หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สิ่งที่เรายังสนใจกันน้อยไป ของ ท่านพุทธทาสภิกขุ



สืบสานปณิธานพุทธทาส
100 ปี ชาตกาล
2449-2549

ปาฐกถาเรื่อง
สิ่งที่เรายังสนใจน้อยเกินไป
ฉบับ 3 ภาษา
ไทย – อังกฤษ – จีน

Things which we still
Pay too little interest to.
By Buddhadasa Bhikkhu
In three language :
Thai
English
Chinese





สุขภาพใจ



คำชี้แจง

          หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นด้วยกุศลจิต และเจตนาคืนกำไรใฟ้แก่เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดังเช่นที่องค์บรรยายคอยย้ำให้พวกเรารู้สึกและสำนึกไว้เช่นนี้อยู่เสมอๆ
          ปาฐกถา เรื่องสิ่งที่เรายีงสนใจกันน้อยไปนี้ เป็นการบรรยายไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2509 ก็จริง แต่เมื่อได้อ่านแล้ว จะรู้สึกเหมือนกับว่า ท่านเพิ่งบรรยายให้ฟังในวันนี้อยู่หยกๆ เพราะว่าพฤติของการปฏิบัติที่เกี่ยวกับศาสนา ก็ยังคงเป็นไปในรูปของวรรณคดีและปรัชญา จึงเป็นไปไม่ได้ที่ความสงบเย็น หรือสันติภาพถาวรของโลกจะเกิดขึ้นได้ โดยวิธีนี้.  ส่วน”ธรรม” ส่วนที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ที่พระองค์ได้ทรงตรัสสรุปลงเป็นประโยคสั้นๆ เพียงประโยคเดียวว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย – ธรรมทั้งปวงอันใครๆไม่ควรยึดมั่นนั้น ต้องอยู่ในรูปของการปฏิบัติทางกาย วาจา ใจ อยู่แล้วจริงๆ  เช่นในครั้งพุทธกาล มิใช่เพียงแต่อยู่ในตำรับตำราในรูปของปรัชญา หรือวรรณคดี หรือจิตวิทยา ดังที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ ก็จะไม่ต้องเสียเวลา เสียเงิน ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติดหรือถกเถียงกันไม่เป็นอันยุติได้ว่าจะปิด – เปิดสถานบันเทิงในเวลาเท่าไรดี หรือควรจะเปิดบ่อนการพนันให้ถูกกฎหมายดีหรือไม่ เป็นต้น.
          เผอิญคำปาฐกถานี้ เป็นที่ประทับใจของคุณวิโรจน์ อำไพ จึงได้ทำการแปลเป็นภาษาจีนไว้ แล้วคราวนี้พระ ดร.เจมส์ รตนนนฺโท ได้กรุณาแปลเป็นภาษาอังกฤษให้อีก คุณบัญชา เฉลิมชัยกิจ เห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ทำการเผยแผ่ออกไปเป็น 3 ภาษาในเล่มเดกียวกัน ได้ขอให้ข้าพเจ้าจัดทำต้นฉบับภาษาไทยที่เคยพิมพ์ลงในหนังสือ”พุทธสาสนา”มาแล้ว สมัยที่องค์บรรยายท่านยังคงมีชีวิตอยู่ โดยจัดวรรคตอนให้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้นใหม่ดังที่ปรากฏอยู่ในมือท่านนี้.
          ฉะนั้น ถ้าท่านผู้อ่านอ่านแล้วเข้าใจ และเห็นด้วยกับองค์บรรยายตามเหตุผลดังที่ท่านได้แสดงมาโดยลำดับ แล้วมองเห็นความจริงตามที่เป็นจริงในเรื่องการเกิดใหม่(REBIRTH) ซึ่งหมายถึงการเกิดแห่งความรู้สึกที่เป็นอีโกอิสมฺ (EGOISM) มิใช่เกิดจากท้องแม่ดังที่เข้าใจกันอยู่ทั่วไป, และรู้จักเรื่องกรรมดำ – กรรมขาวทั้งปวง, สุดท้ายก็เรื่องความไม่มีตัวตน – อนัตตา นี่แหละ ที่ถ้าเขาใจและเป็นไปได้ทีเดียวหมดทั้งโลก การแบ่งเป็น พุทธ คริสต์ อิสลาม จะไม่มีเหลืออยู่ในโลกเลย !!       และใครก็ตาม ในโลกนี้ ที่ถือหลักแห่งกดารมีชีวิตเป็นอยู่ด้วยการควบคุม และทำลายอีโกอิสมฺแล้ว ท่านบอกว่าเขาเหล่านั้น เป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงอยู่แล้วทั้งหมดทั้งสิ้น จนไม่จำเป็นจะต้องพูดว่าใครเป็นเถรวาท ใครเป็นมหายาน ซึ่งเป็นเรื่องของทะเบียนหรือบัญชี เหมือนบัญชีปศุสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้เป็นคอกๆมากกว่าอย่างอื่น.

          โดยส่วนตัวท่านผู้อ่านแต่ละท่าน เมื่อเข้าใจจนเห็นจริงตามที่เป็นจริงในเรื่องการเกิดใหม่ เรื่องกรรม และเรื่องอนัตตา แล้วปฏิบัติ”ความไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง”อยู่จริงๆแล้ว ท่านจะเชื่อหรือไม่ว่าท่านได้ก้าวเข้าสู่ประตูนืพพานที่เป็นยอดปรารถนาของทุกๆคนแล้ว โดยไม่ต้องเสียเวลายกมือไหว้อ้อนวอนขอให้บรรลุธรรม ทุกครั้งเมื่อเวลาทำบุญ. ไม่มีบุญใดๆยิ่งใหญ่แค่ไหน จะเป็นปัจจัยให้ได้บรรลุธรรมได้เท่าการรู้ธรรมตามที่กล่าวมาแล้ว ; ขอท่านผู้อ่านจงมีฉันทะ – ความพอใจ ที่จะดำเนินตามรอยบาทพระพุทธองค์ต่อไปอย่างเอาใจใส่ มุ่งมั่นอดทน, แล้วเมื่อใดจิตใจมันว่างจากตัวตนอย่างถึงที่สุดได้จริง ท่านก็จะรู้ได้ด้วยตนเองว่าอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว กิจอื่นที่ต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีกแล้ว !
          และขอยกประโยคสุดท้ายขององค์ปาฐกที่กล่าวว่า “ขอให้สรรพสัตว์จงได้รับประโยชน์จากการเสียสละ ของพวกเราอย่างสูงสุดเถิด” มาแสดงไว้ ณ ที่นี้อีกครั้ง

“เช่นนั้นเอง”
9 ม.ค.47












ปาฐกถาเรื่อง
สิ่งที่เรายังสนใจกันน้อยไป

ของ ท่านพุทธทาสภิกขุ
แสดงท่ามกลางที่ประชุมใหญ่ พุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2509
ณ พุทธสถาน เชียงใหม่













img133.jpg






สิ่งที่เรายังสนใจกันน้อยไป


เพื่อนพุทธบริษัททั้งหลาย ทั้งที่เป็นสมาชิกและมิได้เป็นสมาชิก พสล. ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์,
          ข้าพเจ้าได้รับคำขอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ จากท่านประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ให้มากล่าวอะไรสักอย่างหนึ่ง กะท่านทั้งหลายในสถานที่นี้ ในวันนี้.  ข้าพเจ้าขอพูดกะท่านทั้งหลาย ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์แห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย, และเป็นเพื่อนที่จะร่วมมือแก้ไข หรือกำจัดความทุกข์ของมนุษย์เป็นส่วนรวมให้หมดไป.  ท่านทั้งหลายต้องให้อภัยและโอกาส เพื่อให้ข้าพเจ้าพูดอะไรได้ตรงๆตามความรู้สึกอันแท้จริง เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและตรงตามสปิริตของพุทธบริษัทเรา คือพูดจริง – ทำจริง – และรักเพื่อนมนุษย์กันจริง.
          เรื่องที่ข้าพเจ้าจะพูด ในเวลาอันจำกัดนี้ คือสิ่งทมี่ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นมาเป็นเวลากว่า 30 ปี และรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่พวกเรายังสนใจกันน้อยไปหน่อย ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด สำหรับกิจการอันใหญ่หลวงของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็ในระยะที่กิจการของพุทธบริษัทเราทั่วทั้งโลก ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้. สิ่งที่กล่าวนั้นมีอยู่ 2 – 3 เรื่องด้วยกัน แต่มันสัมพันธ์กันอย่างที่จะแยกกันไม่ออก ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องถือโอกาสกล่าวถึงมัน อย่างสัมพันธ์กันเป็นลำดับไป, และต้องขออภัย ถ้าหากมันได้ทำให้ท่านต้องฟังด้วยความอดกลั้นอดทน หรือถึงกับมีความกระเทือนใจบ้าง. ข้าพเจ้าจะได้พูดเป็นเรื่องๆไปดังนี้ :-
          เรื่องที่หนึ่ง.   บรรดาพุทธสมาคมต่างๆในโลกพุทธบริษัทเรา ที่ทำการเผยแพร่พุทธธรรมอยู่ในเวลานี้ มักจะสนใจแต่ในเรื่องวิธีดำเนินงานและประสานงานกันมากเกินไปกว่าที่จะสนใจ ในตัวธรรมที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาในขั้นสูงสุดและแท้จริง พร้อมทั้งการปฏิบัติธรรมในขั้นนั้นให้เหมาะสมกัน, และมีอยู่ไม่น้อยหนักไปในเรื่องพิธีรีตอง มากจนน่ารำคาญ เมื่อเป็นเช่นนั้นนานเข้า ผลที่เกิดขึ้นก็คือ :-
          1. ทำให้เราและคนในเครือของเขา รู้จักธรรมตัวจริง ที่จะต้องรู้ด้วยจิตใจโดยตรงนั้น น้อยไป, และเพราะรู้จักธรรมตัวจริงน้อยไป ก็ทำให้เกิดผล คือ
          (ก) เราขาดผู้ที่มีจิตใจในการปฏิบัติงานเพื่อเห็นแก่ธรรมแท้,
          (ข) ทำให้ขอบวงแห่งความหมายของความเป็น พสล. เป็นต้น แคบเข้ามา, ไม่ตรง ไม่เต็มตาที่ธรรมชาติเปิดไว้ให้และต้องการ, ซึ่งจะได้กล่าวในข้อถัดไป โดยละเอียด.

          2. ทำให้ชาวพุทธพวกที่หนักในธรรมและธรรมปฏิบัติให้ความสนใจและความนับถือในกิจการของเราน้อยไป หรืออาจจะถึงกับไม่ไว้ใจก็มี.  ข้อนี้ทำให้เกิดผลคือ :-
          (ก) เราจะดำเนินงานและขยายงานให้เต็มตาตามวัตถุประสงค์จริงๆได้ยาก เหมือนกลิ้งครกขึ้นภูเขา, แต่แล้วก็ต้องทนเอา คือทำไปอย่างพอให้ผ่านๆไป พอไม่ให้สมาคมล้ม,
          (ข) ครั้นเป็นเช่นนี้นานวันเข้า สักวันหนึ่งในกาลข้างหน้า เราอาจจะถูกเขากล่าวหาถึงขนาดว่า สังคมพุทธบรัทพวกนี้ทำอะไรกันแต่พอเป็นพิธี เพียงเพื่อความสนุกสนานของตนเอง ดูๆคงจะเป็นการเที่ยวทัศนาจร หรือเที่ยวปิคนิคระหว่างประเทศไปเสียแล้วกระมัง, และ
          (ค) ในที่สุด พวกสมาชิกและกรรมการทั้งหลายก็จะเสียนิสัย กลายเป็นผู้ที่ทำงานเพียงเพื่อความสนุกสนาน ด้วยค่าใช้จ่ายของผู้อื่นกันเสียเป็นส่วนมาก ในที่สุดองค์การหรือสมาคมของเรา ก็ต้องล้มเลิกไปโดยแน่นอน.  ดังนั้นเราต้องนึกถึงเรื่องนี้กันให้มากเป็นพิเศษ แล้วรีบทำการป้องกัน, แก้ไข, และปรับปรุงให้สุดความสามารถเสียแต่ต้นมือ.

