ชนฟรีเมนเป็นที่สุดยอดในคุณลักษณะนั้นที่โบราณเรียกว่า
“คันธนูที่ถูกน้าวโก่งตึง”(spannungbogen*)---ซึ่งก็คือการกำหนด-ตนเองหน่วงไว้ซึ่งระหว่างความกิเลสความอยากในสิ่งหนึ่งกับการกระทำของการเอื้อมไปคว้าสิ่งนั้นมา.
-จาก “ภูมิปัญญา ของ มวด’ดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน
พวกเขาเข้าไปใกล้ ถ้ำแห่งสันเขาตอนฟ้าสาง,
เคลื่อนผ่านรอยแยกของกำแพงแอ่งลุ่มที่แคบมากกระทั่งพวกเขาต้องหันเอียงข้างของลำตัวเพื่อแทรกเข้าไปได้.
เจสสิกา เห็น สติลจาร์ แยกยามทั้งหลายออกในแสงรางของอรุณรุ่ง, มองเห็นพวกเขาชั่วขณะที่พวกเขาเริ่มต้นปีนตะกายของพวกเขาขึ้นไปที่หน้าผา.
พอล เงยศีรษะของเขาขึ้นไปข้างบนขณะที่เขาเดินไป,
มองเห็นพรมแขวนของดาวเคราะห์นี้ตัดตามขวางที่ซึ่งช่องโพรงแยกห่างขึ้นไปยังท้องฟ้าสีเทา-ฟ้า.
ชานี
ดึงที่เสื้อคลุมของเขาเพื่อเร่งเขา, บอก: “เร็วเข้า.
มันมีแสงไปแล้ว.”
“พวกคนที่ปีนขึ้นไปเหนือเรานั้น,
พวกเขาไปที่ไหนกันหรือ?” พอล กระซิบถาม.
“ยามผลัดแรกของกลางวัน,” เธอพูด. “ตอนนี้เร็วเข้า.”
ยามทิ้งไว้ให้อยู่ข้างนอก, พอล คิด. ฉลาด.
แต่มันอาจจะฉลาดกว่ายังคงที่เราเข้าหาสถานที่นี้โดยแยกกลุ่มคณะกัน.
โอกาสน้อยกว่าของการสูญเสียไปทั้งกองทหาร. เขาหยุดในความคิดนั้น,
ตระหนักได้ว่านี่เป็นการคิดแบบกองโจร, และเขาจำได้ถึงความหวาดกลวของบิดาที่อะไรดิสอาจจะกลายเป็นราชสำนักกองโจร.
“เร็วขึ้นอีก,” ชานี กระซิบ.
พอล เร่งก้าวเท้าของเขา,
ได้ยินเสียงเฟี้ยวสะบัดของเสื้อคลุมด้านหลัง. และเขาคิดถึงคำทั้งหลายของ สิรัต จาก
โอ.ซี. ไบเบิ้ล เล่มเล็กของ หยัว.
“สวรรค์อยู่เบื้องขวามือของข้า, นรกอยู่เบื้องซ้ายของข้าและเทพแห่งมรณาที่ด้านหลัง.”
เขาม้วนกลิ้งอัญพจน์นั้นในจิตใจของเขา.
พวกเขาอ้อมมุมหนึ่งที่เส้นทางกว้างขึ้น. สติลจาร์
ยืนอยู่ที่ด้านหนึ่งทำอากัปกิริยาให้พวกเขาเข้าไปในรูช่องต่ำอันหนึ่งที่เปิดอยู่ที่มุมขวามือ.
“เร็วเข้า!” เขาส่งเสียงขู่.
“เราเหมือนกระต่ายเข้าไปในกรงถ้าหน่วยลาดตระเวนจับเราได้ที่นี่.”
พอล ก้มงอร่างกับช่องเปิดนั้น, ติดตาม
ชานี เข้าไปในถ้ำเรืองสว่างอยู่ด้วยแสงจางๆสีเทาจากที่ไหนสักแห่งเหนือศีรษะ.
“เจ้าสามารถยืนขึ้นได้แล้ว,” เธอบอก.
เขาหยัดตัวขึ้น, ศึกษาสถานที่นี้: เป็นพื้นที่ลึกและกว้างมีเพกานรูปโดมที่โค้งอกไปแค่มื้อเอื้อมของผู้ชาย.
กองทหารกระจายกันอกไปผ่านเงาทั้งหลาย. พอล
มองเห็นมารดาของเขาเข้ามาทางด้านหนึ่ง, เห็นเธอตรวจดูสหายทั้งหลายของพวกเขา.
และเขาสังเกตไว้ว่าเธอได้ล้มเหลวที่จะปนเปเข้ากับพวกฟรีเมนแม้กระทั่งเสื้ผ้าของเธอก็ดูโดดเด่น.
วิธีที่เธอเคลื่อนที่---ช่างเป็นสัมผัสรู้ได้ถึงพลังอำนาจและสง่างาม.
“หาที่ที่จะพักผ่อนและหลีกให้พ้นทาง, เด็ก-ชาย,” ชานี
พูด. “นี่, อาหาร.” เธอยัดอาหารสองคำที่ห่อด้วยใบไม้เข้ามาในมือของเขา.
