หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

พุทธทาสภิกขุ - ปณิธาน 3 ประการ (2)



ธรรมบรรยาย
วันล้ออายุ ภาคบ่าย
27 พ.ค. 2529




ปณิธาน  ข้อ 2
การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา


ท่านสาธุชน ผู้สนใจในธรรม และเพื่อนสหธรรมิกทั้งหลาย
          ข้าพเจ้ารู้สึกเห็นใจในความเสียสละของท่านทั้งหลาย ที่เสียสละในการทำบุญล่ออายุวันนี้  ต่อสู้กับฝนอย่างไม่ยอมแพ้, และขออนุโมทนา  ว่าจงจัดให้มันเป็นบทเรียนสำหรับนักศึกษาทดสอบ หรือสอบไล่อะไรพร้อมกันไปในตัว ; ควรจะพอใจยินดี ที่จะได้ศึกษาสอบไล่เพื่อออกไปเป็นกรณีพิเศษ.
ทีนี้สำหรับการบรรยายในครั้งที่ 2 นี้ ก็จะบรรยายโดยหัวข้อว่า การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ซึ่งเป็นปณิธานข้อที่ 2 ของข้าพเจ้า โดยแท้จริงไม่ได้เป็นเรื่องธรรมะโดยตรง ; การทำความเข้าใจระหว่างศาสนานี้เป็นธรรมะการเมือง;  แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ เมื่อเป็นหน้าที่มันก็ต้องจัดเป็นธรรมะไปทั้งนั้น เพราะว่ามันจะต้องแก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอไป.
          การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ก็เพื่อแก้ปัญหาคือการกระทบกระทั่งกัน  ในระหว่างศาสนา ซึ่งมีผลมาถึงบุคคลแต่ละคน.  เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาเกี่ยวเนื่องกับศาสนาต่างกัน ทางการเมืองบ้าง, ทางภายใน หรือส่วนบุคคลบ้าง ก็มีอยู่ แล้วก็เป็นปัญหาใหญ่โตเหมือนกัน ที่เป็นปัยหาทางการเมือง เกิดจากพลเมืองถือศาสนาต่างกันวิวาทกันอะไรกันทำนองนี้.  เราอาจจะขจัดปัดเป่าปัญหาประเภทนี้โดยเฉพาะออกไปได้ โดยการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา.
          ในครั้งที่แล้วมา ได้บรรยายถึงการเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนา ถ้าว่ามีการเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาแล้ว ก็เป็นการง่ายที่จะทำความเข้าใจระหว่างศาสนา, มันเกี่ยวเนื่องกัน ขอให้แต่ละศาสนามีศาสนิกที่เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆเถิด มันจะแก้ปัญหากระทบกระทั่งระหว่างศาสนาได้เป็นแน่นอน, และจัดว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับสมัยนี้ ซึ่งกำลังมีปัญหาชนิดนี้อยู่แล้ว แม้ว่าจะเรียกว่าเป็นสมัยที่เจริญแล้ว ในโลกที่เจริญแล้ว มันก็ยังเป็นปัญหาอยู่นั่นเอง ดังนั้นมันก็ยังมีหน้าที่ที่จะขจัดปัญหานี้.  เราจะต้องทำความเข้าใจระหว่างกันและกัน เพื่อให้เกิดการยอมรับสภาพความจริงเป็นลำดับๆไป.

โลกมีหลายศาสนา เป็นไปตามธรรมชาติ
          โลกต้องมีหลายศาสนา นี้เป็นสภาพความจริงอันแรกที่ต้องยอมรับ  ว่าโลกนี้ต้องมีหลายศาสนา มันจำเป็นที่สุด ; เพราะว่าคนในโลกไม่เหมือนกัน มันจัดเป็นพวกๆเป็นยุคเป็นสมัย, แล้วก็มีภูมิหลังแห่งวัฒนธรรมต่างๆกัน ฝังแน่นอยู่ในจิตใจเปลี่ยนไม่ได้, เขาก็เหมาะที่จะถือศาสนาที่เหมาะสมกับภูมิหลังแห่งวัฒนธรรมของตนๆโดนภูมิศาสตร์ ในโลกนี้ก็ต้องแบ่งศาสนาให้เหมาะสมกับมนุษย์ ตามถิ่นโดยภูมิศาสตร์ และยังจะต้องคำนึงถึงขนบธรรมเนียมประเพณี ที่มันมีอยู่อย่างแน่นแฟ้น ซึ่งจะต้องปรับปรุง.
          เช่นว่า ศาสนาพุทธ นี่แหละ ครั้นเข้าไปถึงธิเบต เข้าไปถึงจีนเป็นต้น ก็เปลี่ยน มีอะไรเปลี่ยน มีอะไรผสมบวกเข้าไป จนต้องเรียกกันว่า พระพุทธศาสนาในประเทศไทย, พุทธศาสนาในประเทศพม่า, พุทธศาสนาในประเทศลังกา, ซึ่งฟังดูแล้วว่ามันต่างกัน แล้วมันก็เป็นความจริงอย่างนั้น.  เพราะพุทธศาสนาต้องถูกบวกเข้าด้วยภูมิหลังของวัฒนธรรม หรืออะไรต่างๆที่มันฝังแน่นอยู่  ในประชาชนเหล่านั้น.  เราจึงมีศาสนาอย่างไทย อย่างพม่า อย่างลังกา อย่างธิเบต อย่างจีน อย่างอะไรต่างๆจนพวกฝรั่งงงไปหมดนั่นแหละ  ไม่รู้ว่าพุทธศาสนาในประเทศไหนจะเป็นของเดิมแท้.  นี้มันก็เป็นธรรมดาที่ว่า  มันจะต้องมีอะไรเจือปนเข้าไปในศาสนาซึ่งมีหัวใจมุ่งหมายจะกำจัดความเห็นแก่ตนของคนทุกคน.
          ในโลกนี้ก็มีหลักเกณฑ์ที่ยอมให้มีได้หลายศาสนา เพราะว่าต่อสู้กับธรรมชาติไม่ไหว, ธรรมชาติบังคับให้มีหลายศาสนา เพราะความต่างกันของภูมิศาสตร์ ของขนบธรรมเนียม ประเพณี ของวัฒนธรรมต่างๆดังที่กล่าวมาแล้ว; แม้ในประเทศเดียวก็ยังมีหลายศาสนา, และรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ ก็ยินยอม หรือถึงกับส่งเสริมความมีศาสนาได้หลายศาสนา, ยิ่งกว่านั้นในครอบครัวเดียวกัน บางทีก็ต้องมีหลายศาสนา สามีกับภรรยาถือกันคนละศาสนา, มันก็เป็นสิ่งที่มี หรือจำเป็นจะต้องมี จะต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ได้.
          เราจะต้องนึกถึงนิสัยใจคอ ของคนแต่ละพวกรสนิยม วัฒนธรรม ยุค สมัย ถิ่นประเทศ สิ่งแวดล้อม และสถานการณ์บางอย่างหรือหลายอย่างมันบังคับ ; เมื่อต้องมีได้หลายศาสนา หรืออยู่ร่วมกันโดยมีศาสนาต่างกัน ก็ต้องมีวิถีทางที่จะแก้ปัญหา หรือเหตุการณ์ร้าย ที่อาจจะเกิดขึ้น.  ด้วยเหตุนี้แหละ จึงต้องมีเรื่องการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา, และจะต้องทำความเข้าใจกันอย่างยิ่ง ขอใช้คำค่อนข้างโสกโดกว่า สุดเหวี่ยง สุดเหวี่ยง, จะต้องทำอย่างสุดเหวี่ยง ในการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา เพื่อจะแก้ปัญหาอันจะเกิดขึ้น.

ทุกศาสนามีความมุ่งหมายตรงกัน.
          ทีนี้ก็จะต้องดูต่อไปว่า จะทำการแก้ไข ทำความเข้าใจได้อย่างไรบ้าง?  จะต้องมองให้เห็นความจริงอันหนึ่งว่า ทุกศาสนามีความมุ่งหมายตรงกัน ; ทุกศาสนา มีความมุ่งหมายให้เกิดสันติสุขแก่บุคคล, ให้เกิดสันติภาพแก่สังคม, มุ่งหมายอย่างนี้ด้วยกันทุกศาสนา ไม่มีใครมุ่งหมายดอก ความจำเป็นนั่นแหละมันบังคับ ให้เกิดขึ้นอย่างเหมาะสมแก่มหาชนในถิ่นนั้นๆจนให้เขาได้รับความพอใจในความสุขส่วนตัว และความสงบของสังคม.  แต่ถ้ามองดูในส่วนลึกส่วนลึกขึ้นไปอีก มันก็จะพบว่า ทุกศาสนานั้นมุ่งหมายที่จะควบคุมสัญชาตญาณแห่งความมีตัวตน.
          ในการบรรยายครั้งที่ 1 ที่แล้วมา ก็ได้กล่าวอย่างชัดแจ้งถึงเรื่องนี้ ว่าคนเรามันมีสัญชาตญาณกลางๆที่พร้อมที่จะเปลี่ยนไปเป็นกิเลสฝ่ายต่ำ, และที่จะเปลี่ยนไปเป็นโพธิในฝ่ายสูง.  เรามีระบบศาสนาเป็นเครื่องควบคุมสัญชาตญาณให้เป็นไปแต่ในทางสูง, ควบคุมสัญชาตญาณแห่งความมีตนนั่นแหละ ให้เกิดความมีตนเป็นไปในทางสูงๆสูงขึ้นไป จนหมดตัวตน จะแก้ปัยหาได้ถึงที่สุด.
          คำสอนของทุกศาสนา มุ่งหมายตรงไปที่การทำลายความเห็นแก่ตน, มันเป็นอันตรายร้ายกาจที่สุดของมนุษย์, ทำให้เกิดปัญหาแก่สังคมและบุคคลอย่างยิ่ง.  ทุกศาสนาจึงมุ่งหมายที่จะประสานสังคม จนกล่าวได้ว่า ทุกศาสนามีหัวใจเป็นสังคมนิยม.  แต่เดี๋ยวนี้คนเขาก็เกลียดคำว่าสังคมนิยมกันอยู่มาก คือฝ่ายที่เห็นว่าสังคมนิยมเป็นเรื่องของคอมมิวนิสต์, ที่จริงสังคมนิยมของคอมมิวนิสต์มันไม่ใช่สังคมนิยมที่ถูกต้อง หรือสังคมนิยมของทั้งหมดของทุกคน มันเป็นสังคมนิยมของชนพวกกรรมาชีพ ของพวกชนกรรมาชีพหรือกรรมกรเท่านั้น, มันไม่อาจจะรวบเอาพวกที่แปลกแตกต่างออกไปจากนั้น.  ศาสนามุ่งหมายจะให้รักกัน จะให้สัมพันธืกันได้ในหมู่ชนที่ต่างกัน ; เราจะต้องเพิ่มเติมลักษณะเข้าไปอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นสังคมนิยมที่ประกอบด้วยธรรม.
          สังคมคือทุกคนทุกชีวิตในจักรวาลนี้ เรียกว่าสังคม ถ้ามีประโยชน์แก่สังคมอย่างนี้ได้ มันก็วิเศษละ มันจะได้อยู่เป็นผาสุกกันทั่วทั้งจักรวาล ; แต่เขายืมเอาคำว่า สังคมนิยมไปหใช้สำหรับพวกคอมมิวนิสต์ หรือฝ่ายซ้ายเสียแล้ว เราก็จะต้องเพิ่มเติมลักษณะเฉพาะขึ้นมาว่า ต้องเป็นธัมมิกสังคมนิยม คือสังคมนิยมที่ประกอบไปด้วยธรรมะ คือความถูกต้อง.
          ความถูกต้องคือไม่เกิดโทษอันตรายแก่ฝ่ายใด แต่เกิดประโยชน์สุขแก่ทุกฝ่าย ; ถ้าเรารักกันได้หรือไม่เห็นแก่ตน มันก็เกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย  คือว่า พวกคนจนก็รักคนมั่งมีได้, คนมั่งมีก็รักคนจนได้, นายทุนก็รักกรรมกรได้, กรรมกรก็รักนายทุนได้, เศรษฐีรักขอทาน ขอทานรักเศรษฐี, กระทั่งว่าแมวรักหนูได้ หนูรักแมวได้, ต้องถึงขนาดนั้น.  เป็นเจตนารมณ์ของธรรมิกสังคมนิยม ซึ่งอาตมาก็ได้พยายามเปิดเผยหความคิดข้อนี้ ก็ได้รับความในใจจากหลายทิศทาง กำลังเอาไปวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในที่ต่างๆ โดยหวังว่าจะเกิดสังคมนิยมใหม่ ชื่อว่า ธัมมิกสังคมนิยม มุ่งหมายให้ทุกหคนลดความมีตัวตน หรือไม่เห็นแก่ตน จนรักผู้อื่นได้ รักสิ่งที่มีชีวิตได้, เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปถึงความสุขของมนุษย์ทุกคน ของสัตว์เดรัจฉานทุกตัว ของต้นไม้ทุกต้น ถ้ามันมีวิญญาณแห่งหสังคมนิยมโดยแท้จริงแล้ว มันก็จะเกิดผลอย่างนี้ขึ้นมา.
          นี่  ขอให้มุ่งหมายให้เป็นข้อแรกว่า ทุกศาสนามีวิญญาณแห่งสังคมนิยม ; แต่เพื่อให้เป็นคำที่ใช้ได้แน่นอนชัดเจนมากขึ้น ต่างหากจากคำว่าสังคมนิยมที่มีความหมายเสียไปหมดแล้วนั่น นับเป็นคำใหม่ว่า ธัมมิกสังคมนิยม.  ขอให้ถือเป็นหลักว่า ทุกศาสนาเลยมีหัวใจหรือวิญญาณเป็นธัมมิกสังคมนิยม.  ขอให้พิจารณาดูให้ดีที่สุด  ในความจริงข้อนี้.

