ปริเฉทที่ห้า
(1)รอบกรุงราชคฤห์คือขุนเขางดงามทั้งห้ายืนตะหง่าน,
พิทักษ์ปกป้องเมืองร่มรื่นของราชาพิมพิสาร (Bimbasâra-คำเดิมต้นฉบับ);
เวภาระ (Baibhâra-คำเดิมต้นฉบับ) เขียวขจีด้วยตะไคร้ (lemon-grass-คำเดิมต้นฉบับ) และหมาก;
เวปุลละ (Bipulla-คำเดิมต้นฉบับ), ที่เชิงเขานั้นไหลเลาะแคบด้วยลำธาร สารสุติ (Sarsuti-คำเดิมต้นฉบับ)
ลับล่อด้วยละลอกคลื่นอุ่น;
คือร่มเงามืดของ ทาโปวาน (Tapovan-คำเดิมต้นฉบับ),
ที่สายธารของตนนั้นกว้างตะพักสะท้อนเงาของศิลาดำ,
ซึ่งไหลซึมซับ
เนื้อเนยปฐพีอธิปัตย์ลงมาจากหลังคาเขาตะปุ่มตะป่ำ
ด้านตะวันออกเฉียงใต้ยอดจงอยแร้ง ไศยลาคิรี (Sailâgiri-คำเดิมต้นฉบับ);
และด้านทิศตะวันออก รัตนะคีรี (Ratnagiri-คำเดิมต้นฉบับ), เนินเขาแห่งอัญมณี.
ช่องทางกว้าง, ปูไว้ด้วยแผ่นหินขรุขระระบมเท้า,
นำสูเจ้าไปสู่ทุ่งดอกคำฝอยและกระจุกไผ่
ใต้กลุ่มมะม่วงป่าทึบและต้นพุทรา (jujube-trees-คำเดิมต้นฉบับ),
ผ่านแนวขาวดุจนมของหินและผาโมรา,
ผาลาดต่ำและทุ่งราบของดอกไม้ป่า, สู่ยังที่ซึ่ง
ไหล่บ่าของภูเขานั้น, ลาดลงไปยังทิศตะวันตก,
ถ้ำหนึ่งแขวนลอยด้วยจะงอยป่ายื่นชะง้ำ.
ดูกร! สูเจ้าผู้ได้มายังไกลที่นี้,
ด้วยเท้าเปล่าเปลือยของสู
และก้มค้อมศีรษะของสูเจ้า!
เพราะบรรดาปฐพีไพศาลทั้งปวงนี้
หาได้มีจุดใดล้ำค่าและโพรงงามกว่านี้ไม่. ที่นี้
พระพุทธองค์
พึงพอใจยิ่งที่ได้หลบผ่านยามฤดูร้อนที่แผดเผาไป,
และยามฝนกระหน่ำหนัก, ความหนาวเหน็บยามรุ่งอรุณและก่อนนั้น;
และนุ่งห่มเพื่อบรรดาเหล่าผู้คนในโลกอยู่ด้วยผ้าคลุมกายสีเหลือง,
กินเยี่ยงขอทานในอาหารยากแค้นขาดแคลน
ตามโอกาสที่หาได้จากการให้ทาน;
ในยามค่ำคืน
ขดนอนอยู่บนพื้นหญ้า, ไร้บ้าน, ตามลำพัง; ในขณะที่เห่าหอน
มิหลับนอนด้วยหมาในรอบถ้ำของพระองค์, หรือเสียงกระแอมไอ
ของเสืออดอยากจากพุ่มไพรร้าง.
ทั้งวันและคืนที่นี้ได้อาศัยอยู่ของผู้ที่โลกยกย่อง,
กำลังเอาชนะต่อร่างกายงดงามกำเนิดมาด้วยพรประเสริฐ
ด้วยการเฝ้าดูอย่างรวดเร็วและถี่ครั้งและค้นหาอย่างเคร่งข้น
ในการทำสมาธิสงัดนิ่ง, ช่างยืดขยายยาวไกลออกไป
เวลาหยุดนิ่งนั้นในยามที่องค์ท่านอยู่ในภวังค์ –
ยามไม่ไหวติง
นิ่งติดอยู่กับศิลาหินที่ทรงนั่ง – กระรอกกระโดด
อยู่บนตักขององค์ท่าน, นกกะทาขลาดกลัวยังเดินหน้า
กกฟักไข่ของนางที่หว่างพระบาทขององค์ท่าน,
และนกเขาสีฟ้าจิกเขี่ย
เมล็ดข้าวจากชามในอุ้งฝ่าพระหัตถ์ขององค์ท่าน.
(2)เช่นนี้เองที่องค์ท่านครุ่นคำนึงในภวังค์จากเที่ยงวัน –
เมื่อแผ่นดินนั้น
แวววาวด้วยไอร้อน, และผนังและเหล่าวิหารเริงระบำ
ในอากาศอบอวล – กระทั่งตะวันอัศดง, คัดค้านไม่
ในดวงกลมร้อนแรงหมุนวนลง, หรือไม่ในสายัณห์เลื่อนไหลมา,
ม่วงและฉับพลัน, พาดข้ามยังท้องทุ่งอ่อนละมุนเหล่านั้น;
หรือหาไม่ต่อความสงัดมาถึงของเหล่าดวงดารา, หรือหาไม่ต่อเสียงจังหวะ
ของกลองหนังดังมาจากเมืองอันวุ่นวาย,
หรือหาไม่ต่อเสียงแหลมครูด
ของนกฮูกและเสียงสะเทือนของราตรี; ห่อหุ้มทั้งหมดจากตนเอง
ในการไม่ยุ่งเหยิงแหลมคมแห่งสายใยของความคิด
และก้าวย่างสม่ำเสมอรวดเร็วไปในวงกฏของชีวิตทั้งหลาย.
เช่นนี้ที่องค์ท่านได้นั่งจนกระทั่งเที่ยวคืนปิดต่อโลกนี้
ปลอดในท่ามกลางเหล่าสัตว์ร้ายของความมืดมิดในไพรพุ่ม
คืบคลานและร่ำร้องออกมา, ดั่งกลัวและเกลียดชังร้อง,
ดั่งปรารถนาและละโมภและโทสะกลัว
ในป่าดำมืดแห่งอวิชชาของมนุษย์.
แล้วจึ่งหลับลงองค์ท่านเพื่อเพราะอวกาศซึ่งจันทราเคลื่อนคล้อยเร็วถาม
ที่จะว่ายวนในภาคที่สิบแห่งทะเลเมฆาของเธอ;
แต่ขึ้นก่อนเวลาในอรุณรุ่ง, และค้างยืนอีกครา
อ้อยอิ่งบนที่ราบบางมืดแห่งของเนินเขานั้น,
เฝ้ามองดูซึ่งปฐพีที่หลับใหลด้วยดวงตาสว่างไสว
และความคิดที่โอบกอดในทุกสรรพสิ่งมีชีวีของมัน,
และเหนือเหล่าทุ่งระบัดคลื่นนั้นที่พึมพัมเคลื่อนผ่านไป
ซึ่ง จุมพิตของหัวรุ่งเช้าได้ปลุกแผ่นดินให้ตื่นขึ้น,
และในทิศตะวันออกที่มหัศจรรย์ของวัน
รวมกันและเติบโตขึ้น.
ในตอนแรกยามโพล้เพล้จะแสนมืดมัว
ราตรีดูเหมือนจะยังคงไม่ตระหนักรู้ต่ออรุณรุ่งกระซิบ,
แต่ในไม่ช้า – ก่อนที่ไก่ป่าจะขันคราที่สอง –
ริมขอบฟ้าขาวก็กระจ่าง, แผ่ออกกว้าง, สว่างขาวจ้า,
สูงเด่นด้วยดาวพุธ, ซึ่งเลือนจางในท่วมท้น
ของแสงเงิน, อุ่นลงสู่แผ่นผืนซีดทองคำ, ถูกจับต้อง
ทาทับไว้บนยอดเมฆา, และเปลวประกายในตอนริมขอบของพวกนั้น
ยังเรืองโชติทองโชน, ไหลล้นจากขอบริม
ด้วยสีเหลืองส้ม, แดงประกาย, แดงเข้ม, แดงโกเมน;
ที่ซึ่งท้องฟ้านั้นไหม้เพริดแพรวสู่สีฟ้าคราม,
และ, ห่มคลุมในอาภรณ์ของแสงอันปรีดา, ราชา
แห่งชีวิต และ รุ่งโรจน์ มาถึง!
