูกพบเห็นในเส้นสายสมบูรณ์ของคงามงามสง่า,

เนินปทุมถันกระเพื่อมขึ้นลง, ฝ่ามืออ่อนนุ่มเปื้อนสี

คิ้งโก่งโค้งยิ่ง, ริมฝีปากที่เผยอแย้ม, ไรฟัน

ดุจมุกข์มณีที่พ่อค้าหยิบมาร้อยเรียงเส้นสร้อย,

เปลือกตาดุจผ้าต่วน, ด้วยขนตาตกหลุบ

กวาดผ่านไร้ไปตามแก้มบอบบาง, และข้อมือกลมกลึง,

เท้าน้อยรื่นราบด้วยกำไลกระพรวนประดับ,

กริ่งแผ่วดนตรีแว่วยามซึ่งเธอขยับกายในหลับ,

ให้ปริแย้มยิ้มของนางกับฝันถึงบางระบำใหม่

ได้คำชมจากองค์ชาย, บางมนต์เสน่ห์ที่ได้พบ,

ถึงขอกำนัลอันน่ารัก.  นี่เองที่ทอดนอนเต็มเหยียดกาย,

เครื่องดนตรีวีนาวางแนบแก้มนาง, และในเส้นสายของเครื่องนั้น

นิ้วน้อยของนางยังคงสอดเกี่ยวไว้ทั้งหมด

ดังเช่นเมื่อเสียงดนตรีตัวสุดท้ายในเพลงเบาที่นางได้เล่น

เหล่าดวงตาบ่งถึงสุขที่หลับพริ้มและปิดผนึกตัวนางเองลง.

อีกหนึ่งที่ได้ขดตัวหลับอยู่ในอ้อมแขนของนาง

ละมั่ง-ทะเลทราย, หัวอันระหงของมัน

ฝังไว้ด้วยเขางอนย้อนกลับหลังซุกอยู่ในทรวงอกของนาง

อิงแอบดุจลูกอ่อนในรวงรัง; มันกำลังกิน – เมื่อทั้งคู่หลับๆๆตื่นๆ –

ดอกกุหลาบแดง, และมือนางที่ปล่อยว่างยังกอดกุม

ดอกกุหลาบหนึ่งกึ่งพึมพัม, ขณะที่ใบกุหลาบบิดม้วน

อยู่ในระหว่างริมฝีปากของลูกกวางน้อย.  นี่เองที่สองเพื่อนได้ง่วงงุน

ด้วยกัน, ทอถักเหล่าหน่อโมกอ่อน (môgra-buds-คำเดิมต้นฉบับ), ซึ่งผูกพัน

เหล่าสาวน้อยแสนหวานในโซ่ดวงดาราราย,

โยงพวกเขาแขนสู่แขนและใจสู่ใจ,

หนึ่งอิงแอบในอ้อมอกเหล่านั้น,หนึ่งในในนาง.

อีกหนึ่ง, ก่อนที่นางจะหลับใหล, คือสายเส้นศิลา

ที่จะทำสร้อยคอ – โมรา, มโนรา, หยกแดงน้ำตาล,

หินปะการัง, และ พลอยน้ำเงิน – รอบข้อมือนางที่มันเปล่งประกาย

ขอดวงของสีสันอันบรรเจิด, ขณะที่นางกอดกุม,

ยังมิได้ร้อยเรียงเส้นกระนั้น, ให้เหล่าปัทมว์เม็ดเหล่านั้นเสร็จสิ้น

หยกเขียวตุรกี, แกะสลักไว้ด้วยเทพทองคำและคำเขียน.

ง่วงงุนไปโวยท่วงทำนองของสายธารในสวน,

กระนั้นที่พวกนางรวมกลุ่มบนพรมพื้น, แต่ละ

กุหลาบสาวน้อยหุบใบ, รอคอยรุ่งอรุณ

ที่จะเปิดและทำให้แสงทิวากาลให้งดงาม.

นี่คือโถงมุขเล็กของเจ้าชาย;

แต่ที่ม่านพุรดาห์กรุยกรายการหลับอันแสนหวาน –

คุนจา และ โคตมี – หัวหน้ามนตรีนั้น

อยู่ในราชวังอันสงัดเปี่ยมด้วยรักนี้.



ม่านพุรดาห์แขวนห้อย,

แดงก่ำและฟ้า, ด้วยปักร้อยห้อยไว้ด้วยลูกปัดทองคำ,

ทอดขวางประตูไม้จันทน์แกะสลัก,

เมื่อโดยสามขั้นทางนั้นได้ไปสู่ซุ้มต้นไม้ในสวน

แห่งความงดงามลึกสุดก้นบึ้ง, และตั่ง-แต่งงานนอนเอน

ตั้งอยู่บนยกพื้นนุ่มอ่อนลงด้วยผ้าสีเงิน,

ขณะที่เท้าสัมผัสลงราวดั่งเหยียบย่างลงบนกอง

ของดอกสะเดา.  ผนังทั้งหมดต่างถูกหุ้มด้วยเปลือกมุกข์,

ตัดเฉียบคมจากเปลือกหอยจากทะเลคลื่นลังกา (Lanka's wave-คำเดิมต้นฉบับ) ;

และเหนือขึ้นไปเป็นหลังคาหินอะลาบาสเตอร์ที่วิ่งไป

ด้วยฝังเลี่ยมด้วยลายบัวและลายวิหค,

ซึ่งสร้างขึ้นด้วยงานทักษะฝีมือของลาซูไลต์และหยก,

ยาซินธ์ และ หินยาสเปอร์; สานถักรอบโดมโค้ง,

และลงมาตามแถบข้าง, และทั้งของโครงกรอบ

ที่ซึ่งข้างในนั้นคือกลุ่มของลายตารางเคลือบเงา,

ซึ่งผ่านทะลุที่ได้หายใจมา, ด้วยแสงจันทร์และอากาศเย็นเยียบ,

กลิ่นอายจากดอกไม้น้ำและไอของมะลิ;

ไม่ได้นำมาซึ่งคุณงามความนุ่มนวลและความละมุนละไม

ภายในสถานที่นั้น – เจ้าชายศากยะผู้งดงาม (Sâkya Prince-คำเดิมต้นฉบับ),

และพระนาง, ผู้สง่าผ่าเผย, เจิดจรัส ยโสธรา (Yasôdhara-คำเดิมต้นฉบับ).



กึ่งเอนกายขึ้นจากรวงรังอันอ่อนนุ่มของพระนางที่เคียงข้างองค์ท่าน,

ผ้าชุดดาห์คลุมร่างเลื่อนลงไปยังเอวของพระนาง, หน้าผากของนาง

วางอยู่ในฝ่ามือทั้งคู่นั้น, เจ้าชายผู้แสนรักเอนกาย

ด้วยอกสั่นกระเพื่อมและรัวเร็วหลั่งน้ำตาริน.

สามคราด้วยริมฝีปากของนางที่พระนางได้แตะสัมผัสมือขององค์สิทธัตถะ,

และในจุมพิตคราที่สามนั้นได้ครวญขึ้น, “ตื่นเถิด, ฝ่าบาท!