          เรื่องที่สอง.   คือสิ่งที่เราต้องแก้ไขปรับปรุงให้ทันท่วงทีก่อนแต่จะสายเกินไป ดังที่กล่าวแล้วนั้น พอจะแยกออกได้ดังต่อไปนี้ :-
          1. จัดให้เกิดการสนใจ การศึกษาค้นคว้า การปรึกษาหารือทำความเข้าใจกันเป็นพิเศษ ในสิ่งที่เรียกว่า”หัวใจของพุทธศาสนา”อันเป็นการปฏิบัติ เพื่อกำจัดกิเลสของแต่ละคนโดยตรง แทนที่จะเป็นเพียงเรื่องศีลธรรมเพื่อประโยชน์ทางสังคมและการเมือง, หรือเป็นเพียงวรรณคดีอันไพเราะ หรือเป็นปรัชญาที่น่าสนใจของโลก เท่านั้น.  ความทุกข์ของมนุษย์ในโลก เกิดมาจากกิเลสของเขาโดยตรง มิได้เกิดมาจากการที่เขาไม่มีความรู้เรื่องศีลธรรมของสังคม หรือไม่รู้ว่าวรรณคดีอันไพเราะ หรือไม่มีความรู้ทางปรัชญาอันลึกซึ้งเหล่านั้น.  ความรู้เหล่านั้นเขามีกันมากมาย ก็ยังกำจัดกิเลสไม่ได้ ; เขาจะต้องเข้าถึง”หัวใจของพุทธศาสนา”ชนิดที่จะช่วยให้เขาสามารถควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเขา เพื่อไม่ให้เกิดกิเลสขึ้นมาได้ให้สุดความสามารถของเขา.  เมื่อเขาทำได้เช่นนั้น ศีลธรรมทางสังคมของเขาก็จะดีเอง และมนุษยธรรมก็จะแผ่ครอบคลุมไปทั่วโลกเอง.
          ความสงบเย็นหรือสันติภาพอันถาวรของโลกนั้น เป็นสิ่งที่มีขึ้นไม่ได้ด้วยเหตุเพียงการรู้วรรณคดีและปรัชญาของพุทธศาสนา ซึ่งกำลังขยายตัวออกไปอย่างยืดยาดและฟั่นเฝือยิ่งขึ้นทุกทีตามปริมาณแห่งการศึกษาแผนใหม่ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา, หรือตามที่มีการแยกนิกายออกไปมากมายในวงพุทธบริษัทเอง ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องปัยหาของปรัชญาไปเสียทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมในขั้นที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาเสียเลย. กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนเหล่านั้นได้เอาตัวธรรมแท้ ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้นไปแปรรูปทำเป็นวรรณคดีและปรัชญาเสียหมด จนไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติทางจิตใจโดยตรงเสียเลย จึงได้มีแต่เรื่องพูด พูดพูดกันไปจนเกือบไม่มีเรื่องกระทำ.
          หัวใจของพุทธศาสนานั้น อาจจะสรุปลงได้ในคำพูดเพียงคำเดียวว่า “ธรรม” : คำว่า “ธรรม” ที่มีความหมายพิเศษเช่นนี้จะได้อธิบายกันโดนละเอียดในตอนที่สาม.  สรุปความเฉพาะในข้อนี้คือ พวกเราต้องรีบประชุมกันแก้ไขปรับปรุงกิจการ ให้หนักไปในทางปฏิบัติตัวธรรมแท้ ในขั้นที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา, แล้วปัญหาปลีกย่อยทางศีลธรรมและอื่นๆก็จะถูกสะสางไปในตัวเอง โดยอัตโนมัติ.

          2. การขยายขอบเขตแห่งกิจการของพุทธสมาคมต่างๆ เช่น พสท. เป็นต้น ออกไปให้เต็มตามความหมายของคำว่า “ธรรม” ในขั้นที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.  นั่นคือการถอนความรู้สึกว่าเรา ว่าเขาออกไปเสีย เพื่อให้สมกับความหมายของคำว่า เวิลดฺ เฟ็ลลฺชิป เป็นต้นนั่นเอง, และสมกับความหมายของคำว่า “ธรรม” ซึ่งเล็งถึงธรรมชาติแท้อันมิอาจแบ่งแยกเป็นของชาติ(เนชั่น) นั้น ชาตินี้ได้เลย, แม้จนกระทั่งไม่อาจแบ่งแยกเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม เป็นต้น ไปได้ด้วย.  ความหมายของคำว่า “ธรรม” ชนิดนี้ ข้าพเจ้ายกไปรวมอธิบายในตอนที่สามคราวเดียวกันหมดเพื่อประหยัดเวลา.
          3. การรีบแก้ไขข้อผิดพลาด ที่กำลังมีอยู่ในวงการศึกษา ทางพุทธศาสนาของโลก.  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีข้อผิดพลาดอยู่ในหนังสือที่แต่งขึ้นโดยชาวต่างประเทศ ซึ่งมีการอธิบายเรื่องกรรม และเรื่องการเกิดใหม่ (รีเบอรฺธ) ไว้อย่างผิดๆ จนไม่เป็นพุทธศาสนาเสียเลย, และแม้ในวงการพุทธเราเอง ก็อธิบายพระพุทธภาษิตบางคำ ผิดไปจากพุทธประสงค์หรือผิดไปจากข้อเท็จจริง จนทำให้หลักเกณฑ์อันนั้น ใช้ปฏิบัติไม่ได้ (อิมแร็คติกอล) ไปเสียก็มี : ตัวอย่างเช่น คำว่า “ชาติ”(BIRTH)นั้น ที่มีความหมายถึงการคลอดจากท้องแม่ ก็มี, ที่มีความหมายถึงการเกิดขึ้นของความรู้สึก(คอนเซ็ปชั่น) ว่า”ตัวฉัน” หรือ “ตัวกู” คราวหนึ่งๆซึ่งหมายถึงอีโกอิสมฺ ที่กำลังกลับกันเสีย แล้วเราก็ไม่อาจจะเข้าใจพระพุทธโอวาทในตอนนั้นได้, หรืออาจจะเข้าใจเป็นอย่างอื่น จนไม่อาจจะปฏิบัติได้ตรงตามพุทธประสงค์.
          คำว่า”การเกิดใหม่”ในทางพุทธศาสนานั้น ต้องไม่ถูกอธิบายไปในรูปของการอวตาร หรือ อินคารฺเนชั่น อย่างแบบฮินดูหรืออุปนิษัท ดังที่ทำกันอยู่โดยมากในหนังสือทางพุทธศาสนาที่เขียนโดยนักศึกษาฝรั่งแทบทั้งหมด ; และคำว่า”เกิดใหม่”ในหลักธรรมของพุทธบริษัทนั้น จะต้องใช้กับได้กับการเกิดขึ้นแห่งคอนเซ็ปชั่นว่า “ตัวฉัน” ดังที่ได้กล่าวมาแล้วด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการเกิดใหม่ ชนิดที่ตายเข้าโลงแล้วจึงไปเกิดเป็นไหนๆ.  คำว่า”ชาติ”หรือความเกิด ในหลักธรรมเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท นั้น หมายถึง การเกิดแห่งความรู้สึกที่เป็นอีโกอิสมฺ ดังที่กล่าวแล้ว หาใช่เป็นการเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ดังที่เข้าใจกันอยู่ทั่วๆไปไม่ เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแก่มนุษย์คนหนึ่งๆได้ วันละหลายๆรอบ และเป็นตัวความทุกข์ชนิดกที่ตรัสไว้ในเรื่องอริยสัจสี่ นั่นเอง.
          เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ มิใช่เป็นเพียงเรื่องทางปรัชญาสำหรับถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนที่กำลังกระทำกันอยู่ทั่วๆไป, โดยที่แท้แล้ว เป็นเรื่องอริยสัจชนิดที่ต้องปฏิบัติกันเป็นประจำวันคือการควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย เมื่อได้รับอารมณ์ อย่าให้มีการปรุงแต่งทางจิต : คือตัวปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ขึ้นมา ด้วยอำนาจของอวิชชาจนเกิดความทุกข์ขึ้น.
          สำหรับเรื่อง”กรรม”ในทางพุทธศาสนานั้น ต้องพูดกันถึงเรื่อง กรรมที่ไม่ดำไม่ขาว  และเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมดำกรรมขาวจึงจะเป็นเรื่องกรรมในพุทธศาสนา.  การพูดกันแต่เพียงเรื่องกรรมดำกรรมขาว ทคือกรรมดีกรรมชั่ว และผู้ทำจะต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นเสมอไป นั้นยังไม่ใช่เรื่องกรรมในพุทธศาสนา เพราะคำสอนเช่นนั้นมีอยู่ก่อนพุทธศาสนา และมีศาสนาอื่นๆทั่วไป.  พระพุทธองค์ได้ตัรสเรื่องกรรมที่แปลกออกไป คือเรื่องกรรมที่ไม่ดำไม่ขาว และเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมดำกรรมขาวทั้งปวง  ดังที่ปรากฏอยู่ในบาลีอังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต หมวดที่ชื่อว่า กัมมวัคค์ : กล่าวโดยที่แท้แล้ว ทำให้ลุถึงนิพพาน อันเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมทั้งปวง.  เรื่องกรรมชนิดนี้เท่านั้นที่เป็นหลักของพุทธศาสนาที่ไม่ซ้ำใคร ที่จะกล่าวได้เต็มปากว่า เป็นเรื่องกรรมในพุทธศาสนาโดยตรง.  ชาวต่างประเทศผู้แต่งหนังสือเหล่าโน้น มิได้กล่าวถึงกรรมชนิดนี้เลย, กล่าวถึงแต่กรรมดำกรรมขาว แล้วยังแทรกอรรถาธิบายส่วงนตนเสียยืดยาวจนจะเข้ากันไม่ได้กับพุทธศาสนาไปเสียอีก ; การที่ยังมีใครในโลกเขียนหนังสือพุทธศาสนาขึ้นมาอย่างผิดๆเช่นนี้ ก็ควรจะตกเป็นหน้าที่ของสมาคมชาวพุทธ เช่น พสล. เป็นต้น จะต้องจัดการการทำสังคายนา หรือสกรูติไนสฺ ทำความเข้าใจกันเสียใหม่ให้ถูกต้อง, มิฉะนั้นแล้วการปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนาที่ถูกต้องก็มีขึ้นในโลกไม่ได้.
          แต่ลู่ทางแห่งโชคดียังมีอยู่ก็คือ ถ้าเราสนใจในตัว “ธรรม” ที่เป็นหัวใจแท้ของพุทธศาสนาคือเรื่อง “ไม่มีตัวตน” (อนัตตา = SELFLESS) กันจริงๆแล้ว ก็จะเกิดการค้นหาเรื่องกรรม หรือการกระทำชนิดที่เพิกถอนกรรมทั้งปวงขึ้นมาเอง และในที่สุดก็จะกลายเป็นเรื่องเดียวกันต่อไป.  เรื่องความไม่มีตัวตน(อนัตตา)นี่แหละ ทำให้ไม่มีความรู้สึกว่า”ตัวฉัน” หรือ “ตัวกู” และจะนำไปสู่ความเป็น เวิลดฺ เฟ็ลโลวฺชิปที่แท้จริงและเป็นทีเดียวหมดทั้งโลกได้ในที่สุด ถึงกับไม่มีการแบ่งเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม เหลืออยู่ในโลกเลย !
          การปฏิบัติเพื่อทำลายความรู้สึกว่า “ตัวตน” เสียนั่นแหละ คือตัวธรรมแท้ของธรรมชาติ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบและนำมาสอน.  แล้วพวกเราเอามาปิดป้ายให้ชื่อว่า”พระพุทธศาสนาของเรา”จนเกิดการแบ่งแยกกันเป็นเราเป็นเขา กระทั่งทำให้พวกเราซึ่งกำลังเรียกตัวเองว่า พุทธบริษัท ก็พลอยกลายเป็นผู้ที่ไม่มี “ธรรม” แท้ ซึ่งเป็นธรรมชาติอันลึกซึ้ง ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบนั้นไปด้วย, คงมีแต่พุทธศาสนาเนื้องอกใหม่ๆ ซึ่งมีการแบ่งแยกเราเขากันมากขึ้นทุกที ซึ่งย่อมหมายถึงการยกตนเองขึ้นเหนือผู้อื่นมากขึ้นทุกทีด้วยเหมือนกัน.  ดังนั้น เราจงมาพูดกันถึงเรื่องที่สำคัญที่สุด คือเรื่อง”ธรรม”ที่เป็นขั้นหัวใจของพุทธศาสนากันให้ชัดเจนต่อไปจะดีกว่า.

        เรื่องที่สาม.   เรื่องที่สาม คือเรื่องสิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” ตามความหมายอันสมบูรณ์หรือสิ้นเชิง ; ข้าพเจ้าจะได้แยกความหมายของคำว่าธรรม ออกเป็นชนิดๆไป  แล้วจึงค่อยชี้ให้เห็นว่า ความหมายชนิดไหนเป็นหลักธรรมที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.