พวกนั้นมีกลิ่นอวลด้วยเครื่องเทศ.
สติลจาร์ เข้ามาที่เบื้องหลังของ เจสสิกา,
ออกคำสั่งที่กลุ่มทางด้านซ้ายมือ.
“ผนึกประตูให้เข้าที่และดูที่ความมั่นคงปลอดภัยของความชื้นด้วย.” เขาหันไปที่ฟรีเมนอื่น: “เลมิล, เอาโคมกลมเรืองแสงมา.” เขาจับแขนของ เจสสิกา.
“ข้าปรารถนาจะให้เจ้าเห็นบางอย่าง, แม่หญิงพิกล.”เขานำเธออ้อมโค้งหินไปยังแหล่งกำเนิดของแสง.
เจสสิกา
พบตนเองกำลังมองออกไปข้ามชายขอบกว้างของช่องเปิดของถ้ำอีกแห่งหนึ่ง,
ช่องเปิดสูงอยู่ในกำแพงผา---มองออกไปข้ามแอ่งลุ่มอีกแห่งหนึ่งราวสิบหรือสิบสองกิโลเมตรกว้าง.
แอ่งลุ่มนั้นถูกโ,ล้อมโดยกำแพงหินสูง. กลุ่มก้อนหร็อมแหร็มของพืชเติบโตกระจายอยู่รอบมัน.
ขณะที่เธอมองยังแอ่งลุ่มในแสงอรุณสีเทานั้น,
ดวงอาทิตย์ได้ยกตัวขึ้นเหนือหน้าผาสูงชันสาดแสงส่องสีน้ำตาลอ่อนอาบไล้ภูมิประเทศของหมู่หินและทราย.
และเธอสังเกตไว้ว่าดวงอาทิตย์ของ อาร์ราคิส
ปรากฏว่าเหมือนจะกระโจนข้ามเส้นขอบฟ้า.
มันเป็นเพราะเราต้องการที่จะกุมยึดมันกลับมา,
เธอคิด. กลางคืนนั้นปลอดภัยกว่ากลางวัน.
แล้วก็มาท่วมท้นเธอจากนั้นเป็นความโหยหาถึงรังกินน้ำในสถานที่นี้ซึ่งจะไม่มีวันได้เห็นฝนตก.
ข้าต้องหยุดยั้งการโหยหาเช่นนี้, เธอคิด. พวกมันคือความอ่อนแอ.
ข้าไม่สามารถมีความอ่อนแออีกต่อไปได้.
สติลจาร์ คว้าแขนของเธอ,
ชี้ข้ามแอ่งลุ่มนั้นไป. “นั่น! นั่นไงที่เจ้ามองเห็นพวกดรูสสิ์(Druses*- หน่วยทหารลับ/รากเหง้าของกองกำลังฟาติมิด-อิสลามโบราณ)อย่างชัดเจน.”
*
https://aboutsalama.blogspot.com/2020/05/100-arabic-words-in-frank-herberts-dune.html
เธอมองไปยังที่ซึ่งเขาได้ชี้, เห็นการเคลื่อนไหว: ผู้คนบนพื้นของแอ่งลุ่มกระจายกันอยู่ในแสงกลางวันเข้าไปสู่ร่มเงาของหน้าผาฝั่งตรงข้าม.
กับระยะที่ห่างไกลนั้น, การเคลื่อนไหวของพวกเขาเปิดเผยในอากาศปลอดโปร่ง.
เธอยกกล้องส่องทางไกลของเธอขึ้นมาจากในใต้เสื้อคลุมของเธอ,
ปรับความเพ่งชัดชัดของเลนส์แบบน้ำมันไปที่ผู้คนระยะไกลนั้น. ผ้าพันคอปลิวสะบัดอยู่เหมือนปีกบินหลากสีขอผีเสื้อ.
“นั่นคือบ้าน,” สติลจาร์ พูด.
“เราจะไปอยู่ที่นั้นในคืนนี้.” เขาจ้องข้ามแอ่งลุ่มไป, ดึงหนวดของตนเอง.
“ผู้คนของข้าอยู่ทำงานข้างนอกนั่นสายเกินเวลา. นั่นหมายความว่าไม่มีหน่วยลาดตระเวนอยู่แถวนั้น.
ข้าจะส่งสัญญานให้พวกเขาที่หลังและพวกเขาจะเตรียมพร้อมให้เรา.”
“ผู้คนของเจ้าแสดงความมีระเบียบวินัยที่ดี,” เจสสิกา
พูด. เธอลดกล้องส่องทางไกลต่ำลง, มองเห็น สติลจาร์ กำลังมองดูพวกนั้น.
“พวกเขาเชื่อฟังสิ่งที่ธำรงรักษาไว้ของเผ่า,”
เขาพูด. “มันเป็นวิถีที่เราเลือกในหมู่ของพวกเราสำหรับผู้นำ.