จงปลอบประโลมข้าด้วยถ้อยคำขององค์ท่านเถิด!” แล้วพระองค์ –

“เป็นอะไรกับเจ้าหรือ, โอ สุดชีวิตของข้า?” แต่กระนั้น

เธอก็ยังคร่ำครวญใหม่ก่อนที่ถ้อยคำจะออกมาได้;

แล้วตรัสว่า, “โอ้, เจ้าชายของข้าน้อย! ข้านั้นได้จ่อมจมสู่หลับใหล

มีสุขอันมาก, เพราะทารกขององค์ท่านที่ข้านั้นได้ตั้งครรภ์

มีชีวิตขึ้นมายิ่งในคืนนี้, , และที่ดวงใจของข้าที่ได้เต้น

เป็นสองเท่าของชีพจรชีวีและปีติและรัก

ซึ่งดนตรีสุขนี้ได้ทำให้ข้าหลับใหลลลง, แต่ – อะโห!

ในความหลับใหลที่ข้าได้พานพบกับสามภาพนิมิตของความตาย –

ด้วยคิดนั้นที่ซึ่งหัวใจของข้าน้อยนั้นยังเต้นรัวอยู่.

ตัวน้องได้เห็นวัวสีขาวมีเขากว้างแยก,

ผู้เป็นใหญ่แห่งทุ่งหญ้า, ก้าวย่างผ่านมาตามถนน,

แบกห้อยที่เบื้องหน้าของเขานั้นคืออัญมณีซึ่งส่องแสง

ราวกับว่าบางดวงดาราร่วงหล่นมาเป็นประกายที่นั้น,

หรือเหมือนกับศิลาคันธะ (kantha-stone-คำเดิมต้นฉบับ)  ซึ่งพญานาคาได้เก็บรักษาไว้

เพื่อทำให้แสงสว่างดุจทิวากาลภายใต้ปฐพีภพ.

อย่างเชื่องช้าผ่านมาตามท้องถนนยังประตูที่เขาย่างไป

และไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งเขาไว้ได้, ถึงกระนั้นก็มีเสียงดัง

มาจากวิหารของอินทรา, หากว่าสูเจ้ามิได้หยุดเขาไว้แล้ว,

ความรุ่งโรจน์ของมหานครนี้จะเจิดจรัสไปสู่ข้างหน้ายิ่ง.

กระนั้นยังหาผู้ใดหยุดยั้งเขาไว้ได้.  แล้วข้าน้อยได้ร่ำได้ดังขึ้นมา,

และโอบรัดลำคอของเขาเอาไว้ด้วยแขนของข้า, และดิ้นรนสู้หนัก,

และร้องสั่งให้เขาปิดกั้นประตูเหล่านั้น; แต่ราชาแห่งโคนั้น

ส่งเสียงคำราม, และ, โยนโยกเพื่อปลดปล่อยโหนกคอของเขา

หลุดไปจากการเกาะรัดของข้าน้อย, และตะลุยพุ่งผ่านพังกรงกั้นเหล่านั้น,

เหยียบย่ำเหล่าผู้คุมลงและผ่านเลยไป.

(5) ความฝันประหลาดถัดมานั้นเป็นเช่นนี้: จตุรเทพ

แจ่มจรัส, ด้วยเนตรส่องแสง, ช่างงดงามยิ่ง

พวกเขาดูเหมือนมหาอุปราชแห่งโลกภพผู้สถิต

บนเชิงเขาพระสุเมรุ, แสงสว่างจากท้องฟ้า

พร้อมด้วยข้าบริพารที่นับไม่ถ้วนจากสวรรค์,

ริ้วธงทองคำของอินทรา (Indra-คำเดิมต้นฉบับ) ที่ประตู

สะบัดปลิวและคล้อยลง; และ ดูกร! ชูกลับขึ้มาแทนที่

ด้วยแถบผ้ายาวสดใส, ทั้งหมดที่ม้วนมายังซึ่ง

กระเพื่อมระลอกด้วยไฟวาบของมณีทับทิมถักปักติด

หนาแน่นด้วยด้ายเงินเหล่านั้น, แสงรัศมีจากที่ซึ่ง

ส่งมาเบื้องหน้าด้วยถ้อยคำใหม่และประโยคอันหนักหน่วง

แห่งสาส์นทำให้บรรดาสรรพสิ่งชีวีทั้งปวงปลาบปลื้มใจ;

และจากทิศตะวันออกสายลมแห่งตะวันรุ่งพัดมา

ด้วยกลิ่มหอมเจือโชยแผ่วมา, เปิดคลี่ม้วนคัมภีร์ประดับมณีเหล่านั้น

เพื่อที่เหล่าสัตว์โลทั้งหลายจักได้อ่าน; แลเหล่าเยาว์อันอัศจรรย์ใจทั้งหลาย

ผลิบานขึ้นมาในถิ่นฐานอันน้องยาหารู้จักไม่ – โปรยปรายลงมาดุจละอองน้ำ,

หลากสีดุจมิมีสิ่งใดมีในสวนพรรณไม้ใดของเรา.”

แล้วจึ่งตรัสออกมาในองค์ท่านว่า; “ทั้งหมดนี้, แม่ปทุมาน้อยของข้าเอย!

จะเห็นเป็นดีงามนี่นา.”



“อ้า, พระผู้เป็นเจ้า,” เจ้าหญิงตรัส,

ช่วยให้นั้นจบลงด้วยเสียงของความกลัว

ร้องว่า, “เวลานั้นใกล้แล้ว! เวลานั้นใกล้แล้ว!

ณ เพลานั้นความฝันอันดับที่สามได้มาถึง; เพราะเมื่อข้าน้อยเสาะหา

ข้างกายของเจ้าพี่, ฝ่าบาทที่รักเอย! อ้า, บนบรรจถรณ์ของเรานั้นมีวางอยู่

เขนยมิได้มีรอยหนุนและฉลองพระองค์ที่ว่างเปล่า –

ไม่มีซึ่งองค์ท่านนอกจากพวกนั้นเลย – ไม่มีซึ่งองค์ท่านเลย,

ผู้ซึ่งเป็นดั่งทรงชีวีและแสงสว่างของข้าน้อย, ราชาของข้า, โลกภพของข้า!

และทั้งยังคงหลับใหลข้าน้อยได้ชันกายาขึ้น, และด้วยยังหลับใหลที่ข้าน้อยได้เห็น

รัดพระองค์ไข่มุกข์, มัดพาดตรงนี้ที่ใต้ทรวงอกของข้าน้อย,

เปลี่ยนไปเป็นงูฉกกัด; รัดข้อพระบาทของข้าน้อย

ร่วงหลุดออก, กำไลข้อพระหัตถ์หลุดขาดร่วงลง;

มะลิที่ในปอยผมของข้าน้อยเหี่ยวเฉาเป็นฝุ่นธุลี;

ขณะที่ตั่งสมรสของเรานั้นจมลงไปสู่พื้น,

และบางอย่างฉีกรั้งม่านพุร์ดาห์สีโกเมนลงมา;

ครั้นแล้วจากที่ห่างไกลข้าน้อยได้ยินเสียงโคขาวนั้นต่ำลึก,

และในที่ห่างไกลนั้นก็มีแถบธงถักปักลูกปัดสบัดไหว,.

และครั้งหนึ่งที่ข้าน้อยได้ร้องร่ำไห้ว่า, “เวลานั้นได้มาถึงแล้ว!

