หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วันสวรรคตของ สมเด็จพระปิยมหาราช



วันสวรรคตของ สมเด็จพระปิยมหาราช
-: จากบทความของหม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา, “หนังสือ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย หนังสือมหาวิทยาลัย 23 ตุลาคม 2517”

          ข้าพเจ้าประสบอะไรบ้างในคืนวันสวรรคตของสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า รัชกาลที่ 5 วันปริวิโยคของชาวไทยเรา 2-3 ตุลาคม 2543
          ข้าพเจ้าผู้เขียนนี้ เป็นนางพระกำนัล รับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี มีหน้าที่ตามเสด็จเวลาเสด็จทรงเยี่ยมเจ้านายฝ่ายใน บางที่ก็นอกพระราชาฐานบ้าง มีหน้าที่ตั้งเครื่องเสวยตามเวรและเวลา
          พวกเรานางพระกำนัลมีหลายคนด้วยกัน จึงจัดเป็นเวรกัน 2 ผลัด ผลัดหนึ่งมีรุ่นพี่เป็นหัวหน้า 2 คนและรุ่นน้อง 3-4 คน เฝ้าดูแลถวายปรนนิบัติให้ทรงพระสำราญตลอดมา มิได้มีการละเมิดกันเลย ยามร้อนก็ถวายอยู่งานพัด ยามหนาวก็ถวายผ้าคลุมที่อบอุ่น ถือกันว่าหากใครถูกทรงเตือนสิ่งที่บกพร่องก็จะต้องขายหน้านิดหน่อย เพราะไม่เคยทรงกริ้วเลย
          ในวันที่ 22 ตุลาคม 2543 นั้น ผู้เขียนทราบว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร แต่ไม่ทราบพระโรค สมเด็จขึ้นไปเฝ้าเยี่ยมบนพระที่นั่งอัมพรฯ ผู้เขียนไม่ได้ขึ้นไป เพราะไม่ใช่เวร เป็นเวรเจ้าจอมถนอม เวรของผู้เขียนเป็นเวรกลางคืน ต่อมาผู้เขียนทราบว่าต้องทรงประชวรหนัก เพราะสมเด็จไม่ได้เสด็จกลับพระตำหนักเช่นเคย พวกเราก็ได้แต่ซุบซิบกัน สมเด็จมีพระตำหนักอยู่ไม่ไกลพระที่นั่งอัมพรฯนักชั่วคลองกั้นมีสะพานเชื่อม จัดว่าทางฝ่ายพระที่นั่งอัมพรฯเป็นฝ่ายหน้า ทางพระตำหนักสมเด็จเป็นฝ่ายใน ใครจะข้ามเข้ามาไม่ได้นอกจากจะได้รับอนุญาต
          วันนั้น บรรยากาศเงียบเหงามาก บทพระที่นั่งก็สงัด โดยปกติเวลาใกล้เที่ยงจะมีผู้คนเดินขวักไขว่ เพราะพระเจ้าอยู่หัวบรรทมตื่นแล้ว และจะเสวยพระกระยาหารกลางวัน มีเจ้าจอมเฝ้าตามหน้าที่ ตั้งเครื่อง มารับงาน และมีพระเจ้าลูกเธอบางพระองค์ ร่วมเสวยด้วย ดังนั้นคนจึงจอแจ แต่วันนี้ไม่มีเสียงอะไรเลย แม้แต่เสียงพูดกัน ผู้เขียนได้แต่สันนิฐานว่าคงทรงประชวรหนัก
          ขอทวนกล่าวถึงฝ่ายผู้เขียนว่าในระยะนี้ ต้องนอนพักในเวลากลางวันเพื่อรับเวรในเวลากลางคืน เฉพาะในวันนี้หลับไม่ลง เพราะใจเป็นห่วงและทุกคนก็นั่งจับเจ่าเหงาหงอยตาจ้องไปทางชั้น 3 ของพระที่นั่งอัมพรฯซึ่งอยู่ตรงกันข้ามตำหนักสมเด็จและซึ่งได้รับพระราชทานนามว่า “สวนสี่ฤดู” ส่วนพระตำหนักของสมเด็จพระอัยยิกาเจ้านั้นพระราชทานนามว่า “สวนหงษ์” อยู่ห่างออกไปหน่อย