ผู้นำคือผู้ที่แข็งแรงที่สุด, ผู้ที่นำมาซึ่งน้ำและความมั่นคงปลอดภัย.”
เขายกความสนใจของเขามายังใบหน้าของเธอ.
เธอตอบกลับการจ้องมองของเขา,
สังเกตไว้ถึงดวงตาไร้ความขาว, รอยเปื้อนในเบ้าตา, ฝุ่มเกาะริมขอบของเคราและหนวด, เส้นรอยของหลอดท่อดักจับโค้งลงจากรูจมูกเข้าไปในสติลล์สูทของเขา.
“ข้าไม่ได้ยอมรับความเป็นผู้นำของเจ้าด้วยการเอาชนะต่อเจ้าหรอกหรือ,
สติลจาร์? เธอถาม.
“เจ้าไม่ได้ท้าประลองต่อข้าออกมา,” เขาพูด.
“มันเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้นำจะต้องคอยระวังรักษาความเคารพนับถือในกองทหารของเขา,”
เธอพูด.
“ไม่ใช่ตัวหนึ่งในพวกเห็บทรายที่ข้าไม่สามารถจัดการได้,”
สติลจาร์ พูด. “เมื่อเจ้าเอาชนะข้า, เจ้าก็เอาชนะพวกเราทั้งหมด. ตอนนี้,
พวกเขาหวังที่จะเรียนจากเจ้า.....วิธีพิกลพิลึกนั้น.....และบางคนก็กระหายที่จะได้เห็นว่าเจ้าตั้งใจที่จะท้าประลองกับข้าอกมา.”
เธอชั่วน้ำหนักความหมายโดยนัยนั้น.
“ด้วยการเอาชนะเจ้าในการต่อสู้อย่างเป็นทางการหรือ?”
เขาพยักหน้า. “ข้าควรแนะนำเจ้าคัดค้านในเรื่องนี้เพราะว่าพวกเขาจะไม่เชื่อฟังเป็นบริวารเจ้า.
เจ้าไม่ใช่มาคนของทะเลทราย. พวกเขามองเห็นสิ่งนี้ในการเดินทางเมื่อคืนที่ผ่านมา.”
“ผู้คนนักปฏิบัติ,” เธอพูด.
“จริงเพียงพอ,” เขาเหลือบมองแอ่งลุ่มนั้น. “เรารู้ถึงความจำเป็นต้องการของเรา.
แต่ไม่มีมากนักที่คิดอย่างใคร่ครวญลึกซึ้งในตอนใกล้จะถึงบ้านเช่นนี้.
เราได้ออกมานานเกินไปในการจัดแจงเพื่อส่งมอบเครื่องเทศตามโควต้าของเราต่อพ่อค้าอิสระสำหรับพวกเวรกิลด์นั้น.....ขอให้ใบหน้าของพวกมันดำมืดไปตลอดชั่วกาลนานเถิด.”
เจสสิกา หยุดอาการหันหนีไปจากเขา,
มองกลับขึ้นไปยังใบหน้าขอเขา. “พวกกิลด์รึ? พวกกิลด์มายุ่งอะไรกับเครื่องเทศของเจ้า?”
“มันเป็นคำบัญชาของ เลียต,” สติลจาร์
พูด. “เรารู้ถึงเหตุผลนั้น, แต่รสชาติของมันเปรี้ยวลิ้นสำหรับเรา. เราติดสินบนพวกกิลด์ด้วยการจ่ายอย่างมหึมาในเครื่องเทศเพื่อรักษาท้องฟ้าของเราให้ปลอดจากดาวเทียมและอะไรเป็นเช่นไร้ผู้สอดแนมอะไรที่เราทำกันบนพื้นผิวของอาร์ราคิส.”
เธอชั่งน้ำหนักออกมากับคำพูดของเธอ, จำได้ว่า พอล
เคยพูดไว้ถึงเรื่องนี้ว่ามันต้องมีเหตุผลที่ท้องฟ้าอาร์ราคีนนั้นปลอดโล่งจากดาวเทียมทั้งหลาย.
“และอะไรหรือคือที่เจ้าทำบนพื้นผิวของอาร์ราคิสที่ต้องไม่ถูกพบเห็นได้?”
“เราเปลี่ยนแปลมัน.....อย่างช้าๆแต่ด้วยความแน่นอน.....ที่จะทำมันให้เหมาะสมกับชีวิตมนุษย์.
ชนรุ่นเราจะไม่เห็นมัน, หรือลูกๆของเราหรือลูกของลูกเราทั้งหลายหรือหลานของหลานพวกเขา.....แต่มันจะมาถึง,”
เขาจ้องมองด้วยดวงตาถูกปิดคลุมด้วยผ้าออกไปเหนือแอ่งลุ่มนั้น.
“น้ำเปิดโ,งและพืชสีเขียวยืนต้นสูงแลผู้คนเดินไปอย่างอิสระปราศจากสติลล์สูท.”
และนั้นคือความฝันของ เลียต-คายนิ์สผู้นี้, เธอคิด.
และเธอพูด: “การติดสินบนทั้งหลายคืออันตราย;
พวกเขามีวิธีการที่จะทำให้มันเติบใหญ่โตขึ้นและโตขึ้น.”