แต่ด้วยเสียงร้องนั้น – ซึ่งเขย่าสั่นขวัญวิญญาณของข้าให้ยังคงอยู่นั้น

ข้าน้อยได้ตื่น! โอ้ องค์ชาย! นิมิตอะไรเช่นนี้หนอที่หมายจะเป็นได้

นอกจากน้องนางจะวายชีวา, หรือว่า – เลวร้ายลงไปกว่ามรณาใด –

องค์ท่านขอจงได้โปรดช่วยข้าน้อยเอาได้ด้วยเถิดฤา?”



ที่รักเอย

ดั่งรอยยิ้มสุดท้ายของอาทิตย์อัศดงคือทอดพระเนตร

ที่องค์สิทธัตถะทอดจับลงที่มเหสีที่กรรแสงของพระองค์

“จงสบายใจเถิดเจ้า, น้องนางเอย!” พระองค์ตรัส, “ถ้าชีวิตอันสุขสบายทั้งหลาย

ในความรักอันมิได้แปรเปลี่ยน; ถึงแม้ว่าความฝันของเจ้าอาจจะเป็น

เงาสลัวของของอะไรทั้งหลายที่จะมาเยือน, และถึงแม้ว่าเหล่าเทพเทวทั้งหลาย

ต่างพากันกระสับกระส่ายอยู่ที่ในแท่นอาสน์ของพวกเขา, และถึงแม้นว่าโลกภพนี้

ยืนนิ่งตาย, บางทีนั้น, ในอันที่จะได้รู้ถึงหนทางบางอย่างของความช่วยเหลือ,

กระนั้น, ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ร่วงหล่นลงมาเหนือเจ้าและตัวข้า,

จงประจักษ์ในหฤทัยเถิดว่าข้านั้นได้รักและรักเจ้า ยโสธรา (Yasôdhara-คำเดิมต้นฉบับ).

เจ้าเองนั้นก็รู้ดีที่สุดว่าข้านั้นครุ่นคำนึงในเรื่องนี้มาหลายเพลาจันทราแล้ว,

คิดเสาะหาที่จะช่วยโลกโศกานี้ที่ข้าได้เห็นมา;

และเมื่อเวลากาลนั้นมาถึง, ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นมิอาจหลีกได้.

แต่วิญญาณของข้าโหยหาปวดร้าวต่อวิญญาณที่ไม่รู้จักเหล่านั้น,

แลถ้าข้าปริเวทนาต่อความโศกเศร้าซึ่งมิได้เป็นของข้านั้น,

จงพิจารณาดูเถิดว่าความคิดดุจมีปีกบินสูงของข้านี้คงต้องโฉบร่อนอยู่เหนือที่นี้

เหนือเหล่าชีวีทั้งปวงที่ได้แบ่งปันและให้ความหอมหวานของข้า

ดังนั้นน้องนางเอย! และเจ้านั้นคือสุดที่รัก, นุ่มนวลที่สุด, ดีที่สุด,

และใกล้ชิดที่สุด. อา, เจ้านั้นคือมารดาของบุตรแห่งข้า!

ที่ร่างของเขานั้นผสมด้วยร่างของข้าเพื่อความหวังงดงามนี้,

เมื่อจิตวิญญาณส่วนมากของข้าจักร่อนเร่ไป, ผันแปรไปทั่ว

แดนดินและมหานทีทั้งหลาย – ในเวทนาที่มีต่อผู้คนทั้งหลาย

เฉกเช่นนกเขาบิน-ไกลที่เต็มไปด้วยเวทนา

ต่อเหล่าลูกแฝดของนาง – มันจักได้กลับมา

ยังเรือนบ้านด้วยปีกอันปรีดาและขนซุกไซร้ยังเจ้า,

ผู้ที่สำแดงถึงความหวานของความกรุณาของข้าดีที่สุดได้เห็น,

ขีดสุดของคุณความดีของพวกเขา, ความอ่อนโยนที่สุด

ของบรรดาความอ่อนโยนของพวกเขา, ของข้านั้นมากที่สุดในทั้งปวง.

ดังนั้นเอง, ไม่ว่าเช่นไรก็ตามภายหลังสิ่งนี้บังเกิดขึ้น,

จงคิดเสียว่านั่นคือโคเทพเทวาซึ่งได้ก้มค้อมต่ำ,

แถบธงผ้าปักอัญมณีนั้นในความฝันของเจ้าที่ได้โบกสบัด

คลี่พับของมันแยกจากกัน, และนี้จงแน่แก่ใจเถิด,

ว่าเสมอนั้นข้าจักรักและเสมอรักในเจ้าอย่างดียิ่ง,

และอะไรที่ข้าได้เสาะหาในบรรดาทั้งหมดที่เสาะหาก็เพื่อเจ้า.

แต่น้องนางเอย, จงสบายในหฤทัยเถิด; และ, ถ้าความโศกเศร้าได้ประดังลงมา,

จงอบอุ่นใจยังคงไว้ต่อในการตัดสินซึ่งจักมีได้เป็น

หนทางหนึ่งของสันติสุขบนโลกภพนี้ด้วยคำคร่ำครวญของเรา;

และได้ซึ่งอ้อมกอดนี้ว่าความรักอันซื่อสัตย์มั่น

ที่จะคิดได้ถึงคำขอบคุณหรือฉากเพื่ออวยพร –

ช่างเล็กน้อยเหลือเกิน, ที่ได้เห็นตัวตนแห่งรักอันแข็งแรงนั้นได้อ่อนแอลง –

กระนั้นจุมพิตข้าสิที่ริมฝีปากนี้, และดื่มด่ำคำพูดเหล่านี้

จากหัวใจสู่ยังหัวใจในกระนั้น, ที่เจ้าอาจจะได้รู้ –

ที่ผู้อื่นนั้นมิอาจจักรู้ได้ – ว่าข้านั้นรักเจ้ามากที่สุด

เพราะว่าข้านั้นได้รักแสนดียิ่งต่อวิญญาณที่มีชีวิตอยู่ทั้งปวงนี้.

บัดนี้เอย, เจ้าหญิงเอย! จงพักผ่อนเถิด, เพราะข้าจักตื่นอยู่และเฝ้าดูน้องนางเอง.”



และด้วยทั้งน้ำพระเนตรเอ่อท้นพระนางได้บรรทมไป, แต่ทอดถอนใจสะอื้นในนิทรานั้น –

ราวกับว่านิมิตนั้นได้ผ่านมาอีกครา – “เวลากาล!

เวลากาลได้มาถึงแล้ว!” ที่ซึ่งองค์ชายสิทธัตถะหันไปหา,

และ, ดูสิ! จันทราส่องแสงสว่างอยู่ข้างหมู่ดาวกรกฏ

ในลำดับพฤหัสเดียวกันตามที่บอกกล่าวกันมานาน

ยืนหยัดอยู่ในทักษาที่กล่าวว่า, ฎนี่คือราตรีที่ได้เลือกสูเจ้า

วิภีแห่งความยิ่งใหญ่หรือหนทางแห่งคุณธรรม:

ที่จะขึ้นครองบัลลังก์แห่ง ราชา เหนือ ราชาทั้งหลาย, หรือธุดงค์ไปตามลำพัง,

ไร้ซึ่งมงกุฏและไร้ซึ่งเรือนนอน, ที่จะได้ช่วยซึ่งโลกภพ.”