          1. คำว่า”ธรรม”ในความหมายทั่วไป และกว้างที่สุด.  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราจะต้องทำความเข้าใจกันในขั้นแรก และจะต้องทำความเข้าใจกันในขั้นแรก และจะต้องพูดถึงเรื่องนี้ มากสักหน่อย.
          คำว่า “ธรรม” ในภาษาบาลีก็ตาม ในภาษาสันสกฤตก็ตาม เป็นคำที่มีความหมายกว้างที่สุด คือหมายถึงสิ่งทุกสิ่ง ทั้งที่มนุษย์รู้จักและยังไม่รู้จัก : คำคำนี้เป็นคำพูดคำเดียวที่ประหลาดที่สุดในโลก จนไม่อาจจะแปลไปเป็นภาษาอื่นได้ นอกจากภาษาที่ให้กำเนิดแก่คำคำนี้เอง.  เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและเป็นการเข้าใจได้ง่าย แก่ทุกท่านในที่นี้โดยเฉพาะ ข้าพเจ้าขอเสนอบทจำกัดความ(เดฟฟินิชชั่น)บทหนึ่งของคำคำนี้ ตามที่ข้าพเจ้าเห็นว่าถูกต้องที่สุดตามหลักแห่งภาษาทั้งสองนั้น.  คำจำกัดความนั้น มีสิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” นั้นคือ :
          (1) ตัวธรรมชาติ (NATURE)
          (2) ตัวกฏของธรรมชาติ (LAW OF NATURE),
          (3) ตัวหน้าที่ (DUTY) ที่มนุษย์จะต้องกระทำให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ, และ
          (4) ตัวผล(RESULT)ต่างๆ อันเกิดขึ้นจากการกระทำหน้าที่นั้นๆนั่นเอง.
          สิ่งทั้ง 4 ประเภทนี้สรุปลงได้ในคำพูดเพียงพยางค์เดียวว่า “ธรรม” อันเป็นคำพูดที่ประหลาดที่สุดในโลกดังที่กล่าวแล้ว.  ผู้ที่รู้ภาษาบาลี ย่อมยืนยันความจริงข้อนี้ได้ดี, ขอให้ไปศึกดษาเอาอย่างละเอียดจากผู้รู้ภาษาบาลีเถิด.

          ภาษาทางพุทธศาสนา เรียกตัวธรรมชาติว่า สภาวธรรม, เรียกกฏของธรรมชาติว่า สัจจ-ธรรม, เรียกหน้าที่ ที่มนุษย์ต้องปฏิบัติตามกฏธรรมชาติว่า ปฏิปัตติธรรม, และเรียกผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นๆว่า ปฏิเวธธรรม หรือเรียกโดยทั่วไปอีกอย่างหนึ่งว่าวิปากธรรม.  ดังนั้นเป็นอันว่าสิ่งทั้งสี่นี้ มีคำอธิบายอย่างสมบูรณ์ อยู่แล้วในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่รวมกันแล้วก็ยืดยาว เท่ากับปริมาณของพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถาทั้งหมดรวมกัน, แต่อย่างไรก็ตาม ท่านทั้งหลายจะเห็นได้เองแล้วว่า เรื่องทั้งสี่เรื่องนั้น ล้วนแต่เกี่ยวกับธรรมชาติ(เนเจ้อร)ทั้งนั้น ไม่แง่ใดก็แง่หนึ่ง ดังนั้นจึงถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องตายตัวเด็ดขาด อยู่ในตัวธรรมชาติ และไม่อาจจะแยกออกจากสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติไปได้เลย.  ธรรมชาติที่แท้ชนิดนี้ ไม่มีการแยกเป็นเขา เป็นเรา, เป็นยุโรปหรือเอเซีย, เป็นพุทธ เป็นคริสต์ หรืออิสลาม เป็นต้น ได้, แต่มนุษย์ได้ดื้อดึงต่อธรรมชาติอย่างหลับหูหลับตา โดยการทำการสมมติแยกมันออกเป็นเรา – เป็นเขา จนได้  ด้วยการทำไปตามความรู้สึกที่ฝืนกฏธรรมชาติ หรือผิดกฏธรรมชาติ ซึ่งกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผิดธรรม  เพราะหลักธรรมชาติสี่ประการดังกล่าวแล้วนั้น รวมอยู่ในคำว่า “ธรรม” เพียงคำเดียว ! เมื่อผิดกฏธรรมชาติหรือผิดธรรมแล้ว ก็ต้องได้รับผลตามกฏของธรรมชาติในทางที่เป็นทุกข์ทรมาน และเกิดปัยหายุ่งยากต่างๆขึ้นมา จนมนุษย์ไม่สามารถสะสางได้ตามลำพัง โดยปราศจากความรู้อันเป็นหัวใจธรรม หรือของธรรมชาตินั้นๆซึ่งเรียกในที่นี้ว่า “หัวใจของพุทธศาสนา”
          เมื่อสิ่งที่เรียกว่าธรรม มีอยู่ถึง 4 ประเภท ดังที่กล่าวมาแล้วหรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ดังนี้แล้ว เราจะระบุธรรมส่วนไหนของประเภทไหน ว่าเป็นธรรมชนิดที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาโดยเฉพาะเล่า ?
          2. “ธรรม”ส่วนที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.  พระพุทธภาษิตในสังยุตตนิกาย ตรัสไว้ในตอนหนึ่งเป็นใจความว่า ธรรมทั้งหมด : ทั้งสภาวธรรม สัจจธรรม ปฏิปัตติธรรม และปฏิเวธธรรม ที่พระองค์ได้ตรัสรู้นั้น มีปริมาณมากเท่ากับใบไม้หมดทั้งป่า ; ส่วนธรรมที่ทรงนำมาสอนนั้นเท่ากับใบไม้เพียงกำมือเดียวจากใบไม้หมดทั้งป่านั้น, กล่าวคือเฉพาะเรื่องอริยสัจสี่ในส่วนที่เป็นการปฏิบัติเท่านั้น.
          อีกแห่งหนึ่งตรัสไว้ในบาลี อลคัททูปมสูตร ม้ชฌิมนิกาย มีขอบเขตแคบเข้ามาอีกโดยตรัสว่า ตถาคตกล่าวสอนแต่เรื่องความทุกข์ และความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เท่านั้น
          ในบาลีจูฬตัณหาสังขยสูตรมัชฌิมนิกาย ได้ตัรสไว้อย่างรัดกุมถึงที่สุด โดยตรัสไว้เป็นใจความว่า คำสอนของพระองค์ทั้งหมดทั้งสิ้น สรุปลงได้เป็นประโยคสั้นๆเพียงประโยคเดียวว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ซึ่งแปลว่า”สิ่งทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่น ว่าเป็นตัวตน หรือของตน” ดังนี้
          จากพุทธภาษิตเหล่านี้ทำให้เราสรุปความได้ว่า”ธรรม”ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้น คือหลักความจริงที่ว่า :
          (1) ธรรมชาติทั้งปวง ทั้งที่เปลี่ยนแปลงและไม่เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ใครจะไปถือเอาว่าเป็นตัวเป็นตนหรือของตนไม่ได้,
          (2) กฏธรรมชาติมีอยู่อย่างเด็ดขาดว่า ถ้าไปยึดถือหรือมั่นหมายสิ่งใด ว่าเป็นตัวเป็นตนหรือของตนก็ตามเข้าแล้ว จะต้องเกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ขึ้นมาในทันทีไม่โดยตรงก็โดยเร้นลับ,
          (3) ดังนั้นหน้าที่ตามกฏธรรมชาติที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติก็คือ กระทำสิ่งต่างๆที่ควรกระทำและรับผลแห่งการกระทำนั้นๆไป โดยไม่ต้องมีความยึดถือว่าตัวตนหรือของตน ดังที่กล่าวแล้ว, และ
          (4) เรามีชีวิตอยู่ด้วยกันในโลกนี้ ด้วยความยินยอมกันได้ทุกประการโดยไม่ต้องเบียดเบียนกัน เพราะไม่มีความยึดมั่นสิ่งใดโดยความเป็นของตน หรือเป็นตัวเป็นตนนั่นเอง.  นี้คือตัว”หลักธรรม”ส่วนที่เป็นตัวหัวใจของพุทธศาสนา และตรงตามพระพุทธภาษิตที่ตรัสว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภิเวนิสาย – “ธรรมทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่น” ดังที่กล่าวแล้ว.
          “ความไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง”ในที่นี้ ต้องอยู่ในรูปของการปฏิบัติทางกาย วาจา ใจ อยู่แล้วจริงๆ, มิใช่เพียงแต่อยู่ในตำรับตำรา, ในรูปของปรัชญา หรือวรรณคดี หรือจิตวิทยาอันไม่มีที่สิ้นสุดก ดังที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้.  เราควรย้ำข้อความนี้ลงไปอีกครั้งหนึ่งว่า “ธรรม”ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้นคือความไม่ยึดมั่นถือมั่น (ดีแท็ชชเม้นตฺ) ที่อยู่ในรูปของการปฏิบัติโดยตรง ! การปฏิบัติที่กล่าวนี้ ย่อมเรียกหาความรู้แห่งเรื่องนี้เอาเองในเบื้องต้น, และนำมาซึ่งผลอันพึงปรารถนามาได้ในที่สุด โดยตัวมันเอง.
          เกี่ยวกับเรื่องนี้เราจะต้องระลึกถึงบุคคลเป็นอันมาก ในครั้งพุทธกาล ได้เข้าถึงตัวแท้ของพุทธศาสนา และเป็นพระอรหันต์กันเป็นจำนวนมากมาย โดยไม่มีความรู้ทางปรัชญาวรรณคดีหรือจิตวิทยาของพุทธศาสนาชนิดที่พวกเรากำลังรู้กันอยู่อย่างฟุ่มเฟือยในสมัยนี้เลย.  ท่านเหล่านั้นมีแต่การปฏิบัติโดยตรงโดยอาศัย สปิริตจวล เอ็กซฺปีเรียนซฺของตนเอง ที่เข้ารูปกันได้กับคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตนได้ฟังอยู่ในขณะนั้น เป็นปทัฏฐาน โดยไม่ต้องเกี่ยวกับปัยหาปัยหาอันยุ่งยากทางปรัชญาเป็นต้น ดังที่กล่าวแล้ว.  แม้ว่าในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาเท่าที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้ จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้อความ ที่อยู่ในรูปของบปรัชญา วรรณคดี จิตวิทยา ตรรกวิทยา และอื่นๆเช่น โบราณคดีเป็นต้น อย่างมากมายก็ตาม เราเองก็มิได้ถือว่า นั่นเป็นหัวใจแห่งพุทธศาสนาเลย แต่เป็นเพียงเครื่องหุ้มห่อและประดับประดาหัวใจของมันเท่านั้น ; ดังนั้นเราจึงถือว่าความรู้เรื่องตัวธรรมชาติก้ดี เรื่องกฏของธรรมชาติก็ดี เรื่องหน้าที่ของมนุษย์ตามกฏของธรรมชาติก็ดี เรื่องหน้าที่ของมนุษย์ตามกฏของธรรมชาติก็ดี และเรื่องผลอันจะพึงได้รับจากการกระทำหน้าที่นั้นก็ดี อันล้วนแต่เป็นความรู้ซึ่งจะทำให้เราไม่เกิดความยึดมั่นถื่อมั่นเท่านั้น ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.
หรือสรุปเป็นกฏสั้นๆว่า ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ที่มนุษย์ปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แล้ว นั่นคือหัวใจของพุทธศาสนา.
          เมื่อเราได้เข้าถึงธรรมที่เป็นหัวใจแห่งพุทธศาสนาของเราอย่างถูกแล้ว เราก็จะได้เหลียวมองไปยัง”ธรรม”ที่เป็นหัวใจแห่งศาสนาอื่นๆ ที่เป็นของเพื่อนร่วมโลกของเราดูบ้าง เพื่อ”เวิลดฺ เฟ็ลโลชิป”ของเดรา จะขยายตัวออกไปได้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นได้, คือเต็มตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ หรือที่ธรรมชาติเรียกร้องต้องการ ก็ตาม.
          3. “ธรรม”ที่เป็นหัวใจแท้จริงของพุทธศาสนานั้น เป็นสิ่งเดียวกันกับ”ธรรม”ที่เป็นหัวใจของศาสนาอื่นด้วยกันทุกศาสนา.  ข้าพเจ้าขอยืนยันความเห็นข้อนี้ เพื่อการพิสูจน์, เพราะเป็นสิ่งที่ควรพิสูจน์อย่างยิ่ง.
          สิ่งแรกสุด ที่เราจะต้องมองให้เห็นกันเสียก่อน ก็คือข้อเท็จจริงที่ประจักษ์กันแล้วว่า ศาสนาที่แท้จริง ทุกศาสนาย่อมมุ่งหมายเพื่อกำจัดความมีตัวเป็นของตัว ของคนทุกคนในโลก ! ไม่มีศาสนาไหนเลย ที่เว้นจากความมุ่งหมายอันนี้.  ศาสนาที่มีพระเป็นเจ้า(กอด)ก็สอนให้มอบตัวเองให้แก่พระเป้นเจ้าเสีย หรือทำให้เป็นตัวของพระเป็นเจ้าไปเสีย, อย่ามีตัวของตัวเอง ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตัว ไม่ว่าในขนาดที่จะเป็นอีโกอิสมฺ หรือเป็นเซ็ลฟิชเนสสฺ ก็ตาม ; แม้ในบางศาสนาจะสอนว่ามีโซล หรือ อาตมัน ก็สอนให้มีอย่างชนิดแท้จริง คือ โซล หรือ อาตมัน ที่เป็นอันเดียวกันกับพระเป็นเจ้า, มิใช่มีอาตมันชนิดที่เป็นที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตัวของตัวโดยเฉพาะ.
          ส่วนศาสนาที่ไม่มีพระเป็นเจ้า เพราะถือว่าการกระทำของตนเองเป็นหลัก ก็ยังคงสอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัวอยู่นั่นเอง และยังสอนเลยไปถึงการทิ้งตัว หรือลืมความมีตัวของตัวเสีย โดยไปเห็นแก่อุดมคติของมนุษย์ และทำทุกอย่างเพื่อมนุษย์, เพื่อมนุษยธรรม(ฮิวแม็นนิตี), เพื่ออุดมคติของมนุษย์โดยตรง.  แม้ที่สุดแต่ลัทธิศาสนาที่ถูกจัดเป็นมิจฉาทิฏฐิในครั้งพุทธกาล เช่นพวกที่สอนเรื่องอนัตตาอย่างผิดๆเป็นต้น ก็ยังมีการสอนเพื่อทำลายความรู้สึกว่ามีตัวตน หรือทำลายความเห็นแก่ตน อยู่นั่นเอง.
          ดังนั้นเราจึงควรถือเป็นหลักว่าศาสนาที่แท้จริง ทุกศาสนา ล้วนแต่มีความมุ่งหมายที่จะทำลายความยึดมั่นถือมั่น(สปิริตจวล แอ็ทแท็ชชเม้นตฺ)ว่ามีตัวเป็นของตัว อย่างวตรงกันแท้โดยหลักการใหญ่, ส่วนการที่จะมีข้อแตกต่างปลีกย่อย เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติเป็นต้นบ้างนั้น ย่อมไม่เป็นการหักล้างความเหมือนกัน ในส่วนที่เป็นหัวใจ ดังที่กล่าวมาแล้ว.
          ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ย่อมเป็นการเพียงพอสำหรับการที่เราจะถือว่า คำพูดเพียงประโยคสั้นๆประโยคเดียวที่ว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภิเวนิสาย ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้น ย่อมตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นหัวใจ ของศาสนาอื่นทุกศาสนาด้วย ; และนั่นคือเหตุผลอันชอบธรรมที่เราจะกล่าวว่า เวิลดฺ เฟ็ลโลวฺชิป นั้น ต้องมีขอบเขตครอบคลุมไปถึงศาสนาทุกศาสนา ไม่ควรจะจำกัดอยู่แต่ในขอบเขตของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง, มิฉะนั้นแล้ว จะไม่เป็นธรรม จะไม่ตรงตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ หรือต้องการ.

