หน้าเว็บ

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ที่ดิน - คืออะไร?_1) -15)



1)..."ที่ดิน - คืออะไร?"...


คำว่า"ที่ดิน-land"นั้น...
ในภาษาไทยแปลเป็นไทยออกมาได้(ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานฯ)ว่า...เป็นคำนาม: ผืนแผ่นดิน หรือพื้นดิน
ทีนี้...ตามกฎหมาย คือ ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 (ของประเทศ????????-คำนั้นแหละ-นี้) ให้ความหมายไว้ที่ มาตรา1 ว่า...ที่ดิน หมายถึง "พื้นที่ดินทั่วไป และให้หมายความรวมถึงภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ลำน้ำ ทะเลสาบ เกาะ และที่ชายทะเลด้วย" ...คือแปลว่า...บึง หรือ ทะเลสาบ อะไรนี่ก็นับว่าเป็น"ที่ดิน"ได้ - ชายทะเลก็ได้...แต่ในทะเลเลยน่ะไม่ได้...หมายความว่ามันมีน้ำขึ้นน้ำลง...อะไรแบบนั้นอ่ะนะ...ส่วนใครที่เอา "ที่ดิน"ในคลอง-แถวคลองด่าน...หรือในอ่าวไทย...ไปเป็นกรรมสิทธิ์ออกเอกสารตามกฎหมาย....เสร็จแล้วเอามาขายคืนให้กับรัฐบาลประเทศ???????(คำนั้นแหละ)ได้อีกนั้น ...ตอนนี้ศาลท่านพิพากษาฎีกาให้ติดคุกไปแล้วนะครับ - ถึงเจ้าตัวจะอยู่ที่เขมรนอนเกาพุงในโรงแรมติดแอร์ก็เหอะ...


พักเรื่องของประเทศ????????(คำนั้นแหละ) เอาไว้ก่อน....อ้อ!...ไอ้คำนั้นแหละตาม??????????น่ะไม่มีในพจนานุกรมอะไรของใครนะครับ...มีแต่ในtimelineของกระผมนี่นะครับ...ก็แทนคำว่า "ควาาาาาายยย"อ่ะแหละ...บางทีก็มีคนเค้าบอกว่า "ไม่สุภาพ"...รุนแรง/ยั่งยุ/หยาบคาย...เอ้อ-กระผมไม่เข้าใจเหมือนกันนะครับว่า...ทำไมถึงผิวบางกันขนาดนั้น...กระผมงี้ผิวหนังฝ่ามือฝ่าเท้าและใบหน้าค่อนข้างจะทนแดดทนฝน-เพราะตรากตรำทำงานให้"แผ่นดิน" - "ผืนดิน" - "ที่ดิน" ของประเทศ????????(คำนั้นแหละ)มาตั้ง 35 ปี...เลยรู้สึกเป็นกันเองกับคำว่า "ควาาาาาาาายยยยยยย"มากๆ...เพราะที่ทำงานของกระปผม - "สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม - agricultural land reform office" นั้น...ตั้งอยู่ถนนประดิพัทธ์ - แถวตะพานควาาาาายยย
...บ้านเดิมของท่านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์-อ่ะแหละ...เลยสนิทสนมกับควาาาาาาาาายยยยยอยู่ตลอดมา...ทีนี้...มานึกขึ้นได้ว่า - ตัวเองก้เคยเรียนมัธยมอยู่แถวอีสาน....การเขียนคำว่า "ควาาาาาาายยยยยย"ใส่อักษรและสรระเยอะๆนี้ดีตรงที่-ป้องกันการพิมพ์ตกหล่นได้...เด่วจะหยาบคายจริงๆอ่ะแหละ....ถึงกระนั้น....เวลาเพื่อนฝูงชนชาวลาว/อีสานมาอ่านบทความของกระผมเข้า - ในสำเนียงพื้นถิ่น...ก็อาจจะเป็นที่ระคายโสตของเหล่าผู้ใส่สูทใส่ไหมห่มสไบ"สันนิวาส"อะไรกันเหล่านั้น - ก็เป็นได้...เลยขอเปลี่ยนมาพิมพ์เป็น...?????????....แทนคำว่า "ควาาาาายยยยย"...น่าจะดีกว่า....เน๊าะ...


...ขออนุญาตท่านนายพลฯโอ๋ ใส่เลขลำดับบทความนะครับ...จะได้ง่ายในการอ่านเรียงให้เป็นความ...ความจริงไม่ต้องอ่านเรียงกันก้ได้ความอยู่แล้วนะ...ทำแบบให้จบเป็นตอนๆอยู่แล้ว...(มีต่อ 2) ข้างบนนี้อีก)

2)...การที่ต้องยกเอาความหมายของ"คำ" หรือ "ศัพท์" ที่จะพูดถึงนั้นมาถกเถียงกันก่อน...ก็เพราะว่า...การอธิบายอะไรต่อมิอะไรด้วยคำพูด/คำศัพท์-ด้วยภาษาของคน-นั้น...มันยังไงก็ทำได้ไม่หมด/ไม่ถูกต้องตรงตามความเป็น"จริง" ตาม"สัจ-ธรรม"ที่ปรากฏ...เช่นเดียวกับวิทยาศาสตร์ที่พูดกันนักว่าเป็นเรื่อง"เหตุ-ผล" ก็ไม่สามารถอธิบาย"สรรพสิ่ง"ใดๆได้ครบถ้วน/ถูกต้อง/ตรงตามความเป็นจริง...เป็นแต่หยิบยก/สรุป/ย่นย่อมา...พูดเพื่อให้เข้าใจกันได้-สื่อสารกันได้...พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า...ภาษาสมมติ...คือสมมติ"คำ"นั้นขึ้นมาเพื่อให้"คน"เข้าใจกันได้...ส่วนภาษาที่ตรงกับความ"จริง" -สัจธรรม"-ที่สุดน่ะ...ทรงเรียกว่า...ภาษาธรรม...เป็นภาษาของการปฏิบัติ-เพื่อได้มีประสบการณ์กับ"ความจริง-สัจธรรม"นั้น...พูดกันเป็น"คำ"ๆแบบภาษาคนไม่ได้...เพราะเช่นนั้น - ใครก็ตามที่กระแดะมาอธิบายเรื่อง"ธรรม"เป็นคุ้งเป็นแควเป็นปริญญาเอกดอกเตอร์อะไรนั่นน่ะ...ตอแหลทั้งนั้นแหละ...เคยกราบพระกัมมัฏฐาน-เห็นท่านคุยกัน...ไม่ได้ยินท่าน"พูด"อะไรสักคำ...


...อย่างเช่น...มี"ผู้รู้"ทุกเรื่อง-แต่เรื่องของตัวเอง-ไม่รู้น่ะ...มักจะยกขึ้นมาว่า...รูปกายเรานั้นประกอบด้วยธาตุพื้นฐาน 4 อย่าง 5 อย่างที่จริงแท้...เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ...อันนี้พระอริยะสงฆ์หมายความว่า สมมติ"คำ"มาอธิบายให้"คน"ได้เข้าใจ...แต่ความ"จริง"ไม่ใช่เป็นเช่นนั้น...จะไปว่าท่านพูด"มุสา"ก็ไม่ได้...เด่วก็ไม่ต้องพูดกันไปเลยแหละ...
...เอางี้...ถ้ามีใครคิดกังขาและอยากจะเถียง...ในธาตุทั้ง 4 หรือ 5 ที่ว่านั้นน่ะ...ไม่ได้เป็นธาตุที่สุด/เที่ยงแท้-ด้วยตนเองซะเมื่อไหร่ล่ะ...ในแง่ของ"ธาตุ-เคมี"ตามวิชาเคมี-ฟิสิกส์ที่เราเรียนกันมาแบบวิทยาศาสตร์...
ดิน อ่ะนะ ก็ประกอบไปด้วยส่วนเล็กๆของสสารลงไปอีกคือ คือมีส่วนผสมของซิลิคอน/ออกซิเจน/อะลูมิเนียม/แม็กนีเซียม/เหล็ก-อีกมากมายเยอะแยะ...มีการเสื่อมสลาย/เปลี่ยนแปลงรูปได้ตลอดเวลา...
น้ำ ก็เป็นโมเลกุลประกอบไปด้วยอะตอมของไฮโดรเจนและออกซิเจนและน้ำก็สามารถเปลี่ยนรูปเป็น...แข็ง/เหลว/ไอ-ได้...เมื่อมีเหตุปัจจัยอื่นมากระทำ...
ลม...หรืออากาศมีองค์ประกอบหลักคือ อะตอมของไนโตรเจน/ ออกซิเจน/คาร์บอน/ไฮโดรเจน/อาร์กอน...ทำให้เราหายใจได้แล้วไม่ตาย...ไอ้ที่สืดออกซิเจนบริสุทธิ์กันล้วนๆกันนักอ่ะนะ - ตายกันมาเยอะแยะแล้ว
ไฟ...อันนี้ยิ่งสนุกใหญ่...ไฟ - ไม่ได้ประกอบด้วยธาตุเคมี...แต่ทำให้ดิน/น้ำ/ลม-กลายสภาพเปลี่ยนรูปและสูญสิ้นไปได้...ไฟ - เป็นพลาสม่าที่เปล่งรังสีออกมา - มีอุณหภูมิสูง...ไม่ใช่สสารรึ?...หุหุหุ...เอาไว้ไปถกกันตอนเรื่อง "ชีวิต-คืออะไร?"นั่นกันดีกว่า....เน๊าะ...


...เอาซะว่า...ดิน/น้ำ/ลม/ไฟ/อากาศ...เป็นอะไรที่ประกอบรวมกันเข้าเป็น "คน"...เพราะฉะนั้น...ในเรื่อง "ที่ดิน-คืออะไร?"นี้...จะพูดถึงแค่..."ที่ดิน" ที่มี "คน"เข้าไปเกี่ยวข้อง-ไปมีส่วนร่วม...ไม่ใช่แค่สังเกตการณ์นะ...คนทุกคนต่างต้องมีส่วนร่วมกับ"ที่ดิน"กันทั้งนั้น...ดังนั้นจึงตกยกเอาเรื่องของ"คน”มาสัมพัทธืด้วย.

...มีต่อ 3) อีกแต่วันนี้พอแค่นี้ก่อน - เพราะแมวๆทั้งหลายเริ่มเข้ามาพัวพันถามไถ่ว่า...การไม่ถูกหวยนั้นจะเป็นเหตุให้ที่เคยบอกไว้ว่าจะกินไอติมกัน - ต้องยกเลิกเลยรึ?...หุหุหุ...ไปล่ะ-เด่วพรุ่งนี้ว่ากันต่ออีก...


..."ที่ดิน-คืออะไร?" - ต่อ...

3)...เมื่อวานได้เขียนถึงเบื้องต้นของ"คำ"ว่า- "ที่ดิน" ไปแล้วในข้อ 1) และ 2)...และได้พยายามอธิบายถึงปัญหาของ"คำ" หรือ"ศัพท์" ที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคนปกติอย่างลาวๆเราๆทั้งหลาย...เหตุที่ต้องยกมาถกเถียงกันก่อนในแต่ละ"ความหมาย - ของ - คำ"นั้นก้เพราะว่า...การอธิบายด้วยคำพูดคำเขียนใดๆก็ตาม - ก็ไม่สามารถอธิบายถึง"ความจริง - สัจจะ"ได้ครบถ้วน...เพียงแต่ย่นย่อสรุปมาให้เข้าใจกันได้ในขั้น "สมมติธรรม"...เท่านั้นเอง...ยังไงก็อธิบาย"ปรมัตถธรรม"ด้วยคำพูดคำเขียนไม่ได้-ถูกต้อง...เป็นแต่ต้อง ปฏิบัติ-มีประสบการณ์-ด้วย"ตัวเอง"เท่านั้น - จึงจะเข้าใจ หรือ"รู้"ได้...