(3)แล้วพุทธองค์ของเรา,
หลังจากกระทำอากัปกิริยาของ โยคีริชิ, ได้ทักทาย
วงจรก็ได้เริ่มขึ้นอีกครา, และดำเนินไป – ทำการชะล้าง -–
ลงไปตามหนทางคดเคี้ยวยังสู่เมืองนั้น;
และในรูปแบบเยี่ยงโยคีริชิผ่านไป
จากถนนสู่ถนน, ด้วยชามขอในมือ,
รวบรวมเงินทานเล็กน้อยในความตามจำเป็นของเขา.
ในไม่ช้ามันก็เต็ม,
เพราะบรรดาชาวเมืองทั้งปวงต่างร่ำร้องบอกว่า,
“จงรับเอาข้าวของเราไปเถิด, ท่านขอรับ!” และ “รับของเราไปเถิด!”
เมื่อกำหนดหมายเห็นองค์ท่านซึ่งเช่นเทพของใบหน้าและดวงตารวมห่อด้วยกัน;
และมารดาทั้งหลาย, เมื่อเห็นองค์ท่านของเราจรดลผ่านมา,
ก็ปล่อยวางทารกน้อยของตนลงและหมอบจุมพิตเท้าขององค์ท่าน,
และยกขอบผ้าคลุมกายขององค์ท่านขึ้นมาจรดคิ้วตน,
หรือไม่ก็รีบวิ่ง
เพื่อเติมเต็มโถขององค์ท่าน, และหานมและขนมให้ท่านดื่มทาน.
และเยือกเย็นยิ่งเมื่อองค์ก้าวย่าง, นุ่มนวลและเชื่องช้า,
เปล่งประกายเรืองรองด้วยความสงสารจากสวรรค์,
หลงไปในความห่วงหาอาทร
ต่อผู้ที่องค์ท่านหาได้รู้จักด้วยไม่,
ช่วยดุจเป็นชีวิตของผองเพื่อน,
ดวงตากลมดำประหลาดใจของสาวอินเดียนบางคน
จะตกอยู่ในห้วงรักทันใดขึ้นมาและสรรเสริญในเบื้องลึก
ในอากัปกิริยารูปงามสง่าดุจราชานั้น, ราวกับว่าเธอได้เห็น
ความฝันของเธอถึงความนุ่มนวลที่สุดแห่งความคิดได้เป็นจริง,
และความสง่า
งดงามยิ่งกว่าไฟชีวิตในหัวอกของเธอ. แต่องค์ท่าน
ได้ผ่านเลยต่อไปด้วยชามในมือและผ่าห่มเหลือง,
โดยคำพูดสุภาพให้กับสิ่งของขวัยจากใจทั้งหมดเหล่านั้น,
ท่องไปตามหนทางขององค์ท่านกลับคืนสู่ยังสถานโดดเดี่ยวนั้น
เพื่อนั่งลงบนเนินเขาขององค์ท่านกับเหล่าดาบสศักดิ์สิทธิ์,
และยินยลและถามไถ่ถึงปัญญาและมรรคาทั้งหลายของมัน.
(4) กึ่งทางบนป่าละเมาะของรัตนะคีรีอันสงบ,
พ้นเลยออกมาจากมหานคร, แต่อยู่ใต้ล่างของถ้ำคูหานั้น,
ดุจกระท่อมที่รั้งกายศัตรูจากจิตวิญญาณ,
และเนื้อของสัตว์ที่มนุษย์ต้องกักคุมและขุนเชื่อง
ด้วยความเจ็บปวดขมขื่น,
จนกระทั่งความรู้สึกเจ็บปวดนั้นถุกเข่นฆ่า,
และประสาทที่ถุกทรมานมิอาจทรมานยิ่งขึ้นไปกว่าได้อีกต่อไป –
โยคี (Yogis-คำเดิมต้นฉบับ) ทั้งหลายและพวกพราหมจารี (Brahmacharis-คำเดิมต้นฉบับ), พวกภิกษุ (Bhikshus-คำเดิมต้นฉบับ), ทั้งหมด
กลุ่มวงผอมแห้งและเศร้าโศก, อยู่แยกกัน.
บางวันและบางคืนได้ยืนอยู่ด้วยการยกแขน,
จนกระทั่ง – ไหลเลือดลงสิ้นและปวดทรมานด้วยโรคไข้ –
ความเชื่องช้าของข้อต่อที่เสียไปแล้วของพวกเขาและแขนขาทื่อแข็ง
ปูดโปนจากไหล่ไร้กำลังเหมือนกิ่งก้านแห้งตาย
จากต้นไม้ในป่าไพร.
คนอื่นอีกก็มีกำมือปั้นแน่นของพวกเขา
นานเหลือเกินและดุเดือดเหลือเกินในความทรหด,
เล็บที่งุ้มงองอกผ่านผ่านทะลุจนแผลเน่าเปื่อยของฝ่ามือ.
บางคนก็เดินด้วยรองเท้าตะปูแหลม;
บ้างก็ด้วยหินไฟแลหม
เปิดแผลที่หน้าอกและหน้าและโคนขา,
ทำแผลเป็นเหล่านี้ด้วยไฟเผา,
ถักร้อยเนื้อหนังของพวกเขาด้วยหนามป่าและเหล็กเสียบ,
ป้ายเปรอะให้เปื้อนด้วยโคลนและเถ้าถ่าน, หมอบขดผิดท่า
ในผ้าริ้วขาดของคนตายห่อหุ้มเชิงกรานของพวกตนไว้.
แน่ชัดว่ามีแห่งหนผู้อาศัยอยู่
ที่ซึ่งกองฟอนของคนตายได้คุกรุ่น, งอตัวกลัวหมอบมัวหมอง
ด้วยมีทรากศพเป็นเพื่อนของพวกเขา, และเหล่านกเหยี่ยว
กรีดร้องรายล้อมพวกเขาเหนือแย่งชิงงานศพ:
แน่ชัดว่ามีผู้ร่ำร้องห้าร้อยครั้งในหนึ่งวัน
เอ่ยนามชองพระศิวะ, มีรอยแผลเต็มด้วยงูฉกกัด
รายหนึ่งอัมพาตเท้าห้อยดึงขืนต่อกล้ามเนื้อ.
รวมกลุ่มมากโขพวกเขา, เหล่าสังเวชปริเวทนา;
เรือนยอดระยิบระยับด้วยความร้อนวาว, ดวงตาพร่ามัว,
เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อย่นเหี่ยว, ปรากฏให้เห็น
ซูบซีดและเซียวดุจผู้คนที่ถูกสังหาร, สิ้นชีพมาห้าวัน;
ที่นี้หมอบอยู่รายหนึ่งในฝุ่นธุลีผู้ที่เที่ยงวันถึงเที่ยงวัน
ถึงได้รับแจกจ่ายหนึ่งพันธัญหารของข้าวฟ่างลูกเดือยออกมา,
ก็กินกลืนมันด้วยความอดอยากทนเพียร, ทีละเม็ด,
และยังหิวโหยเหลือเกินนั้นต่อไป;
มีรายหนึ่งที่ทุบเมล็ดพืชของตน
ด้วยใบไม้ขมขื่นที่เพดานปากใดจะหาได้พึงใจในรสนั้น;
และถัดมา, นักบุญลึกลับทำตนพิการ,
ไร้ดวงตาและไร้ลิ้น, ไร้เพศ, ง่อยเปลี้ย, หนวก;
ร่างกายด้วยจิตใจเป็นอยู่ขาดวิ่นเช่นนี้
เพื่อรุ่งโรจน์ของการทรมานมากเหลือ, และพรประเสริฐ
ซึ่งพวกเขาจักได้รับจากชัย – กล่าวไว้ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
– ผู้ซึ่งทุกข์ร้อน
อับอายต่อเหล่าเทพเจ้าที่ส่งให้เราด้วยทุกข์,
และทำให้ผู้คนเป็นเทพ
แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่จะทุกข์ทรมานกว่า นรก จะทำร้ายได้.