มากยิ่งไปกว่านั้น, ด้วยเสียงกระซิบของความมืด

มาสู่ยังพระโสตทั้งสองของพระองค์อีกคราในเพลงร้องเตือนนั้น,

ราวกับเมื่อเหล่าเทวา (Devas-คำเดิมต้นฉบับ) ได้ตรัสมากับสายลม:

และแน่นอนเลยว่าเทพเทวาทั้งหลายได้เสด็จมารายล้อมราชวังนี้

เฝ้าดูองค์ท่านของเรา, ผู้กำลังได้เฝ้าดูดวงดาราเจิดจรัสนั้น.



“ข้าจะต้องแยกจากไป,” พระองค์ตรัส;” ชั่วยามนั้นได้มาถึงแล้ว!

ริมฝีปากอ่อนนุ่มของน้องเจ้า, ผู้นิทราอันเป็นที่รักเอย, มอบข้า

ให้กับสิ่งที่จะช่วยโลกภพนั้นหากแต่ต้องแยกเราจากกัน:

และในความสงัดเงียบของท้องฟ้าโพ้นนั้นอันข้าได้อ่าน

ซึ่งสาส์นแห่งชตาลิขิตของตัวข้าเปล่งปรากฏ. จนบัดนี้

มายังที่ข้า, และจนบัดนี้ยังราตรีและกาลทั้งหมดนี้

ได้นำข้า; เพราะข้าจะไม่ได้ทรงมงกุฏนั้น

ซึ่งอาจจะเป็นของข้า; ข้าได้ทอดวางอาณาจักรเหล่านั้นลง

ที่รอคอยแสงส่องประกายจากปลายดาบเปลือยของข้า:

ราชรถของข้าจักไม่หมุนวิ่งด้วยล้ออาบโลหิตนั้น

จ่ากชัยชำนะหนึ่งไปสู่อีกชัยชำนะหนึ่ง, จนกระทั่งโลกภพ

สวมคลุมด้วยจารึกแดงด้วยโลหิตของนามแห่งข้า. ข้าเลือกที่จะ

ก้าวย่ำไปในหนทางของมันด้วยความอดทน, ด้วยเท้าที่ไร้ราคี,

ทำฝุ่นธุลีของมันให้เป็นบรรจถรณ์ของข้า, ความสูญเปล่าสุดลำพัง

คือที่อาศัยแห่งข้า, และสิ่งโหดร้ายของมันคือเพื่อนคู่กายแห่งข้า:

สวมคลุมไม่ในเสื้อผ้าสูงศักดิ์ใดมากไปกว่าเครื่องแต่งกายผู้ไร้วรรณะ,

กินอาหารด้วยไร้เหลือซึ่งเนื้อหนังคืออะไรที่ได้บริจาคทาน

ให้มาตามใจประสงค์ของพวกเขา, ที่พักพิงที่ไม่เอกเกริก

มากไปกว่าถ้ำสลัวปันให้หรือพุ่มไพรในป่า.

นี่จะเป็นที่ข้าทำเพราะเสียงร่ำครวญไห้นั้น

ของชีวีและบรรดาสรรพสัตว์ทั้งปวงที่เปล่งมาถึง

เข้ามาในโสตสดับของข้า, และจิตวิญญานของข้าทั้งปวงนั้นเต็ม

ไปด้วยปริเวทนาแก่ผู้ป่วยไข้ของโลกภพนี้;

ที่ข้าจะบำบัดรักษาให้, ถ้าการบำบัดรักษานั้นจะหาพบได้

โดยป่าวประกาศมิยอมพ่ายแพ้ถึงที่สุดและบากบั่นอย่างเต็มที่.

เพราะในบรรดาเทพเทวาใหญ่น้อยทั้งหมดนั้น

จะมีพลังอำนาจหรือสงสารฤา?  ผู้ใดหรือที่ได้เห็นซึ่งพวกเขานั้น – ผู้ใดฤา?

อะไรหรือที่องค์ท่านนั้นได้ประจงที่จะช่วยเหลือผู้เฝ้าสรรเสริญต่อพวกตน?

เนิ่นนานสืบเนื่องขนาดใดฤาที่ผู้คนได้สวดอ้อนวอน, และจ่าย

ซึ่งเครื่องหอมแห่งข้าวโพดและน้ำมัน, เพื่อภาวนาซึ่งมนตรานั้น,

ที่ได้ประหารเซ่นเครื่องบัดพลีซึ่งกรีดร้อง, ที่ได้เชิดชู

ขึ้นอย่างสง่าสักการะ, ที่ได้เลี้ยงดูเหล่านักบวชนั้น, และเพรียกหา

ต่อองค์วิษณุ, ศิวะ, สุริยะ, ผู้ช่วยให้รอดใน

สิ่งใดไม่เลย – ไม่ต่อผู้ไร้ค่าที่สุด – จากเหล่าผู้เศร้าโศกาที่สอน

บทสวดเหล่านั้นของความสอพลอและความหวดกลัว

ยิ่งขึ้นสูงไปวันแล้ววันเล่า, ดุจควันไฟไร้ค่าฤา?

มีได้ฤาที่พี่น้องของข้าจักหลบหนีได้โดยวิธีนั้น

ความเจ็บปวดของชีวิต, เหล็กไนทิ่มแทงของรักและสูญเสียเหล่านั้น,

ไข้ร้ายรุนแรงและป่วยสั่นเทาเยี่ยงนั้น,

สวิ่งเชื่องช้า, ทึ่มทึบของการจมลงสู่วัยชราเหี่ยวเฉานั้น,

มรณาที่ดำมืดน่าสยองเกล้า – และอะไรที่พ้นเลยไป

ได้รอคอยอยู่ – จนกระทั่งกงล้อที่กำลังหมุนวนได้มาถึงอีกครา,

และชีวีใหม่ได้เริ่มต้นนำความโศกเศร้าใหม่ที่จะได้กำเนิดขึ้นมา,

ชั่วรุ่นผู้มาใหม่ทั้งหลายสำหรับความปรารถนาใหม่ทั้งหลาย

ซึ่งได้จุดจบของพวกเขาลงในสิ่งที่ลอกเลียนโบราณเก่าก่อนมาอีกฤา?

มีผู้ใดในเหล่าภคคินีเธอที่นุ่มนวลนี้ของข้าได้รับ

ซึ่งผลไม้ที่ได้รวดเร็วหรือได้เก็บเกี่ยวจากของเพลงสวดนั้น,

หรือได้ซื้อหาหนึ่งความเจ็บปวดแปลบในเวลาน้อยนิดที่แบกรับ

สำหรับนมข้นขาวได้ถวายและแต่งช่อใบกระเพราฤา?

หาไม่เลย; มันอาจจะเป็นว่าเทพเทวามีบ้างนั้นดี

และมีเลวอยู่บ้าง, แต่ทั้งหมดนั้นกระทำการอ่อนแอปลกเปลี้ย;

ทั้งเต็มเปี่ยมในการุณย์และไร้ซึ่งเมตตา, และทั้งสอง –

ดั่งที่ผู้คนเป็น – ผูดติดอยู่กับกงล้อแห่งความเปลี่ยนแปลง,

รู้ถึงผู้ที่เป็นมาและในภายหลังชีวี.