...เช่น โจทย์ปัญหาของการ"อธิบาย"สิ่งใด...ท่านจงอธิบาย - สีของลูกสนุ๊กให้กับ "คนตาบอด-แต่กำเนิด" ได้เข้าใจอย่างถุกต้องของความเป็น"ลูกสนุ๊ก"...แหะแหะแหะ...คำตอบเช่น ลูกสนุ๊กเป็นของแข็งๆกลมๆ...ถาม: แข็งเป็นยังไง? - ตอบ:คือ ลักษณะของวัตถุ-ที่ใช้มือ"คน"จับแล้วบีบลงไปจะไม่ยุบ...หุหุหุ...ถาม:แล้วกลมๆล่ะเป็นยังไง?...ก็คือลักษณะของสิ่งที่โค้งบรรจบกันทุกด้าน...ไม่มีมุมไม่มีเหลี่ยม...ถ้าทรงกลม - ก็แปลว่า เอามีดผ่าผ่านตรงกลางของลูกนั้นๆ - แล้วจะเป็นวงกลม...แล้ว-ไม่ต้องถามก็จะบอก - วงกลมก็คือลักษณะ 2 มิติ แบนๆราบๆเรียบๆของ"ขอบ"อะไรก็ตามทีไม่มีมุมไม่มีเหลี่ยม...แล้วจะถามต่อมั๊ยว่า มุม คืออะไร?...ก้คือเส้น 2 เส้นมาบรรจบกัน/มาชนกัน...ตรงที่ชนกันนั่นแหละเค้าเรียกมุม...แล้ว-เส้น คืออะไรจะถามอีกมั๊ย?...ข้ามไปก่อนกะได่เน๊อะ...แล้วลูกสนุก๊กสีแดงกะสีเขียวเนี่ยะ-มันต่างกันยังไง...ก็ต่างกันแค่ที่ตรงสี - แต่ขนาดน่ะเท่ากัน...แล้วสีแดงกะสีเขียวมันต่างกันยังไง?....หุหุหุหุ...เอาว่า...ไม่ได้ดูถุกเหยียหยามอคติคนพิการนะครับ - พี่ตาบอดก็อย่าไปคิดถึงการเล่นสนุีกของคนตาดีเค้าดีกว่ามั๊ง?...แหะแหะแหะ....เห็นมั๊ยว่ามันยืดยาวยุ่งยากขนาดไหน - ถ้าจะอธิบายถึง "สิ่ง"ใด-สิ่งหนึ่ง-ให้ตรงตามความ"สัจจริงแท้-ปรมัตถ"...เน๊าะ

..ดังนั้น...ก่อนที่จะขยายความต่อไปถึงเรื่องของ"ที่ดิน" - ก็จำเป็นต้องมาถกเถียงกันในความหมายของแต่ละ "คำหลัก" ที่เกี่ยวข้องกันอยู่...เพื่อให้เข้าใจในความหมายเดียวกัน - เพราะ"คำ"ทุก"คำ"ต่างมีด้วยกันหลากหลายความหมาย - ตาม"ปัญญา" หรือความ"รู้"หรือ "ประสบการร์"ของแต่ละ - คน...
...คือใดๆของสรรพสิ่งๆนั้นล้วนสัมพันธ์/สัมพัทธ์/เกี่ยงข้อง/โยงยึดถึงกัน - หมด...เป็นหนึ่งเดียว...แม้แต่"โลก-ที่เราอาศัยอยู่"นี้ก็สัมพัทธ์โยงยึด-คือมีผลเกี่ยวเนื่อง - กับ "จักรวาล-cosmos"...แต่การจะพูด "องค์รวม(organic)" ของ "ที่ดิน" ให้ครบถ้วนนั้น - มันเป็นไปไม่ได้ด้วย"คำพูด/คำเขียน"...
...ก็จำเป็นจะต้อง - สรุป/ย่นย่อ...ความเป็น"ที่ดิน" ลงมาเอาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ "คน"...

...และใดๆทั้งหลายเกิดขึ้นได้มีขึ้นได้ก็เพราะ "คน"...เพราะการที่มี"คน"เข้าไปเกี่ยวข้อง - ไป"รู้-เห็น"...จึงทำให้สิ่งนั้น"มี"ขึ้นมา...หุหุหุ...

...เพราะเช่นนั้น..."ที่ดิน-คืออะไร?" ในความหมายสรุปรวมนั้นคือ - จะพูด/เขียนถึงแต่...ความหมายที่"คน"เข้าไปเกี่ยวข้อง"..ความหมายอื่นใด - ก็ละเอาไว้-ออกไป...จะเข้าใจว่าอย่างไรในการที่"ที่ดิน"ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนนั้น - เอาไว้คุยกันตอนสำเร็จอรหันตืแล้ว...ก้บอกแล้วว่า...ก็เพราะมี"คน"นั่นแหละ...สรรพสิ่งทั้งหลายก็เลย"มี"ขึ้นมา...ถ้า"คน"ไม่มี - หรือไม่"รู้-เห็น"ซะ ...สิ่งนั้นก็ "ไม่มี"...เน๊าะ...

...มีต่อ-ข้อ 4) อีกที่ข้างบนนี้...



4) ...เอาคำว่า"ที่ดิน" กันก่อน..ในที่นี้-ในความหมายของสถาปนิก/นักปฏิรูปที่ดิน/แมว/ควาาาาาายยยย...ฯลฯอย่างกระผมนี้...


"ที่ดิน" หมายถึง พื้นดินบน"โลกนี้"ในตำแหน่งใดแห่งหน-ผืนหนึ่ง และมีขอบเขต-หนึ่ง...(คือแปลว่าให้นับ"ที่ดิน"เป็นผืนๆเป็นแปลงๆ-ได้)...


...สาเหตุก็มาจากรากคำเดิมของคนโบราณที่เป็นปราชญ์และชัดเจนมากกว่าพวกกระแดะทุนนิยมสามาานย์ประดิษฐวาทกรรม-โดยไม่รู้ลึกไปถึงความหมายอันแท้จริง...


...คำว่า "ที่" เป็นคำบุพบท...แหะแหะแหะ...ใครตกไวยากรณ์ไทยก้อ่านทวนซะ...ว่า..."คำ"ในภาษาไทยเค้าแยกกันไว้กี่ชนิด-ตามบทบาทหน้าที่ของ-ประโยค/ความ...เช่น คำ"นาม" /คำ"กริยา"-ใช่ กริยา-ไม่ใช่กิริยา/...คำคุณศัพท์/คำวิเศษณ์...อ่ะแหละ...
...ทีนี้คำชนิดเรียกว่า"บุพบท"น่ะ...คือ คือคำที่ใช้นำหน้าคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ เพื่อบอกสถานภาพของคำเหล่านั้น หรือเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำหรือประโยค...


"ดิน"คือ คำนาม..."ที่"อยู่ข้างหน้าเป็น คำบุพบท...(คำบุพบทมีอยู่ 6 ชนิด) เอาวะว่า."ที่"คือคำที่ใช้ระบุ"ตำแหน่งแห่งหน"ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง...เช่น...บ้านเธออยู่ที่ไหนล่ะ? ตรงโน้นแหละ...แล้ว"โน้น"น่ะมันตรงไหนล่ะ?...ก็ที่เพชรบูรณ์....แล้วเพชรบูรณ์มันตั้งอยู่ตรงไหนของประเทศ?????????(คำนั้นแหละ)-นี้-ตำแหน่งไหนของโลกนี้ล่ะ..?....เห็นมั๊ยว่าเกิดอะไรขึ้น?...


...มันก็เกิดคำว่า"แผน-ที่"ขึ้น...แผนที่คืออะไร?....เอาแบบสรุป/ย่นย่อนะ..แผนที่-map ก็คือ ภาพ 2 มิติ ที่แสดงตำแหน่งของสถานที่ - และทิศทางที่เกี่ยวข้องกันกับ"โลก-นี้"...ที่ย้ำว่า"โลก"-"นี้"นั้น...เด่วมีใคเอา"โลก-หน้า"มาเถียงอีก...ส่วนคำว่า"มิติ-dimension"คืออะไรน่ะ...ละไว้ก่อน...เด่วสาธายายตอนหลัง...เอาว่า 2 มิติก็มีแค่ "กว้าง-W" กับ "ยาว-L"...ถ้า 3 มิติก็มี กว้าง-ยาว-สูง/ลึก(H)....ถ้า 4 มิติ ก็มี กว้าง/ยาว/สูง/เวลา-T....ถ้า 5 มิติ ก็จะมี...พอแหละ-เอาแค่นี้แหละ...เด่วหมดพรรษานี้ซะก่อน...


..."ที่" กับ "ดิน" รู้กันแล้วเน๊าะว่ามายังไงในความหมายของในtimelineนี้...ที่นี้ - ทำไมต้องเป็น "พื้น-ดิน"...ทำไมไม่ใช้คำว่า "แผ่น-ดิน"...หุหุหุ..อันนี้ต้องอธิบายถึงเรื่อง..ลักษณะ กับ คุณลักษณะ..ส่วนเรื่อง"คุณสมบัติ"นั้นไม่ต้องพูดนะว่าคืออะไร?...หุหุหุ..
.."แผ่น" เป็นคำบอก "ลักษณะ"....แบบว่า -มีลักษณะแบนๆเป็นชิ้น...ที่ไม่ใช้คำว่า"แผ่นดิน"ในที่นี้-ก็เพราะว่า-ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับ"คน"..แผ่นดินก้คือ -ดินแบนๆราบๆชิ้นหนึ่ง/อันหนึ่ง/แผ่นหนึ่ง...เหมือนกระเบื้อง- แผ่น-หนึ่ง..
..แต่"พื้น" เป็น function..เป็น ลักษณะที่เป็นคุณ...แหะแหะแหะ...คือแสดงลักษณะที่มีสารัตถประโยชน์..แปลว่า...ลักษณะใช้งาน..."พื้น"คือส่วนที่ใช้รองรับรับสิ่งต่าง-ในลักษณะแบนราบ...เช่น พื้นห้อง...พื้นน้ำ...พื้นโลก...ดังนั้นคำว่า"พื้น-ดิน"...จึงหมายถึง ลักษณะของ"ดิน"ที่นำมาใช้ปะโยชน์...ลักษณะการใช้ประโยชน์ของคำว่า"พื้น"ก็คือ...เช่น กระเบื้องแผ่นหนึ่ง...ถ้าบอกว่าเป็น "กระเบื้อง-พื้น"ก้คือใช้กระเบื้องแผ่นนี้ปูแนวราบไว้รองรับการใช้งานต่างๆ...เช่น ตั้งโต๊ะเตียงตู้/เดิน/นอน/นั่ง...ฯลฯ...แต่ถ้าบอกว่าเป็น "กระเบื้อง-ผนัง"...แปลว่ากระเบื้องแผ่นนี้เอาไปใช้ประโยชน์แปะกับกำแพง/ฝา/ผนังกั้นแบ่ง-ในแนวตั้ง...อะไรแบบเนี่ยะ...


...เข้าใจตรงกันแล้วนะ...มีต่อข้อ 5) อีก ข้างบนนี้..