ทุกศาสนาต้องร่วมมือกัน.
          ทีนี้ก็มาถึงข้อที่จะต้องพิจารณาว่า ศาสนาทุกศาสนาต้องร่วมมือกัน เพราะมันมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ร่วมโลกกัน ; ถ้าอยู่อย่างมีศัตรูกัน ก็เป็นความพินาศของโลกนั่นเอง.  ศาสนาทุกศาสนาต้องร่วมมือกันในลักษณะสหกรณ์, ร่วมทำกิจกรรมอย่างหนึ่ง คือสันติภาพของโลก.  ทุกศาสนาร่วมมือกันอย่างที่เรียกว่าสหกรณ์ เพื่อสันติภาพของโลก  โดยมองเห็นได้ว่า มีวิถีทางคือ คุ้มครองสังคม ทำลายสิ่งซึ่งเป็นข้าศึกของสังคม.  ศาสนามีหน้าที่อย่างนี้ มีคุรประโยชน์ที่จะใช้ได้ในลักษณะอย่างนี้ คือคุ้มครองสังคม.
          ศาสนาจะคุ้มครองสังคมได้ ก็ต่อเมื่อสังคมมีศาสนา ; เดี๋ยวนี้มันก้มีศาสนาต่างๆกัน จึงขอยืนยันว่า ขอให้เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ แล้วก็จะไปพบว่า มันมีความเหมือนกัน คือทำลายความเห็นแก่ตัว.  ถ้าจะเปรียบ ก็เปรียบเหมือนกับน้ำ น้ำ น้ำมีหลายอย่าง น้ำทะเล น้ำในลำธาร น้ำอ้อย น้ำตาล น้ำผึ้ง กระทั่งน้ำปัสสาวะ น้ำสกปรก น้ำครำนี่ ; ถ้าดูภายนอกแล้วต่างกัน, แต่ถ้าเจาะเข้าไปให้ลึกถึงส่วนลึกของน้ำทุกน้ำ ก็จะพบน้ำที่บริสุทธิ์ ; แม้ในน้ำปัสสาวะ.  แม้ในน้ำครำ ถ้าแยกออกมาได้เฉพาะน้ำที่บริสุทธิ์ มันก็จะได้น้ำบริสุทธิ์อย่างเดียวกับน้ำบริสุทธิ์ทั่วไป คือน้ำกลั่น, น้ำกลั่นคือน้ำบริสุทธิ์ จะหาพบได้ในน้ำทุกชนิด : ในน้ำส้ม ในน้ำหวาน ในน้ำโคลน ในน้ำปัสสาวะ เป็นต้น ; นั่นหัวใจส่วนลึกมันเป็นอย่างนั้น.
          ศาสนาก็เหมือนกัน แม้ว่ารูปแบบภายนอกมันจะดูต่างกันมาก ถึงขนาดว่ามันจะตรงกันข้าม; แต่ถ้าเจาะลึกเข้าไปถึงภายใน แล้วจะพบว่า พระศาสดานั้นๆมุ่งหมายเพื่อให้เกิดสันติสุขส่วนบุคคล, หรือสันติภาพส่วนสังคมด้วยกันทั้งนั้น, เจาะเข้าไปลึกถึงขั้นนั้นเถิด มันจะพบความที่จะเข้ากันได้, อย่าเอาเปลือกนอกซึ่งระเกะระกะไปด้วยหนามหรือด้วยเปลือกแข็งนี้ ขอให้เข้าถึงเนื้อในแล้ว มันจะกลมกลืนเป็นอันเดียวกันได้.
          ศาสนาทุกศาสนาต้องทำหน้าที่ เป็นแสงสว่างของสังคม, นำวิญญาณของสังคมไปอย่างถุกวิถีทาง คือ ไปสู่ๆจุดหมายปลายทาง ไม่เห็นแก่ตัว แล้วรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ.  ข้อนี้ขอให้สนใจให้มาก ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัว แล้วมันจะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ ; ดังนั้นหน้าที่ของศาสนาจึงมีหน้าที่เพียงแต่ทำลายความเห็นแก่ตัว, ทำลายความเห็นแก่ตัว เมื่อหมดความเห็นแก่ตัว จะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ โลกนี้ก็จะมีสันติภาพ.
          ศาสนามีหน้าที่ในการประสานสังคม  แต่ละสังคมให้หันไปหาธัมมิกสังคมนิยม ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น ศาสนาต้องเอาหัวใจของศาสนาของตนๆมาเป็นเครื่องยึดถือหรือเหนี่ยวรั้งของสังคม, สังคมก็จะน้อมนำไปสู่ธัมมิกสังคมนิยม.  ความรักโดยสภาพธรรมชาตินี้ได้เป็นแน่นอน.
          ถ้าเรียกว่ามีพระเจ้าก็มี ไม่มีพระเจ้าก็มี ศาสนาที่มีพระเจ้า มุ่งหมายสันติสุขของมนุษย์, ศาสนาไม่มีพระเจ้า ก็มุ่งหมายสันติสุขของมนุษย์ ;  เราใช้คำว่าพระเจ้าให้ถูกต้อง, ให้มีความหมายที่ถูกต้อง ว่าสิ่งที่มีอำนาจสร้างขึ้นมา, มีอำนาจควบคุมไว้, มีอำนาจทำลาย ยกเลิกเป็นครั้งคราว ;  มีอำนาจดูแลอยู่ในที่ทั่วไป, บังคับบัญชาอยู่ในที่ทั่วไป.  สิ่งนี้มีอยู่ เขาจะเรียกว่าพระเจ้าก็ตามใจเขา ; แต่เราเรียกว่ากฏของธรรมชาติ, สัจจธรรมของธรรมชาติ หรือ พระธรรม  ก็มีสิ่งที่มีหน้าที่อย่างเดียวนั่นแหละ ; ตรงกัน โดยอาศัยพระเจ้าก็ได้.  เอาคุณภาพของพระเจ้า อย่าเอาเปลือกของพระเจ้ามาเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งสังคม; การดับทุกข์มันต้องเป็นไปตามกฏข้อนี้แหละ.  ขอให้สนใจกันมากเป็นพิเศษ ว่าเรื่องราวการดับทุกข์นั้นมันเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ  เพราะว่าความดับทุกข์เกิดขึ้นตามกฏของธรรมชาติแหละเหมือนกันในทุกชีวิต.
          เดี๋ยวนี้คนถือศาสนาต่างกันมาก จนไม่ค่อยจะมองหน้ากัน ; แต่ไปดูเถอะว่าใน หัวใจของคนเหล่านั้น ซึ่งต่างศาสนากัน  นั่นแหละ มันก็มีกิเลสเหมือนกัน.  ความโลภของคนที่ถือศาสนาพุทธ ก็ไม่ต่างจากความโลภของคนที่ถือศาสนาคริสต์ อิสลาม พราหมณ์ฮินดู ซิกข์อะไร, ความโกรธก็เหมือนกัน, ความหลงก็เหมือนกัน.  ฉะนั้นความทุกข์ที่เกิดขึ้นมันก็เป็นความทุกข์เหมือนกัน, ถ้าไปดูกันที่ตัวกิเลส และตัวความทุกข์แล้ว  มันก็เหมือนกันดิกเลยของทุกคนที่ถือศาสนาต่างกัน.  เมื่อเป็นอย่างนี้มันก็ ควรจะมีสิ่งซึ่งแก้ทุกข์ หรือดับทุกข์ได้ร่วมกัน ไม่ว่าเขาจะถือศาสนาอะไร ; เหมือนอย่างว่าปัจจุบัน ใครจะถือศาสนาอะไรก็ตามใจ ถ้ากินน้ำตาลมันก็รู้สึกหวาน, ถ้ากินเกลือมันก็รู้สึกเค็ม.  ถ้ากินน้ำส้มมันก็รู้สึกเปรี้ยว, อย่างนี่ใช่ไหม? จะถือศาสนาอะไร มันก็ไม่เว้นที่ว่าจะต้องมีความเป็นอย่างเดียวกันอยู่ในด้านลึก.  หรือว่าจะมียาแก้โรคขึ้นมาในโลก แม้แต่ยาแก้ปวดศีรษะอย่างนี้ คนถือศาสนาอะไรซื้อไปกิน มันก็หายได้, ไม่ว่าจะถือศาสนาอะไร.  ทีนี้มันยิ่งกว่านั้นก็ว่า เมื่อกิเลสของคนก็เหมือนกัน ความทุกข์คนก็เหมือนกันในการที่จะดับทุกข์ มันก็เหมือนกันได้, เหมือนกับว่ายาแก้โรคทางฝ่ายกายใช้ร่วมกันได้อย่างนี้ ยาแก้โรคในทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ มันก็ใช้ร่วมกันได้อย่างนี้แหละ.
          ฉะนั้น ถ้าเขามาคิดนึกกันเสียใหม่ว่า ไม่พูดถึงว่าศาสนานั้นศาสนานี้ ; เอาแต่ว่ามีความทุกข์ มีกิเลส อยู่ในภายในอย่างไร, แล้ววิธีใดจะดับทุกข์และดับกิเลสเหล่านั้นได้ มันก็ใช้ได้ : เมื่อดับกิเลสหรือดับทุกข์ได้ มันก็หมดปัญหา.  จะประกาศตัวว่า ถือศาสนาอะไรก็ตามใจ แต่การดับกิเลสและดับทุกข์นั้น มีวิธีเดียวเท่านั้น สำหรับทุกคนเพราะว่ามันเหมือนกัน.
          ความโลภ ความโกรธ ความหลง ของใครก็ตาม ; จะถือศาสนาอะไรก็ตาม, อยู่ที่มุมโลกไหนก็ตาม, แม้พวกเทวดาบนฟ้าก็ตาม, สัตว์ในนรกก็ตาม, ถ้ามีกิเลส คือความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้วมันเหมือนกัน.  ฉะนั้นการที่จะดับกิเลสและความทุกข์ก็เป็นวิธีเดียวกัน.  นี่มันมีความที่จะต้องร่วมกัน ร่วมกัน ใช้ร่วมกัน ปฏิบัติร่วมกันได้ อยู่ในส่วนลึกของมนุษย์เรา.