          ระหว่างพักกลางวัน ในวันนั้นผู้เขียนไม่ได้พักผ่อนหรือหลับนอนเลย ได้แต่เดินใจลอย และมิได้พูดคุยจอแจกับเพื่อนๆเช่นเคย จนพลบค่ำจึงจำเป็นต้องบังคับตัวเองให้นอน เพราะอีกไม่ช้า ก็จะต้องไปรับเวร ในที่สุดก็หลับไป มาตกใจตื่นเพราะมีตัวอะไรมากัดที่หัวแม่เท้า จนเลือดไหล พร้อมกันก้ได้ยินเสียงหนูประมาณว่าหลายสิบตัวยกขบวนกันวิ่งไปวิ่งมาเหนือฝ้าเพดานในอาคารที่ผู้เขียนอยู่ นอกจากจะวิ่งไปวิ่งไปมาตลอดอาคารซึ่งกั้นเป็นห้องๆยาวไป และมีราว 12-15 ห้องแล้ว พวกหนูยังส่งเสียงร้องกุกๆๆตลอดเวลา ผู้เขียนเคยได้ยินผู้ใหญ่เล่ากันว่า เมื่อหนูร้องกุกๆจะมีเหตุไม่ดีเกิดขึ้น แต่ผู้เขียนไม่เคยได้ยินจึงมีความกลัวเป็นอย่างยิ่ง ประกอบด้วยพระเจ้าอยู่หัวก็กำลังทรงประชวรอยู่ด้วย ขณะนั้นเวลาประมาณ 23 น. เห็นจะได้ บรรยากาศเงียบสงัด รู้สึกว่ามีผู้เขียนอยู่คนเดียวในที่นั้น ไม่ทราบว่าคนอื่นไปไหนกันหมด คงจะไปนั่งที่สะพานเชื่อมคลองกั้นฝ่ายหน้าฝ่ายในที่กล่าวแล้วข้างต้น ผู้เขียนจึงลังเลใจ จะนอนต่อก็กลัวหนูจะมากัดเข้าอีก จะนั่งรอจนถึงเวลารับเวรก็ทนหนวกหูพวกหนูที่วิ่งกราวๆและส่งเสียงร้องกุกๆไม่ไหว จึงเปิดห้องไปยืนที่ประตู มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นใครตื่นอยู่ เปรียบเหมือนเป็นเมืองหลับ แต่เมื่อมองไปยังพระที่นั่งอัมพรฯซึ่งมองเห็นพระบัญชรชั้น 3 ถนัด ทันใดนั้นผู้เขียนก็เห็นดาวดวงหนึ่งส่งแสงสว่างลอยมาในระดับเดียวกับะพระแท่นบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เขียนคะเนได้เพราะเคยขึ้นเฝ้าเวลาเสวยเนืองๆดาวนี้มีแสงสว่างมากยิ่งกว่าดาวใดๆที่ผู้เขียนเคยเห็นและมีหางยาวพาดไปทางพระที่นั่งอนันตสมาคมคล้ายแสงไฟฉายใหญ่ๆ จึงทราบว่าเป็นดาวหางเฮลี่ที่โจษจันกันในขณะนั้น (Haileys Comet) ผู้เขียนยืนพิงประตูอยู่คนเดียว ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อยู่พักหนึ่ง จึงได้สติว่าจะต้องไปเปลี่ยนเวรเจ้าจอมถนอมในไม่ช้า ซึ่งเธอได้ตามเสด็จสมเด็จขึ้นไปเฝ้าพระอาการประชวรอยู่บนพระที่นั่งอัมพรฯชั้น 3
          ผู้เขียนจึงเตรียมตัวและขึ้นไปยังพระที่นั่งอัมพรฯ ตามทางขึ้นเห็นแต่คนหน้าเศร้า คุณๆพนักงานประจำพระที่นั่งล้วนหม่นหมอง ไม่มีใครทักทายใครพอถึงชั้น 2 มีคนนั่งตามขั้นบันไดมากถึงกับต้องออกปากขอทางเพื่อที่จะสามารถขึ้นไปได้
          ชั้น 3 เงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงคล้ายกรนมาจากห้องพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีผู้คนในบริเวณนั้นน้อยและไม่ได้สังเกต เพราะจะรีบไปเปลี่ยนเวร เมื่อไปถึงเห็นสมเด็จทรงบรรทมกับพื้นอยู่สุดห้องพระบรรทมพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากผู้เขียน ไม่เคยเห็นอาการเจ็บในขนาดหนักซึ่งภาษาสมัยใหม่เรียกว่าเข้าขั้นโคม่าดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงคล้ายเสียงกรนจึงนึกว่า ในหลวงทรงสบายขึ้นแล้ว จึงดีใจเป็นอันมากนึกว่าจะนอนให้สบายเสียที ที่ปลายพระบาทสมเด็จ ขณะเมื่อคลานผ่านพระแท่นในหลวง เพื่อไปยังที่สมเด็จทรงบรรทมอยู่ ได้ชะเง้อดูภาพที่เห็นคือองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอวบอ้วน พระพึกตร์อิ่ม ทรงพระภูษาแดงผืนเดียวและทรงกรนสม่ำเสมออยู่