6) ..เข้าใจใกล้จะชิดกันแล้วนะ...ย้ำ...ในที่นี้..."ที่ดิน" หมายถึง พื้นดินบน"โลกนี้"ในตำแหน่งใดแห่งหน-ผืนหนึ่ง และมีขอบเขต-หนึ่ง...เด่วตอนบ่ายถ้าแบดฯไม่สนุก..ก็จะมาต่อกันที่..."โลกนี้"มีความหมายว่า อะไร?..."ตำแหน่ง" มีความหมายว่า อะไร?....และ "ขอบเขต" มีความหมายว่า อะไร?..หุหุหุ...กระผมว่า - เขียนเรื่อง"ที่ดิน-คืออะไร?"นี่-ออกพรรษาแล้วก็ยังไม่จบอ่ะมั๊ง...ตกลงว่าจะเอาเรื่อง "ชีวิต-คืออะไร?".."แมว-คืออะไร?"...."หวย-คืออะไร?"...."เทวดา-คืออะไร?"..."ควาย-คืออะไร?"..."สีซอ-คืออะไร?"...."เพื่อน-คืออะไร?"...เอาเข้าแทรกนัวเนียกันกับเรื่องนี้(ที่ีดิน-คืออะไร?"ไปเลยนะครับ...คือกระผมชอบทำอะไรนัวๆเนียๆไปพร้อมๆกันหลายเรื่อง-ไม่งั้นเวลาที่เหลือในชีวิตนี้อีก 40 ปีกว่าๆเนี่ยะ-มันจะไม่พอ...หุหุหุ-หะหะหะ...ไปดูแบดฯละ...ผ้าไม่ซัก...


...ที่ดิน-คืออะไร? -ต่อ...ฟังเพลงไปเรื่อยๆเบาบางสบายและมาร่ายความกันต่อไป

7)...ที่ผ่านมาได้พูดเกริ่นเริ่มเอาไว้ว่าจะพูดกันถึง"คำ-ศัพท์"ที่จะเอามาใช้เกี่ยวข้องกันใน เรื่อง"ที่ดิน-คออะไร?"นี้กันก่อน..เพื่อให้เข้าใจใกล้ชิดและสื่อความหมายตรงกัน.

..."ที่ดิน" หมายถึง พื้นดินบน"โลกนี้"ในตำแหน่งใดแห่งหน-ผืนหนึ่ง และมีขอบเขต-หนึ่ง...

..."พื้นดิน" - คือดินที่ทำหน้าที่รองรับการใช้ประโยชน์ของสิ่งต่างๆ...คำว่า "พื้น"นี้-ไม่จำเป็นต้องราบ/เรียบ..การรองรับอะไรไม่จำเป็นต้องนอนราบเรียบนิ่ง-ก็ได้...เน๊าะ...เป็นหลุมเป็นเนินเป็นแอ่งเป็นภูเขา...หรือเป็น"น้ำ"ก้ได้.เมื่อทำหน้าที่ "รองรับ" อะไร

...ทีนี้ ก็มาถึงคำว่า "โลก-นี้"...หมายถึงโลก-ปัจจุบัน-นี้.แหะแหะ..ย้ำอธิบายกัน-ก็เพื่อไม่ให้ใครดันเอาเรื่อง"โลก-หน้า"...หรือ"เทวโลก" มาถกด้วย...

..โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในสุริยะจักรวาล(ลำดับที่3)...มีลักษณะทรงกลม - ไม่ได้กลมดิ๊กๆๆๆเหมือนลูกฟุตบอลนะ....มีแกนเอียงและหมุนรอบตัวเองเหมือนลูกข่าง...และเพราะความเอียงของแกน(เมื่อลากเส้นตรงจากดวงอาทิตย์มาชน)...หรือเส้นแกนนั้นเอียงไม่ได้ทำมุม 90 ํ กับระนาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์...อ้อ! โลกหมุนรอบตัวเอง และ หมุนรอบ-หรือโคจร-ไปรอบดวงอาทิตย์...
...ในเรื่อง "ที่ดิน"นี้ - จะไม่พูดถึงเรื่องของ "เวลา" ที่เป็น มิติที่ 4 ด้วยนะครับ...ถึงจะมีความสัมพันธ์กันอยู่ด้วย...แต่ละไว้ก่อน - เด่ว...พรรษานี้จบก้ยังเขียนเรื่องนี้ไม่จบไปด้วย...

...โลกมีลักษณะทางกายภาพ เป็นวัตถุทรงกลม-แป้น...มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ-ตามแนวเส้นศูนย์สูตร 12,756.28 กิโลเมตร...เส้นผ่านศูนย์กลางตามแนวขั้ว -ขั้วเหนือ/ขั้วใต้-ประมาณ 12,713.56 กิโลเมตร...ที่เรียกว่า "แป้น" ก็เพราะการกลมของโลกน่ะ - ขั้วเหนือ/ใต้จะยุบลงมาหน่อยนึงไง...แบบส้มแป้น หรือ ลูกจัน...ดูจากระยะที่ต่างกันของเส้นผ่านศูนย์กลางแนวตั้งกับแนวราบดิ่...

....ที่ต้องเอา"โลก"มาอธิบายมากมายอ่ะนะ...ก็เพราะมันมีเหตุปัจจัย...ที่มาจาก...ความกลมแป้น/ความเอียงของแกนโลก/การหมุนรอบดวงอาทิตย์...การหมุนรอบตัวเอง...มาเกี่ยวข้องกับเรื่องของ"ที่ดิน"อ่ะดิ่...เหตุปัจจัยเหล่านี้แหละที่ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน - ในการทำแผนที่ - ที่เป็นแผ่น 2 มิติ...ที่เราใช้กันอยู่...ซึ่งจะอธิบายกันต่อ-ในตอนเรื่องของ แผนที่....
...อ้อ!โลกที่หมุนรอบแกนแนวตั้งนั่นน่ะเหมือนลูกข่าง...และมีการส่าย/แกว่ง - เหมือนลุกข่างด้วยนะ...แต่ไม่มีผลกระทบอะไรมากนักกับเรื่อง"ที่ดิน"ที่เราจะถกกัน...มีผลต่อฤดุกาลภูมิอากาศ-การระเบิดของภูเขาไฟ...กับอะไรๆอีกมากมาย...แต่เรายังไม่โยงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย...

...ดังที่พระพุทธองค์ได้อธิบายไว้ก่อน...และไอน์สไตนิ์เพิ่งมาไรู้"เอาทีหลัง...และอีกหลายคนต่อๆมาว่า....สรรพสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในประสบการณ์ของมนุษย์...คือที่มนุษย์ได้พบเจอนั้น...มีความสัมพันธ์/สัมพัทธ์/เกี่ยวโยงใยยึดต่อกันทั้งหมด....เป็น"เอกะ"...การทำให้เปลี่ยนแปลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็จะบังเกิดผลบังเกิดกับอีกสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามติดต่อกันไปขึ้นได้...ดังคำวาทกรรมของจีนที่ว่า..."เด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาว"...เน๊าะ...ละเอาไว้ก่อนแหละ-ประเด็นนี้...เอาไว้ไปพูดถึงใน"ชีวิต-คืออะไร?"...

.."โลก-นี้"ที่กลมแป้น/หมุนรอบตัวเอง/โคจรรอบดวงอาทิตย์.แกนในสุดเป็นสสารลักษณะก๊าซ...ถัดมาเป็นของเหลวแม็กมา(magma) แล้วจึงมาเป็น "พื้นดิน"ที่รองเรา"คน"และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายให้อยู่"บน"-"โลก-นี้"...หมายถึงว่า"พื้นดิน"ของเรานี้ก็ยังมีของเหลวแม็กมาร้อนๆรองรับอยู่...ทีนี้เหนือ"พื้นดิน" นั้นมี"ฟ้า"- หรือบรรยากาศ ห่อหุ้มอยู่..."พื้นดิน"ไม่ได้รองรับ "ท้อ-ฟ้า" เหมือนที่"พื้นดิน" ก็ยังรองรับ"พื้น-น้ำ"อยู่นะครับ...คือ"ท้อง-ฟ้า" หรือบรรยากาศ/อากาศ.นี่ห่อหุ้มโลกอยู่เหมือนเปลือกไข่ของไข่ต้มที่ขางในเป็นยางมะตูม...ไข่ขาวคือ"พื้นดิน"..."ท้อง-ฟ้า"คือเปลือกไข่..อะไรปานนั้นแหละ...

...คำว่าแกนของโลกนี้ไม่ได้จบคำพูดกันง่ายๆแบบ"แกนใน-สัปปะรด"เพราะด้วยความร้อนระอุของก๊าซ/ของเหลวแม็กม่าอันมหาศาล-เมื่อบวกเข้ากับการหมุน(รอบตัวเอง-และรอบดวงอาทิตย์)..ได้เกิด "แรง"ขึ้น 2 ชนิดใหญ่..."แรง"ในที่นี้หมายตามวิชา"ฟิสิกส์-physics"นะครับ...นั่นคือ..1).แรงโน้มถ่วง-gravity และ 2)แรงแม่เหล็ไฟฟ้า -electromagnatic...ทำให้เกิดการดึงดุดสรรพสิ่งทั้งหลายให้มาตั้งอยู่บน"พื้นดิน"...และเกิดความหมายของคำว่า"ขั้วโลก-เหนือ/ใต้"....

...สรุปว่า..."โลก-นี้"...เพราะมีความกลมแป้น/เอียง/หมุน(รอบตัวเองและรอบดวงอาทิตย์)/มีขั้วโลกในแนวตั้งในการหมุนรอบตัวเอง...ส่งผลต่อการเกิดของแผนที่(เด่วอธิบายต่อในข้อ 8)ที่จะมาระบุ/อธิบายถึง-ความเป็น"ที่ดิน"..ให้พวกเรา-"คน" ได้เข้าใจกันในการสื่อสาร...

...มีต่อ ข้อ 8) ข้างบนนี้นะ...



..."ที่ดิน-คืออะไร?" - ต่อ...


9)...ทวนย้ำอีกครั้งในเรื่องของความหมาย"คำ"...


..."ที่ดิน" หมายถึง พื้นดินบน"โลกนี้ในตำแหน่งใดแห่งหน-ผืนหนึ่ง และมีขอบเขต-หนึ่ง...


...ทีนี้ก็มาถึงคำว่า "ตำแหน่ง-position"...แปลด้วนๆก็ได้ว่า "แห่งที่"...แต่ถ้าเป็น"แห่งหน-ที่ตั้ง" เค้ามักจะใช้คำว่า location เน๊าะ...
...และคำว่า"ขอบเขต - boundary"...คือ แนวสิ้นสุดของ"พื้นที่"...เช่น ขอบเขตของโลก...ขอบเขตของประเทศ...ขอบเขตของบ้านข้อย...อะไรแบบนั้น...


...ทั้ง 2 คำนี้...การจะบุให้ชัดเจนได้ประกอบด้วย 2 เรื่องใหญ่...คือ ...ระยะ - distance...และทิศทาง-direction...จึงจะอธิบายหรือพูดกันได้ "รู้-เรื่อง"...