วิธีดับทุกข์แบบพุทธศาสนาใช้ได้แก่ทุกชีวิต.
          นี่คือหนทางที่จะทำความเข้าใจระหว่างศาสนาของพวกเรา ที่เป็นพุทธบริษัท รับรู้ไว้ด้วย ว่าเรามีหลักวิธีที่จะดับทุกข์ ตามแบบของพุทธศาสนา, ท้าทายทั่วโลกทั่วจักรวาลเลยว่า เรามีวิธีดับทุกข์ชนิดนี้ ที่ใช้ได้แก่ทุกคน หรือทุกชีวิตที่มีอยู่ในโลก.  เขาก็จะบ่ายเบี่ยงโดยที่ว่ายึดมั่นถือมั่นในศาสนาในชื่อของศาสนาในประเพณี อะไรของศาสนา ไม่ยอมรับ ก็ดับทุกข์ตามแบบนี้ไม่ได้ ก็ตามใจเขา; แต่ถ้าเขายอมรับ ยอมศึกษา ยอมใคร่ครวญ แล้วก็จะมีเหตุผลแสดงเพียงพอว่า มันดับทุกข์ได้จริง. ถ้าเขามาถึงความเข้าใจนี้แล้ว เขาก็จะลองดู เมื่อเขาลองดูมันดับทุกข์ได้จริง, เขาก็ใช้วิธีนี้กับกิเลสและดับทุกข์ของเขาได้สิ้นเชิง ยังคงเรียกตัวเองว่า ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดู ซิกข์อะไรก็ตาม ; นี่มันจะเป็นได้ถึงอย่างนี้.
          อาตมามีความหวังลึกซึ้งอย่างนี้ จึงกล้าพูด ; ขอให้ช่วยกันทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ; แม้ว่าศาสนา บางศาสนายืนยันว่า ศาสนาจริงแท้มีแต่ศาสนาเดียว นอกนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ ; เขาพูดอย่างนั้นก็ได้ ; เขาพูดในพวกเขา สำหรับคนพวกเขา, แต่มันไม่เป็นความจริงสากล, ไม่ต้องออกชื่อศาสนาไหนดอก เขามีบทบัญญัติในศาสนาหนึ่งว่า ศาสนาแท้จริงมีแต่ศาสนาเดียว, ศาสดามีแต่องค์เดียว ความถุกต้องมีแต่ในศาสนานั้น, ศาสนาอื่นเป็นมิจฉาทิฏฐิ, นั้นมันพูดให้คนพวกหนึ่งฟัง พูดให้คนหนึ่งฟัง ไม่ใช่กฏของความจริงทั่วไป.  เราเสียอีกก็อาจจะพูดอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน; แต่เราได้รับคำสั่งสอนให้ละมานะทิฏฐิยึดมั่นถือมั่น เราก็ไม่ต้องพูดอย่างนั้น ; แต่เราจะพูดว่า ศาสนานี้มีวิธีการดับทุกข์อย่างนี้เป็นของสากล ดับทุกข์ได้แก่ชีวิตทุกชนิด ; ขอให้ลองดู.
          อย่างที่พูดมาแล้วว่า ถ้ามีความเห็นแก่ตน มันก็เกิดโลภ โกรธ หลง มันมีความทุกข์, ทุกชีวิตจะเป็นอย่างนั้น.  ถ้าดับความเห็นแก่ตัวเสียได้ ก็ไม่อาจจะเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง, มันก็ไม่มีความทุกข์.  นี่เป็นของสากลของธรรมชาติ, เป็นกฏเกณฑ์ของธรรมชาติอันลึกซึ้ง ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบและนำมาเปิดเผย.
          มีบาลีหลายแห่งที่เป็นการยืนยัน, ตรัสว่าพระองค์เป็นผู้นำมาเปิดเผย, ใช้คำว่า “เปิดเผย” กระทำให้งมงาย ทำให้ตื้น, กระทำให้แจ้ง เป็นผู้เปิดเผยความจริงอันลึกซึ้งของธรรมชาติ ซึ่งพระองค์ก็ทรงเคารพกฏเกณฑ์อันนั้น, เป็นกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ซึ่งเรียกว่าธรรมะ.  ธรรมะนี้เหนือพระพุทธเจ้า  ยังมีสิ่งซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเคารพคือกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ตามที่บังคับธรรมชาติให้เป็นไปอย่างไร : ทำอย่างนี้เป็นทุกข์, ทำอย่างนี้ก้ไม่เป็นทุกข์.
          นี้เป็นกฏลึกซึ้ง ซึ่งพระองค์ทรงค้นพบ และทรงนำมาเปิดเผย, และทรงย้ำมาก ทุกคราวที่กล่าวถึง อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท ; จะมีว่าตถาคต เป็นผู้เปิดเผย เป็นผู้กล่าว เป็นผู้ประกาศ เป็นผู้บอก ท่านทั้งหลายจงมองเห็นอย่างยนี้ว่า : อวิชชา เป็นปัจจัยเกิดสังขาร – สังขารเป็นปัจจัยเกิดวิญญาณ อย่างนี้เป็นต้น ทุกข้อๆทีละข้อละข้อ. พระพุทธเจ้าเป็นผู้เปิดเผยสัจธรรมอันแท้จริงสูงสุดที่พระพุทธองค์ได้ทรงเคารพ นำมาเปิดเผยให้พวกเรารู้, แล้วก็จะดับความทุกข์เสียได้.  ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ นั่นแหละมันเป็นเรื่องที่คนว่าเอาเอง, คนเขาว่าเอาเอง คนใดคนหนึ่งตั้งตัวเป็นศาสดา แล้วก็ว่าเอาเองอย่างนั้นอย่างนั้น มันผิดจนเป็นมิจฉาทิฏฐิโดยประการทั้งปวง.  แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิแล้วมันตรงกับกฏของธรรมชาติอันตายตัวโดยเด็ดขาด อย่างชัดแจ้งในการที่จะดับทุกข์ได้.
          จะมีพระเจ้าถือกันหลายๆองค์นานาชนิด ก็ตามใจเถอะ ; ขอให้มองเห็นว่า ความมุ่งหมายอันแท้จริงของพระเจ้า พระเจ้าองค์นั้นๆชื่อนั้นๆมันเป็นอย่างไร; เช่น ถ้าว่าพระพรหม พระพรหมเป็นผู้สร้าง มันก็คือกฏ อิทัปปัจจยตาฝ่ายสมุทยวาร, ถ้าพระเจ้าผู้คุ้มครองรักษาก็เป็นกฏของกรรม ถ้าเป็นพระเจ้าผู้ทำลายล้าง คือพระอิศวร มันก็กฏของอิทัปปัจจยตาฝ่ายนิโรธวาร  ซึ่งจะขึ้นลงขึ้นลงกลิ้งไปอย่างนี้ในสากลจักรวาล เต็มไปด้วยความเป็นไปแห่งความเปลี่ยนแปลงตามกฏอิทัปกปัจจยตา.
          โลกเดียวกัน มนุษย์อยู่ร่วมโลกเดียวกัน จะมองเหก็นปัยหาของตนต่างๆกัน ตามมิจฉาทิฏฐิ ตามสัมมาทิฏฐิที่จะได้รับเข้ามา ทั้งที่มันอยู่ในโลกเดียวกัน  มันยังมองเห็นต่างๆกัน.  ฉะนั้นจึงเข้าไปรับเอามายึดมั่นถือมั่นในลัทธิคำสอนนั้นๆตามความพอใจของตน, นี่มันจึงเกิดได้หลายลัทธิ หรือเกิดได้หลายศาสนา แล้วก็ทะเลาะกันด้วยเรื่องความมีศาสนาหลายศาสนา.
          เราจะมองดูคล้ายความหวังดี ตามแบบพุทธบริษัทว่า ไม่มีศาสนาใดผิดโดยประการทั้งปวง; อย่างน้อยมันก็มีประโยชน์เหมาะสมแก่มหาชนในถิ่นนั้นๆ.  มหาชนในถิ่นที่ป่าเถื่อนที่สุด รับธรรมะอันละเอียดลึกซึ้งไม่ได้, ก็ต้องมีธรรมะง่ายๆตื้นๆสำหรับคนพวกนั้น จนกระทั่งถึงว่าในระดับงมงายเป็นไสยศาสตร์อย่างนี้มีอยู่มาก.  แต่มันก็จำเป็นที่จะเป็นเช่นนั้น ; ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็จะไม่ถือลัทธิอะไร หรือศาสนาใดๆเอาเสียเลยมันจะยิ่งร้ายไปกว่า. ถ้างมงาย มันก็รับประกันได้ว่ามันกลัวตายทั้งนั้นแหละ ; เพราะฉะนั้นมันก็ถือลัทธินั้นเพื่อขจัดความกลัวตาย ความอันตรายใดๆมันก็พอจะไปกันได้ ; มันไม่ผิดโดยส่วนเดียว, มันมีส่วนเดียว, มันมีส่วนดีที่มีประโยชน์แก่มหาชนกลุ่มหนึ่งๆ หรือสมัยหนึ่ง ยุคหนึ่งๆถิ่นหนึ่งๆในโลกอันกว้างขวางนี้ มันก็จะแก้ปัยหาของมหาชนในที่นั้นๆได้ด้วยศาสนาหนึ่งๆที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในถิ่นนั้นๆ.