(5) ซึ่งดวงตาเศร้าโศกจับจ้องขององค์ชายดุจพูดจาด้วยรายหนึ่ง,
หัวหน้าของเหล่าผู้กระทำทุกข์กิริยา:
“ช่างทรมานมากเหลือ ท่านเอย!
หลายจันทราคล้อยเคลื่อนที่สูข้าได้มาอยู่ยังเนินเขานี้ –
ตัวข้าคือหรือคือผู้เสาะหาถึงสัจธรรม – และเห็น
พี่น้องของข้าที่นี้, และสูเจ้า, ช่างน่าสังเวช
ทำตน-เจ็บปวดนัก, ที่หนใดฤาที่สูป่วยไข้ยังชีวิต
ซึ่งช่างไม่ดียิ่งนัก?
คำตอบโดยปราชญ์ผู้นั้น:
“สิ่งนี้ได้จารึกไว้ว่าถ้าคนเราจักได้บำเพ็ญทุกรกิริยา
เนื้อหนังของเขา,
กระทั่งความเจ็บปวดได้เติบใหญ่มีชีวิตที่เขามีชีวิตอยู่
และมรณาได้พักกายากิเลสตัณหา, ความทรมานเช่นนั้นจะล้างมลทิน
กากเดนของบาปจากไปสิ้น, และจิตวิญญาณนั้น, จักพิสุทธิ์,
ทะยานจากเตาหลอมแห่งความโศกเศร้าของมัน, โบยบิน
เพื่อโลกเจิดจรัสและอดีตบรรเจิดจักในความคิดทั้งปวง.”
“ที่หมู่เมฆซึ่งลอยอยู่สวรรค์,” เจ้าชายตอบ,
“แขวนหรีดมาลาเหมือนผ้าทองคำรอบบัลลังก์อินทรา (Indra's
throne-คำเดิมต้นฉบับ) ของท่าน,
ผุดไปยังที่นั้นจากทะเลพายุ (tempest-driven
sea-คำเดิมต้นฉบับ) ;
แต่มันต้องร่วงหล่นลงมาอีกในหยาดหยดน้ำตา,
ไหลหยดช้าเคลื่อนผ่านระคายหยาบและปวดร้าวของทางน้ำ
โดยรอยแยกและลำห้วยและโคลนไหลบ่า,
ยังแม่คงคา (Gunga –คำเดิมต้นฉบับ)และทะเล, จากที่ซึ่งมันไหลพุ่งมา.
ได้รู้จากสูท่าน, พี่ชายเอย, ถ้ามิได้เป็นเช่นนั้น,
หลังจากความเจ็บปวดมากมายของพวกเขา, ด้วยเทพอำนวยพรฤา?
ในเมื่อการพุ่งขึ้นนั้นก็ร่วงลงมา, และที่ซึ่งซื้อมา
ได้ถูกใช้ไป; และถ้าท่านซื้อสวรรค์ด้วยเลือดของท่าน
ในตลาดยากเข็ญแห่งนรกนี้, เมื่อการต่อรองผ่าน
ความเหนื่อยยากเริ่มต้นอีกครา!”
(6) “มันอาจเริ่มต้นอีก ,”
โยคีนั้นครวญ. “โอ!
เราหาได้รู้เรื่องนี้ไม่,
หรือแน่ใจในสิ่งอะไร;
กระนั้นหลังจากราตรี
กลางวันได้มา, และหลังจากสันติอันสับสนอลม่าน, และเรา
เกลียดชังเนื้อหนังที่ถูกสาปแช่งที่อุดตันจิตวิญญาณ
ซึ่งความเต็มใจยินดีจะพุ่งขึ้นมา;
ดั่งนั้น, เพื่อเห็นแก่จิตวิญญาณ,
เราปักเขตปริเวทนาโดยสังเขปในการละเล่นกับเหล่าเทพเจ้า
เพื่อให้ได้รับความปีติปรีดาที่ใหญ่กว่า.”
“กระนั้นถ้าพวกเขายืนยาว
หนึ่งหมื่นปี,” องค์ท่านตรัส, “พวกเขาจืดจางต่อความยาวนั้น,
ความปีติปรีดาพวกนั้น; หรือถ้าไม่,
ก็เป็นเช่นบางชีวี
ต่ำ, เหนือ, โพ้น, ดั่งไม่เหมือนเช่นชีวี
มันจะไม่เปลี่ยนแปลงฤา? บอกที! เทพเจ้าของสูท่านนั้นทนทาน
ไปชั่วนิรันดร์ฤา, พี่ชาย?
“ไม่เลย,” โยคีนั้นพูด,
“มีเพียงพราหมณ์ผู้ยิ่งใหญ่ทนทาน:
เทพเจ้าเท่านั้นมีอยู่.”
แล้วองค์พุทธะจึ่งตรัสว่า:
แล้วท่านจัก, ในเมื่อชาญฉลาด,
ดั่งที่ท่านดูจะเป็นบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์และจิตใจเข้มแข็ง,
โยนเล่นลูกเต๋าอันเจ็บปวดนี้,
ที่พวกท่านได้ก่นครางและครำครวญ,
เพื่อให้ได้รับในสิ่งที่อาจเป็นเช่นความฝันนั้น,
และต้องจบสิ้นละฤา?
แล้วท่านจัก, เพื่อรักแห่งจิตวิญญาณ,
แสนเกลียดชังเนื้อหนังของตน,
ช่างโบยเฆี่ยนและทำพิการมัน, ซึ่งมันจักไม่รับใช้
ที่จะรองรับจิตวิญญาณต่อไปได้, เสาะหาบ้าน,
แต่ผู้สร้างนั้นอยู่บนรอยทางก่อนราตรีตกลงมา,
เหมือนอาชามุ่งไปด้วยแรงเดือยเท้าสับงั้นฤา? แล้วท่านจัก,
ผู้โศกาเอย,
แยกออกและขับไล่สมาชิกจากเรือนงามนี้,
ที่ซึ่งเราได้มาเพื่ออาศัยอยู่ด้วยอดีตอันปวดร้าว;
ซึ่งหน้าต่างของมันให้แสงสว่างแก่เรา – แสงน้อยนิด –
ที่โดยเราจ้องมองกว้างออกไกลเพื่อณุ้ว่าอรุณ
จะรุ่งสางหรือไม่, และสายลมจะโบกพัดต่อหนทางอันดีฤา?
แล้วพวกเขาได้ร้องขึ้นว่า, “เราได้เลือกเช่นนี้สำหรับหนทาง
และย่ำมันไป, ราชาปุตระ (Rajaputra-คำเดิมต้นฉบับ), จนกว่าจะปิดสิ้น
ถึงแม้ว่าบรรดาก้อนหินของมันจะเป็นดั่งไฟร้อน –
ในเชื่อใจแห่งความตาย.
พูดเถิด, ถ้าท่านได้รู้ถึงหนทางที่ล้ำเลิศกว่า;
ถ้าไม่, สันติจงไปกับท่านด้วย!”
(7) ดำเนินต่อที่เขาได้ผ่านไป,
มากมายด้วยความเศร้า, ได้เห็นซึ่งผู้คน
หวาดกลัวเช่นนั้นที่จะตายจนพวกเขาไม่กล้าที่จะรักชีวีของพวกตน,
แต่แพร่เชื้อมันด้วยการสำนึกบาปอันดุร้าย, เป็นเหมือน
ที่จะเอาใจเหล่าเทพเจ้าผู้ซึ่งไม่เต็มใจยินดีต่อมนุษย์;
เป็นเหมือนที่จะชะงักงันนรกด้วยนรกในไฟอารมณ์ตน;
เป็นเหมือนในความบ้าคลั่งศักดิสิทธิ์, จิตวิญญาณหวัง
ว่าอาจพังเข้าไปสู่ที่ดีกว่าผ่านเนื้อหนังไร้ค่าของพวกเขา.
“โอ, มวลดอกไม้แห่งท้องทุ่งเอย!”