          เราต้องนึกไว้เสมอว่าธรรม หรือธรรมชาตินั้นเป็นของสิ่งเดียวแบ่งแยกไม่ได้ ; ถ้าพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งธรรมหรือแห่งธรรมชาติแล้ว เราก็ควรพยายามไปในทางที่จะขยายเขตแห่งเวิลด์ เฟ็ลโลวฺชิป ออกไปเต็มตามเดจตนารมณ์ของธรรม หรือของธรรมชาตินั้น.  แม้เรายังไม่ได้ขยาย หรือขยายไม่ได้ เพราะทำความเข้าใจกันยังไม่ได้ก็ตาม, เราก็ควรจะยอมรับอยู่แล้วว่า ยังมีเพื่อนพุทธบริษัท ที่เรายังไม่ยอมรับเขาว่าเป็นพุทธบริษัทอยู่เต็มไปในโลกนี้  ทั้งที่เขาเหล่านี้ก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าเป็นเช่นนั้น.  ดังนั้น ขอให้เรามาพิจารณากันเป้นข้อสุดท้ายที่นี่ในวันนี้ ว่าขอบเขตของความเป็นพุทธบริษัทนั้น ธรรมชาติกำหนดไว้อย่างไร และเพียงไหน.

          4. ใครก็ตาม ในโลกนี้ ที่ถือหลักแห่งการมีชีวิตเป็นอยู่ด้วยการควบคุมและทำลายอีโกอิสมฺแล้ว ต้องถือว่าเขาเหล่านั้น เป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงอยู่แล้วทั้งหมดทั้งสิ้น.  เราไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงว่าใครเป็นเถรวาทใครเป็นมหายาน ซึ่งเป็นเรื่องของทะเบียนหรือบัญชีเหมือนกับบัญชีของปศุสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้เป็นคอกๆมากกว่าอย่างอื่น.  พุทธศาสนาโดยเนื้อแท้หรือพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้น มิได้เป็นเถรวาทหรือมหายานเลย.
          พระพุทธองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่ ในรูปแห่งธรรมและวินัย ; ธรรมและวินัยที่เป็นอย่างแท้จริงนั้น จะเป็นเถรวาทหรือมหายานไปไม่ได้, จะแป็นได้ก็แต่เพียงแยกกัน ตามที่พวกไหนเลือกเอาธรรมวินัยส่วนไหนเป็นหลักปฏิบัติของตนตามรสนิยม หรือตามที่สิ่งแวดล้อมบังคับ.  เนื้อแท้ของธรรมและวิรนัยนั้น คือการปฏิบัติเพื่อความไม่ยึดมั่นในตัวตน หรือของตนด้วยกันแต่อย่างเดียว ; เมื่อความจริงเป็นอยู่ดังนี้ ความเป็นเถรวาทหรือมหายานอันแท้จริง ก็มิได้มี เพราะทุกคนมุ่งหมายทำอย่างเดียวกัน, เพื่อผลอย่างเดียวกัน, แตกต่างกันเพียงวิธีที่สะดวกเป็นส่วนตัว.

          ความแตกต่างทำนองนี้อาจจะแตกต่างกันได้เป็นอย่างมาก แม้ภายในวงเถรวาทกันเอง หรือในวงมหายานกันเอง, และอาจจะเป็นไปได้ในบางกรณี ถึงกับว่าความแตกต่างหรือขัดแย้งกัน ภายในวงเถรวาทกันเองนั้นอาจจะมีมากไปเสียกว่า ความแตกต่างหรือขัดแย้ง อันมีอยู่ในระหว่างเถรวาทกับมหายาน ในส่วนทิฏฐิหรือความเห็น ซึ่งกำลังดำเนินไปตามความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว หรือพวกของตัวด้วยซ้ำไป, ดังนั้น เมื่อกล่าวโดยธรรมหรือโดยธรรมชาติแล้ว หามีเถรวาทหรือมหายานที่แท้จริงไม่.  แต่กลับไปมีของจริง(TRUTH) หรือข้อเท็จจริง(FACT)อยู่ที่ว่า ใครก็ตามที่ปฏิบัติเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว คนนั้นเป็นพุทธบริษัทแท้ ; ใครก็ตาม ปฏิบัติเพื่อความเห็นแก่ตัว คนนั้นไม่ใช่พุทธบริษัทเสียเลย, ดังนี้ไปเสียมากกว่า.

          เมื่อเราถือหลักว่า ใครมีชีวิตเป็นอยู่ด้วยการควบคุมและทำลายความเห็นแก่ตัว ผู้นั้นเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง ดังนี้แล้วเราก็อาจจะมองเลยออกไปนอกเขตที่เราสมมติกันอยู่ในบัดนี้ว่าเขตที่เราสมมติกันอยู่ในบัดนี้ว่า เขตของพุทธบริษัท ; มองให้กว้าง มองให้กว้างออกไปด้วยสายตาอันนี้ จนกระทั่งทั่วโลก, จนกระทั่งทุกๆโลกกี่ร้อยกี่พันโลก, แม้เป็นโลกที่เรายังมองไม่เห็นด้วยตา แต่เราก็เชื่อว่ามีอยู่เหล่านั้นให้ทั่วถึงเราก็จะพบด้วยความดีอกดีใจว่าเพื่อนพุทธบริษัทของเดรานั้นมีอยู่ทั่วไปทั้งโลก, และทุกๆโลก, หรือในทุกๆศาสนาที่มีการสอนให้ทำลายความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนหรือของตนอย่างตรงตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ปละต้องการ, และตรงตามเจตนารมณ์ของ”ธรรม”ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา อย่างแท้จริง.
          ขอบเขตแห่ง พสล. เป็นต้นของเรา มีอยู่อย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ ; เรากำลังให้ความสนใจ แต่มันน้อยเกินไป หรือถึงกับไม่สนใจกันเสียเลย.  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะเรียกว่า เราพุทธบริษัทส่วนน้อย กำลังทำการแบ่งแยกและตีตนออกห่างจากเพื่อนพุทธบริษัทส่วนใหญ่ ในลักษณะที่ไม่ตรงตามที่ธรรมชาติต้องการได้หรือไม่ นั้นเป็นสิ่งที่ต้องคิดดุกันให้ดีหรือเอาไปคิดกันเดสียใหม่ให้หลายครั้งหลายหน. ถ้าเราเข้าถึงความหมายของคำว่า “ธรรม” กันอย่างถุกต้องและสมบูรณ์แล้ว การคิดได้อย่างถุกต้องนั้น จะเป็นสิ่งที่ไม่ยากเลย.

          สรุปความ.  ข้อความที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าขอสรุปเป็นใจความสั้นๆ เพื่อความสะดวกแก่ท่านทั้งหลายในที่นี้ว่า ในเวลาที่แล้วมา พวกเราสนใจในตัว “ธรรม” ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนากันน้อยไป.  เราศึกษาเรื่องอนัตตา สุญญตา เรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น, และเรื่องปฏิจจสมุปบาทหรือเรื่ออริยสัจกันแต่ในรูปของวรรณคดี, ปรัชญา และจิตวิทยาเป็นต้น  แต่มิได้อยู่ในรูปของการปฏิบัติดังเช่นที่เคยกระทำกันในครั้งพุทธกาล.  เราพูดกันแต่เรื่องวิธีดำเนินงานและประสานงานในการประกาศธรรม  จนลืมพูดกันถึงตัวธรรมแท้จริงที่ควรประกาศ ! เราพูดกันแต่การประกาศราวกะว่าเราเป็นพระอรหันต์ผู้จบกิจในพระศาสนากันแล้วทุกคน, ดังนั้นเรื่องราวที่ประกาศออกไป จึงเป็นเพียงเรื่องจริยธรรมทางสังคมหรือการเมืองกันเสียมากกว่าแทนที่จะเป็นเรื่องทางปรมัตถธรรมในระดับที่เป็นหกัวใจของพุทธศาสนา ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น.
          เมื่อเรารู้จักตัวธรรมแท้กันน้อยเกินไป สิ่งที่เราประกาศออกไปนั้นจะไม่เพียงพอที่จะเกิดความสนใจ แก่นักศึกษาและนักปฏิบัติที่กำลังก้าวหน้า อันมีจำนวนมากขึ้นทุกทีในโลกปัจจุบันนี้ ; องค์การที่เป็นปึกแผ่นเช่น องค์การ พสล. นี้ควรมีกิจการที่ทำให้คนเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนาจริงๆ  ยิ่งกว่ากิจการทางธุรการ หรือวิธีการที่เนื่องด้วยพิธีรีตองทางศีลธรรมหรือวัฒนธรรมเป็นต้น ซึ่งเป็นเพียงพื้นฐานทั่วไปเท่านั้น.  เมื่อเราศึกษาพุทธศาสนาในแง่ของปรัชญากันอย่างพอเพียงแล้ว  เรายังต้องประชุมกันเพื่อหาวิธีแปรรูปของเรื่องที่เป็นปรัชญานั้น ให้มาอยู่ในรูปของการปฏิบัติที่คนสมัยนี้จะปฏิบัติกันได้จริงๆให้จนได้, เพื่อเข้าถึงตัวธรรมแท้ให้ได้ ; เมื่อเข้าถึงตัวธรรมแท้กันได้จริงๆแล้ว เราก็สามารถขยายวงของ พสล. เป็นต้นออกไปเป็นเรื่องของมนุษย์ทั้งโลกได้, โดยไม่จำกัดอยู่แต่ในขอบวงของคนจำนวนน้อย ที่แบ่งแยกเป็นเราเป็นเขากันอยู่.  การทำโดยวิธีนี้ แจะสิ้นเปลืองน้อย  แต่ได้ผลมากและสูงกว่าการกระทำชนิดที่เป็นการเข็นผู้ไม่รู้จักธรรมเข้าไปในธรรม โดยอาศัยพิธีรีตองอันสง่าเป็นเครื่องมือ, หรือแม้แต่อาศัยเกียรติของสมาคมที่มีเกียรติเป็นเครื่องผลักดันเป็นต้นก็ตาม.

          ในที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ข้อความที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล ที่เสนอแก่ท่านทั้งหลาย ด้วยความหวังดีแก่เพื่อนมนุษย์และพุทธศาสนา, หากแต่เป็นความเห็นของผู้ที่ได้สนใจในกิจการเผยแพร่พุทธศาสนาทั่วๆไปมาแล้วเป็นเวลากว่า 30 ปี จึงหวังว่าจะได้รับความสนใจของท่านทั้งหลายบ้างไม่มากก็น้อย เพื่อนำไปพิจารณากันดูตามสมควร เพื่อหาทางปรับปรุงบกิจกรรมของพุทธบริษัทเป็นส่วนรวม ให้ก้าวหน้าสืบไป.
          ขอให้สรรพสัตว์จงได้รับประโยชน์จากการเสียสละ ของพวกเรา อย่างสูงสุดเถิด.