ทุกศาสดามุ่งทำลายความเห็นแก่ตัว
แต่สาวกทำผิด.
          แต่ถึงอย่างไรก็ดี  ยังขอยืนยันว่า ทุกศาสนาพระศาสดามุ่งหมายจะทำลายความเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกิเลสและเกิดความทุกข์ ; เห็นแก่ตัวแล้วก็ทำตัวนั้นให้เป็นทุกข์ด้วย เพราะความเห็นแก่ตัว, ความเห็นแก่ตัวจึงทำลายทั้งตัวเองและทำลายทั้งผู้อื่น  มันก็เป็นสิ่งที่พระศาสดาทั้งหลายมองเห็น และก็มุ่งหมายที่จะกำจัดเสีย.
          ต้องมองความจริงกันสักข้อหนึ่งว่า  พระศาสดาแห่งศาสนานั้นๆก็ไม่ใช่คนใจร้ายอำมหิต บัญญัติศาสนาขึ้นก็ด้วยความรัก ความเมตตากรุณาเอ็นดูต่อมหาชน ที่อยู่ในแวดวงของการชักนำของตนๆรักมหาชน, บัญญัติคำสอนขึ้นมาเพื่อจะแก้ปัญหาของมหาชนเหล่านั้น มันก็ต้องมีส่วนดี เป็นประโยชน์แก่มหาชนที่นั้น ส่วนนั้นในยุคนั้น ในถิ่นนั้น เป็นแน่นอน, ไม่มีศาสนาใดที่จะผิดโดยส่วนเดียว.
          ปัญหามันค่อยๆเกิดขึ้น, ค่อยๆเกิดขึ้นเมื่อกาลล่วงมานาน หลังจากการดับขันธ์แห่งศาสดา นั้นๆแล้ว.  สาวกของพระศาสดานั้นๆ ค่อยเพิ่มเติมอะไรเข้าไปบ้าง บิดผันอะไรเสียบ้าง, ไปเพิ่มเติมสิ่งที่เป็นเปลือก เนื้องอกมะเร็งร้าย ให้แก่ศาสนาของตนเอง เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างอื่น โดยไม่มองเห็นว่า นี้จะเป็นการทำให้ศาสนาเลอะเลือนไป ; ศาสนาทั้งหลายจึงถูกพอกหุ้มด้วยของใหม่, ไม่ยกเว้นแม้แต่พระพุทธศาสนาอันเป็นที่รักยิ่งของเรา.
          ดังนั้นจึงมีพระพุทธศาสนาส่วนที่เป็นหัวใจแท้ๆ; เหมือนกับน้ำอันบริสุทธิ์ แล้วก็มีของหุ้ม เปลือกนอกที่เติมเข้าไป สีสันวรรณะต่างๆตามสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นหรือมันบังคับ, หรือมีเหตุปัจจัยภายนอกเข้ามาบังคับ, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมัยนี้มีอำนาจวัตถุนิยมครองโลก พุทธศาสนาก็ดิ้นรนเพื่อจะต่อสู้, มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขภายนอกบ้างเป็นธรรมดา.  มันก็น่าเห็นใจว่าผู้ที่จะแก้ไขนั้นก็ทำไปด้วยความหวังดี, ไม่มีใครหวังร้ายที่จะทำลาย ; แต่แล้วมันก็บิดผันให้ศาสนาเดิมแท้นั้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนไป จนเสียรูปจนเป็นอย่างอื่นไป.
          ข้อนี้ขอย้ำ ขอยืนยันไว้อีกครั้งหนึ่งว่า  การที่พุทธศาสนาหมดไปจากอินเดีย สูญสิ้นไปจากอินเดียนั้น อย่าไปโทษพวกอิสลาม หรือพวกอะไรเลย, จงโทษพวกพุทธ เจ้าหน้าที่ของพุทธศาสนาในยุคนั้นๆในถิ่นนั้นๆสอนผิด, สอนผิดไปจากหลักเดิมแท้ของพุทธศาสนา  ไปทีละน้อยทีละน้อย จนกลายเป็นศาสนาอื่น,  กลายเป็นศาสนาฮินดู ไปเสียอีก ; ส่วนที่เป็นของจริง ของแท้ เรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา ตถตายกเลิกไป.  มันก็มาเหลือแต่ศีลธรรมดา ก็กลายเป็นฮินดู, หรือมันเป็นไปตามเรื่องที่แวดล้อมอยู่คือมหาชนเหล่านั้น เขาจะรอดได้โดยวิธีใด เขาก็เอาโดยวิธีนั้น.
          นี่ เกิดจากการสอนพุทธศาสนาผิดไปจากเดิม, ผิดไปจากเดิม แล้วก็ไปคล้ายศาสนาฮินดูเดิม ซึ่งก็เป็นศาสนาพื้นบ้านมากขึ้นทุกที มันก็หมดไปจากอินเดีย เพราะสอนศาสนาตัวเองผิด จนกลายเป๋นศาสนาอื่นไป, แล้วจะไปโทษ ไปหาความว่า ศาสนาอิสลามรุกรานทำลายล้าง เป็นต้น.  มันเป็นเรื่องหลับตาพูดเสียมากกว่า, มองไม่เห็นว่า มันเป็นการทำผิดของเจ้าหน้าที่ทางศาสนา.  ผู้สอนศาสนาในที่นั้น ในยุคนั้น ในเวลานั้น สอนผิดจนละลายหายสูญไปในศาสนาฮินดู เหลืออยู่แต๋ศาสนาฮินดู ซึ่งมีหลักการเป็นพื้นฐานทั่วไปในประเทศอินเดีย;  นี่เนื้องอกเปลือกหุ้มของศาสนา มันเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้.  แม้ในประเทศไทยของเรา มันก็ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปตามที่มันมีเหตุปัจจัยภายนอกแวดล้อม ; วงการที่ทรงอำนาจ ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงให้เกิดความปนเป กันอย่างนี้ก็ได้.
          สังเกตเห็นได้ว่า ผู้ครองเมืองในยุคโบราณ แม้ในสมัยศรีวิชัยพันกว่าปีมานี้ วัดที่กล่าวถึงขนาดนั้นแล้ว จะต้องมีโบสถ์ของศาสนาพราหมณ์อยู่ด้วยโบสถืหนึ่งเสมอไป, แล้วส่วนมากก็อยู่ทางทิศตะวันออกของวัดนั้น ; วัดพระธาตุก็มีโบสถ์พราหมณ์อยู่ทางทิศตะวันออก, วัดไชยาราม คือวัดศาลาเก่า ก็มีโบสถ์พราหมณ์อยู่ทางทิศตะวันออก, วัดอิฐทางทุ่งโน้นก็มีโบสถ์พราหมณ์ อยู่ทางทิศตะวันออก, แต่ละวัดๆมีโบสถ์ของฮินดูอยู่ทางทิศตะวันออก หรือจะทิศใดก็ตามใจ, เรียกได้ว่ามันมีคู่กัน นี่คล้ายๆกับว่ามันเป็นลัทธิที่เหมาะสมสำหรับเด็กๆสำหรับผู้หญิง ; นี้ขออภัยที่ต้องใช้คำอย่างนี้ หมายถึงว่าผู้ที่ยังอ่อนด้วยปัญญา, มีปัญญาอ่อน จะต้องศึกษากันง่ายๆอ้อนวอนพระเจ้า, อ้อนวอนบูชาพระเจ้าง่ายๆเข้าใจง่ายๆพอใจกันก่อน, แล้วจึงเข้ามาถึงในวัดที่เป็นส่วนของพุทธศาสนา มีธรรมะที่ลึกเข้าไปลึกเข้าไป แล้วมันก็ค่อยๆสูงขึ้นไป มันก็ค่อยๆละมาตามลำดับ.  คงจะเป็นผู้มีอำนาจต้องการให้เกิดความง่ายดายในการที่จะทำให้ประชาชนมีศีลธรรมเท่านั้นแหละ จึงได้มีลัทธิอย่างนี้ผนวกเอาไว้.

ในพระพุทธศาสนายังมีเรื่องเพิ่มปนอยู่มาก
          เดี๋ยวนี้ก็ยังเห็นได้ชัดว่า ในพุทธศาสนาของเรา มีเรื่องของไม่ใช่พุทธเข้ามารวมอยู่มาก ; แต่อย่าไปออกชื่อเลย มันกระทบกระเทือน, สรุปความได้ว่า มันมีไสยศาสตร์, ศาสตร์ของคนหลับ  เข้ามาปนอยู่ในศาสตร์ของคนตื่นอยู่ไม่น้อย.  นี้ก็เป็นหน้าที่ของเรา ที่จะระมัดระวังเอาเอง, ระมัดระวังให้ดี  แล้วก็ไม่ต้องเกิดการกระทบกระทั่งกัน.  ถ้าในวัดนี้มี 2 โบสถ์  โบสถ์พราหมณ์เอาไว้สำหรับขั้นต้น สำหรับขั้นเตรียม, โบสถ์พุทธก็มีสำหรับขั้นประถมขั้นมัธยมอะไรต่อไป สำหรับพุทธบริษัท ทั้งที่พระราชามหากษัตริย์นั้นๆถือพุทธศาสนา  ก็คงจะได้ยอมให้มีโบสถ์พราหมณ์ฮินดูอยู่ในวัดของพุทธศาสนา.  การขุดค้นโบราณสถานสมัยศรีวิชัย วัดแก้วที่ไชยานี้พบศิวลึงค์ตั้งหลายดุ้น ; ต้องใช้คำว่าหลายดุ้น ศิวลึงค์อยู่ในเจดีย์  รวมกันอยู่กับพระพุทธรูป ฝังดินลึกอยู่เป็นร้อยๆปีเป็นพันปีๆปี  มันไปพบในที่แห่งเดียวกัน.  ศิวลึงค์เข้าไปอยู่ในโบสถ์ของพุทธได้โดยง่าย เพราะว่า ถ้าถิ่นนั้นมันมีคนประชาชนที่ถือลัทธิอย่างนั้น เป็นชาวบ้านเป็นประชาชนที่ถือลัทธิอย่างนั้น เป็นชาวบ้านเป็นประชาชนส่วนใหญ่ มันก็ย่อมต้องการที่จะมี.  ทีนี้ผู้ปกครอง ผู้มีอำนาจผู้ปกครองก็ยินดียอมให้มี มันก็เลยไปไหว้พร้อมๆกันไป ; ใครชอบใจอย่างไรก็เลือกไหว้.  นี่เป็นความปนเป เกิดขึ้นโดยความจำเป็นบังคับ  โดยวงการที่ทรงอำนาจมองเห็นประโยชน์อย่างนั้น.

          ฉะนั้น  ขอให้เรารู้จักแยก, แบ่งแยก และรู้จักประสาน กลมกลืนกันไป อย่าต้องทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องนี้เลย.  ศาสนาพุทธก็ทำลายความเห็นแก่ตัว, ศาสนาคริสต์ก็ทำลายความเห็นแก่ตัว, ศาสนาอิสลามก็ทำลายความเห็นแก่ตัว  ในส่วนนั้นมันเหมือนกัน ; ส่วนเปลือกนอกนั้นก็อย่าไปพูดถึงกันก็ได้ มันมีวิธีการที่ต่างกัน, ขอแต่ให้ได้ผลเป็นการทำลายความเห็นแก่ตนด้วยกันทั้งนั้น จะเกิดความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา ; นี่มันก็เป็นผลดีแก่ประชาชน.
          ศาสนาถูกบิดผันเพิ่มเติม  ผนวกให้มีส่วนที่มิใช่หลักเดิมแท้ของศาสนานั้น เข้ามาด้วยกันทุกศาสนา, ต้องพูดว่า ทุกศาสนา.  หรือจะว่าสาวกชั้นหลังๆมาเห็นแก่ประโยชน์ทางวัตถุ ก็ยิ่งเพิ่มเติม แก้ไข บัญญัติอะไรขึ้นมาจนถึงกับว่าการทำลายศาสนาอื่นนั้นได้บุญ  อย่างนี้ไปเสียก้ได้, การดูดซึมดูดซับเอาศาสนิกชนของศาสนาอื่นมาสู่ศาสนานี้เป็นการดี.  นี่เป็นขบถต่อพระเป็นเจ้าของตนเอง  พระเป็นเจ้าของตนเองไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ; ลูกศิษย์ทำดีเกินไป จึงเกิดระบบคำสอนที่ว่า ดึง ดูด ล้าง แย่งชิงเอาศาสนิกของศาสนาอื่นมาสู่ศาสนาของตน นั่นแหละเป็นความพอใจของพระเจ้า ; นี่โกหกชัดๆ, ไม่มีพระเจ้าที่ไหนต้องการอย่างนั้น.  ฉะนั้นขอให้เรารู้จักแยก ว่าอะไรเป็นแก่นแท้, อะไรเป็นเปลือกนอก, แล้วก็อย่าไปยอมรับการกระทำของสาวกชั้นหลัง ที่เห็นแก่ประโยชน์มากขึ้นทุกที, มีความบริสุทธิ์ใจน้อยลงทุกที ก็บิดผันศาสนาของตน จนกลายเป็นเกือบจะตรงกันข้ามกับความหมายเดิม.