องค์สิทธัตถะตรัส,
“ใครฤาหันใบหน้าละมุนของเจ้าไปสู่ตะวัน –
ดีใจกับแสงสว่าง, และตื้นตันด้วยลมหายใจหอมหวาน
ของกลิ่นหอมและเครื่องแบบเหล่านี้แห่งคารวะบูชาสวมใส่
ด้วยเงินและทองและม่วง – ไม่มีสูท่านผู้ใด
พลาดการมีชีวิตสมบูรณ์, ไม่มีสูท่านผู้ใดปล้นชิง
ความงามเปี่ยมสุขของเจ้า.
โอ, เจ้าปาล์มเอย! ที่สูงตั้ง
กระหายที่จะเสียดแทงท้องฟ้าและดื่มกินสายลม
ซึ่งได้พัดพามาจาก มาลายา และเหล่าทะเลสีฟ้าครามเยือกเย็น,
ความลับอันใดฤาที่เจ้าได้รู้จึงเจ้าได้เติบโตสันโดษ,
จากห้วงเวลาของความอ่อนโยนยิงสูงห้วงเวลาของผลิผล,
พึมพัมเพลง-ตะวันเยี่ยงนั้นจากเหล่ามงกุฏพู่ขนของเจ้าฤา?
สูเจ้า, เช่นกัน, ผู้ที่อาศัยอย่างช่างรื่นรมย์ในหมู่พฤกษา –
นกแก้วผู้พุ่งปราดรวดเร็ว, นกผึ้งน้อย (bee-birds-คำเดิมต้นฉบับ), นกปรอด, นกเขา –
ไม่มีพวกเจ้าตนใดเลยได้เกลียดชังในชีวิตของเจ้า,
ไม่มีพวกเจ้าตนใดคิด
ที่จะขึงตึงเพื่อดีกว่าในความต้องการในเบื้องหน้า!
แต่มนุษย์ – ผู้เข่นฆ่าพวกเจ้า – เป็นเยี่ยงนาย – เป็นฉลาด,
และมีปัญญา, เลี้ยงดูได้ด้วยเลือดเนื้อผู้อื่น,
กลับมาไกลถึงเช่นนี้
ในการทรมานตนเอง!”
(8) ขณะที่เจ้านายใหญ่แสดงอากัปกิริยาแทนการพูด
เป่าลงมาตามภูเขาฝุ่นธุลีของการตบเท้าเบาๆ,
แพะขาวและแกะดำหมุนวนช้าๆไปตามทางของพวกตน,
ด้วยมากมายอ้อยอิ่งและเล็มอยู่ที่เหล่าปอยหญ้า,
และพเนจรไปจากเส้นทาง, ที่สายน้ำเปล่งประกาย
หรือมะเดื่อป่าแขวนห้อย. แต่ก็เสมอเมื่อพวกเขาจรไปนั้น
ที่ผู้เลี้ยงปศุสัตว์ตะโกนเรียกบอก,
หรือฟาดเหวี่ยงสายหนังของเขา, และคอยต้อน
ให้เหล่าฝูงสัตว์โง่เขลายังคงเคลื่อนที่ลงไปสู่ทุ่งราบนั้น.
แม่แกะสาวหนึ่งกับเหล่าลูกเล็กสองตัวคล้องเคียงในกลุ่มมีอยู่ให้เห็น,
บางตัวเจ็บปวดพิการได้ถูกรำคาญโดยตัวอื่น,
ซึ่งดุนดันหนักตามหลังมา
เลือดไหลลง, ขณะที่เพื่อนร่วมฝูงในตอนหน้าของมันข้ามผ่าน,
ขณะที่แม่พันธุ์ที่ยุ่งยากวิ่งไปทางโน้นทางนี้,
เป็นห่วงว่าจะสูญเสียเจ้าตัวน้อยนี้หรือตัวนั้น;
ซึ่งเมื่อองค์ชายของเราสังเกตเห็นได้,
ด้วยความกรุณาเต็งเปี่ยม
พระองค์อุ้มเอาแกะพิการนั้นพาดพระศอขององค์ท่าน,
ตรัสปลอบว่า, “แม่ขนปุยน่าสงสารเอย, จงสงบเป็นสุขเถิด!
ที่ใดที่เจ้าไปข้าจักดูแลแบกเจ้าเอง;
ยังเหล่าเท่าที่ดีทั้งปวงเพื่อลดผ่อนสัตว์หนึ่งจากความโศกเศร้า
เมื่อนั่งอยู่และได้เห็นความเศร้าโศกนั้นของโลก
ในถ้ำทางโน้นกับเหล่านักบวชผู้สวดมนต์อ้อนวอน.”
“แต่,” องค์ท่านก็ตรัสแก่ผู้เลี้ยงปศุสัตว์นั้น, “ที่ใดหรือ,
สหาย!
เจ้าได้ขับต้อนฝูงสัตว์นี้ลงไปในยามเที่ยงวันเช่นนี้,
กระทั่งถึงยามเย็นที่ผู้คนปิดคอกแกะของตน?”
คำตอบที่ให้มาจากชาวไร่นานั้น:
“เราได้ส่งไป
เพื่อจัดหาสิ่งบูชายัญเป็นแพะร้อยตัว,
และร้อยตัวของแกะ, ซึ่งฝ่าบาทองค์ราชาของเรา
ฆ่าในค่ำคืนนี้เพื่อสักการะต่อเหล่าเทพของพระองค์.”
ดังนั้นจึ่งมีตรัสจากองค์ท่าน:
“ข้าจะไปด้วยเช่นกัน!”
จึ่งก้าวย่างอย่างอดทน, แบกแกะนั้น
เคียงข้างผู้คุมเลี้ยงปศุสัตว์ในท่ามกลางฝุ่นและตะวัน,
แม่แกะที่ละห้อยหาเคลียคลอตามไปที่เบื้องบาทของพระองค์.
(9) ผู้ซึ่ง, เมื่อพวกมาถึงยังริม-แม่น้ำ,
หญิงผู้หนึ่ง – ดวงตาดั่งนกเขา, สาว, ด้วยน้ำตานองหน้า,
และมือยกชูขึ้น – ทำความเคารพ, ค้อมกายลงต่ำ:
“พระคุณเจ้า! ผู้สถิตเลิศ,”
หล่อนกล่าว, “ผู้ซึ่งเมื่อวานนี้
ได้มีเมตตาแก่ตัวข้าในป่ามะเดื่อนี้,
ที่ซึ่งข้าได้อาศัยอยู่เพียงลำพังและได้เลี้ยงดูบุตรของข้า: แต่เขา
เตร็ดเตร่ไปในท่ามกลางหมู่ดอกไม้ผลิบานได้พานพบงูร้ายเข้า,
ได้ฉกรัดเอาที่ข้อมือของเขา,
กระนั้นเขาก็ได้หัวเราะเล่นอยู่
และได้ล้อเล่นกับลิ้นสองแฉกอันรวดเร็วและเปิดปากออก
ของสหายเล่นตัวเย็นลื่นนั้น. แต่, พระคุณเจ้าเอ๋ย! มิทันนานเลย
เขาก็กลายเป็นตัวซีดและแข็งทื่อไป, จนข้ามิคาดคิดได้
ว่าทำไมเขาจึ่งหยุดที่จะเล่น, และปล่อยอกของข้า
หลุดร่วงไปจากริมฝีปากของเขา. แล้วมีคนหนึ่งบอกว่า, “เขาได้ป่วยแล้ว
จากพิษงูนั้น; และอีกคนหนึ่งก็ว่า,
“เขาจะตาย.”
แต่ข้า, ที่มิอาจจะเสียลูกชายอันล้ำค่าของข้านี้
ได้สวดอ้อนวอนต่อพวกเขาด้วยกายนี้,
ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งแสงสว่าง
คืนสู่ดวงตาของเขา;
มันช่างเล็กมากเหลือเกิน
ซึ่งรอบจูบของอสรพิษนั้น, และข้าคิดว่า
มันมิอาจจะเกลียดชังเขาได้, ในความงดงามเยี่ยงที่เขาเป็นนี้,
หรือว่าทำร้ายเขาในการเล่นของเขา. แล้วบางคนก็ว่า,
“มีผู้ศักดิ์สิทธิ์อยู่บนเนินเขานี้ –
ดูเถิด!
ตอนนี้เขากำลังผ่านมาในชุดคลุมเหลือง
จงไปถามท่านริชินั้นเถิดว่าจะมีทางรักษา
สำหรับซึ่งความป่วยไข้ของบุตรชายสูนั้น,”
ที่ซึ่งข้าจึ่งได้มา
หมอบราบกราบอ้อนวอนต่อท่าน,
ผู้ซึ่งขนงคิ้วดั่งของพระผู้เป็นเจ้า,
และได้ร่ำไห้และดึงผ้าคลุมหน้าออกไปจากบุตรของข้าได้,
สวดบอกมนต์ของท่านซึ่งอะไรง่ายดายที่จักเป็นดีขึ้นได้.
และสูท่านเอย, ท่านผู้ยิ่งใหญ่,
ได้โปรดรังเกียจปฏิเสธข้าหาไม่เถิด, แต่จงเพ่ง
ด้วยดวงตาอันเปี่ยมเมตตาและแตะสัมผัสกับมืออันป่วยไข้นี้;
และได้ดึงผ้าปิดหน้านี้กลับไป, พูดกับข้าเถิด,
“ใช่แล้ว! น้องสาวเอย,
มีสิ่งที่อาจบำบัดรักษานั้น
เจ้าก่อน, และเขา, ถ้าสู, สามารถไปหาสิ่งนี้มาได้;
เพราะเขาผู้ที่เสาะหาเหล่าหมอยานำมาสู่พวกเขา
ซึ่งสิ่งดลบันดาลไว้.
ดั่งนั้น, ข้าสวดมนต์ให้เจ้า, ค้นหา
เมล็ดมัสตาร์ดดำ (Black mustard-seed-คำเดิมต้นฉบับ), หนึ่งโทลา (tola-คำเดิมต้นฉบับ); เพียงกำหนดจำไว้
เพียงต้องสูเจ้านำมันอย่าได้จากมือหรือบ้านผู้ใด
ที่บิดา, มารดา, ลูก, หรือข้าทาสได้ตายไป;
มันจักดียิ่งถ้าสูเจ้าสามารถคนหาพบเมล็ดนั้น.”
ท่านได้บอกกับข้าเช่นนั้น, พระคุณเจ้าเอย!”
(10) เหนือหัวเจ้าทรงยิ้ม
มากมายด้วยอ่อนโยน.
“ใช่แล้ว! ข้าได้บอกเช่นนั้น,
กิษาโกทมิล ที่รัก! แล้วสูเจ้าได้ค้นพบ
เมล็ดนั้นเจอหรือไม่?”
“ข้าได้ไปแล้ว, พระคุณเจ้าเอย, โอบแนบไว้กับอกข้า
ทารกนั้น, เริ่มตัวเย็นแข็งทื่อขึ้น, ไล่ถามไปทุกกระท่อม –
จากที่นี้ในป่าไพรลงไปจนถึงในเมือง –
ข้าสวดอ้อนวอนต่อท่านเลย, จงให้มัสตาร์เม็ดแก่ข้าที,
จากเมตตาของท่าน,
โทลาหนึ่ง – สีดำและแต่ละผู้ที่ให้มันนี้,
เพราะบรรดาทั้งหมดของผู้ยากไร้ต่างก็ช่างเวทนาต่อผู้น่าสงสารนั้นยิ่งนัก;
แต่เมื่อข้าได้ถามไปว่า, “ในบ้านเรือนของสหายข้านี้
ได้มีความบังเอิญผู้ใดได้ตายไปแล้วบ้าง –
สามีหรือภรรยา, หรือลูก, หรือข้าทาส หรือไม่?”
พวกเขาก็บอกว่า:
“โอ น้องสาวเอย!
เจ้าถามอะไรเยี่ยงนี้ฤา? ผู้ตาย
นั้นมีมากมายทั้งนั้น, ผู้มีชีวิอยู่สิน้อยยิ่งกว่า!
ดั่งนั้นด้วยคำขอบคุณอย่างแสนโศกาข้านั้นก็ต้องคืนเม็ดมัสตาร์ดนั้นคืนไป,
และสวดอ้อนวอนขอกับผู้อื่นต่อไป;
แต่ผู้อื่นทั้งหลายนั้นก็ได้แต่บอกว่า,
“นี่ไงล่ะเม็ดดังว่า, แต่เราได้เสียข้าทาสของเราไป!”
“นี่ไงล่ะเม็ดดังว่า, แต่พ่อคุณของเราได้ตายไป!”
“นี่ไงล่ะเม็ดดังว่าบ้าง, แต่เขาผู้เพาะปลูกมันมาได้ตายแล้ว
ระหว่างหน้าฝนและหน้าเก็บเกี่ยวที่แล้ว!”
อ้า! ท่านเอ๋ย! ข้ามิอาจหาได้สักบ้านเดียวเลย
ที่ซึ่งมีเม็ดมัสตาร์ดนั้นและมิได้มีผู้ใดตาย!
ดั่งนั้นข้าจึงทิ้งลูกของข้า – ผู้ซึ่งมิได้ดื่มดูดนม
และมิได้ยิ้ม – ไว้ใต้ต้นองุ่นป่าข้างลำน้ำ,
ที่จะเสาะหาใบหน้าท่านและจุมพิตเท้าของท่าน, และสวดอ้อนวอน
ที่ไหนฤาที่ซึ่งข้าอาจหาเมล็ดนี้และหาไม่พบผู้ตาย,
ถ้าตอนนี้, จริงแท้, ลูกของข้าจะไม่ตาย,
ดั่งที่ข้ากลัว, และเช่นดั่งที่พวกเขาบอกแก่ข้า.”
“น้องสาว! สูท่านได้พบแล้ว,”
องค์เหนือหัวท่านตรัส,
“การเสาะหาในอะไรที่มิอาจพบได้ – ในตัวยานั้น
ที่เราต้องให้แก่เจ้า.
เขาผู้ที่เจ้ารักได้หลับใหล
มรณาไปในอ้อมอกของเจ้าเมื่อวานนี้:
วัน-นี้
สูเจ้าก็ได้รู้แล้วว่าทั่วทั้งโลกอันกว้างใหญ่ร่ำไห้ด้วยคำสวดอ้อนวอนของเจ้า
ความเศร้าโศกที่หัวใจทั้งปวงได้แบ่งปันเติบใหญ่หาได้น้อยกว่าผู้ใดไม่.
ดูเถิด!
หากรินเลือดของข้าถ้าจักหยุดอยู่
ซึ่งน้ำตาของเจ้าและเอาชนะความลับของคำสาปนั้น
ที่สร้างทำรักแสนหวานแห่งความรวดร้าวของเรา, และซึ่งขับต้อน
ผ่านเหนือมวลดอกไม้และเหล่าทุ่งเลี้ยงสัตว์ไปสู่แท่นบูชายัญ
–
ดั่งเช่นสัตว์โง่เขลาเหล่านี้ที่ถุกต้อนไป – ของคนสู่เหล่าเทพเจ้า.
ข้าเสาะหาความลับนั้น:
ฝังลูกของเจ้าเถิด!”
(11) ดั่งนั้นเองที่พวกเขาได้เข้าไปสู่นครเคียงกัน,
เหล่าผู้ต้อนเลี้ยงสัตและเจ้าชาย, ในยามที่ตะวัน
ส่องประกายทองเชื่องช้าบนสายธาร โสนะ ไกลห่าง, และโยน
เงาทอดยาวลงไปตามถนนและผ่านทะลุประตูเมือง
ที่ทหารของพระราชาเฝ้ารักษาการณ์อยู่. แต่เมื่อเขาเหล่านี้ได้เห็น
องค์ท่านของเรากำลังแบกแกะนั้น, ยามรักษาการณ์ก็ยืนถอยให้,
เหล่าชาวตลาดหลีกเกวียนเลื่อนลากออกหลบทางด้านข้าง,
พ่อค้าในลานตลาดและผู้ขายของหยุดยั้ง
สงครามต่อรองของลิ้นเพื่อที่จับจ้องมองมายังใบหน้าเปี่ยมกรุณาธิคุณนั้น;
พวกช่างตีเหล็ก, ด้วยมือที่ยกฆ้อนค้างชูไว้,
หลงลืมตัวที่จะทุบตีถั่งลงมา;
ช่างทอผ้าทิ้งหูกทอของเขา,
เจ้าอาลักษณ์ยั้งจารคัมภีร์, ผู้แลกเปลี่ยนเงินตราหลงลืม
นับเลขจำนวนเบี้ย;
จากข้าวสารที่ไม่เทียบกัน
วัวขาวของพระศิวะได้กินตามใจชอบ;
น้ำนมเสียเปล่า
เมื่อไหลรินล้นโถโลตะขณะที่คนรีดนมเอาแต่เฝ้ามอง
การย่างผ่านไปขององค์ท่านเคลื่อนอย่างสุดจะนุ่มนวลนอบน้อม,
ด้วยกิริยางดงามเยี่ยงราชนิกูล.