สืบสานปณิธานพุทธทาส
100 ปี ชาตกาล
2449-2549

ปาฐกถาเรื่อง
สิ่งที่เรายังสนใจน้อยเกินไป
ฉบับ 3 ภาษา
ไทย – อังกฤษ – จีน

Things which we still
Pay too little interest to.
By Buddhadasa Bhikkhu
In three language :
Thai
English
Chinese





สุขภาพใจ



คำชี้แจง

          หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นด้วยกุศลจิต และเจตนาคืนกำไรใฟ้แก่เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดังเช่นที่องค์บรรยายคอยย้ำให้พวกเรารู้สึกและสำนึกไว้เช่นนี้อยู่เสมอๆ
          ปาฐกถา เรื่องสิ่งที่เรายีงสนใจกันน้อยไปนี้ เป็นการบรรยายไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2509 ก็จริง แต่เมื่อได้อ่านแล้ว จะรู้สึกเหมือนกับว่า ท่านเพิ่งบรรยายให้ฟังในวันนี้อยู่หยกๆ เพราะว่าพฤติของการปฏิบัติที่เกี่ยวกับศาสนา ก็ยังคงเป็นไปในรูปของวรรณคดีและปรัชญา จึงเป็นไปไม่ได้ที่ความสงบเย็น หรือสันติภาพถาวรของโลกจะเกิดขึ้นได้ โดยวิธีนี้.  ส่วน”ธรรม” ส่วนที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ที่พระองค์ได้ทรงตรัสสรุปลงเป็นประโยคสั้นๆ เพียงประโยคเดียวว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย – ธรรมทั้งปวงอันใครๆไม่ควรยึดมั่นนั้น ต้องอยู่ในรูปของการปฏิบัติทางกาย วาจา ใจ อยู่แล้วจริงๆ  เช่นในครั้งพุทธกาล มิใช่เพียงแต่อยู่ในตำรับตำราในรูปของปรัชญา หรือวรรณคดี หรือจิตวิทยา ดังที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ ก็จะไม่ต้องเสียเวลา เสียเงิน ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติดหรือถกเถียงกันไม่เป็นอันยุติได้ว่าจะปิด – เปิดสถานบันเทิงในเวลาเท่าไรดี หรือควรจะเปิดบ่อนการพนันให้ถูกกฎหมายดีหรือไม่ เป็นต้น.
          เผอิญคำปาฐกถานี้ เป็นที่ประทับใจของคุณวิโรจน์ อำไพ จึงได้ทำการแปลเป็นภาษาจีนไว้ แล้วคราวนี้พระ ดร.เจมส์ รตนนนฺโท ได้กรุณาแปลเป็นภาษาอังกฤษให้อีก คุณบัญชา เฉลิมชัยกิจ เห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ทำการเผยแผ่ออกไปเป็น 3 ภาษาในเล่มเดกียวกัน ได้ขอให้ข้าพเจ้าจัดทำต้นฉบับภาษาไทยที่เคยพิมพ์ลงในหนังสือ”พุทธสาสนา”มาแล้ว สมัยที่องค์บรรยายท่านยังคงมีชีวิตอยู่ โดยจัดวรรคตอนให้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้นใหม่ดังที่ปรากฏอยู่ในมือท่านนี้.
          ฉะนั้น ถ้าท่านผู้อ่านอ่านแล้วเข้าใจ และเห็นด้วยกับองค์บรรยายตามเหตุผลดังที่ท่านได้แสดงมาโดยลำดับ แล้วมองเห็นความจริงตามที่เป็นจริงในเรื่องการเกิดใหม่(REBIRTH) ซึ่งหมายถึงการเกิดแห่งความรู้สึกที่เป็นอีโกอิสมฺ (EGOISM) มิใช่เกิดจากท้องแม่ดังที่เข้าใจกันอยู่ทั่วไป, และรู้จักเรื่องกรรมดำ – กรรมขาวทั้งปวง, สุดท้ายก็เรื่องความไม่มีตัวตน – อนัตตา นี่แหละ ที่ถ้าเขาใจและเป็นไปได้ทีเดียวหมดทั้งโลก การแบ่งเป็น พุทธ คริสต์ อิสลาม จะไม่มีเหลืออยู่ในโลกเลย !!       และใครก็ตาม ในโลกนี้ ที่ถือหลักแห่งกดารมีชีวิตเป็นอยู่ด้วยการควบคุม และทำลายอีโกอิสมฺแล้ว ท่านบอกว่าเขาเหล่านั้น เป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงอยู่แล้วทั้งหมดทั้งสิ้น จนไม่จำเป็นจะต้องพูดว่าใครเป็นเถรวาท ใครเป็นมหายาน ซึ่งเป็นเรื่องของทะเบียนหรือบัญชี เหมือนบัญชีปศุสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้เป็นคอกๆมากกว่าอย่างอื่น.

          โดยส่วนตัวท่านผู้อ่านแต่ละท่าน เมื่อเข้าใจจนเห็นจริงตามที่เป็นจริงในเรื่องการเกิดใหม่ เรื่องกรรม และเรื่องอนัตตา แล้วปฏิบัติ”ความไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง”อยู่จริงๆแล้ว ท่านจะเชื่อหรือไม่ว่าท่านได้ก้าวเข้าสู่ประตูนืพพานที่เป็นยอดปรารถนาของทุกๆคนแล้ว โดยไม่ต้องเสียเวลายกมือไหว้อ้อนวอนขอให้บรรลุธรรม ทุกครั้งเมื่อเวลาทำบุญ. ไม่มีบุญใดๆยิ่งใหญ่แค่ไหน จะเป็นปัจจัยให้ได้บรรลุธรรมได้เท่าการรู้ธรรมตามที่กล่าวมาแล้ว ; ขอท่านผู้อ่านจงมีฉันทะ – ความพอใจ ที่จะดำเนินตามรอยบาทพระพุทธองค์ต่อไปอย่างเอาใจใส่ มุ่งมั่นอดทน, แล้วเมื่อใดจิตใจมันว่างจากตัวตนอย่างถึงที่สุดได้จริง ท่านก็จะรู้ได้ด้วยตนเองว่าอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว กิจอื่นที่ต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีกแล้ว !
          และขอยกประโยคสุดท้ายขององค์ปาฐกที่กล่าวว่า “ขอให้สรรพสัตว์จงได้รับประโยชน์จากการเสียสละ ของพวกเราอย่างสูงสุดเถิด” มาแสดงไว้ ณ ที่นี้อีกครั้ง

“เช่นนั้นเอง”
9 ม.ค.47












ปาฐกถาเรื่อง
สิ่งที่เรายังสนใจกันน้อยไป

ของ ท่านพุทธทาสภิกขุ
แสดงท่ามกลางที่ประชุมใหญ่ พุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2509
ณ พุทธสถาน เชียงใหม่




 













สิ่งที่เรายังสนใจกันน้อยไป


เพื่อนพุทธบริษัททั้งหลาย ทั้งที่เป็นสมาชิกและมิได้เป็นสมาชิก พสล. ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์,
          ข้าพเจ้าได้รับคำขอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ จากท่านประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ให้มากล่าวอะไรสักอย่างหนึ่ง กะท่านทั้งหลายในสถานที่นี้ ในวันนี้.  ข้าพเจ้าขอพูดกะท่านทั้งหลาย ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์แห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย, และเป็นเพื่อนที่จะร่วมมือแก้ไข หรือกำจัดความทุกข์ของมนุษย์เป็นส่วนรวมให้หมดไป.  ท่านทั้งหลายต้องให้อภัยและโอกาส เพื่อให้ข้าพเจ้าพูดอะไรได้ตรงๆตามความรู้สึกอันแท้จริง เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและตรงตามสปิริตของพุทธบริษัทเรา คือพูดจริง – ทำจริง – และรักเพื่อนมนุษย์กันจริง.
          เรื่องที่ข้าพเจ้าจะพูด ในเวลาอันจำกัดนี้ คือสิ่งทมี่ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นมาเป็นเวลากว่า 30 ปี และรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่พวกเรายังสนใจกันน้อยไปหน่อย ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด สำหรับกิจการอันใหญ่หลวงของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็ในระยะที่กิจการของพุทธบริษัทเราทั่วทั้งโลก ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้. สิ่งที่กล่าวนั้นมีอยู่ 2 – 3 เรื่องด้วยกัน แต่มันสัมพันธ์กันอย่างที่จะแยกกันไม่ออก ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องถือโอกาสกล่าวถึงมัน อย่างสัมพันธ์กันเป็นลำดับไป, และต้องขออภัย ถ้าหากมันได้ทำให้ท่านต้องฟังด้วยความอดกลั้นอดทน หรือถึงกับมีความกระเทือนใจบ้าง. ข้าพเจ้าจะได้พูดเป็นเรื่องๆไปดังนี้ :-
          เรื่องที่หนึ่ง.   บรรดาพุทธสมาคมต่างๆในโลกพุทธบริษัทเรา ที่ทำการเผยแพร่พุทธธรรมอยู่ในเวลานี้ มักจะสนใจแต่ในเรื่องวิธีดำเนินงานและประสานงานกันมากเกินไปกว่าที่จะสนใจ ในตัวธรรมที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาในขั้นสูงสุดและแท้จริง พร้อมทั้งการปฏิบัติธรรมในขั้นนั้นให้เหมาะสมกัน, และมีอยู่ไม่น้อยหนักไปในเรื่องพิธีรีตอง มากจนน่ารำคาญ เมื่อเป็นเช่นนั้นนานเข้า ผลที่เกิดขึ้นก็คือ :-
          1. ทำให้เราและคนในเครือของเขา รู้จักธรรมตัวจริง ที่จะต้องรู้ด้วยจิตใจโดยตรงนั้น น้อยไป, และเพราะรู้จักธรรมตัวจริงน้อยไป ก็ทำให้เกิดผล คือ
          (ก) เราขาดผู้ที่มีจิตใจในการปฏิบัติงานเพื่อเห็นแก่ธรรมแท้,
          (ข) ทำให้ขอบวงแห่งความหมายของความเป็น พสล. เป็นต้น แคบเข้ามา, ไม่ตรง ไม่เต็มตาที่ธรรมชาติเปิดไว้ให้และต้องการ, ซึ่งจะได้กล่าวในข้อถัดไป โดยละเอียด.

          2. ทำให้ชาวพุทธพวกที่หนักในธรรมและธรรมปฏิบัติให้ความสนใจและความนับถือในกิจการของเราน้อยไป หรืออาจจะถึงกับไม่ไว้ใจก็มี.  ข้อนี้ทำให้เกิดผลคือ :-
          (ก) เราจะดำเนินงานและขยายงานให้เต็มตาตามวัตถุประสงค์จริงๆได้ยาก เหมือนกลิ้งครกขึ้นภูเขา, แต่แล้วก็ต้องทนเอา คือทำไปอย่างพอให้ผ่านๆไป พอไม่ให้สมาคมล้ม,
          (ข) ครั้นเป็นเช่นนี้นานวันเข้า สักวันหนึ่งในกาลข้างหน้า เราอาจจะถูกเขากล่าวหาถึงขนาดว่า สังคมพุทธบรัทพวกนี้ทำอะไรกันแต่พอเป็นพิธี เพียงเพื่อความสนุกสนานของตนเอง ดูๆคงจะเป็นการเที่ยวทัศนาจร หรือเที่ยวปิคนิคระหว่างประเทศไปเสียแล้วกระมัง, และ
          (ค) ในที่สุด พวกสมาชิกและกรรมการทั้งหลายก็จะเสียนิสัย กลายเป็นผู้ที่ทำงานเพียงเพื่อความสนุกสนาน ด้วยค่าใช้จ่ายของผู้อื่นกันเสียเป็นส่วนมาก ในที่สุดองค์การหรือสมาคมของเรา ก็ต้องล้มเลิกไปโดยแน่นอน.  ดังนั้นเราต้องนึกถึงเรื่องนี้กันให้มากเป็นพิเศษ แล้วรีบทำการป้องกัน, แก้ไข, และปรับปรุงให้สุดความสามารถเสียแต่ต้นมือ.