“พวกมันเติบโตขึ้น,” เขาบอก, “แต่วิธีที่ช้านั้นเป็นหนทางที่ปลอดภัย.”
เจสสิกา หัน, มองออกไปเหนือแอ่งลุ่มนั้น,
พยายามที่จะมองมันในวิธีที่ สติลจาร์ ได้มองเห็นมันในจินตนาการของเขา.
เธอเห็นแต่เพียงรอยเปื้อนสีเทาเหลืองมัสตาร์ดของกลุ่มก้อนหินระยะไกลและการเคลื่อนไหวฉับพลันพร่ามัวในท้องฟ้าเหนือผาชันนั้น.
อาห์-ห-ห-ห,” สติลจาร์ พูด.
เธอคิดในทีแรกว่ามันต้องเป็นยานลาดตระเวน,
แล้วก็ตระหนักได้ว่ามันคือ ภาพลวงตา(mirage – ภาพเงาสะท้อนในทะเลทราย)---อีกหนึ่งภูมิทัศน์ฉวัดเฉวียนอยู่เหนือทราย-ทะเลทรายและพฤกษชาติที่แกว่งไกวอยู่ห่างไปไกลและในกลางระยะห่างไกลนั้นมีหนอนทรายเดินทางท่องไปบนพื้นผิวด้วยอะไรที่มองดูเหมือนเสื้อคลุมฟรีเมนโบกสะบัดอยู่บนหลังของมัน.
ภาพลวงตาจางหายไป.
“มันน่าจะดีกว่าที่ขี่ไป,” สติลจาร์ พูด,
“แต่เราไม่สามารถยอมให้ผู้สร้างเข้ามาในแอ่งลุ่มนี้ได้. ดังนั้น,
เราต้องเดินกันอีกครั้งในคืนนี้.”
ผู้สร้าง---คำที่พวกเขาใช้กับหนอนทราย, เธอคิด,
ประโยคที่ว่าพวกเขาไม่สามารถยอมให้หนอนทรายเข้ามาในแอ่งลุ่มนี้.
เธอรู้ว่าอะไรที่เธอได้เห็นในภาพลวงตานั้น---ฟรีเมนกำลังขี่อยู่บนบนหลังของหนอนยักษ์.
มันต้องใช้การควบคุมอย่างหนักหน่วงที่จะไม่ทรยศต่อการตื่นตระหนกต่อความนัยนั้น.
“เราต้องกลับไปหาคนอื่นๆ,” สติลจาร์ พูด.
“มิเช่นนั้นผู้คนของข้าอาจจะสงสัยว่าข้าชักช้าโอ้เอ้อยู่กับเจ้า.
บางคนได้อิจฉาไปแล้วที่มือของข้าได้ลิ้มรสความน่ารักของเจ้าเมื่อตอนที่เราต่อสู้กันเมื่อคืนวานใน
แอ่งลุ่ม ทัวโน.”
“นั่นจะเป็นที่เพียงพอกับเรื่องนั้นแล้ว!” เจสสิกา ตวาด.
“อย่าขุ่นเคือง,” สติลจาร์ บอก,
และเสียงของเขาอ่อนโยนลง.
“ผู้หญิงในท่ามกลางหมู่เราไม่ขัดขืนความประสงค์ของเขากัน.....และกับเจ้า.....”
เขายักไหล่. “.....กระทั่งประเพณีปฏิบัตินั่นก็ไม่จำเป็นต้องมี.”
“เจ้าเก็บเตือนเอาไว้ในใจอยู่ตลอดว่าข้านั้นคือท่านหญิงของดยุค,”
เธอพูด, แต่น้ำเสียงของเธอสงบลง.
“ตามที่เจ้าปรารถนา,” เขาพูด.
มันถึงเวลาที่จะปิดผนึกช่องเปิดนี้แล้ว,
เพื่ออนุญาตการผ่อนคลายออกจากข้อบังคับสวมสติลล์สูท.
ผู้คนของข้าจำเป็นต้องพักอย่างสบายในตอนวันนี้. ครอบครัวของเขาทั้งหลายจะให้เขาได้พักน้อยลงกับพรุ่งนี้.”
ความเงียบอยู่ระหว่างพวกเขา.
เจสสิกา จ้องออกเข้าไปในแสงแดด. เธอได้ยินอะไรที่เธอได้ยินในน้ำเสียงของ
สติลจาร์---คำเสนอที่ไม่ได้พูดของอะไรที่มากกว่าการยอมรับของเขา.
เขาจำเป็นต้องการภรรยาหรือ? เธอตระหนักได้ว่าเธอสามารถก้าวเข้าไปในที่นั้นได้กับเขา.
มันควรจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะจบความขัดแย้งลงในเรื่องผู้นำเผ่า---ผู้หญิงอยู่ในที่ทางที่เหมาะสมก็ด้วยกับผู้ชาย.
แต่อะไรในเรื่องของ พอล ล่ะ?
