หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

พุทธทาสภิกขุ - ปณิธาน 3 ประการ (1)



ปณิธาน 3 ประการ
พุทธทาสภิกขุ











ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม
จัดพิมพ์หนังสือชุดลอยปทุม
ในวาระ ๑๑๐ ปีชาตกาล พุทธศักราช ๒๕๕๙
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
ขอกราบขอบพระคุณธรรมทานมูลนิธิ ผู้จัดพิมพ์ครั้งแรกเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้















คำนำในการจัดพิมพ์หนังสือชุดลอยปทุม
ปณิธาน ๓ ประการ
ธรรมสักการะในมงคลกาล ๑๑๐ ปี ท่านพุทธทาส พุทธศักราช ๒๕๕๙


หนังสือชุดลอยปทุมนี้ ทางธรรมทานมูลนิธิ ของสวนโมกขพลาราม ได้จัดพิมพ์เป็นธรรมบรรณาการแด่สาธุชนที่มาเยี่ยมชมสวนโมกข์ ในกาลสมัย ท่านเจ้าประคุณพระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ) มีชีวิตอยู่
          เพื่อเป็นการบูชาพระคุณ แห่งพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณพระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ) ผู้ก่อตั้งสวนโมกขพลาราม และธรรมทานมูลนิธิ ธรรมสภาจึงได้ดำเนินการจัดพิมพ์เผยแพร่ เพื่อเป็นธรรมสักการะ แสดงความกตัญญูกตเวทิตาถวาย เนื่องในมงคลกาล ๑๑๐ ปีชาตกาลท่านพุทธทาส ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๙
          บุญกุศลอันจักพึงมีพึงได้จากการจัดพิมพ์หนังสือชุดลอยปทุมในครั้งนี้  ธรรมสภาขอน้อมถวายแด่พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณพระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ) พระผู้เป็นองค์บรรยายพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา ให้แพร่หลายไปทั่วทุกอณูแห่งจักรวาล

ด้วยความสุจริตหวังดี
ธรรมสภาปราถนาให้โลกพบกับความสงบสุข

















อนุโมทนา

          การพิมพ์หนังสือธรรมะขึ้นเป็นธรรมทาน ในสมัยที่โลกกำลังขาดแคลนธรรมะอย่างยิ่งเช่นนี้  เป็นสิ่งที่มีเหตุผล  และควรแก่การอนุโมทนา,  จึงขออนุโมทนา.
         
          คำว่า ธรรม เพียงคำเดียว มีความหมาย มากมายหลายประการ, แต่ประการที่สำคัญที่สุดนั้น ธรรมะ คือ หน้าที่ ที่ทมนุษย์จะต้องปฏิบัติ ให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา, เพื่อความมีชีวิตอยู่อย่างผาสุก ทั้งโดยส่วนตัว และส่วนรวม, หรือทั้งโลก.

          โลกขาดแคลนธรรมะ, เพราะไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ อย่างถูกต้อง  ดังที่กล่าวแล้ว เพราะค่อยๆเผลอๆผหลงใหล ในรสอร่อยอันเกิดจากการประพฤติผิดธรรมะ นั่นเอง.  สัญชาติกิเลสในใจคน ย่อมชอบใจในรสอร่อยชนิดนั้น และเจริญเติบโตขึ้นจนกระทั่งมีจิตใจเป็นกิเลสไป ทั้งเนื้อทั้งตัว.  บูชากิเลสสุดชีวิตจิตใจ จนเห็นไปว่า ไม่ต้องมีธรรมะอะไรที่ไหนอีกแล้ว;  ขอแต่ให้มีเหยื่อสนองกิเลส ให้เต็มที่อยู่ตลอดเวลา เป็นพอแล้ว.  เขาเห็นว่าหน้าที่ของเขา มีอยู่เพียงแต่หาเหยื่อ สนองความต้องการของกิเลสเท่านั้น.

          โลกส่วนใหญ่ กำลังตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จึงเรียกได้ว่า  โลกที่กำลังขาดแคลนธรรมะ สำหรับสร้างสันติภาพ;  มีแต่ อธรรม คือสิ่งที่จะสร้างวิกฤตกาลให้ยิ่งๆขึ้นไป ดังที่ปรากฏอยู่ในโลกปัจจุบัน.  แม้จะมีการศึกษาอย่างไร  ร่ำรวยสวยงามสนุกสนานกันสักเท่าใด ก็ยิ่งเต็มิ่งที่เป็นเสนียดจัญไรเลวร้ายในโลก นับตั้งแต่ยาเสพติด คอรัปชั่น อันธพาล ภัยสังคม เหยียบย่ำสิทธิมนุษยชน สงครามเศรษฐกิจ สงครามมเลือด และการมุ่งประหัฏประหารกันระหว่างชนชั้น ที่มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง อันไม่รู้จักจบสิ้น, กระเทือนทั่วถึงกันทั้งโลก แม้ในหมู่ผู้ที่ดำรงตนอยู่ในธรรมโดยสุจริต.  ผลแห่ง อธรรม ทำนองนี้ ไม่อาจจะมี ถ้าหากว่า ธรรมะมีอยู่ในโลก.

          บางคน อาจจะคิดว่า มันเป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้เสียแล้วที่จะไม่ให้โลกเป็นเช่นนี้.  ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น และพลอยเป็นคนตาหลิ่ว เข้าเมืองตาหลิ่วไปกะเขาด้วยสักคนหนึ่ง ก็แล้วกัน โดยไม่ต้องละอายโลกสัตว์เดรัจฉานที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิมๆแต่ประการใด.  แต่พวกที่นับถือธรรมะศาสนานั้น เห็นว่า  สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง  และเปลี่ยนแปลงได้ตามเหตุผลและปัจจัย;  เรามาสร้างปัจจัยแห่งสันติภาพกันใหม่  เพื่อหมุนโลกนี้ไปตามทางแห่งความสงบสุข  โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่า ธรรม นั่นเอง;  จึงได้พยายามพากันเผยแพร่ธรรม ชักชวนกันให้กระทำทุกอย่าง เพื่อการกลับมาแห่งธรรมสู่หมู่มนุษย์นี้.  การพิมพ์หนังสือธรรมะขึ้นเผยแพร่ ก็ล้วนแต่นำไปเพื่อวัตถุประสงค์ ข้อนี้.

          การรู้จักธรรม  คือการรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้อง จนไม่หลงใหลในสิ่งใด แม้ในความเอร็ดอร่อยที่กำลังรู้สึกอยู่กับจิตใจอย่างยิ่งยวด.  ไม่ว่าจะเป็นความสุขชนิดไหน ย่อมไม่เป็นที่ตั้งแห่งความหลงใหล สำหรับผู้ที่รู้ธรรมอย่างแท้จรง.  ความเห็นแก่ตัว ย่อมเกิดไม่ได้เพราะเหตุนี้.  ความรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มีได้โดยง่าย แม้ว่าจะมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันมากมายสักเพียงไร.  ผู้ประพฤติธรรมย่อม รู้สึกเป็นสุข เมื่อรู้สึกว่าตนได้ประพฤติธรรม  หรือเมื่อได้ทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง.  ความเคารพตัวเองในข้อนี้ ทำให้รู้สึกเป็นสุข.  ไม่หวังความสุขอันเป็นมายา คือสุขเวทนาทางเนื้อหนัง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจที่ตกเป็นทาสของเวทนาเหล่านั้น เสียแล้ว.

          ธรรมะ ช่วยให้เรารู้จักมีชีวิตอย่างถูกต้อง รู้จักสิ่งแวดล้อมชีวิต เกียรติยศชื่อเสียง มิตรสหาย ฯลฯ อย่างถูกต้อง  คือเป็นไปเพื่อสันติสุขส่วนบุคคล และ สันติภาพของส่วนรวม โดยส่วนเดียว, ไม่สร้างวิกฤตกาลใดๆขึ้นแก่ใคร แม้แก่สัตว์เดรัจฉาน และพฤกษาชาติทั้งปวง, ไม่เป็นคนทำลายโลก หรือหนักแผ่นดิน แม้แต่หน่อยเดียว.  สิ่งที่เรียกว่า บาป, โชคร้าย, หรือ ซวยตลอดชาติ ย่อมไม่มีแก่ผู้ประพฤติธรรม.  ข้อนี้ หมายความว่า นรก ไม่มีสำหรับบุคคลชนิดนี้, มีแต่ สวรรค์ นับตั้งแต่วินาทีที่เขาประพฤติธรรม เป็นต้นไปทีเดียว.

          เขา มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำหรับการศึกษา เพื่อให้รู้จักสิ่งทั้งปวงอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง เพื่อมีชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุข, มิใช่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำหรับไว้เป็นสื่อให้เราตกเป็นทาสของกิเลส คนโงหัวไม่ขึ้น เหมือนที่เป็นกันอยู่โดยมากในโลกปัจจุบัน ซึ่งกำลังขาด ธรรมะ.  เราบังคับโลกนอกตัวเราไม่ได้ก็จริง แต่เราสามารถควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้สัมผัสโลก แต่ในลักษณะที่จะไม่เป็นพิษ-เป็นภัยแก่เราได้ โดยอาศัยธรรมะ นั่นเอง.  ถ้าคนในโลกทำได้เช่นนี้ โลกนี้ก็เป็นโลกที่งดงาม น่าอยู่อาศัย หรือเป็นโลกของพระศรีอาริยเมตไตรย ขึ้นมาทันทีทันควัน เพราะเป็นโลกที่อิ่มเอิบไปด้วยธรรมะ.

          ทางรอดของโลกในปัจจุบันนี้ มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือ เดินไปตามทางธรรม,  การช่วยให้ทุกคนเดินไปตามทางธรรม ย่อมเป็นกุศลอันใหญ่หลวงและสูงสุด.  ขอให้การจัดพิมพ์หนังสือธรรมะขึ้นเผยแพร่นี้ จงสำเร็จประโยชน์เต็มตามความประสงค์ ทั้งแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยทุกแง่ทุกมุมเถิด.  ข้าพเจ้าขออนุโมทนา มาในที่นี้ด้วย เป็นอย่างยิ่ง.

                                                          พุทธทาส  อินฺทปัญฺโญ

โมกขพลาราม, ไชยา












ชุดลอยปทุม
ของ พุทธทาสภิกขุ
เรื่อง
ปณิธาน ๓ ประการ





















ธรรมบรรยาย
วันล้ออายุ
๒๗ พ.ค. ๒๕๒๙

ปณิธาน ๓ ประการ



อานิสงส์ของการขอโทษ อดโทษ

ต่อไปนี้ จะขอกล่าวความรู้สึกในใจบางอย่าง

ท่านทั้งหลายได้กล่าวคำขอขมาโทษ  นี้ก็เป็นการถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณี ;  แต่ก็มีสิ่งที่จะต้องทราบว่า ประเพณีนั้นก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ,  ทั้งที่ไม่มีโทษก็ขอโทษแล้วก็อดโทษ.  นี้ก็เป็นประเพณีเป็นพิธีกรรม ซึ่งจะนำไปสู่ความหมายอันแท้จริง หรือตัวธรรมะที่แท้จริง.
เอาละ, สมมติว่ามีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น ที่ทำให้ไม่สบายใจ ต้องขออภัยโทษ ก็ดีแล้ว, ส่วนที่ไม่มีความรู้สึกอะไรที่เป็นสิ่งต้องขอโทษ ก็ขอโทษ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีต่อไป โดยเฉพาะแก่ลูกเด็กๆ.

การขอโทษและอดโทษนี้  เรียกว่า เป็นอริยวินัย, เป็นสิ่งที่จะกวาดล้างความรึ้กขุ่นมัวแห่งจิตใจ หลายอย่างหลายประการ ให้ออกไปจากจิตใจ.  คนเราไม่ควรที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกขุ่นมัวในจิตใจ  ท่านจึงบัญญัติพิธีอันนี้ขึ้นมา สำหรับประพฤติปฏิบัติกัน ก็ได้ผลว่าเราอยู่กันด้วยความสนิทใจ ; แต่จะขอร้องให้ท่านทั้งหลายต้อปฏิบัติเป็นนิจสิน คือพร้อมที่จะขอโทษ และพร้อมที่จะอดโทษ เพราะว่ามันจะกวาดล้างกิเลสหลายๆอย่าง โดยเฉพาะกิเลสประเภทตัวตน.

ขอให้คิดดูเถิดว่า ถ้าเราไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเป็นตน แล้วโทษมันจะเกิดขึ้นอย่างไรได้.  นี่แหละมันเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ว่า  การดับทุกข์ทั้งปวงอยู่ที่ไม่มีความเป็นตัวเป็นตน  ไม่รู้สึกเป็นตัวเป็นตน, ชนิดเลวมากก็คือเห็นแก่ตน นี้มันก็เป็นทุกข์, แล้วพาลทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ด้วย ; แม้จะเป็นชนิดดีตามปกติของสัญชาตญาน รู้สึกว่ามีตัวเราอยู่เป็นเครื่องดำรงชีวิต  มันก็ยังเป็นของหนักอยู่นั่นเอง ; ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนสิ่งสูงสุดหรือสุดท้าย ว่าปัดออกไปเสียให้หมดซึ่งตัวตน.  ลัทธิศาสนาต่างๆที่เกิดอยู่ก่อนพระพุทธเจ้านั้น ล้วนมแต่ตัวตน, แล้วก็บัญญัติว่ามีตัวตนอย่างนั้น  มีตัวตนอย่างนี้ดีที่สุด  ให้คนปฏิบัติตาม ; แต่ก็ไปจบลงด้วยความมีตัวตน.  ที่สูงสุดในประเทศอินเดีย ก็คือลัทธิอุปนิษัท ซึ่งสอนว่ามีตัวตน, แล้วในที่สุดก็ไปมีตัวตนอันถาวร ไปจบที่นั่น.  พระพุทธเจ้าท่านไม่ทรงเห็นด้วยว่ามันจะ เป็นที่สิ้นสุดจบแห่งความทุกข์ มันต้องออกไปเสียจากความมีตัวตนโดยสิ้นเชิง.

ลัทธิคำสอนที่สูงสุดในครั้งพุทธกาล  ก็ดูจะไม่มีอะไรไปมากกว่า  เนวะสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งมีอาจารย์ชื่อ อุทกดาบสรามบุตร สอน ; พระพุทธเจ้าทรงกระทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์แต่ท่านรู้สึกว่าไม่, ไม่ใช่จบ, ไม่ใช่ที่สุดจบแห่งความทุกข์, แม้จะไปมีตัวตน ชนิดที่เกือบจะไม่มีความรู้สึกอะไรอยู่แล้ว มันก็เป็นที่สุดแห่งความทุกข์ไม่ได้.  เนวะสัญญานาสัญญายตนะ แม้จะสงบเงียบเท่าไร มันก็ยังมีความหมายแห่งตัวตน เป็นอย่างนั้น มันไม่จบได้.

พระองค์จึงทรงค้นของพระองค์เอง  ในที่สุดก็พบลัทธิสูงสุด ที่ว่า ต้องปัดความรู้สึกว่าตัวตนนี้ออกไปเสียให้หมดสิ้น,  เมื่อตัวตนมันหมดสิ้น ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวตนแล้ว จิตมันก็มีความทุกข์เลย ;  อยู่ด้วยกันกับร่างกายที่ไม่มีความทุกข์,  ครั้นถึง เวลาที่ร่างกายจะต้องแตกดับตามธรรมชาติ ก้แตกดับไป จิตมันก็เข้าถึงความว่าง.  จึงว่า มีที่สุดอยู่ที่ความว่าง เป็นธรรมะอันสูงสุด ว่านิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง.  คำอธิบายนี้แม้จะเป็นคำอธิบายของพระสารีบุตร หรืออะไรก็ตามที่กล่าวในคัมภีร์ ปฏิสัมภิทามรรค ว่า นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง ; นี่ถูกตรงตามหลัก ว่าคำสอนทุกชนิดระบุไปยังความว่างจากตัวตน,  แล้วในที่สุดก็พบความว่างแห่งตัวตน  ก็จัดเป็นพระนิพพานเป็นที่สุด, เป็นที่จบสิ้นแห่งความทุกข์และปัยหาทั้งปวง.  เมื่อมันไม่มีตัวตน แล้วปัยหาอะไรมันจะตั้งอยู่ได้, แล้วความทุกข์อะไรมันจะตั้งอยู่ได้, แล้วความทุกข์อะไรมันจะตั้งอยู่ได้, มันจึงอยู่แต่ความว่าง สภาพความว่างเป็นนิรันดร.

นี่แหละ  ขอให้ท่านทั้งหลาย มองเห็นโทษแห่งความมีตัวตน ว่ามันยุ่งยากลำบากสักเท่าไร, ต้องแบกของหนักคือตัวตน, แล้วถ้าเลยเถิดไปกว่านั้น เลวมากกว่านั้น มันก็เห็นแก่ตน ก็ยิ่งหนักยิ่งร้อนขึ้นไปอีก, แล้วก็พาลทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย.

เดี๋ยวนี้  เรากล่าวคำขอขมาลาโทษ ในความหมายที่ว่ามีตัวตน, แล้วขอให้รู้สึกว่า เป็นจุดตั้งต้น  เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีหรือพิธีกรรม ที่เป็นจุดตั้งต้นที่จะนำไปสู่ความไม่มีตัวตน.  นี่ขอให้ตั้งใจอย่างนี้ มีความรู้สึกเศร้าหมองอะไรอยู่ ; ถ้าว่าเป็นเรื่องล่วงเกินผู้ใด  ล่วงเกินผู้ใด ก็ขอให้ถือว่า เป็นการล่วงเกินพระธรรม, พระธรรมซึ่งมีหลักว่าต้องไม่ประทุษร้ายแม้โดยความคิดแก่ผู้ใด.

ถ้าเกิดมีความคิดร้ายแก่ผู้ใด มันก็กลายเป็นนอกจากล่วงเกินผู้นั้นแล้ว มันก็ยังล่วงเกินพระธรรม เมื่อล่วงเกินพระธรรม มันก็เท่ากับล่วงเกินพระพุทธเจ้า ผู้เปิดเผยซึ่งพระธรรม, แล้วก็ล่วงเกินพระสงฆ์ ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติตามหลักธรรม.  นี่เราเป็นผู้ประมาทอย่างนี้ มันเป็นการล่วงเกินทั้งพระพุทธ ทั้งพระธรรม ทั้งพระสงฆ์ ; ฉะนั้นขอให้มีจิตใจเกลี้ยงเกลา ว่าเราไม่มีความรู้สึกที่เป็นการล่วงเกินใดๆอีกต่อไป, มุ่งหมายความหมดสิ้นแห่งตัวตน ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความล่วงเกิน ; นี่แหละเป็นจุดตั้งต้นนำไปสู่จุดสูงสุด.

ขอให้การขมาโทษนี้มีลักษณะอย่างนี้ มีพฤติกรรมเป็นไปอย่างนี้ นำไปสู่จุดหลุดพ้น,  แล้วผู้ที่ได้รับการขออภัยจากผู้ล่วงเกิน ก็เหมือนกันแหละ ; ถ้าไม่ให้อภัย นั่นแหละมันก็จะเป็นผู้รับอาบาปเอาโทษอะไรต่างๆใส่ตนไว้,  ต้องให้อภัย รีบให้อภัย ก็จะเป็นการทำลายล้างซึ่งความยึดถือว่าตัวตน อย่างเดียวกัน.  ผู้ขออภัยก็ดี ผู้ให้อภัยก็ดี ล้วนแต่ให้เป็นไปเพื่อการชำระชะล้างซึ่งตัวตนด้วยกันทั้งนั้น ; แม้กระทำในวันนี้ ก็ขอให้เป็นการกระทำตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด กว่าจะถึงที่สุดแห่งชีวิต,  และให้ถือเป็นหลักปฏิบัติว่า ถ้ามีอะไรพอรู้สึกขุ่นมัวจิตใจ ว่ากระทบกระทั่งใคร รีบขอโทษ ; ผู้ถูกขอโทษจงรีบให้อภัยโทษ.

ถ้าในโลกนี้เต็มไปด้วยการขอโทษ และการให้อภัยโทษแล้ว  จะไม่มีวิกฤตกาลเลวร้ายใดๆเกิดขึ้นมาได้เลย.  เป็นการสร้างสันติภาพให้แก่โลกทั้งโลกเลย ด้วยการยึดถือหลักที่ว่า ขอโทษและอดโทษ.  ฉะนั้น ขอจง ประพฤติปฏิบัติจนเป็นนิสัย และอบรมลูกเล็กเด็กแดงให้รู้จักขอโทษ และอดโทษแก่กันและกัน จนเป็นนิสัย.  ลูกเด็กๆเขาไม่ค่อยมีความรู้, เขามีความไม่รู้ เขาก็มีความประมาท ; เพราะฉะนั้นมักจะล่วงเกินกันได้ง่ายๆ ก็อบรมให้เขามีความรู้สึกว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในตัวตน เป็นความร้าย นำมาซึ่งความเสียหาย มีโชคร้ายเกิดขึ้น, ก็ขอให้รู้จักขอโทษ ขอโทษ.  ขอให้เด็กๆของเรารู้จักขอโทษ แม้แก่สุนัขและแมว แพราะมันต้องมีเรื่องกระทบกันบ่อยๆ.  แม้แต่สุนัขและแมว  ก็ขอให้ลูกเด็กๆของเรารู้จักขอโทษ, รู้จักขอโทษ และถือเป็นการได้รับอภัย, ก็จะมีนิสัยที่ดี คือ มีนิสัยเกลี้ยงเกลาจากสิ่งเศร้าหมอง.

ดังนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่า เป็นการกระทำที่ถูกแล้ว  ขอแสดงความพอใจยินดีในการที่ได้รักษาอริยวังสะปฏิปทา คือระเบียบปฏิบัติของพระอริยเจ้า  ที่ท่านถือเป็นหลักสำคัญในการขอโทษและอดโทษ  ในการกระทำวันนี้, และขอให้ถือว่าเป็นการกระทำตลอดกาล แล้วก็จะชำระอนุสัยสันดานนี้ ให้หมดจดเกลี้ยงเกลายิ่งขึ้นทุกทีๆ.  ขอโทษครั้งหนึ่ง มันชำระอนุสัยในสันดานได้หน่วยหนึ่งเสมอ, มันจะมีลบ คะแนนลบแก่ฝ่ายอนุสัย อาสวะ ; นี้ขอให้ปฏิเสธป็นหลักประจำใจ.

ขอโทษได้แม้แต่กับผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเรา  แม้เขาจะเป็นลูกจ้าง เป็นคนใช้ เป็นอะไรต่างๆ ก้ขอให้ขอโทษและขอให้อดโทษ มันก็มีความเกลี้ยงเกลาในจิตใจได้ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย เป็นรากฐานแห่งความสงบสุข.  เพียงเท่านี้มันก็ เป็นปัจจัยแก่พระนิพพานเป็นอย่างยิ่ง คือมีจิตใจสงบเย็นเกลี้ยงเกลา มันก็ได้ปัจจัย ส่งเสริมเพิ่มพูนยิ่งๆขึ้นไป  มันก็มีนิพพานเร็วขึ้น,  เป็นความเกลี้ยงทั้งหมดแห่งจิตใจ มันก็มีความสงบเย็นตามความหมายของคำว่า นิพพาน.