          เรื่องที่สอง.   คือสิ่งที่เราต้องแก้ไขปรับปรุงให้ทันท่วงทีก่อนแต่จะสายเกินไป ดังที่กล่าวแล้วนั้น พอจะแยกออกได้ดังต่อไปนี้ :-
          1. จัดให้เกิดการสนใจ การศึกษาค้นคว้า การปรึกษาหารือทำความเข้าใจกันเป็นพิเศษ ในสิ่งที่เรียกว่า”หัวใจของพุทธศาสนา”อันเป็นการปฏิบัติ เพื่อกำจัดกิเลสของแต่ละคนโดยตรง แทนที่จะเป็นเพียงเรื่องศีลธรรมเพื่อประโยชน์ทางสังคมและการเมือง, หรือเป็นเพียงวรรณคดีอันไพเราะ หรือเป็นปรัชญาที่น่าสนใจของโลก เท่านั้น.  ความทุกข์ของมนุษย์ในโลก เกิดมาจากกิเลสของเขาโดยตรง มิได้เกิดมาจากการที่เขาไม่มีความรู้เรื่องศีลธรรมของสังคม หรือไม่รู้ว่าวรรณคดีอันไพเราะ หรือไม่มีความรู้ทางปรัชญาอันลึกซึ้งเหล่านั้น.  ความรู้เหล่านั้นเขามีกันมากมาย ก็ยังกำจัดกิเลสไม่ได้ ; เขาจะต้องเข้าถึง”หัวใจของพุทธศาสนา”ชนิดที่จะช่วยให้เขาสามารถควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเขา เพื่อไม่ให้เกิดกิเลสขึ้นมาได้ให้สุดความสามารถของเขา.  เมื่อเขาทำได้เช่นนั้น ศีลธรรมทางสังคมของเขาก็จะดีเอง และมนุษยธรรมก็จะแผ่ครอบคลุมไปทั่วโลกเอง.
          ความสงบเย็นหรือสันติภาพอันถาวรของโลกนั้น เป็นสิ่งที่มีขึ้นไม่ได้ด้วยเหตุเพียงการรู้วรรณคดีและปรัชญาของพุทธศาสนา ซึ่งกำลังขยายตัวออกไปอย่างยืดยาดและฟั่นเฝือยิ่งขึ้นทุกทีตามปริมาณแห่งการศึกษาแผนใหม่ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา, หรือตามที่มีการแยกนิกายออกไปมากมายในวงพุทธบริษัทเอง ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องปัยหาของปรัชญาไปเสียทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมในขั้นที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาเสียเลย. กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนเหล่านั้นได้เอาตัวธรรมแท้ ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้นไปแปรรูปทำเป็นวรรณคดีและปรัชญาเสียหมด จนไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติทางจิตใจโดยตรงเสียเลย จึงได้มีแต่เรื่องพูด พูดพูดกันไปจนเกือบไม่มีเรื่องกระทำ.
          หัวใจของพุทธศาสนานั้น อาจจะสรุปลงได้ในคำพูดเพียงคำเดียวว่า “ธรรม” : คำว่า “ธรรม” ที่มีความหมายพิเศษเช่นนี้จะได้อธิบายกันโดนละเอียดในตอนที่สาม.  สรุปความเฉพาะในข้อนี้คือ พวกเราต้องรีบประชุมกันแก้ไขปรับปรุงกิจการ ให้หนักไปในทางปฏิบัติตัวธรรมแท้ ในขั้นที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา, แล้วปัญหาปลีกย่อยทางศีลธรรมและอื่นๆก็จะถูกสะสางไปในตัวเอง โดยอัตโนมัติ.

          2. การขยายขอบเขตแห่งกิจการของพุทธสมาคมต่างๆ เช่น พสท. เป็นต้น ออกไปให้เต็มตามความหมายของคำว่า “ธรรม” ในขั้นที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.  นั่นคือการถอนความรู้สึกว่าเรา ว่าเขาออกไปเสีย เพื่อให้สมกับความหมายของคำว่า เวิลดฺ เฟ็ลลฺชิป เป็นต้นนั่นเอง, และสมกับความหมายของคำว่า “ธรรม” ซึ่งเล็งถึงธรรมชาติแท้อันมิอาจแบ่งแยกเป็นของชาติ(เนชั่น) นั้น ชาตินี้ได้เลย, แม้จนกระทั่งไม่อาจแบ่งแยกเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม เป็นต้น ไปได้ด้วย.  ความหมายของคำว่า “ธรรม” ชนิดนี้ ข้าพเจ้ายกไปรวมอธิบายในตอนที่สามคราวเดียวกันหมดเพื่อประหยัดเวลา.
          3. การรีบแก้ไขข้อผิดพลาด ที่กำลังมีอยู่ในวงการศึกษา ทางพุทธศาสนาของโลก.  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีข้อผิดพลาดอยู่ในหนังสือที่แต่งขึ้นโดยชาวต่างประเทศ ซึ่งมีการอธิบายเรื่องกรรม และเรื่องการเกิดใหม่ (รีเบอรฺธ) ไว้อย่างผิดๆ จนไม่เป็นพุทธศาสนาเสียเลย, และแม้ในวงการพุทธเราเอง ก็อธิบายพระพุทธภาษิตบางคำ ผิดไปจากพุทธประสงค์หรือผิดไปจากข้อเท็จจริง จนทำให้หลักเกณฑ์อันนั้น ใช้ปฏิบัติไม่ได้ (อิมแร็คติกอล) ไปเสียก็มี : ตัวอย่างเช่น คำว่า “ชาติ”(BIRTH)นั้น ที่มีความหมายถึงการคลอดจากท้องแม่ ก็มี, ที่มีความหมายถึงการเกิดขึ้นของความรู้สึก(คอนเซ็ปชั่น) ว่า”ตัวฉัน” หรือ “ตัวกู” คราวหนึ่งๆซึ่งหมายถึงอีโกอิสมฺ ที่กำลังกลับกันเสีย แล้วเราก็ไม่อาจจะเข้าใจพระพุทธโอวาทในตอนนั้นได้, หรืออาจจะเข้าใจเป็นอย่างอื่น จนไม่อาจจะปฏิบัติได้ตรงตามพุทธประสงค์.
          คำว่า”การเกิดใหม่”ในทางพุทธศาสนานั้น ต้องไม่ถูกอธิบายไปในรูปของการอวตาร หรือ อินคารฺเนชั่น อย่างแบบฮินดูหรืออุปนิษัท ดังที่ทำกันอยู่โดยมากในหนังสือทางพุทธศาสนาที่เขียนโดยนักศึกษาฝรั่งแทบทั้งหมด ; และคำว่า”เกิดใหม่”ในหลักธรรมของพุทธบริษัทนั้น จะต้องใช้กับได้กับการเกิดขึ้นแห่งคอนเซ็ปชั่นว่า “ตัวฉัน” ดังที่ได้กล่าวมาแล้วด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการเกิดใหม่ ชนิดที่ตายเข้าโลงแล้วจึงไปเกิดเป็นไหนๆ.  คำว่า”ชาติ”หรือความเกิด ในหลักธรรมเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท นั้น หมายถึง การเกิดแห่งความรู้สึกที่เป็นอีโกอิสมฺ ดังที่กล่าวแล้ว หาใช่เป็นการเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ดังที่เข้าใจกันอยู่ทั่วๆไปไม่ เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแก่มนุษย์คนหนึ่งๆได้ วันละหลายๆรอบ และเป็นตัวความทุกข์ชนิดกที่ตรัสไว้ในเรื่องอริยสัจสี่ นั่นเอง.
          เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ มิใช่เป็นเพียงเรื่องทางปรัชญาสำหรับถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนที่กำลังกระทำกันอยู่ทั่วๆไป, โดยที่แท้แล้ว เป็นเรื่องอริยสัจชนิดที่ต้องปฏิบัติกันเป็นประจำวันคือการควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย เมื่อได้รับอารมณ์ อย่าให้มีการปรุงแต่งทางจิต : คือตัวปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ขึ้นมา ด้วยอำนาจของอวิชชาจนเกิดความทุกข์ขึ้น.
          สำหรับเรื่อง”กรรม”ในทางพุทธศาสนานั้น ต้องพูดกันถึงเรื่อง กรรมที่ไม่ดำไม่ขาว  และเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมดำกรรมขาวจึงจะเป็นเรื่องกรรมในพุทธศาสนา.  การพูดกันแต่เพียงเรื่องกรรมดำกรรมขาว ทคือกรรมดีกรรมชั่ว และผู้ทำจะต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นเสมอไป นั้นยังไม่ใช่เรื่องกรรมในพุทธศาสนา เพราะคำสอนเช่นนั้นมีอยู่ก่อนพุทธศาสนา และมีศาสนาอื่นๆทั่วไป.  พระพุทธองค์ได้ตัรสเรื่องกรรมที่แปลกออกไป คือเรื่องกรรมที่ไม่ดำไม่ขาว และเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมดำกรรมขาวทั้งปวง  ดังที่ปรากฏอยู่ในบาลีอังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต หมวดที่ชื่อว่า กัมมวัคค์ : กล่าวโดยที่แท้แล้ว ทำให้ลุถึงนิพพาน อันเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมทั้งปวง.  เรื่องกรรมชนิดนี้เท่านั้นที่เป็นหลักของพุทธศาสนาที่ไม่ซ้ำใคร ที่จะกล่าวได้เต็มปากว่า เป็นเรื่องกรรมในพุทธศาสนาโดยตรง.  ชาวต่างประเทศผู้แต่งหนังสือเหล่าโน้น มิได้กล่าวถึงกรรมชนิดนี้เลย, กล่าวถึงแต่กรรมดำกรรมขาว แล้วยังแทรกอรรถาธิบายส่วงนตนเสียยืดยาวจนจะเข้ากันไม่ได้กับพุทธศาสนาไปเสียอีก ; การที่ยังมีใครในโลกเขียนหนังสือพุทธศาสนาขึ้นมาอย่างผิดๆเช่นนี้ ก็ควรจะตกเป็นหน้าที่ของสมาคมชาวพุทธ เช่น พสล. เป็นต้น จะต้องจัดการการทำสังคายนา หรือสกรูติไนสฺ ทำความเข้าใจกันเสียใหม่ให้ถูกต้อง, มิฉะนั้นแล้วการปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนาที่ถูกต้องก็มีขึ้นในโลกไม่ได้.
          แต่ลู่ทางแห่งโชคดียังมีอยู่ก็คือ ถ้าเราสนใจในตัว “ธรรม” ที่เป็นหัวใจแท้ของพุทธศาสนาคือเรื่อง “ไม่มีตัวตน” (อนัตตา = SELFLESS) กันจริงๆแล้ว ก็จะเกิดการค้นหาเรื่องกรรม หรือการกระทำชนิดที่เพิกถอนกรรมทั้งปวงขึ้นมาเอง และในที่สุดก็จะกลายเป็นเรื่องเดียวกันต่อไป.  เรื่องความไม่มีตัวตน(อนัตตา)นี่แหละ ทำให้ไม่มีความรู้สึกว่า”ตัวฉัน” หรือ “ตัวกู” และจะนำไปสู่ความเป็น เวิลดฺ เฟ็ลโลวฺชิปที่แท้จริงและเป็นทีเดียวหมดทั้งโลกได้ในที่สุด ถึงกับไม่มีการแบ่งเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม เหลืออยู่ในโลกเลย !
          การปฏิบัติเพื่อทำลายความรู้สึกว่า “ตัวตน” เสียนั่นแหละ คือตัวธรรมแท้ของธรรมชาติ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบและนำมาสอน.  แล้วพวกเราเอามาปิดป้ายให้ชื่อว่า”พระพุทธศาสนาของเรา”จนเกิดการแบ่งแยกกันเป็นเราเป็นเขา กระทั่งทำให้พวกเราซึ่งกำลังเรียกตัวเองว่า พุทธบริษัท ก็พลอยกลายเป็นผู้ที่ไม่มี “ธรรม” แท้ ซึ่งเป็นธรรมชาติอันลึกซึ้ง ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบนั้นไปด้วย, คงมีแต่พุทธศาสนาเนื้องอกใหม่ๆ ซึ่งมีการแบ่งแยกเราเขากันมากขึ้นทุกที ซึ่งย่อมหมายถึงการยกตนเองขึ้นเหนือผู้อื่นมากขึ้นทุกทีด้วยเหมือนกัน.  ดังนั้น เราจงมาพูดกันถึงเรื่องที่สำคัญที่สุด คือเรื่อง”ธรรม”ที่เป็นขั้นหัวใจของพุทธศาสนากันให้ชัดเจนต่อไปจะดีกว่า.

        เรื่องที่สาม.   เรื่องที่สาม คือเรื่องสิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” ตามความหมายอันสมบูรณ์หรือสิ้นเชิง ; ข้าพเจ้าจะได้แยกความหมายของคำว่าธรรม ออกเป็นชนิดๆไป  แล้วจึงค่อยชี้ให้เห็นว่า ความหมายชนิดไหนเป็นหลักธรรมที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.

