14. การปฏิวัติและรัฐประหาร
ในสาระสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
การยึดอำนาจการปกครองของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งมีประกาศให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2540 สิ้นสุดลง พร้อมกับคณะรัฐมนตรีรักษาการ, วุฒิสภา, ศาลรัฐธรรมนูญ
และองค์กรอื่นๆอีกบางองค์กร และต่อมาได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้มีรัฐธรรมนูญ
ฉบับชั่วคราวและการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีขึ้นบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว
ได้ก่อให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยขึ้น
บางปัญหกาที่คาใจสาธารณชนคนไทยทั่วไป.
เริ่มต้นด้วยปัญหาที่ว่า
การยึดอำนาจการปกครองที่ใช้กำลังทหาร ซึ่งเกิดขึ้นนี้เป็น “การปฏิวัติ” หรือ
“การรัฐประหาร” หรือจะมีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่น, เพราะในประวัติศาสตร์ 75 ปีของการปกครองระบบประชาธิปไตย
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา
ก็ได้มีการยึดอำนาจการปกครองที่ใช้กำลังทหารมาหลายต่อหลายครั้ง,
ซึ่งในกรณีที่กระทำไม่สำเร็จ ก็เรียกว่าเป็น “กบฏ”.
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับคำว่า
“ปฏิวัติ”. คำๆนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ
กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ขณะที่ดำรงฐานันดรศักดิ์ “หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร”
ได้แสดงปาฐกถาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24
มิถุนายน พ.ศ. 2475 แล้วประมาณ 1-2 เดือน
ซึ่งทรงวินิจฉัยว่าเป็นการเปลี่ยนแปลง”หลักมูล”ของการปกครองแผ่นดิน
ตรงกับที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “เรฟโวลูชั่น” (revolution) จึงทรงบัญญัติศัพท์ไทยว่า “ปฏิวัติ” เพื่อถ่ายทอดคำอังกฤษนั้น.
ต่อมาในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานก็ได้บัญญัติคำว่า “ปฏิวัติ” ว่าหมายถึง
การหมุนกลับ, การผันแปรหลักมูล, การเปลี่ยนแปลงระบบ.
ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชวิจารณ์การเปลี่ยนระบบบริหารราชการแผ่นดินครั้งสำคัญของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อ พ.ศ. 2435 ว่ามีลักษณะเป็นการ “พลิกแผ่นดิน” โดยพระองค์ได้ทรงวงเล็บเป็นภาษาอังกฤษว่า
“revolution”.
ท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงศ์
ผู้เป็น “มันสมอง” ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475
ซึ่งได้รับมอบหมาบจาก “คณะราษฎร” ให้เขียนแถลงการณ์
เห็นว่าการเปลี่ยนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolute monarchy) เป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย (constitutional
monarchy) หรือประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เป็นเรื่องใหม่ จึงได้ใช้คำไทยธรรมดาสามัญว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง”.
ต่อมาท่านปรีดีฯ พิจารณาเห็นคำว่า
“ปฏิวัติ” ซึ่งแปลตามศัพท์ว่า “การหมุนกลับ”
น่าจะไม่ค่อยจะตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “revolution” ซึ่งหมายถึง “การเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้า” หรือ
“การเปลี่ยนแปลงเพื่อความดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เดิม”. ดังนั้นท่านจึงเสนอให้ใช้คำว่า “อภิวัฒน์” แทน.
ส่วนคำว่า”ปฏิวัติ”นั้นคงใช้สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะ “ถอยหลัง”.
ขณะเดียวกัน
กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ก็ทรงได้บัญญัติศัพท์ไทย “รัฐประหาร”
เพื่อถ่ายทอดคำอังกฤษที่ชาวอังกฤษใช้ทับศัพท์ฝรั่งเศส “กูป์ เดตาต์” (coup
detat) ซึ่งหมายถึงการยึดอำนาจการปกครอง หรืออำนาจรัฐ โดยฉับพลัน
ซึ่งต่างกับวิธีได้อำนาจการปกครองโดยสงครามกลางเมือง (civil war).
ดังกล่าวข้างต้นนี้จะเห็นว่า ในขณะที่
“รัฐประหาร” หมายถึง “วิธีการยึดอำนาจการปกครอง” โดยใช้กำลังและอย่างฉับพลัน,
“อภิวัฒน์”(ใช้ศัพท์ตามที่ท่านปรีดี พนมยงศ์ แนะนำ) มุ่งไปที่ “วัตถุประสงค์”
ของการยึดอำนาจ เพื่อเปลี่ยนแปลง”หลักมูล” หรือ “ระบบ”
ให้ก้าวหน้าหรือดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เดิม.
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24
มิถุนายน 2475 จึงเป็นทั้งการ “รัฐประหาร” และ “การอภิวัฒน์”
ระบอบการปกครองของชาติไทย เพราะ”คณะราษฎร”ได้ยึดอำนาจรัฐโดยฉับพลัน
และเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแผ่นดินให้มีลักษณะที่ก้าวหน้าไปจากที่เป็นอยู่เดิม.
สำหรับการยึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่
19 กันยายน 2549 นั้น เป็น”การรัฐประหาร” เพราะมิได้เปลี่ยนแปลง”หลักมูล” หรือ
“ระบอบการปกครอง”ของประเทศ,
แม้ว่าเป็นการกระทำรัฐประหารเพื่อ”ฟื้นฟู”การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ซึ่งได้รับการบิดเบือนและความบอบช้ำในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นก็ตาม.
ปัญหาที่ “คาใจ”
อีกปัญหาหนึ่งก็คือความเข้าใจที่ไม่สู้จะตรงกันนักของบุคคลต่างๆใน “สาระสำคัญ” ของ
“ประชาธิปไตย”.
หลายคนเข้าใจว่า “การเลือกตั้ง”
ตามที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญคือ “สาระสำคัญของประชาธิปไตย”
เพราะเป็รนการแสดงออกและการใช้”อำนาจอธิปไตย”ของปวงชน,
อีกทั้งเป็นโอกาสสำคัญที่สุดที่ประชาชนทั้งประเทศจะมี”ส่วนร่วม”ในการปกครองบ้านเมือง.
ความเข้าใจดังกล่าวข้างต้นนั้นถูกต้อง
แต่เป็นความถูกต้องเพียงส่วนเดียว เช่นเดียวกับที่กล่าวว่า “นาย ก. ต้องเป็นคนดี
เพราะนาย ก. เป็นครู, เพราะหากเป็นคนไม่ดี ก็คงจะไม่ได้เป็นครู”,
ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว นาย ก. อาจจะมิใช่คนดีก็ได้
และการที่ได้เป็นครูก็อาจจะเนื่องมาจากความบกพร่องบางประการของระบบการคัดเลือกแต่งตั้ง.
การเลือกตั้งในระบบประชาธิปไตยจะต้องเป็นการเลือกตั้งที่มีความบริสุทธิ์ยุติธรรมปราศจากกดารครอบงำโดยอำนาจเงิน,
อำนาจรัฐ หรือ กระบวนการที่บิดเบือนไปจากจริยธรรมและความสุจริต,
ในขณะที่การใช้สิทธิเลือกตั้งพึงจะต้องเป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจในการเลือกตั้งนั้นอย่างถ่องแท้
และตัดสินใจเลือกตั้งด้วยตนเอง โดยไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งใด.
ถ้าหากขาดคุณสมบัติดังกล่าวนี้แล้ว
“การเลือกตั้ง”ก็เป็นเพียงกลไกอย่างหนึ่งในการปกครอง
ซึ่งแม้ในประเทศที่ปกครองในระบอบเผด็จการก็อาจมี “การเบือกตั้ง”ได้
ดังที่มีตัวอย่างให้เห็นในบางประเทศ.
ดังนั้น
ก่อนที่เราจะไว้วางใจให้การเลือกตั้งเป็นการแสดงออกของประชาธิปไตย เช่นกรณีของประเทศต่างๆที่มีความก้าวหน้าและความเป็นปึกแผ่นของการปกครองระบอบประชาธิปไตย,
จะต้องมีกลไกในการให้ความรู้ความเข้าใจในสาระสำคัญของประชาธิปไตยแก่ประชาชนอย่างแท้จริง,
เช่นเดียว กับการให้ข้อมูลอันเป็นความจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เสนอขาย
มิใช่ใช้วิธีการหลอกลวงให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดด้วยวิธีการตลาดต่างๆ.
เมื่อผู้บริโภคมีข้อมูลที่ถูกต้องและสมบูรณ์พอสมควรแล้ว
ก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะบริโภคผลิตภัณฑ์นั้นๆหรือไม่.
ในปัจจุบัน
ผู้บริโภคชาวไทยจำนวนไม่น้อยที่ขาดข้อมูลอันถูกต้องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ตัดสินใจซื้อหา
ทำให้เกิดความเสียหายในลักษณะต่างๆอยู่เสมอๆ,
เช่นเดียวกับกรณีของประชาชนผู้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง.
ระบบ”พรรคการเมือง”
เป็นองค์กรสำคัญที่จะทำให้ข้อมูลที่จำเป็นและถูกต้องแก่ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง,
แต่ทั้งนี้ก็จะต้องเป็น”พรรคการเมือง”ที่ก่อตั้งขึ้นโดยมี “อุดมการณ์” เป็นรากฐาน,
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจ”(economic ideology).
“อุดมการณ์”
คือกรอบความคิดที่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีงามและสมบูรณ์อันควรที่จะบรรลุถึง,
ซึ่งพรรคการเมืองพึงประกอบด้วยสมาชิกของพรรคที่มี”อุดมการณ์”อย่างเดียวกัน,
ขณะที่นโยบายของพรรคอาจจะปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม.