เพราะเช่นนั้นเองที่คัมภีร์ของเราดูเหมือนจะเฝ้าพร่ำสอนสั่งจริงจัง,

ว่า – ครั้งหนึ่ง, และที่ใดก็ตาม, และเมื่อใดก็ตามได้เริ่มต้นขึ้นมา –

ชีวิตวิ่งวนรอบวัฏจักรของการมีชีวิต, ไต่ขึ้นมา

จากธุลี, และ ริ้นไร, และหนอน, เลื้อยคลาน, และมัจฉา,

วิหคและสัตว์ร้ายขนหยาบยุ่ง, มนุษย์, อสูร, เทวา, พระผู้เป็นเจ้า,

สู่ดินและธุลีอีกครา; นั้นแลคือเราเครือญาติ

สู่บรรดาทั้งปวงเป็นเช่นนั้น; ถ้าจะมีสักผู้ใดอาจจะได้ช่วย

มนุษย์เราจากคำสาปของเขานี้, โลกไพศาลทั้งปวงก็ควรจะได้แบ่งปัน

สายฟ้าฟาดอันน่าสยดสยองของความโง่เขลานี้

ที่เงาของมันคือความกลัวอันเย็นเยือก, และความโหดร้าย

ของอดีตอันขื่นขมของมัน. เย้, ถ้าจะมีผู้ใดสักคนที่อาจช่วยชีวิต

และแน่วแน่ที่จะเป็นเช่นนั้น! ก็จะมีซึ่งที่ไหลบลี้ได้! ผู้คนทั้งหลาย

ที่ได้พังทะลายไปในสายลมฤดูหนาวไปจนถึงเพลิงร้อนแรงกระหน่ำ

จากหินประกายไฟหลบซ่อนเย็นหนาวในอะไรที่พวกเขากอดกุมเอาไว้,

ประกายสีแดงเปล่งสมบัติจากอาทิตย์ที่ลุกไหม้.

พวกเขากัดกินลงไปบนเนื้อหนังดุจหมาป่าทั้งหลาย, จนผู้คนนั้นหลุดร่อยดุจข้าวโพดถูกแกะ,

ที่กลายเป็นซังแห้ง, กระนั้นยังทำให้เกิดชึวิตของมนุษย์;

พวกเขาได้ถากถางและพร่ำพูดจนกระทั่งบางลิ้นรัวนั้นหยุดติดกับคำเปล่ง,

และบรรดานิ้วป่วยไข้นั้นตีกรอบเสียงตัวอักษรนั้น.

จากที่ค้นเสาะหาและแข่งขันและการสักการะด้วยรักฤา?

ถ้าสักผู้หนึ่ง, ดั่งนั้น, ได้ยิ่งใหญ่และสพโชค,

ร่ำรวย, ได้รับสินทรัพย์มรดกแห่งความแข็งแรงดีและสุขสบาย, จากชาติกำเนิดมา

ที่จะครอบครอง – ถ้าเขาจะได้ครอบครอง – ราชาแห่งราชาทั้งหลาย

ถ้าผู้ใดนั้น, มิได้เหน็ดหน่ายกับชีวิตในเนิ่นนานกาลวันแต่ดีใจ

ต่อความสดชื่นในรุ่งอรุณของมัน, ผู้นั้นที่ไม่เอียน

ด้วยกับรักในดื่มกินอันเลิดรส, แต่ความหิวโหยยังคงมีอยู่;

ถ้าผู้นั้นจะไม่หมดสิ้นและย่นยับ, ดุจบัณฑิตเศร้า,

แต่รื่นรมย์ในความรุ่งโรจน์และงามสง่า

ซึ่งผสมปนกับความชั่วร้ายในที่นี้, และเสรีที่จะเลือก

สิ่งที่น่ารักที่สุดของโลกภพตามที่เขาปรารถนา: ผู้นั้นแม้นเช่นข้า,

ผู้ไร้ซึ่งเจ็บปวด, ขาดแคลนใดก็หาไม่, ปริเวทนาใดไม่, ปลอดซึ่งความโสกา

ซึ่งหาได้เป็นของข้าไม่, นอกเหนือจากเช่นที่ข้าเป็นมนุษย์;

ถ้าเป็นเช่นผู้นั้น, มีมากมายเหลือที่จะให้ได้,

ได้ให้ไปสิ้น, วางมันลงเพื่อความรักในผู้คน,

แล้วกระนั้นเองได้ใช้ตนเองหมดไปในการเสาะหาสัจธรรม,

บีบคั้นความลับของการปลดปล่อยในภายภาคหน้า,

ไม่ว่ามันจะซุ่มซ่อนอยู่ในนรกหรือหลบตัวอยู่ในสวรรค์.

หรือบินโฉบร่อน, ไม่เปิดเผย, จนเมื่อใกล้เวลามาถึงทั้งสิ้น:

แน่นอนได้ในที่สุด, ไกลห่างไป, บางครา, บางแห่ง,

ผ้าคลุมหน้าที่จะถูกยกเผยซึ่งดวงตาแสงหาอันลึกล้ำของเขา,

ถนนที่จะเปิดออกต่อเท้าอันเจ็บปวดของเขา,

นั่นยควรจะได้รับชัยชนะสำหรับเพื่อซึ่งที่เขาได้สูญเสียโลกนี้ไป,

และมรณะอาจจะได้พบว่าเขานั้นได้พิชิตซึ่งมรณา.

นี่คือที่ข้าจักทำ, ผู้ที่มีอาณาจักรที่จะสูญเสียไป

เพราะว่าข้านั้นรักซึ่งอาณาจักรของข้า, เพราะว่าหัวใจของข้า

เต้นรัวด้วยแต่ละคราแห่งหัวใจทั้งปวงที่ปวดร้าวนั้น,

ได้รู้และมิได้รู้, เหล่านี้นั้นคือของข้าและพวกเหล่านั้น

ซึ่งจักได้เป็นของข้า, นับพันล้านมากมายขึ้น

ที่ได้รับความช่วยเหลือโดยการบัดพลีที่ข้าได้เสนอในตอนนี้.

โอ้, ดวงดาราที่บอกแก่ข้าเอย! มาเถิด! โอ, โลกภพอันคร่ำครวญ!

เพราะท่านและของท่านที่ข้าได้ทอดทิ้งความเยาว์ของข้า,

บัลลังก์ของข้า, ความหฤหรรษ์ของข้า, วันทองคำของข้า, ค่ำคืนของข้า,

ราชวังเปี่ยมสุขของข้า – และอ้อมแขนของเจ้า, ราชินีที่แสนหวาน!

ที่แสนยากจะละทิ้งได้ยิ่งกว่าทั้งหมดใด!

และกระนั้นเจ้า, ด้วยเช่นกัน, ข้าจักได้ช่วย, ในการช่วยโลกภพนี้;

และนั้นที่ได้ก่อตัวขึ้นอยู่ในครรโภทอันอ่อนโยนของเจ้า,

บุตรของข้า, ดอกบุปผาอันผลิบานอันหลบซ่อนตัวแห่งรักของเรา,

ผู้ที่หากข้าได้รอคอยที่จะอวยพรรับขวัญจิตวิญญาณของข้าก็จะล่มสลาย.

ภรรยา! บุตร! บิดา! และผู้คน! เจ้าต้องแบ่งปัน

ชั่วขณะของความปวดร้าวของโมงยามนี้

ซึ่งแสงที่อาจทำลายเข้ามาและเหล่ามีชีวิตเลือดเนื้อจักต้องเรียนรู้ซึ่งกฏธรรม.