จึงขออนุโทนาในการกระทำ โดยธรรมะ โดยวินัย ขออนุโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่ง  ในการกระทำทั้งหลาย และโดยส่วนตัวก็ขอขอบพระคุณ ขอบคุณ ขอบใจ แก่ท่านทั้งหลาย ที่ได้กระทำอย่างนี้กับข้าพเจ้า.  ฉะนั้น ขอให้ประสบผลสำเร็จในการกระทำนี้  คือมีความเป็นอยู่ที่ถุกต้องแก่การที่จะดับทุกข์ ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต, เป็นอุปนิสัยปัจจัยไปจนตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน อย่างที่เราใช้กัน. 

ขออนุโมทนาและขอขอบพระคุณ และขออดโทษ อดหมดไม่มีอะไรเหลือ เพราะว่าอาตมาไม่ถือโทษ มีปกติ ไม่ถือโทษ ก็กลายเป็รการอดโทษอยู่โดยอัตโนมัติ, เป็นอันว่าเรา ๒ ฝ่าย มีจิตใจเกลี้ยงเกลาจากสิ่งที่เรียกว่าโทษ, แล้วก็มีคามสุข ความเจริญงอกงาม อยู่ในครรลองของพระศาสนา ด้วยความมีจิตเกลี้ยง เป็นผาสุกทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ.

..............   ...................   ....................

แถลงเรื่องทำบุญล้ออายุ.

ท่านสาธุชนและเพื่อนสหธัมมิกทั้งหลาย,

          ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดี  ในการมาของท่านทั้งหลายในลักษณะอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว  ว่าเพื่อประโยชน์อะไร ; แต่เราก็ยังจะต้องทำความเข้าใจกันอยู่บ้างตามเคย.  ขอบพระคุณในการมาเป็นครั้งแรก ด้วยความหวังดีแก่ข้าพเจ้า, แล้วก็ขอบพระคุณในการให้ของขวัญ.
          การทำบุญเนื่องด้วยของเรานั้นน่ะ มันแปลก มันแปลก  การให้ของขวัญมันจึงแปลก ; โดยทั่วไปเขาก็ให้ของขวัญในลักษณะวัตถุสิ่งของ  หรืออะไรก็ตามเรื่องของการทำบุญ ประเภทที่เรียกกันว่าต่ออายุ.  แต่ของเราในที่นี้ เป็นการทำบุญประเภทล้ออายุ  ช่วยเข้าใจในความมุ่งหมายอันนี้ ให้ถุกต้อง ให้สำเร็จประโยชน์.  ทำบุญต่ออายุนั้น ก็เป็นของทั่วๆไป  ที่กระทำอยู่ มีสมุฏฐานมาจากความขาดเขลาความกลัวจึงทำบุญต่ออายุ.  ส่วนทำบุญล้ออายุนี้  มันมีสมุฏฐานมาจากความกล้าหาญ, เผชิญหน้ากับความล่วงๆไปแห่งอายุ ทำบุญต่ออายุ กับทำบุญล้ออายุ มันจึงไม่เหมือนกัน แล้วบางทีมันจะตรงกันข้ามก็ได้.

          ข้าพเจ้าเลือกเอาการทำบุญต่ออายุ  แต่ความมุ่งหวังว่าต่ออายุไม่ใช่ของตนเอง  แต่ว่าสืบอายุพระพุทธศาสนา, การบำเพ็ญบุญชนิดไหน  จะเป็นการสืบอายุพระศาสนา เราก็เลือกเอาการบำเพ็ญบุญชนิดนั้น.  ดังนั้นการบำเพ็ญบุญประเภทล้ออายุ  มันก็เกิดขึ้น  คือ  มีสติสัมปชัญญะ ล้ออายุที่มันช่างเปลี่ยนไปๆอย่างรุนแรง  อย่างรวดเร็ว ยุ่งกันไปหมด หาความสงบไม่ได้.
          นี้เราจะล้อมัน, เราจะล้อมัน ว่าอายุอะไรบ้าบออย่างนี้  มันควรจะมีความปกติ เป็นสุข สงบ, ควรจะท้าทายการเปลี่ยนแปลงหรือการหมุนไปแห่งอายุ ว่าเราควบคุมได้, และเราก็จะล้ออายุมาตั้งแต่วันแรกเกิด  จากท้องมารดา ไม่ได้กินอะไรเลยก็อยู่ได้  เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์อันนี้, และเหตุการณ์ต่อไป  ก็ว่าเราจะมีการให้ของขวัญในวันนี้ คือการเว้นการกินอาหารเสียสัก 1 วัน, 1 วัน โดยนึกถึงวันแรกคลอดมาก้ไม่ได้กินอะไร  กินแต่น้ำ มันเป็นการบังคับความรู้สึก, เป็นการฝึกหัดจิตใจให้อยู่ในการบังคับ, สามารถจะรักษาระเบียบและร่องรอยใดๆไว้ด้วยความเข้มแข็ง, จึงมีการให้ของขวัญกันด้วยการเว้นการกินอาหาร 1 วัน กHปรากฏว่ามีผู้ให้ของขวัญจำนวนมากมาย นี้ขอขอบพระคุณเป็นพิเศษ.

          ถ้าว่าเราจะมีการเว้นการกินอาหารกันสัก 1 วัน สมมติว่าอาหารมีราคาทั้งวัน เอาสัก 10 บาท ทั้งวัน.  อาหารทั้งวัน ครบ 50 ล้านคน ก็จะประหยัดเงินได้ 500 ล้านบาท, มันไม่ใช่เรื่องเฃ่นๆ มันสามารถจะมีประโยชนทางเศรษฐกิจและทางอะไรไปเสียทุกอย่าง, อดอาหารกันเสีย 1 วัน ประหยัดเงินได้ตั้ง 500 ล้านบาท สำหรับ 50 ล้านคน.  แต่ว่ามันไม่ใช่จะคิดกันแต่ในแง่เศรษฐกิจอย่างนั้น ; มันคิดกันถึงความเข้มแข็ง การบังคับจิตได้, การบังคับจิตได้เป็นปัจจัยสำคัญของทั้งหมด  ที่จะปฏิบัติตนให้อยู่ในครรลองของความดับทุกข์.
          เป็นอันว่า ท่านทั้งหลายที่ได้ให้ของขวัญในวันนี้ จงประสบความสำเร็จ  ในการบังคับกายบังคับจิต  อยู่ในร่องรอยตามที่ต้องการ.  เราต้องการอะไร  มันควรจะได้อย่างนั้น ; เราตามใจตัวมากี่วันๆก็รู้กันอยู่,  เราจะไม่ตามใจตัวเสียสัก 1 วันก็ยังได้  แล้วก็ปฏิบัติในลักษณะที่ว่าเป็นผู้ไม่ประมาท  อดกลั้นอดทน  มันก็มีความถุกต้องไม่เสียหายอะไร.  แต่คนขลาดทำไม่ได้  เพราะมีความขาดครอบงำแล้ว, อะไรๆมันก็เปลี่ยนไปหมด.  ดังนั้น มันก็จะต้องกระวนกระวาย หรือหิว หรือเดือดร้อน หรืออะไรไป ต่างๆนานา ; แต่ถ้าตั้งใจหรือบอกตัวเองวันนี้งด  มันก็งดแหละ, เข้าใจว่าแม้แต่น้ำย่อยอาหาร  มันก็จะพลอยงดพลอยหยุดที่จะส่งออกมา  ปัPหาก็ไม่เกิดแก่กระเพาะลำไส้อะไร.  หรือว่าจะมีการออกตามปกติก็ไม่เป็นไร  ก็กินน้ำชดเชยได้, ได้ความว่า  เป็นนายมีอิสระเหนือร่างกายโดยเฉพาะกันเสียสักวันหนึ่ง ; เพราะเหตุผลดังที่กล่าวมา.  สรุปความว่าเป็นการเตรียมความเข้มแข็งสำหรับจะเป็นมนุษย์ที่เข้มแข็ง เผชิญกับหน้าที่ทุกขั้นตอนได้เป็นอย่างดี.

          ขอให้ทุกท่านได้รับอานิสงส์แห่งการให้ของขวัญในวันนี้ ด้วยกันจงทุกคนในลักษณะอย่างนี้, ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเป็นการขอบคุณของข้าพเจ้า, ขอให้ได้ผลเป็นประโยชน์ในด้านจิตใจตามธรรมชาติแก่ท่านทั้งหลาย.

          นี้เรียกว่าเป็นการศึกษาอายุ เป็นการรู้จักอายุ เป็นการปฏิบัติต่ออายุ แล้วก็มีผลดีเกี่ยวกับอายุนั่นเอง.  นี้เป็นข้อความเบื้องต้น ที่จะปรารภซักซ้อมความเข้าใจกัน อย่างที่เคยทำมาแล้ว.  ขอขอบพระคุณที่มาด้วยน้ำใจ ร่วมการทำบุญล้ออายุ ; ส่วนความลำบากนั้น  จะปรับให้เป็นข้อบกพร่องของข้าพเจ้าก็ได้เหมือนกัน.  แต่ว่าถ้าลำบากเท่าไร ก็เป็นการล้ออายุเท่านั้น.  ยิ่งได้รับความลำบากในการมาหรือมาร่วมงานนี้เท่าไร  ก็ยิ่งได้ผลเป็นการล้ออายุของตัวเองมากเท่านั้น.  แต่ถ้าจะเป็นความรับผิดชอบของเจ้าของถิ่น  ก็รับผิดชอบและขออภัย ; แต่ขอกล่าวว่าขอให้ความลำบากนั้นเป็นการทำบุญล้ออายุ  หรือบูชาคุณร่วมกันในการล้ออายุในวันนี้.

          ทีนี้ก็จะได้กล่าวธรรมะเนื่องในโอกาสนี้  อย่างเดียวกับที่กระทำมาแล้วในปีก่อนๆว่า  จะมีการบรรยายธรรม 3 ครั้ง คือภาคเช้า ภาคบ่าย แล้วก็ภาคกลางคืน, เราก็ยังคงกระทำไปตามหลักเกณฑ์ที่ได้วางไว้แล้ว.  บัดนี้ก็จะได้มีการบรรยายธรรม  ที่เรียกว่าเป็นภาคเช้า  การบรรยายธรรมปีนี้  ก็จะบรรยายตามหลักปณิธาน 3 ประการ ของข้าพเจ้า.
          ใน ข้อแรก ก็ว่า  พยายามให้เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ ไม่ว่าจะถือศาสนาอะไร.
          ข้อที่ 2  ให้ทำความเข้าใจอันดี ในระหว่างศาสนาทุกศาสนา เพื่ออยู่ร่วมกันในโลก  เพื่อช่วยเหลือโลกให้ประสบสันติภาพ  ในลักษณะเป็นสหกรณ์ของศาสนาทุกศาสนา ในการทำหน้าที่ร่วมกันเพื่อช่วยโลก.
          ข้อที่ 3  เป็นการมุ่งหมายที่จะดึง  หรือชัก  หรือลากโลกนี้ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม.  วัตถุนิยมกำลังครองโลก  เป็นปัจจัยแห่งการเห็นแก่ตัว เกิดกิเลสเป็นทุกข์ส่วนตัว, เกิดการเบียดเบียนเป็นทุกข์ในส่วนสังคม.  เดี๋ยวนี้โลกเจริญด้วยวัตถุ  พัฒนาวัตถุจนตกเป็นทาสของวัตถุ.  ช่วยเข้าใจคำนี้  กันไว้ให้ดีๆว่า เป็นทาสของวัตถุ บูชาวัตถุเหมือนกับบูชาพระเจ้า  จนจะกล่าวได้ว่าเดี๋ยวนี้ เขาก็ถือศาสนาวัตถุกันเสียแล้ว,  แล้วก็เป็นวัตถุนิยมชนิดที่สร้างปัญหาด้วย.  ถ้าอย่างไรเราทุกคนจงออกมาเสียจากอำนาจอิทธิพลของวัตถุนิยม.

          ปณิธานมีอยู่ เป็น 3 ประการดังนี้  ในตอนภาคเช้านี้ จะพูดถึงปณิธานข้อแรก, ส่วนข้อ 2 ไว้ภาคบ่าย ข้อ 3 ไว้ภาคกลางคืน.

ปณิธานข้อ 1 พยายามเข้าถึงหัวใจศาสนาของตน.
          ปณิธานข้อแรก  สรุปความว่า  เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ แล้วแต่ว่าจะกำลังถือศาสนาอะไร.  คำว่าศาสนาในที่นี้ หมายถึงศาสนาที่ถุกต้อง, ไม่ใช่ศาสนาวัตถุนิยม ไม่ใช่ศาสนาเงิน ไม่ใช่ศาสนากามารมณ์, แต่เป็นศาสนาที่ถุกต้องที่มีอยู่สำหรับคุ้มครองโลก.  แต่ละศาสนาก็มีหัวใจ  คือความมุ่งหมายส่วนสำคัญ, นี้เรียกว่า  จะตรงกันทุกศาสนาก็ได้  คือเพื่อสันติสุขของโลก  ด้วยเครื่องมือคือความไม่เห็นแก่ตัว, ทุกศาสนามุ่งหมายจะกำจัดความเห็นแก่ตัว.


ความเห็นแก่ตัวเป็นอันตรายมาก.
          ความเห็นแก่ตัวนี้เป็นอันตราย เป็นศัตรูร้ายยิ่งกว่าสิ่งใดของมนุษย์ ; เพราะเห็นแก่ตัวนั่นแหละ  มันจึงเกิดความโลภ, เมื่อมีอะไรมาทำให้โลก  มันเกิดความโกรธ เมื่อมีอะไรมาทำให้โกรธ,  เกิดความโง่ในเมื่อมีอะไรมาทำให้โง่,  มันเป็นผลแห่งการที่ควบคุมสัญชาตญาณไว้ไม่ได้.
          เรื่องนี้สำคัญมาก  ควรจะทราบไว้เป็นหลักเกณฑ์ว่า ชีวิตทุกชนิด ชีวิตระดับมนุษย์ ชีวิตระดับสัตว์เดรัจฉาน ชีวิตระดับต้นไม้ต้นไล่, มันมีสัญชาตญาณ คือความรู้สึกเกิดได้เอง  โดยไม่ต้องอบรมสั่งสอนอะไร ; เช่นความรู้สึกว่ามีตัวตนเป็นตัวตนนี้ก็มี, ไม่มีชีวิตมันก้ไม่รู้จะดำเนินอยู่อย่างไร  มันมีสัญชาตญาณว่ามีตัวตน  มีตัวฉัน, แล้วมันก็ต้องเกิดสัญชาตญาณที่จะต้องกินอาหาร  จะต้องแสวงหาอาหาร จะต้องต่อสู้เมื่อควรต่อสู้  จะต้องหนีภัยเมื่อหนีภัย; นี้มันเป็นไปได้ในสิ่งที่มีชีวิต  แม้ในระดับต้นไม้.
          อย่าไปพูดเขลาๆตามๆกันว่า ต้นไม้ไม่มีจิต ไม่มีวิญญาณ ; มันก็มีความรุ้สึกในความหมายอย่างเดียวกัน  คือมันต้องการจะมีอยู่,  มันต้องการจะคงชีวิตอยู่  มันจึงมีการสืบพันธุ์  มีเจตนาที่จะสืบพันธุ์, แล้วมันก็มีเจตนาที่จะหล่อเลี้ยงชีวิต  มันก็จะต่อสู้กับสิ่งทุกสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิต, แล้วก็จะป้องกันสิ่งที่เป็นอันตรายแก่ชีวิต ; อย่างนี้เป็นเสมอกันหมด  มันเป็นสัญชาตญาณที่จำเป็นอย่างยิ่ง  ถ้ามันขาดเสียแล้วชีวิตมันเป็นไปไม่ได้.  นี้เรียกว่า สัญชาตญาณพื้นฐาน เป้นความรู้ที่ได้เกิดเองตามพื้นฐาน,  เป็นพื้นฐานของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต  ขาดสัญชาตญาณแล้ว  ชีวิตมันก็ไม่มีรากฐานอะไร  มันก็อยู่ไม่ได้.
          เอ้า ทีนี้ สัญชาตญาณ นี่แหละมันมีปัญหาว่าควบคุมไว้ได้หรือไม่?  ควบคุมให้ดำเนินไปถูกต้องได้หรือไม่?  ถ้าไม่มีการควบคุมที่ถูกต้อง  สัญชาตญาณมันก็เปลี่ยนไปเป็นกิเลส  คือความเห็นแก่ตนตามธรรมดาที่ถูกที่ควรนั้น  มันก็เปลี่ยนไปเป็นเห็นแก่ตน, มันรุนแรงเป็นความเห็นแก่ตน ; นี่คือเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งปวง เป็นเหตุแห่งความทุกข์.

          ตามหลักพุทธศาสนาถือว่า  อัตตวาทุปาทาน – เป็นยึดมั่นหมายมั่นว่ามีตัวตน มีของกู มีตัวกู เป็น้ตนเหตุแห่งความทุกข์,  นี้เพราะสัญชาตญาณพื้นฐานกลางๆนั้นควบคุมไว้ไม่ได้  มันจึงตกมาเป็นญาณชนิดที่อันตราย เป็นกิเลส ; แต่ถ้าสัญชาตญาณนั้น ควบคุมไว้ได้ด้วยระเบียบปฏิบัติที่ถุกต้อง  สัญชาตญาณ ก็เปลี่ยนรูปเปลี่ยนตัวไปเป็นโพธิ, โพธิคือมีความรู้อันถุกต้องในทางที่จะดับทุกข์.

          นี้เราเรียกว่า  สัญชาตญาณพื้นฐาน  ธรรมดานั้น ถ้ามันเปลี่ยนไปในทางต่ำ เป็นธรรมชาติฝ่ายต่ำ มันก็เป็นปัญหา เกิดกิเลสและเกิดทุกข์ ; ถ้าเป็นไปในทางฝ่ายสูง  เป็นธรรมชาติฝ่ายสูงขึ้นมา  ก็เป็นโพธิ, มันก็รู้เรื่องที่จะดับทุกข์ที่จะแก้ปัญหา.  ฉะนั้นเราจะโชคดี โชคร้ายอะไร มันก็อยู่ที่ตรงนี้ ไม่ใช่มีอะไรอื่นว่าบังคับสัญชาตญาณไว้ในทางที่จะเป็นโพธิ  สูงขึ้นไปได้หรือไม่?  ถ้าได้มันก้ปลอดภัย, ถ้าไม่ได้ มันก็เปลี่ยนมาเป็นสัญชาตญาณที่เป็นกิเลส หรือฝ่ายต่ำ เกิดโลภะ โทสะ โมหะหมด ต้องทนทุกข์ทรมาน.

          นี่แหละเรียกว่า สัญชาตญาญที่ควบคุมไว้ในระดับที่ถูกต้องไม่ได้นั่นแหละ  มันเกิดเป็นตัวตน เป็นของตนขึ้นมา, แล้วมันเห็นแก่ตนเป็นปัญหาแก่คนทุกคน เดือดร้อนลงไปถึงสัตว์และถึงต้นไม้.  ความเห็นแก่ตนนี่มันมันทำความเดือดร้อนแก่คนทุกคนทุกฝ่าย, และลงไปถึงสัตว์ถึงต้นไม้พลอยได้รับความเดือดร้อน เพราะความเห็นแก่ตนของคน.
          ผู้มีปัญญาในอดีต  ที่ได้ให้กำเนิดแก่ศาสนาทั้งหลาย มองเห็นสิ่งนี้ร่วมกัน  ว่าความเห็นแก่ตนเป็นต้นเหตุ  จะต้องกำจัด จะต้องทำลาย, หรืออย่างน้อยก็ว่าควบคุมตามที่ควรจะควบคุม.  ที่จริงสัญชาตญาณนั้น จะทำลายเลิกล้างไปหมดไม่ได้ มันได้แต่ควบคุม, ควบคุมๆคือพัฒนาจนกว่าจะถึงที่สุด มันจึงจะสิ้นสุด, มันจะเป็นได้ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์.  เมื่อพูดอย่างคนธรรมดาสามัญ เราก็ไม่ต้องพูดถึงว่า กำจัดสัญชาตญาณได้โดยสิ้นเชิง.  เราจะพูดแต่เพียงว่า  ควบคุมสัญชาตญาณไว้ได้เป็นไปในทางแห่งโพธิ.  ดังนั้นขอให้พิจารณาดูว่า ศาสนาทุกศาสนามุ่งหมายจะกำจัดความเห็นแก่ตน  ไม่ว่าศานาไหน  ไม่ว่าศาสนาที่จะถูกประณามว่าดุร้าย  หรืออะไรก็สุดแท้เถอะ  แต่เจตนาส่วนใหญ่จะกำจัดความเห็นแก่ตนของสังคม.  ในบางศาสนา ในบางถิ่น บางกาละ บางเทศะ ต้องใช้อำนาจเด็ดขาด ; เพราะฉะนั้นพระศาสดาแห่งศาสนานั้น  จึงใช้วิธีการอันเด็ดขาดรุนแรง แต่พุทธศาสนานี้เป็นไปในทางสงบ  คือต้องการสติปัญญา,  ไม่ต้องใช้ความรุนแรงก็มีหลักระเบียบวางไว้.  แต่ว่าทุกศาสนามุ่งหมายที่จะกำจัดความเห็นแก่ตน.  ดังนั้นขอให้แต่ละคนๆไม่ว่าจะถือศาสนาอะไรอยู่ ขอให้มุ่งหมายที่จะกำจัดความเห็นแก่ตน, แล้วมันจะไม่เกิดโลภะ โทสะ โมหะ ในระดับที่เป็นอันตรายรุนแรง จนกว่ำมันจะหมดสิ้นไปนั่นแหละ.

          พวกที่ถือศาสนาเงิน  ถือศาสนากามารมณ์  ถือศาสนาอะไรก็ควรจะพิจารณาดู ก็ควรจะพิจารณาดู ว่าสิ่งเหล่านี้มีผลอย่างไร, เดือดร้อนอย่างไร, เห็นจริงแล้ว รู้จักแล้ว มันจะได้บรรเทากันเสียบ้าง ก็เข้าหลักเดียวกันว่า  มนุษย์จะรอดได้ด้วยการทำลายความเห็นแก่ตน.  ความเห็นแก่ตนลุกลาม จนอยากจะเป็นเจ้าโลก อยากจะครองโลก, คุมพวกกันบ้างแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายบ้างที่จะครองโลก จึงเกิดปัยหายืดเยื้อคือสงครามอันถาวร เพราะเรามีความเห็นแก่ตน ; เมื่อใดทำลายความเห็นแก่ตนเสียได้  เมื่อนั้นก็จะมีสันติภาพเกิดขึ้นในโลก.

          ถ้าทุกคนเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนแล้ว ก็ทำลายความเห็นแก่ตนได้,  แล้วโลกทั้งโลกมันก็เป็นโลกที่ปราศจากความเห็นแก่ตน, ก็เป็นโลกที่มีสันติภาพอันถาวร.  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขวนขวายอย่างยิ่ง ที่จะทำใหทุกคนเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ ตามวิธีการปฏิบัติแต่ละระดับ แต่ละขั้นแต่ละตอน  ตามแต่วิธีการจะมีอยู่อย่างไร.  ขอแต่ให้กำจัด  หรืออย่างน้อยก็บรรเทาความเห็นแก่ตนเสียให้ได้.