...เอาเรื่อง "ตำแหน่ง -position" ก่อน...ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องตำแหน่งของการงาน เช่น อธิบดี/รนายกรัฐมนตรี - ผู้จัดการ...ปฏิบัติการ/ชำนาญการ/ชำนาญพิเศษ...ก้หมายถึง....แห่งหนของ"ตัวกู"-คือ"คน"...ว่าอยู่"ที่"ไหนและตรงไหน/แห่งหนไหน - ใน"องคืกร"...หรือหน่วยงาน... หรือการทำงาน...นั้นๆ...
..."ตำแหน่ง"ในเรื่อง "ที่ดิน" นี้ - หมายเอาแค่ ทางกายภาพ...แค่ 2 มิติ กว้าง กับ ยาว...ไม่รวม มิติที่ 3 - คือ สูง/ต่ำ...เกี่ยวพันกัน-แต่เด่วจะงงแล้วพูดกันไม่"รู้เรื่อง"...และไม่รวมมิติที่ 4 คือเวลา-เช่นกัน...เอ้อ...เรื่อง"เวลา"นี่-เคยคิดกันมั่งมั๊ย?...เราเดินทางย้อนไปอดีต/อนาคต...แล้วกลับมาได้ด้วยแหละ...ในแง่ของเวลา...เช่น ตอนนี้เรา(ประเทศ?????-คำนั้นแหละ)วันที่ 3 สิงหา - แต่ที่อเมริกายังเป็นวันที่ 2 สิงหาอยู่...ถ้าเรานั่งเครื่องบินไปที่เร็วไปได้พอ - คือใช้เวลาในการเดินทางน้อยกว่า 24 ชั่วโมง...เราก้ย้อนกลับไปในอดีต(บนโลกนี้)...ตามเวลาที่ใช้กันอยู่...แต่ข้อจำกัดคือ...การเปรียบเทียบไง...ถ้าเราอยู่ที่ประเทสไทย-ไม่ว่าจะเดินทางอย่างไร-ก็ย้อนกลับไปในอดีตไม่ได้...แปลว่า...การเคลื่อนที่ไปยัง"ตำแหน่ง" อื่นใด-จากเดิม...เกี่ยวข้องกับเวลาได้...ทั้งอดีต/ปัจจุบัน/อนาคต...บนโลกนี้...ถ้าเราเคลื่อนที่ได้ไวมากพอ...หุหุหุ...เห็นมั๊ย?....ขืนเอาเรื่อง"เวลา-time"มิติที่ 4 มาพูดด้วยกับเรื่องของ"ตำแหน่ง"....เด่วต้องใช้"เวลา"ในการเขียนเรื่อง"ที่ดิน"นี้ - ไปถึง"เวลา"ใน-"โลก-หน้า"....เน๊อะ...


...เอาละ...การระบุ"ตำแหน่ง"...กำหนดตำแหน่งใดๆบนพื้นดิน-ของโลกนี้...ก้ต้องใช้ ...ระยะ กับ ทิศทาง มาช่วย...และการจะพูดถึง ระยะ/ทิศทางใดๆได้...ต้องมีการกำหนดจุดยึดอ้างอิง-เดียวกัน/ร่วมกัน...ก่อน....เช่นเดียวกับทีมงานท่านผู้ว่าฯณรงค์ศักดิ์....กำหนดกันว่าต้องพูดกันใน"ภาษาคน-human language...นะจ๊ะ...คือเอา"คน"เป็นตัวยึด...ในแง่ของ"ตำแหน่ง"ของ"ที่ดิน"นี้...ก็ตกลงกันว่า...เอา"โลก-นี้"เป็นตัวยึดก่อน...แล้วก็มีดวงอาทิตย์ดวงจันทร์มาเกี่ยงด้วย...
...ประการแรก...เรื่องระยะ...ก็คือความห่าง - จาก"จุด"หนึ่ง ไปถึงอีกจุดหนึ่ง...ระยะห่างของ วัดนวลจันทร์ ไปถึง ตะพานควาาาาาย...คำว่า"ห่าง"ทางกายภาพ-ไม่ใช่ทาง"จิต"...ก็หมายถึง...ระยะที่เส้น"ตรง"ลากไปพบกันของทั้ง 2 จุด...เห็นมั๊ย?...ถ้ามันไม่กำหนดจุดยึดให้คงที่-ขยับไม่ได้-แล้ว...มันก็คุยกันไม่"รู้เรื่อง"...วัดนวลจันทร์ห่างตะพานควาาาาายยยย 11.6 กิโลเมตร...แต่ถ้าไปตามถนนทั้งหลายที่ใกล้กันที่สุดก็น่าจะ 20 กว่ากิโลเมตร...อะไรแบบนั้น...


...เพราะฉะนั้น..."คน"ทั้งโลกจึงต้องกำหนด-ภาษาคน-เดียวกันออกมาเมื่อคุยกันถึง "ตำแหน่ง" แห่งหนใดใน"โลก-นี้"...ทำออกมาเป็น"แผน-ที่"...แบบ 2 มิติ...มีลักษณะกำหนดจุดยึดถือร่วมกัน ...คือทางตั้งและทางนอน...บอกไปแล้วนะ...ทางตั้งก็คือ ตามแกนโลก...แนวดิ่ง...และทางนอน-แนวราบ-คือทางขวางกับแกนโลก...
...แล้วก็มีทิศทาง-ยึดถือ-ร่วมกันว่า...ถ้าทางตั้ง...สิ้นสุดกันที่...ขั้วโลก...เหนือกับใต้...คำว่า "เหนือ-ใต้"นั่นแหละเค้าเรียก "ทิศ"...แนวราบ/แนวนอน/แนวขวางแกนโลก...ก็มีตะวันออก/ตะวันตก...เห็นมั๊ยว่าเกี่ยวกับดวงอาทิตย์เข้ามาอีกละ...แต่ทีนยี้ดวงอาทิตย์เนี่ยะมีการเคลื่อนที่-ทั้งโลกเราก็เคลื่อนที่ตามไปด้วย...มีการหมุน...จึงมี...ออก กับ ตก...ทีนี้...ก็เลยต้องมาตกลงกันอีกว่า...จุดสิ้นสุดของความเป็น...ตะวันออก-ตะวันตกนั้นคือตรงไหน...
อย่าลืม-ยึดเอาไว้ในใจให้ได้นะครับว่า...โลกนี้มันกลมแป้น...ถ้าเราลาก"เส้น"ไปตาม"พื้น"ของโลกเนี่ยะ...จากขั้วโลกเหนือไปขั้วใต้เนี่ยะ...มันไม่เป็นเส้นตรงนะ..(แบบทะลุเขา-ลอยเหนือน้ำ)...มันเป็นเส้นโค้ง...คือถ้าลากไป/กลับ...ก็จะเป็นวง-ไม่กลม-เป็นวงแป้น...หุหุหุ ...ถ้าลากไปไม่กลับก็เป็นเส้นโค้ง...ถ้ายืดเส้นโค้งที่ว่าออกเป็นเส้นตรง....ก็จะได้ระยะอันหนึ่ง...
ทีนี้...ถ้าเราลากเส้นตรงจริง-ทะลุดิน-ทะลุโลกไปหากัน...จากขั้วเหนือไปขั้วใต้...เราก็จะได้เส้นตรงจริงๆล่ะ...แต่ระยะทางมันจะสั้นกว่า...เส้นที่ลากไปตามผิวดิน...ที่ว่าไว้ข้างบนนี้...


...เอาละ..."ตำแหน่ง"...คือระยะที่บอก-โดยมีจุดโยงยึด-เกี่ยวพันกับทิศทาง...เขียนออกมาให้ดูกันแบบแบนๆ2มิติ...เป็นแผ่นราบ...เค้าเรียกว่า "แผน-ที่" หรือ map...จุด"ยึดถือ-ภาษาคน"แรกคือ..."ทิศ-ทาง"...คือมีทั้ง"ทิศ"และ"ระยะ"มัดกันไว้อยู่...คือ...
..."แผน-ที่"- map ทั้งหลาย...ต้องเขียนกันออกมาเช่นนี้...1) หันหัวขึ้น...แปลว่า ทางตั้ง/แนวตั้งของแผนที่...ข้างบน-คือทิศเหนือ...ข้างล่างคือทิศใต้...แนวราบหรือแนวนอน/แนวขวาง...ทางขวามือคือทิศตะวันออก/ทางซ้ายมือคือทิศตะวันตก...คือแบ่ง"โลก-นี้"ออกเป็น 2 ทิศและทาง...คือตั้งกับนอน...เช่นเดียวกับคณิตศาสตร์ทั่วไปทั้งหลาย...แกนตั้ง/แนวดิ่ง คือ x ...แกนแนวนอน/แนวราบคือ y...ส่วนแกนแนว สูง/ต่ำในมิติที่ 3 คือ z...ดังที่ว่า...ในมิติที่ 3 นี้...แผนที่ทั่วไปยังไม่เอามาระบุไว้....เด่วมันจะพูดกันไม่รู้เรื่อง...คือระบุไว้ในแผนที่อ่ะแหละ...ว่า...วัดนวลจันทร์อยู่สูงกว่ามหา'ลัยเกษตรอยู่ 2.75 เมตร...เค้าเรียกว่า "ค่าระดับ"...เด่วเอาไว้วิสัชนากันในทีหลังเรื่อง"ที่ดิน-เมื่อเอาไปใช้ในการวางผัง/ออกแบบ-ใ้ชงาน"...


...ทีนี้...เมื่อเราได้เส้นแกน(ตามความโค้งของผิวพื้นโลกนะ)...บอกแล้วว่าจะพูดถึง"ที่ดิน"บนพื้นโลกนี้...คำว่า"บนไนั่นแหละ...เป็นลักษณะทั้ง -ตำแหน่งและทิศ"...เค้าเรียกว่า"ทิศ-ทาง"ก็ได้...
...เราได้เส้นโค้งแนวแกนของโลกและแนวขวางแกนแล้ว...เรียกว่า..."เส้นรุ้ง-latitude" กับ "เส้นแวง-longitude"..."รุ้ง"ตะแคง-"แวง"ตั้ง...
...ทีนี้...เพราะโลกกลมแป้น...เส้นตั้ง/นอนของแผนที่โลกนี้...เลยมีความ"โค้ง"...การบอกตำแหน่งจุดใดๆบนเส้นโค้ง....เค้าจึงต้องบอกเป็น "มุม"ที่กระทำต่อกัน...แหะแหะแหะ...ปวดหัวมั๊ย...คือบอกเป็น..."องศา"...หุหุหุ...ใครมีไม้โปรเทคเตอร์ที่ใช้วัดองศาของลุกๆก้ไปหยิบมาดูก่อนก้ได้...ไม่วิสัชนานะ - ว่า"องศา"คืออะไร?...ทำไมเป็นเช่นนั้น?...ละไว้ในฐานที่ไม่ต้องเข้าใจ...หุหุหุ...คือเอาว่า...เค้าตกลงกันไว้เช่นนี้...อย่าเถียงอย่าสงสัย - เด่วพูดกันไม่รู้เรื่อง...
...เนื่องจากระยะทางบนเส้นโค้งของทั้ง"รุ้ง"และ"แวง"เนี่ยะไกล-ห่าง-มาก...จึงทำเส้นแบ่งซอยย่อยเอาไว้ด้วยและบอกทิศทาง...โดยเส้นแบ่งซอยย่อยๆนี้ - จะปรากฏเป็นแผนที่...คือเป็นเส้นสมมติ - ตาคนเรามองไม่เห็นบนโลกหรอก...ต้องเขียนออกมา...สมมติไว้ให้ห่างกันเป็นระยะ"ทาง" 1 กิโลเมตร...เน๊าะ...และกำหนด"ทิศ"ของเส้นนั้นๆด้วย-ว่าไปทางไหน...
เช่น...เส้นรุ้ง-ตะแคง...จุด/ตำแหน่งบนเส้นโค้ง...จะเคลื่อนที่ขึ้นลงนั้น...ไปทาง N-เหนือ...หรือ S-ใต้...มีจุดแบ่งกันที่เส้นศูนย์สูตร(คือเส้นขวางแกนโลก-ตรงกลาง-โลก)...แหะแหะแหะ...เป็น 0..แล้วก็จะบอกว่า...ขึ้นไปทาง-N เหนือ...ใน"ทิศ-ทาง"กี่"องศา"...
และ...เส้นแวง...ตั้ง(หมายถึงเส้นตั้งที่แบ่ง)...มีจุด/ตำแหน่งบนเส้นโค้ง...กี่องศา...ไปทางทิศE-ตะวันออก หรือไปทางทิศW-ตะวันตก...ตำแหน่งที่ 0 คือเส้นแบ่งทิศออก/ตก - เรียกเส้นแบ่งเวลา...ที่กรีนิช...คือเส้นไพร์มเมอริเดียน...เส้นแวงมีองศาเป็น 0...อย่าลืมนะครับ...ไปทางซ้ายมือ-เค้าเรียกย้อนกลับ...ไปทางตะวันตก...เหมือนตัวหนังสือในบรรทัดของภาษาไทยเรา(อังกฤษ-ด้วย)...ดังนั้นถ้าจะย้อน"เวลา"-ย้อน"อดีต"...ต้องไปทางทิศตะวันตก-ซ้ายมือ...แต่ถ้าไปทางทิศตะวันออก-ขวามือ...เรียกว่า-เดินหน้า-ไปหา-อนาคต...หุหุหุ...แบบที่เขาเรียกว่า เวียนขวาเป็นมงคล - เวียนซ้าย....เป็นอัปมงคลอ่ะแหละ...เน๊าะ...