ใครควรจะบอกถึงกฏทั้งหลายของความเป็นบิดามารดาที่มีอยู่ทั่วไปของที่นี่?
และอะไรของธิดาที่ยังไม่กำเนิดที่เธอได้แบกมาด้วยกับสองสามสัปดาห์นี้?
อะไรของเรื่องธิดาของดยุคผู้วายชนม์?
และเธอยอมให้ตนเองที่จะเผชิญหน้าอย่างเต็มที่ต่อความสำคัญของลูกอีกคนหนึ่งที่กำลังเติบโตอยู่ในตัวเธอ,
ที่จะได้เห็นแรงกระตุ้นของเธอเองในการยอมรับถึงภาวะการตั้งครรภ์นี้.
เธอรู้ดีว่าอะไรที่มันเป็น---เธอได้ยอมจำนนต่อแรงขับดันอันลึกซึ้งที่ถูกแบ่งปันโดยบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งปวงผู้ถูกเผชิญกับความตาย---แรงขับดันที่จะเสาะหาความเป็นอมตะผ่านลูกหลาน.
แรงขับดันภาวะเจริญพันธุ์แห่งมนุษยชาติได้มีอำนาจเหนือกว่าพวกเขา.
เจสสิกา ชำเลืองมองยัง สติลจาร์,
มองเห็นว่าเขากำลังศึกษาเธออยู่, รอคอย. ลูกสาวคนหนึ่งกำเนิดที่นี่กับผู้หญิงที่แต่งงานกับใครคนหนึ่งที่เป็นเช่นชายผู้นี้---อะไรจะเป็นโชคชะตาของลูกสาวคนหนึ่งเช่นนี้หรือ?
เธอถามตนเอง. เขาจะพยายามที่จะจำกัดความจำเป็นทั้งหลายที่ เบเน เกสเสอริต
ผู้หนึ่งต้องทำตามหรือไม่?
สติลจาร์ กระแอมในลำคอและเปิดเผยกระนั้นว่าเขาเข้าใจถึงคำถามในใจของเธอ.
“อะไรที่สำคัญสำหรับการเป็นผู้นำคือสิ่งซึ่งทำให้เขาเป็นผู้นำ.
มันเป็นสิ่งจำเป็นต้องการของผู้คนของเขา. ถ้าเขาสอนข้าถึงพลังอำนาจของเจ้า,
อาจมีวันหนึ่งมาถึงเมื่อหนึ่งในเราต้องท้าทายต่ออีกผู้หนึ่ง. ข้าควรจะชอบทางเลือกมากกว่า.”
“มีทางเลือกอยู่หลากหลายหรือ?” เธอถาม.
“เซย์ยาดินา,” เขาพูด. “แม่อธิการของเรานั้นชราแล้ว.”
แม่อธิการของพวกเขา!
ก่อนที่เธอจะสามารถสืบสวนเรื่องนี้ได้,
เขาพูด: “ข้าไม่จำเป็นที่จะต้องเสนอตัวข้าเองเป็นเช่นคู่ครอง.
นี่ไม่มีอะไรเป็นการส่วนตัว, เพราะเจ้านั้นงามและน่าปรารถนา.
แต่ควรหรือที่เจ้าจะกลายมาเป็นหนึ่งในผู้หญิงของข้า,
นั่นอาจจะนำบางคนหนุ่มของข้าที่จะเชื่อว่าข้านั้นกังวลอยู่กับความพึงใจในเนื้อหนังของมากเกินไปและไม่เพียงพอในการกังวลถึงความจำเป็นต้องการของเผ่า.
กระทั่งในตอนนี้พวกเขาก็ฟังเราะเฝ้าดูเราอยู่.
ชายผู้ชั่งน้ำหนักการตัดสินของเขา,
ผู้คำนึงถึงผลลัพธ์, เธอคิด.
“มีพวกที่อยู่ในหมู่คนหนุ่มของข้าผู้ที่ได้ถึงวัยของวิญญาณร้อนรนตามธรรมชาติ,”
เขาพูด. “พวกเขาต้องปลดปล่อยมันไปตามคาบเวลา.
ข้าต้องไม่ทิ้งเหตุผลยิ่งใหญ่ทั้งหลายไว้รอบๆเพื่อพวกเขาที่จะท้าประลองกับข้าได้.
เพราะว่าจะต้องไม่ทำให้พิการและฆ่าในหมู่พวกเขา.
นี่ไม่ใช่เหตุอันเหมาะสมสำหรับผู้นำถ้ามันสามารถเป็นที่หลีกเลี่ยงได้อย่างมีเกียรติ.
ผู้นำนั้น, เจ้าก็รู้,
คือหนึ่งในหลายสิ่งที่แบ่งแยกฝูงชนก่อความวุ่นวายออกจากผู้คน. เขาธำรงระดับของความเป็นส่วนตัวทั้งหลายไว้.
ความเป็นส่วนตัวทั้งหลายที่น้อยเกินไป, และผุ้คนก็จะเปลี่ยนหันไปเป็นฝูงชนวุ่นวาย.