บัดนี้ที่ข้าถูกแก้ไข, และบัดนี้ที่ข้าจักแยกลา,

มิอาจได้หวนกลับมาอีกจนกว่าข้าจะค้นเจอในอะไร

ที่ถูกพบได้ – ถ้าการค้นหาอย่างแรงกล้าและบากบั่นจักให้กระทำได้.”



ดังนั้น ด้วยหน้าผากของพระองค์ทรงแตะที่บาทของพระนาง, และค้อมตน

ส่งทอดพระเนตรแห่งรัก, มากจนมิอาจบรรยายได้,

จับจ้องเหนือใบหน้าหลับใหลของพระนาง, ยังคงชื้นด้วยน้ำตา;

และเวียนสามหนรอบบรรจถรณ์เป็นการเคารพ,

ราวกับว่าเป็นเช่นแท่นบูชา, ก้าวย่างอย่างนุ่มนวล

ด้วยหัตถ์กุมทาบเหนือพระหฤทัยที่เต้นรัวของพระองค์,

“เพราะพี่ยาจะไม่มีวัน,” พระองค์ท่านตรัส, “ทอดลงเคียงข้างอีกแล้ว!

และครบไตรทักษิณาที่พระองค์กระทำเพื่อจากไป, แต่สามคราเวียนกลับมา,

ความงามของนางนั้นช่างแรงกล้าเหลือเกิน, ความรักของพระองค์ก็ช่างใหญ่โตเช่นกัน:

แล้ว, เหนือซึ่งเศียรขององค์จึ่งได้คลุมผ้าของพระองค์ลง, พระองค์ได้หันกาย

และยกเชิงม่านพุรดาห์ขึ้น:



มีความห่อเหี่ยวนั้น, ปิดเงียบสงบ,

ในนิทราปิดกั้นเช่นนั้นดังดอกบัวที่หุบลงดั่งรู้,

สวนสวรรค์อันน่ารักของเหล่าสาวอินเดียนของพระองค์;

หน่อปทุมมากลีบแฝดคล้ำแห่งทั้งปวงนั้นคือ

กุนจา และโคตมี – ในขนาบอีกด้าน,

และพวกนั้น, กลุ่มกนิษฐาใบไหม, เลยไปนั้น.

น่าพอใจเพลิดเพลินที่มีต่อฉัน, เพื่อนแสนหวานเอย!” พระองค์ตรัส,

และเป็นที่รักที่จะจากไป; กระนั้นถ้ามิทิ้งจากเจ้าไป

อะไรอื่นอีกหรือที่มาสู่เราทั้งหมดของเราจึ่งจะช่วยผู้อายุมาก

ปราศจากสงบระงับและความตายที่ปราศจากเป็นคุณ?

ดูกร! ยามเจ้านอนหลับใหลดุจดั่งเจ้าต้องนอน

ประหนึ่งคนตาย; และเมื่อกุหลาบตายที่ใดเล่าซึ่ง

กลิ่นและความงามของมันไปสู่? เมื่อตะเกียงหมดน้ำมัน

ที่ใดฤาซึ่งหนีไปสู่ของเปลว? กดลงหนักเถิด, ราตรีเอย!

เหนือเปลือกตาที่ปิดลงของพวกเขาและผนึกปิดริมฝีปากของพวกเขา,

ที่ไม่มีน้ำตาใดจะรั้งข้าและไม่มีเสียงศรัทธาใด,

เพราะทั้งปวงที่สว่างไสวกว่าเหล่านี้ที่ทำให้ชีวิตข้า

ให้ขื่นขมยิ่งกว่าที่เป็นทั้งพวกเขาและข้า,

และทั้งปวง, ควรจะมีชีวิตอยู่ดั่งพฤกษาเป็น – ทั้งผลิบานมากไป,

ทั้งและอีกทั้งเหล่าฝนและเหล่าหยาดน้ำแข็ง, ในยามเหมันต์เยี่ยงนั้น,

และก็มาถึงใบแห้งเหี่ยวร่วงหลุด, ด้วยอาจจะผลิบานได้อีกครา,

หรือขวานได้จามลงที่ราก.  นี่จะไม่ใช่เป็นข้า,

ที่ชีวิตที่นี่ตกเป็นของพระผู้เป็นเจ้า! – นี่จะไม่ควรเป็นข้า,

ถึงแม้นว่าวันเวลาทั้งหลายของข้านั้นเป็นดุจพระผู้เป็นเจ้า, ขณะที่ผู้คนครางครวญ

ภายใต้ความมืดมน.  ดั่งนั้น ลาก่อน, สหายทั้งหลายเอย!

ในยามที่ชีวียังดีที่จะให้, ข้าขอมอบให้, และจากไป

เพื่อเสาะหาอิสรภาพและแสงสว่างอันยังมิรู้นั้น!



แล้ว, ย่างก้าวอย่างแผ่วเบายังผู้นอนหลับใหลเหล่านั้น,

สู่ในราตรีที่ สิทธัตถะ ได้ผ่านไป; ด้วยดวงตาของมัน,

ดวงดาราที่เฝ้ามองลงมานั้น, ได้จับจ้องด้วยรักยังพระองค์; ลมหายใจของมัน,

สายลมที่พัดตระเวณไปทั่วนั้น, ได้จุมพิตกรุยชายระย้าย้อยของเสื้อคลุมของพระองค์

สวนอุทยานที่ผลิบานสะพรั่ง, หุ้มห่อต่ออรุณรุ่ง,

เปิดดวงใจกำมะหยี่ของพวกตนเพื่อส่งกลิ่นกรุ่นอายมายังองค์ท่าน

จากชมพูและม่วงของกระถางธูป: เหนือยังแดนดิน,

จากหิมาลัยลงไปยังทะเลอินเดียน,

ความสั่นสะเทือนแผ่ออกไป, ราวกับจิตวิญญาณเบื้องใต้ของปฐพีโลก

ขยับตัวด้วยความหวังอันมิรู้จัก; และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์

ซึ่งบอกกล่าวเล่าถึงพระเป็นเจ้าของเรานั้น – กล่าวไว้, เช่นกัน,

ว่าดนตรีแห่งสรวงสวรรค์บรรเลงลั่นสะเทือนไปในอากาศ

จากผู้สถิตยังทวยภพอันเปล่งแสงเจิดจรัส, ผู้ได้ชุมนุมเนืองแน่น

จากทางตะวันออกและทางตะวันตก, ทำให้สว่างไสวแก่ราตรี –

ทางเหนือและทางใต้, ทำปีติยินดีสู่พื้นดิน.

อีกทั้งยังสี่จตุบาลแห่งโลกภพ,

ปรากฏสู่ทวารเข้าออก, สองเคียงสอง, --

พร้อมด้วยเหล่าบริวารเจิดจ้าอันมิอาจเห็น

ในเครื่องสรรพาวุธของไพลิน, เงิน, ทองคำ และมุกข์ –

เฝ้าดูด้วยมือประสานคือเจ้าชายอินเดียน, ผู้ประทับยืน,

ดวงตาที่เอ่อท้นของพระองค์แหงนเงยสู่ดวงดารา, และริมฝีปาก

เม้มสนิทแน่นด้วยเจตจำนงของรักอันมหาศาล.



แล้วย่างกายองค์ท่านไปเบื้องหน้าเข้าสู่ความมืดหมองเศร้าและตรัสร้อง,

“ฉันนะ, ตืนเร็ว! แล้วนำ กัณฑะกะ ออกมา!