          ด้วยอารามดีใจที่ในหลวงทรงสบายขึ้นแล้ว และเห็นสมเด็จบรรทมอยู่ และเนื่องด้วยความตึงเครียดได้หย่อนคลายลงประกอบกับความเหนื่อยอ่อนมาทั้งวัน ดังนั้นเมื่อล้มตัวลงหนุนพระที่สมเด็จจึงหลับปุ๋ยไปทันที
          มารู้ตัวตกใจตื่น เมื่อได้ยินเสียงร้องเซ็งแซ่ ซึ่งในขณะนั้นผู้เขียนก้เหลือที่จะเดาว่าเป็นเสียงอะไร เหลือบตาไปดูนอกห้องบรรทม เห็นคนจำนวนมากมายกำลังหมอบซบกับพื้นเป็นกองๆ ไม่ทราบว่าใครเป็นใคร ผู้เขียนตั้งหน้าที่จะหาสมเด็จ โดยเอามือค่อยคลำที่พระที่ (ในห้องบรรทมมืดมากมีแต่ไฟแดงดวงเดียว) แต่ก็คลำเปล่าไม่พบสมเด็จ เมื่อผู้เขียนทราบว่าเสียงเซ็งแซ่ข้างต้นเป็นเสียงร้องไห้ ของคนจำนวนมากพร้อมๆกัน จึงทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สวรรคตแล้ว ผู้เขียนตกใจหายง่วงลุกไปดูที่พระแท่น จึงเห็นสมเด็จและเห็นหมอประจำพระองค์ (ชื่อหมอ “ไรเดอร์”) กำลังถวายยาฉีด สมเด็จขณะนั้นทรงหมดสติ พนักงานได้อัญเชิญลงบนพระเก้าอี้เพื่อนำกลับพระตำหนัก ผู้เขียนก็หอบของที่ขนขึ้นไปรวมทั้งหีบหมากเสวย และบ้วนพระโอฐ(กระโถน) รีบตามพระเก้าอี้ลงไปจากพระที่นั่งอัมพรฯ ระหว่างเดินฝ่าฝูงคนที่หมอบซบกันอยู่ ผู้เขียนยังจำได้ 2 คนคือหนึ่ง เจ้าจอมมารดาชุ่มกับพระเจ้าลูกเธอสองพระองค์ (เจ้าจอมมารดาชุ่มเป็นพี่พระยาบุรุษรัตน์ราชพันลบ-นพ ไกรฤกษ์) สองเจ้าจอมเอิบคนโปรดมากอยู่ข้างพระแท่นเบื้องขวาของพระบรมศพ (เจ้าจอมเอิบเป็นธิดาของเจ้าพระยาสุรพันธ์ – แห่งตระกูลบุนนาค) และคลับคล้ายคลับคลาอีกองค์หนึ่งคือ พระอรรคชายาเธอเสด็จย่าของพระองค์ชายภานุพันธ์ยุคล (หมายเหตุเป็นเจ้าเมืองเพชรฯ) ซบกับเจ้าฟ้ามาลินีนพดาราและเจ้าฟ้านิภานพดลนอกจากนั้น ก็ยังมีอีกมากมายไม่ได้ทันจดจำ เพราะจะรีบตามพระเก้าอี้ให้ทัน แต่ก็ไม่ทัน ไปทันเอาเมื่อพระเก้าอี้ถึงสวนสี่ฤดูแล้ว สมเด็จก็ยังไม่ฟื้น หมอต้องเฝ้าพระอาการอยู่ตลอดรุ่งจนกระทั่งตลอดวันของวันที่ 23 ก็ยังไม่คืนพระสติ

          ต่อมาผู้เขียนได้รับหมายให้ไปเป็นนางร้องไห้ ให้ไปตั้งแต่ 8 โมงเช้าในวันนั้นโดยแต่งขาวทั้งชุด ท่านผู้สำเร็จราชการของสมเด็จ (คุ้มท่าวปั๊ม) ท่านก็จัดไปตามหมาย เมื่อผู้เขียนออกจากพระตำหนัก จะเข้าไปเป็นนางร้องไห้ในวังหลวง สมเด็จก็ยังไม่คืนพระสติ ภายหลังทราบจากเพื่อนๆที่ไม่ได้เข้าไปเป็นนางร้องไห้ว่า พอรู้สึกพระองค์ก็ทรงพระกรรแสงหมดสติไปอีก หลายครั้งหลายคราว