แต่สตรีส่วนใหญ่รวมกันอยู่ที่หน้าประตู
ถามกันวุ่นว่า, “ใครกันที่แบกนำสิ่งบูชายัญนั้น
ช่างงามสง่าและให้สงบสันติยามที่เขาผ่านไปนั้นหรือ?
เขาเป็นคนวรรณะใดหรือ?
มาจากไหนหรือที่ดวงตาแสนหวานของเขานั้น?
เขาจะเป็น สักรา (Sâkra-คำเดิมต้นฉบับ) หรือ ว่า เทวราช (Devaraj-คำเดิมต้นฉบับ) ได้ไหม?
และคนอื่นๆก็ว่า, “เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์
ที่อาศัยอยู่กับเหล่าฤาษีริชิทั้งหลายบนเนินเขานั้น.”
แต่เมื่อพระผู้เป็นเจ้าย่างผ่านไป, ในอากัปสมาธิญาน,
ครุ่นคิด, “อนิจจาเอย! กับบรรดาลูกแกะของตัวเราซึ่งได้
หามีคนเลี้ยงไม่;
เตร็ดเตร่ไปในราตรีด้วยไร้
ผู้นำทางทางพวกเขา;
บ่นร้องพึมพัมตาบอดไปสู่คมมีด
แห่งความตาย,
เช่นเดียวกับสัตว์โง่เขลาเหล่านี้ซึ่งเป็นญาติร่วมโลกของพวกตน.”
(12) แล้วบางคนก็เข้าไปกราบบังคมทูลพระราชาของตน,
“มีผู้มาสู่ที่นี่
เป็นฤาษีศักดิ์สิทธิ์, นำเอาฝูงสัตว์เลี้ยงลงมา
ซึ่งทำให้พระองค์ได้ทรงสั่งให้นำมาเพื่อสักการบูชายัญ.”
พระราชาทรงประทับยืนในโถงแห่งท้องพระโรง,
อีกด้านหนึ่งคือเหล่าพราหมณ์ห่มขาวคลุมในระยะ
พึมพัมท่องบ่นมนตราของพวกตน, หล่อเลี้ยงไฟให้ลุกโชนไว้
ซึ่งคำรามอยู่บนแท่นบูชาตรงกลาง. ที่นั้น
จากแก่นไม้หอมวูบวาบเจิดจ้าด้วยลิ้นแลบรัวของเปลวเพลิง,
ฟูฟ่อและม้วนกลิ้งเมื่อยามที่มันแลบเลียของกำนัล
แห่งกลี (ghee-คำเดิมต้นฉบับ-น้ำมันเนย) และเครื่องเทศและน้ำโสมะ (Soma juice-คำเดิมต้นฉบับ),
ความปีติรื่นรมย์ขององค์อินทร์. รายรอบกองเพลิงนั้น
สายธารแดง, ข้น, เชื่องช้าควันกรุ่นและไหลริน,
ดูดซับไปไว้ด้วยทราย, แต่กระนั้นก็กลิ้งม้วนหยดลง,
โลหิตของเหยื่อที่ร่ำร้องคราง. ที่ซึ่งนอนอยู่,
แพะลายจุดตัวหนึ่ง, เขายาว, หัวของมันถูกดึงรั้งกลับ
ด้วยหญ้าปอมันจา (munja grass-คำเดิมต้นฉบับ);
ที่คออันเหยียดตึงของมันคือมีด
กดโดยนักบวช, ผู้พึมพัมล “ด้วยสิ่งนี้,
เหล่าเทพผู้น่าสพรึงกลัว,
แห่ง ยาจนะ (yajnas-คำเดิมต้นฉบับ)บูชายัญมากมายดั่งเช่งมงกุฏ
จากราชาพิมพิสาร (Bimbasâra-คำเดิมต้นฉบับ) : โปรดรับความปีติของท่านที่ได้เห็น
เลือดที่หลั่งพุ่งนี้, และโปรดยินดีพึงใจในกลิ่นอาย
ของเนื้อสดอิ่มอุดมที่กำลังย่างไหม้ในเปลวไฟหอมหวล;
ขอให้บาปขององค์ราชาได้ถ่ายลงบนแพะบูชานี้,
และขอให้ไฟนี้ได้กลืนกินพวกมันเผาไหม้มัน,
เพราะบัดนี้ข้าจักทิ่มแทงแล้ว.”
(13) แต่องค์พุทธะตรัสอย่างนุ่มนวลว่า,
“ขออย่าได้ให้เขาแทงมีดนั้นเลย, ราชาผู้ยิ่งใหญ่!” และนอกเหนือไปจากนั้นก็ปลดปล่อย
พันธนาการของเหยื่อ, ไม่มีผู้ใดยึดยุดเขาอีก,
ช่างยิ่งใหญ่นัก
ของการปรากฏพระองค์.
และ, ถอยจากไปอย่างขลาดกลัว, เมื่อพระองค์ได้ตรัส
แห่งชีวิต,
ซึ่งทั้งหมดสามารถพรากไปได้แต่หาได้มีใครสามารถมอบให้ได้,
ชีวิต, ที่สรรพสัตว์ทั้งหมดรักและบากบั่นที่จะรักษาไว้,
อัศจรรย์, เป็นที่รักและน่าเพลิดเพลินใจต่อกันและกัน,
แม้กระทั่งที่ดุร้ายที่สุด; ใช่แล้ว,
ลิงทะโมนสำหรับทั้งปวง
ที่ซึ่งความสงสารเป็น, เพราะความสงสารทำให้โลก
อ่อนโยนต่อผู้อ่อนแอและเป็นคุณธรรมของผู้แข็งแรง.
สู่ยังริมฝีปากอึ้งงันแห่งฝูงสัตว์ของเขาที่ได้ยืม
คำวิงวอนสุดเศร้าทั้งหลาย, แสดงให้เห็นซึ่งมนุษย์นั้น,
ผู้ที่สวดอ้อนวอน
ขอความการุณย์ต่อเหล่าเทพเทวา, นั้นไร้ซึ่งความเมตตา,
เป็นเช่นเทพเจ้าสำหรับพวกนั้น;
ถึงแม้ว่าชีวิตทั้งหมด
ได้เชื่อมโยงและเป็นญาติ, และอะไรที่เราประหารได้ให้ซึ่ง
ให้บรรณาการด้วยความนอบน้อมแห่งน้ำนมและขนใย, และตั้ง
รวดเร็วในความสัตย์ซื่อต่อมือที่ฆ่าพวกตน.
อีกทั้งองค์ท่านยังได้ตรัสถึงอะไรที่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
ได้สั่งสอนเอาไว้อย่างแท้จริง,
ว่าผู้ซึ่งได้ถึงซึ่งมรณะนั้นบ้างจมลง
สู่วิหคและสัตว์ป่า, และบ้างนี้ได้ขึ้นยิ่งไปสู่มนุษย์
ในการร่อนเร่ไปอย่างไร้จุดหมายของประกายไฟที่ลุกโชนล้างบาปด้วยเปลว.
เป็นเช่นการบูชายัญของบาปใหม่, ถ้าเช่นนั้นแล้ว
ทางผ่านชตาลิขิตนี้ของดวงวิญญาณยังคงดำรงอยู่.