          1. คำว่า”ธรรม”ในความหมายทั่วไป และกว้างที่สุด.  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราจะต้องทำความเข้าใจกันในขั้นแรก และจะต้องทำความเข้าใจกันในขั้นแรก และจะต้องพูดถึงเรื่องนี้ มากสักหน่อย.
          คำว่า “ธรรม” ในภาษาบาลีก็ตาม ในภาษาสันสกฤตก็ตาม เป็นคำที่มีความหมายกว้างที่สุด คือหมายถึงสิ่งทุกสิ่ง ทั้งที่มนุษย์รู้จักและยังไม่รู้จัก : คำคำนี้เป็นคำพูดคำเดียวที่ประหลาดที่สุดในโลก จนไม่อาจจะแปลไปเป็นภาษาอื่นได้ นอกจากภาษาที่ให้กำเนิดแก่คำคำนี้เอง.  เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและเป็นการเข้าใจได้ง่าย แก่ทุกท่านในที่นี้โดยเฉพาะ ข้าพเจ้าขอเสนอบทจำกัดความ(เดฟฟินิชชั่น)บทหนึ่งของคำคำนี้ ตามที่ข้าพเจ้าเห็นว่าถูกต้องที่สุดตามหลักแห่งภาษาทั้งสองนั้น.  คำจำกัดความนั้น มีสิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” นั้นคือ :
          (1) ตัวธรรมชาติ (NATURE)
          (2) ตัวกฏของธรรมชาติ (LAW OF NATURE),
          (3) ตัวหน้าที่ (DUTY) ที่มนุษย์จะต้องกระทำให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ, และ
          (4) ตัวผล(RESULT)ต่างๆ อันเกิดขึ้นจากการกระทำหน้าที่นั้นๆนั่นเอง.
          สิ่งทั้ง 4 ประเภทนี้สรุปลงได้ในคำพูดเพียงพยางค์เดียวว่า “ธรรม” อันเป็นคำพูดที่ประหลาดที่สุดในโลกดังที่กล่าวแล้ว.  ผู้ที่รู้ภาษาบาลี ย่อมยืนยันความจริงข้อนี้ได้ดี, ขอให้ไปศึกดษาเอาอย่างละเอียดจากผู้รู้ภาษาบาลีเถิด.

          ภาษาทางพุทธศาสนา เรียกตัวธรรมชาติว่า สภาวธรรม, เรียกกฏของธรรมชาติว่า สัจจ-ธรรม, เรียกหน้าที่ ที่มนุษย์ต้องปฏิบัติตามกฏธรรมชาติว่า ปฏิปัตติธรรม, และเรียกผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นๆว่า ปฏิเวธธรรม หรือเรียกโดยทั่วไปอีกอย่างหนึ่งว่าวิปากธรรม.  ดังนั้นเป็นอันว่าสิ่งทั้งสี่นี้ มีคำอธิบายอย่างสมบูรณ์ อยู่แล้วในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่รวมกันแล้วก็ยืดยาว เท่ากับปริมาณของพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถาทั้งหมดรวมกัน, แต่อย่างไรก็ตาม ท่านทั้งหลายจะเห็นได้เองแล้วว่า เรื่องทั้งสี่เรื่องนั้น ล้วนแต่เกี่ยวกับธรรมชาติ(เนเจ้อร)ทั้งนั้น ไม่แง่ใดก็แง่หนึ่ง ดังนั้นจึงถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องตายตัวเด็ดขาด อยู่ในตัวธรรมชาติ และไม่อาจจะแยกออกจากสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติไปได้เลย.  ธรรมชาติที่แท้ชนิดนี้ ไม่มีการแยกเป็นเขา เป็นเรา, เป็นยุโรปหรือเอเซีย, เป็นพุทธ เป็นคริสต์ หรืออิสลาม เป็นต้น ได้, แต่มนุษย์ได้ดื้อดึงต่อธรรมชาติอย่างหลับหูหลับตา โดยการทำการสมมติแยกมันออกเป็นเรา – เป็นเขา จนได้  ด้วยการทำไปตามความรู้สึกที่ฝืนกฏธรรมชาติ หรือผิดกฏธรรมชาติ ซึ่งกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผิดธรรม  เพราะหลักธรรมชาติสี่ประการดังกล่าวแล้วนั้น รวมอยู่ในคำว่า “ธรรม” เพียงคำเดียว ! เมื่อผิดกฏธรรมชาติหรือผิดธรรมแล้ว ก็ต้องได้รับผลตามกฏของธรรมชาติในทางที่เป็นทุกข์ทรมาน และเกิดปัยหายุ่งยากต่างๆขึ้นมา จนมนุษย์ไม่สามารถสะสางได้ตามลำพัง โดยปราศจากความรู้อันเป็นหัวใจธรรม หรือของธรรมชาตินั้นๆซึ่งเรียกในที่นี้ว่า “หัวใจของพุทธศาสนา”
          เมื่อสิ่งที่เรียกว่าธรรม มีอยู่ถึง 4 ประเภท ดังที่กล่าวมาแล้วหรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ดังนี้แล้ว เราจะระบุธรรมส่วนไหนของประเภทไหน ว่าเป็นธรรมชนิดที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาโดยเฉพาะเล่า ?
          2. “ธรรม”ส่วนที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.  พระพุทธภาษิตในสังยุตตนิกาย ตรัสไว้ในตอนหนึ่งเป็นใจความว่า ธรรมทั้งหมด : ทั้งสภาวธรรม สัจจธรรม ปฏิปัตติธรรม และปฏิเวธธรรม ที่พระองค์ได้ตรัสรู้นั้น มีปริมาณมากเท่ากับใบไม้หมดทั้งป่า ; ส่วนธรรมที่ทรงนำมาสอนนั้นเท่ากับใบไม้เพียงกำมือเดียวจากใบไม้หมดทั้งป่านั้น, กล่าวคือเฉพาะเรื่องอริยสัจสี่ในส่วนที่เป็นการปฏิบัติเท่านั้น.
          อีกแห่งหนึ่งตรัสไว้ในบาลี อลคัททูปมสูตร ม้ชฌิมนิกาย มีขอบเขตแคบเข้ามาอีกโดยตรัสว่า ตถาคตกล่าวสอนแต่เรื่องความทุกข์ และความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เท่านั้น
          ในบาลีจูฬตัณหาสังขยสูตรมัชฌิมนิกาย ได้ตัรสไว้อย่างรัดกุมถึงที่สุด โดยตรัสไว้เป็นใจความว่า คำสอนของพระองค์ทั้งหมดทั้งสิ้น สรุปลงได้เป็นประโยคสั้นๆเพียงประโยคเดียวว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ซึ่งแปลว่า”สิ่งทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่น ว่าเป็นตัวตน หรือของตน” ดังนี้
          จากพุทธภาษิตเหล่านี้ทำให้เราสรุปความได้ว่า”ธรรม”ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้น คือหลักความจริงที่ว่า :
          (1) ธรรมชาติทั้งปวง ทั้งที่เปลี่ยนแปลงและไม่เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ใครจะไปถือเอาว่าเป็นตัวเป็นตนหรือของตนไม่ได้,
          (2) กฏธรรมชาติมีอยู่อย่างเด็ดขาดว่า ถ้าไปยึดถือหรือมั่นหมายสิ่งใด ว่าเป็นตัวเป็นตนหรือของตนก็ตามเข้าแล้ว จะต้องเกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ขึ้นมาในทันทีไม่โดยตรงก็โดยเร้นลับ,
          (3) ดังนั้นหน้าที่ตามกฏธรรมชาติที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติก็คือ กระทำสิ่งต่างๆที่ควรกระทำและรับผลแห่งการกระทำนั้นๆไป โดยไม่ต้องมีความยึดถือว่าตัวตนหรือของตน ดังที่กล่าวแล้ว, และ
          (4) เรามีชีวิตอยู่ด้วยกันในโลกนี้ ด้วยความยินยอมกันได้ทุกประการโดยไม่ต้องเบียดเบียนกัน เพราะไม่มีความยึดมั่นสิ่งใดโดยความเป็นของตน หรือเป็นตัวเป็นตนนั่นเอง.  นี้คือตัว”หลักธรรม”ส่วนที่เป็นตัวหัวใจของพุทธศาสนา และตรงตามพระพุทธภาษิตที่ตรัสว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภิเวนิสาย – “ธรรมทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่น” ดังที่กล่าวแล้ว.
          “ความไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง”ในที่นี้ ต้องอยู่ในรูปของการปฏิบัติทางกาย วาจา ใจ อยู่แล้วจริงๆ, มิใช่เพียงแต่อยู่ในตำรับตำรา, ในรูปของปรัชญา หรือวรรณคดี หรือจิตวิทยาอันไม่มีที่สิ้นสุดก ดังที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้.  เราควรย้ำข้อความนี้ลงไปอีกครั้งหนึ่งว่า “ธรรม”ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้นคือความไม่ยึดมั่นถือมั่น (ดีแท็ชชเม้นตฺ) ที่อยู่ในรูปของการปฏิบัติโดยตรง ! การปฏิบัติที่กล่าวนี้ ย่อมเรียกหาความรู้แห่งเรื่องนี้เอาเองในเบื้องต้น, และนำมาซึ่งผลอันพึงปรารถนามาได้ในที่สุด โดยตัวมันเอง.
          เกี่ยวกับเรื่องนี้เราจะต้องระลึกถึงบุคคลเป็นอันมาก ในครั้งพุทธกาล ได้เข้าถึงตัวแท้ของพุทธศาสนา และเป็นพระอรหันต์กันเป็นจำนวนมากมาย โดยไม่มีความรู้ทางปรัชญาวรรณคดีหรือจิตวิทยาของพุทธศาสนาชนิดที่พวกเรากำลังรู้กันอยู่อย่างฟุ่มเฟือยในสมัยนี้เลย.  ท่านเหล่านั้นมีแต่การปฏิบัติโดยตรงโดยอาศัย สปิริตจวล เอ็กซฺปีเรียนซฺของตนเอง ที่เข้ารูปกันได้กับคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตนได้ฟังอยู่ในขณะนั้น เป็นปทัฏฐาน โดยไม่ต้องเกี่ยวกับปัยหาปัยหาอันยุ่งยากทางปรัชญาเป็นต้น ดังที่กล่าวแล้ว.  แม้ว่าในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาเท่าที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้ จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้อความ ที่อยู่ในรูปของบปรัชญา วรรณคดี จิตวิทยา ตรรกวิทยา และอื่นๆเช่น โบราณคดีเป็นต้น อย่างมากมายก็ตาม เราเองก็มิได้ถือว่า นั่นเป็นหัวใจแห่งพุทธศาสนาเลย แต่เป็นเพียงเครื่องหุ้มห่อและประดับประดาหัวใจของมันเท่านั้น ; ดังนั้นเราจึงถือว่าความรู้เรื่องตัวธรรมชาติก้ดี เรื่องกฏของธรรมชาติก็ดี เรื่องหน้าที่ของมนุษย์ตามกฏของธรรมชาติก็ดี เรื่องหน้าที่ของมนุษย์ตามกฏของธรรมชาติก็ดี และเรื่องผลอันจะพึงได้รับจากการกระทำหน้าที่นั้นก็ดี อันล้วนแต่เป็นความรู้ซึ่งจะทำให้เราไม่เกิดความยึดมั่นถื่อมั่นเท่านั้น ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.
หรือสรุปเป็นกฏสั้นๆว่า ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ที่มนุษย์ปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แล้ว นั่นคือหัวใจของพุทธศาสนา.
          เมื่อเราได้เข้าถึงธรรมที่เป็นหัวใจแห่งพุทธศาสนาของเราอย่างถูกแล้ว เราก็จะได้เหลียวมองไปยัง”ธรรม”ที่เป็นหัวใจแห่งศาสนาอื่นๆ ที่เป็นของเพื่อนร่วมโลกของเราดูบ้าง เพื่อ”เวิลดฺ เฟ็ลโลชิป”ของเดรา จะขยายตัวออกไปได้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นได้, คือเต็มตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ หรือที่ธรรมชาติเรียกร้องต้องการ ก็ตาม.
          3. “ธรรม”ที่เป็นหัวใจแท้จริงของพุทธศาสนานั้น เป็นสิ่งเดียวกันกับ”ธรรม”ที่เป็นหัวใจของศาสนาอื่นด้วยกันทุกศาสนา.  ข้าพเจ้าขอยืนยันความเห็นข้อนี้ เพื่อการพิสูจน์, เพราะเป็นสิ่งที่ควรพิสูจน์อย่างยิ่ง.
          สิ่งแรกสุด ที่เราจะต้องมองให้เห็นกันเสียก่อน ก็คือข้อเท็จจริงที่ประจักษ์กันแล้วว่า ศาสนาที่แท้จริง ทุกศาสนาย่อมมุ่งหมายเพื่อกำจัดความมีตัวเป็นของตัว ของคนทุกคนในโลก ! ไม่มีศาสนาไหนเลย ที่เว้นจากความมุ่งหมายอันนี้.  ศาสนาที่มีพระเป็นเจ้า(กอด)ก็สอนให้มอบตัวเองให้แก่พระเป้นเจ้าเสีย หรือทำให้เป็นตัวของพระเป็นเจ้าไปเสีย, อย่ามีตัวของตัวเอง ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตัว ไม่ว่าในขนาดที่จะเป็นอีโกอิสมฺ หรือเป็นเซ็ลฟิชเนสสฺ ก็ตาม ; แม้ในบางศาสนาจะสอนว่ามีโซล หรือ อาตมัน ก็สอนให้มีอย่างชนิดแท้จริง คือ โซล หรือ อาตมัน ที่เป็นอันเดียวกันกับพระเป็นเจ้า, มิใช่มีอาตมันชนิดที่เป็นที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตัวของตัวโดยเฉพาะ.
          ส่วนศาสนาที่ไม่มีพระเป็นเจ้า เพราะถือว่าการกระทำของตนเองเป็นหลัก ก็ยังคงสอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัวอยู่นั่นเอง และยังสอนเลยไปถึงการทิ้งตัว หรือลืมความมีตัวของตัวเสีย โดยไปเห็นแก่อุดมคติของมนุษย์ และทำทุกอย่างเพื่อมนุษย์, เพื่อมนุษยธรรม(ฮิวแม็นนิตี), เพื่ออุดมคติของมนุษย์โดยตรง.  แม้ที่สุดแต่ลัทธิศาสนาที่ถูกจัดเป็นมิจฉาทิฏฐิในครั้งพุทธกาล เช่นพวกที่สอนเรื่องอนัตตาอย่างผิดๆเป็นต้น ก็ยังมีการสอนเพื่อทำลายความรู้สึกว่ามีตัวตน หรือทำลายความเห็นแก่ตน อยู่นั่นเอง.
          ดังนั้นเราจึงควรถือเป็นหลักว่าศาสนาที่แท้จริง ทุกศาสนา ล้วนแต่มีความมุ่งหมายที่จะทำลายความยึดมั่นถือมั่น(สปิริตจวล แอ็ทแท็ชชเม้นตฺ)ว่ามีตัวเป็นของตัว อย่างวตรงกันแท้โดยหลักการใหญ่, ส่วนการที่จะมีข้อแตกต่างปลีกย่อย เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติเป็นต้นบ้างนั้น ย่อมไม่เป็นการหักล้างความเหมือนกัน ในส่วนที่เป็นหัวใจ ดังที่กล่าวมาแล้ว.
          ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ย่อมเป็นการเพียงพอสำหรับการที่เราจะถือว่า คำพูดเพียงประโยคสั้นๆประโยคเดียวที่ว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภิเวนิสาย ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้น ย่อมตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นหัวใจ ของศาสนาอื่นทุกศาสนาด้วย ; และนั่นคือเหตุผลอันชอบธรรมที่เราจะกล่าวว่า เวิลดฺ เฟ็ลโลวฺชิป นั้น ต้องมีขอบเขตครอบคลุมไปถึงศาสนาทุกศาสนา ไม่ควรจะจำกัดอยู่แต่ในขอบเขตของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง, มิฉะนั้นแล้ว จะไม่เป็นธรรม จะไม่ตรงตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ หรือต้องการ.