พยายามทะลุเปลือกเข้าถึงหัวใจศาสนาให้ได้.
          เราจะต้องเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนา ก็เพราะว่ามันมีเปลือกนอกหุ้มอยู่ ; กล้าพูดว่า ศาสนาทุกศาสนามีเปลือกหรือมีเนื้องอกที่เกิดขึ้นหุ้มห่อศาสนานั้นๆ, ส่วนที่เป็นหัวใจจึงอยู่เป็นส่วนที่ลึก เข้าใจได้ยาก  มันจำเป็นที่จะต้องมีเปลือก.  อย่าไปเสียใจเลย  เรื่องพิธีรีตอง เรื่องลัทธิประกอบข้างว่าผลไม้ ผลไม้ ผลไม้แต่ละชนิดต้องมีเปลือก ; ถ้าไม่มีเปลือกมันเป็นผลไม้ไม่ได้, เนื้อในมันก็เสียหายนอกซึ่งเป็นเปลือกนั้นมันต้องมี  ศาสนาตั้งอยู่ได้ก็เพราะเปลือก.  นี่พูดคล้ายๆกับว่า มันตรงกันข้าม ดูตั้งแต่หมด กินไม่ได้.  ดังนั้นเราจะเหก็นได้ว่า เมื่อต้นไม้มันจะออกผลนี้ มันต้องออกเปลือกก่อนเสมอแหละ, มันตั้งต้นเป็นเปลือกเล็กๆขึ้นมา แล้วก็ค่อยๆเจริญเติบโตขยายใหญ่ แล้วมีเนื้อในเพิ่มขึ้นทีหลัง.  นี่มันรู้จักออกเปลือกก่อน เพื่อจะคุ้มครองเนื้อใน, มันต้องมีเปลือก จำเป็นที่จะต้องมีเปลือก, ไม่มีเปลือกมันมีเนื้อในไม่ได้.

          ศาสนาที่อยู่มาได้นี้ ก็เพราะว่ามีเปลือก  คือพิธีต่างๆอะไรต่างๆที่ค่อนข้างดูแล้วมันก็เป็นความงมงาย, หรือเป็นความเชื่ออย่างงมงาย  มันก็เป็นเปลือก ที่มันจะหุ้มห่อสติปัญญาอันลึกซึ้งไว้.  เราจะต้องค่อยๆทำลายเปลือกเข้าไปๆให้ถึงเนื้อในซึ่งเป็นหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ ; ไม่ใช่จะดูหมิ่นสบประมาทอะไร ในการที่จะพูดว่าทุกศาสนามีเปลือกหุ้มห่อ, และถ้าสาวกในชั้นหลังเปลี่ยนแปลงหนักเข้า  ก็สร้างเปลือกให้ศาสนาตนเองมากเข้าๆ  จนย้อนกลับไปสู่ระดับไสยศาสตร์, ไสยะ แปลว่าหลับ, ไสยศาสตร์เป็นความรู้ของคนหลับ.

          พุทธศาสตร์ พุทธะ แปลว่าตื่น  พุทธศาสตร์จึงเป็นศาสตร์ของคนตื่น, ไสยศาสตร์เป็นศาสตร์ของคนหลับ; แต่แล้วมันก็ทิ้งกันไม่ได้ ไสยศาสตร์ทมันก็เป็นเปลือก คือความเชื่อตามธรรมดา สามัญของคนที่ไม่มีความรู้อะไร, มันก็ต้องมีความเชื่อ มีความอยากจะเอาตัวรอด ก็ต้องยึดถือชั้นเปลือกๆไปก่อน  แล้วก็ค่อยๆเข้าถึงชั้นใน, ไสยศาสตร์จึงคู่กันมากับพุทธศาสตร์.

          ไม่ว่าในของศาสนาไหน  ประชาชนโดยทั่วไปก็ต้องมีลักษณะเป็นคนหลับ  ถือไสยศาสตร์, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หวังพึ่งปัจจัยภายนอก.  ดังนั้น ถ้าศาสนาไหนเกิดขึ้นมา สอนให้พึ่งปัจจัยภายนอกก็ได้เปรียบ สอนง่าย เข้าใจกันง่าย รับถือกันได้โดยง่าย ; แต่ในที่สุดมันดับทุกข์สิ้นเชิงไม่ได้, มันก็ต้องเลื่อนชั้นเป็นศาสนาตื่น มีสติปัญญาสามารถจะขจัดปัญหาอันละเอียดอันสุขุมของโมหะของอวิชชา.

          เป็นอันว่า เรื่องมีเปลือกนี้จำเป็นที่จะต้องมี เหมือนกับว่าผลไม้ถ้าไม่มีเปลือก เนื้อในมันก็อยู่ได้; แต่เรากินเปลือกนั้นไม่ได้, แล้วมันต้องรู้จัดกแกะเปลือกออกไป เข้าถึงเนื้อในแห่งผลไม้.  พระศาสนานี้ก็เหมือนกัน ควรจะเข้าถึงหัวใจกันให้ได้  ว่าความไม่เห็นแก่ตัว.  ความเห็นแก่ตัวนั้นไม่ต้องสอน  มันมาจากสัญชาตญาณที่ควบคุมไม่ได้, มันเตลิดเป็นธรรมชาติฝ่ายต่ำ  มันก็เห็นแก่ตัว ปัญหามันก็เกิดขึ้น  มีความทุกข์ทรมาน.  เมื่อเกิดความทุกข์ทรมานก็เท่ากับเป็นการลงโทษ,  เมื่อรับโทษหนักเข้าๆ รับโทษนั่นแหละ หนักเข้าๆ คือมีความทุกข์มากเข้าๆมันก็รู้สึกได้เองว่านี่เป็นความทุกข์, มันจึงหันไปหาสภาพที่ตรงกันข้าม คือนึกถึงความดับทุกข์.  นี่เรียกว่า มีความทุกข์ถึงที่สุดแล้ว  ก็จะเหลียวหาเครื่องดับทุกข์  เป็นที่พึ่งเพื่อดับทุกข์โดยสิ้นเชิง, ศรัทธาเปลี่ยนจากความงมงายนั้น ไปหาสิ่งที่จะดับทุกข์ได้จริง.

          ฉะนั้น  ตามหลักปฏิจจสมุปบาท สูตรที่สมบูรณ์นั้น  กล่าวศรัทธาต่อท้ายจากความทุกข์; ปฏิบัติส่วนสมุทยวารกล่าวถึงความทุกข์เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว  ก็กลับขึ้นรอบใหม่, ก็มีศรัทธา คิดจะดับทุกข์ จึงแสวงหา, ไปหาสัตบุรุษ คบสัตตบุรุษ ปฏิบัติตามสัตตบุรุษ, จนกระทั่งรู้จักเรื่องมรรค ผล นิพพาน.  ฉะนั้นความทุกข์นั่นเองบีบบังคับคนเราให้ทนอยู่ไม่ได้ต้องเปลี่ยน, ก็เปลี่ยนจากความทุกข์ ก็มามีศรัทธา, แล้วตั้งต้นกันใหม่ในสิ่งที่จะดับทุกข์ได้.  ก่อนนี้เป็นศรัทธางมงายของอวิชชา, เดี๋ยวนี้เปลี่ยนมาเป็นศรัทธาของสติปัญญา, มีสติปัญญาแล้วจึงศรัทธา  ก็สามารถที่จะเดินไปในทางที่ถุกต้อง เพื่อจะดับทุกข์ได้.

          นี่เห็นไหมว่า  เราจะต้องเจาะเปลือก, เราจะต้องปอกเปลือก  จะต้องเจาะเปลือก เพื่อเข้าถึงเนื้อใน ถึงหัวใจแห่งพระศาสนาที่จะช่วยได้,  ก็ใฟห้อภัยกันได้ ที่ว่าศาสนามันต่างๆกัน.  จำเป็นที่จะต้องมีศาสนาต่างๆกัน เพราะว่ามนุษย์มันมีหลายชนิดมีหลายชั้น, เรียกว่ามีภูมิหลังต่างกัน คือมีวัฒนธรรมเป็นภูมิหลังของชีวิตต่างกัน ; ฉะนั้น เขาจะต้องเลือกหาศาสนาที่เหมาะสมกับภูมิหลังแห่งชีวิตของเขา ; ดังนั้นจึงมีศาสนาต่างๆต่างๆเรียกว่า มากพอที่จะให้เลือกครบทุกระดับแห่งมนุษย์ที่มีชีวิต คือมีภูมิหลังต่างๆกัน.  นี้เราจึงจำเป็นจะต้องมีศาสนาต่างกัน แต่แล้วเราจะมาทะเลาะวิวาทกันไม่ได้, เราต้องเข้าถึงหัวใจของศาสนาทุกศาสนา  ซึ่งจะกำจัดความเห็นแก่ตัว.
          การเรียนของเราก็ต้องเรียนให้รู้หัวใจของศาสนา, การรู้ของเราก็ต้องรู้หัวใจของศาสนา, การปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติให้ถึงหัวใจของศาสนา, การได้รับผลของการปฏิบัติ ก็ต้องเข้าถึงหัวใจ  ชั้นที่เป็นผลของการปฏิบัติ.  นี่เรียกว่าต้องเข้าถึงหัวใจของศาสนา, ศาสนาอื่นต่างออกไป  ก็มีหลักเกณฑ์ที่ต่างออกไป  ไปศึกษาได้.  ในที่นี้จะบรรยายระบุเฉพาะพุทธศาสนา  ให้เข้าถึงหัวใจของศาสนาแต่ละศาสนาแล้ว  ก็จะสำเร็จประโยชน์.
          พระศาสดาเป็นผู้เปิดเผยพระศาสนา, ศาสนาเกิดขึ้นเพราะการเปิดเผยของพระศาสดา.  ชนทั้งหลายเป็นศาสนิก คือเป็นผู้ฟังและปฏิบัติตาม, ศาสนามีความสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง ระหว่างพระศาสนากับศาสนาและศาสนิกแห่งศาสนานั้นๆ, เป็นหน้าที่ของศาสนิกแห่งศาสนานั้นๆ จะต้องเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ.

หลักการของศาสนามีสองประเภท.
          ในที่นี้จะขอสรุป  เพื่อเป็นการง่ายเข้า ว่าศาสนาทั้งหลายบรรดามีในโลกนี้ เอามารวมกันแล้ว คัดแยกไปตามประเภทที่มีหลักการอย่างไร ก็จะพบว่า มีอยู่ 2 ศาสนา เท่านั้นแหละ  ศาสนาอย่างหนึ่งถือปัจจัยภายนอก ว่ามีพระเจ้าเป็นต้น เป็นผู้สร้าง, เลยเชื่อว่าโลกนี้ สากลโลกนี้ มันมีผู้สร้าง.  ส่วนศาสนาอีกประเภทหนึ่งนั้น มีการเชื่อว่าไม่มีใครสร้าง, ไม่มีบุคคลใดสร้าง เป็นวิวัฒนาการตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ซึ่งมีกฏเกณฑ์อย่างนั้น โดยเฉพาะคือกฏอิทัปปัจจยตา, จึงแบ่งแยกได้เป็น 2 ชนิด หรือ 2 ศาสนา  ศาสนาแรกนั้นเป็นพวก creationist, creationist พวกที่ถือว่ามีผู้สร้าง, พวกที่ 2 เรียกว่า evolutionist คือพวกที่ถือว่าเป็นไปตามวิวัฒนาการ.

          นี่แยกกันอย่างไรในที่สุดก็จะพบได้ว่า มันมีอยู่ 2 ประเภท เราไม่ได้ดูถูกซึ่งกันและกันดอก เพราะว่ามันเหมาะสมแก่มนุษย์แห่งถิ่นนั้น ยุคนั้น ในสมัยนั้น ตามภูมิหลังแห่งวัฒนธรรมของตน ใช้ได้ด้วยกัน, ให้เหมาะสมกับความจำเป็นหรือความต้องการของตน, ไม่ต้องดูถุกกันในเรื่องนี้.  ยิ่งดูถูกกันเท่าไร ยิ่งทำความผิดมากเท่านั้น  ไม่อาจจะเกิดความร่วมมือกันในการสร้างสันติภาพ.  ถ้าเชื่อว่าพระผู้สร้าง ก็ปฏิบัติให้ถุกต้องตามกฏเกณฑ์เรื่องมีพระผู้สร้าง ; ถ้าไม่มีพระผู้สร้าง มีแต่วิวัฒนาการตามกฏเกณฑ์ธรรมชาติ ก็ประพฤติให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ.
          ทีนี้ ถ้าจะมาสัมพันธ์กัน มันก็ต้องทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน  ถ้าคำว่า ผู้สร้าง นั้น เปลี่ยนความหมายจากภาษาคนมาเป็นภาษาธรรม ก็ได้แก่กฏเกณฑ์ของธรรมชาติอีกนั่นเอง, ซึ่งต่อไปในอนาคตอาจจะเหลือเพียงศาสนาเดียวก็ได้ คือศาสนาที่ว่ามีผู้สร้างนั้นจะต้องหายไปเพราะการศึกษาของมนุษย์ในยุคต่อไป เจริญโดยหลักของวิทยาศาสตร์ เข้าใจเรื่องวิวัฒนาการได้ง่ายกว่าที่จะไปเข้าใจเรื่องผู้สร้าง.  หลักฐานพยานต่างๆมันขัดแย้งกัน ว่าถ้ามีผู้สร้างจริง ผู้สร้างก็ควรจะฉลาด สร้างให้โลกนี้มีแต่สิ่งที่ดีที่งาม ; เดี่ญวนี้มันมีปัญหามากขึ้นทุกที มีปัญหามากขึ้นทุกที ; มันกลายเป็นผู้ลงโทษเสียแล้ว, มันกลายเป็นไม่ใช่ผู้สร้าง.
          โลกอนาคต  อาจจะเปลี่ยนไปในทางที่มนุษย์สมัยนั้นจะยอมรับได้ ; ถ้ามนุษย์ทุกคนมีภูมิหลังเป็นวิทยาศาสตร์หมดแล้ว ก็จะเหลือแต่ศาสนาเดียว คือศาสนาที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการตามกฏของธรรมชาติ. เดี๋ยวนี้เราก็ยังเป็นอย่างนั้นไม่ได้ เรากำลังถือศาสนาประเภทไหน ก็เจาะเข้าไปให้ถึงหัวใจของศาสนาประเภทนั้นด้วยกันทุกฝ่าย.
          แต่ในตอนนี้ อยากจะขอบอกกล่าวไว้เป็นพิเศษสักอย่างหนึ่งว่า  เขาอาจจะกล่าวไว้อย่างถูกต้องในแบบภาษาธรรมะ,  แล้วคนชั้นหลังมาเปลี่ยนคำอธิบายนั้นๆมาเป็นภาษาคน.  ฉะนั้นในบางคัมภีร์ของศาสนา มันจึงมีเรื่องขัดกัน กล่าวไว้ในภาษาคน ชนิดมันจะเข้ากับสถานการณ์ใดๆไม่ได้ ถ้าเปลี่ยนความหมายแห่งภาษาคนเหล่านั้นเป็นภาษาธรรมแล้ว มันก็จะเหมือนกันหมดแหละ คือเป็นไปตามกฏอันแท้จริงตามธรรมชาติ ; นั่นแหละคือหัวใจ – หัวใจ, หัวใจของทุกศาสนาที่จะต้องเข้าให้ถึง ; เมื่อเข้าถึงหัวใจอันเดียวกันแล้วปัญหาหมดแน่ ไม่มีการขัดแย้งอะไรกันอีกต่อไป.
          เดี๋ยวนี้เรายังจำเป็นที่จะต้องมีหลักเกณฑ์อย่างนี้คือ แยกเป็น 2 ประเภท อย่างนี้กันต่อไปอีกนานก็ได้ ; แต่ก็ควรจะมุ่งหมายให้เข้าถึงหัวใจกันไว้เรื่อยแหละ, มุ่งหมายให้เข้าถึงหัวใจของศาสนากันไว้เรื่อยๆ มันจะไปถึงจุดหนึ่งที่จะพบกัน เป็นสัจจะของธรรมชาติ,  สัจจะเป็นกฏอันหนึ่ง กฏนั้นมีเพียง 1 เดียว เอกํ หิ สจฺจํ น ทุติย มตฺถิ
          ตามหลักบาลีว่า  กฏหรือสัจจะนั้นมีเพียงอย่างเดียว มี 2 อย่างไม่ได้ ; แต่เดี๋ยวนี้คนเขาเอาสัจจะน่ะ ปพูดในภาษาคนบ้าง, อีกทางหนึ่งเอาไปพูดในภาษาธรรม มันเลยเกิดขัดแย้งกันทั้งที่เรียกว่า สัจจะ.  แต่ถ้าเข้าถึงหัวใจของสัจจะแล้ว มันจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในโลกวิทยาศาสตร์ คงจะแก้ปัญหานี้ได้, การศึกษาวิทยาศาสตร์ จะช่วยให้ศาสนิกชนของทุกศาสนา เข้าถึงหัวใจของศาสนาของตนๆได้สักวันหนึ่งเป็นแน่นอน.
          เดี๋ยวนี้มันจะต้องแยกกันไปก่อน เพราะสถานการณ์มันอยู่ในลักษณะอย่างนี้ มันจะเปลี่ยนเร็วนักไม่ได้; เช่นว่า  พวกหนึ่งจะถือว่า ความทุกข์ยากลำบากหรือความดับทุกข์ก็ตาม เป็นความประสงค์ของพระเป็นเจ้า  นี้ก็ขอให้ทำให้ถุกตามประสงค์ของพระเป็นเจ้าเถิด.  อีกพวกหนึ่งถือว่าสุขทุกข์หรือความดับทุกข์นี้ มันเป็นผลของการกระทำผิดหรือกระทำถูกต่อกฏอิทัปปัจจยตา ซึ่งเป็นกฏของธรรมชาติ.

          ถ้าตามหลักพุทธศาสนา ก็ต้องถือว่าเป็นไปโดยกฏอิทัปปัจจยตา  มีพระบาลีกล่าวไว้ชัดเจน ซึ่งพวกเราก้ไม่ค่อยจะได้ยินได้ฟัง, พระบาลีนั้นตรัสว่า สุขและทุกข์มิใช่เป็นผลของกรรมเก่า ; เรามักจะเชื่อว่าเป็นผลของกรรมเก่า  แล้วยึดมั่นถือมั่นในหลักเกณฑ์อันนี้มากนัก, ถ้ามันเป็นผลของกรรมเก่า เราก็แก้ไขไม่ได้.  แต่ทีนี้ สุขทุกข์มันขึ้นอยู่กับการทำผิดหรือทำถูกต่อกฏอิทัปปัจจยตา ;  แม้ว่ามันจะเป็นผลของกรรมเก่า ถ้าเราเอากฏของ อิทัปปัจจยตาเข้ามาถือเป็นหลักต่อสู้  มันก็ตีผลของกรรมเก่าแตกกระเจิงไป มันก็ไม่มีเหมือนกัน, เดี๋ยวนี้เราอาจจะมีการปฏิบัติตามกกเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตาให้ถูกต้อง แล้วมันก็ไม่ต้องมีความทุกข์.
          แล้ว  ยังมีตรัสว่า  สุขและทุกข์นั้นมิใช่เป็นการบันดาลของพระเจ้า ;  คำว่า พระเจ้าในภาษาบาลีนั้นเรียกว่าอิสระ, ในภาษาสันสกฤตเรียกว่าอีศะวะระ หรือ อีศวร,  ในภาษาอื่นก็เรียกว่าพระเจ้า ; ไม่ใช่เป็นการบันดาล หรือ ตามกฏของอิทัปปัจจยตา ที่ปฏิบัติผิดหรือถูกต่อกฏของอิทัปปัจจยตา.
          และอีกอย่างหนึ่งว่า สุขและทุกข์ทั้งหลายนั้น จะว่าไม่มีเหตุผลไม่มีปัจจัยนั้นไม่ได้, มันมีเหตุมีปัจจัย.  เหตุปัจจัยนั้นก็คือกฏเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตา : ปฏิบัติอย่างให้เกิดความทุกข์ มันก้เกิดความทุกข์, ปฏิบัติอย่างท่ำมันดับทุกข์ มันก็ดับความทุกข์.

          ฉะนั้นสรุปความว่า หัวใจของพุทธศาสนา ถือในหลักทฤษฎีชั้นต้นนี้ทั่วไปว่า  ความสุขและความทุกข์ มาจากการปฏิบัติผิดหรือปฏิบัติถูก ต่อกฏเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตา;  ไม่ใช่เพราะกรรมเก่า ไม่ใช่เพราะการบันดาลของพระเจ้า, และไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุปัจจัยอะไรเสียเลย.  เราถือหลักนี้แล้ว ปฏิบัติให้ถุกต้องตามหลักเกณฑ์นั้นๆ ก็จะเข้าถึงหัวใจ, หัวใจของพระพุทธศาสนาว่า จะดับทุกข์กันได้อย่างไร.

หลักพุทธศาสนาไม่มีตัวตน.

          ในพุทธศาสนานี้ถือว่า  ไม่มีตัวตน  ทุกอย่างเป็นธาตุตามธรรมชาติ  ธาตุน่ะ ธา-ตุ ไม่ใช่ ทา-สะ, เป็นธาตุตามธรรมชาติ  ไม่มีอะไรที่ควรจะถือได้ว่าเป็นตัวตน มันไม่มีตัวตน แม้ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เวลานี้ ที่นั่งอยู่เดี๋ยวนี้, มันไม่มีตัวตน ; จะเป็น ขันธ์ 5 แต่ขันธ์ๆก็มิใช่ตัวตน  เป็นการปรุงแต่งตามกฏของธรรมชาติ.  หรือจะลดลงไปถึงธาตุทั้ง 6 ดิน น้ำ ลมไฟ อากาศ วิญญาณ  มันก็เป็นสักว่าธาตุตามธณรมชาติ มิใช่ตัวตน ; เมื่อเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีตัวตน และมิใช่ตัวตนแล้ว มันจะเอาตัวตนที่ไหนตาย แล้วมันจะเอาตัวตนที่ไหนไปเกิดใหม่.

          นี่เมื่อกล่าวถึงความจริงโดยปรมัตถ์มันเป็นอย่างนี้, พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้; แล้วก็ตรัสตำหนิ ติเตียน ดุ ภิกษุเกวัฏฏะบุตร ในที่ประชุมสงฆ์ว่า  เธอ อย่าไปพูดอย่างนั้น, ได้ยินว่าเธอพูดว่าวิญญาณนี้แหละไปเกิด วิญญาณนี้แหละไปเกิด เธอพูดอย่างนั้นจริงไหม?  ภิกษุนั้นก็รับว่าพูดอย่างนั้นจริง.  พระองค์ตรัสว่า โอ, เธออย่าพูดอย่างนี้ ; ไม่มีวิญญาณนี้ไปเกิด, ไม่มีตัวตนอะไรไปเกิด, นี้เมื่อท่านกล่าวโดยปรมัตถธรรม เป็นอย่างนี้.

          แต่ท่าน  กล่าวตามภาษาคน  กับคนที่เชื่อว่ามีตัวตน ที่เขาเชื่อว่ามีตัวตน กล่าวไว้ในที่ทั่วไปมากมายเหมือนกันว่า หลังจากตาย เพราะทำลายแห่งกายนี้ เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ได้ก็มี,  หลังจากทำลายแห่งร่างกายแล้ว เข้าถึงอบายทุคติวินิบาตบ้าง อย่างนี้ก็มี.  ขอให้ผู้รู้ว่า  นี่เป็นหลักสำหรับกล่าวโดยภาษาคน สอนคนที่ยังมีตัวตน, ไม่อาจจะเข้าใจความไม่มีตัวตน ก็จะยึดถือตัวตนที่ดี ปฏิบัติในทางดี เป็นสุคติ เป็นสวรรค์มากกว่า, ก็ยอมทิ้งไว้ว่าเขาเชื่อกันมาแต่ก่อนโน้นว่าอะไรไปเกิด  เอ้า  ก็อันนั้นแหละไปเกิด ; แต่ขอปฏิบัติอย่างนี้ แล้วก็จะได้ไปเกิดมีความสุข.

          แต่พอถึงคราวพูดจริง พูดเรื่องจริง, พูดความจริงกันแล้ว  ว่าเดี๋ยวนี้ที่อยู่ที่นี่ มันมิใช่มีตัวตน มีแต่นามและรูป  มาจากธาตุตามธรรมชาติ ; แม้มิใช่ตัวตนมันก็ทำหน้าที่ของมันได้ ร่างกายมิใช่ตัวตน มันก็ทำหน้าที่ของมันได้.  เพราะฉะนั้น มันจึงทำหน้าที่ไปตามความสามารถ ; จิตใจคิดนึกได้ คิดนึกอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น : ทำผิดก็มีความทุกข์, มีความทุกข์หลายครั้งเข้า มันก็เข็ดหลาบ, มันก็เหลียวกลับไปทางอื่น มันก็มีความคิดที่ถูกต้อง  เดินไปทางที่ตรงกันข้าม คือดับทุกข์.

          ถ้าเข้าใจไปว่า  ถ้าไม่มีตัวตน มิใช่ตัวตนแล้ว มันจะรู้จักทำอะไรได้,  มันจะไม่รู้จักทำอะไร.  มันรู้จักทำอะไรได้ตามคุณสมบัติ หรือคุณค่าของธาตุตามธรรมชาตินั้นแหละ ; ธาตุดิน ทำหน้าที่ให้เป็นวัตถุขึ้นมา, ธาตุน้ำ เกาะกุมธาตุทั้งหลายไว้, ธาตุไฟ ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง, ธาตุลม ก็ทำให้เกิดการเลื่อนลอย ขยายตัว ; มันเป็นหน้าที่ของธาตุตามธรรมชาติ รวมกลุ่มกันแล้วก็ปฏิบัติร่วมกันจนมีชีวิต, แล้วก็มีจิตใจ ก็คิดไปได้ตามธรรมชาติของจิตใจ.  ไม่ต้องมีตัวตน, ไม่ต้องมีตัวตน มันก็ทำของมันอย่างนี้ได้,  แล้วทีนี้เมื่อมันเป็นทุกข์ขึ้นมา  แล้วมันก็มีความคิดที่จะเดินทางตรงกันข้ามได้.  ฉะนั้น จิตใจของเราเกิดมาจากท้องแม่  ไม่มีความรู้ติดมาจากในท้อง ก็มาทำผิดๆกันสักพักหนึ่ง, มีความทุกข์มากเข้า นานเข้าก็เกิดความคิดตรงกันข้ามาหาความรู้โดยเฉพาะทางหลักธรรมะสูงสุด เพื่อจะดับทุกข์นั้นเสีย.

          นี่เรียกว่าเกิดมาด้วยความโง่  มันก็ต้องทำผิดแหละ เป็นทุกข์เรื่อยๆมา  จนกว่าจะเบื่อระอาต่อความทุกข์, แล้วก็เกิดความฉลาด ก็รู้จักวิธีที่จะดำรงชีวิต คือกายและใจ นามและรูปนั้น ไปในทางที่ถุกต้องของนามรูปนั้นเอง ; เพราะส่วนที่เป็นนามหรือจิตนั้น มันฉลาดขึ้นทุกที ฉลาดขึ้นทุกที, มันก็รู้มากขึ้นทุกที จนเพียงพอที่จะดับทุกข์ได้, ไม่มีตัวตน อย่างนี้แล้ว มันก็ จะอยู่เหนือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย.


ปฏิบัติถูกต้องตามพระองค์ จะพ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย.
ท่านทั้งหลายมักจะสวดบทพระพุทธภาษิตครึ่งท่อน เพียงครึ่งท่อนที่ว่า “เรามีการเกิดเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเกิดไปได้, เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้, เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้, เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้”, แล้วก็นั่งร้องไห้โฮๆอยยู่อย่างนั้น  นั้นสวดครึ่งท่อน พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ถ้าสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ได้อาสัยตถาคตเป็นกัลยาณมิตรแล้ว  สัตว์ที่มีความเกิดเป็นธรรมดา จะพ้นจากความเกิด,  สัตว์ที่มีความแก่เป็นธรรมดา จะพ้นจากความแก่, สัตว์ที่มีความตายเป็นธรรมดา จะพ้นจากความแก่, สัตว์ที่มีความตายเป็นธรรมดา จะพ้นจากความเจ็บและความตายเป็นธรรมดา, พ้นหมด  ถ้าได้อาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตร.

          อาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตรนั้น ต้องหมายว่าปฏิบัติตามอย่างถุกต้องตามคำสั่งสอน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ อริยมรรคมีองค์แปด ; แต่ในพระบาลีนั้น ท่านตรัสไว้สมบูรณ์ว่า สัมมัตตะ 10, มีระบบสัมมัตตะ 10 นั่นแหละคือการมีพระองค์เป็นกัลยาณมิตร,  ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 ในส่วนที่เป็นเหตุเสร็จแล้ว ก็ฌมีผลเกิดขึ้นเป็นสัมมาญาณะ และสัมมาวิมุติ นี้เป็นส่วนผลอีก 2 องค์  รวมกันทั้ง 3 องค์ เรียกว่าสัมมัตตะ 10, มีระบบสัมมัตตะ 10 เข้ามาแล้ว ก็พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหมดทั้งสิ้น.

          ฉะนั้นขอให้ระลึกถึงข้อนี้ว่า  เรามีทางที่จะพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย โดยอาศัยพระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตร;  แล้วมีการปฏิบัติครบถ้วนตามหลักที่เรียกว่า สัมมัตตะ 10 : มรรคมีองค์ 8 รู้จักกันดัอยู่แล้ว เป็นความถูกต้องเพียง 8 ในส่วนปฏิบัติ หรือส่วนที่เป็นเหตุ, ต้องมีส่วนที่เป็นผลอีก 2 คือ สัมมาญาณะ และ สัมมาวิมุติ ครบถ้วนทั้ง 10 แล้ว ชื่อว่ามีพระพุทธองค์เป็น กัลยาณมิตร  แล้วก็พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย.
          นี้เป็นหัวใจของพุทธศาสนาโดยตรง  โดยเฉพาะและอย่างยิ่ง คือทำให้พ้นจาก ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย, ไม่มีความยึดถือใดๆในสิ่งใดๆ ว่าเป็นตัวเป็นตน ; ส่วนที่เป็นธาตุแต่ละธาตุ ก็ไม่ใช่ตัวตน, ส่วนที่เป็นอายตนะแต่ละอายตนะ ก็มิใช่ตัวตน.  ส่วนที่เป็นขันธ์แต่ละขันธ์ ก็มิใช่ตัวตน.  นี่เห็นความไม่มีตัวตน เข้าถึงความไม่มีตัวตน อย่างนี้แล้ว ก็ถือว่า เข้าถึงหัวใจแห่งพระศาสนา ; นี่คือหลักทั่วไป เป็นหลักชั้นลึกชั้นหัวใจของพระพุทธศาสนา.


          การบรรยายนี้มีกำหนดกฏเกณฑ์ไว้ว่า เพียง 10 นาฬิกา แล้วก็จะต้องหยุดพักเพื่อประกอบพิธีอย่างหนึ่งก่อน แล้วจึงจะค่อยบรรยายต่อไป ดังนั้นจึงขอหยุดบรรยายนี้ไว้ชั่วระยะหนึ่ง.

          ต่อไปนี้จะได้บรรยายต่อจากที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การเข้าถึงหัวใจของศาสนาของตนๆ ซึ่งตามหลักพุทธศาสนา ก็คือรู้ว่า ไม่มีตัวตน,  มันไม่มีสิ่งใดที่ควรจะยึดถือเอาโดยความเป็นตัวตน หรือเป็นของๆตน เป็นตัวตนของตน ; นั่นแหละคือหัวใจของพุทธศาสนา ที่จะกำจัดความเห็นแก่ตนได้สิ้นเชิง, ต่างจากศาสนาอื่นใดทั้งหลายที่ว่ามีตัวตน  แล้วก็ไปจบลงด้วยความมีตัวตน  ไปมีตัวตนอยู่อย่างถาวร.  ถ้ามีความรู้สึกอย่างนั้น  ก็จะยังมีความรู้สึกซึ่งเป็นเหมือนกับ การแบกหรือถือไว้ซึ่งตัวตน เป็นความหนัก ; นั้นมิใช่เป็นที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์, มิใช่ดับทุกข์สิ้นเชิง มิใช่นิพพาน.  พุทธศาสนามีหลักจบสิ้นสุดลงด้วย ความไม่มีตัวตน, ต่ำลงไปกว่านั้นก็ไปมีตัวตนอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งซึ่งเป็นการถาวร.  ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงมีการจบลงด้วยความว่าง, คือ ว่างจากตัวตนโดยประการทั้งปวง.


ความรู้สึกว่ามีตัวตน เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์.
          ควรจะมองเห็นหัวใจของพระพุทธศาสนาในลักษณะอย่างนี้  แล้วพยายามเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนานี้กันจงทุกคน ; รู้จักสังเกตให้ดีว่า เมื่อจิตใจเกลี้ยงเกลาไปจากความรู้สึกว่ามีตัวตนนั้น มันไม่หนักอะไร ; มันจะหนักอะไรได้  มันจะถืออะไรได้  มันจะไม่เกิด  การได้การเสีย การแพ้ การชนะ การเอาเปรียบ การได้เปรียบ การมีกำไร การขาดทุนใดๆ เพราะว่ามันไม่มีตัวตน, จนกระทั่งว่ามันไม่มีตัวตนที่จะไปเกิดชาติใหม่ เพราะเดี่ยวนี้ที่นี่มันก็ไม่มีตัวตนเสียแล้ว.

          แต่ก็มีคำสอนประเภทหนึ่ง ไว้สอนสำหรับผู้ที่ยังมีตัวตน  นับตั้งแต่ลูก็ขึ้นมา, เขายังต้องมีตัวตน เขาไม่อาจจะเข้าใจความไม่มีตัวตน ก็ต้องสอนกันไปก่อน เพื่อให้มีตัวตนที่สูงขึ้นๆ,  ให้เกิดความรู้สึกที่เป็นตัวตนตามสัญชาตญาณนั้น เดินไปในทางที่ถุกต้อง คือเป็นโพธิ เป็นตัวตนที่ถูกต้อง, อย่าให้มาเป็นตัวตนของกิเลสซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วจะเพิ่มความทุกข์ให้มากขึ้น.
          รู้จักแยกทางกันที่ตรงนี้ คือ อย่าให้สัญชาตญาณตามธรรมชาติพื้นฐานนั้น เจริญรุ่งเรืองเกินขอบเขตจนเป็นกิเลส  คือความเห็นแก่ตน ; แต่ให้ไปในทางตรงกันข้าม  คือเป็นโพธิ, โพธิปัญญา  รู้ว่าไม่มีตน มีแต่ธาตุตามธรรมชาติ : จะเรียกว่าอายตนะ จะเรียกว่า ขันธ์ จะเรียกว่า สุข จะเรียกว่า ทุกข์ จะเรียกว่าอะไรก็สุดแท้ ล้วนแต่มิใช่ตัวตน จิตมันก็ว่างจากความรู้สึกว่ามีตัวตน, ชีวิตก็ได้รับผลแห่งความไม่มีตัวตน.

          นี่แหละเป็นเรื่องดับทุกข์ ตามวิถีทางพระพุทธศาสนา ตัดต้นเหตุแห่งความทุกข์เสีย, ต้นเหตุแห่งความทุกข์ ก็คือความรู้สึกว่ามีตัวตน, เกิดความรู้สึกว่ามีตัวตนเมื่อไร  ก็จะมีความทุกข์เมื่อนั้น.  ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ให้ละเอียดประณีตที่สุดว่า ในชีวิตของเราแต่ละวันๆ : เมื่อไร ความรู้สึกตัวตน มีตัวตน เกิดขึ้นในจิตแล้วก็ร้อนด้วย โลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง, หรือว่าด้วยความรักบ้าง ความโกรธบ้าง ความโกรธบ้าง ความเกลียดบ้าง ความอิจฉาริษยาบ้าง ความหวงหึงบ้าง, มันก็มีเป็นทุกข์เป็นไฟขึ้นมา.  แต่แล้วมันก็มีระยะที่มันมิได้เกิด มันมิได้เกิด คือมันมิได้มีการปรุงแต่งเป็นตัวตน ชนิดนี้, ระยะนั้นก็สงบเย็นหรือว่ามันว่าง มันว่างจากตัวตน มีความว่างจากตัวตน ก็มีความหมายเป็นนิพพาน คือเป็นความเย็น.

          ขอให้สังเกตดูให้ดีๆว่า เรามีเวลาว่างจากตัวตน ว่างจากกิเลส มีอยู่ไม่น้อย ; ถ้ามันไม่มีเลย 24 ชั่วโมง มีแต่กิเลสหรือตัวตนแล้ว มันก็ตาย ; ภายในไม่เท่าไรดอก ก็จะเป็นโรคประสาท จะเป็นบ้า แล้วมันก็จะตาย.  เดี๋ยวนี้ธรรมชาติได้จัดมาให้เป็นอย่างดี ว่ามีระยะที่ว่างจากตัวตน เพราะว่ามันหยุดคิดหยุดนึกก็ได้; เช่นหลับไปเสียก็ได้, หรือว่าตื่นอยู่แต่มีความรู้มีสติปัญญา ควบคุมไม่ให้เกิดความรู้สึกที่เป็นตัวตนก็ได้ หรือว่าตามธรรมชาติธรรมดามันก็ว่างจากตัวตนอยู่แล้ว.

เวลาที่สบายที่สุด เป็นนิพพาน
คือไม่รู้สึกว่ามีตัวตน.

          ขอให้สังเกตอย่างยิ่งว่า  เวลาไหนที่สบายที่สุดสำหรับคนเรา  เวลาที่รู้สึกสบายที่สุดสูงสุด ก็คือเวลาที่จิตมันไม่มีความคิดรู้สึกว่ามีตัวตน  ซึ่งมันก็มีอยู่ได้เองตามธรรมชาติ ; แต่เรากลับไม่สนใจกลับมองข้ามไป.  นี้คือสิ่งที่มีบุญคุณสูงสุดแก่เรา เราจะเรียกว่าพระนิพพานชั่วคราว, พระนิพพานตัวอย่าง, พระนิพพานน้อยๆชั่วระยะอันสั้น คือระยะที่ว่างจากตัวตน  นั่นแหละมันจึงรอดชีวิตอยู่ได้.  พูดให้ชัดก็ต้องพูดว่า  ชีวิตนี้อยู่รอดอยู่ได้เป็นปกตินี้  เพราะมีพระนิพพานน้อยๆเข้ามาแทรกเป็นระยะๆอยู่อย่างนี้ง
          ขอทุกคนอย่าได้มองข้ามไป, จะเป็นการเนรคุณอย่างยิ่งต่อพระนิพพานชนิดนี้  คือความที่ว่างจากตัวตนอยู่ได้เป็นระยะๆ; ตามธรรมชาติก็ดี  หรือตามที่เราควบคุมไว้ด้วยสติปัญญา  คือการปฏิบัติธรรมะก็ดี, ให้รู้ว่า ชีวิตนี้รอดอยู่ได้นี้  เพราะพระนิพพานชั่วคราวหล่อเลี้ยงเอาไว้ ถูกต้องสมบูรณ์ตามระยะตามสมควร  เราจึงไม่เป็นบ้าและไม่ตาย ; ถ้าขาดอันนี้เสีย  ก็มีกิเลสตลอด 24 ชั่วโมง วันเดียวก็ตายหมดแหละ ไม่มีอะไรเหลือ.
          นี้เป็นหัวใจที่จะต้องเข้าถึงจะต้องรู้จัก ว่าเรารอดชีวิตอยู่ได้  โดยเหตุที่มีภาวะปราศจากการปรุงแต่งโดยประการทั้งปวง,  แล้วมันว่าง มันจะเป็นเองก็ได้, หรือว่าถ้ามันเหนื่อยขึ้นมา มันก็หยุดปรุงแต่งเองแหละ  มันก็ต้องนอนหลับแหละ มันก็เป็นการนอนพักว่างจากการเผาผลาญของกิเลส.  นี่เป็นพระนิพพานน้อยๆ, พระนิพพานตัวอย่าง, พระนิพพานชั่วขณะ, ซึ่งมีความหมายว่าเย็น – เย็น.

          คำว่า พระนิพพาน นั้น เป็นคำชาวบ้านที่ถูกทางศาสนายืมไปใช้ เป็นชื่อของความเย็นสูงสุด ; ตามธรรมดาพระนิพพานนี้ก็เรียกกันอยู่ในหมู่มนุษย์ คือว่าเย็น-เย็นนี้.  เรื่องเหล่านี้ท่านทั้งหลาย ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ; ขอยืนยันว่า มีในพระบาลีนั้นเอง ว่าชาวบ้านทั้งหลาย เขาใช้พูด คำว่า นิพพาน  นิพพานนี้อยู่เป็นประจำในบ้านในเรือน.  เมื่อช่างทองหลอมทองเหลวคว้าง เพื่อจะทำเป็นทองรูปพรรณนั้น ก็มีคำกล่าวว่า นิพฺพาปย ;ช่างทองนั้นจะต้องทำให้ทองที่เหลวคว้างนั้นนิพพานเสียก่อน โดยเอาน้ำราดลงไป เป็น นิพฺพาปย, ทำให้ทองที่เหลวคว้างนั้นให้เย็น แล้วก็นำมาใช้ทำเป็นรูปพรรณใดๆได้.  นี่ภาษาธรรมดาใช้คำว่านิพพานอย่างนี้ ; แม้ในครัวก็ใช้คำว่านิพพาน  ว่าถ้ายังร้อนอยู่รับประทานไม่ได้  ต้องรอให้มันเย็นเสียก่อน, และใช้แม้แก่วัตถุล้วนๆเช่นถ่านไฟแดงๆพอมันดำลงๆก็เรียกว่ามันนิพพาน.  คำนี้ใช้คำว่านิพพาน  ภาษาธรรมดาอย่างนี้ ; รวมความว่าของร้อนที่เย็นลงนั่นแหละ  คือนิพพาน  นี่ในภาษาพูดอยู่ตามธรรมดาอย่างนี้.

          ครั้นถึงภาษาธรรมในทางพระศาสนา ก็เย็นจริง, ตัดต้นเหตุแห่งความร้อนได้จริง  คือตัดโลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งเป็นมูลเหตุแห่งความร้อนได้จริง, มันก็เย็นจริง เย็นตลอดกาล.  นั่นแหละคำว่านิพพานในความหมายทางภาษาธรรม, เป็นคำบัญญัติทางพระศาสนา.  ถ้าเป็นคำธรรมดาของชาวบ้าน อะไรเย็นก็ได้ ; มีคำกล่าวว่า แม้แต่สัตว์เดรัจฉานนี้ก็นิพพานได้  ถ้ามันหมดพิษหมดพยศ ; เช่นช้างม้ามาฝึกจนหมดพยศสนิทเป็นแมวไปแล้ว  ก็เรียกว่ามันนิพพานเหมือนกัน, คำนี้มีคำกล่าวไว้ในคัมภีร์บาลี.

          เราจะต้องรู้จักความเย็นชนิดนี้  กันให้มากขึ้น, เย็นเพราะหมดต้นเหตุแห่งความร้อน  คือ โลภะ โทสะ โมหะ ; เมื่อใดโลภะ โทสะ โมหะ ไม่เกิดขึ้น ไม่ปรุงขึ้นมาเป็นความร้อน ก็อยู่ด้วยความเย็น, แม้จะชั่วคราว แม้จะไม่ใช่สมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่แท้จริง  แต่ก็มีผลอย่างเดียวกัน.  ของชั่วคราวกับของถาวรนั้น มันต้องเป็นเหมือนกัน, เพียงแต่ผิดกันเพียงชั่วคราวหรือถาวร.

          เราจงทำพระนิพพานชั่วคราวๆ ที่เกิดอยู่ในชีวิตประจำวันนี้ให้ยาวออกไปให้ยาวออกไป, ให้ระยะที่มันเย็นนี้มากเข้า,  ระยะที่มันร้อนมันลดลง  หรือให้มันมากขึ้นให้มันสูงขึ้น เพราะตัดต้นเหตุแห่งความร้อนได้มากขึ้น  ก็จะมีความเย็น เย็นมากขึ้น เย็นมากขึ้น จนเป็นนิพพานที่สมบูรณ์ที่ไหนก็ทำได้ ที่บ้านก็ทำได้ เป็นฆราวาสก็ทำได้ ; หากแต่ว่าฆราวาสไม่ค่อยสะดวก  ถ้าไปบวชเป้นบรรพชิต  มันสะดวกเท่านั้นเอง ; มันไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมาย มันจะต้องปฏิบัติอย่างเดียวกัน  มีกิเลสอย่างเดียวกัน  มีความทุกข์อย่างเดียวกัน  ดับทุกข์อย่างเดียวกัน  แต่การดับทุกข์ของบรรพชิตนั้นสะดวก  เพราะออกไปอยู่ในชีวิตรูปแบบที่สะดวก.  ฉะนั้นเราก็จะต้องยอมรับว่า  แม้เป็นฆราวาสก็จะต้องรู้เรื่องนี้  จะต้องปฏิบัติเรื่องนี้ เพื่อทำให้ชีวิตนี้เย็นเป็นนิพพาน.  นี้ก็เป็นหัวใจแห่งพระพุทธศาสนา ที่จะต้องเข้าใจไว้.

ศึกษาคำ “นิพพาน” ให้เข้าใจ.
          ทีนี้จะสรุปสั้นๆให้เข้าใจง่ายว่า นิพพานๆในทุกความหมายเลย  ไม่เกี่ยวกับความตาย ; เราได้รับการสั่งสอนมาผิดๆว่า นิพพานเป้นการตายของพระอรหันต์, มันผิดหลายชั้นนัก  มันจะเป็นการหลับตาพูดเสียมากกว่าว่า นิพพานเป็นความตายในความหมายใดความหมายหนึ่ง. พระอรหันต์นั้นตายไม่ได้  โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าแล้วก็ยิ่งตายไม่ได้ ; แต่ว่าสังขารร่างกายกลุ่มที่รองรับจิตใจนี้ มันแตกทำลายได้ ฉะนั้นจะเอาไปเป็นชื่อของการตายของพระอรหันต์ไม่ได้ ; ส่วนพระอรหันต์ไม่ตาย แต่ว่าสังขารร่างกายของพระอรหันต์นั้นแตกทำลายได้  ก็เรียกว่าท่านดับขันธ์ด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน,  ตามธรรมดาท่านมีนิพพานชั้นสูงสุดอยู่เป็นประจำ  แล้วการดับขันธ์ดับร่างกายของท่าน มันดับไปในลักษณะที่มีนิพพานชนิดนี้คงมีอยู่, เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจเสียใหม่ว่า ท่านดับขันธ์ด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน, ตัวอนุปาทิเสสนิพพานนั้นมิใช่ความตาย  ความตายอยู่ที่ขันธ์ทั้งหลาย  ของพระอรหันต์ทั้งหลายก็ดี  ของพระพุทธเจ้าก็ดี, มันก็เป็นการดับขันธ์.  อย่าไปพูดว่าการดับหรือการนิพพานของพระพุทธเจ้าหรือของพระอรหันต์ เราจะสูญเสียพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ไปหมด ด้วยความโง่ของเราเอง ที่ไปเข้าใจและไปพูดว่า พระพุทธเจ้านิพพานคือตาย, พระอรหันต์นิพพานคือตาย.