คำพูดทั้งหลายของเขา, ความลึกของความตระหนักรู้ถึง,
ความจริงที่เขาได้พูดอย่ามากมายต่อเธอดุจเป็นผู้ได้ฟังความลับ,
บังคับเธอให้ประเมินในตัวเขาใหม่.
เขามีภูมิรู้, เธอคิด.
เราได้เรียนรู้ความสมดุลภายในขนาดนี้มาจากที่ไหนหรือ?
“กฎหมายที่เรียกร้องรูปแบบของเราแห่งการเลือกผู้นำนั้นคือแค่กฎหมายหนึ่ง,”
สติลจาร์ พูด.
“แต่มันไม่ได้เป็นไปตามความยุติธณรมที่มักเป็นสิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องการ.
อะไรที่เราจำเป็นต้องการจริงๆในตอนนี้ก็คือเวลาที่จะเติบโตและเจริญก้าวหน้า,
เพื่อเร่งแรงกำลังของเราเหนือแผ่นดินนี้ให้มากยิ่งขึ้น.”
อะไรคือบรรพบุรุษของเขาหรือ? เธอสงสัยในใจ.
จากที่ใดกันหรือซึ่งให้สายพันธุ์เยี่ยงนี้? เธอพูด. “สติลจาร์,
ข้าได้ประเมินเจ้าต่ำไป.”
“เยี่ยงนั้นแหละที่ข้าสงสัย,” เขาพูด.
“เราแต่ละคนปรากฏว่าต่างก็ได้ประเมินซึ่งกันและกันต่ำไป,”
เธอพูด.
“ข้าควรจะชอบการจบกับเรื่องนี้,” เขาพูด.
“ข้าควรชอบมิตรภาพกับเจ้า.....และไว้วางใจ.
ข้าควรชอบว่านับถือซึ่งกันและกันที่เติบโตขึ้นในอกโดยปราศจากการเรียกร้องสำหรับการกอดรัดของกามารมณ์.”
“ข้าเข้าใจ,” เธอพูด.
“เจ้าไว้วางใจในข้าไหม?”
“ข้าได้ยินความจริงใจของเจ้า.”
“ในท่ามกลางพวกเรา,” สัยยาดินา นั้น,
คือเมื่อพวกเขาไม่ใช่ผู้นำเป็นทางการ, ครองตำแหน่งพิเศษแห่งเกียรติ. พวกเขาสอน.
พวกเขาธำรงความแข็งแรงของพระเจ้าที่นี่.” เขาแตะที่หน้าอกของตน.
ตอนนี้ข้าต้องสืบค้นความลี้ลับของแม่อธิการนี้,
เธอคิด.
และเธอพูด: “เจ้าพูดถึงแม่อธิการของเจ้า.....และข้าได้ยินคำทั้งหลายของตำนานและคำพยากรณ์.”
“มันถูกกล่าวไว้ว่า เบเน เสเสอริตหนึ่งและบุตรของเธอกุมกุญแจสู่อนาคตของพวกเราไว,”
เขาพูด.
“เจ้าเชื่อว่าข้าคือผู้นั้น?”
เธอเฝ้ามองใบหน้าของเขา, คิด: ไม้รวกอ่อนตายได้ง่าย. การเริ่มต้นทั้งหลายนั้นเป็นระยะเวลาของภัยอันตรายใหญ่หลวงยิ่ง.
“เราไม่รู้,” เขาพูด.
เธอพยักหน้ารับ, คิด: เขาเป็นชายที่น่านับถือ.
เขาต้องการสัญญานจากข้า,
ต่เขาจะไม่เบี่ยงเบนโชคชะตาด้วยการบอกกับข้าถึงสัญญานนั้น.
เจสสิกา
หันศีรษะของเธอ, มองไปยังแอ่งลุ่มที่เงาสีทอง, เงาสีม่วง,
อากาศกระเพื่อมสั่นพร่าของฝุ่น-ธุลีข้ามปากทางขอบถ้ำของพวกเขาออกไป.
จิตใจของเธอถูกเติมเต็มทันทีทันใดด้วยความระมัดระวังดุจแมว.
เธอรู้ว่าการพูดศัพท์เฉพาะของ มิชชั่นนาเรีย โพรเท็คว่า,
รู้ว่าอย่างไรที่จะดัดแปลงกลวิธีต่อตำนานและความหวาดกลัวและความหวังเข้ากับความจำเป็นเร่งด่วนของเธอ,
แต่เธอสัมผัสรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงที่นี่.....ราวกับว่าใครบางคนได้มาอยู่ในท่ามกลางฟรีเมนเหล่านี้และใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากรอยระทัยตราของมิชชั่นนาเรีย
โพรเท็คติว่านั้น.
สติลจาร์ กระแอมในลำคอ.
เธอสัมผัสรู้ถึงความไม่ทนรอของเขา,
รู้ว่ากลางวันกำลังเคลื่อนข้างหน้าและผู้คนกำลังรอคอยอยู่ที่ปิดผนึกช่องเปิดนี้.