ศาสนาเปลี่ยนแปลงไปต้องช่วยกันแก้ไข.
          ทีนี้ก็มาดูต่อไปถึงข้อที่ว่า  ศาสนาจะเปลี่ยนแปลงได้มากนั้น ก็เพราะว่า มันมีอำนาจ วงการที่มีอำนาจเข้ามาครอบงำ ; เช่น เรื่องทางการเมือง วงการที่มีอำนาจเข้ามาครอบงำศาสนา ต้องการจะใช้ศาสนา หรือกิจกรรมทางศาสนา เป็นเครื่องมือของการเมือง เช่นในการหาเมืองขึ้น, ในยุคสมัยที่มีการล่าเมืองขึ้นนั้นแหละ  ศาสนาได้ถูกใช้ให้เป็นเครื่องมือในการล่าเมืองขึ้น อย่างสำเร็จประโยชน์ด้วย.  นี่เขาเรียกว่าถ้าศาสนาถึงขนาดนี้แล้ว  มันก็เปลี่ยนแปลงไปมาก, เป็นศาสนาเนื้องอก, ศาสนาที่อยู่ใต้อิทธิพลของการเมือง.  เราไปยึดมั่น ถือมในว่า นั่นเป็นศาสนาอันถูกต้องของเขา ; จะต้องเห็นอกเห็นใจว่า เขาก็ถุกกระทำอย่างนั้น มีความจำเป็นอย่างนั้น.  เราก็ควรจะช่วยเหลือเขาอยู่ร่ำไป, ให้อภัยแก่เขา มาพูดจากันใหม่ ตกลงกันใหม่ ว่าจะเอากันอย่างนี้อย่างนี้  คือช่วยกันทำลายความเห็นแก่ตัวของคนในโลก.

          ทุกศาสนามาจับมือกันเป็นสหกรณ์  ช่วยกันคนละไม้ละมือ  เพื่อทำลายล้างความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ในโลกนี้ให้หมดไป ;  งานสหกรณ์อันยิ่งใหญ่ ทำขึ้นเพื่อช่วยโลกอย่างนี้  นั่นจะตรงกับความหมายของพระเจ้าที่แท้จริง, เพราะถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่แท้จริง ต้องมีความหวังดีต่อสัตว์โลก,  ฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นความสุขสวัสดีแก่สัตว์โลกนั่นแหละ  จะเป็นที่พอใจของพระเปแนเจ้าที่แท้จริง  ถ้าพระเป็นเจ้าต้องการเห็นความทุกข์ยากลำบากในโลก  ต้องการจะเห็นความแตกแยกในโลก  ต้องการเห็นการต่อสู้ระหว่างศาสนาแล้ว  นั่นมันเป็น พระเจ้าเก๊ พระเจ้าปลอม ซึ่งจะมีอยู่ไม่ได้, ซึ่งจะต้องค่อยๆทำลายตัวเองไป.  พระเจ้าที่แท้จริงต้องมีเจตนารมณ์ในการช่วยโลกให้อยู่เป็นสุข ทั้งส่วนตัวบุคคลและส่วนสังคม.
          นี่เราจะต้องให้อภัยกันว่าไม่มีศาสนาไหนผิดโดยประกหารทั้งปวง ; แต่แล้วมันก็ต้องมีการแตกต่างกันบ้าง เพราะมีสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยอันรุนแรงมีอำนาจนั้น มันเข้ามาแวดล้อม เข้ามาบังคับ เข้ามาผสม เข้ามาปลอมปน.

          อย่างประเทศธิเบตอย่างนี้  พุทธศาสนาเข้าไปในประเทศธิเบต มันจำเป็นที่จะต้องผสมกันเข้าไปกับศาสนาเดิมของธิเบต  ที่เรียกกันว่า บอนปะ มันเป็นไสยศาสตร์ถือผีสางอะไรเต็มที่  เป็นศาสนาเดิมของธิเบต ; ดังนั้นพุทธศาสนาเข้าไปธิเบต  ต้องไปผสมกัน ก็เลยเกิดปัยหา.  ในพิธีทางพุทธศาสนาก็มีวิธีการอย่างไสยศาสตร์ ; อย่างเช่นบวงสรวงภูตผีปีศาจอย่างนี้ก็มี.  นี้ต้องให้อภัย  ต้องเห็นใจว่า เป็นธรรมดาที่มันจะต้องเป็นอย่างนั้น ; เช่นเดียวกับที่เราจะต้องให้อภัยแก่บุคคลแต่ละคน, ในส่วนบุคคลนี่ ถ้าเขามีความเข้าใจผิด หรือมใความจำเป็นอะไรบางอย่าง ที่ต้องทำให้เขามีอะไรๆที่ผิดแปลกไปจากเราบ้าง  ก็ค่อยให้อภัยเขา, แล้วก็ค่อยๆชักจูงเกลี้ยกล่อมตักเตือนเขาหมุนมาสู่แนวทางที่ถูกต้อง ; นี้เป็นการร่วมมือชักจูงกันให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ร่วมมือกันเพื่อสันติสุขของมนุษย์.

แนวทางที่จะร่วมมือกันได้.
          ทีนี้ก็จะพูดถึงหนทาง ที่จะทำให้ร่วมมือกันได้ คือจะแก้ปัญหานี้ได้ หนทางก็มีอยู่ ด้วยการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน  ซึ่งเป็นหัวข้อแห่ปณิธานข้อนี้ว่า การทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน พยายามพูดจากัน ; แม้ว่าขณะนี้เราจะรบกันอยู่ ก็ต้องแลกความเข้าใจธรรมะซึ่งกันและกัน, เคยเขียนบทความขึ้นมาเรื่องหนึ่ง ให้ชื่อว่า “รบกันพลางและธรรมะกันพลาง”  ถ้าว่าโลกปัจจุบันนี้ รบกันไปพลาง แล้วก็มีการแลกธรรมะอันแท้จริงกันไปพลาง ก็จะแก้ไขความเข้าใจผิดนั้นได้เร็วขึ้น.  จะเลิกรบกันได้ง่ายขึ้น.  แต่เดี๋ยวนี้วัฒนธณรมที่เขาแลกเปลี่ยนกัน, มันกลายเป็นเรื่องส่งเสริมกิเลสไปเสีย มันไม่ใช่ธรรมะ.  น่าสงสารที่ว่าวัฒนธรรมแลกเปลี่ยนระหว่างชาตินั้น คือระบำบัลเล่ย์ที่ท่าทางแปลกๆประหลาดออกไป จนเหมือนกับคล้ายผีบ้า, เต้นรำเหมือนกับผี ต้องเป็นผีที่บ้าเสียอีก ไม่ใช่ผีธรรมดา. นั่นแหละเป็นวัฒนธณรมที่เขาเอามาแลกเปลี่ยนกัน คือระบบบัลเล่ย์, ไม่มีความพยายามที่จะแลกเปลี่ยนธรรมะด้วยความเข้าใจถูกต้อง เอามาเป็นวัฒนธรรมสำหรับเปลี่ยนกัน.  เมื่อเป็นดังนี้โลกนี้มันก็เลวลง, มนุษย์ก็เลงลง ก็ตกเป็นเหยื่อของกิเลสมากขึ้น ; มันไม่มีทางจะทำความเข้าใจกันได้ ถ้ามัวแต่เพิ่มหรือยุกันด้วยวัฒนธรรมที่ส่งเสริมกิเลส.
          มัน จะต้องทำความเข้าใจกันเสียใหม่ให้ถูกต้องว่า สิ่งอะไรที่มันจะช่วยโลกได้ ช่วยมนุษย์ได้; เรามีคำตอบในพุทธศาสนาของเรา ซึ่งจะตอบด้วยเสียงอันดังลั่นก้องโลกไปเลยว่า สัมมาทิฏฐิโว้ย, เราจะต้องแลกเปลี่ยนสิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิแก่กันและกัน  ความรู้ความเข้าใจอันถูกต้องว่า อะไรเป็นความทุกข์, อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์, อะไรเป็นความไม่มีทุกข์โดยแท้จริง, อะไรเป็นหนทางให้ถึงความไม่มีทุกข์โดยแท้จริง; นี่ถ้าเรามาสนใจกันแต่อย่างนี้ มันก็เกิดสัมมาทิฏฐิเพิ่มขึ้นๆ.
          ดังที่กล่าวมาแล้วว่า  มนุษย์ทุกคนในโลก จะประกาศตัวว่า ถึงศาสนาไหน เป็นชาติอะไร มันก็มีกิเลสเหมือนกัน, และมีความทุกข์เหมือนกัน ; แล้วมันก็ จะพบเองว่า ความไม่มีกิเลสนั่นแหละคือความไม่มีทุกข์ แล้วก็จะพบหนทาง หนทางถูกต้องว่าทำอย่างนี้จึงจะไม่มีกิเลส ; เมื่อไม่มีกิเลส ก็ไม่มีความทุกข์, นี่คือสัมมาทิฏฐิ.

          แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีใครเป็นเจ้าของโลกที่จะจัดโลกได้อย่างนั้นอย่างนี้ มันแย่งชิงกันจัดโลก, แย่งชิงกันเป็นเจ้าโลกที่จะครองโลก  นี่  จนแบ่งเป็นฝ่ายขวา ฝ่ายซ้าย ; อย่าไปออกชื่อ, ก็เห็นๆกันอยู่ ว่าสงครามนี้มันทำแก่กันและกัน แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายกันเพื่อจะครองโลก, ทำคนเดียวไม่ได้ก็ต้องหาพรรคพวกมาร่วมมือกันสำหรับจะครองโลก, แล้วก็จะค่อยแบ่งกันทีหลังก็ได้.  คิดไปเสียแต่ในทางที่จะครองโลก ตามวิสัยแห่งวัตถุนิยม, คือ ถือเอาความสุขสนุกสนานเพลิดเพลิน เอร็ดอร่อยทางวัตถุเป็นหลัก จึงต้องมีกฏเกณฑ์อะไรๆ ที่จะบัญญัติความจริง หรือบันทึกประวัติศาสตร์ หรืออะไร ก็โดยวัตถุเป็นหลักทั้งนั้นเลย, รวมกันเข้าแล้วก็เป็นวัตถุนิยมที่สมบูรณ์, มีความโง่อย่างสมบูรณ์คือติดในรสของวัตถุ แล้วก็ใช้กฏเกณฑ์ของความจริงอาศัยหลักทางวัตถุ.  รวมกันแล้วเป็นวัตถุนิยม, วัตถุนิยมกำลังครองโลก มันก็เป็นการยากลำบากแก่มนุษย์.  มนุษย์ผู้ไม่มีสัมมาทิฏฐิ ผู้โง่เขลา ไม่รู้จะเดินไปในทิศทางไหน ; ถ้าไปฝ่ายซ้ายก็เป็นพวกซ้าย ถ้าไปฝ่ายขวา ก้เป็นพวกขวา, จะเดินอยู่ตรงกลางก้เดินไม่ถุก มันเดินไม่ถุกนี่.  มันจะต้องสัมมาทิฏฐิ เดินอยู่ตรงกลางให้มันถูก เพราะถุกกับความจริงของธรรมชาติ, พระบาลีที่ว่า สมฺมาทิฏฐิ สมาทานา สพฺพํ ทุกขํ อุปจฺจคํ ; นี่ถูกต้องตรงกับเหตุการณ์ของโลกอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าถุกต้อง ถุกต้องยิ่งกว่าถุกต้อง ความทุกข์หรือปัญหาใดๆในโลก ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น จะแก้ไขก้าวล่วงไปเสียได้ ด้วยการมีสัมมาทิฏฐิ.