หรือว่า, องค์ท่านตรัส,
คนเราจักล้างจิตวิญญาณของเขาได้สะอาดฤา
ด้วยเลือด; หรือว่าเทพทรงยินดีนี้,
จักอยู่ดี, ด้วยเลือดฤา;
หรือติดสินบนพวกเขา, เป็นเช่นปีศาจ;
ไม่ฤา, หรือว่าทอดวาง
อยู่เหนือหน้าผากของสัตว์ไร้เดียงสาที่ผูกไว้นั้น
หนักเช่นผมของผู้นั้นของคำตอบนั่นทั้งปวงที่จักต้องให้
เพื่อสิ่งทั้งปวงเสร็จสิ้นอย่างไม่ถูกต้องหรือว่าโดยมิชอบ,
เพียงลำพัง, แต่ละเพื่อตัวเขาเอง, พิจารณาเอาว่านั่น
คือกฏเกณฑ์ลำดับที่กำหนดไว้ของเอกภพ,
ที่จัดแบ่งดีเพื่อดีและเลวเพื่อเลว,
วัดระยะเพื่อการวัด, จนถึงพันธสัญญา, คำพูด, ความคิด
ทั้งหลาย;
เฝ้าดู, ตระหนักรู้, ไม่ปราณี, ไม่เคลื่อนไหว;
อีกทั้งองค์ท่านยังได้ตรัส, พ่นคำอันช่างน่าสังเวช
ด้วยความเป็นราชศักดิ์อันสูงส่งแห่งสัจจริงและถูกต้อง,
เหล่านักบวชได้ดึงรั้งเครื่องแต่งกายของพวกเขาเหนือมือนั้น
ที่แดงชุ่มด้วยเลือดสังหาร, และพระราชาเข้ามาใกล้,
ประทับยืนด้วยฝ่ามือกุมแนบทำความเคารพต่อองค์พุทธะ;
ขณะที่องค์ท่านของเราดำเนินต่อไป,
สอนถึงความยุติธรรมอย่างไร
ที่โลกนี้ได้เป็นถ้าสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งปวงได้เชื่อมโยงถึงกัน
ในความเป็นมิตรสหายและใช้กันทั่วไปแห่งอาหารทั้งหลาย,
ไร้เลือดและพิสุทธิ์; ธัญพืชทองคำ,
ผลไม้สุกสว่างทั้งหลาย,
พุ่มใบไม้อันหวานซึ่งเติบโตขึ้นมาเพื่อทั้งปวง, สายน้ำซีดจืดจาง,
เพียงพอดื่มและเนื้อผล.
ซึ่งเมื่อผู้คนเหล่านี้ได้ยิน,
อำนาจแห่งความอ่อนโยนจนพิชิตพวกเขาเหล่านั้นลงได้,
เหล่านักบวชด้วยตนเองกระจัดกระจายเพลิงบูชาบนแท่น
และเหวี่ยงทิ้งซึ่งเหล็กเพื่อการบูชายัญนั้นไป;
และผ่านไปทั่วทั้งแดนดินในวันถัดมาราชโองการได้ส่งผ่านไป
ประกาศดังไปทั่วโดยผู้แจ้งข่าวทั้งหลาย,
และในข้อความชาญฉลาดนี้ได้จารึก
บนศิลาและเสาหิน:
“โดยเจตจำนงแห่งองค์ราชานี้ : --
แม้จักเคยมีผู้ถูกฆ่าเพื่อการบูชายัญ
และเคยถูกสังหารชีวันเพื่อบริโภค, แต่บัดนี้ต่อไปจักไม่มี
การให้เลือดรินหลั่งจากชีวิตหรือการลิ้มรสในเนื้อหนังนั้น,
จงดูว่าความรู้นี้ได้เติบโตยิ่งขึ้น,
และชีวิตคือหนึ่งเดียวนั้น,
และความกรุณาได้หลั่งมาสู่ยังมหากรุณาธิคุณ.”
ดั่งนั้นเองที่ราชโองการได้เร่งดำเนินไป, จากวันนั้นต่อมา
สันติสุขอันแสนหวานได้แผ่กระจายไปในระหว่างบรรดาสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด,
คนและเหล่าสัตว์ซึ่งได้รับใช้พวกเขา, และเหล่าวิหค,
และตลอดทั้งสองฝั่งแม่น้ำคงคาที่ซึ่งองค์ท่านของเรา
ได้สั่งสอนด้วยคำพูดอันอ่อนโยนและเปี่ยมเมตตาดุจเทพเทวา.
(14) เพราะเช่นมหากรุณานั้นเองคือหัวใจขององค์นายท่าน
สำหรับทั้งปวงผู้หายใจในลมหายใจของขบวนยานแห่งชีวีนี้,
เทียมแอกในเพื่อนสหายหนึ่งเดียวของความรื่นรมย์และปวดร้าว,
ที่ได้ถูกจารึกไว้ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
ว่า, ในยุคสมัยโบราณกาลนั้น – เมื่อองค์พุทธะได้สวม
เครื่องห่มแบบพราหมณ์, อาศัยอยู่บนแผ่นศิลาดำ
นาม มุนดา (Munda-คำเดิมต้นฉบับ), ณ หมู่บ้านแห่ง ฑาลิดด์ (Dâlidd-คำเดิมต้นฉบับ) --
ความแห้งแล้งเหี่ยวเฉาไปทั่วทั้งดินแดน: ข้าวเยาว์แตกกอตายยืนกอ
ก่อนที่จะสามารถสูงซ่อนนกกระทาได้; และป่าโปร่ง
ดวงตะวันดุร้ายที่ดูดกินสระน้ำจนแห้งเหือด; เหล่าหญ้าและไม้พุ่ม
ป่วยไข้หนัก, และสิ่งมีชีวิตทั้งปวงของป่าไพรนี้ได้โบยบิน
กระจัดกระจายไปเพื่อยังชีพอยู่รอด. และในเวลาเช่นนั้น,
ระหว่างกำแพงร้อนของโตรกธาร นุลลาห์ (nullah-คำเดิมต้นฉบับ), เหยียดยาว
บนก้อนหินเปล่าเปลือยนั้น,
องค์ท่านของเราได้สอดส่องทอดพระเนตร,เมื่อท่านได้ผ่าน,
แม่เสือที่กำลังอดอยาก. หิวโหยในช่องท้องของนาง
เหลือบมองด้วยตาลุกโชนเขียววาว;
ลิ้นแห้งผากของนางแลบเลียห้อยแผ่
พ้นเลยจากเขี้ยวที่อ้าหอบหายใจเข้าไปเป็นกระพุ้งกรามแห้งไหม้ย้อย;
ลายสีของนางยับย่นซ่อนเร้นแขวนยานซูบติดอยู่กับซี่โครงของนาง,
และเมื่อระหว่างกองดินคั่นที่ยุบลงเป็นร่อง
เน่าแฉะด้วยหลายฝนก่อน;
และที่นั้นซึ่งผอมโซขุดมุดอยู่
คือลูกเสือ, ครางสะอื้นกับนางแม่, ทึ้งดึงและดูด,
พึมพัมกับหัวนมที่ไร้น้ำนมซึ่งมิออกมาได้จากหัวนมยื่นนั้น,
ขณะที่นางแม่, ที่ผอมแห้งของพวกลูก,
เลียไล้ไปตามประสาแม่เต็มที่
ขณะที่เจ้าฝาแฝดวุ่นวายนั้น,
ยอมจำนนในเนื้อสีข้างซี่โครงของเธอต่อพวกตน,
ด้วยเสียงครวญครางในลำคอ, และรักที่แรงกว่าความต้องการ,
ผ่อนปรนแผ่วลงในแรกของการร้องคร่ำวุ่นวายนั้นที่ซึ่ง
นางได้ทอดวางจมูกปากของนางลงกับพื้นทราย
และคำรามเสียงดุร้ายโศการะทมครวญลั่นออกมา.
ได้เห็นซึ่งสภาพทุกข์เข็ญนั้น, และความไม่มีอะไรในตรงหน้า
สงวนซึ่งมหากรุณาขององค์พุทธะ (Buddh-คำเดิมต้นฉบับ),
องค์ท่านของเราได้ครุ่นคิด, “ไม่มีหนทางอื่นใด
เพื่อช่วยฆาตกรหญิงแห่งป่าไพรนี้สักอย่างหนึ่งได้.
ราวตอนตะวันลับฟ้าพวกเหล่านี้คงจะตาย, เพราะไม่มีเนื้อกิน:
ไม่มีหัวใจใดที่มีชีวิตอยู่จะได้สงสารนาง,
ที่เคยสวาปามเนื้อเลือด, ผอมแห้งเพราะขาดเลือดเนื้อ.