          นิพพานไม่ได้เกี่ยวกับความตาย  นิพพานชั้นสูงสุดแล้วยบิ่งไม่เกี่ยวกับความตาย คือ อยู่เหนือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยประการทั้งปวง ; แม้แต่นิพพานน้อยๆนิพพานชั่วคราว นี้ยิ่งไม่เกี่ยวกับความตาย.  ดังนั้นจงรู้จักพระนิพพานที่มีอยู่แล้ว  เป็นตัวอย่างเป็นเดิมพัน  ว่ามีอยู่กับเราทุกวันๆ.  อย่าพูดพล่ามพูดฝันเพ้อไปว่า อีกแสนกปป์แสนชาติกว่าจะเป็นนิพพาน, ทำได้แต่ปัจจัยแก่พระนิพพานต่อแสนกัปป์แสนชาติ อย่างนี้ไม่ใช่พุทธศาสนา ไม่ใช่พุทธบริษัท.
          คำว่านิพพานไม่เกี่ยวกับความตายโดยประการใดๆ ไม่ว่านิพพานในระดับไหกน นิพพานแท้จริง หรือนิพพานชั่วคราว หรือนิพพานอะไร ; เมื่อใดจิตไม่มีการปรุงแต่งเป็นกิเลสและความทุกข์  เมื่อนั้นมีภาวะของนิพพานปรากฏอยู่ในความรู้สึกหรือในจิตนั้น,  เดี๋ยวนี้จิตปฏิบัติตนทั้งกายและใจ จนอยู่ในสภาพที่จะไม่มีอะไรมาปรุงแต่งไม่ได้  ไม่มีสิ่งแวดล้อมภายนอกใดๆมาปรุงแต่งจิตใจนี้ให้เกิดกิเลสได้  จิตนี้เรียกว่าถึงวิสังขาร.  จิตบรรลุถึงวิสังขารคือสภาพที่อะไรๆมาปรุงแต่งจิตให้เกิดกิเลสไม่ได้ นี้ก็เป็นนิพพานยอันถาวร  เป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของทุกคน ; แม้ว่าเดี๋ยวนี้ยังไม่ถึง  ก็ต้องมุ่งหมายที่จะถึง  ถ้ามิฉะนั้นมิใช่พุทธบริษัท, มิใช่สาวกของพระพุทธเจ้า.

          ถ้าจะทำสมาธิใดๆ ก็ขอให้มีพระนิพพานเป็นจุดหมาย, เอกัคคตาจิตมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ นั่นแหละ คือสมาธิที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนา ; ถ้าเอกัคคตาจิตมิได้มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ สมาธินั้นมิใช่สมาธิในพระพุทธศาสนา, เป็นสมาธิของเดียรถีย์อื่น  หรือว่านอกพุทธศาสนา  หรือของคนธรรมดาสามัญ, ยักษ์มารทั่วไปเขาก็มีสมาธิกันได้ สมาธิในพุทธศาสนา ต้องมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ของเอกัคคตาจิต.
          นี่เราจงสังเกตดูให้ดี  บางทีถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ กำหนดเวลาที่จิตของเราว่างจากตัวตน เยือกเย็นเป็นสุขอย่างยิ่ง เมื่อนั้นเป้นทั้งสมาธิเป็นทั้งวิปัสสนา มีศีลรองรับอยู่ในตัวมันเอง เป็นพระนิพพานที่แท้จริง ; รู้จักไว้ให้ดีจะได้ขยายให้มากขึ้น จะได้ขยายให้ยาวออกไป.  พระนิพพานอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ อยู่กับคนๆนั้น แต่บุคคลนั้นไม่รู้จัก ; ถ้าเขาไม่มีนิพพานชนิดนี้หล่อเลี้ยงชีวิตแล้ว เขาตายแล้วไม่กี่นาทีเขาก็ต้องเป็นบ้า.  นี่เรามีชีวิตที่หล่อเลี้ยงอยู่ด้วยพระนิพพานเป็นระยะๆ
          ขอให้เข้าถึงความจริงอันนี้ เป็นจุดลึกซึ้งสุดยอด หรือหัวใจของพระพุทธศาสนา  เมื่อใดจิตว่างจากตัวตน พระนิพพานก็มีอยู่ที่จิตนั้นแม้ชั่วคราว ; เมื่อใดจิตมีตัวตน เมื่อนั้นก็สูญเสียภาวะพระนิพพาน.  จิตเดิมแท้ ตามธรรมชาติ  ถ้าไม่มีมีกิเลสเข้ามา  ก็มีภาวะเป็นนิพพาน มันเป็นจิตประภัสสร ; แต่ความเป็นประภัสสรนั้นมันเปลี่ยนได้ มันมีกิเลสแทรกแซงเข้ามาได้.  เราต้องฝึกฝน ปรับปรุงปฏิบัติอบรมจิตประภัสสรตามธรรมชาติชั่วคราวนั้น ให้เป็นจิตประภัสสรถาวรเด็ดขาดลงไป  จิตพระอรหันต์เป็นจิตประภัสสรสูงสุด คือ ประภัสสรที่กลับเศร้าหมองไม่ได้.  จิตปุถุชนเป็นประภัสสร ชั่วเวลาที่กิเลสไม่ได้เกิดขึ้น  พอกิเลสเกิดขึ้น  ก็สูญเสียความเป็นประภัสสรก็เป็นทุกข์.

การปฏิบัติธรรมพึงระวัง
ขณะผัสสะไม่ปรุงไปทางที่เป็นทุกข์.

          เดี๋ยวนี้เมื่อเรารู้เรื่องนี้ รู้ย่างนี้ ว่าจิตมันเป็นอย่างนี้ แล้วการปฏิบัติพระพุทธศาสนาก็เป็นไปได้ สำหรับบุคคลนั้น, เขาจะรู้จักความจริงอันนี้ แล้วจะปฏิบัติได้ ; ถ้าไม่รู้จักอย่างนี้ เขาก็ไม่เคยคิดที่จะปฏิบัติ.  แม้เขาอยากจะปฏิบัติ มันก็ปฏิบัติไม่ได้  เพราะมันเป็นความทุกข์ที่ถาวรตายตัวเสียแล้ว, เดี๋ยวนี้จิตมันอยู่ในสภาพที่อะไรๆปรุงแต่งได้.
          เรามีหน้าที่ระวังการปรุงแต่ง  อย่าให้ปรุงแต่งไปในทางฝ่ายที่เป็นทุกข์ คือปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่เป็นทุกข์นั้น  อย่าให้มันเกิดขึ้นและดำเนินไปได้, ให้มันอยู่แต่ในฝ่ายปฏิจจสมุปบาทที่ดับทุกข์, พอผัสสะมีแล้ว มีสติปัญญามาทันท่วงที, เอาปัญญามาเผชิญหน้ากับอารมณ์ที่มากระทบ.  ปัญญาเปลี่ยนรูปเป็นสัมปชัญญะ เผชิญหน้ากับอารมณ์ที่มากระทบ  แล้วก็เพิ่มสมาธิ  คือกำลังจิตอย่างยิ่งลงไปๆในสัมปชัญญะ, สัมปชัญญะก็สามารถเผชิญกับอารมณ์ ไม่ทำให้เกิดกิเลส  ไม่ปรุงเป็นกิเลสใดๆขึ้นมาได้, หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ไม่เกิดตัรหาขึ้นมาได้ มันก็ไม่เกิดอุปาทาน  หรือภพ หรือชาติ ในปฏิจจสมุปบาทขึ้นมาได้ เราก็นอดตัว ; นี้ก็เป็นหัวใจแห่งพระพุทธศาสนา ที่จะต้องเข้าถึง.

          พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า  เราบัญญัติแต่เรื่องความทุกข์ กับความดับทุกข์เท่านั้น เรื่องอื่นไม่พูด,  ไม่มีคำถามว่า ตายแล้วเกิดหรือตายแล้วไม่เกิด, หรือเกิดบ้างหรือไม่เกิดบ้าง อะไรก็ตามไม่มี, ไม่มีคำถามว่าตายแล้วอะไรไปเกิด, มันกินเวลามากเกินไป.  คนเหล่านั้นไม่อาจจะรู้ ; พระองค์จึงไม่ยอมตรัส จะยอมตรัสแต่เพียงว่าทุกข์เป็นอย่างไร, เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร, แล้วจะดำรงอย่างไรจึงจะไม่เกิดเหตุให้เกิดทุกข์,  จะยอมพูดแต่เรื่องนี้.  ดังนั้นพระองค์  จึงตรัสว่า ปุพฺเพจาหํ ภิกฺขเว เอตรหิ จ ทุกฺขญฺเจว  ปัญฺญา เปมิ ทุกฺขสฺส จ นิโรธํ  ว่า  แต่ก่อนก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี ฉันพูดแต่เรื่องความทุกข์ กับความดับทุกข์เท่านั้น ; แต่มาพวกเราสาวกชั้นหลัง มันพูดเรื่องอื่นร้อยเรื่องพันแปด หลายร้อยหลายพันเท่า, แทนที่จะพูดกดันเรื่องทุกข์กับดับทุกข์เท่านั้น เพราะว่าจิตมันถูกครอบงำถูกชักจูงไปในเรื่องที่มีความยั่วยวน.  โดยเฉพาะโลกสมัยวัตถุนิยมนี้ คนก็พูดก็คิดปรึกษาหารือกันแต่เรื่องความสุข สนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุ  จนเป็นทาสทางวัตถุ, ปัญญาที่มาคิดมานึกมาพูดปรึกษาหารือเรื่องความทุกข์ความดับทุกข์ มันก็หมดสิ้นไป.  นี่จะเอากันอย่างไรพุทธบริษัททั้งหลาย.

          ขอให้ถือตามพระพุทธเจ้าว่า  เรื่องอื่นไม่พูดกันไม่คุยกัน ไม่สนทนากัน พูดแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์ ; ถ้าจะต้องพูดเรื่องอื่นแล้วไปนอนเสียดีกว่า, จะไม่ให้ผลร้ายใดๆ.  ถ้าไปพูดกันเรื่องอื่นนอกจากความทุกข์กับความดับทุกข์แล้ว  มันก็ชวนให้ยุ่งไปหมด,  ทำความเนิ่นช้าแก่ความดับทุกข์ไปหมด  จะพูดกันจะปรึกษาหารือกัน  ก็พูดกันแต่เรื่องความทุกขืกับความดับทุกข์.

          แล้วทีนี้  ก็ตรัสต่อไปว่า เรื่องความดับทุกข์ก็ดี, เหตุให้เกิดกความดับทุกข์ก็ดี, ความดับแห่งทุกข์ก็ดี, หนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์ก็ดี, ตถาคตบัญญัติไว้ในกายที่ยาวประมาณวาหนึ่ง พร้อมทั้งสัญญาและใจ  คำว่า “พร้อมทั้งสัญญาและใจนี้”  มีความหมายเพียงว่าเป็นๆไม่ใช่คนตาย, คนที่ยังเป็นในร่างกายของคนเป็นๆที่ยาวประมาณหนึ่งนั้น ไปดูเถิด จะพบ 4 เรื่องนี้.  แต่ในกรณีอย่างนี้พระองค์ตรัสว่า  โลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี, ความดับแห่งโลกก็ดี, ทางให้ถึงความดับแห่งโลกก็ดี, ตถาคตบัญญัติไว้ในกายอันยาวประมาณวาหนึ่งนี้  พร้อมทั้งสัญญาและใจ ; ก็เรายังเป็นๆกันอยู่ทุกคน มีสัญญาและใจ มันก็มีอะไรพร้อมในร่างกายดนี้  ที่จะดูให้เห็น 4 ข้อนี้ : ความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และหนทางให้ถึงความดับทุกข์.
          นี่แหละก็จะค่อยมีความรู้ความเข้าใจ ว่าความทุกข์เกิดขึ้นมาจากการปรุงแต่งอย่างไร ; โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออารมณ์ภายนอกเข้ามากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นผัสสะแล้ว  ไม่มีสติปัญญาที่จะควบคุมมัน มันก็เป็นทุกข์ ในร่างกายอันยาววาหนึ่งนี้.

อนุสัยที่สะสมไว้  ทำให้เกิดทุกข์ได้.
          ทีนี้ ถ้าในกรณีที่ไม่มีเหตุปัจจัยภายนอก เราก็มีสิ่งที่เรียกว่าอนุสัย  คือ ความเคยชินแห่งกิเลสที่สะสมไว้ในสันดาน เรียกว่าอนุสัย ; เมื่อคนมีกิเลส  มันก็เกิดกิเลส, พอเกิดกิเลสครั้งหนึ่ง ก็สร้างความเคยชินที่จะเกิดกิเลสชนิดนั้นหน่วยหนึ่ง เก็บไว้ในสันดาน.  เราโลภทีหนึ่ง ก็เก็บความเคยชินที่จะโลภไว้หน่วยหนึ่งในสันดาน, โกรธทีหนึ่งก็เก็บความเคยชินที่จะโกรธไว้หน่วยหนึ่ง, ความเคยชินหน่วยหนึ่งไว้ในสันดาน, เราโง่ไปทีหนึ่งสะเพร่าไปทีหนึ่ง เราก็เก็บความเคยชินที่จะโง่และสะเพร่าหน่วยหนึ่งไว้ในสันดาน, แล้วมันเกิดโลภ เกิดโกรธ เกิดหลง กี่ครั้ง มันก็เก็บไว้เท่านั้นหน่วย ที่เก็บไว้ในสันดาน.  อย่างนี้เป็นความเคยชินที่จะเกิดกิเลส, อย่างนี้เรียกว่าอนุสัยมันมีอยู่ด้วยกันทุกคนที่ยังมีชีวิต  ตลอดเวลาที่ยังมีกิเลส เกิดกิเลสครั้งหนึ่ง เก็บอนุสัยไว้หน่วยหนึ่งเสมอ.
          แต่ในทางที่ตรงกันข้าม ถ้าว่าเราไม่โลภในเมื่อมีกรณีย์ที่ควรจะโลภ เราบังคับไว้ได้ เราไม่โลภ มันจะลดอนุสัยหน่วงยหนึ่งด้วยเหมือนกัน, ลดอนุสัยแห่งความโลภหน่วยหนึ่งด้วยเหมือนกัน.  ถ้าว่าเราบังคับไว้ได้ไม่ให้โกรธ มันก็ลดอนุสัยแห่งความโกรธไปหน่วยหนึ่ง, บังคับไว้ได้ไม่ให้โง่ ไม่ให้สะเพร่า มันก็ลดอนุสัยแห่งโมหะลงไปหน่วยหนึ่ง ; ถ้าเราบังคับไว้ได้ทุกที อย่างนี้อนุสัยมันก็ลดๆลดจนกว่าจะหมด, เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น  มันมีแต่เพิ่มๆ โกรธเพิ่มใหม่ โลภเพิ่มใหม่ หลงเพิ่มใหม่, อนุสัยมันก็หนาขึ้นจนเต็มปรี่ในสันดาน พร้อมที่จะออกมาเป็นอาสวะ.

          อาสวะคือกิเลสที่จะกลับออกมาภายบนอก จากอนุสัยที่สะสมไว้ในสันดาน; โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอะไรมากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจเอง, อนุสัยกิเลสที่เป็นความเคยชินแห่งกิเลสนั้นจะออกมาก็เป็นกิเลส.
          นี้เรา จะต้องรู้จักถ่ายถอนอนุสัย  คือว่า  บังคับไว้ ไม่ให้โลภ โกรธ หลงเพิ่ม  แล้วเจริญวิปัสสนา ซึ่งเป็นการทำลายอนุสัยโลภ โกรธ หลงนั้นอยู่เสมอไป, อนุสัยก็จะลดๆลดๆ ; ถ้ามันลดหมด มันก็ไม่มีออกมา, มันก็สิ้นกิเลส, สิ้นอนุสัย สิ้นอาสวะ เป็นพระอรหันต์.  เดี๋ยวนี้ยังไม่เป็น  ก็ควบคุมไว้ให้ดี  ถ้ามันจะโลภ บังคับไว่ไม่ให้โลภ มันก็ละอนุสัย, มันจะโกรธ บังคับไว้ไม่ให้โกรธ มันก็ลดอนุสัย มันจะโง่ มันจะสะเพร่า ก็บังคับไว้ ไม่ให้โง่ไม่ให้สะเพร่า มันก็ลดอนุสัย ; นี้เป็นวิธีการลดอนุสัย.

อนุสัยก่อให้เกิดนิวรณ์ได้อีก.
          เมื่อไม่มีเหตุปัจจัยภายนอกมารบกวน  จนถึงเกิดกิเลส  อนุสัยนี้มันก็ส่งไอควันขึ้นมาเป็นนิวรณ์, นิวรณ์ 5 นั่นแหละ  ไม่ต้องมีเหตุปัจจัยภายนอก  อนุสัยจะส่งขึ้นมาเป็นความรู้สึกทางกามบ้าง, ทางพยาบาทบ้าง, ทางถีนะมิทธะ คือหดหู่ วึมเซาบ้าง, ทางอุทธัจจะกุกกุจจะฟุ้งซ่านบ้าง, ทางวิจิกิจฉา ลังเลไปหมดบ้าง.  นี่เราไม่สังเกตสิ่งที่มันมีอยู่จริง ; ถ้าไม่รู้จักแม้แต่เพียงอนุสัยแล้ว อย่าหวังเลยที่จะไปรู้จักการตัดต้นเหตุของกิเลสและความทุกข์.  เราจะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่านิวรณ์ ที่เกิดประจำวัน จนเกลียดชังอย่างยิ่งที่สุดเสียก่อน จึงจะมีความพร้อมที่จะตัดต้นเหตุ หรือทำลายอนุสัย.
          ขอให้ตั้งต้นศึกษาไปจากนิวรณ์เถิด ว่าเวลาที่เราไม่โปร่งใจ ไม่เย็นใจ ไม่สะดวกสบายนั้น เพราะมันมีนิวรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งรบกวนอยู่ตามกรณี ; บางทีก็เกิดมาเป้นความรู้สึกทางกาม มันก็รบกวนจิตใจ สูญเสียความสงบเย็น, บางทีก็ออกมาเป็น พยาบาท อึดอัดขัดใจนั่นนี่, บางทีก็ไม่มีเหตุผล  มันก็อึดอัดไปตามประสาโง่ๆนั้นเอง มันก็สูญเสียความสงบเย็น, บางทีมันก้แฟบ จิตใจมันหดหู่ มันท้อถอย มีปัจจัยบางอย่างส่งเสริมเข้าด้วย เช่นว่า รับประทานอิ่มมากเกินไปอะไรอย่างนี้ มันก็เป็นหดหู่อย่างนยี้ส่งเสริมนิวรณ์, บางทีฟุ้งซ่านเลื่อนลอย บังคับไว้ไม่ได้ แต่สิ่งสุดท้ายที่เรียกว่าวิจิกิจฉานั้นสำคัญมาก มีอยู่ตลอดเวลา แล้วก้โดยไม่รู้สึกตัวด้วย.
          นิวรณ์ข้อสุดท้ายคือวิจิกิจฉานี้ ยากที่จะจับตัวมัน ; แต่ถ้าเราสังเกตดูให้ดี เราก็อาจจะพบได้โดยไม่ยากนัก เพราะว่าเรายังไม่แน่ใจ  ไม่มีความแน่ใจในความปลอดภัยก็ดีของชีวิตร่างกายทรัพย์สมบัติก็ดี, สุขภาพอนามัยก็ดี, ความรู้ การศึกษา ปัยหาในครอบครัวในอะไรก้ดี ; เรามิได้มีความแน่ใจว่าถุกต้องแล้ว เพียงพอแล้ว ปลอดภัยแล้ว, เราจะมีความรู้สึกว่า ยังไม่ปลอดภัยอยู่เสมอ. มันเต็มไปหมดจนเราทำเฉยๆลืมๆกันไปเสีย ความจริงความรู้สึกว่ายังไม่ถุกต้อง ยังไม่เพียงพอ ยังไม่ปลอดภัย มันซ่อนอยู่ภายใต้ส่วนลึก, แล้วบางทีมันก็ออกมามาก จนเรียกว่าสงสัยลังเลว่าในชีวิตนี้ถุกต้องหรือไม่, หรือว่าความรู้การศึกษาที่เรามีอยู่นี้เพียงพอหรือไม่, แล้วมันก็พาลสงสัยลังเลไปถึงพระพุทธ ระธรรมพระสงฆ์ ว่าจะเป็นที่พึ่งได้จริงหรือไม่.  ขอให้สังเกตดูให้ดีๆว่า ความไม่แน่ใจ ความลังเล ชนิดนี้ มันอยู่ในส่วนลึก เป็นควันกรุ่นอยู่ เป็นความลังเล ; แต่ถ้าเราบังคับไม่ได้ ก็เดือดร้อนจนนอนไม่หลับ, เดี๋ยวนี้มันก็ทำลืมๆกันไปเสียได้.
          แต่ถ้าสังเกตดูให้ดีเถอะว่า นิวรณ์นั่นแหละ  ตัวบทเรียนดีที่สุดสำหรับตั้งต้นการศึกษา  ว่ามันเกิดมาจากอนุสัย โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยภายนอก ทางตา หู เป็นต้น, อนุสัยก็ส่งออกมาเป็นนิวรณ์ แล้วน่าเกลียดน่าชังอย่างยิ่ง กีดกันความสงบสุขความสงบเย็นอย่างยิ่ง.  เมื่อใดจิตไม่มีนิวรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เป็นเวลาที่สบายอย่างยิ่ง ; แต่ก้หายากเต็มที กล้าพูดว่าในปุถุชนคนธรรมดาสามัญทั่วไปนั้น  หาเวลาที่ว่างจากนิวรณ์ได้ยากเต็มที, อย่างน้อยก็มีความลังเลในชีวิต ในทุกสิ่งว่ามันปลอดภัยหรือยัง รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยมันก็ทำลืมๆเฉยๆไปเสียอย่างนั้น ทนอัดกันอยู่อย่างนั้น.

          นี่ถ้าว่ามีข้อสังเกตุดีๆ รู้จักนิวรณ์เกลียดชังนิวรณ์แล้ว นั่นแหละจะอยากดับทุกข์ขึ้นมาทันที ; ต้องการความสงบเย็นแห่งชีวิต แล้วจะศึกษาเรื่องการดับทุกข์ดับกิเลส มันก็จะดับได้.  นี้ก็เป็นหัวใจในทางสำหรับจะศึกษาให้รู้, เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ในส่วนที่จะต้องศึกษาให้รู้ เพื่อจะได้หัวใจในส่วนที่เป็นผลคือ เป็นหลุดรอดวิมุติหลุดรอด.