...เอาล่ะ -พอแค่นี้ก่อน...จะไปกินข้าว...และแบดคู่น้องกิิ๊ฟ/น้องวิวลงแข่งแล้ว...กะลังแพ้เค้าอยู่ด้วย...เด่วต่อเรื่องของ"ขอบเขต"...ในหัวข้อที่ 10) ต่อไป...เน๊าะ...


...ฟังเพลงไปเรื่อยๆยามบ่าย...

..."ที่ดิน - คืออะไร?" - ต่อ...

10) ......"ที่ดิน" หมายถึง พื้นดินบน"โลกนี้ในตำแหน่งใดแห่งหน-ผืนหนึ่ง และมีขอบเขต-หนึ่ง...

...ข้อ 9) เป็นเรื่องการกำหนด"ตำแหน่ง" - การบอก"ตำแหน่ง"ของ "ที่"ใดบน"โลก-นี้"...เหตุปัจจัยเพราะ -โลกนี้-กลมแป้น/เอียง/หมุน/และรอบดวงอาทิตย์...จึงทำให้"คน"ตกลงกันว่า...การบอก"ตำแหน่ง"ใดๆที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้...กำหนดให้เป็นค่า "ทิศ-ทาง"...คือมุม-องศา-จากแนวดิ่งและแนวราบ...หรือ แนวตั้ง/แนวนอน...เป็นเส้นสมมติบนพื้นโลก...คือเส้นแวง-แนวตั้ง/กับแส้นรุ้ง-แนวนอน...เหมือนจุด/บนค่าในทางคำนวณพีชคณิต/เรขาคณิต...แกน x-ตั้ง/แกน y-นอน...เป็นแบบ 2 มิติ (กว้าง/ยาว)...เมื่อพูดถึงตำแหน่ง"ที่ดิน"จึงพูดเพียง 2 มิติ...แต่ในแง่การใช้งานและในแผนที่ภูมิประเทศแล้ว...จะมีค่าแกนสูง/ต่ำคือแกน z ให้ไว้ด้วยที่จุดนั้น...เรียกค่าระดับความสูงจากจุดอ้างอิง - คือค่าระดับ(น้ำ)ทะเล...เป็นเท่ากับ 0.000 เมตร...เป็นค่าเฉลี่ยการขึ้น/ลงของน้ำทะเล...ที่ ต.เกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์...ตำแหน่งพิกัดที่ 11°47'42.92"N/ 99°47'31.40"E ...เสร็จแล้วเค้าก็ถ่ายค่าเฉลี่ยมาปักเป็นหมุดถาวรไว้ที่บนถนนเกาะหลักฯ...ไม่ให้ขยับเขยื้อน -สำหรับอ้างอิง...เรียกว่าหมุด BM-A....แต่ค่า"ตำแหน่ง"ของหมุดนี้...อยู่ที่พิกัด 13°46'23.74"N/100°31'45.39"E ซึ่งมีค่าระดับน้ำทะเลปานกลาง 1.4477 เมตร ...แปลว่าสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางอยู่ 1.447 เมตร...

...เอาละ....ไหนก็พูดถึงค่าระดับบนผิวโลกกันไปแล้ว...ก็ขยายต่อให้อีกนิด...สรุป...ในเรื่องจุดที่แกนสูง/ต่ำ-แกน Z...เรียกค่าระดับ...เป็นระดับเปรียบเทียบกับ ระดับน้ำทะเลปานกลาง - คือให้ระดับน้ำทะเลค่าเฉลี่ยขึ้นลง 18.6 ปี = 0.000 เมตร...ทั้งโลกอ่ะแหละ...เพราะอะไรรึ?...เพราะแรงโน้มถ่วงของโลก...จะทำให้ผิวทะเล(ทั้งโลก)-สูงจากจุดศูนย์กลางโลกเท่ากัน...หุหุหุ...คือน้ำเป็นของเหลวที่จะไหลปรับระดับผิวตนเองให้มาปรับลงสู่ - ระดับเดียวกันได้-เพราะแรงดึงดู/แรงโน้มถ่วงของโลก...หุหุหุ...ทีนี้ต้องปัก-หลัก...จุดยึดที่แน่ชัดกันในแต่ละประเทศ...เพราะเวลาโยงยึดต่อๆกันไปไกล - จะได้ไม่คลาดเคลื่อน...และจะไปอ้างอิงผิวน้ำทะเลกันแต่ละวันไม่ได้-เพราะสูงต่ำไม่เท่ากัน...ตาม"เวลา"...หุหุหุ...ปวดหัวมั๊ย?...ถ้ามึน-ก็หยุดอ่าน....ฟังเพลงfusion jazz ที่แปะไว้ให้...สักพักและย้อนอ่านใหม่และคิดภาพตามไปด้วย...ที่ไม่แสดงภาพกราฟฟิกอะไรประกอบให้ดูด้วยในเนื้อความนี้...เพราะเจตนาจะให้ผู้อ่าน...ต้องใช้ "จิต" ในการคิดเพิ่มขึ้น...คิดตามไปเรื่อยๆ - จะทำให้จิตมีความชำนาญในการเกิด"เจตสิก"และตีความ"ผัสสะ"ได้ดีขึ้น...เน๊าะ...เริ่มจาก...นึกให้เห็นภาพ(ถ้านึกแล้วไม่เห็น - ก็ไปเปิดsearchหาเอาจากกูเกิ้ลเองวะบ้าง)...ลูกโลกกลมแป้นที่แกนเอียง - กำลังหมุนรอบแกนตั้ง-แบบลูกข่าง...ลูกข่างคืออะไร? อันนี้ก้ไปหาคำตอบกันเอาเองล่ะ...เสร็จแล้วก้นึกถึงโลกลูกข่างนี้หมุนวิ่งไปเป็นวงรีรอบๆขาโต๊ะกินข้าว...เหมือนเวลาเค้าล่ามควาาาาาายยยยยยยไว้กับหลักปักกลางทุ่งนา....แล้วมันเดินกินหญ้าไปจนสุดเชือกล่ามแล้วเดินวนรอบหลักที่ปัก....แหะแหะแหะ...

...ทีนี้...พอจะเข้าใจได้ใกล้ชิดกันมั่งแล้วนะ..."ตำแหน่ง"บนโลกนี้จะบอกกันในความหมายเดียวกัน...ไม่ว่าจะแผนที่ประเทศไหนๆคือ...บอกค่าพิกัด(เด่ว-อธิบาย)เป็นจุดตัดกันของ เส้นรุ้ง/เส้นแวง...หรือแนวแกน x กับ y...โดยมีค่าเป็น"มุม-องศา"ที่กระทำต่อแนวแกนหลักยึดที่ตกลงกันไว้(เพราะผิวโลกโค้ง)...และใน"ตำแหน่ง"จุดตรงนั้น-ตรงค่าพิกัดนั้น...ถ้าเป็นแผนที่ภูมิประเทศ(topography map) ก็(มัก)จะบอกค่าความสูงของแนวแกน z ไว้ด้วย-เรียกว่า ค่าระดับ - และมีตัวเลขว่าสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเท่าไร?...เส้นcontourในแผนที่นั่นแหละคือเส้นยึกๆยักที่บอกค่าระดับความสูง(จากระดับน้ำทะเลปานกลาง)....เช่นเขียนไว้ว่า 120 ก็แปลว่าจุดตรงนั้นสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 120.00 เมตร...

...ค่าระดับนี้ไม่ค่อยมีผลต่อการหาตำแหน่ง"พื้นที่(แปลง)ที่ดิน"ของคนทั่วไปนัก...แต่สำหรับ...สถาปนิก/วิศวกร...หรือเสนาธิการการบ/นักยิงปืนใหญ่-ขีปนาวุธ...ค่าความสูง/ต่ำของจุดนั้นมีความสำคัญมาก...เช่นถ้ายิงโทมาฮ็อคจากเรือในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน...ไปให้โดนหัวน้องคิมอิลจุงที่อยู่บนบ้าน 2 ชั้น...ถ้าไม่ป้อนข้อมูลคำสั่งในทางแกนความสูงเข้าไป...ให้แต่ค่าแนวกว้าง/ยาว...จรวดนั่นก้อาจจะยิงไปหัวคนใช้ที่เดินอยู่บนถนนหน้าบ้านพักแค่นั้นแหละ...

...อุ๊ย!...คำว่า "แนว/แกน" ที่บอกว่า "ตั้ง/ดิ่ง" หรือ "นอน/ราบ" ที่ผ่านมานั้นน่ะ...หมายถึงแกนที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษ...หรือหน้าจอมอนิเตอร์นะครับ...เป็นแค่ 2 มิติ...ไม่ได้หมายความว่าเป็นแกนที่ตั้งขึ้นมาจากผิวพื้นโลกนะ...ก็ย้ำแล้วว่าจะพุดกันแค่ 2 มิติ...คือถ้าเป้นแผนที่วางบนโต๊ะไม่เอียงเนี่ยะ...จะเข้าใจได้ง่ายว่า...แกนxที่ว่าตั้ง-เนี่ยะ...มันไม่ได้โด่ขึ้นในอากาศจากผิวโต๊ะนะ...มันหมายถึงแกนที่วิ่งจาก...ขั้วโลกเหนือไปขั้วโลกใต้...โดยมีจุดตัดที่แกนนอน-แนวราบ....คือเส้น"ศูนย์"สูตร...มีค่าเป็น" 0- ศูนย์"อ่ะแหละ...

....ใครมีโปรแกรม/แอพ google earth ก็ลองจิ้มไปที่จุดใดจุดหนึ่งบนผิวโลกในภาพนั่นดิ่...แล้วเลื่อนลูกกะตาลงมาที่ของล่างของแอพนั้น...จะมีตัวเลขอะไรๆบอกไว้...คือค่าพิกัด 2 ตัวเลข....และค่าระดับ...ด้วย...เช่นตำแหน่งที่ วัดนวลจันทร์-กรุงเทพ...
เป็น 13 ํ 50'11.97" N 100 ํ18'15.27" E elev 20ft(อันนี้ยังไม่ได้เปลี่ยนหน่วยเป็น-เมตร-อ่ะแหละ - elevนี่แหละแนวตั้งจากผิวโลกตัวจริง...คือค่าระดับ(ความสูง)...ยังงี้เป็นต้น...

....เป็นอันว่า....ว่ามายืดยาว...ถึงเรื่องของ"ตำแหน่ง" บนพื้นดินของโลก-นี้อ่ะนะ...ยังไม่ไปถึงคำว่า"ขอบเขต"...อันนนี้ง่าย-สั้นๆแหละ...แต่ตอนนี้หิวข้าวอีกแล้ว...ขอหยุดแค่นี้ก่อน...เบิกบานใจอีกเมื่อไหร่ก็จะมาเขียนแปะให้ต่อไป...