ดูเอาเถิด! ถ้าข้าป้อนอาหารนาง,
ใครจะสูญเสียได้นอกจากข้าเอง,
และความรักได้สูญเสียชนิดนี้ของมันไปได้อย่างไร
แม้กระทั่งแก่ความสุดทนนี้ฤา?” เช่นนั้นที่ตรัส, องค์พุทธะ
อย่างเงียบเบาทรงวางลงซึ่งไม้เท้าและข้าวของ,
ประคำด้ายศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์, ผ้าโพกหัว,
และผ้าห่มคลุม, และเดินเข้ามา
เบื้องหน้าจากด้านหลังของนางเสือน้ำนมแห้งเหือดในพื้นทรายนั่น,
ตรัสบอกว่า, “โฮ! แม่เอย, นี่คือเนื้อสำหรับสูเจ้า!”
ที่ซึ่งสัตว์ร้ายอันหมดท่าพินาศสิ้นร้องคำรามแหบพร่าและสั่นเทา,
กระโจนขึ้นจากลูกเล็กของนาง, เหวี่ยงหล่นลงกับพื้นปฐพี
เหยื่อที่นางปรารถนานั้น, ได้มาหานางเป็นอาหารด้วยตัวเขาเอง
ด้วยกรงเล็บงอคมดั่งกริชของอุ้งเท้านาง
ที่ฉีกทึ้งเนื้อหนังของเขาได้,
และเขี้ยงเหลืองทั้งหมดของนาง
อาบชุ่มด้วยเลือดของเขา:
ลมหายใจไหม้เหม็นของนางแมว
ปนเปื้อนผสมด้วยถอนหายใจสุดท้ายของรักปราศจากความกลัวนั้น.
(15)
ด้วยใหญ่หลวงของพระหทัยขององค์ท่านได้มีมานานล่วงก่อนแล้ว,
ไม่ใช่เพียงแค่บัดนี้, เมื่อด้วยเวทนาอันสูงส่งขององค์ท่าน
เขาได้เสนอที่จะหยุดการบูชายัญอันโหดร้ายต่อเหล่าเทพ.
และมากมายนักที่ราชาพิมพิสารได้สรรเสริญต่อองค์ท่านของเรา --
ได้เรียนรู้ถึงชาติกำเนิดในราชตระกูลและการแสวงหาอันศักดิ์สิทธิ์
–
ที่เตร็ดเตร่อยู่ในมหานครนั้น, ตรัสบ่อยครั้ง,
“สถานะเจ้าชายของสูท่านอาจจะไม่ทนต่อความยึดแน่นเยี่ยงนั้น;
มือของสูท่านถูกสร้างมาเพื่อคฑาราชา,
หาใช่ชามขอบริจาคเหล่านั้น.
จงมาเป็นแขกพักแรมของข้า, ผู้ซึ่งไร้บุตรชายที่จะครองบัลลังก์,
และสั่งสอนราชอาณาจักรของข้าถึงปัญญา, จนกว่าข้าจะมรณา,
จักได้เข้าอาศัยในราชวังแห่งข้าด้วยเจ้าสาวอันงามงดนั้น.”
และเช่นที่เคยได้ตรัสขององค์สิทธัตถะ, แห่งจิตใจที่ตั้งมั่น,
“สิ่งเหล่านั้นข้าได้มี, เช่นราชาสูงศักดิ์ส่วนใหญ่ทั้งปวง,
และทิ้งจากมา,
เสาะหาซึ่งความสัจแท้;
ที่ยังคงซึ่งข้าเสาะหา, และจักทำ;
หาใช่เพื่อได้อยู่ดั่งที่ราชวังของศากยะ (Sâkra's
Palace-คำเดิมต้นฉบับ) ได้เปิดออก
ทวารบานดั่งมุกข์มณีของมันและเทวี (Devîs-คำเดิมต้นฉบับ) เกี้ยวเชิญข้าเข้าไป.
ข้าไปเพื่อที่จะสร้าง ราชอาณาจักร แห่ง ธรรม (Kingdom
of the Law-คำเดิมต้นฉบับ),
เดินทางสู่ กาย (Gaya-คำเดิมต้นฉบับ) และป่าไพรมืดมน,
ที่, ดังที่ข้าคิด, แสงสว่างจักมาสู่ข้า,
เพราะมิได้มีความฉลาดเลยในที่นี้ท่ามกลางหมู่ฤาษีริชิ (Rishis-คำเดิมต้นฉบับ)จักนำ
แสงสว่างนั้มาสู่, หรือหาไม่จากเหล่าคัมภีร์ศาสตร์ (Shasters-คำเดิมต้นฉบับ), หรือหาไม่จากสิ่งยึดติด
ทานทนจนกระทั่งร่างหมดเรี่ยวแรง, โหยหิวไปด้วยวิญญาณ.
กระนั้นก็มีแสงสว่างที่จะเอื้อมไปถึงและความสัจจริงที่จะเอาชนะ;
และอย่างแน่นอน, โอ เพื่อนแท้ เอย, ถ้าข้าได้บรรลุนั้น
ข้าจักกลับคืนมาและเลิกเว้นรักของสูท่าน.”
(16) ณ เวลานั้นเอง
ได้กระทำประทักษิณาสามครั้งต่อองค์ชายท่านโดยราชาพิมพิสาร,
ค้อมคำนับด้วยความเคารพสูงสุดลงยังพระบาทขององค์ท่าน,
และอวยพรเขาอย่างรวดเร็ว.
ดั่งนั้นเองที่องค์ท่านเราได้ผ่านไป
มุ่งสู่ อุรุเวลา (Uravilva-คำเดิมต้นฉบับ), ยังไม่ได้สะดวกสบายนัก,
และซีดเซียวในใบหน้า, และอ่อนแอลงจากหกปีของการเสาะหา.
แต่พวกเขาบนเหนือเนินเขาและในป่าเล็กละเมาะนั้น –
อาฬารดาบส (Alâra-คำเดิมต้นฉบับ), อุทกดาบส (Udra-คำเดิมต้นฉบับ), และปัญจวัคคีย์ –
ได้อาศัยอยู่กับองค์ท่าน, กล่าวว่าทั้งหมดถุกจารึกชัดเจน
ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ศาสตร์ (Shasters-คำเดิมต้นฉบับ), และไม่มีผู้ใดอาจเอาชนะ
ได้สูงไปกว่า ศรุติ (Sruti-คำเดิมต้นฉบับ)
และมากกว่า ศมริติ (Smriti -คำเดิมต้นฉบับ) – ไม่เลย,
มิใช่หัวหน้านักบุญเหล่านั้น! – เพราะว่ามนุษย์มรณาควรจะอย่างไร
จักฉลาดซึ่งกว่า ญาน-ขันธ์ (Jnana-Kând-คำเดิมต้นฉบับ), ซึ่งบอก
ว่า พราหมณ์ (Brahm-คำเดิมต้นฉบับ) ไร้ร่างและไร้การกระทำอย่างไร,
ไร้ตัณหา, สงบ, ไม่ถูกดัดแปลง, ไม่ถูกเปลี่ยนแปลง,
ชีวิตพิสุทธิ์, ความคิดพิสุทธิ์, ปีติพิสุทธิ์?
หรือว่าคนเราควรจะทำเช่นไร
จึ่งดีกว่า กรรม-ขันธ์ (Karmma-Kând-คำเดิมต้นฉบับ), ซึ่งแสดงถึง
ว่าเขาอาจจะปลดเปลื้องตัณหาและการกระทำอย่างไร,
แยกจากพันธะยึดเหนี่ยวของตนเอง, และกระนั้น, ออกจากโคจร,
เป็นพระผู้เป็นเจ้า, และละลายเข้าไปสู่สรวงสวรรค์อันไพศาล,
บินหนีจากปลอมสู่สัจจริง, จากสงครามของความรู้สึก
สู่สันติอันนิรันดร์, ที่ซึ่งความเงียบอาศัยอยู่?
แต่องค์เจ้าชายได้ยินเขาเหล่านั้นแล้ว, ก็ยังมิได้รับการปลอบประโลมใจ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น