รู้จักหัวใจของพุทธศาสนาให้ถูกต้อง
จะดับทุกข์ได้.
          ขอให้รู้จักธรรมชาติอันแท้จริง แล้วรู้ว่านี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ที่จะต้องรู้; แต่ก็ไม่มีใครเอามาสอน แล้วบางทีก็ห้าม ห้ามปากเสียว่า อย่าเอามาสอน เรื่องนิพพานอย่าเอามาสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยนี้, แล้วเรื่องที่สูงๆเช่น สุญญตา ตถาตา อนัตตา นี้ อย่าเพ่อเอามาสอน อย่าเอามาสอน.  อาตมาเคยถูกห้าม ถุกห้ามโดยพระมหาเถระที่หวังดีเอ็นดู; แต่อาตมาก็เป็นคนดื้อ ก็เคารพท่านแต่ก็ยังฝืนเอามาสอน เพราะว่ามันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา.
          อายตนิกธรรม 5 หมวด คือว่า : ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมวดหนึ่ง, รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ หมวดหนึ่ง, ผัสสะ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมวดหนึ่ง, เวทนา ทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ หมวดหนึ่ง, 5 หมวดรวมเป็น 30 อย่างนี้ เป็นสิ่งที่ต้องรู้จักในฐานะเป็น ก ข ก กา ของพุทธศาสนา.  พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้ ว่านี่เป็นอาทิพรหมจรรย์ จงตั้งต้นเรียนเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอาทิพรหมจรรย์.
แต่เดี๋ยวนี้เราก็ไม่สอนนี่ พอมา สอนเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็หาว่าลึกไป เลิกๆเลิก ห้ามสอน, ก็เลยไม่ต้องรู้กัน; แล้วจะกลับไปสอนให้รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยอธิบายอย่างนั้นอย่างนี้ แม้แต่เด็กๆมันก็ไม่เข้าใจ.
คนเราจะรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ก็ต่อเมื่อดับทุกข์ได้แล้ว ; นี่ฟังดูแล้วก็น่าตกใจ ; ถ้ายังดับทุกข์ไม่ได้ ยังไม่รู้รสของความดับทุกข์แล้ว ยังไม่มีทางที่จะรู้จักดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ตัวจริง,  มีแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์บอกเล่าที่เรียกว่า ปรโต โฆโส.  เขาสอนเด็กเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์, เขาก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามทัศนะของเขา ตามที่ได้ยินได้ฟังมา ; นี้มันเป็นจุดตั้งต้น.
แต่ถ้าว่าคนเราได้เรียนเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดทุกข์อย่างไรเพราะทำผิด ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วปฏิบัติถุกดับทุกข์ได้ ; เมื่อนั้นจะรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แม้โดยความเข้าใจ ก็ยังเรียกว่ารู้โดยความเข้าใจ.  ถ้าได้ปฏิบัติแล้วก็รู้โดยการปฏิบัติ แล้วปากนี้ก็จะเปล่งออกมาเองว่า ขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ จนตลอดชีวิต เหมือนอย่างเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในพระบาลี.
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แท้จริงนั้นมีสำหรับคนที่เห็นความดับทุกข์, หรือได้ประสบมาแล้ว พูดออกมาโดยไม่ต้องมีใครสอน.  เดี๋ยวนี้เราเอามาสอนเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตั้งแต่เด้กๆเป็นต้นไป พระรัตนตรัยจึงเกิดขึ้นเป็น 2 แบบ คือ พระรัตนตรัยนกแก้ว นกขุนทอง นั้นก็แบบหนึ่ง, พระรัตนตรัยแท้จริงของผู้เห็นแล้วพูดออกมา มันก็อีกแบบหนึ่ง.
          ขอให้เราเลื่อนชั้นการมีพระรัตนตรัยขึ้นไปๆด้วยการปฏิบัติให้ถุกต้อง  ตามหลักของการปฏิบัติ : ตั้งต้นที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ; วิญญาณ ผัสสะ เวทนา ; พอถึงจุดเวทนานั้นแหละ มันเป็นจุดที่จะต้องศึกษากันอย่างยิ่ง อะไรๆมันก็มีปัญหาเพราะเวทนา, จะรักก็เพราะเวทนาน่ารัก, จะโกรธก็เพราะเวทนามันน่าโกรธ, จะพะวงหลงใหล ก็เพราะเวทนามันชวนพะวงหลงใหล.  เวทนาเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องรู้จักและควบคุมให้ได้ แต่จะต้องจั้งต้นมาจาก ก ข ก กา คือ เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.
เรื่องนี้ แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ท่านก็ทรงเอามาทบทวน เป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือเรื่องมีว่าครั้งหนึ่งรู้สึกว่าอยู่พระองค์เดียว ก็เลยตรัสออกมากับตัวเองว่า จกฺขุญจ ปฏิจจ รูเปจ อปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ ติณฺณํ ธมฺมานํ สงฺคติ ผสฺโส ฯลฯ ท่องไปทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหมือนกับเด้กๆท่องสูตรคูณ อยู่ตามลำพังพระองค์เอง.  นี่เป็นเรื่องที่คงจะไม่เคยได้ยินได้ฟังกันมาก.
อาตมาขอยืนยันว่า มีเรื่องอย่างว่าที่พูดนี้ในพระบาลีในพระไตรปิฏกไม่น้อยกว่า 4 แห่ง.  ทีนี้บังเอิญภิกษุองค์แอบมาข้างหลัง มาแอบฟังพระพุทธเจ้าตรัสแก่พระองค์เองอยู่ลำพังอย่างนี้ แล้วพระองคืเหลียวไปเห็นเข้า ; อ้าวๆเธออยู่นี่ก็ดีแล้ว ; นี่จงรับเอาไป ; นี้คืออาทิพรหมจรรย์จงปฏิบัติ  จงศึกษาในอาทิพรหมจรรย์ คือเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ถึงกันเข้าแล้วก็เกิดวิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. เมื่อถึงกันเข้าอย่างนี้เรียกว่า ผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็ออกมาเป็นเวทนา ; ถ้าควบคุมมันไม่ได้ ก็ต้องเป็นทุกข์.  เรามีความรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างเพียงพอ, สติไปเอามาควบคุมสถานการณ์ ในขณะที่มันมีผัสสะ มีเวทนาอย่างนี้ แล้วก็ดับทุกข์ได้.
ฉะนั้น ขอให้เข้าใจถึงหัวใจของพุทธศาสนา ในแง่ของปริยัติหรือการศึกษา, แกอย่างหนึ่งว่า จงตั้งต้น ก ข ก กา ของพระพุทธศาสนาที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เถิด.  เดี๋ยวนี้เราก็ไปตั้งต้น เรื่องบุญ เรื่องกุศล เรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อะไรที่ไม่อาจจะเข้าใจซึมซาบในใจได้ เราก้ไม่เข้าใจถึงหัวใจของพุทธศาสนา.
ขอร้องว่าให้กำหนดตา หู จมุก ลิ้น กาย ใจ มีอะไรมากระทบ, แล้วเกิดอะไร อย่างไร แล้วเป็นทุกข์อย่างไร แล้วจะป้องกันอย่างไร, นี่ เรียกว่า เข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา ในแง่ของปรมัตถ์  เพราะว่าถ้าเห็นอย่างนี้แล้ว จะเห็นว่าเป็นอนัตตาทั้งนั้น : ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นอนัตตา, รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ก็เป็นอนัตตา, วิญญาณทั้ง 6 ทางก็เป็นอนัตตา, ผัสสะเป็นอนัตตา, เวทนาเป็นอนัตตา, แล้วนอกจากนั้นมันจะมีอะไรเป็นอนัตตาหมด เพราะมันรวมอยู่ที่ตรงเวทนา.
เราจะต้องรู้เรื่อง ก ข ก กา ของพุทธศาสนา เรียกง่ายๆว่า อายตนิกธรรม คือ สิ่งที่เนื่องกันอยู่กับอายตนะภายนอก 6 วิญญาณ 6 ผัสสะ 6 เวทนา 6 ; 5 หมวดนี้ทรงย้ำมากที่สุด  มีในที่มาในพระไตรปิฏกนับไม่หวาดไหวว่ากี่สิบแห่งกี่ร้องแห่ง เน้นเรื่องอายตนิกธรรมในฐานะเป็น ก ข ก กา ของพระพุทธศาสนา.

การฝึกมีสติสัมปชัญญะ
ทีนี้  จะมีสติสัมปชัญญะอย่างไร? ก็ต้องฝึกตามแบบมีสติสัมปชัญญะ ขอแนะนำว่าอานาปานสติภาวนา 4 หมวด นั่นแหละ  มีทางให้เกิดปัญญา เกิดสมาธิ เกิดสัมปชัญญะ  เพียงพอที่จะมาต่อสู้กับสถานการณ์อันนี้ได้.  สติปัฏฐาน 4 ที่ถูกต้อง ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ประยุกต์ได้จิรง คือสติปัฏฐาน 4 ที่ตรัสไว้ในอานาปานสติ อธิบายตามนั้นเท่านั้นพอ ; ส่วนมหาสติปัฏฐานสูตจรนั้น มันเปแนสติปัฏฐานสูตรที่เฟ้อ ที่เพียงแต่ท่องจำนี้ก็ยังไม่หวาดไหว.
สติปัฏฐานศูตร มี 2 ชนิด คือ สติปัฏฐานสูตรอย่างมหาสิตปัฏฐานสูตร ชื่ออย่างนั้นโดยตรง ชื่อมหาสติปัฏฐานสูตร. ที่ใน มหาสติปัฏฐานสูตรนั้นอยู่ในทีฆนิกาย มีคำนำว่า มหา มหานี้ไม่น่าไว้ใจทั้งนั้นแหละ มันเฟ้อเป็นส่วนมาก.  พระพุทธเจ้าตรัสยืนยันว่า พระพุทธองค์ ตรัสรู้ด้วยอานาปานสติภาวนา, แล้วจำแนกแจกแจงออกไปเท่าที่มีปรากฏอยู่ในอานาปานสติสูตรมัชฌิมนิกาย.  อานาปานสติสูตรจึงมีเครดิตมากถึงอย่างนี้ คือพระพุทธเจ้าตรัสยืนยันว่า  ตรัสรู้เพราะการเจริญอานาปานสติ อย่างรัดกุม อย่างพอดี อย่างที่กล่าวไว้ในอานาปานสติสูตรแห่งมัชฌิมนิกาย.
ขอร้องให้สนใจ จะพบอานาปานสติ ที่กะทัดรัดที่สุด อยู่ในวิสัยที่คนธรรมดาจะปฏิบัติได้ ; แล้วจะให้เกิดสติ สัมปชัญญะ สมาธิ และปัญญาสมบูรณ์ สามารถนำมาใช้ควบคุมเวทนาในชีวิตประจำวันได้, แล้วเราจะต้องปฏิบัติอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงอันนั้น, ดำเนินชีวิตอยู่ในเรื่อง อัฏฐังคิกมรรค.

การดำเนินชีวิตต้องอยู่ในมรรคมีองค์ 8.
อัฏฐังคิกมรรค – มรรคมีองค์ 8 นั้น นั้นแหละเป็นเรื่องที่ได้ตรัสรู้ สำคัยกว่าเรื่องอริยสัจจ์เสียอีก ขอให้ไปดู ในพระบาลีธัมมจักกัปปวัตตนสูตร นั่นแหละ  จะพบว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงนำมาแสดง ว่าไม่ได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ตรัสรู้เอง คือ เรื่องอริยมรรคมีองค์ 8 ; ต่อเมื่อตรัสเรื่องอริยมรรคมีองค์ 8 แล้วจึงตรัสเรื่องอริยสัจจ์.  พระองค์ทรงเสนอวิธีการดับทุกข์ ก่อนเรื่องอื่นทั้งหมด  ในการเปิดเผยธรรมะแก่โลก, หลังจากการตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงเรื่องอัฏฐังคิกมรรค, แล้วไป ตรวจดูรายละเอียดให้ดี ว่า อัฏฐังคิกมรรค สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป นั้นปัญญา, ปัญญามาก่อน แล้วจึงจะมาถึง เรื่องสัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว คือเรื่องศีล, แล้วจึงจะมาถึงเรื่อง สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นเรื่องสมาธิ, ทรงวางแนว ปัญญา ศีล สมาธิ  ระบบนี้แหละเราตถาคตไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน  รู้เฉพาะด้วยตนเอง นำมาบอกกล่าว เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา.  จงดำเนินในมัชฌิมาปฏิปทา ก็จะเว้นที่สุดโต่ง 2 อย่าง : คือกามสุขัลลิกานุโยค และ อัตตกิลมถานุโยค เสียได้ ; อันนั้นมันไม่สำคัญมันเป็นเรื่องอธิบายประกอบว่า ดำรงอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทานั้นคืออย่างไร.  นี้มันเป็นกฏของธรรมชาติ ขอให้ช่วยจำกันไว้ว่า เรากล้าพูดว่า พุทธศาสนาสบหลักวิทยาศาสตร์ฝ่ายจิตใจ.
คำว่าวิทยาศาสตร์ต้องมีทางฝ่ายจิตใจด้วย ; เดี๋ยวนี้รู้จักกันแต่เรื่องวัตถุ นักวิทยาศาสตร์พวกที่แสนจะโง่ จะฟังเรื่องพุทธศาสนาไม่ออก เพราะพูดว่าวิทยาศาสตร์นั้นมันเป็นเรื่องวัตถุไปเสียหมด มันไม่มีเรื่องทางจิตใจ วิทยาศาสตร์ มีเรื่องทั้งฝ่ายวัตถุ และทางฝ่ายจิตใจ ทรงค้นพบกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติ, แล้ว จึงตรัสว่า ปัญญา – ศีล – สมาธิ.
พออาตมาอธิบายอย่างนี้ เขาหาว่า หลอกลวงหรือโง่, หรือว่าเอาเอง, หรือตู่พระพุทธเจ้า.  นี้คือไม่ตู่พระพุทธเจ้า  คือยืนยันตรงตามกฏเกณฑ์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่าปัญญา – ศีล – สมาธิ.  พูดในหลักปฏิบัติที่จะใช้การได้, ดับทุกข์ได้ต้องพูดว่า ปัญญา – ศีล – สมาธิ ; แต่ถ้าจะพูดอย่างหลักทฤษฏี  ทั่วๆไป เราก็พูดว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ได้, คล้ายจะวางลำดับตามคุณค่าที่มันสูงต่ำ แต่ถ้าจะ ในทางปฏิบัติดับทุกข์โดยตรง ในหน้าที่แล้ว ต้องเรียงลำดับว่า ปัญญา – ศีล – สมาธิ.  ขอให้เข้าใจจุดหัวใจของเรื่องนี้ไว้ในฐานะเป็นการตัรสรู้อย่างยิ่งของพระพุทธเจ้า ไม่เคยได้ยินได้ฟังใครมาแต่ก่อน เพื่อจะดับทุกข์ได้, แล้วก้เรื่องอริยสัจจ์ 4 นั้นก็แฝงอยู่กับเรื่องอัฏฐังคิกมรรค คือในข้อสัมมาทิฏฐิ มันคลุมอริยสัจจ์ 4 ไว้หมด.
ความสำคัญในเรื่อง ปัญญา ศีล สมาธิ.
ทีนี้ก็อยากจะพูดว่า เรื่องนี้สำคัญอย่างไร? ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาคือความรู้ ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างถุกต้อง.  ศีลคือเจตนาที่จะได้ผลจากการกระทำนั้น, สมาธิ คือ การกระทำลงไปจริงๆ. ปัญญาคือรู้เรื่องที่ควรรู้ เกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ, แล้วก็มีเจตนาที่จะได้สิ่งนั้น นี้เรียกว่าศีล  ศีลคือเจตนา เจตนาคือศีล.  เดี๋ยวนี้มาเข้าใจกันเสียแต่ว่าศีลคือนั่งว่า ปาณาติปาตาเวรสณี; นี้เข้าใจเสียอย่างนี้ ต้องเข้าใจว่า ศีลนั้นคือเจตนาที่จะดับทุกข์, เจตนาที่จะดับทุกข์ ศีลเป็นเจตนาที่จะละ จะละนั่นละนี่, เจตนาเป็นตัวศีล.
ถ้าละนั่นละนี่แล้วมันดับทุกข์; ฉะนั้นเจตนาที่จะดับทุกข์นั่นแหละคือศีล;  แล้วทีนี้ก็ทำการดับ, กำลังกายกำลังจิตทุ่มเทลงไปหมด นั่นแหละคือสมาธิ. เราจะต้องรู้เรื่องที่ควรจะรู้เสียก่อน คือมีปัญญาเสีย แล้วจึงมีเจตนา ที่จะกระทำ, แล้วก็กระทำลงไปก็จะเป็นสมาธิ แล้วก็ครบ แล้วก็สมบูรณ์ แล้วก็ได้ผล, มีหลักว่า ปัญญา ศีล สมาธิ.  ใครจะเถียงพระพุทธเจ้าก็ตามใจซิ, มันก็นอกคอกหรือดื้อรั้นไปเอง ; แต่ถ้าจะรับตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว จะต้องยึดหลักว่า ปัญญา – ศีล – สมาธิ.
นี่ ขอยืนยันว่า ชีวิตทุกชีวิตรอดตัวอยู่ได้เพราะหลักการอันนี้ : หลักการไตรสิกขา : ปัญญา – ศีล – สมาธิ.  ชีวิตคนก็ดี ชีวิตสัตว์เดรัจฉานก็ดี ชีวิตต้นไม้ก้ดี มันมี ปัญญา – มีศีล – มีสมาธิ.  คนเราต้องมีปัญญารู้ว่าอะไร เป็นอย่างไรเสียก่อน มันจึงจะอยากทำ ; ครั้นอยากจะทำแล้วมันจึงจะทำ  มันก็สำเร็จประโยชน์.  สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกันแหละ ; มันต้องมีการเป็นอยู่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยหลักเกณฑ์อันนี้  มันก็มีปัญญาที่จะรอบรู้ว่าจะไปกินหญ้าที่ไหน เป็นต้น คือค้นหาอาหารที่ไหน มันต้องรอบรู้ ต้องโคจร, เรื่องสถานที่ เรื่องเหตุการณ์อะไรต่างๆ รู้ มีปัญญาแล้ว มันก็มีเจตนาที่จะไปนั่นหรือทำอย่างนั้น, นี่เป็นศีลของมัน.  ครั้นไปถึงั้นั่นแล้ว มันก็ระดมกำลังกาย กำลังจิต ทำหน้าที่นั้น ; เช่นกินหญ้าๆมันก็สำเร็จประโยชน์.  นี่แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ก้รอดชีวิต ดำรงชีวิตอยู่ได้ ด้วยหลักไตรสิกขา อย่างนี้ คือปัญญา ศีล สมาธิ ตามกฏเกณฑ์ที่พระพุทธองค์ได้ทรงวางไว้.
นี้แม้แต่ต้นไม้ ทีนี้ต่ำลงมาจนถึงต้นไม้แล้ว ที่คนเขาดูถุก บางคนเขาพูดว่าหต้นไม้ไม่มีจิตไม่มีวิญญาณ ; นั่นหลับตาพูด  ต้นไม้มีความรู้สึกเหมือนกับสัตว์เหมือนกันแหละ  แต่ว่าระดับต่ำมาก มันน้อยมาก, มันมีเจตนาโดยสัญชาตญาณ ที่จะทรงตัวตัวอยู่ จะสืบพันธุ์ จะป้องกันอะไรเหมือนกับคนเหมือนกัน. ต้นไม้นี้ต้องมีความรู้ว่า ทางไหนทิศทางไหน ที่มันจะส่งรากออกไปได้น้ำ ได้ธาตุ ได้แร่ธาตุ ได้อะไร มันจึงส่งรากไป, จะยื่นกิ่งใบไปทางไหนจะได้แสงสว่างพอที่จะหล่อเลี้ยงชีวิต คือว่าทำให้แร่ธาตุที่ดูดขึ้นไป เปลี่ยนสภาพเป็นเนื้อหนังของต้นไม้.  ต้นไม้มันจึงมีทั้งปัญญา มีทั้งศีล มีทั้งสมาธิ ; มันรู้ มันต้องมีความรู้เกิดขึ้นก่อนแหละ มันจะรู้มาทางไหนก็สุดแท้แต่ มันต้องมีความรู้เกิดขึ้นก่อนว่า อะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร แล้วก็มีเจตนาที่จะได้ผลของอันนั้น แล้วมันจึงกระทำ, นี่มันมีปัญญา มีศีล มีสมาธิ.

ขออภัย อย่าว่าพูดคำหยาบเลย แม้สุนัขมันจะไปที่ไหน มันต้องรู้ว่ามันจะต้องไปที่ไหน มันจะไปที่ไหน ที่นั่นมีอะไร, มันรู้อย่างนี้ก่อน, แล้วมันมีเจตนาที่จะไป มันก็เป็นศีลของมัน แล้วมันก้ไปด้วยกำลังกายกำลังใจทั้งหมด แล้วมันก็ถึง มันก็สำเร็จประโยชน์ตามที่มันต้องการได้ ; แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ก็ต้องปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ ปัญญา – ศีล – สมาธิ ซึ่งเป็นกฏของธรรมชาติ อันลึกซึ้งยิ่งกว่าสิ่งใด.  ถ้าอยากจะเรียกำว่าพระเจ้า ก็เรียกอันนี้แหละว่าเป็นพระเจ้า คือเป็นกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่ทำให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปอย่างถุกต้อง.
ฉะนั้น ขอวิงวอนอ้อนวอนว่า พวกเราทั้งหลาย จงยึดถือหลักที่พระพุทธองค์ทรงเปิดเผยขึ้นมา โดยอัฏฐังคิกมรรค ว่าปัญญา แล้วศีล แล้วสมาธิ ทุกกรณีที่จะกระทำ ; จะกินข้าวก็ต้องรู้ว่ากินอย่างไร, แล้วมีเจตนาที่จะกิน, แล้วจึงกิน.  จะอาบน้ำ จะอะไรก็ตาม มันจะสมบูรณ์อยู่ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ทุกๆอิริยาบถ ; แล้วมันจะไม่เกิดกิเลส มันจะไม่เพิ่มอนุสัย.  มันจะพัฒนาไปแต่ในทางของโพธิ สัญชาตญาณจะวิวัฒนาการไปแต่ในทางของโพธิ เราก็อยู่ด้วยความสำเร็จประโยชน์ในการดำรงชีวิต.
ช่วยจดจำหัวใจของพระพุทธศาสนาว่า ในทางปฏิบัตินั้นจะต้องมีหลักว่า ปัญญา ศีล แล้วสมาธิ ; แต่ถ้าจะพูดโดยทฤษฎีแล้ว ก็จะพูดว่าศีล สมาธิ ปัญญา ก็ได้ ตารมใจ.  ในกรณีที่จะพูดเปรยๆอย่างนี้ก็มีเหมือนกัน ที่พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ แต่มันมิใช่หลักสำคัญที่ดับทุกข์.  หลักสำคัญที่จะดับทุกข์ต้องมีปัญญา แล้วต้องศีล แล้วต้องสมาธิ ; ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว มันรักษาศีลไม่ได้ดอก ; ขืนไปรักษาศีลด้วยความยึดมั่นถือมั่น มันก็เป็นสีลัพพัตตปรามาสไปเสียหมดแหละ, เหมือนกับที่เรามีกันเดี๋ยวนี้ มันสีลัพพัตตปรามาสเสียหมด เพราะรักษาศีลทั้งที่ไม่รู้จักตัวศีล, ไม่รู้จักเหตุผลอะไรเกี่ยวกับศีล เราจึงไม่มีศีลที่แท้จริง  มีแต่สีลัพพัตตปรามาส หรือสัจจาภินิเวส ยึดมั่นถื่อมั่นอย่างนี้ ดีกูเอาอย่างนี้, สอนกันแต่เพียงให้รู้ว่ายึดมั่นถือมั่นอย่างไร มันไม่สำเร็จประโยชน์.
นี่ถือหลักว่า จะทำอะไร ขอให้ปัญญานำหน้าในกรณีนั้นๆ, แล้วมีเจตนาเป็นศีลที่จะกระทำมัน, แล้วมีสมาธิคือตัวการกระทำ ด้วยกำลังทั้งหมด ทั้งกายและทั้งจิต จะประสบความสำเร็จในทุกๆกรณี ในทุกๆกรณี, นี่เป็นความลับอันหนึ่ง ซึ่งจะเรียกว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ที่ไม่ค่อยจะเข้าถึงกัน และไม่ค่อยจะสังเกต ไม่ค่อยจะศึกษา ทั้งที่พระพุทธองค์ตรัสยืนยันอย่างนี้, แล้วตรัสเป็นเรื่องแรก.
คำสอนเรื่องแรกที่พระพุทธองค์ตรัส ไม่ใช่เรื่องอริยสัจจ์ อย่าพูดผิดๆ; มันเป็นเรื่องอัฏฐังคิกมรรคขอให้เปิด ดูทุกตัวอักษรในบาลีธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ท่านตรัสเรื่องอัฏฐังคิกมรรคก่อน, แล้วจึงตรัสเรื่องอริยสัจจ์ ในอริยสัจจ์ก้แฝงอยู่ในสัมมาทิฏฐิ.  ฉะนั้นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงนำมาสอน เป็นเรื่องแรกและเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ก็คือเรื่องอัฏฐังคิกมรรค – อริยมรรคมีองค์ 8 มีหลักคือปัญญา ศีล และสมาธิ. ขอให้ถือเอาประโยชน์ให้สำเร็จปฏิบัติให้ตรงตามนี้ มันจะสมหวัง ในฐานะเข้าถึงของพระพุทธศาสนา เรื่องหนึ่ง.
อย่างว่าจะมาสวนโมกข์นี้ ปัญญาต้องมาก่อน ต้องรู้เรื่องสวนโมกข์ ว่าจะได้อะไร เป็นอย่างไร, แล้วจึงจะมีศีลคือมีเจตนาที่จะมา, แล้วก็มีการมาซึ่งเป็นสมาธิ นี่จะไปที่ไหน จะทำอะไร.  ทุกอย่างต้องเป็นไปในหลักที่ว่า ปัญญา – ศีล – สมาธิ จึงจะสำเร็จประโยชน์ ; ถ้าเอาศีลมาก่อนมันก็คลานลงคู ลงหนอง ลงคลองหมดแหละ มันไม่รู้ว่าจะไปอย่างไร ; มันต้องมีปัญญามาก่อน ใครเขาจะสอนอย่างไรกันก็ตามใจ แต่อาตมาขอยืนยันตามหลักของพระพุทธเจ้าว่า ปัญญา – ศีล – สมาธิ นี่แหละ ไตรสิกขา ที่ในขณะที่มีการปฏิบัติหน้าที่.
ปัญญารู้ว่าอะไรเป็นอะไร พูดเหมือนพูดเล่น รู้ว่าอะไรเป็นอะไร, มันก็คือรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอย่างไร, สิ่งนั้นเกิดมาจากอะไร, สิ่งนั้นมีความหลอกลวงอย่างไร, สิ่งนั้นมีความจริงอย่างไร, มีเสน่ห์จูงคนอย่างไร, มีอัสสาทะแผดเผาคนอย่างไร, แล้ว ทางออกของมันมาจากสิ่งนั้นคืออะไร.  แต่ในที่สุดก็พบว่า ทุกเรื่องที่มันเป็นปัยหาเป็นความทุกข์อย่างนี้ สิ่งที่เป็นทางออกจากปัยหาเหล่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอริยอัฏฐังคิกมรรคทั้งนั้น เลย ; ท้าให้ไปดูในพระไตรปิฎก.  ถ้าพูดถึงนิสสรณะ ออกจากปัญหาหรือความทุกข์ ; ไม่ว่าจะตั้งต้นขึ้นมาด้วยกดรณีใด พอไปถึงนิสสรณะแล้ว อัฏฐังคิกมรรคทั้งนั้นเลย, อัฏฐังคิกมรรคทั้งนั้นเลย.
ทางออกจากปัญหาทั้งปวง ของมนุษย์เรา คืออัฏฐังคิกมรรค : หลักการที่จะมีความรู้ความเข้าใจอันถุกต้องบเสียก่อน, แล้วมีสังกัปปะ คือเจตนาที่จะได้ ที่จะถึง แล้วจึงมีศีล คือสัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว เป็นพื้นฐาน จุดตั้งต้นรองรับ, แล้วก็ มีสมาธิ วายาโม สติสมาธิ แล้วมันก็สำเร็จประโยชน์.  นี่ดำเนินชีวิตในมัชฌิมาปฏิปทาเถิด แล้วก็จะเป็นพุทธบริษัททั้งแท่ง เป็นทั้งเนื้อทั้งตัว.
การปฏิบัติถูก ต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา.
มัชฌิมาปฏิปทานี้ระวังดูให้ดีๆ มันไม่เกี่ยวกับคำว่าเคร่งนะ ; ถ้าพูดว่าเคร่งอย่างถูกต้อง ต้องคือมัชฌิมาปฏิปทา ; แต่ถ้าเกินมัชฌิมาปฏิปทาแล้วก็ มันเกินเคร่งแล้ว มันบ้าแล้ว ถ้าพอดีนั้นน่ะคือเคร่ง.  คนทั้งหลายที่ชอบเคร่ง ชอบคำว่าเคร่ง จะทำอะไรอย่างเคร่งนั้น จงรู้ไว้เถิดว่า คำว่าเคร่งนั้นหมายความพอดี   คือมัชฌิมาปฏิปทา ; ถ้าเกินพอดี มันก็เป็นอัตตกิลมถานุโยคบ้าง, เป็นกามสุขัลลิกานุโยคบ้าง,  ถ้าพอดีก็จะเป็นนั่นน่ะถุก.  ถ้าจะเคร่งให้ถุกต้องตามความหมายของคำว่าเคร่งแล้ว ก็จงเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ; เดี่ญวนี้มันเคร่งอย่างหลับหุหลับตา, เคร่งอย่างสุดโต่ง เคร่งอย่างสุดเหวี่ยง มันไม่พบกับความจริง.
คำอีกคำหนึ่งที่น่าสนใจ แล้วจำง่ายๆ เข้าใจกันได้ก็คือคำว่า มัธยัสถ์,  มัธยัสถ์ เดี๋ยวนี้ไ-ม่ค่อยเข้าใจคำว่ามัธยัสถ์แล้วไปเห็นว่า เป็นเรื่องขี้เหนียวขี้ตืดไปเสียอีก.  มัธยัสถ์นั่นแหละคำเดียวกับมัชฌิมาปฏิปทา ;  มัธยะ แปลว่า กลาง, อัสถ แปลว่า ตั้งอยู่ คำว่า มัธยัสถ์ แปลว่า ตั้งอยู่ตรงกลาง, ตั้งอยู่ตรงกลางนั่นคือมัธยัสถ์ แล้ว มัธยัสถ์ไม่ใช่ประหยัด ขี้เหนียวขี้ตืดอะไร อย่างที่คนโดยมากเข้าใจเอาไปเป็นเรื่องล้อเล่นทางฝ่ายผิด.  มัธยัสถ์ คือคำที่ประเสริฐที่สุด ตรงกับคำว่ามัชฌิมาปฏิปทา ; คำว่ามัธยัสถ์ แปลว่าตั้งอยู่ตรงกลาง.  ทำอะไรขอให้เป็นมัชฌิมาปฏิปทาอย่างนี้ ก็จะมีชีวิตหนึ่งเดินตามทำนองคลองธรรมของพุทธศาสนา นี้ว่าโดยหลักทฤษฎีมีหัวใจอย่างนี้.
ทีนี้ จะพูดโดยหลักปฏิบัติโดยตรงบ้าง  ว่ามีหัวใจอย่างไร มันก็คือ มัชฌิมาปฏิปทาที่มาทันเวลา หรือว่ามีอยู่เป็นพื้นฐาน, มีชีวิตอยู่โดยหลักมัชฌิมาปฏิปทานี้ เป็นหลักปฏิบัติในชั้นที่เป็นหัวใจ โดยหลักปฏิบัติมันแยกเป็น 2 อย่าง :-
เมื่อมีอารมณ์มากระทบ ก็มัชฌิมาปฏิปทาให้มันถูกต้อง, เมื่อไม่มีอารมณ์มากระทบ มันจะปรุงขึ้นมาจากภายใน ก็มีมัชฌิมาปฏิทาให้ถูกต้อง ; ถ้าดำรงอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทาแล้ว อนุสัยจะส่งนิวรณ์ออกมาไม่ได้, จะมีชีวิตที่ปราศจากนิวรณ์ อยู่ทั้งวันทั้งคืน เยือกเย็นที่สุด.  นี่ควบคุมชีวิตในลักษณะให้เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ให้สัญชาตญาณเป็นไปในทางโพธิ  อย่าลงมาทางฝ่ายกิเลส, มีสติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธินี้ เป็นหลักปฏิบัติอย่างยิ่ง.
พอมีอะไรมากระทบ สิ่งแรกที่ต้องการจะใช้ คือ สติ, ระลึกได้ทันทีว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ; แล้วสติไปโดยเร็ว วิ่งไปโดยเร็ว สมกับคำว่าสติ.  คำว่า สติ นั้นแปลว่า แล่นไปโดยเร็วเหมือนกับลูกศร; คำว่า ลูกศร ก็แปลว่า แล่น คำว่า สติ ก็แปลว่า แล่น, ความหมายอย่างเดียวกัน.  คำว่าสติเกิดขึ้นโดยเป็นอาการของลูกศรแล่นไปเร็ว ; กิริยาที่แล่นไปเร็วอย่างนั้นเอามาเรียกชื่อว่า สติ, เป็นภาษาธรรมะขึ้นมา.
สติแล่นไปเร็ว ไปถึงปัญญา ตามที่เคยศึกษาไว้อย่างไร อบรีมไว้อย่างไร สติไปขนเอาปัญญามาทันเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่อารมณ์กระทบ ; ตัวปัญญา นั้นแหละ พอมาถึงเฉพาะหน้าเหตุการณ์  มันเปลี่ยนชื่อ เรียกว่า สัมปชัญญะ ; สัมปชัญญะกับปัญญา มีความหมายอย่างเดียวกัน.  ปัญญาที่เก็บไว้ในคลัง เรียกว่าปัญญา  พอเอาออกมาใช้การในขณะเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น โดยสตินำเอามา ปัญญานั้นจะเปลี่ยนชื่อเป็นสัมปชัญญะ  เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ แล้วสมาธิก็มาเพิ่มกำลัง – เพิ่มกำลัง – เพิ่มกำลังให้แก่สัมปชัญญะ ต่อสู้สถานะเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นทางตา หู จมุก ลิ้น กาย ใจ; ไม่ว่าอารมณ์ใดๆ มันควบคุมได้ไม่ปรุงแต่งเป็นเวทนา ตัรหา ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์.
ขอให้ทุกคน มีสติรวดเร็วเพียงพอ, มีปัญญาที่ศึกษาไว้เพียงพอ เป็นปัญญาในคลัง และสำหรับสติจะขนเอามาเป็นสัมปชัญญะอย่างเพียงพอ, แล้วมีกำลังของสมาธิทุ่มเทให้แก่สัมปชัญญะ เผชิญหน้ากับอารมณ์ ทำลายอารมณ์ร้ายให้แตกกระจายไป ไม่ปรุงให้เกิดกิเลสขึ้นมาได้.  นี่คือวิธีที่จะช่วยตนเอง, ช่วยตนเอง จะเรียกว่าจิตก็ได้ จิตมันก้คือธรรมชาติ รู้สึกคิดนึกอะไร และกระทำไปตามธรรมชาติแห่งกาย, กระทำไปตามความต้องการของจิต; แต่จิตต้องมีสัมมาทิฏฐิ รู้ว่าอะไรเป็นอย่างไร, อะไรๆมันก็รวมอยู่ที่จิต.  อาการต่างๆของจิต คือชื่อต่างๆที่เป็นปัยหา ฝ่ายชั่วก็ได้ฝ่ายดีก้ได้, อาการของจิตทั้งนั้น.
นี่ใจความสำคัญของคำว่า ตัวเองจะต้องช่วยตัวเองมันไม่มีจิตไหนอีกแล้ว มันมีจิตดวงนี้ดวงเดียวเท่านั้น ที่จะเป็นอย่างนี้ ที่จะเป็นอย่างนี้ ที่จะเป็นอย่างนี้ ; จิตต้องช่วยตัวเอง ด้วยการฝึกฝนไว้ดีแล้ว จะเป็นไปแต่ในทางที่ถูกต้อง.  จิตช่วยตัวเอง คือตนเป็นที่พึ่งแก่ตน  มีความหมายอย่างนี้ ; ไม่ใช่ว่ามีตัวตนเป็นอัตตา เป็นอะไรอย่างที่เขาเชื่อกัน.  ตนนี้ก้คือจิตที่มันมีมัชฌิมาปฏิปทา มีความถูกต้องทั้ง 8 ประการกำกับอยู่ มันก็ช่วยตนเองได้.
ฉะนั้นขอให้เรา ถือหลักช่วยตนเอง ด้วยมีธรรมะ 4 เกลอ, คงจะแปลกหูบ้างที่จะเรียกว่าธรรมะ 4 เกลอ คือ สติไปขนเอาปัญญามาเป็นสัมปชัญญะ แล้วมีสมาธิ แล้วระดมลงไป ; สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ นี่ธรรม 4 เกลอ ขาดไม่ได้, ชุดนี้ต้องมาพร้อมกันทั้งสี่.  ธรรมะ 4 เกลอมาครบแล้ว จะแก้ไขสถานการณ์ต่างๆได้.  อย่าลังเลเฉื่อยชา ในการที่จะอบรมให้มีธรรมะ มีปัญญา มีสัมปชัญญะ แล้วก็มีสมาธิ, แล้วขอยืนยันว่า โดยการปฏิบัติอานาปานสติอย่างเดียว สิ่งทั้ง 4 เกลอนี้จะมีครบ มีให้ครบ, เชี่ยวชาญมันก็มากขึ้น ก็สะดวกในการที่จะนำมาใช้.
ทีนี้มันก็เป็นเรื่องที่ว่า  ปฏิบัตินี้มันไปจุดจบกันที่ไหน?  มันกลายเป็นว่า เพื่อให้รู้ถึงที่สุด ความจริงอันสูงสุดที่ดับทุกข์ได้ นั้นเป็นส่วนความรู้ ยอดสุดของความรู้ ; ทีนี้  ยอดสุดของผลของการปฏิบัติคือหลุดพ้นได้, แล้ว ตัวการปฏิบัติ ก็คือการทำความหลุดพ้น นั่นเอง ถ้าเอากันที่จำเป็นที่สุดแล้ว คือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดการหลุดพ้นนั่นเอง, เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาในแง่ของปฏิบัติ  ถ้าเป็นปริยัติก้รู้เรื่องความหลุดพ้น, ถ้าปฏิบัติก็ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น, ถ้าเป็นผลของการปฏิบัติก็คือความหลุดพ้น มรรค ผล นิพพาน เป็นความหลุดพ้น.  ฉะนั้นเรื่องมันจึงรวมอยู่คำเดียวที่ว่า หลุดพ้น, หลุดพ้นไม่ติดอยู่ที่ไหน.

ความหลุดพ้นปรากฏในพระบาลี.
พระบาลีที่ว่า  สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสายะ – ธรรมทั้งหลายทั้งปวง คือทุกสิ่งที่ไม่ควรที่จะเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ; อภินิเวส แปลว่า ฝังตัวเข้าไป,  จิตไม่ควรจะฝังตัวเข้าไปในสิ่งใด โดยความยึดมั่นว่าตัวตนหรือของตน.  นี่เรียกว่าไม่ยึดมั่นสิ่งทั้งปวงโดยความเป็นตัวตนของตน ; แม้แต่พระนิพพาน  ซึ่งเป็นความหลุดพ้นอันดับสุดท้าย  ก็ไม่ยึดมั่นว่าเป็นตัวตนของใคร, หรือว่าเป็นตัวตนของพระนิพพานเอง, คงถือมห้เป็นสภาพธรรม สภาวะตามธรรมชาติ.  พุดตามวิทยาศาสตร์ก็ว่า เป็นธาตุชนิดหนึ่ง นิพพานนี้เป็นธาตุชนิดหนึ่ง  เหมือนกับธาตุทั้งหลาย, ได้ชื่อว่าเป็นธาตุ แต่มีความหมายเฉพาะว่า เป็นธาตุที่ไม่มีก่ารปรุงแต่ง  ปราศจากการปรุงแต่งโดยประการทั้งปวง, เป็นวิสังขาร.
คำว่าสังขาร, สังขาร แปลว่า ปรุงแต่ง ;  และรู้จักแยกออกให้ชัดว่า ผู้ปรุงแต่ง ก็เรียกว่าสังขาร, สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง ก็เรียกว่า สังขาร, กริยาอาการที่ปรุงแต่ง ก็เรียกว่า สังขาร, สังขารมันมีความหมายอย่างนี้.  เดี๋ยวนี้มักจะมีความรู้แค่หางอึ่งว่า สังขารคือร่างกาย ; นี่มันรู้แค่หางอึ่งว่าสังขารคือร่างกาย.  สังขารคือการปรุงแต่ง, อยู่ในลักษณะของ ผู้ปรุงแต่ง ก็เรียกว่าสังขาร, ถุกปรุงแต่งออกมา ก้เรียกว่าสังขาร, กิริยาอาการที่ปรุงแต่ง ก็เรียกว่าสังขาร ; เตสํ วูป สโม สุโข – ระงับสังขารเหล่านั้นเสียได้เป็นความสุขอย่างยิ่ง คือหยุดการปรุงแต่งเสียได้, หยุดการปรุงแต่งเสียได้ เรียกว่า วิสังขาร, วิสังขาร ไม่มีการปรุงแต่ง เหนือสภาพการปรุงแต่ง.  เมื่อจิตถึงวิสังขาร อะไรปรุงแต่งจิตอีกไม่ได้ จิตก้ถึงภาวะที่เรียกว่านิพพาน, ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป.
เดี๋ยวนี้มัน มีการศึกษากันน้อยเกินไป เรื่องการปรุงแต่ง เรื่อง การยึดมั่นถือมั่น เรื่อง การหลุดพ้น, แล้วก็บอกกันว่าไม่ให้เอามาสอนเสียด้วย ห้ามสอนเสียด้วย.  นี่หลักปฏิบัติที่ห้ามสอน เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.  นี่ขอพูดเสียเลยว่า เรากำลังพูดถึงเรื่องหัวใจของพระพุทธศาสนาโดยพฤติการณ์ในปัจจุบันจริงๆ กลับบถูกห้ามนำมาสอน.  มันเป็นอย่างไร คิดดูซิ.
เรื่องอนัตตา – ไม่ใช่ตน เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา แต่กลับถุกห้ามนำมาสอน, เรื่องสุญญตา – ว่างจากตัวตน ก็ถุกห้ามนำมาสอน, ตถาตา – เช่นนั้นเอง ฟังดูเป็นเรื่องพูดเล่นเสียอีก ห้ามนำมาสอน, อิทัปปัจจยตา ไม่ต้องเอามาสอนประชาชน.  นั่นเป็นคำพูดที่อันตรายที่สุด เพราะเรื่องอิทัปปัจจยตา คือมันเรื่องทุกสิ่งที่เป็นทุกข์และดับทุกข์ เป็นเรื่องของชีวิตจิตใจโดยตรง กลับห้ามไม่ให้นำมาสอนเสียอีก.  ถ้าพูดว่ามัชฌิมาปฏิปทา ก็เห็นเป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับเราชาวบ้านไปเสียอีก ; ที่จริงมันเกี่ยวตั้งแต่จุดตั้งต้นถึงจุดสุดท้าย.  เรื่อง สามัญญลักษณะ ; อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ไม่ให้นำมาสอนกันเสียอีก, หรือมาสอนมาพูดล้อเล่นกันเสียมากกว่า.
นี้เรื่องวิสังขาร เรื่องวิสังขาร ที่จิตจะต้องถึงนั่น กลับมืดมนท์ ไม่ต้องการเสียด้วย; เพราะว่าไม่ปรุงแต่งนั้นเขาไม่สนุกสนาน, เขาต้องการการปรุงแต่งที่สุกสนาน. แล้วในที่สุดเรื่องนิพพาน นิพพานก็มืดมิด อยู่ในที่ลับในที่มืด, ไม่เอามาเป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าเรารอดตัวอยู่ได้นี้ เพราะพระนิพพานน้อยๆ.  นิพพานตัวอย่าง ในชีวิตประจำวัน คือความเยือกเย็นที่คอยเกิดขึ้นเป็นระยะยาวพอสมควร เพื่อจะดับความร้อนที่เกิดขึ้นเป็นประจำวัน มีความเย็นที่ควบคุมอยู่เป็นประจำวัน.
เรื่องอนัตตา หัวใจของพระพุทธศาสนา อย่าเข้าใจเป็นเรื่องพูดเล่น  หรือรังเกียจ. คนหนุ่มนักศึกษาปัจจุบันมองคำว่าอนัตตาเป็นเรื่องเหลือวิสัยบ้าง เป็นเรื่องของคนโง่คร่ำครึอยู่แต่ในวัดบ้าง, แล้วก็อ้างตัวเองจะเป็นผู้แก้ปัญหาของสังคม แก้ปัญหาของโลก นี่บรมโง่ที่เกลียดเรื่องอนัตตา, แล้วมันตั้งตัวเป็นผู้แก้ปัญหาของสังคมหรือเรื่องของโลก.
ถ้าคนในโลก มีความรู้เรื่องอนัตตา ก็ไม่มีความเห็นแก่ตัว ; เมื่อไม่มีความเห็นแก่ตัว ปัญหาใดๆวิกฤตการณืใดๆ ไม่อาจจะเกิดขึ้นในโลก เพราะไม่มีใครเห็นแก่ตัว ตัวเองก็ไม่เป็นทุกข์ ไม่ทำผู้อื่นให้เป็นทุกข์ ; เพราะรู้เรื่องอนัตตา มิใช่ตัวตน จนไม่มีความเห็นแก่ตัว, ตัดความเหก็นแก่ตนได้ ก็ด้วยความรู้เรื่องอนัตตา, ถ้าโลกมีความรู้เรื่องอนัตตาก็จะไม่มีความเห็นแก่ตนในโลกเหลืออยู่.  ทำไมองค์การสหประชาชาติไม่สนใจในเรื่องนี้ จะมาแก้ปัญหาของโลก มัวแต่นั่งจับปูใส่กระด้ง กี่ชาติๆมันก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่รู้ธรรมะที่จะมาแก้ปัญหาของโลก อันสำคัญ, เหตุสำคัญก็คือความเห็นแก่ตัว มันต้องสอนเรื่องอนัตตา.  องค์การสหประชาชาติ ควรจะใช้สาขายูเนสโกเผยแผ่เรื่องอนัตตา ให้มากออกไป. มากออกไป ความเห็นแก่ตัวจะลดลง, ปัญหาต่างๆก็จะลดลง จะแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น.
นี้เรื่องสุญญตา  เรื่องสุญญตาก็เหมือนกัน  เมื่อเห็นความว่างจากตน มันก็ลดความเห็นแก่ตน, ลดความเห็นแก่ตน แล้วความเห็นแก่ตัวว่าของตัว มันจะลดความรู้สึกเลวร้ายว่าตัวกูว่าของกูออกไปเสียได้ ด้วยความรู้สึกสุญญตา, แล้วมันก็รักผู้อื่นโดยอัตโนมัติแหละ ; ข้อนี้เป็นหน้าที่ของพระธรรม.  เราปฏิบัติพระธรรม เพียงว่าลดความเห็นแก่ตัว ความรักผู้อื่นก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ; เดี๋ยวนี้มัวแต่สอนให้รักผู้อื่น รักผู้อื่น แต่ไม่ได้สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว มันก็เรื่องละเมอเพ้อฝัน ; ให้รักผู้อื่น มันต้องสอนให้รู้จักทำลายความเห็นแก่ตัว.
อาตมาชอบใจสัญลักษณ์ของศาสนาคริสเตียน คือไม้กางเขน สัญลักษณ์กางเขนอันยืนเป็นอัตตา เป็นตัว I, แล้วก็ตัดเสียซึ่งอัตตา คือ I นี้จะเป็นหลักการที่ช่วยโลกได้.  ตัดความเห็นว่าเป็นตัวตน และความเห็นว่าของตนได้ มัน ก็รักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ ; ทำลายความเห็นแก่ตัวเถอะ จะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ.
ตถาตานี้ ก็เหมือนกัน มันก็ไม่มีตน, ตถาตาไม่มีอะไรที่เป็นตน มันเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง, เช่นนั้นเองตามธรรมชาติ ตามกฏเกณฑ์ ตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติไปตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ถ้าทุกคนเห็นตถาตาเช่นนั้นเองแล้ว ก็ไม่มีใครคิดเป็นเจ้าโลก; เดี๋ยวนี้มีคนคิดจะครองโลก แบ่งค่ายจะครองโลก จะช่วยกันเอาโลกมาเป็นของกู แล้วครองโฏลกเพราะมันไม่เห็นตถาตา คือ เช่นนั้นเอง ถ้ามีความรู้เรื่องตถาตาแล้ว คนที่คิดจะเป็นเจ้าโลกและครองโลก มันก็ไม่มี.
นี่ อาตมาจึงยืนยันว่า หัวใจสุดยอดของพระพุทธศาสนานั้นช่วยโลกได้ ตถาตา สุญญตา อนัตตา ไม่ให้เกิดความเห็นแก่ตน มันก็รักผู้อื่นได้ เศรษฐีจะรักขอทานก็ได้ ขอทานจะรักเศรษฐีก็ได้ กรรมกรจะรักนายทุนก็ได้ แม่แต่สิงห์โตก็จะรักลูกแกะได้ ลูกแกะก็จะรักสิงห์โตได้ นี้มันจะหมดปัญหาถึงขนาดนี้ แต่เขาห้ามไม่ให้เอามาสอน เรื่องสุญญตา เรื่องอนัตตา.
เราเป็นพุทธบริษัท จงเป็นให้สมชื่อ คือเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้สิ่งที่ควรจะรู้อย่างครบถ้วน สิ้นเชิงแล้วก็ตื่นจากหลับคือความโง่ มันก็เบิกบานเหมือนดอกไม้ที่บานไม่รู้จักโรย บานด้วยธรรมะแล้ว มันเป็นการบานที่ไม่รู้จักโรย นี่ มันจะมาแก้ปัญหาของโลกได้ ด้วยหัวใจของพระพุทธศาสนา คืออนัตตา คือสุญญตา คือตถาตา ถ้ามีความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา จะแก้ปัญหาได้หมด ไม่ว่าปัญหาชนิดไหน ปัญหาทุกชนิด อยู่ในอำนาจของอิทัปปัจจยตา จะแก้ปัญหาได้หมด ปัญหาขี้ปะติ๋ว ปัยหาอะไรเล็กๆน้อยๆ จนกระทั่งเป็นปัยหาสูงสุด เป็นปัญหาของกิเลส ก็แก้ได้ด้วยความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา สามารถที่จะควบคุมให้เป็นไปแต่ในทางที่ดับทุกข์.
ส่วนมัชฌิมาปฏิปทานั้น ไม่ต้องพูดถึง อยู่ตรงกลาง ถ้าคนมีความรู้เรื่องมัชฌิมาปฏิปทา มันก็จะไม่โง่ ไม่หลงไปอยู่ใต้ความหมายของสิ่งที่เป็นคู่  เดี๋ยวนี้มันโง่ มันหลงไปอยู่ใต้อิทธิพลใต้ความหมายของสิ่งที่เป็นคู่ เช่น ชั่ว ดี บุญ บาป สุข ทุกข์ นี้ มันไปหลงยึดติดในความหมายใดความหมายหนึ่ง จนเกิดเป็นปัญหาขึ้นมา คือว่าโดยทั่วไปนี้ ไปหลงติดในความหมายของคำว่า มั่งมี – ยากจน แพ้ – ชนะ ได้เปรียบ – เสียเปรียบ กำไร – ขาดทุน ; นี่ความหมายเหล่านี้มันครอบงำจิตใจของคนธรรมดาสามัญไม่ให้อยู่ในมัชฌิมาปฏิปทา หรือตรงกลาง.
ศึกษาเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา รู้จักอยู่ตรงกลาง มันเป็นเช่นนั้นเองแหละ ดีหรือชั่ว มันก็เรื่องบ้าเท่ากันแหละนี่ ขออภัยนะพูดอย่างนี้ ไม่ใช่ทำลายกำลังใจของผู้ที่จะตั้งใจทำดี, ถูกแล้ว มันยังทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้ ก็จงทำดีไปเถิด, ละชั่ว แล้วก็ทำดี,  ทำดีแล้วก็อย่าบ้าดั อย่าเมาดี อย่าติดดี จึงจะเป็นพุทธศาสนา.
ฉะนั้น ผู้รู้พุทธศาสนา จึงพูดว่า ทั้งชั่ว ทั้งดี ล้วนแต่อัปรีย์ ; ฟังดูแล้วมันน่าสะดุ้ง ยิ่งเข้าใจคำว่าอัปรีย์ไม่ถูกต้องแล้ว ก็ยิ่งสะดุ้งเป็นการใหญ่ เพราะเรากำลังรักดีหลงดี บูชาดีกันอยู่, ท่านต้องการให้มองเห็นว่า ชั่วมันก็ยุ่งไปตามแบบชั่ว, ดีมันก็ยุ่งไปตามแบบดี ; ไม่ดีไม่ชั่วอยู่ตรงกลางนั่นแหละ สบายที่สุดหรือเป็นพระนิพพาน.
ความชั่วนั้นไม่ใช่ความสงบ ถูกแล้ว เห็นได้ง่าย, แต่ความดี ก็มิใช่ความสงบ เพราะมันเป็นสังขาร.  ความดัก็เป็นสังขารเท่ากับความชั่ว ; เมื่อเป็นสังขาร ก็มีการปรุงแต่ง มีสิ่งที่ปรุงแต่ง มีสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง มันก็วุ่นไปตามแบบหนึ่ง ; แม้ว่าจะตรงกันข้ามกับความชั่ว มันก็มิใช่ความสงบ มันต้องเหนือดีขึ้นไปอีกทีหนึ่ง จึงจะถึงความว่าง แล้วก็เป็นความสงบ ; ฉะนั้นจากชั่วถึงดี จากดีถึงความว่าง.

ทีนี้ ความว่างนั้นน่ารัก, ความชั่วความดีนั้นอัปรีย์ คือไม่น่ารัก.  อัปรีย์ ตัวหนังสือแปลว่า ไม่น่ารัก : อัป แปลว่า ไม่ปรีย์ แปลว่า น่ารัก, อัปรีย์ แปลว่า ไม่น่ารัก, ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่ไม่น่ารัก ไปยึดมั่นถือมั่นแล้วมันกัดเอาทั้งนั้น. นั่นแหละ ทั้งชั่วและทั้งดี อย่าไปยึดมั่นเข้า, อยู่ตรงกลางระหว่างชั่วระหว่างดี นั่นแหละไม่ถูกกัด คือไม่เป็นทุกข์.  ฉะนั้น ไม่สุขและไม่ทุกข์ดีกว่า : ทุกข์มันก็ยุ่งไปตามทุกข์, สุขมันก็บ้าไปตามสุข, มันเป็นการปรุงแต่งที่นั่งก้นไม่ติดพื้นเหมือนกัน.  ทั้งสุขทั้งทุกข์ มันก็ล้วนแต่อัปรีย์ คือมองดูแล้วมันไม่น่ารัก, มันว่างจากความสุขความทุกข์ คือความว่างนั่นแหละ.  ถ้าว่าสุขก็กระโดดโลดเต้นไปตามแบบของความสุข, ทุกข์ก็นอนร้องไห้ไปตามแบบของความทุกข์ ; ไม่สุขไม่ทุกข์นั้นคือว่าง  นั่นน่ะ คือเวลาที่เราจะเป็นสุขที่สุด.  เวลาที่เราไม่รู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เราจะรู้สึกเป็นสุขอีกชนิดหนึ่ง. สุขชนิดที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก, เป็นสุขที่ไม่ประกอบด้วยเหยื่อ เป็นนิรามีสสุข เป็นโลกุตตรสุข.
โลกุตตรสุขคือไม่สุขและไม่ทุกข์  อย่างในโลกนี้อยู่เหนือความหมายของสุขและทุกข์ชนิดในโลกนี้ ; นี่คือมัชฌิมาปฏิปทา.  อย่าไปหลงของคู่  ดี-ชั่ว แพ้-ชนะ เสียเปรียบ-ได้เปรียบ กำไร-ขาดทุน, นี้มีหลายสิบคู่นะ ซึ่งโลกมนุษย์ในโลกหลงกันจนเป็นบ้าเป็นหลัง.  ถ้าเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า มีมัชฌิมาปฏิปทา มีสัมมาทิฏฐิ ; เห็นว่า ตถตา ตถตา มึงก็อย่างนั้น กูไม่เอากับมึง, ก็เลยหลีกออกมาได้ ถอนตัวออกมาได้ เป็นความสงบสุข และอยู่ตรงกลาง เป็นมัชฌิมาปฏิปทา.
ดังนั้นคำว่า มัธยัสถ์ มันธยัสถ์ ขอให้ใช้ในขอบเขตที่กว้างขวาง, อย่าเป็นเรื่องเงินเรื่องทองอย่างเดียวเลย ให้เป็นเรื่องของธรรมะทั้งหมด.  มัธยัสถ์อยู่ตรงกลาง, อยู่ตรงกลาง  ไม่ดี-ไม่ชั่ว  ไม่สุข-ไม่ทุกข์  ไม่บุญ-ไม่บาป  ไม่แพ้-ไม่ชนะ  ไม่กำไร-ไม่ขาดทุน  ไม่เอาเปรียบ-ไม่ถุกเอาเปรียบ  ไม่อะไรทุกๆคู่ ทุกๆคู่ที่มนุษย์รู้จัก  กระทั่งว่า ไม่เป็นหญิงไม่เป็นชาย.  คิดดูเถอะ หมดความรู้สึกในความเป็นหยิงเป็นชาย มันก็ปราศจากปัยหาในชั้นลึก, บางทีก็จะเลยไปถึงว่า ไม่ใช่คนและมิใช่ไม่ใช่คน คือไม่เป็นความว่าง, เป็นความว่างนั่นสภาพเดิมแท้ คือความว่าง ; สภาพเดิมแท้เป็นความว่างถุกปรุงแต่งเป็นความวุ่น, สุดเหวี่ยงเข้ามันก็กลับเป็นความว่าง.
ฉะนั้น  ชีวิตตั้งต้นด้วยความว่าง ไม่มีตัวตน ; คลอดออกมาจากท้องแม่ มันมีตัวตนๆมีตัวตน ; แล้วมันจะดับทุกข์ได้ ก็ต้องกลับไปสู่ความว่างอีกทีหนึ่ง ; แต่เป็นความว่างที่กลับวุ่นไม่ได้.  ทีแรกมันเป็นความว่างที่วุ่นได้ ครั้นวุ่นได้แล้วก็ทำให้หายวุ่น, เป็นความว่าง เป็นพระนิพพาน ว่างอย่างธรรมชาติธรรมดาที่ยังปรุงแต่งได้ มันไม่ใช่ความว่างจริง เพราะมันว่างชนิดที่วุ่นได้ นี้ต้องอบรมจติประภัสสรชนิดนี้ยิ่งๆขึ้นๆ จนเป็นประภัสสรถาวร ก่อนนี้ประภัสสรชั่วคราว คือกลับวุ่นได้ ทีนี้อบรมๆอบรมตามหลักธรรมะ จนประภัสสรถาวรเป็นพระอรหันต์ ประภัสสรถาวรคือจิตพระอรหันต์ ประภัสสรชั่วคราว ล้มลุกคลุกคลานนั้น เป็ฌนประภัสสรของปุถุชน หรือตามธณรมชาติจิตเป็นประภัสสร ก็เรียกว่ามันตั้งต้นจาสกประภัสสร ไปสู่ความวุ่นแล้วมันก็กลับไปสู่ประภัสสรถาวร.  นี้ก็เป็นหัวใจของบพระพุทธศาสนา ที่เราจะต้องรู้จัก.
หัวใจพระพุทธศาสนา เรื่องสามัญลักษณะนี้ คนหนุ่มนักศึกษาสมัยปัจจุบันเห็นว่าเป็นของยายแก่ครึคระ ; รู้จักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นแหละ มันจะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเพื่อน, เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายกันได้.  เรามีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา บีบคั้นย่ำยีอยู่ตลอดเวลา เราเป็นเพื่อนกัน มีหัวอกเดียวกัน มีทุกข์อย่างเดียวกัน หรือสุขๆทุกข์ๆอย่างเดียวกัน, เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วก็จะเห็นอกเห็นใจกัน, กลายเป็นคนเดียวกัน จนกระทั่งว่า ชีวิตทั่งหมด ทั้งสัตว์ มนุษย์เดรัจฉาน ต้นไม้ต้นไล่ ชีวิตทั้งหมด เป็นชีวิตเดียวกัน มันก็ปลอดภัย ก็รอดตัว.
ทีนี้มาถึงคำว่า วิสังขารคตจิต, วิสังขารคตัง-จิตที่ถึงวิสังขาร จิตอบรมดีแล้ว อะไรปรุงแต่งให้เป็นอย่างไรไม่ได้ ไม่เกิดความรู้สึกเป็นชั่ว-เป็นดี เป็นบุญ-เป็นบาป เป็นสุข-เป็นทุกข์ แก่จิตนั้นอีกต่อไป.  จิตนั้นดำรงอยู่ในสภาพอะไรปรุงแต่งไม่ได้, ปรุงแต่งไม่ได้ ; อันนี้ก็คือพระนิพพานนั่นแหละ ; เมื่อถึงวิสังขารก็สัมผัสกับพระนิพพานอะไรปรุงแต่งไม่ได้.
คำว่า พระนิพพานนั้น เป็นสิ่งที่ถึงได้ สัมผัสได้ รู้ได้ ; พระพุทธเจ้าทรงยืนยันข้อนี้อย่างนักแน่นที่สุดว่า  อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ – อายตนะนั้นมีอยู่ ซึ่งท่านหมายถึงนิพพาน.  ท่านจึงตรัสว่า มันมิใช่ดิน มิใช่น้ำ มิใช่ไฟ มิใช่ลม  มิใช่อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ มิใช่การไป มิใช่การมา มิใช่การหยุด, คือมิใช่อะไรทุกอย่าง นั่นแหละคือพระนิพพาน  ที่จะลุถึงได้, สัมผัสได้ ด้วยจิตที่เป็นวิสังขารคต, ถึงแล้วซึ่งความเป็นจิตที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้ มันก็ปรุงแต่งไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ได้.  จิตชนิดนี้จะไม่มีอะไรมาโฆษณาชวนเชื่อให้หลงไปได้, และไม่มีอะไรเป็นของแปลกด้วย.  จิตที่ถึงภาวะที่ปรุงแต่งไม่ได้นี้ มันจะรู้สึกไม่มีอะไรถุกปรุงแต่ง ; ฉะนั้นการไปโลกพระจันทร์หรืออะไรน่าประหลาดน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นสักร้อยเท่าพันเท่า.  จิตนี้ก็รู้สึกว่าเป็นของเด็กเล่นอยู่นั่นแหละ, ไม่มีอะไรมายั่วให้จิตรู้สึกประหลาด หรืออัศจรรย์ใดๆได้.  นี่จิตของพระอรหันต์จะไม่มีความรู้สึกประหลาดใจอะไรได้ ; ส่วนจิตของปุถุชนนี้ แม้แต่ดาวหางฮัลเล่ย์ ก็ทำให้บ้ากันทั้งบ้านทั้งเมือง, มันปรุงแต่งได้อย่างนี้.
ฉะนั้นขอให้มุ่งหมายถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาว่า จิตอยู่ในสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้ แล้วก็เป็นนิพพานคือสภาวะที่เป็นอายตนะ.  คำว่า อายตนะ นั้นแปลว่า สิ่งที่สัมผัสได้ ; อายตนะชั้นทั่วไป คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ เป็นสิ่งที่จิตสัมผัสได้ จึงเรียกมันว่า อายตนะ 6 คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ นี้โดยพื้นฐาน.  ทีนี้อายตนะที่สัมผัสได้ดีไปกว่านั้น สูงไปกว่าระดับธรรมดาก็คือ อากาสานัญจายตนะ, วิญญานัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ, เนวสัญญานาสัญญายตนะ นี้ก็เป็นอายตนะที่สัมผัสได้ แต่เป็นสังขาร ยังเป็นสังขาร.  แล้วมีอายตนะชั้นวิสังขารคือพระนิพพาน ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ, อายตนะนั้นมีอยู่ ; ถ้าเรารู้เรื่องอายตนะอย่างถูกต้อง เราก็จะรู้จักอายตนะตามธรรมชาติ รูป เสียง กลิ่น รส โ(ฏฐัพพะ ธัมมารมณ์, นี่อายตนะชั้นที่เป็นความรู้.  การศึกษาของคนยุคหนึ่งที่เรียกว่าดีเลิศ คือ อรูปฌานทั้ง 4 ; แต่ถ้าอย่างของพระพุทธเจ้าแล้ว มีพระนิพพานอย่างเดียว เป็นอายตนะสูงสุด 101 ที่ต้องเข้าถึงให้ได้.
ฉะนั้น  ขอให้เราเข้าถึงภาวะที่จิตใจมีอะไรปรุงแต่งไม่ได้ ไม่มีอะไรน่ารัก น่าโกรธ น่าเกลียด น่ากลัว น่าวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวงเป็นต้น, ไม่มีอะไรแปลก ไม่มีอะไรน่าเกลียด ไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่มีอะไรน่ารัก ไม่มีอะไรน่าอัศจรรย์, ไม่มีอะไรน่าอัศจรรย์ แม้แต่ความรู้ความคิดเรื่องอวกาศ เรื่องปรมาณู อะไรอีกร้อยเท่าพันเท่า ก็เป็นของเด็กเล่น, ไม่น่าอัศจรรย์สำหรับบุคคล ผู้มีจิตลุถึงแล้วซึ่งวิสังขารคตะ คือ จิตถึงแล้วซึ่งวิสังขาร ; นี้เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นผลของการปฏิบัติ, ยอดสุดของหัวใจของพุทธศาสนาในชั้นที่เป็นผลของการปฏิบัติ.
เราจงรู้จัก หัวใจขั้นปริยัติ สอนเรื่องความหลุดพ้น, รู้จักหัวใจในขั้นปฏิบัติ คือ ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น, รู้จักหัวใจแห่งผลของการปฏิบัติ คือ ปฏิเวธว่าหลุดพ้นแล้ว มันเป็นเรื่องหลุดพ้นอย่างเดียว, หลุดพ้นอย่างเดียว ; ทำให้หลุดพ้นอย่างเดียว จะเป็นความรู้ก็ได้ เป็นการปฏิบัติก็ได้, เป็นผลของการปฏิบัติก็ได้, ก็เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาทั้งนั้น.
ดังนั้นขอให้มีความรู้เรื่องหัวใจของพระพุทธศาสนากันอย่างนี้ สำหรับพุทธบริษัทเราทุกคน ที่จะต้องเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ.  ส่วนศาสนาอื่น ศาสนิกของเขาก็เข้าถึงหัวใจของศาสนาของเขาไปตามเรื่องตามราว; แต่เรา พวกเราที่เป็นพุทธบริษัทนี้ ขอให้เข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา กันในลักษณะอย่างนี้เถิด, จะเป็นพุทธบริษัทเต็มตัว หรือว่าค่อยๆเต็ม ค่อยๆเต็ม ค่อยๆเต็ม จนเต็มตัว นี่ความสำคัญที่จะต้องรู้จักหัวใจแห่งพระพุทธศาสนา อาตมาจึงได้ยกเอาขึ้นมาเป็นปณิธานข้อแรก, ข้อแรกให้ทุกคนเข้าใจถึงหัวใจแห่งศาสนาของตน แล้วก็จะหมดปัญหา.
นี่  การบรรยายในวันนี้ ก็บรรยายขยายความเรื่องปณิธานข้อแรก ให้ทุกคนเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ.  หวังว่าท่านทั้งหลายที่ได้มาร่วมประชุมกัน ให้ของขวัญแก่อาตมา งดอาหารกันเสียวันหนึ่งนี้ ก็ขอให้มันรวมอยู่ในการประพฤติปฏิบัติ ที่จะเข้าถึงหัวใจแห่งพระพุทธศาสนาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น.  เห็นไหมว่า มันไม่ตายดอก, แล้วมันก็คลายความยึดมั่นถือมั่นลงไปได้ไม่น้อยเหมือนกัน คือจะไม่แยแสกับกิเลสตัรหาหรือความเคยชินของกิเลสตัณหา ; วันนี้ล้อมันเล่น ล้ออายุมันเล่นเสียด้วยการไม่กินอาหารเสียสักวันหนึ่ง.  หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้รับประโยชน์จากการกระทำบุญชนิดที่เรียกว่า ล้ออายุ ล้อเลียนอายุ ที่มันน่าล้อ ด้วยกันได้จงทุกๆคนเถิด.  จะได้มีความเจริญงอกงามก้าวหน้า ในทางแห่งพระพุทธศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดา, มีความก้าวหน้าทุกวิถีทาง มีความสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ.
ขอยุติการบรรยายภาคเช้า.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น