...ยังมีต่อไปข้อ 11) ที่ข้างบนอีกนะ - แต่ยังไม่รู้ว่าวันไหน?เวลาใด"...อิอิ



เช้าวันหยุดสำหรับบางคน - แต่ของกระผมไม่มีวันหยุดหรือไม่หยุดแล้ว...อิอิอิ...ทุกวันคือวันๆหนึ่งเท่านั้นแหละ...ฟังเพลงเบาๆแล้วเรามาว่ากันต่อไป...ถึงเรื่อง..."ที่ดิน - คืออะไร?"...ที่เขียนแปะลงในtimelineในแต่ละวันนี้....พยายามสรุปความให้สั้นๆง่ายๆและอ่ะนะ...หุหุหุ...แต่เมื่อจบความแล้ว - จะลองสรุปย่นย่อลงไปอีก...เพื่อง่ายในการจำประเด็น...




11)......"ที่ดิน" หมายถึง พื้นดินบน"โลกนี้ในตำแหน่งใดแห่งหน-ผืนหนึ่ง และมีขอบเขต-หนึ่ง...



...เมื่อวานพูดถึง"ตำแหน่ง"บนพื้นดินโลก...ไม่มีรูปประกอบก็ดูจะใจดำสำหรับผู้ละเลยภูมิศาสตร์และฟิสิกส์ตอนเรียนขาสั้น...ก็ขอเอารูปมาแปะให้ดูสักนิด...ไม่อธิบายย้อนอีกแล้ว...ย้อนกลับไปอ่านเอาเองที่blogข้างล่าง...แต่จะอธิบายเรื่องแผนที่-ต่อไปอีก-สักนิดเพื่อโยงเนื่องไปถึงเรื่อง"ขอบเขต-ที่ดิน"กันได้...เน๊าะ...












"ที่ดิน - คืออะไร?" - ต่อ



12)...(คาดว่าจะไปได้ถึงข้อที่ 227...เน๊าะ)...ย้ำทวนกันลืม........."ที่ดิน" หมายถึง พื้นดินบน"โลกนี้ในตำแหน่งใดแห่งหน-ผืนหนึ่ง และมีขอบเขต-หนึ่ง...


...ทีนี้ ก็มาถึงคำว่า "ขอบเขต"....อ้อ! เอาคำว่า"ค่าพิกัด" หรือที่เรียกกันด้วนๆว่า "พิกัด" กันก่อนดีกว่าจะได้ต่อความจากเรื่องของ"ตำแหน่ง"..."ค่าพิกัด" ในที่นี้อังกฤษใช้คำว่า co-ordinate...แปลได้ทางคณิตศาสตร์ว่า "พิกัด" ....ทางแผนที่ทั่วไปก็เป็น "ระยะพิกัด"...ทางความหมายสามัญรวมๆก็เป็น "จุดรวม"...ถ้าเอาทางวิชาการช่างก้เป็น "คู่อันดับซึ่งแสดงตำแหน่งของจุดในระนาบ"...ในที่นี้-เรื่อง"ที่ดิน" ก็หมายความว่า...ตำแหน่ง"ที่-นั้น" ที่เส้นรุ้งและเส้นแวงมาตัดกัน...ก็ย่อมแสดงค่า ณ ที่นั้นเป็นระยะของ เส้นรุ้ง กับเส้นแวง...ดังที่ได้อธิบายไปแล้ว...
...ทีนี้....หลาย"คน" มักจะพูดพล่อยว่า...พิกัดตรงนี้...พิกัดตรงนั้น...กะลังกินฝรั่งดองอยู่นะ...อะไรแบบนั้นน่ะ...ถ้าไม่บอกค่าเส้นรุ้งเส้นแวงมาด้วย...แสดงว่า - กระแดะ...ไม่ "รู้" แล้วยังพร่ำเพ้อเจ้อ...ทีหลังก้จิ้มทำmarkไว้ที่แผนที่...แล้วบอกว่า...ข้อยกะลังกินอยู่ข้างถนนอันนี้นะ...แค่นั้นแหละ...ไม่ต้องมากระแดะ-พิกัดนู่นนี่บ้าบออะไรกันจนเปรอะไปหมด...เด็กเล็กลูกหลานเลย-ไม่เข้าใจอะไรกัน-กระทั่งควาาาาายยยยย-คืออะไร?ก็ไม่รู้...เน๊อะ...เด่ว-ถึงจะต้องเขียนเรื่องนี้อีกอ่ะแหละ...เรื่อง"ควาาาาาายยยยย-คืออะไร?"...."ชีวิต-คืออะไร?"...."นายกรัฐมนตรี - คืออะไร?"..."ปฏิรูป-คืออะไร?"...ฯลฯ....แหะแหะแหะ...มีเวลาอยู่อีก 40 พรรษานี่ - จะพอเขียนหมดมั๊ยเนี่ยะ?...




..."ที่ดิน-คืออะไร?" - ต่อ...อีกแล้ว


13) ...ถึงคำว่า"ขอบเขต"ซะที...จบอันนี้แล้วจะได้ไปเกาสะดือแมวๆทั้งหลายแล้วก็ฉันเช้า-แล้วก็เก็บ"ทองคำ"ไปทิ้งแล้วก็...ซักผ้าอีกซะดีมั๊ย?...แบดฯก็สนุกมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ-เพราะไม่มีของเราลงแข่งรอบตัดเชือก่อนชิงกันเลย...หุหุหุ...


..."ขอบเขต -boundary" - แปลว่าแนวสิ้นสุดโดยรอบของ"ที่ดิน"...คำนี้ใช้ได้หลายเรื่อง...แต่ในที่นี้จะพูดแค่ของ"ที่ดิน" ของ"พื้นดิน"บน"โลก-นี้"...เน๊าะ...ที่นอกจากนี้เช่น...ขอบเขตอำนาจศาล...อะไรนั่นไม่เอาดีกว่า...เด่วแผนดินลุกเป็นไฟ...หุหุหุ
...คำที่ใกล้เคียงกันที่มักพูดกันเรื่อยเปื่อยก็คือ...อาณาบริเวณ-อันนี้พอถามคนพูดแล้วมันมีอยู่แค่ไหน?...ก็มักจะชี้มั่วๆไปเรื่อยเปื่อยว่า...ก้แถวๆนี้...จากตรงนี้ไปถึงแถวๆนั้นอะไรปานนั้น...เอาเป็นว่า...ถ้าไม่มี"ตำแหน่ง"และระยะที่แน่ชัด...ก็ไม่ใช่ "ขอบเขต"...ถ้าพูดถึง "ขอบเขต"นี่ต้องมีตำแหน่งและระยะ-ทิศทางที่แน่ชัด...
...เพราะเช่นนั้นเอง...คำว่า"ขอบเขต"ของโลก-นี้(ในแง่กายภาพ)...คงไม่ได้หมายเอาแค่ พื้นดินทรงกลมแป้นนี่แล้วนะจ๊ะ...น่าจะหมายถึง...แนวสิ้นสุดของ"แรงโน้มถ่วง-gravity" ของโลก-นี้...ไม่ใช่แรงดึงดูด-จะดีกว่านะ...คือโลกเรานี่มีแรงดึงดูดไปไกลได้มากกว่าแค่ดูดดวงจันทร์นะ...ไม่ใช่แค่ดูดกันที่นคร'ถม/ชลบุรี/สุโขทัย/บุรีรัมย์/อุบล...อันนั้นแรงดูดส้วมแรงดูดปฏิกูล...ของพวก????????(คำนั้นแหละ)...ระดับโลกนี่-ดูดกันไปดูดกันมาไปถึงนอกกาแลีกซี่ทางช้างเผือกนี่อีก...แต่แรงโน้มถ่วงเนี่ยะ-แค่หมดชั้นบรรยากาศที่หุ้มลูกดินกลมแป้มหมุนๆนี่เท่านั้น...


...เอาละ..."ขอบ"-แปลว่า (ในที่นี้) ริม...ภาษาอังกฤษก็คือ rim-อ่านว่า"ริม"อ่ะแหละ..."เขต" แปลว่า "พื้นที่-area" ที่กำหนดขีดคั่นไว้...มีหลาย"รูป"...ในที่นี้-คือ"เรื่องที่ดิน"...จะเป็นขอบเขตในเชิง 2 มิติ-กว้าง กับ ยาว...ในแง่ขอบเขตด้านมิติ-ความสูงนั้นถกเถียงกันจะเยิ่นยืดยาดไปอีก...
...ทีนี้..."ขอบเขต"อันแรกที่มีลักษณะวัดระยะแสดงภาพแบบ 2 มิติไม่ได้คือ...ขอบเขตของ"โลก-นี้"...ใครไม่เชื่อก็ลองเอา-ตำแหน่ง/ระยะ/ทิศ-ทาง"ของโลกมาเขียนขอบเขตเป็นแผนที่ 2 มิติ...บนแผ่นกระดาษดูดิ่...คือถ้าแค่ลุกบอลกลมๆเนี่ยะ...ยังพอได้ใกล้เคียงมาก...แต่ลูกฏลก-ใบนี้อ่ะนะ...ดันมีรูปทรง"กลม -แป้น"อ่ะดิ...มีการพยายามวัดและเขียนแสดงกันมาตั้งแต่ยุคสมัยบาบิโลน/อียิปต์โน้นล่ะมั้ง...จนมาถึงบัดนี้การเขียนแผนที่โลก...ในลักษณะ 2 มิติก็ยังทำได้ - ไม่ตรงตามตวามเป็น"จริง"...นี่แหละ"โลก"อันแท้จริง...ตามองไปได้เห็นน่ะ"ใช่" - แต่สิ่งที่เห็นน่ะ"ไม่ใช่"...แหะแหะแหะ - ยืมมาจากของหลวงปู่ดูลย์...เพราะ"โลก"เป็น "เช่นนั้นเอง"...เป็น "สัจ-suchness-ตถตา" อ่ะแหละเน๊าะ...
....ขอบเขตพื้นที่อย่างแรกที่ใหญ่ที่สุดครอบคลุม-ขอบเขตอันอื่นๆคือ...ก้ต้องเป็น "ขอบเขต-โลกนี้"...คำว่า"อาณาจักร"นั้นหมายถึงในเชิง"นามธรรม" เป้นเรื่องของ "อำนาจทางการปกครอง"ที่มาเกี่ยวข้องกับ"ที่ดิน"....อันนั้นเอาไว้ออกพรรษาถึงค่อยวิสัชนา - เพราะจะกระทบกับควาาาาาาาายยยหลายพวกหลายฝูงมาก...จนกระผมจะละเมิดข้อตกลงด้าน"มุสา"ไปมากกว่านี้...


...ในที่นี้จะไม่พูดคำว่า-อาณาจักร/อาณาเขต"...นะ...ถึงจะเกี่ยงแะลมีผลต่อ"การใช้ที่ดิน"...เอาว่าจะพูดถึงในเชิงกายภาพ-รูปธรรม-มากที่สุด...


..."ขอบเขต"ของโลกนี้...เริ่มมีการแยกย่อยออกจากกันไปมีเพียงหนึ่งเดียว-ตามการส"สร้าง"ขึ้นมา...ก้เพราะดันมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า"คน"เกิดขึ้นบนโลกนี้...


...มีต่อข้อ 14) ข้างบนนี้อีก...แต่จะพักเปิดเพลงใหม่ก่อน...