          ผู้เขียนได้ไปนั่งร้องไห้อยู่ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท การร้องไห้นั้นแท้ที่จริงเป็นการร้องเพลงอย่างเศร้าที่สุด เกิดมาผู้เขียนก็เพิ่งเคยได้ยิน ขณะนั้นผู้เขียนอายุในราว 19*-20 และรู้สึกว่าเพลงร้องไห้นี้ช่างเศร้าเสียนี่กระไร ทุกคนน้ำตาไหลจริงและสะอื้นจริงๆ ยิ่งมีเสียงปี่ที่โหยหวลและเสียงกลองชนะ (เปิงพรวด) เลยยิ่งไปกันใหญ่
          นางร้องไห้มีผลัดกันหลายผลัด แต่ละผลัดแบ่งเป็นยามๆ คือยามรุ่ง ยามเที่ยง ยามค่ำ และ สองยาม เมื่อได้เวลาผลัดใครผู้นั้นๆก็ไปรวมกันที่พระที่นั่งดุสิตฯ แต่ละผลัดของนางร้องไห้จะมีทั้งหมด 14 คน แบ่งออกเป็น 2 พวกคือต้นเสียง 6 คน นอกนั้นเป็นลุกคู่ พวกต้นเสียงนั้นโดยมากเป็นคนประจำของวงดนตรีของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ส่วนลูกคู่ 8 คนก็จัดเอาพวกเจ้าจอมที่ยังสาวอยู่ไปเป็นรวมทั้งตัวผู้เขียนด้วย การจะตั้งต้นร้องไห้นั้นต้องคอยฟังเสียงประโคมก่อน แล้วจึงจะร้องบทเพลงพิเศษโดยร้องกันไปรับกันไปจนเสียงประโคมหยุด เป็นอันหมดพิธีของผลัดนั้น แต่หากผลัดใดประจวบกับวันทำบุญใหญ่ทุกๆ 7 วัน นางร้องไห้จะต้อวร้องแทรกระหว่างยามค่ำกับสองยามอีกวาระหนึ่ง วันทำบุญใหญ่จะมีเจ้านาย ขุนนาง และชาวต่างประเทศมาร่วมเป็นจำนวนมาก นางร้องไห้ต้องปฏิบัติหน้าที่ดีเป็นพิเศษและต้องทำงานหนักกว่าวันธรรมดาหน่อย ปฏิบัติเช่นนี้ตลอดไปเป็นเวลาร่วมปีจนถวายพระเพลิง.

บทนางร้องไห้
1       ต้นเสียงร้องพร้อมกัน   “โอ้พระร่มโพธิ์ทอง     พระพุทธเจ้าข้าเอย
                                      “พระทูลกระหม่อมแก้ว   พระพุทธเจ้าข้าเอย”
          ลูกคู่รับ                    “พระพุทธเจ้าข้าเอย   พระทูลกระหม่อมแก้ว”
                                      “พระพุทธเจ้าข้าเอย”
2       ต้นเสียง                   “โอ้พระร่มโพธิ์ทอง     พระเสด็จสู่สวรรคตชั้นใด”
                                      “ละข้าพุทธบาทยุคลไว้ พระพุทธเจ้าข้าเอย”
                                      “พระทูลกระหม่อมแก้ว         พระพุทธเจ้าข้าเอย”
          ลูกคู่                       “พระพุทธเจ้าข้าเอย   พระทูลกระหม่อมแก้ว”
                                      “พระพุทธเจ้าข้าเอย”
3       ต้นเสียง                   “โอ้พระร่มโพธิ์ทอง     พระเสด็จสู่สารทิศใด”
                                      “ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จไป            พระพุทธเจ้าข้าเอย”
                                      “พระทูลกระหม่อมแก้ว   พระพุทธเจ้าข้าเอย”
          ลูกคู่                       “พระพุทธเจ้าข้าเอย   ระทูลกระหม่อมแก้ว”
                                      “พระพุทธเจ้าข้าเอย”

          - ขอขอบพระคุณท่าน  หม่อมศรีพรหมา   กฤดากร ณ อยุธยา ไว้ ณ ที่นี้.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น