ศึกษาคำว่า “สมาทาน” กับ “อุปาทาน” ให้เข้าใจ.
          เอ้อ ตรงนี้ก็ถือโอกาสพูดเสียด้วยว่า เรามีความผิดพลาดกันอยู่อย่างหนึ่ง คือเกี่ยวกับคำว่ายึดมั่นถือมั่น, ในที่นี้ พระบาลีมีว่า สมฺมาทิฏฺฐิสมาทานา, คือ สมาทาน เพราะการสมาทานสัมมาทิฏฐิ.  พระบาลีไม่ได้ใช้คำว่า สัมมาทิฏฐิอุปาทานา ; มีคำว่าสัมมาทิฏฐิ สมาทานา.  คำว่าสมาทาน กับคำว่าอุปาทาน นี้ต่างกันลิบ, เรามีการปฏิบัติในเรื่องนี้ผิดกันอยู่โดยมาก มากจนอย่างน่าตกใจคือทำด้วยอุปาทาน.  ท่านทั้งหลายถือศีลด้วย อุปาทานไม่ได้ถือศีลอย่างสมาทาน แม้จะใช้คำว่าสมาทาน แต่ท่านทำมันด้วยอุปาทาน, ทำอย่างอุปาทาน.  ทำบุญ ทำทาน ถือศีล สวดมนต์ภาวนาอะไร ก้ทำอย่างอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่น  มันเลยกลายเป็น สีลัพพัตตปรามาส ไปหมดสิ้น, ไม่เหลืออยู่เป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา อะไรที่ถูกต้อง : ให้ทานก็ด้วยอุปาทาน, รักษาศีลก็ด้วยอุปาทาน, เจริญสมาธิก็ด้วยอุปาทาน, เจริญวิปัสสนาก็ด้วยอุปาทาน, แล้วยังหวังเอามรรค ผล นิพพาน ด้วยอุปาทาน ตามแบบของตนๆอีก.  อย่างนี้มันเป็นอุปาทาน มันล้มละลายหมด มันไปได้เป็นฝักใฝ่ของฝ่ายความทุกข์ไปเสีย ; จะต้องทำด้วยสมาทาน : สมาทาน แปลว่า ถือเอาอย่างดี, อุปาทานถือเอาอย่างยึดมั่นถือมั่น, อย่าถือเอาด้วยความยึดมั่นถือมั่น.

          เมื่อข้าพเจ้ากล่าวคำนี้ออกไป ก็มีคนค้านและคนด่าว่าไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นอะไร แม้แต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.  นี้ขอยืนยันว่า จริง-จริง, และนี้คือตรงตามพระพุทธประสงค์.  พระองค์มีพระพุทธประสงค์ให้เราทำอะไรๆแก่พระรัตนตรัยได้ลักษณะที่เป็นสมาทาน, ไม่ทรงประสงค์ให้เรากระทำไปในลักษณะที่เป็นอุปาทาน มันจะเป็นอุปาทาน  มันจะเป็นสีลัพพัตตปรามาส โง่เขลางมงายผิดความมุ่งหมายไปหมด ; มันจะเป็น สัจจาภินิเวส ฝังตัวเข้าไปอย่างโง่เขลา, ฝังตัวลึกไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นอย่างโง่เขลา มันก็วินาศหมด, มันเกิดความถูกต้อง เป็นสัมมาสัมมาขึ้นมาได้ เป็น มิจฉา มิจฉา โดยไม่รู้สึกตัว เป็นมิจฉาอย่างเพลิดเพลิน อย่างสนุกสนาน, ลึกเข้าไปเป็นสัจจาภินิเวส แล้วอวดดีหราก้าอยู่ทีเดียวว่าของฉันเท่านั้นแหละดี ของฉันเท่านั้นแหละถูก ของแกไม่ดี ของแกผิดของแกเลวทราม ใช้ไม่ได้, ดูถูกกันและกันในระหว่างเพื่อนบริษัทด้วยกันว่า แกผิด แกเลว, ของฉันเท่านั้นแหละถูกและดี ; นี่มันทำไปด้วยอำนาจของอุปาทาน.
          จึงขอร้องว่า อย่าได้ทำดีด้วยอุปาทาน ซึ่งมันมีมูลจากอวิชชา ; จงทำไปด้วยสมาทาน ซึ่งมีมูลมาจากวิชชา หรือปัญญา หรือโดยเฉพาะก็คือสัมมาทิฏฐิ.  สมาทานนี่มันมีความหมาย หรือมีน้ำหนักตรงกับคำว่า สังกัปปะองค์แห่งมรรค.
          อริยมรรคองค์แรกก็สัมมาทิฏฐิ เห็นตามที่เป็นจริงว่า อะไรเป็นอะไร อะไรเป็นอย่างไร ครบถ้วนแล้ว มันก็มีความต้องการที่จะได้สิ่งที่ควรจะได้.
          องค์ที่ 2 นี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ มันเป็นความต้องการ เป็นความปรารถนาด้วยอำนาจของสติปัญญา ไม่เป็นกิเลสตัณหา, ความต้องการที่จะดับทุกข์, ความต้องการที่จะบรรลุนิพพานด้วยสติปัญญานั้นไม่เป็นกิเลสตัณหา.  ถ้ามันโง่เขลางมงาย ต้องการนิพพานตามทัศนะของตนๆอย่างที่สืบๆกันมาอย่างโง่เขลา ; ถ้าอย่างนี้แล้ว ความต้องการนิพพานนั้นก็กลายเป็นกิเลสตัณหาไปได้เหมือนกัน.
          อย่าสอนกันผิดๆ และอย่ารับคำสอนมาผิดๆว่า ถ้ามันเป็นความอยาก เป็นความต้องการ แล้วจะเป็นกิเลสตัณหาไปเสียทั้งนั้น ; นั้นมันหลับตาพูด มันต้องแยกให้ชัดลงไปว่า ความต้องการนั้นมาจากอวิชชา หรือ มาจากวิชชา : ถ้าความต้องการนั้นมาจากอวิชชา แน่นอน เป็นกิเลสตัณหาทั้งนั้นเลย, แต่ถ้าความต้องการนั้นมาจาก วิชชา มีความรู้อย่างแจ่มแจ้งถูกต้องอยู่ ความต้องการนั้นไม่เป็นกิเลส ไม่เป็นตัรหา, จะเรียกว่า สังกัปปา หรือความปรารถนาอันถูกต้อง  อะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่กิเลสตัณหา.

          ความยุ่งยากลำบากในภาษาไทย มันไม่มีคำแยกใช้เรียกว่า ความอยาก ความอยากไปเสียหมด ; ทีนี้ความอยากมันมี 2 ชนิด : อยากด้วยอวิชชา, หรือมันอยากด้วยวิชชา, คือมันอยากอย่างผิดๆ หรือมันอยากอย่างถูกต้อง.  ถ้ามีความอยากอย่างถูกต้อง ไม่ใช่ความโลภ ก็ไม่ใช่ตัณหา, มันเป็นความต้องการที่จะเป็นไปทางที่ถุกต้อง และจะดับทุกข์ได้ในที่สุด.  ดังนั้น การอยากปฏิบัติธรรมะ และปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป เพื่อบรรลุนิพพานนั่น ไม่ใช่กิเลสตัณหา, อยากทำให้ดีอย่างถูกต้อง ไม่ใช่กิเลสตัณหา.  แต่ถ้ามันทำดีอยากดี ด้วยความบ้าดี เมาดี หลงดี นั่นแหละ อยากนั้นแหละ เป็นกิเลสตัณหา ม้ว่ามันอยากดี.
          ฉะนั้นจงพยายามเข้าใจความแตกต่างของสิ่งเหล่านี้ว่ามัน มีอยู่สองฝ่าย : ฝ่ายหนึ่งเป็นสัมมา, ฝ่ายหนึ่งเป็นมิจฉา.  ถ้าความอยากอย่างสัมมาก็ใช้ได้ เป็นที่พึ่งได้ ตนเป็นที่พึ่งตนได้ ก็ด้วยมีความอยากอย่างสัมมา ; แต่ถ้ามันอยากด้วยกิเลสตัณหาแล้วมันทำลายตัวเอง ทำให้เกิดความทุกข์ นั้นมันไม่มีทางที่จะดีไปได้เลย มันดีไปไม่รอด.  ถ้าอยากดีด้วยกิเลสตัณหา ก็ไปไม่รอด ; ถ้ามันอยากดีด้วยสติปัญญา มันก็ไปไม่รอด.  นี้ประสงค์ต้องการจะปฏิบัติด้วยสติปัญญา นี้เรียกว่าสมาทาน ; ถ้าต้องการด้วยกิเลสตัณหา ก็เรียกว่าอุปาทาน.  เดี๋ยวนี้สอนให้ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานกันเสียหมด แม้แต่จะให้ทาน รักษาศีล อะไรก็ยึดมั่นถือมั่นหลับหูหลับตาเป็นอุปาทานไปเสียหมด  อย่างนี้มันถอยหลัง ไม่มีทางที่จะก้าวหน้า.
          นี่ถือโอกาสพูแทรกเสียอย่างยืดยาว ด้วยความหมายของคำว่าสมาทานและคำว่าอุปาทาน, ทั้งนี้เพราะต้องการจะให้รู้จักใช้สิ่งที่เรียกว่าสมาทานสัมมาทิฏฐิ.  เมื่อมีการสมาทานสัมมาทิฏฐิแล้วจะก้าวล่วงความทุกข์ทั้งปวงเพราะยึดเป็นหลักตายตัว เพียงหลักเดียวสำคัญอย่างยิ่ง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ของพระพุทธศาสนาว่า จะก้าวล่วงความทุกข์ทั้งปวงได้เพราะสมาทาน สัมมาทิฏฐิ, ใช้คำว่าสมาทานให้ถูกต้อง.  ถ้าอุปาทานในสัมมาทิฏฐิแล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นสัมมาทิฏฐิมืด มันใช้อะไรไม่ได้ ; พออุปาทานมันก็เริ่มต้นผิด มันมีตัวกู – ของกู หมายมั่นเป็น ตัวกู-ของกูอะไร เป็นเรื่องของฝ่ายกิเลสไปหมด.  ถ้ามันเป็นสมาทานมีปัญญา มีวิชชา แล้วมันก็ไม่เอามาเพื่อตัวกู-ของกู  แต่ทำไปเพื่อความถูกต้อง.  นี้เป็นหลักที่ว่า เราจะทำอะไรๆด้วยสติปัญญาที่ถูกต้อง, อย่าทำไปด้วยความเครียดยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน มีแต่ความเคยชินตามธณรมดามาแต่อ้อนแต่ออกนั้น มันทำให้ทำอะไรด้วยอุปาทานมาทั้งนั้น, แล้วมันก็ได้รับความทุกข์โดยสมกัน.  เมื่อมีความทุกข์โดยสมควร พอสมควรแล้ว มันก็ควรจะรู้สึกตัวบ้าง รู้จักเข็ดหลาบ รู้จักกลัวบ้าง ก็เปกลี่ยนทิศทางเสีย อย่าได้ทำอะไรด้วยอุปาทานอีกต่อไป.