14)...)...ย้ำทวนกันลืม........."ที่ดิน" หมายถึง พื้นดินบน"โลกนี้ในตำแหน่งใดแห่งหน-ผืนหนึ่ง และมีขอบเขต-หนึ่ง...


...เมื่อวานพูดกันมาถึงคำว่า"ขอบเขต"...มีลักษณะอย่างไร?...การบังเกิดขึ้นของ"ขอบเขต"นั้นก็เนื่องเพรา -คน- นี่แหละ....ที่ดันพัฒนา/เจริญขึ้น...ก่อให้เกิด...การยึดถือ"ตัวกู-ของกู"ขึ้นมา...เกินไปกว่าความเป็นเช่นนั้นเอง...พรหมัน - สัจจะ - suchness - ตถตา...ก็ต้องย้อนความเป็นมาของ "คน" ด้วยว่าสร้างเหตุปัจจัยอะไรในความเป็น "ที่ดิน"ให้"เป็น"เช่นนี้...


...เอาแบบรวบรัดตัดตอน - โลก-นี้ก่อเกิดเป็นรูป/ร่างขึ้นมาราวสี่พันล้านปี...แต่ความเป็นคนนั้นเพิ่งมาบังเกิดชัดเจนขึ้นก้แค่ราว-สี่พันปี-มานี้เอง...อย่ายึดถือตัวเลขที่บอกนี้ยนะ-ยังไม่ได้ย้อนค้นชัดๆ-เพราะกะลังเหฯ้ดหน่าย...เลยพิมพืเป็นตัวอักษร-แปลว่าประมาณอย่างหยาบๆ...ขืนพิมพ์เป็นตัวเลข-เด่วมีนัก"รู้"มาแย้งย้อนเอาได้....แปลว่า...แย้งได้แต่อย่ามาเสียเวลาในชีวิตในตรงนี้...


....ในแรกเริ่ม..."คน"นั้นมีแค่เพียง "ตัวกู" เท่านั้น...โลกภายนอกงดงามอุดมสมบูรณ์..."คน"ก็ตระเวณไปเยี่ยงสพพรสัตว์ทั้งหลายที่-สมองส่วนหน้า-celebrumยังไม่เติบใหญ่พัฒนาขึ้นทั้งหลาย...มีเพียงสัญชาตญาณดั้งเดิมที่ได้รับข้อมูลสืบต่อมาจากนิวคลีไอ-DNA...ฝังรากอยู่ในก้านสมอง-และมีสัญชาตญาณเป็นเปลือกพอกหุ้มเอาไว้...สัญชาตญาณแค่เอาตัวรอด...จากการ-ต้องกินอาหาร/หลบแดดร้อน/หลบฝน-หนาว-น้ำแข็งเย็น...ไม่มีการทำร้ายใดๆระหว่างสัตว์โลกทั้งหลายด้วยกัน...เพราะความอุดมสมบูรณ์ของโลก-นี้...
...และอยู่มาเช่นนั้น...มีแค่"ตัวกู" - ลูกเมียก็ยังไม่มีตัวตนเป็นถึง"ของกู"...ที่อยู่หลับนอนด้วยกันก็ยังไม่มีอะไรที่ยึดถือเป็น"ของกู"...พื้นดินของโลกนี้-ไม่ใช่"ของกู"...เป็นของทุกสรรพสิ่ง...จากผลไม้เต็มต้น...แม้กำลังกัดกินอยู่-เมื่อมีผู้อ่อนแอแอ-เด็กเล็ก-ผู้ชรา...คืบคลานมากินผลไม้ที่ตนกินอยู่นั้นก็หาได้มีโทสะหวงแหน-ตัวกู/ของกู....ไม่หลงยึดสงสัยว่าทำไมผู้อื่นถึงมากินร่วมกับตัน...ไม่มีตัวกู-ของกูในการซุกเบียดเสียดหลับนอนร่วมกันยามหนาวเย็น...


...แล้วมหาภัยพิบัติก็เริ่มขึ้น...โลก-นี้เยี่ยง"สัจธรรม"เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเดิม-อันไม่เที่ยง...มีดับสูญไปของความอุดมสมบูรณ์...อย่างแรก...อาหารที่เคยอุดมสมบูรณ์-พืชผลไม้ทั้งหลาย-สูญสิ้นหมดไป...เกิดความหิวโหย/หายากขึ้นมา...เช่นนั้นเองของเหตุปัจจัย-ส่งผลให้เกิดความ"รู้สึก"ของจิตที่...ไม่เอาไม่ชอบ/ต้องเอาตัวรอด - เกิด"ของกู"ขึ้นมาในเรื่องแรกเริ่มคือ"อาหาร"นี้...จากผลไม้เต็มต้น...ก็มีน้อยไม่พอกิน...เมื่อมีผู้อื่นที่อ่อนแอกว่ามาจะกินอาหารร่วมแบ่งปันกันเช่นเคย - ก็เกิดความ"กลัวอด-กลัวตาย"...เกิดการหวงแหนที่จะเก็บกักไว้เพื่อ "ตัวกู"เพียงอย่างเดียว...จิตเกิดความเป็น"ของกู"ขึ้นมา...เกิดความ"รัก-ไม่รัก"ขึ้นมาต่อผู้ใกล้ชิด...เกิดความเป็น"ของกู"...ลูกกู-เมียกู-พ่อกู-แม่กู ขึ้นมา...ที่หลับนอนแต่ก่อนเคยซุกเบียดเสียดรวมร่วมกันได้...ก็เกิดความรู้-สึกไม่ชอบ/ชอบ-มีความเป็น"ตัวกู-ของกู" ขึ้นมาแบ่งแยก"คน"ออกจากัน...แบ่งแยก"คน"ออกจากสัตว์อื่น...


...อวิชชาสามานย์ที่ตามบังเกิดมาต่อไปอีก...อันเนื่องมาจาก"อาหาร" ขาดแคลน...จากเดิมที่"กิน"แต่พืชผักผลไม้...จนหมดสิ้นไป...เกิดการแย่งชิง-เกิดการแยกแยะ...หมู่/เหล่า/เผ่า/พันธุ์-ตามสถานที่ที่อยู่อาสัยแยกจาก/ห่างกันในภูมิประเทศแต่เดิม...เช่นคนละถ้ำ/คนละเขา/คนละแม่น้ำ...และเมื่อแย่งชิงอาหารแหล่งเดียวกัน...ก็บังเกิด"โทสะ-โกรธ- เกลียด-กลัว"...เกิดการทำร้ายร่างกายและจิตใจกัน...เพื่อให้ได้มาในอาหารแหล่งนั้น...
...และแล้ววันหนึ่ง...เทพเทวดาเบื้อบนที่เคยคำรามส่องประกายแว่บวาบโครมลั่นและส่งน้ำเปียกปอนลง...ก็ฟาดเปรี้ยงลงมายังต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวตายซากยืนเหี่ยวอยู่นั้นจนเกิดเปลวลุกร้อนแรงกลิ่นไหม้โชยไกล...ความร้อนจากเปลวสีส้มสะบัดไหม้ทรากไม้จนดำเกรียมนั้น-กลับขับไล่ความหนาวเย็นที่ห่อซุกกันอยู่ได้มากมาย...พาให้"คน"เหล่านั้นเข้าไปใกล้ชิด"ไฟ"ของเทพเบื้องบนนั้น...จนคุ้นเคยต่อความร้อนแรง/อบอุ่นนั้น...


...และวันมหาอุบาทว์ก็ได้ก่อกำเนิดขึ้นต่อ"คน"อีกครั้ง....เมื่อศัตรูที่แตกต่างผู้แก่งแย่งชิงอาหารนั้น-เมื่อถูกฆ่าตีทุบจนตายแล้ว...ดันกระเด็นกระดอนเข้่าไปในกองไฟ...เกิดกลิ่นที่เรียกคุความหิวโหยขึ้นมาได้...แต่กระนั้นสัญชาตญาณพื้นฐานเบื้องแรกของการดำรงชีวิตอยู่ในสมอง/ในDNAก็ยังกีดกั้นสภาวะจิตห้ามไม่เห็น-กินสัตว์โลกที่เผ่าพันธ์เดียวกัน-รูปลักษณ์เดียวกัน...กลัวและเกลียดที่จะทำเช่นนั้น...เกิดความขยะแขยงในการกัดกินกลืนลงไป...เกิดการต่อต้านของเซลในร่างกายและจิตใจ...


...แต่กระนั้น - ศัตรูที่รูปลักษณ์แตกต่างกัน...กิริยาที่แน่ชัดว่า....ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน....เช่นเสือ ช้าง ควาาาายยย หมู(ป่า)...พวกที่เดิน 4 ขามีหางยาว...ก็ย่อม"กิน"เป็นอาหารแทนผลไม้ที่หาได้ยากได้...และเกิดความ"อร่อย"มากยิ่งกว่าพืชผักผลไม้ขึ้นมายิ่งนักด้วย...
...จากความขาดแคลนอาหาร-พื้ชผักผลไม้ ...ก้กลับมาอุดมสมบูรณ์ด้วยเลือดเนื้อจาก"สัตว์โลก-เผ่าพันธุ์อื่น"...แต่กระนั้นก็ตาม...ความ"รู้"จากการหิวโหยขาดแคลนในอดีต...ได้ฝังเป็นความทรงจำในจิตสำนึก...ที่จะหวงแหน - หวาดกลัวการหิว/อดตาย...ความเป็น"ตัวกู-ของกู"...ก็บังเกิดความหวงแหนใน - พื้นที่ - แหล่งอาหาร...แหล่งแห่งความไม่อดตาย/อบอุ่นสบายกาย...เกิดคำว่า -"ที่-ของกู"...เกิดการปกป้อง"พื้นที่"นั้น...


...และนั่นคือที่มา...ของความเป็น "พื้นที่" - "ขอบเขต" - "อาณาเขตครอบครอง"....ของกู...
...และเมื่อ"แหล่ง"ที่เป็น - ของกู - นั้นอยู่ห่างไกเกินกว่าจะมองเห็นได้ชัด...จึงกำเนิดความเป็น "ตำแหน่ง" - "ทิศทาง"...และ"แผนที่" ขึ้นมา....เพื่อสื่อสารบ่งบอกกันว่า "ของกู" นั้นอยู่-ตรงไหน-บนพื้นดินของโลกนี้...และกำเนิด"ขอบเขต"ขึ้นมาว่า....พิ้นที่ - ของกู -นั้น...มีแค่ไหน...และตรงไหนที่ไม่ใช่"พื้นดิน"ของกู...


...และในเมื่อ"แหล่งอาหาร" บนพื้นโลกนี้ยังมีมากมาย...ให้"คน"ได้ตระเวณเก็บเกี่ยวบริโภคครอบครอง..."ขอบเขต" - ความเป็น"ของกู"นั้นจึงกระจัดกระจาย-มีเพียงส่วนน้อยของพื้นโลก...และยังมี"พื้นที่" - ที่ -ไม่ใช่"ของกู"...อยู่มากมาย...พื้นที่ที่สามารถแบ่งปันใช้ร่วมกัน-ไม่หวงแหน-ไม่แบ่งแยกกัน....อีกมากมาย...


...เด่ว - ว่ากันต่อถึงความเป็น"ของกู"ที่ทำให้เกิดความเป็น"ที่ดิน"ขึ้นมาต่อไปอีก...ในข้อ 15)...ข้างบนนี้อ่ะนะ...

...ฝนตกแต่ตีห้า...ตื่นมาดินเปียกนอง...แมวววได้แต่แค่ร้อง...เพรียกหาฟ้าผ่องอำไพ...

"ที่ดิน-คืออะไร?"

15) ...ย้ำทวนกันลืม..."ที่ดิน" หมายถึง พื้นดินบน"โลกนี้ในตำแหน่งใดแห่งหน-ผืนหนึ่ง และมีขอบเขต-หนึ่ง...