          เราต้องนึกไว้เสมอว่าธรรม หรือธรรมชาตินั้นเป็นของสิ่งเดียวแบ่งแยกไม่ได้ ; ถ้าพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งธรรมหรือแห่งธรรมชาติแล้ว เราก็ควรพยายามไปในทางที่จะขยายเขตแห่งเวิลด์ เฟ็ลโลวฺชิป ออกไปเต็มตามเดจตนารมณ์ของธรรม หรือของธรรมชาตินั้น.  แม้เรายังไม่ได้ขยาย หรือขยายไม่ได้ เพราะทำความเข้าใจกันยังไม่ได้ก็ตาม, เราก็ควรจะยอมรับอยู่แล้วว่า ยังมีเพื่อนพุทธบริษัท ที่เรายังไม่ยอมรับเขาว่าเป็นพุทธบริษัทอยู่เต็มไปในโลกนี้  ทั้งที่เขาเหล่านี้ก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าเป็นเช่นนั้น.  ดังนั้น ขอให้เรามาพิจารณากันเป้นข้อสุดท้ายที่นี่ในวันนี้ ว่าขอบเขตของความเป็นพุทธบริษัทนั้น ธรรมชาติกำหนดไว้อย่างไร และเพียงไหน.

          4. ใครก็ตาม ในโลกนี้ ที่ถือหลักแห่งการมีชีวิตเป็นอยู่ด้วยการควบคุมและทำลายอีโกอิสมฺแล้ว ต้องถือว่าเขาเหล่านั้น เป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงอยู่แล้วทั้งหมดทั้งสิ้น.  เราไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงว่าใครเป็นเถรวาทใครเป็นมหายาน ซึ่งเป็นเรื่องของทะเบียนหรือบัญชีเหมือนกับบัญชีของปศุสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้เป็นคอกๆมากกว่าอย่างอื่น.  พุทธศาสนาโดยเนื้อแท้หรือพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้น มิได้เป็นเถรวาทหรือมหายานเลย.
          พระพุทธองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่ ในรูปแห่งธรรมและวินัย ; ธรรมและวินัยที่เป็นอย่างแท้จริงนั้น จะเป็นเถรวาทหรือมหายานไปไม่ได้, จะแป็นได้ก็แต่เพียงแยกกัน ตามที่พวกไหนเลือกเอาธรรมวินัยส่วนไหนเป็นหลักปฏิบัติของตนตามรสนิยม หรือตามที่สิ่งแวดล้อมบังคับ.  เนื้อแท้ของธรรมและวิรนัยนั้น คือการปฏิบัติเพื่อความไม่ยึดมั่นในตัวตน หรือของตนด้วยกันแต่อย่างเดียว ; เมื่อความจริงเป็นอยู่ดังนี้ ความเป็นเถรวาทหรือมหายานอันแท้จริง ก็มิได้มี เพราะทุกคนมุ่งหมายทำอย่างเดียวกัน, เพื่อผลอย่างเดียวกัน, แตกต่างกันเพียงวิธีที่สะดวกเป็นส่วนตัว.

          ความแตกต่างทำนองนี้อาจจะแตกต่างกันได้เป็นอย่างมาก แม้ภายในวงเถรวาทกันเอง หรือในวงมหายานกันเอง, และอาจจะเป็นไปได้ในบางกรณี ถึงกับว่าความแตกต่างหรือขัดแย้งกัน ภายในวงเถรวาทกันเองนั้นอาจจะมีมากไปเสียกว่า ความแตกต่างหรือขัดแย้ง อันมีอยู่ในระหว่างเถรวาทกับมหายาน ในส่วนทิฏฐิหรือความเห็น ซึ่งกำลังดำเนินไปตามความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว หรือพวกของตัวด้วยซ้ำไป, ดังนั้น เมื่อกล่าวโดยธรรมหรือโดยธรรมชาติแล้ว หามีเถรวาทหรือมหายานที่แท้จริงไม่.  แต่กลับไปมีของจริง(TRUTH) หรือข้อเท็จจริง(FACT)อยู่ที่ว่า ใครก็ตามที่ปฏิบัติเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว คนนั้นเป็นพุทธบริษัทแท้ ; ใครก็ตาม ปฏิบัติเพื่อความเห็นแก่ตัว คนนั้นไม่ใช่พุทธบริษัทเสียเลย, ดังนี้ไปเสียมากกว่า.

          เมื่อเราถือหลักว่า ใครมีชีวิตเป็นอยู่ด้วยการควบคุมและทำลายความเห็นแก่ตัว ผู้นั้นเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง ดังนี้แล้วเราก็อาจจะมองเลยออกไปนอกเขตที่เราสมมติกันอยู่ในบัดนี้ว่าเขตที่เราสมมติกันอยู่ในบัดนี้ว่า เขตของพุทธบริษัท ; มองให้กว้าง มองให้กว้างออกไปด้วยสายตาอันนี้ จนกระทั่งทั่วโลก, จนกระทั่งทุกๆโลกกี่ร้อยกี่พันโลก, แม้เป็นโลกที่เรายังมองไม่เห็นด้วยตา แต่เราก็เชื่อว่ามีอยู่เหล่านั้นให้ทั่วถึงเราก็จะพบด้วยความดีอกดีใจว่าเพื่อนพุทธบริษัทของเดรานั้นมีอยู่ทั่วไปทั้งโลก, และทุกๆโลก, หรือในทุกๆศาสนาที่มีการสอนให้ทำลายความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนหรือของตนอย่างตรงตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ปละต้องการ, และตรงตามเจตนารมณ์ของ”ธรรม”ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา อย่างแท้จริง.
          ขอบเขตแห่ง พสล. เป็นต้นของเรา มีอยู่อย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ ; เรากำลังให้ความสนใจ แต่มันน้อยเกินไป หรือถึงกับไม่สนใจกันเสียเลย.  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะเรียกว่า เราพุทธบริษัทส่วนน้อย กำลังทำการแบ่งแยกและตีตนออกห่างจากเพื่อนพุทธบริษัทส่วนใหญ่ ในลักษณะที่ไม่ตรงตามที่ธรรมชาติต้องการได้หรือไม่ นั้นเป็นสิ่งที่ต้องคิดดุกันให้ดีหรือเอาไปคิดกันเดสียใหม่ให้หลายครั้งหลายหน. ถ้าเราเข้าถึงความหมายของคำว่า “ธรรม” กันอย่างถุกต้องและสมบูรณ์แล้ว การคิดได้อย่างถุกต้องนั้น จะเป็นสิ่งที่ไม่ยากเลย.

          สรุปความ.  ข้อความที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าขอสรุปเป็นใจความสั้นๆ เพื่อความสะดวกแก่ท่านทั้งหลายในที่นี้ว่า ในเวลาที่แล้วมา พวกเราสนใจในตัว “ธรรม” ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนากันน้อยไป.  เราศึกษาเรื่องอนัตตา สุญญตา เรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น, และเรื่องปฏิจจสมุปบาทหรือเรื่ออริยสัจกันแต่ในรูปของวรรณคดี, ปรัชญา และจิตวิทยาเป็นต้น  แต่มิได้อยู่ในรูปของการปฏิบัติดังเช่นที่เคยกระทำกันในครั้งพุทธกาล.  เราพูดกันแต่เรื่องวิธีดำเนินงานและประสานงานในการประกาศธรรม  จนลืมพูดกันถึงตัวธรรมแท้จริงที่ควรประกาศ ! เราพูดกันแต่การประกาศราวกะว่าเราเป็นพระอรหันต์ผู้จบกิจในพระศาสนากันแล้วทุกคน, ดังนั้นเรื่องราวที่ประกาศออกไป จึงเป็นเพียงเรื่องจริยธรรมทางสังคมหรือการเมืองกันเสียมากกว่าแทนที่จะเป็นเรื่องทางปรมัตถธรรมในระดับที่เป็นหกัวใจของพุทธศาสนา ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น.
          เมื่อเรารู้จักตัวธรรมแท้กันน้อยเกินไป สิ่งที่เราประกาศออกไปนั้นจะไม่เพียงพอที่จะเกิดความสนใจ แก่นักศึกษาและนักปฏิบัติที่กำลังก้าวหน้า อันมีจำนวนมากขึ้นทุกทีในโลกปัจจุบันนี้ ; องค์การที่เป็นปึกแผ่นเช่น องค์การ พสล. นี้ควรมีกิจการที่ทำให้คนเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนาจริงๆ  ยิ่งกว่ากิจการทางธุรการ หรือวิธีการที่เนื่องด้วยพิธีรีตองทางศีลธรรมหรือวัฒนธรรมเป็นต้น ซึ่งเป็นเพียงพื้นฐานทั่วไปเท่านั้น.  เมื่อเราศึกษาพุทธศาสนาในแง่ของปรัชญากันอย่างพอเพียงแล้ว  เรายังต้องประชุมกันเพื่อหาวิธีแปรรูปของเรื่องที่เป็นปรัชญานั้น ให้มาอยู่ในรูปของการปฏิบัติที่คนสมัยนี้จะปฏิบัติกันได้จริงๆให้จนได้, เพื่อเข้าถึงตัวธรรมแท้ให้ได้ ; เมื่อเข้าถึงตัวธรรมแท้กันได้จริงๆแล้ว เราก็สามารถขยายวงของ พสล. เป็นต้นออกไปเป็นเรื่องของมนุษย์ทั้งโลกได้, โดยไม่จำกัดอยู่แต่ในขอบวงของคนจำนวนน้อย ที่แบ่งแยกเป็นเราเป็นเขากันอยู่.  การทำโดยวิธีนี้ แจะสิ้นเปลืองน้อย  แต่ได้ผลมากและสูงกว่าการกระทำชนิดที่เป็นการเข็นผู้ไม่รู้จักธรรมเข้าไปในธรรม โดยอาศัยพิธีรีตองอันสง่าเป็นเครื่องมือ, หรือแม้แต่อาศัยเกียรติของสมาคมที่มีเกียรติเป็นเครื่องผลักดันเป็นต้นก็ตาม.

          ในที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ข้อความที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล ที่เสนอแก่ท่านทั้งหลาย ด้วยความหวังดีแก่เพื่อนมนุษย์และพุทธศาสนา, หากแต่เป็นความเห็นของผู้ที่ได้สนใจในกิจการเผยแพร่พุทธศาสนาทั่วๆไปมาแล้วเป็นเวลากว่า 30 ปี จึงหวังว่าจะได้รับความสนใจของท่านทั้งหลายบ้างไม่มากก็น้อย เพื่อนำไปพิจารณากันดูตามสมควร เพื่อหาทางปรับปรุงบกิจกรรมของพุทธบริษัทเป็นส่วนรวม ให้ก้าวหน้าสืบไป.
          ขอให้สรรพสัตว์จงได้รับประโยชน์จากการเสียสละ ของพวกเรา อย่างสูงสุดเถิด.
         




         




2 ความคิดเห็น: