...เริ่มล่ะ..."ที่ดิน-คืออะไร?"...สรุปทวนว่า...
..."ที่ดิน"
หมายถึง พื้นดินบน"โลกนี้"ในตำแหน่งใดแห่งหน-ผืนหนึ่ง
และมีขอบเขต-หนึ่ง"
16)...เพราะการพัฒนา"สัญชาตญาณ"ดั้งเดิมของ
"คน"มากมายขึ้นกว่าสัตว์ทั้งหลาย...ความเป็น"ตัวกู-ของกู"จึงได้บังเกิดมากขึ้นเรื่อยมา...พอกพูนสะสมทับถมตกตะกอนอยู่ในสมองและจิต...จึงกำเนิดความเป็น
"ขอบเขต"ขึ้น...
...ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มแรกในเรื่อง
"พื้นดิน" ของโลก...เกิดการสำรวจและทำ"แผนที่ - ที่หมายจะระบุแค่ตำแหน่งแห่งหน
กับ ลักษณะ ของอะไรต่อมิอะไรบนพื้นดินของโลกนี้...ในเบืิ้องแรกนั้นแหละ...
...แต่เมื่อความเป็น"ของกู"มากมายเพิ่มขึ้น...จึงได้เกิดมี-การแบ่งแยก...มี"ขอบเขต"...มีเจ้าของที่แน่ชัดของ"พื้นดิน-โลกนี้"ขึ้น...
...จาก "ทวีป-continent...ก็มาเป็น "ประเทศ-country หรือ
"ชาติ/ประชาชาติ-nationW..."รัฐ-ชาติ"..."แผ่นดิน-land"...เช่น แผ่นดินของชาวควาาาาายยยยยย ก็เป็น kwaaaaayyyyyyy-land...อะไรแบบนี้...
...สำหรับแผ่นดินสุวรรณภูมิ-แหลมทองเรานี้...แรกเริ่มเดิมที่เริ่มมีการแสดงอำนาจความเป็นเจ้าของกัน...เป็นรัฐย่อยๆกระจัดกระจาย...แล้วก็เริ่มมีความเป็น"อาณาจักร-regime"
หรือ "ราชอาณาจักร-kingdom" ขึ้นก็คงจะเริ่มจาก..."ขอม"ที่พราหมณ์โกญทัญญะเดินทางมาจากอินเดียและต่อสู้เอาชนะนางนาคแล้วได้มาเป็นเมียแถวบริเวณกัมพุชโน่น...ก็เลยตั้งอาณาจักรของตนขึ้นตามหลักศาสนาพราหมณ์-ฮินดู...นำเอาวัฒนธณรมการปกครองของตนมาใช้ปกครอง-"พื้นที่"...และเริ่มขยายอำนาจเข้าไปครอบครองชุมชน/รัฐต่างๆของผู้อื่น....ที่สู้ไม่ได้...การติดต่อค้าขายจากนอกทวีป...ข้ามน้ำข้ามทะเลมา...ไม่ว่าอินเดีย/โรมัน/เปอร์เซีย/จีน...ทำให้เกิดอารยะความเจริญ...และความเป็นเมือง...มีการรุกรานต่อสู้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ...เพื่อแสดงขอบเขตกดารปกครอง....และอำนาจที่จะได้ครอบครอง"พื้นดิน"และทรัพยากรนั้น...และครอบครองผลผลิตของผู้คนที่อ่อนแอกว่า...หุหุหุ...
...เดิมที...อาณาจักรสุโขทัย
- ที่กลุ่มชาวไทพวกหนึ่งต่อสู้เอาชนะการปกครองของ"ขอม"ได้นั้น...ปกครองแบบพ่อ-ลูก...หัวหน้า"รัฐ"ใช้คำว่า
"พ่อขุน"...ยังไม่ได้นำเอาระบบเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน-เทวดาลงมาเกิดเป็นพระราชา-อย่างคติฮินดู-พราหมณ์
มาใช้นะ...เราใช้คำว่า"อาณาจักรสุโขทัย"...ไม่ใช่..."ราชอาณาจักรสุโขทัย"...และนับถือพุทธเถรวาท-ตามคัมภีร์เดิม...ไม่ใช่มหายานที่มีพระโพธิสัตว์มีเทพเทวา...แต่อย่างไรก็ตาม....เมื่อนานๆเข้า...อารยะธรรมที่สร้างกิเลสก็ค่อยๆครอบงำเรื่อยๆ...มหายานที่ตรงกับใจ"คน"ที่มากกิเลสเลยเจริญเติบโต...จาก
"พ่อ" ก็เลยกลายเป็น"พระยา"-หรือ "พญา"...และมาเจริญเบิกบานกับกรุงศรีอยุธยา....ที่ใกล้ชิดกับขอม-ละโว้มานานกว่า...จาก"พ่อ"
ก็เลยกลายมาเป็น
"พระเจ้า"...และนั่นเองที่...คำว่า..."พระเจ้าแผ่นดิน"ก็มีปรากฏชัดเจนขึ้นในความหมาย...
..."รช" หรือ
"ราชา" ในความหมายเดิมของชนอายัน-อินเดีย...หมายถึง
ผู้ที่ทำให้เกิดความชอบธรรม-ผู้ที่ผู้คน "ชอบ" - เชื่อถือ...ให้มาเป็น...ผู้ตัดสินความ...มาแก้ปัญหาของการอยู่ร่วมกัน...มาตรากฏกติกา-กฎหมาย...เพื่อให้ผู้คนอยู่ร่วมกันเป็น"อาณาจักร"
อย่างสันติสุข...กรุงศรีอยุธยา - จึงกลายเป็น"ราชอาณาจักร"
ขึ้นมาแทนที่"อาณาจักร"...
....การอยู่ร่วมกันหลายและหลากผู้คนนั้น...จำเป็นต้องมีกติกาของการอยู่ร่วมกัน...กติกาที่ว่านี้ก็คือ
"การเมือง-politics"...วิธีการที่จะธำรงกติกานั้นและมีผู้ตัดสินความ...มากำหนดแบ่งปันทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกัน...มาปกป้องการรุกรานจากพวก"รัฐ"อื่น...ก็คือ
"การปกครอง"...ที่กำหนดรูปแบบไว้ใน"การเมือง"ดังกล่าว...ผู้คนเมื่ออยู่ร่วมกันหลากและหลายนี้...จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ในหลักหรือเหตุปัจจัยหลักที่ต้องบริหารจัดการกันคือ...การเมือง/เศรษฐกิจ/สังคม...ทั้งหลายทั้งปวงต่างก็ต้องมี"กติกา"กำหนดตกลงกันไว้ให้ชัดเจน...ดังเช่น
"รัฐ-ธรรม-นูญ"นี้แล...
...ดังนั้นในแรกเริ่มเดิมที...แผ่นดิน-หรือ"พื้นดิน"
ของ "อาณาจักร"นี้...ถือวง่าเป็น -
ทรัพย์สินส่วนรวม"...มีหัวหน้า/พ่อขุน/พระราชา...เป็นผู้บริหารจัดการ/ปกครอง/ดูแล...ให้เป็นไปอย่างสันติสุข/เป็น
"ธรรม"...แต่เมื่อเป็นราชอาณาจักร - ผู้ปกครองสืบเชื้อสายมาจากเทพเทวดา...เป็นกษัตริย์/เป็นพระเจ้าแผ่นดิน...แผ่นดิน
หรือ"พื้นดิน" ของ"ราชอาณาจักร" จึงถือว่าเป็นของ
"พระเจ้า-แผ่นดิน"...ที่จะจัดสรรแบ่งปันลงมาให้ผู้คนได้ใช้สอยถือครองในการทำประโยชน์...และจะเอากลับคืนไปอีกก็ได้-ตามกฏกติกา...ที่ร่วมตั้งกันเอาไว้...พระเจ้าแผ่นดินเองก็ต้องทำหน้าที่
- อยู่ใน"ทศพิธราชธรรม"...ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินก็ต้องทำหน้าที่ตามกำหนดกันไว้ในแต่ละเรื่องไป...
...กฏกติกา/กฎหมายเกี่ยวกับเรื่อง"ที่ดิน"นี้มีมาตั้งแต่สมับอาณาจักรสุโขทัย-ปรากฏในศิลาจารึกเลยนะครับ...และพัฒนาเติบโตต่อเนื่องเปลี่ยนแปลงกันสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้...
...เอาละ...ตอนต่อไป -
จะกระโดดข้ามเวลา 700 ปีมายุคสมัยประชาธิป-ตาย-แบบ-ควาาาายบยยยยยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆกันในปัจจุบันนี้เลย...ดีกว่าเน๊าะ...
...มีต่อข้อ 17)
ข้างบนนี้...ไปเรื่อยๆจนกว่าบอลเอเชียนเกมส์จะเริ่มถ่ายทอด...ฟังเพลงสลับกันก่อนนะ...
......"ที่ดิน"
หมายถึง พื้นดินบน"โลกนี้"ในตำแหน่งใดแห่งหน-ผืนหนึ่ง
และมีขอบเขต-หนึ่ง"
17) ปัจจุบันนี้...ประเทศนี้...สามารถแบ่งประเภทของ"ที่ดิน"
ออกตามลักษณะการถือครอง ...ตาม "ตัวกู-ของกู" ได้ 2 ประเภทใหญ่ได้...คือ
...ก.
"ที่ดิน" ของรัฐ และ"ที่ดิน" ของเอกชน - หรือของปัจเจกชน...:-
จากบทความ "การบริหารจัดการที่ดินของรัฐ" โดย ชัชวาลย์ สมจิตร...http://slbkb.psu.ac.th/jspui/bitstream/2558/2235/1/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90..pdf
...มีข้อ 17) -ต่อ...ที่ข้างบนนี้อีก...ถ้าใครอยากอ่านแบบสรุป...
17) - ต่อ...จากบทความดังกล่าว...
ก.ที่ดินของรัฐ นั้น ได้แก่
ที่ดินที่รัฐเป็นเจ้าของ ซึ่งมีหลายประเภท
แต่ละประเภทก็จะมีกฎหมายเฉพาะให้อำนาจในการดูแลรักษา
เช่น
๑) ที่ป่าไม้
เป็นไปตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗มีกรมป่าไม้ เป็นผู้มีอำนาจดูแล
๒) อุทยานแห่งชาติ
เป็นไปตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.
๒๕๐๔มีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า
และพันธุ์พืช เป็นผู้มีอำนาจดูแล
๓) ที่แม่น้ า
เป็นไปตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ าไทย พ.ศ.
๒๕๔๖มีกรมขนส่งทางน้ าและพาณิชย์นาวี
เป็นผู้มีอำนาจดูแล
๔) ที่ทางหลวง
เป็นไปตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.๒๕๓๕
มีกรมทางหลวง เป็นผู้มีอำนาจดูแล
ที่ดินของรัฐ
๕) ที่ราชพัสดุ
เป็นไปตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.๒๕๑๘
มีกรมธนารักษ์ เป็นผู้มีอำนาจดูแล
๖)ที่ ส.ป.ก.
เป็นไปตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.๒๕๑๘มี ส.ป.ก.
เป็นผู้มีอำนาจดูแล
๗)ที่นิคมสร้างตนเองเป็นไปตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ
พ.ศ.๒๕๑๑มีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นผู้มีอ านาจดูแล
๘)ที่สาธารณประโยชน์
เป็นไปตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่
พ.ศ.๒๔๕๗ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้อ
งที่ ฉบับที่ ๑๑(พ.ศ.๒๕๕๑)
มีนายอ
าเภอร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้มีอำนาจดูแล
๙) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า
เป็นไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน โดยมีกระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เป็นผู้มีอำนาจดูแล
เป็นต้น
...แค่ 9 ชนิดของ"ที่ดิน-ของรัฐ"นี่ก็แทบจะอ้วกแล้วนะครับ...
...ที่สำคัญ...บางชนิดมีโฉนด/นส.3
- หรือเอกสารที่ออกให้โดย
กรมที่ดิน...บางชนิดก็มีเอกสานของหน่วยงานที่กำกับดูแลออกเอง...หุหุหุ
...เด่วต่อ ข้อ 18)
เรื่องที่ดินของเอกชนกันบ้าง...ที่ข้างบนนี้...ฟังเพลงซะก่อนด้วยนะ...ส่วนใครมีอาการคลื่นเหียนมวนในท้อง
(ลาวเรียก-สวอย...อ่านว่า สะ-หว็อย)...มึนงงศีรษะก็จงพักการอ่านในทันที...แล้วรีบปรึกษาพระเจ้าอริยะสงฆ์ทั้งหลายเลยนะครับ...หุหุหุ
18)...จากบทความเดียวกันของท่านชัชวาลย์ สมจิตต์
"การบริหารจัดการที่ดินของรัฐ"...
ที่ดินของเอกชน นั้น ได้แก่
...ที่ดินที่ประชาชนมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย
และทางราชการออกเอกสารสิทธิให้ตามประมวลกฎหมายที่ดิ
นในรูปของโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส.๓
, น.ส.๓ก)...
...ทีนี้ก็...เอกสารสิทธิหรือหนังสือรับรแงการทำประโยชน์....ที่
กรมที่ดินออกให้นั้น มีอะไๆรมั่ง?...ว่ากันต่อไปซะเลยนะครับ...บอลจะมาแหล่ววว...จากเว็บของ
กรมที่ดิน...http://www.dol.go.th/Pages/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99.aspx
...มีข้อ 18) - ต่อ....ที่ข้างบนนี้อีกนะ...
18) - ต่อ...เผื่อใครเปิดเว็บ
กรมที่ดิน อันนั้นไม่สะดวก...ก็สรุปได้ดังนี้...
...เอกสารสิทธิเกี่ยวกับ"ที่ดิน"
...ที่สำคัญๆมีดังนี้...
- สค.๑ คือ
ใบแจ้งการครอบครองที่ดิน...(ปัจจุบันได้ยกเลิก -
ไม่มีการออกให้ใหม่อีกแล้ว....ยกเว้นทุจริต....ปลอมแปลงเอกสาร...)
ที่มีอยู่นั้นคือ ของเดิมที่ยังไม่ได้รับการออก-โฉนด/น.ส.๓/น.ส.๓ ก.
ให้...(อันนี้แหละที่เอาไปบิน-โกงกันจนพุงปลิ้น)...คือมาจนยุคดิจิตอล 4.0 ควาาาายยยยๆๆๆๆๆๆๆอะไำรนี้แล้ว...กรมที่ดิน
ยังออกเอกสารสิทธิ...โฉนด/น.ส.๓/น.ส.๓ก.
ให้ได้ไม่หมดไม่สิ้นสักที...ไม่รุ๊ว่าไปเอาที่ดินจากไหนมาเพิ่มให้ขวานผุนี้ด้วยรึเปล่า?...อิอิอิ...เด่วเอาเอกสารมาต่อเรียงกันแล้ว-มันกลายเป็นเรือดำน้ำ-ไม่ใช่ขวานผุๆซะล่ะมั๊ง...เน๊าะ?...
- น.ส.๒...(น.ส.๑ -
คืออะไร? อย่าถามนะ....) คือ ใบจอง...ใบจอง
คือหนังสือที่ทางราชการออกให้เพื่อเป็นการแสดงความยินยอมให้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเป็นการชั่วคราว
ซึ่งใบจองนี้จะออกให้แก่ราษฎรที่ทางราชการได้จัดที่ดินให้ทำกินตามประมวลกฎหมายที่ดิน
ซึ่งทางราชการจะมีประกาศเปิดโอกาสให้จับจองเป็นคราว ๆ
ในแต่ละท้องที่และผู้ต้องการจับจองควรคอยฟังข่าวของทางราชการ...แหะแหะแหะ...อ่านเอาเอง...ไม่รุ๊จะสรุปยกตัวอย่างยังไง...ไปถามนายกฯตู่เอาเองเหอะ..เปิดให้ต่างชาติจองได้รึยังก็ไม่รุ๊?
เห็นโฆษณาไปทั่วโลกแหล่ววว...อิอิอิ
- น.ส.๓ และ น.ส.๓ ก.
และ น.ส.๓ ข. คือ หนังสือรับรองการทำประโยชน์... หนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส.๓ น.ส.๓ ก. และ น.ส.๓ ข) หมายความว่าหนังสือรับรองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าได้ทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว
- น.ส. ๓
ออกให้แก่ผู้ครอบครองที่ดินทั่ว ๆ ไป ในพื้นที่ที่ไม่มีระวาง
มีลักษณะเป็นแผนที่รูปลอย ไม่มีการกำหนดตำแหน่งที่ดินแน่นอน
หรือออกในท้องที่ที่ไม่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศ ซึ่งรัฐมนตรียังไม่ได้ประกาศยกเลิกอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายที่ดินของหัวหน้าเขต
นายอำเภอ หรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ (นายอำเภอท้องที่เป็นผู้ออก)
- น.ส. ๓ ก.
ออกในท้องที่ที่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศ
โดยมีการกำหนดตำแหน่งที่ดินในระวางรูปถ่ายทางอากาศ (นายอำเภอท้องที่เป็นผู้ออกให้)
- น.ส. ๓ ข.
ออกในท้องที่ที่ไม่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศ
และรัฐมนตรีได้ประกาศยกเลิกอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายที่ดินของหัวหน้าเขต
นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอแล้ว (เจ้าพนักงานที่ดิน
เป็นผู้ออก)
- น.ส. ๕
(อย่าถามนะจ้ะว่า...น.ส.๔ หายไปไหน?) คือ ใบไต่สวน
...ใบไต่สวน
คือหนังสือแสดงการสอบสวนเพื่อออกโฉนดที่ดินเป็นหนังสือแสดงให้ทราบว่าได้มีการสอบสวนสิทธิในที่ดินแล้ว
สามารถจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ ใบไต่สวนไม่ใช่หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์
แต่สามารถจดทะเบียนโอนให้กันได้
ถ้าที่ดินมีใบไต่สวนและมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แสดงว่าที่ดินนั้นนายอำเภอได้รับรองการทำประโยชน์แล้ว
เมื่อจดทะเบียนโอนจะต้องจดทะเบียนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก่อน
แล้วจึงมาจดแจ้งหลังใบไต่สวน แต่ถ้าใบไต่สวนมีแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑)
หรือไม่มีหลักฐานที่ดินใด ๆ และเป็นที่ดินที่นายอำเภอยังไม่รับรองการทำประโยชน์
จะจดทะเบียนโอนกันไม่ได้
เว้นแต่เป็นการจดทะเบียนโอนมรดก...หุหุหุ-หะหะหะ...อ่านไม่รุ๊เรื่องหรอก -
เชื่อดิ่...ใครสวอยในท้องในไส้แล้วตอนนี้-รียบไปหาหมอเร็ววววว...
- แต่-แล๊นนนนนน...โฉนดที่ดิน...คือ
คือหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ซึ่งออกให้ตามประมวลกฎหมายที่ดินปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังรวมถึงโฉนดแผนที่ โฉนดตราจอง และตราจองที่ว่า
"ได้ทำประโยชน์แล้ว" ซึ่งออกให้ตามกฎหมายเก่า
แต่ก็ถือว่ามีกรรมสิทธิ์เช่นกัน
ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน ถือว่ามีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นอย่างสมบูรณ์เช่น
มีสิทธิใช้ประโยชน์จากที่ดิน มีสิทธิจำหน่าย
มีสิทธิขัดขวางไม่ให้ผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย...ฯลฯ..เครื่องหมายไปยาลใหญ่นี้แปลว่า...ไปอ่านต่อเอาเอง...จากเว็บของ
กรมที่ดิน อันนี้นะ...ขอตัวไปอ้วก-แล้วก็ไปรอดูบอลเอเชียนเกมส์ ไทย เจอ กาต้าร์
ก่อน...ว่างๆจะมาวิสัชนากันใหม่อีกในเรื่อง..."ที่ดิน"....
เอาเรื่อง - ที่ดินของ เจ้าอาวาส - กะ
ของวัด ด้วยดีมั๊ย?...หุหุหุ
...ว่ากันต่อ -
"ที่ดิน-คืออะไร?"...
19) ......"ที่ดิน"
หมายถึง พื้นดินบน"โลกนี้"ในตำแหน่งใดแห่งหน-ผืนหนึ่ง
และมีขอบเขต-หนึ่ง"...
ทีนี้ก็ย้อนกลับมาอธิบายบางประเด็นของ - ความเป็น/หน้าตา - ของแผนที่ ที่เราจะเจอกันบ่อยๆขึ้น...เพราะความนิยมเห่อตามกันจะให้ทันยุคสมัยดิจิตอล-ดิจิต่อน...
- GPS...กับ GIS...คืออะไร?
...อย่างแรกที่กำลังนิยมพล่อยปากอ้างกันนักหนา...ก็คือ
GPS...มาจากคำอังกฤษว่า Global Positioning System...แปลว่า ระบบกำหนดตำแหน่งบนพื้นโลกผ่านดาวเทียม...คือค่าพิกัด(co-ordinate)
ดังที่เคยว่าไว้ในintro ข้อ1) -15) อ่ะแหละ...จำไม่ได้แล้วว่าข้อไหน...
...อย่างที่สอง...ซึ่งส่วนใหญ่นักวิเคราะห์ข้อมูลกายภาพจะรู้จักกันดี...GIS มาจากคำอังกฤษ Geographic
Information System...คือ
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์....หุหุหุ...แล้วที่ว่า-สารสนเทศภูมิศาสตร์คืออะไร?
- ก็เข้าไปอ่านเอาเอง....จากอันนี้ที่กระผมยกเอาอ้างอิงนะครับ...http://www.ubu.ac.th/blog/wichit-95...เด่วไปว่ากันต่อข้อ 19) - ตือ...อีกข้างบนนี้...
19) - ต่อ....เรื่องของ
"ที่ดิน-คืออะไร?"
...ค่าพิกัด(co-ordinate)ที่ระบุด้วยระบบดาวเทียมเนี่ยะ - ย่อมมีความชัดเจนและรวดเร็วกว่าสมัยก่อนที่ระบุกันไว้ด้วยกระดาษ...ต้องกดเครื่องคิดเลขคำนวณระยะกันเอาเอง...ซึ่งยุ่งยากและมีการคลาดเคลื่อนสูง...ก็เพราะโลกนี้มีลักษณะกลมแป้นอ่ะแหละ...พอมีคอมพิวเตอร์ช่วยคิดร่วมกับดาวเทียมที่โคจรไปรอบโลกๆ
- อะไรต่อมิอะไรก็เลยมอง"เห็น"ได้ชัดเจน-ไวขึ้น...
...แต่ก็ต้องย้อนกลับไปดู"แผนที่"แบบ
2 มิติกันให้ได้ซะก่อน...ให้เข้าใจกันซะก่อน...ถึงจะเข้าใจถึงความเป็น"แผนที่-ดาวเทียม"
หรือ แผนที่ใดๆในเรื่องอะไรๆที่มีอยู่ในโลกนี้ได้...
...อย่างแรก -
แผนที่พื้นฐาน...base map สำหรับผู้ที่ทำงานด้านกายภาพ(physical)ทั้งหลายไม่ว่าจะ วางผัง หรือ ออกแบบ
หรือกำหนดยุทธศาสตร์ให้ควาาาาาาาายยยยยยยเดิน
....หรือจะขายแผ่นดินให้ต่างชาติ...คือ แผนที่ภูมิประเทศ - topographic
map...และในแต่ละแผนที่ที่ว่า...จะมีองค์ประกอบ/ข้อมูลพื้นฐาน -
สัญลักษณ์ปรากฏให้เข้าใจสภาวะได้...หลักคือ...ดูภาพประกอบซะก่อน...อันนี้เค้าเรียกกันง่ายๆว่า...แผนที่
1:50,000 ของกรมแผนที่ทหาร...
...มี ข้อ 20) อธิบายกันต่ออีกนิดที่แปะข้างบนต่อจากอันนี้นะครับ...
20) ..."ที่ดิน -
คืออะไร?"...ต่อไป
...คำว่า แผนที่ 1:50,000
นั้นหมายถึงว่า...แผนที่(บนกระดาษ)นี้
เป็นการย่อสัดส่วนจากของจริงลงมา 50,000 เท่า...เพราะขืนเอาขนาดเท่าของจริงมาเขียนก็-คลุ้มคลั่งฆ่าใครๆตายกันไปก่อนเสร็จแหละ...แบบตุ๊กตาของเด่ะๆเล่นอ่ะแหละ
- ขืนทำเท่าขนาดของจริงมาเล่น -
ใครจะไปซื้อให้ลุกล่ะ...เอาละ...แผนที่มีหลายขนาด...ถ้าจะดูพื้นที่เพื่อออกแบบสิ่งก่อสร้างล่ะก็
- ได้ซัก 1: 1,000 ก็พอไหวแหละ...
...1 : 50,000 แปลว่า...ระยะในแผนที่กระดาษนี้วัดได้
1 ซม.(เซนติเมตร) จะเท่ากับของจริงบนพื้นผิวโลกตรงนั้น 50,000ซม. หรือ 0.5 กม.(กิโลเมตร)...ถ้า 1:1,000 ก็แปลว่า...วัดในแผนที่ 1 ซม.จะเท่ากับระยะจริงบนพื้นโลกตรงนั้น
1,000 ซม. หรือ 10.00 ม.(เมตร)
...ทีนี้...เราก็จะเห็นเส้นตั้งกะเส้นนอนเป็นตาตารางอยู่ทั้งหน้าแผนที่
- มีตัวเลขกำกับ...นั่นแหละ...คือ เส้นรุ้ง(latitude) กับเส้นแวง
(longitude) ...แต่ระยะที่ห่างกันของเส้นรุ้งแต่ละเส้น
หรือเส้นแวงแต่ละเส้น...ที่เห็นในแผนที่นั่นน่ะ...ไม่ใช่ห่างกัน 1 ํ ( 1 องศา) นะ...แต่ห่างกัน 1 กิโลเมตร...ทำไมต้องทำยังงี้ก็ไม่อยากจะรู้ด้วยหรอก...เพราะฉะนั้น -
ตัวเลขที่บอกกำกับไว้น่ะ-เป็นเส้นรุ้ง/เส้นแวง
ที่เท่าไรของโลก...ซึ่งจะเขียนยังงี้เหมือนกันทั้งโลกอ่ะแหละ...
...และโดยที่
โลกมันกลมแป้นอ่ะดิ่-เค้าถึงเขียนภาพเส้นรุ้ง/เส้นแวง-มาลงบนกระดาษแบบ 2 มิติลำบาก...คือเส้นมันจะเป็นตาตารางเบี้ยว-ระยะแต่ละช่องจะไม่เท่ากัน...มั๊ง?...
...เอายังงี้...เส้นรุ้ง(latitude)มี 180 เส้น-ห่างกัน 1 ํ(1
องศา)...บนผิวโลกแต่ละตำแหน่ง-ระยะทางตามความโค้งของผิวโลก-จะไม่เท่ากันในแต่ละช่วง"องศา"...เอาว่าค่าโดยประมาณคือ
1 องศา จะเป็นระยะทางประมาณ 110 กม.
...ส่วนเส้นแวง(longitude)
มี 360 เส้น ระยะห่างกัน 1 ํ (1 องศา) จะประมาณ 111 กม.
ไปถึง 0 กม....ไม่รุ้เรื่องใช่มั๊ย?...ก็ตรงขั้วโลกอ่ะแหละ...
....ย้ำ...ที่ระยะความโค้งของค่ารุ้ง/แวง
เปลี่ยนไปในแต่ละองศาของเส้นรุ้ง(เส้นนอน - latitude) ก็เพราะ
-
โลกมันกลม-แบบแป้นๆ...ไงล่ะ...ไม่ใช่กลมดิีกเป็นลูกฟุตบอล...เอายังงี้...ถ้าอยากเข้าใจแบบละเอียดและคำนวณระยะเป๊ะๆกันออกมาได้ก็เข้าไปอ่านในเว็บนี้เอง...นะ...http://na5cent.blogspot.com/2011/07/gps-2-javascript.html
...เด่วมีต่อข้อ 21)
ข้างบนนี้อีก...
21) ทีนี้ก็มาถึง...เส้น
contour -แสดงความสูงต่ำของพื้นดิน...คือเส้นยึกยือที่ปรากฏอยู่ในแผนที่
-และมีตัวเลขกำกับอยู่ในเส้นนั้นด้วยอ่ะแหละ...ตัวเลขนั้นแสดงค่าความสูงของพื้นดินแนวตามเส้นนั้นว่า...สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเป็น
- เท่าไหร่?...(ย้อนกลับไปอ่านเรื่อง -
ระดับน้ำทะเลปานกลางเอาเองนะ...)...บอกค่าเป็น "เมตร"...
...ทีนี้...เพราะลักษณะของเส้นcontourนี้เองที่เราสามารถวิเคราะห์ความลาดชัน(slope)/หรือความเอียงของพื้นที่ตรงนั้นได้...เช่น...ยิ่งมีเส้นcontour
ใกล้ชิดกันมากๆหลายเส้นเต็มไปหมด...แปลว่า พื้นที่แถวนั้นชันมาก
เป็นเขาเป็นเนินเขา...เพราะ...ถ้าเราเอาไม้บรรทัดวัดระยะห่างระหว่างเส้นcontour
2 เส้น....สมมติว่าได้ 10 เมตร(อย่าลืมเรื่อง
มาตราส่วน)...ตัวเลขกำกับเส้นcontourต่างกันเป็น 10 เมตรเช่นกัน...ก็แสดงว่าพื้นที่ตรงนั้นลาดชันถึง 45
ํ....ใครเรียนตกวิชาเรขาคณิตสมัยเด้กๆก้ไปถามลูกๆซะ...ถ้าถามลูกๆแล้วเค้าตอบไม่ได้ว่าทำไม?...ก้จงจัดชุมนุม-ไล่
รมต.กระทรวงศึกษาปากกว้างๆนั่นไปวะทีเหอะ...ไล่นายกฯตู่ไปด้วยกะได้...มีอย่างที่ไหน
- ตั้งเลขาฯฟอกเงินมาไม่ถึง 3 เดือน -
ดันสั่งปลดเค้าซะแล้วด้วย ม.44...แล้วอีตอนตั้งเนี่ยะ-ไม่ถามไถ่ตรวจสอบกันก่อนมั่งรึ
- ใน ครม. น่ะ...แถมยังมีหน้าไปทูลเกล้าฯในหลวงอีก...บ้านเมือง/แผ่นดินนะครับ - จะมาเล่นแคะขนมครกกันไม่ได้หรอก-คุณพี่....ถ้าปลดเค้าออกกันทุก
3 เดือน...แล้วควาาาาายยยยยที่ไหนมันจะไปทำงานอะไรได้ล่ะจ๊ะ?....เน๊อะพี่เน๊อะ...ทำไมไม่ตกลงกันให้ดีซะแต่แรกล่ะ-ว่าจะ"ฟอกเงิน"กันวิธีไหนดี?...เน๊อะพี่...
...เอ้าดูรูปประกอบ -
เส้น contourในแผนที่ภูมิประเทศกันซะ...กระผมเอามาจากเว็บอธิบายการอ่านแผนที่อันนี้นะครับ
...ขอทำงานต่ออีกแป๊บนึงก่อนไปซื้อหวย...
..."ที่ดิน -
คืออะไร?" ภาค 2 ตอน-ของประเทศนี้แหละ...
22) ......"ที่ดิน"
หมายถึง พื้นดินบน"โลกนี้"ในตำแหน่งใดแห่งหน-ผืนหนึ่ง
และมีขอบเขต-หนึ่ง"...
...ย้อนกลับไปหา...."ที่ดินของรัฐ"
กันอีกที...ถึงแม้จะเป็นที่ดินของทางราชการก็ตาม...แต่ราชการก็ร้ายกาจมาก-สำหรับประเทสศรีธนญชัยที่ผ่าท้องน้องเอาไส้มาล้าง
- แล้วยังเป็นพระเอกได้อีก...
...คือ"รัฐ"
- ก็มีอำนาจอนุญาตให้เอกชนเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ในแต่ละประเภท...ตามที่มี
พรบ./กฎหมายกำกับอำนาจนั้นเอาไว้...หุหุหุ...แต่กระผมยังไม่ได้เข้าไปเปิดดูนะ -
ว่าที่ดินทหารเนี่ยะ...อนุญาตให้เอกชนเข้าไปสร้างโรงเผาขยะไฟฟ้า-เอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์แสวงหาประโยชน์กันพุงปลิ้น...ได้รึไม่-ตามกฎหมายปกติ...?...คือประเทศ ??????(คำนั้นอ่ะแหละ)ๆๆๆนี้ -
เค้ามีกฎหมายแบบไม่ปกติ...ด้วยแหละ....เน๊าะ...
....เอาละ...มาดูกันว่า
-ที่ดินของรัฐ - ดังที่ได้เคยอธิบายไว้ในข้อ 18)...ข้อมูลจากกรมวิชาการเกษตร...เว็บอันนี้นะ...http://www.doa.go.th/psco/files/gap2.pdf
...เด่วมีอธิบายบางอันในข้อ
23) ต่อไปนะครับ
23) ...เอกสารสิทธิ ที่ราชการให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐเนี่ยะ...มี
2 อันที่โด่งดังมาก...และชาวบ้านเจอแล้วสงสัยอันอยู่เรื่อย...คือชาวบ้านจริงๆน่ะเค้าไม่สงสัยอะไรหรอก
- เจ้าหน้าที่เค้าลงไปชี้แจง/ประชาสัมพันธ์/อบรมกันตั้งแต่ปู่ย่า -
ลงไปถึงลูกๆหลานๆกันทุกปี...ไม่เชื่อก็ไปแอบดูงบประมาณที่หน่วยงานเค้าตั้งขึ้นไว้เบิกตังค์ไปทำงานเรื่องนี้กันดูดิ่...ก็มีแต"ชาว-ไม่บ้าน"...คือ
"ชาว-เมือง"อ่ะแหละที่สงสัย...เพราะเสือกอยากได้"ที่ดิน"ของ
"ชาว-บ้าน"เค้าขึ้นมาเพื่อแสวงสุขตามกิเลสตัณหาของคนมีตังค์...แต่ให้ไปอยู่จริงๆเลยไม่ให้ออกจาก"ที่ดิน"ตรงนั้นสัก
5 ปี -
เหมือน"ชาวบ้าน"เค้า....ก็ไม่เอาหรอกนะ...บางคนไปแอบซื้อต่อจากชาวบ้านกันเปรอะเลอะสร้างคฤหาสน์/คอนโด่/รีสอร์ท/จัดสวน
- ที่ดิน 20 ไร่...ปผีนึงจะไปใช้เสวยสุขสัก 3 - 4 หน....แต่ชาวบ้านแถวนั้นไม่มีที่ดินจะอยู่อาศัยจะทำกิน-ลงทะเบียนรอให้รัฐบาล????????(คำนั้นแหละ)ๆๆๆๆทั้งหลายจัดแบ่งปันมามั่งกันเป็นหมืานเป็นแสนครัวเรือน...นั่งอดอยากอาศัยแผ่นดินเค้าอยู่ไปวันๆ...ตลอดปีตลอดชาติ...หุหุหุ...บอกให้ตั้งข้อยเป็นนายกรัฐมนตรี-ก็ไม่เอาไม่เชื่อ....แห่เชียร์?????(คำนั้นแหละ)กันอยู่ได้ - สมน้ำหน้าแหละ...
...เอกสารสิทธิอันแรก...คือของ
กรมป่าม๊าาายยยยยยย - อุ๊ย...กรมป่าไม้...เรียกว่า...สทก. มี 3 ระดับ...คือ
- สทก. ๑
...ยกแรก...คือ
หนังสืออนุญาตให้ทำประโยชน์และอยู่อาศัยภายในเขตปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติ...เป็นการอนุญาตครั้งแรก
- มีอายุ 5 ปี - เนื้อที่ไม่เกิน 20 ไร่...
- สทก.๒...ยก 2 คือ
หนังสืออนุญาตให้ทำประโยชน์และอยู่อาศัยภายในเขตปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติ...ให้กับผู้ที่ได้
สทก.๑ ไปแล้ว - คือต่ออายุให้อีก 5 ปี
ถ้ามีความประพฤติดี...มีอายุอีก 5 ปี-ไม่เกิน 20 ไร่ เช่นเดียวกัน...
- สทก ๑ ข....ยก 3...คือหนังสืออนุญาตให้ทำการปลูกป่าหรือไม้ยืนต้นในเขตปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติ...สำหรับผู้ที่ได้รับ
สทก.๑ และ สทก.๒...แต่อยากทำอะไรมากกว่า 20 ไร่ที่ได้รับ...ส่วนที่เกินเนี่ยะ
- ก้ให้ปลูกไม้ยืนต้น/ป่า...ได้ว่างั้น...ให้ได้อีกไม่เกิน 34 ไร่(แหะแหะแหะ-ไม่รุ๊ว่าไปเอาขนาดพื้นที่ตัวเลขนี้มาจากไหน?)...อนุญาตได้ไม่เกิน 10 ปี...เสียค่าธรรมเนียมไร่ละ 20
บาท - และต้องปลูกไม้ยืนต้นไร่ละ 25 ต้นด้วย...ครบอายุ
10 ปีก็สามารถต่ออายุได้...
...ข้อสังเกต :
ราชการท่านใช้คำว่า - เขต "ปรับปรุง" ป่าสงวนแห่งชาติ นะครับ...ไม่ใช่
"เขตป่าสงวนแห่งชาติ"...คือไม่ใช่ไปอนุญาตได้มั่วซั่วทั่วไปทั้งเขตป่าสงวนฯ...
...ข้อสงสัย...ถ้า
สทก.๒ ครบอายุ 5 ปี เนี่ยะ - ต่ออายุได้หรือไม่ได้?
...และการขออนุญาตแบบมีการได้ประโยชน์ของชาวบ้านเนี่ยะ - ไม่ทราบว่า
ทางราชการจะ"ได้ประโยชน์"โดยข้าราชการผู้อนุญาตนั้น - ตามปกติหรือไม่?...หุหุหุ-หะหะหะ...
...เด่วมีต่อข้อ 24)...เรื่องของเอกสารสิทธิ สปก.4-01 อันโด่งดังที่มี -
ผู้จิตใจรักชาติรักแผ่นดินที่ตอนนี้กำลังเดินหน้าปฏิรูปประเทศ...เคยเอาที่ดิน สปก.
ไปแจกเศรษฐีภูเก็ตกันนั่นแหละ...ประกาศลั่นกลางพิธีกรรมเลยนะ...ใครอยากได้แบบนี้อีก
- ก็ให้เลือกพรรคแมงสาป...หุหุหุ...รอแป๊บขอตัวไปซื้อหวยก่อน...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น