...สรุปย้อนจาก 1)-14) ที่ผ่านมา...เพราะการที่รองรับการใช้งานของ"คน"เป็นลักษณะ"พื้น" ของดิน...และเมื่อจะบ่งชี้เป็นแผนที่อธิบายตำแหน่งก็แสนจะปวดหัวเพราะ-โลกกลมแป้น/เอียงหมุน/รอบแกนตั้ง-ตัวเอง/รอบดวงอาทิตย์-วงรี...บังเกิดของเขตของพื้นนี้ขึ้นมาก็ด้วยความเป็น "ตัวกู-ของกู" - ของ"คน...

...แรกเริ่มเดิมทีคำหมายของ"ขอบเขต"ของคนในยุคแรกๆนั้น-เริ่มจาก"ผู้รู้"...พยายามอธิบายตำแหน่งแห่งหนของผู้คนอื่นและแหล่ง-หากิน-อื่น...ให้กับผู้คนของตนเอง..."ขอบเขต"ของพื้นดิน-อันกว้างใหญ่โตถูกเรียกว่า "โลก-นี้"...ย่อยลงมาส่วนๆตามภูมิประเทศ/ภูมิอากาศ - ก็เริ่มจาก ....เหนือ/ใต้/ออก/ตก...แล้วก็มาเป็นทวีป...ไม่ได้มีเจตจำนงจะแบ่งแยก-แย่งชิงหวงแหนพื้นดินอะไรกัน - เพราะมีมากมายเพียงพอ...แบ่งปันก้ได้ไม่หมดสิ้น...การแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ในเชิงแย่งชิงกัน-ก็มีเพียงกลุ่มใกล้ชิด...แค่ลักษณะผิวพันธุ์เผ่ากลุ่มย่อย...เกิดเป็นทวีปร้อน-อาฟริกา... ทวีปอบอุ่น-เอเซีย...ทวีปหนาวเย็น-ยุโรป...

...แล้วต่อมา...ขอบเขตก็ชัดเจนละเอียดขึ้นไปตาม "ตัวกู-ของกู"ที่"คน"ยึดมั่นถือหมายละเอียดมากขึ้น...สมองส่วนนอก-celebrimก็พัฒนาเติบโตขึ้นตามข้อมูลของ"กิเลส"ที่พอกหนามากขึ้นเรื่อยๆ...
...จากความต้องการขอบเขต"ที่ดิน" ในแง่เพียง - ที่อยู่อาศัย - และ-แหล่งอาหาร...ก็เกิดการสะสมทุน/การไม่โยกย้ายหลักแหล่งตระเวณไปไหนๆ...รู้จักการเพาะปลูกอาหารของตนเอง-รู้จักการ"ผลิต" เองเพื่อบริโภค...
...ปัจจัยในการรอดชีวิตดังที่ว่า...สำคัญมาก 2 อย่างแรกที่ต้องมี"ขอบเขต-ของกู" ในความเป็น "ที่ดิน"...ก็คือ 1) บ้าน-ที่อยู่อาศัย...และ 2) แหล่งอาหาร-ที่ทำงาน(เพาะปลูก-เลี้ยงสัตว์)...ในส่วน เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค นั้น...ยังใช้ "ที่ดิน"-ส่วนรวมป่าเขาลำเนาไพร...เป็นทรัพยากรร่วมกันเพราะมีมากมายเหลือเฟือ...หนังสัตว์-ผลพลอยได้จากการล่าเป็นอาหาร...การถักทอ"ผ้า"จากเส้นใยพืชที่หาพบ-และเพาะปลูกเอง...

...การที่ดำรงชีพด้วยเกษตรกรรมเบื้องต้นเพื่อกลุ่มเผ่าของตนขนาดเล็กนั้น..."ขอบเขต-ที่ดิน"...จึงเป็นเพียง "หมู่บ้าน"เป็นหมู่ๆ-ห่างๆกันไป...ตามความคิด"ของกู" ว่ามิตร หรือ ศัตรู...แต่เมื่ออยู่เป็นหลักแหล่ง-มีที่อยู่มั่นคงถาวร...มีอาหารสะสมเพียงพอผ่านร้อนหนาว...เวลาในการดำรงชีวิตก็เหลือเมื่อพ้นจากการดิ้นรนเช่นแต่ก่อน...ความคิดในการหาสิ่งเสริมส่วน"จิต"ก็มากขึ้น...เริ่มปรนเปรอกายที่ว่างเว้นงานมีเวลาเพิ่มขึ้นมา...จากผัสสะที่..ตามองเห็น-สวยงาม/ปาก-ลิ้มรสชาติอร่อย/หู-ได้ยินเสียงไพเราะ/จมูก-ดมกลิ่น-หอม/หนัง-สัมผัสสิ่งอ่อนนุ่ม-เสียวซ่าน...พอกพูนมากขึ้นเป็นอนุสัย-กิเลส...เพิ่มเติมขึ้นห่อหุ้ม-สัญชาตญาณดั้งเดิมที่มีแค่การอยู่รอด...สมองส่วนหน้าก็เริ่มพอกพูนใหญ่โตแยกซีกซ้าย-ขวา...หยักยับย่นเพิ่มขึ้นเพื่อการส่งผ่านข้อมูล-ไปยังร่างกายในจุดต่าง...จิต-ใจ-จิตสำนึกเริ่มมีสติ-พอกพูนอวิชชาบดบังความ"สัจ-สัตว์-จริง"...

...เกิดการงานนอกเหนือเกษตรกรรม...เป็นกรรมอื่นๆ...ประดิษฐ์/ผลิตสิ่งอำนวยความสะดวกของการดำรงชีวิต - มีความสบาย/สวยงามเพิ่มขึ้นให้กับ"กาย-จิต"...ความต้องการ"ที่ดิน"จึงมีมากขึ้น-และแยกแยะ"ขอบเขต"กันไปตามกิจกรรม...และไปตามกิเลสแห่ง"ตัวกู-ของกู"...
...และเมื่อ"กิเลส"ที่พอกพูนมากขึ้นใน "ตัวกู-ของกู"...การแบ่งปันก็ถดถอยน้อยลง...การแย่งชิงในหมู่มิตร-ใกล้ชิดก็มากขึ้น...ละเอียดซับซ้อนขึ้น..."ขอบเขต"ความเป็น"ที่ดิน" -ของกู-ที่แต่ก่อนแค่ชี้ๆกันก็เข้าใจว่า....ตรงนี้/ตรงนั้น...มีระยะอาณาบริเวณของแต่ละ"ตัวกู" กันง่ายๆ....ก็เริ่มมีเครื่องหมายชัดเจน/ให้ถกเถียงในการแบ่งแยก-ออกจากกัน...เป็นจากต้นไม้ต้นนั้น-ไปถึงหนองน้ำอันนี้...และเติบโตเป็นกลุ่มหมู่เมื่อเอาแต่ละ"ตัวกู-ของกู"มารวมเข้าด้วยกัน..."ตัวหมู่-ของหมู่"...ก็เริ่มมีขอบเขตของความเป็น"หมู่-บ้าน"ชัดขึ้น...มีปักหลักฐาน/ตำแหน่งแนวเขตของ"ขอบเขต"ที่ถาวร/ชัดเจนมากขึ้น...จากสิ่งธรรมชาติ-ก้อนหิน/ต้นไม้/แม่น้ำ...ก็กลายมาเป็น-เสา/หลัก/ปักปันเขต...

...รวบรัดตัดความ...เมื่อมีเวลาว่าง - เมื่อมีอาหารเหลือจากเพียงพอ...สิ่งของจากการผลิตมากเหลือจากเพียงพอ...มีการติดต่อกันในหมู่มิตรต่างหมู่...ก้เกิดการค้า-แลกเปลี่ยนสิ่งของกัน...เกิด"งาน-ค้าขาย"-นอกเหนือจาก"งาน-เกษตร"/"งาน-ผลิตสิ่งของ"...และเมื่อมีการไปมาหาสู่ติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนกัน...ก็เกิด...เส้นทางที่สะดวกในการติดต่อ...เกิด"ที่ดิน"ใช้งานในการติดต่อ-ที่ "ต้อง" -เป็น"ที่ดิน" ของส่วนรวม...แยกแยะ"ขอบเขต"กันขึ้น...เป็น "ที่ดิน-ปัจเจก-ส่วนตัว"..."ทีดินส่วนรวม-ของหมู่"....และ"ที่ดิน"-ร่วมกันของหลายหมู่"....เกิดชุมชนใหญ่โตมากขึ้น/มีผู้คนมากขึ้น-ในการอยู่ร่วมกัน...มีหมู่บ้านหลายหมู่มากขึ้นมาติดต่อสัมพัทธ์เกี่ยวโยงกัน...ในทางสืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์...เป็นตำบล - เป็นเมืองที่มีกิจกรรมของ"งาน"สลับซับซ้อนแยกย่อยขึ้น...มีอาชีพที่นอกเหนือจาก-เกษตรกรรม-มากขึ้นแยกย่อยซับซ้อนมากขึ้น..."ที่ดิน"-พื้นดินที่รองรับ"กิจกรรม"ของคน...จึงมีการแยกย่อย-ในขอบเขต...มากขึ้น...

...จาก"หมูบ้าน-ของพวกกู"...ก็มาสู่"ตำบลของ-พวกกู"..."มือง-ของพวกกู"...และไปสู่..."ประเทศ-ของพวกกู"..."กลุ่มประเทศ(แบบEU/AEC/NATO)-ของพวกกู"...แบ่งแยก/แยกแยะ/กีดกัน/แย่งชิง/ฆ่าฟัน...ใน"ขอบเขต-ที่ดิน"บนโลกนี้...เพื่อทรัพยากรและพื้นที่รองรับกิจกรรม...

...เพราะเช่นนี้เอง..."ที่ดิน" จึงเป็น "ทรัพย์"อย่างแรกที่จำเป็นขั้นพื้นฐาน...ของความเป็น"คน"ที่จะอยู่รอดชีวิตได้...ตาม"สัญชาตญาณ"ดั้งเดิมที่ถูกพอกพูนขึ้นเป็น"กิเลส"-ที่พัฒนาสซับซ้อนโสมมสามานย์ขึ้นเรื่อยๆ...
..."ที่ดิน" จึงเป็น...ทุนเริ่มแรกของความเป็น"คน"...ที่สำคัญอย่างยิ่งยวด...และเมื่อจำนวน"ผู้คน"ที่มากมายขึ้น-และจำนวนความเป็น"ตัวกู-ของกู"ที่มากมายสลับซับซ้อนขึ้น...การแบ่งปัน/การบริหารจัดการ "ที่ดิน" จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด...ที่"คน"จะได้อยู่ร่วมกันบน"พื้นดิน"ของ"โลก-นี้" - อย่างสันติ-สุข...เน๊าะ

...จบอินโทร-intro-movement แรกของเพลงพรรษาที่ชื่อ "ที่ดิน-คืออะไร?" นี้...แค่นี้แหละ...ตอนต่อไปก็จะเป็นmovementที่ 2 - "ที่ดิน" ที่ประเทศ???????????(คำนั้นแหละ)....แบ่งปันกันมาอย่างไร?...บริหารจัดการกันมาอย่างไร?...จนกลายมาเป็น-มหาวิบัติอุบาทว์สามานย์ของการอยู่ร่วมกันในตอนนี้...

...ยังมีต่อ - ข้อ 16) ที่จะแปะข้างบนนี้อีกนะ...แต่ยังไม่ชัดว่าเวลาไหน?-วันไหน?...เน๊าะ...







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น