นี่เป็นเวลาสำหรับความกล้าในส่วนของเธอ, และเธอตระหนักได้ว่าอะไรที่เธอจำเนต้องการ: บาง ดาร์ อัล-ฮิกมาน, บางการเรียนวิชาการแปลภาษานั่นน่าจะให้เธอได้.....
“อาดับ,”
เธอกระซิบ.
จิตใจของเธอรู้สึกราวกับว่ามันได้กลิ้งไปอยู่ภายในเธอ.
เธอจดจำได้ถึงความสัมผัสรู้สึกด้วยการเต้นรัวของชีพจร.
ไม่มีอะไรในบรรดาการฝึกฝนของเบเน เกสเสอริตนำพามาเช่นสัญญานของการรู้จำเยี่ยงนี้.
มันสามารถเป็นได้แค่ อาดับ(adab* - ครรลอง )เท่านั้น,
* https://delphipages.live/th///adab-literature
ความทรงจำที่เรียกร้องซึ่งมาสู่เจ้าด้วยตัวมันเอง.
เธอให้ตนเองขึ้นสู่มัน, ยอมให้คำทั้งหลายนั้นหลั่งไหลไปจากเธอ.
“อิบัน คีร์ทาอิบา,” เธอพูด,
“ตราบเท่าที่จุดนั้นที่ซึ่งธุลีสิ้ทั้งหลายสิ้นสุด.”
เธอเหยียดแขนออกไปจากเสื้อคลุมของเธอ, มองเห็นดวงตาของ สติลจาร์ เบิกกว้าง.
เธอได้ยินเสียงสับ
https://dune.fandom.com/wiki/List_of_Dune_terminology
(Ibn qirtaiba*
- กิระนั้นจึงทรงพระวาทะ...)
สนของเสื้อคลุมมากมายในทางเบื้องหลัง.
“ข้าเห็น.....ฟรีเมนกับคัมภีร์แห่งอุทาหรณ์,” เธอขับขาน. “เขาอ่านต่อ อัล-แลต(al-Lat*),
ดวงอาทิตย์ผู้ที่เขาได้จำกัดความและบำราบ. เขาอ่านต่อ ซาดุสแห่งสวรรค์วินิจฉัยและนี้คือสิ่งที่เขาอ่าน:
“ศัตรูทั้งหลายของข้าเป็นดั่งดาบเขียวได้กินจนหมด
ที่ได้ยืนอยู่ในเส้นทางแห่งพายุร้าย.
สูเจ้ามิได้เห็นอะไรที่ผู้เป็นเจ้าของเราได้ทำหรือ?
ท่านได้ส่งโรคระบาดนั้นมาท่ามกลางพวกเขา
ที่ได้วางแผนการร้ายต่อเรา.
พวกนั้นเหมือนนกทั้งหลายแตกกระจายไปด้วยพรานล่า.
แผนการของพวกเขาเป็นเช่นยาเม็ดทั้งหลายแห่งพิษ
ที่ทุกปากปฏิเสธ.
ความสั่นเทาหนึ่งได้ผ่านร่างเธอ.
เธอทิ้งแขนของตนลง.
กลับสู่เธอจากเงามืดของถ้ำมาเป็นการตอบรับอย่างกระซิบกระซาบของเสียงมากมาย.
“งานทั้งหลายของพวกเขาได้ถูกพลิกคว่ำ.”
“ไฟแห่งพระเจ้าพอกพูนขึ้นเหนือหัวใจของเจ้า,”
เธอพูด. และเธอคิด: ตอนนี้, มันไปในช่องทางที่ถูกต้องแล้ว.
“ไฟแห่งพระเจ้าได้ลุกสว่างแล้ว,”
เสียงตอบรับมา.
เธอพยักหน้า. “ศัตรูของพวกสูทั้งหลายจะแพ้พ่าย,”
เธอพูด.
“ไบ-ลา คาอิฟะ(bi-la kaifa* - สาธุ),” พวกเขาตอบรับ.
ในอึดใจทันใดนั้น,
สติลจาร์ ค้อมกายต่อเธอ. “เซย์ยาดินา,” เขาพูด. “ถ้าไช-ฮูลุดสงเคราะห์,
กระนั้นเจ้าอาจยังมิได้ผ่านภายในมาสู่เป็นแม่อธิการ.”
ผ่านภายใน,
เธอคิด. วิธีแปลกของการวางมันไว้.
แต่ที่เหลือของมันเหมาะเจาะเข้าไปในกระป๋องดีเพียงพอ. และเธอรู้สึกความขมขื่นน่าเหยียดหยามกับอะไรที่เธอได้ทำไป.
มิชชั่นนาเรีย พร็อคติวาของเราน้อยนักที่จะล้มเหลว.
สถานที่หนึ่งได้ถูกจัดเตรียมไว้เพื่อเราในที่ป่าเถื่อนนี้. ผู้ภาวนาของละหมาดนั้น(the salat* - คำอธิษฐาน)ได้แกะสลักสถานที่หลบภัยของ
* https://th.glosbe.com/id/th/salat
เรานี้ออกมา.
ตอนนี้.....ข้าต้องเล่นในบทของ ออลิยะ(Auliya* - นักบุญ), มิตรแห่งพระเจ้า...