ยกตัวอย่างเช่น
พรรคการเมืองอาจจะมีอุดมการณ์ที่ยึดมั่นอยู่กับความมี “อิศราธิปไตยทางเศรษฐกิจ”
ไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติอื่นใด, หากเพื่อความเหมาะสม
หรือด้วยเหตุผลในเชิงผลประโยชน์บางประการ, ก็อาจสนับสนุนนโยบายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศ
อาทิ การเจรจาเปิดเสรีทางการค้าได้.
พรรคการเสืองที่ขาดคุณสมบัติว่าด้วย”อุดมการณ์”ดังกล่าวข้างต้น
จะเป็นเพียงการจัดกลุ่มของนักการเมืองซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกันในบางลักษณะ
และความผูกพันจะคงอยู่ก็ต่อเมื่อการจัดสรรผลประโยชน์ยัง”ลงตัว”, แต่เมื่อใดที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
ก็จะล่มสลายไปโดยอัตโนมัติ, เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ปราศจากรากแก้ว ประเภทพืชล้มลุก.
พรรคการเมืองในลักษณะเช่นนี้ไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ข้อมูลที่จำเป็นและถูกต้องแก่ประชาชนได้
อีกทั้งไม่ใช่พรรคการเมืองที่เป็น “สาระสำคัญ”ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ไม่ว่าจะมีทุนรอนมากเพียงใดและมีจำนวนสมาชิกมากมายเพียงใดก็ตาม.
สุดท้ายก็คือปัญหาที่ว่าการกระทำ”รัฐประหาร”นั้นขัดต่อระบอบประชาธิปไตยหรือไม่
เพียงไร, ซึ่วงคำตอบค่อนข้างจะชัดเจน
หากพิจารณาในบริบทของ”สาระสำคัญ”ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ได้กล่าวมาข้างต้น.
ในกรณีที่ประเทศมีการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยในสาระสำคัญ,
“รัฐประหาร”ซึ่งเป็นการยึดอำนาจการปกครองที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย
ย่อมขัดต่อระบอบประชาธิปไตย.
แต่ในกรณีที่การปกครองประเทศไม่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยหรือระบอบประชาธิปไตยถูกครอบงำและบิดเบือนด้วยอำนาจต่างๆ
จนกระทั่งกระทบกระเทือนต่อ “สาระสำคัญ” ของประชาธิปไตย
โดยไม่มีทางที่จะแก้ไขสถานการณ์ภายใต้ระบอบดังกล่าว,
การทำ”รัฐประหาร”อาจถือได้ว่าเป็นมาตรการที่จำเป็นสำหรับการ”ฟื้นฟู”ประชาธิปไตยให้กลับคืนมาสู่ความถูกต้องง
สำหรับในกรณีที่ระบอบการปกครองประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย,
การทำ”รัฐประหการ”ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะ “อภิวัฒน์”
ระบอบการปกครองให้เป็นระบอบประชาธิปไตย ก็ย่อมจะมีความชอบธรรม.
“รัฐประหาร”ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยมาแล้วนับเป็นสิบครั้ง
ซึ่งส่วนใหญ่เป็น”รัฐประหาร”ที่ขัดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
เพราะเป็นการยบึดอำนาจรัฐด้วยกำลังจากเหตุผลความขัดแย้งทางการเมือง
หรือจากความไม่พอใจในการบริหารประเทศที่ไม่มีประสิทธิผล,
ทั้งนี้โดยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของประชาธิปไตยแต่อย่างใด. นอกจากนั้น
ภายหลังที่ยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จแล้ว คณะผู้ยึดอำนาจโดย”รัฐประหาร”
ก็มิได้มุ่งมั่นที่จะ”ฟื้นฟู”ประชาธิปไตยแต่ประการใด. ในทางตรงข้าม
ในบางกรณีเป็นการล้มการปกครองระบอบประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป.
การทำ”รัฐประหาร”เพื่อการ”อภิวัฒน์”ระบอบการปกครองของประเทศจากระบอบสมบูรณา
-ญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเมื่อวันที่ 24
มิถุนายน 2475 เป็น”รัฐประหาร”เพื่อสถาปนาประชาธิปไตย.
จากนั้นก็มาถึงการยึดอำนาจรัฐด้วย”รัฐประหาร”
เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 นี้เอง ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับ “รัฐประหาร”
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2476,
เพื่อ”ฟื้นฟู”ระบอบประชาธิปไตยที่ได้ถูกครอบงำและบิดเบือน.
อย่างไรก็ตาม,
การสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยก็ดี และการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยก็ดี
เป็นภารกิจที่ยากลำบากกว่าการกระทำ”รัฐประหาร”มากมายนัก, อีกทั้งยังต้องการระยะเวลาพอสมควรอันกอรปด้วยอุดมการณ์ที่มีอุดมคติอันสูงส่งรองรับ.
ซึ่งนำไปสู่
“ปัญหาคาใจ”ที่สำคัญอีกเรื่องหนี่งว่า จะทำกันไหวหรือ.
...จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ -
ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย
ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพ็ชร
ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น