เกิดมาอยู่กับความทุกข์, ควรรู้จักเปลี่ยนบ้าง.
          เด็กๆไม่ได้มีสติปแญญามาแต่ในท้องแม่ แต่มาด้วยสัญชาตญาณกลางๆซึ่งยังไม่ดีไม่ชั่ว, แต่ในความรู้สึกเป็นรากฐานแห่งตัวตน ; พอคลอดออกมาแล้ว ได้รับของอร่อยเวทนา ก็เกิดความรู้สึกเป็นตัวตน เลยขอบเขตว่ากูอร่อย, กูต้องได้มาเป็นของกูให้มาก, กูต้องสะสมเอาไว้, จะต้องเอาให้ได้มากที่สุดที่จะมาได้.  ทีนี้พอเกิดทุกขเวทนา เสวยสิ่งที่ไม่อร่อยเป็นสุข มันก็เกิดตัวกู ตัวกูเดือดร้อน ตัวกูเสียหาย ตัวกูจะต้องต่อสู้ ทั้ง
สองฝ่ายนั่นแหละ.  ฝ่ายยินดี ก็ให้เกิดตัวกูไปแบบหนึ่ง, ฝ่ายยินร้ายก็ให้เกิดตัวกูไปอีกแบบหนึ่ง, รวมกันเข้าเป็นสองตัวกู เป็นตัวกูที่สมบูรณ์ทั้งทางยินดีและทางยินดี มันก็อยู่ในโลกนี้ด้วยความเจริญแห่งตัวกู ; นี่มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ.
          เด็กๆคลอดออกมา จิตเกลี้ยงแล้วก็เศร้าหมอง, เศร้าหมองด้วยความยินดียินร้าย อันเกิดจากเวทนามากขึ้นๆจนเป็นผู้เห็นแก่ตัวจัด, ไม่ทันจะเป็นหนุ่มสาวด้วยซ้ำไป หรือไม่เป็นหนุ่มสาวก็เป็นระยะที่มีความเห็นแก่ตัวจัด หลงใหลในความารู้สึกของกิเลส เป็นสิ่งสูงสุด, แล้วก็ได้ทำไปอย่างนั้น แล้วก็ได้รับผลเป็นความทุกข์ เป็นความทุกข์ เพิ่มขึ้นๆ.  แล้วต่อมาจึงรู้จักด อ้าว ! นี่มันเป็นความทุกข์ก็อยากจะเปลี่ยนทิศทาง มันจึงจะเริ่มหันเหมาทางธรรมะ ถ้าโชคดีก้ได้มาพบธรรมะที่ดีที่ถูกต้อง และหันเหเปลี่ยนทิศทางได้โดยเร็ว ; ถ้าโชคไม่ดี บางทีจนตายมันก็ไม่ได้รู้จักของจริง ไม่ได้รู้จักเปลี่ยนทิศทางให้ถุกต้องได้เป็นที่น่าเวทนาสงสารอย่างยิ่ง.
           เราจงรู้ว่าเรามันตั้งต้นขึ้นมาด้วยความว่าง เกิดจากท้องพ่อท้องแม่มา ด้วยจิตที่มันว่าง, แต่ว่าเป็นความว่างชนิดที่ไม่คงตัว ; เปลี่ยนเป็นความวุ่นได้ โดยการสัมผัสโลกมากเข้า มากเข้าจนเกิดเป็นความวุ่น, เมื่อเจ็บปวดที่สุดถึงที่สุดถึงประมาณแล้ว มันก็อยากจะเลิกอาการอย่างนี้เพื่อจะกลับไปสู่ความว่างอีก ; ก็ปฏิบัติศึกษาธรรมะเพื่อให้เกิดความว่างขึ้นมาอย่างถูกต้อง ; แต่มันเกิดความว่างอันใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป จนกระทั่งบีรรลุพระอรหันต์ มันก็เป็นความว่างแท้จริงและไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป ไม่กลับวุ่นได้อีกต่อไป.  แต่ถึงอย่างไรก็ดี เราก็กล่าวได้ว่า ชีวิตมันตั้งต้นขึ้นมาด้วยความว่าง ชนิดที่เปลี่ยนแปลงได้ มันจึงเปลี่ยนมาเป็นความวุ่น ; ครั้งวุ่นทรมานกันถึงที่สุดแล้ว มันก็เปลี่ยนไปสู่ความว่าง เพราะมันจัดการอย่างยิ่ง ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา, จัดการอย่างยิ่งจนเกิดความว่างชนิดที่แท้จริง ไม่กลับเป็นความวุ่น ถึงยอดสุดของมนุษย์ที่จะทำ คือความเป็นพระอรหันต์ ก็หมดปัยหา ; อันนี้เรียกว่ามันจบลงด้วยความว่าง ถ้าเป็นพระอรหันต์.
          ทีนี้ มีใครกี่คนล่ะ ที่ได้เกิดมาแล้วได้บรรลุพระอรหันต์ มันอยู่ในความวุ่น มันตายไปในความวุ่นนั่นแหละ? แต่ถ้าเราจะเป็นพุทธบริษัทที่มีโชคดี ได้รับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาอย่างถุกต้องและเพียงพอ ก็สามารถจะรู้จักเข้าใจเรื่องความว่าง จะสามารถปฏิบัติเรื่องความว่าง, แล้วจะได้รับผลแห่งความว่างทันในเวลาก่อนที่จะตาย, ก่อนแต่ที่จะแตกตายทำลายขันธ์.  นี่แหละจึงจะเรียกว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบกับพุทธศาสนา.  ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว มันก็ต้องอยู่ในพวกที่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบกับพุทธศาสนาทั้งนั้นแหละ, มีสิทธิที่จะถูกด่าอย่างหยาบคายว่า คนเสียชาติเกิด เกิดมาไม่พบสิ่งที่ควรจะได้พบได้รับ.

สัมมาทิฏฐิช่วยให้เกิดสันติสุขในโลก.
          นี่ข้อควรระวังสังวรกันไว้เป็นอย่างดีด้วยกันจงทุกๆคนเถิดในข้อที่ว่า ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบกับพุทธศาสนา ; นี่เป็นเรื่องของสัมมาสทิฏฐิ         ๆ.  ขอย้ำ  สัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นเครื่องมืออันเดียวเท่านั้น ที่จะทำสันติสุขให้เกิดขึ้นในโลกได้ เป็นเครื่องมือที่จะทำความเข้าใจกันได้ ในระหว่างศาสนา.  ถ้าเราจะมีอะไรแลกเปลี่ยนกันระหว่างศาสนา ก็ขอให้แลกเปลี่ยนกันด้วยลักษณะ หรือคุณค่า หรือวิธีการหรืออะไรของสัมมาทิฏฐิ ; หมายความว่าเราแลกเปลี่ยนสัมมาทิฏฐิถุกต้องยิ่งขึ้น ถุกต้องยิ่งขึ้นด้วยกันทั้งสองฝ่าย และสามารถดับทุกข์ได้จริง แล้วก็มีธรรมะอย่างเดียว คือ สัมมาทิฏฐินี่แหละที่จะดับยุคเข็ญในโลก, เป็นการรักษาโรคของมนุษย์  โดยประการทั้งปวง ในพระบาลีมีคำว่า มหาการุณิโก สตฺถา สพฺพโลกติกิจฺฉโก – พระศาสดาของข้าพเจ้าเป็นผู้มีกรุณาใหญ่ เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง.  พระพุทธเจ้าทรงเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง.  ทรงเยียวยาด้วยอะไร? ทรงเยียวยาด้วย สมฺมาทิฏฺฐิสมาทานา สพฺพํ ทุกขํ อุปจฺจคํ – อาศัยสัมมาทิฏฐิแล้ว มันก็นำการกระทำที่ถุกต้องมาตามลำดับ : ถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทางใจ มันก็ดับทุกข์ได้.
          สัมมาทิฏฐิ ทำให้เกิดสัมมาสังกัปปะ นี่เป็นปัญญาอันสมบูรณ์  รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ต้องการบางอย่างถูกต้อง  นี่เป็นปัญญามาก่อน, แล้วก็มาถึงศีล : สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว นี้เป็นศีล ก็เกิดขึ้นอย่างถุกต้อง ; ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐินำแล้ว สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต ไม่มีท่างที่จะถูกต้อง แล้วจะผิดเพราะไปหลงผิด ไปยึดเอาอย่างผิดๆอย่างรุนแรง, แล้วก็จะมาถึงหมวดสมาธิ คือ สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ มันก็ถุกต้อง.  อำนาจของสัมมาทิฏฐิ มันนำให้หมวดศีลและหมวดสมาธิถุกต้อง, ถูกต้องแล้วกลับไปส่งเสริมหมวดกลุ่มปัญญาให้ถูกต้องยิ่งขึ้นไปอีก, ก็ส่งเสริมให้หมวดปัญญายิ่งขึ้นไปอีก ปัญญาสูงขึ้นไปอีก ก็นำศีลและสมาธิให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก ; นี้มันความจริงอย่างนี้.  ขอให้สังเกตเห็นง  ถ้าสัมมาทิฏฐิไม่เป็นผู้นำแล้ว มันเข้ารกเข้าพงไปหมด.
          นี่ขอให้สังเกตดูให้ดีว่า ทุกอย่างของการกระทำนั้นถูกต้องถูกนำด้วยสัมมาทิฏฐิ ต้องนำหน้าด้วยสัมมาทิฏฐิเสมอไป, มันต้องมีปัญญานำหน้า จนพระพุทธองค์ทรงเปรียบสัมมาทิฏฐิไว้ว่า  เหมือนกับรุ่งอรุณ แสงทองของรุ่งอรุณ เป็นสัญลักษณ์ว่ากลางวันจะมาแน่แล้ว.  ถ้าเราเห็นแสงทองเกิดขึ้นทางทิศตะวันออก เราก็จะแน่ใจว่ากลางวันมาแล้ว ; นี้ก็เหมือนกัน ถ้าเห็นสัมมาทิฏฐิมาแล้ว ก็เป็นที่แน่ใจว่า ทั้งหมดจะตามมา, เจ็ดองค์ที่เหลือจะตามมา ก็เลยมีอริยมรรคขึ้นมา มีอริยมรรคมีองค์ 8 ขึ้นมาเป็นส่วนเหตุ; แล้วก็เกิดส่วนที่เป็นผลคือ สัมมาญาณ สัมมาวิมุติ อีกสอง รวมเป็น 10 นี่เรื่องที่สมบูรณ์.

สัมมัตตะ 10 เป็นตัวพุทธศาสนาสมบูรณ์.
          ตัวพุทธศาสนานั้น  ถ้าจะกล่าวกัน อย่างสมบูรณ์แล้ว  ก็ต้องชี้ไปที่ สัมมัตตะ 10 ; มันยังเป็นเพียงส่วนเหตุและส่วนปฏิบัติ ไม่ได้รวมผลของการปฏิบัติเข้าไว้ด้วย, มันจะสมบูรณ์ ต่อเมื่อรวมผลของการปฏิบัติเข้าไว้ด้วย.  พระองค์จึงทรงชี้ระบุไปยังสัมมัตตะ 10 ความถุกต้อง 10 ประการ ว่าเป็นยารักษาโรค ที่จะทำให้สัตว์โลก พ้นจากความเกิดแก่เจ็บตาย ; นี้ขอให้แน่ใจว่า เราสามารถจะพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่าสวดมนต์ครึ่งท่อน แล้วก็โง่ไว้ครึ่งท่อน ว่าไม่พ้นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปได้  นั่งร้องไห้โฮๆอยู่อย่างนี้ไม่ใช่พุทธบริษัท ; ต้องรู้ว่ามีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา, แล้วก็รู้ว่าถ้าได้อาศัยพระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตร พ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายได้.

          นี่พระพุทธองค์มียารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงคือ สัมมัตตะ 10, ในกรณีอย่างนี้ ในพระสูตรนี้ ท่านระบุ สัมมัตตะ 10 ทรงเรียกสัมมัตตะ 10 นี้ว่าเป็นวมนเภสัช – เป็นยาให้อาเจียน กินแล้วอาเจียนของชั่วร้ายทุกข์โทษออกมาหมด, เป็นวิเรจนเภสัช เป็นยาถ่าย กินแล้วถ่ายออกหมด, เป็นโธวนเภสัช – อาบล้างไปแล้ว, ล้างกิเลสทุกข์ภัยออกไปหมด ซึ่งสมมติอย่างนี้ระบุไปยังสัมมัตตะ 10 ทั้งนั้น ; เพียงมีอริยมรรคมีองค์ 8 ยังไม่พอ.  ดังนั้น เราก็ควรจะศึกษาให้งอกงามออกไปถึงสัมมัตตะ 10, อย่าหยุดอยู่เพียงแค่อริยมรรคมีองค์ 8 เลย, แต่มันจะเป็นสัมมัตตะ 10 มันก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิเป็นผู้นำอยู่นั่นแหละ, ไม่มีอะไรมาเป็นผู้นำได้.  ในส่วนขั้นตอนของการปฏิบัติ มีสัมมาทิฏฐิเป็นผู้นำ, มีการประพฤติกระทำประกอบไปด้วยองค์ทั้ง 7 ที่เหลือ มันเป็นไปตามสัมมาทิฏฐิ, แล้วก็ส่งเสริมให้สัมมาสมาธิมีกำลังกล้า ในการที่จะตัดกิเลส ด้วยมีผลเป็นสัมมาญาณะ แล้วก็วิมุติ.  สัมมาทิฏฐิจะนำไปสู่วิมุติ, เป็นการแก้ปัยหา, ใช้ปัญญาบำบัดโรคของสัตว์โลกทั้งปวงได้.

          ดังนั้น อถ้าจะมีการต่อรองกันระหว่างศาสนา เราก็จะเสนอสัมมัตตะ 10 อันสมบูรณ์เข้าร่วมต่อสู้ประกวดประชันหรืออะไรก็ตาม มันสบหลักวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง, ยิ่งใช้หลักวิทยาศาสตร์เท่าไร จะยิ่งพบความประเสริฐของพระพุทธศาสนา คือหลักสัมมัตตะ 10 นี่ยิ่งขึ้นทุกที, เราหวังว่าในอนาคตนั้น เมื่อโลกมันเจริญทางวิทยาศาสตร์ยิ่งขึ้นกว่านี้ จะเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง ไม่เป็นทาสแก่วัตถุ คือเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตใจด้วย ; พุทธศาสนาจะรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างโพลงเป็นแสงสว่างทั่วโลก ; เหมือนกับที่ ไอน์สไตน์ เขาพูดไว้ว่า “ศาสนาที่จะเหลืออยู่ในโลก ก็คือศาสนาที่สามารถเผชิญกับความต้องการของโลกแห่งยุคปัจจุบัน”.  เขาใช้คำว่า cope, cope คำนี้แปลว่ารับสถานการณ์ ต่อสู้อะไรไปเสียทุกอย่าง ที่สามารถรับสถานการณ์ ตรงกับความต้องการของโลกแห่งยุคปัจจุบัน ซึ่งเจริญด้วยวิทยาศาสตร์.

          โลกสมัยเก่า เจริญด้วยศรัทธา ด้วยไสยศาสตร์ ด้วยอะไรก็สุดแท้ ก็ว่าไปตามเรื่อง ; แต่ว่าโลกยุคปัจจุบัน มันเจริญด้วยวิทยาศาสตร์ ถึงขนาดเพียงพอที่จะทำอะไรกันด้วยเหตุผล.  ฉะนั้นเรามีพระศาสนากันไว้ที่เนื้อที่ตัวให้มันเป็นของจริงอยู่ที่เนื้อที่ตัว, อย่าให้เป็นเพียงคำพูดหรือเป็นเพียงกระดาษ เขียนไว้ในกระดาษ แล้วเอามาสวดมาท่อง; แต่ให้มันเป็นการปฏิบัติที่แท้จริง สำเร็จประโยชน์อยู่ที่เนื้อที่ตัวแสดงให้เห็นว่า ฉันทำอย่างนี้, ฉันทำอย่างนี้, แกจงมาดู ฉันทำอย่างนี้, แล้วกิเลสระงับไปอย่างนี้, แล้วความทุกข์ระงับไปอย่างนี้, นี่มันเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องใช้การคำนวณ, ไม่ใช่สมมติฐาน ด้วยคำว่าถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ ถ้าอย่างโน้นไม่มี, มันไม่ต้องใช้.  มันมองเห็นโดยประจักษ์อย่างนี้ เพราะอำนาจของสัมมันตะ : มีความถูกต้อง แสดงความถุกต้อง สามารถพิสูจน์ความถูกต้องอยู่ได้ในตัว ; นี่เราจะใช้เป็นเครื่องมือดำรงพระศาสนาเป็นเดิมพันสำหรับจะต่อรองกับศาสนาใดๆ ว่า  มา-มา มาพิจารณากันว่า ใครจะช่วยโลกโดยวิธีอย่างไร ให้สำเร็จประโยชน์ได้ ; ชาวพุทธมีวิธีอย่างนี้.  ที่พูดนี้มันก็อาจจะเลยขอบเขตไปบ้างแล้ว คือ มันกลายเป็นเรื่องการต่อสู้ระหว่างศาสนาไปแล้ว.  เอาละ, เราจะใช่คำว่าความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา จะไม่ใช้คำว่าต่อสู้ ; เดี๋ยวมันจะกล่ายเป็นเรื่องร้าย เรื่องเจตนาร้าย จะกลายเป็นเรื่องกระทบกระทั่งเบียดเบียนไปเสียอีก.  พุทธบริษัทไม่มีการกระทบกระทั่งหรือการเบียดเบียน จะมีสติปัญญา พูดจาทำความเข้าใจ, ระงับความเข้าใจผิดทั้งหมดทั้งสิ้นได้, ทำความเข้าใจกันได้, สามารถจะเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตรได้.  นี่ คือความประเสริฐสุดของพระพุทธศาสนา ; ขอให้พวกเรารู้จักไว้ ในฐานะเป็นสิ่งประเสริฐสุด ; โดยส่วนตัวก้ประพฤติปฏิบัติกันอย่างเต็มที่, โดยส่วนผู้อื่นก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้ได้มีโอกาสประพฤติปฏิบัติเต็มที่, แต่ถ้าสูงขึ้นไป กระทั่งถึงจะช่วยโลก ทั้งโลกกันแล้ว ก็จะต้องเสนอสัมมาทิฏฐิ เป็นเครื่องวต่อรอง สำหรับทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทำโลกนี้ให้ประสบสันติสุข.
          ถ้าองค์การสหประชาชาติ ที่ถือว่ามีอำนาจสูงสุดในเวลานี้ เป็นองค์การที่จะสนใจหัวใจของศาสนา เก็บเอาหัวใจของศาสนาทุกศาสนาไปศึกษา แล้วไปเผยแพร่, เป็นผู้เผยแพร่หัวใจของศาสนาทุกศาสนาเสียเองนั้น จะมีชื่อสมชื่อ, มีชื่อสมชื่อว่าเป็นสหะ, สหประชาชาติในทางจิตใจ.  เดี๋ยวนี้สหประชาชาติก็กระทำอย่างนั้นไม่ได้, ยังอยู่ใต้อิทธิพลของฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ เปะปะเปะปะ นั่งพูไกล่เกลี่ยเหมือนท้าวมาลีวราช, นั่งจับปูใส่กระด้งอยู่นั่นแหละ.  นี่โชคของโลกนี้มันยังไม่ดีขนาดที่ว่า.  จะได้องค์การไหนที่จะขุดค้นเอาหัวใจของทุกศาสนา ออกทำสหกรณ์กันให้เป็นที่เข้าใจระหว่างศาสนา, แล้วทำสหกรณ์กัน ช่วยสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นมาในโลก.  เราหวังว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างนี้สักวันหนึ่ง ; เราก็เตรียมตัวเป็นผู้ที่มีหัวใจของพระพุทธศาสนาอยู่ที่เนื้อที่ตัวไปเผชิญหน้ากับเขา.
          เชื่อว่าเราจะประสบความสำเร็จในการช่วยโลก เพราะเรามียาประเสริฐสำหรับจะแก้โรคของสัตว์โลกทั้งปวง คือการทำลายกิเลส ตัณหา และดับทุกข์ : เราก็เตรียมทำลายกิเลสตัณหา และดับทุกข์ของเรา ให้เป็นผู้ที่หมดโรค, มีจิตเกลี้ยงเกลา, ไม่มีโรคของจิตใจ, เป็นพุทธบริษัททั้งเนื้อทั้งตัว ตามหลักคำแปลของคำว่าพุทธ, พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน, รู้ตามที่เป็นจริงทุกอย่างในทางที่ควรรู้แล้วก็ตื่นจากหลับคือกิเลส, แล้วเบิกบานเหมือนดอกไม้ที่บานแล้วไม่รู้จักโรย, คือไม่มีความทุกข์อีกต่อไป.  นี่คือความเป็นพุทธบริษัทอย่างเต็มเนื้อเต็มตัว.

          ขอให้การพูดจาหารือปรึกษากันของเราในวันนี้ หรือว่าวันไหนก็ตามเถิด เป็นไปในลักษณะที่จะ ซักซ้อมความเข้าใจอันถูกต้องคือสัมมาทิฏฐิ ถูกต้องในภายในหมดแล้ว มันก็จะแพร่กระจายออกไปเป็นถูกต้องในภายนอก, แล้วมันก็จะถุกต้องกันทั่วโลก.  ภ้ามนุษย์ทุกคนในโลกมีสัมมาทิฏฐิแล้ว โลกนี้ก็จะเป็นโลกที่ประเสริฐ จนไม่รู้จะกล่าวว่าประเสริฐอย่างไร, จะประเสริฐอย่างที่กล่าวไว้ในลักษณะของโลกของพระศรีอริยเมตไตรยไปเสียอีกโน้น, จะอยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง จนถึงกับต้องใช้คำว่าเหนือโลก, เป็นโลกที่มีประชาชนชาวโลกอยู่เหนือโลก เหนืออิทธิพลของโลก, ไม่ตกอยู่ภายใต้วิสัยโลกที่จะครอบงำล่อหลอกให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้.

                   ..........           ..........           ..........           ..........           ..........
          นี่แหละขอให้ท่านทั้งหลายได้ทราบความประสงค์แห่งปณิธานข้อที่ 2 ของข้าพเจ้าว่า พยายามทำความเข้าใจระหว่างศาสนา.  ศาสนามีมาสำหรับช่วยโลก.  แต่ว่าชาวโลกมันมีต่างๆกัน มันจำเป็นต้องมีหลายศาสนา, แล้วศาสนาทุกๆศาสนาก็ร่วมมือกันไม่แย้งกัน, และช่วยกันคุ้มครองโลก, เป็นแสงสว่างของโลก นำโลกไปสู่จุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์ ; มีแต่ความถูกต้อง, มีแต่ความอยู่เหนือปัยหา, เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง.  จนด้วยความว่างจากตัวตน จากชั่วไปถึงดี ; ดีก็ยังยุ่ง ขึ้นเหนือดีไปก็พบความว่าง สงบ เงียบ เยือกเย็น เป็นแสงสว่างไม่มีความยุ่ง.

          ความว่างเป็นไวพจน์ของพระนิพพาน, นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง ; เราจงมีจุดมุ่งหมายไปที่นั่น แล้วเราทำตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เพื่อนมนุษย์ทุกคน.  เขาจะได้สนใจ จะได้ยินดีที่จะร่วมมือกัน จะเดินตามกันไปสู่ความว่าง ; ว่างจากกิเลส, ว่างจากตัณหา, ว่างจากความทุกข์, ว่างจากทุกอย่าง.  จิตที่ถึงความว่างพ้นจากปัยหาทุกอย่าง; เมื่อร่างกายมันจะดับไป ก็เลิกกันไม่ต้องพูดถึง ; แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ จะมีแต่ความไม่ทุกข์ ไม่เป็นทุกข์, เป็นความดับทุกข์อยู่โดยประการทั้งปวง.

          การบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอสรุปแความว่าเราจะมาช่วยกันทำความเข้าใจซึ่งกันและกันในระหว่างศาสนา คือเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่มีศ่าสนาต่างกัน ให้ทำความเข้าใจกันได้ ในการที่จะร่วมมือกัน สร้างสันติสุขส่วนบุคคล สร้างสันติภาพของสังคม  แล้วจะมีความเป็นโลกที่ประเสริฐที่สุด สมกับว่ามันเป็นโลกของมนุษย์ผู้มีใจสูง.  ขอฝากไว้ให้ท่านทั้งหลายทุกคน ได้มีความสนใจเตรียมตัวพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหา ภายในหรือปัญหาภายนอก ในการที่จะดับทุกข์ดังที่กล่าวมา.

          ขอยุติการบรรยายในครั้งที่สองไว้แต่เพียงเท่านี้.





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น