“จะอะไรฤาองค์ท่าน?” สารถีผู้นั้นตอบรับ –

ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าจากที่ของตนข้างทวารบาน –

จะทรงม้าในราตรีในขณะที่หนทางทั้งหมดยังมืดมิดอยู่ฤา?”



“พูดเบาๆ,” องค์สิทธัตถะตรัส, “แล้วไปนำม้าของข้ามา,

เพราะบัดนี้เวลาที่มาถึงแล้วที่ข้าจะเลิกลาไป

จากคุกกรงทองคำที่หัวใจของข้าถูกคุมขัง

เพื่อค้นหาซึ่งความจริงแท้; ซึ่งแต่นี้ไปข้าจะเสาะหา,

เพื่อทางรอดของมวลมนุษย์ทุกผู้, จนกว่าความจริงแท้นั้นจะถูกพบ.”



“โอ้เอ๋ย! องค์ชายที่รักของกระหม่อม,” สารถีนั้นตอบคำตรัส,

“คำพูดเยี่ยงนั้นแต่สูญเปล่าของเหล่าปราชญ์และดาบสนั้น

ผู้ได้ทำนายดวงดาวและอวยพรเราให้รอเวลา

เมื่อโอรสผู้ยิ่งใหญ่แห่งองค์ราชาสุทโธทนะจักได้ปกครอง

ราชอาณาจักรเหนืออาณาจักรทั้งปวง, และเป็นจักรพรรดิเหนือจักรพรรดิฤา?

องค์ท่านจักขี่อาชาไปเช่นนั้นและปล่อยให้โลกรุ่มรวยเลื่อนหลุด

ออกไปจากอุ้งหัตถ์ขององค์ท่าน, เพื่อครองชามของขอทานฤา?

องค์ท่านจักไปยังเบื้องหน้าเข้าสู่สูญเปล่าไร้มิตร

ที่หาได้เทียมเท่าสรวงสวรรค์แห่งพึงใจแห่งนี้ฤา?



เจ้าชายได้ทำการตอบ, “จนถึงบัดนี้ที่ข้ามา,

และหาได้เพื่อราชบัลลังก์: ราชอาณาจักรที่ข้าปรารถนา

นั้นมากยิ่งไปกว่าอาณาจักรมากมายนั้น – และสิ่งเหล่านั้นที่จะผ่านไป

สู่การเปลี่ยนแปลงและมรณา.  จงเอาม้ากัณฑะกะออกมาให้ข้า!



“ด้วยเกล้าเป็นอย่างยิ่ง,” พูดตอบอีกคราโดยสารถีนั้น,

โปรดคิดอีกคราเถิดองค์ท่านที่พระราชบิดาจะโศกเศร้า!

โปรดคิดอีกคราเถิดองค์ท่านถึงความทุกข์ของพระองค์เหล่านั้นที่มีต่อ ---

องค์ท่านจะช่วยเหลือต่อพระองค์เหล่านั้น, ในเบื้องแรกนี้เช่นไรฤา?”



องค์สิทธัตถะ ตรัสตอบ, “เพื่อนเอย, ความรักนั้นเป็นสิ่งผิด

ซึ่งยึดห้อยติดที่จะรักในความเห็นแก่ตัวแสนหวานแห่งรักนั้น

แต่ข้า, ผู้ที่รักต่อมวลมนุษย์มากยิ่งกว่าความรื่นรมย์ของข้าเอง –

ใช่แล้ว, มากยิ่งกว่าความรื่นรมย์ใจของพวกเขาเอง – แยกจากไปเพื่อช่วย

พวกเขาและสัตว์โลกทั้งหมด, ถ้านั้นคือความรักที่สุดยอดจะมีได้

ไปเถิด, นำ กัณฑะกะ มาให้ข้า!



แล้ว ฉันนะ จึ่งว่า,

“นายท่าน, ข้าจักไป!” และออกไปด้วย, โศกเศร้าเปี่ยมล้น,

ยังคอกม้าที่เขาได้ผ่านไป, และจากแคร่ชั้น

ยกเอาลงมาซึ่งคานปากคาบและโซ่อานเหียนทำด้วยเงิน,

สายรัดอกปมและคล้อง, และสวมถักรัดสายเข้า,

และโยงห่วงเข้าด้วยกัน, และจูงนำ กัณฑะกะ ออกมา:

ผู้ซึ่งได้ถูกคล้องล่ามอยู่กับคอก, เขาหวีสางขนและสวมอาภรณ์,

ลูกไล้ขนขาวยาวดุจหิมะนั้นจนเป็นเงาวาวดุจไหม;

ถัดต่อมายังอาชานั้นเขาได้วางผ้านัมดาห์จตุรัส,

วางพาดผ้าอานข้ามหลัง, และติดตั้ง

อานลงให้เข้าที่, ดึงสายรัดร้อยอัญมณีให้ตึงแน่น,

ร้อยหัวเข็มขัดแถบรัดสะโพกและสายบังเหียน

และปล่อยห้อยโกลนทั้งคู่ที่ทำด้วยทองคำลงสองข้าง.

แล้วก็คลุมทับทั้งหมดด้วยตาข่ายถักทองคำ,

ด้วยพู่ระย้าห้อยของไข่มุกข์และประดาเส้นไหม,

แล้วนำอาชายิ่งใหญ่นี้มายังทวารบานราชวัง,

ที่ซึ่งเจ้าชายได้ประทับยืนรออยู่; แต่เมื่อเขาได้เห็นองค์ท่านของเขานั้น.

ความปรีดาวาววับจับเขาและเริงร่ายิ่งที่เขาส่งเสียงร้องออกมา,

ขยายบานซึ่งจมูกสีแดงชาดของเขา; และคัมภีร์นั้น

ได้เขียนเอาไว้ว่า, “แน่ชัดว่าทั้งปวงได้ได้ยินเสียงร้องนั้นของ กัณฑะกะ,

และเสียงสับเท้าอย่างแรงแห่งเกือกม้าเหล็กนั้นของเขา,

ปลอดรอดได้ด้วยทวยเทวาวางปีกอันมิเห็นได้ของพวกเขา

เหนือหูของพวกเหล่านั้นและให้เหล่าผู้หลับใหลมิได้ยินซึ่งสรรพสำเนียงใดต่อไป.”



ด้วยความโปรดปรานองค์สิทธัตถะดึงศีรษะอันหยิ่งทะนงนั้นน้อมลงมาหา,

ตบแตะลำคออันเปล่งประกาย, และตรัสบอก, “จงอยู่นิ่งเฉยไว้,

กัณฑะกะผู้ขาวสกาวจงนิ่งเอาไว้, และอดใจไว้ต่อข้าในตอนนี้

ในการเดินทางอันยาวไกลที่สุดที่ผู้ขี่ใดจะได้เคยกระทำมา,

เพราะในราตรีนี้ข้าจะขี่ออกไปหาซึ่งความสัจอันแท้จริง,

และยังที่ซึ่งการเสาะแสวงหาของข้าสิ้นสุดลงในที่ใดได้ข้าก็หารู้ไม่,

เพียงยึดไว้ว่ามันจะไม่สิ้นสุดลงจนกว่าข้าจะพานพบ.

ดังนั้นในค่ำคืนนี้, อาชาแสนดีเอย, จงดุดันและหาญกล้า!

อย่าได้ให้อะไรหยุดยั้งเจ้าไว้ได้, ถึงแม้จะเป็นคมดาบหนึ่งพัน

จะปฏิเสธซึ่งหนทาง! อย่าได้ให้กำแพงหรือว่าคูน้ำรอบปราสาท

ขวางห้ามการบินไปของเรา! ฟังนะ! ถ้าแตะสีข้างเจ้า

และร้องว่า, “ขึ้น, กัณฑะกะ!” จงให้สายลมหวนอ่อนแรง

พัดส่งอยู่เบื้องหลังเจ้า! เป็นไฟและอากาศ, อาชาของข้า!

จงยึดมั่นต่อเหนือหัวของเจ้า, ดั่งนั้นเจ้าจงร่วมกับองค์ท่าน

ในความยิ่งใหญ่แห่งโองการนี้ซึ่งจักช่วยเหลือโลก

เพราะเช่นนั้นที่ข้าขี่, ไม่ใช่เพื่อมนุษย์เพียงลำพัง,

แต่เพราะเพื่อสำหรับทั้งหมดสรรพสิ่ง, ไร้เสียงพูด, แบ่งปันร่วมความเจ็บปวดของเรา

และไม่มีซึ่งความหวังใด, หรือชาญฉลาดใดที่จะถามถึงความหวังได้.

ตอนนี้, ดั่งนั้นเอง, จงแบกนายของเจ้าไปอย่างกล้าหาญเถิด!



แล้วจึงโจนขึ้นนั่งยังอานอาชานั้นอย่างแผ่วเบา, องค์ชาย

แตะลงที่อกโค้งนูนแน่นเนื้อ, และ กัณฑะกะ กระโจนไปข้างหน้า

ด้วยอาวุธเกราะกีบม้าเป็นประกายบนอัญมณีและแหวนวง

ของคล้องคานปากคาบ; แต่ไม่มีใครจักได้ยินเสียงนี้เลย,

เพราะการนั้น เทพสุทธา, กำลังรวมกันอยู่ใกล้นี้,

เด็ดดอกโมห์ราแดงและเหน็บอุดพวกนั้นหนาทึบ

ลงใต้ก้าวย่างของอาชานั้น, ขณะที่หัตถ์อันมองมิเห็น

ห่อหุ้มเสียงกระดิ่งทั้งหลายและโซ่บังเหียน.

มากไปกว่านั้น, ยังได้ถูกจารึกเอาไว้อีกว่าเมื่อพวกเขาออกมาถึง

ยังบาทวิถีใกล้ทวารชั้นในทั้งหลายนั้น,

พวกยักษา (Yakshas-คำเดิมต้นฉบับ) แห่งอากาศได้ทอดภูษาเวทย์

รองรับเท้าของอาชานั้น, จึ่งได้โจนทะยานไปอย่างแผ่วเบาและนิ่งสงัด.



แต่เมื่อพวกเขามาถึงยังทวารนั้น

แห่งทองเหลืองสามชั้น – ซึ่งแทบต้องใช้ชายถึงร้อยคนพร้อมกัน

เพื่อมายกคานสลักกั้นและเปิดออกได้ – ดูสิ! บานทวารเหล่านั้น

ม้วนกลับออกไปเองทั้งหมดอย่างเงียบสงัด, ถึงสักคนหนึ่งอาจจะได้ยิน

ดั่งเช่นยามกลางวันนั้นลั่นสนั่นปานพายุฟ้าคำรณ

ของเหล่าบานพับหนาหนักและแผ่นพับม้วนเหล่านั้น.



อีกทั้งทวารตอนกลางและตอนนอกนั้น

เปิดเผยแต่ละกลีบช่องบานของพวกตนออกเช่นนั้น

อย่างเงียบสงัดเมื่อองค์สิทธัตถะและอาชาของพระองค์

เข้าไปถึงใกล้; เมื่อเงาทอดลงของพวกเขาทาบทับอยู่ภายใต้,

เงียบงันดุจคนตาย, ในบรรดาเหลายามรักษาการพวกนั้น –

หอกและดาบถูกปล่อยร่วงหลุดกอง, โล่ห์เขนวางล้ม,

นายกองและพลทหาร – เพราะสายลมที่พัด,

ง่วงโงกงุนกว่าพัดผ่านเหนือทุ่งมัลวา (Malwa’s fields-คำเดิมต้นฉบับ) แห่งการหลับใหล,

ก่อนถึงเส้นทางของเจ้าชาย, ซึ่ง, ถูกหายใจผ่าน,

กล่อมเกลาทุกสำนึกให้สลบไสล: และดั่งนั้นเองที่พระองค์เสด็จผ่านไป

อิสระจากราชวังนั้น.



เมื่อดาวประกายพรึกรุ่งเช้า

ยืนอยู่ครึ่งของความยาวหอกจากริมขอบฟ้าทิศตะวันออก,

และเหนือโลกลมหายใจแห่งทอดถอนใจยามเช้า

เลื่อมพรายคลื่นของอโนมานที, สายธารแบ่งเขตแดน,

แล้วองค์ท่านจึงได้ดึงสายบังเหียน, และโจนอาชาข้ามลำน้ำลงสู่พื้นปฐพีและจุมพิต

กัณฑะกะอาชาขาวสกาวที่หว่างหู, และตรัส

อย่างอ่อนหวานต่อ ฉันนะ: “นี่คือที่สูเจ้าได้กระทำแล้วนี้

จักนำคุณความดีมาสู่เจ้าและนำพาสรรพสัตว์ทั้งปวงซึ่งในคุณความดี.

จงแน่ใจเถิดว่าข้านั้นรักสูเจ้าเสมอสำหรับความรักของสูเจ้า.

จงนำม้าของข้ากลับไปและนำเอาปิ่นมุกข์ของข้านี้ไปด้วย,

เสื้อคลุมเจ้าชายทั้งหลายของข้า, ซึ่งหาได้มีประโยชน์ภายหน้าต่อข้าไม่,

เข็มขัดห้อยฝักดาบประดับอัญมณีของข้าและดาบของข้า, และเหล่านี้

เครื่องเกี่ยวรัดยาวประดับด้วยไม่บรรจบขอบวาวของมันนั้น

ที่ได้ถอดจากขนงของข้า.  จงมอบให้แด่องค์ราชาทั้งหมด, และทูลด้วยว่า

องค์สิทธัตถะ ขอน้อมประณตสวดอ้อนวอนโปรดได้ลืมเสียจากที่เขาได้

ซึ่งสิบเท่าของเจ้าชาย, ด้วยปัญญาราชศักดิ์ให้ได้เอาชนะ

จากการแสวงหาโดดเดี่ยวลำพังและบากบั่นเพื่อแสงสว่าง;

ที่ซึ่ง, ถ้าข้าได้พิชิต, ดูเถิด! โลกทั้งปวงคือของข้า –

ของข้าด้วยการรับใช้อย่างยิ่ง! – ทูลพระองค์ ของข้าด้วยความรัก

เนื่องด้วยมีความหวังสำหรับมนุษย์ได้ก็แต่ในตัวมนุษย์,

และหาได้มีผู้ใดได้เสาะหาเพื่อการนี้ดั่งเช่นข้าจักเสาะหา,

ผู้ซึ่งได้ละทิ้งโลกของข้าไปเพื่อช่วยโลกของข้า.”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น