* https://th.nipponkaigi.net/wiki/Wali
เซย์ยาดินา เพื่อแต้มชาดผู้คนที่ได้ฝังใจมาอย่างหนักยิ่งกับผู้ทำนายแห่งเบเน
เกสเสอริตของเราซึ่งพวกเขากระทั่งเรียกหัวหน้านักบวชสตรีของพวกเขาว่าแม่อธิการ.
พอล ยืนอยู่ข้าง
ชานีในเงามืดของถ้ำตอนใน.
เขายังคงสามารถได้รสชาติมอเรลชิ้นเล็กที่เธอได้เลี้ยงอาหารเขา---เนื้อนกและธัญพืชคลุกเข้ากันกับเครื่องเทศหวานฉ่ำห่ออยู่ในด้วยใบไม้.
ในลิ้มรสมันเขาได้ตระหนักว่าตนไม่เคยมาก่อนที่ได้กินเครื่องเทศเนื้อแท้ที่เข้มข้นขนาดนี้และได้มีชั่วขณะหนึ่งของความกลัว.
เขารู้ว่าอะไรที่เนื้อแท้นี้สามารถทำต่อเขาได้---ความแปลกใหม่ของเครื่องเทศนี้ที่ผลักดันจิตของเขาเข้าไปในการตื่นรู้ถึงสิ่งล่วงหน้า.
“ไบ-ลา คาอิฟะ,” ชานี กระซิบ.
เขามองดูเธอ, เห็นความกลัวเกรงซึ่งมีกับฟรีเมนได้ปรากฏออกมาที่จะยอมรับคำพูดของมารดาของเขา.
มีเพียงชายที่ถูกเรียกว่า จาร์มิส
ที่ดูเหมือนจะยืนอยู่ห่างไปจากพิธีกรรมนี้, กุมตัวเขาเองแยกจากด้วยแขนกอดอกของตนอยู่.
“ดุย ยัคฮะ ฮิน มานจี(duy yakha hin
mange*),”
ชานี กระซิบ. “ดุย ปุนระ ฮิน มานจี(duy punra hin mange*).
ข้ามีสองตา. ข้ามีสองเท้า.”
และเธอหันมาจ้องมอง พอล
ด้วยสายตาที่ระหลาดใจ.
พอล สูดหายใจเข้าลึก,
พยายามที่จะสงบพายุร้ายภายในตัวของเขา.
คำพูดของมารดาของเขาได้ติดแน่นเข้ากับการทำงานของแก่นแท้เครื่องเทศ,
และเข้าได้รู้สึกว่าเสียงของเธอสูงขึ้นและร่วงลงภายในตัวเขาเหมือนเงาทั้งหลายของไฟลุกโพลง.
ผ่านมันทั้งหมดไป, เขาได้สัมผัสรู้ถึงขอบริมของลัทธิเย้ยหยันโลกในตัวเธอ---เขารู้จักเธอดี---แต่ไม่มีอะไรสามารถหยุดสิ่งนี้ได้ที่เริ่มต้นขึ้นด้วยอาหารชิ้นน้อยนี้.
เจตจำนงอันน่ากลัว!
เขาสัมผัสรู้มัน,
กระแสจิตสำนึกที่เขาไม่สามารถหลบหนีได้. มีมีความกระจ่างแจ้งอันคมชัด,
กระแสที่ไหลหลั่งเข้ามาของข้อมูล, ความเที่ยงตรงเย็นเยียบของสติตื่นรู้ของเขา.
เขาจมลงสู่พื้นห้อง, นั่งโดยหลังพิงเข้ากับก้อนหิน, ให้ตนเองยอมต่อมัน.
สติตื่นรู้ไหลเข้าไปในระดับชั้นไร้กาละที่เขาสามารถทัศนาเวลา,
สัมผัสรู้มรรคาที่ใช้การได้, สายลมทั้งหลายของอนาคต.....สายลมทั้งหลายของอดีต: ภาพทัศน์แบบเอก-เนตรของอนาคต---ทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันอยู่ในภาพทัศน์แบบไตรเนตรซึ่งอนุญาตให้เขาได้เห็นเวลา-กลายเป็น-อวกาศ.
มีอันตราย, เขารู้สึกได้, ของการรุกล้ำตัวของเขาเอง,
และเขาต้องยึดอยู่กับสติตื่นรู้ของเขาแห่งปัจจุบัน,
การสัมผัสรู้การเบี่ยงเบนพร่ามัวของประสบการณ์รับรู้, ชั่วขณะที่ไหลหลั่ง,
การแข็งตัวอย่างต่อเนื่องของ สิ่ง-ซึ่ง-ได้เข้าสู่ชั่วนิรันดร-เป็น.
ในการตะครุบคว้าปัจจุบัน, เขาหลงไปกับเป็นครั้งแรกของความคงที่มหึมาของการเคลื่อนของเวลาทุกแห่งที่สลับซับซ้อนจากการเลื่อนเปลี่ยนย้ายของกระแส,
คลื่น, กระเพื่อมระลอก, และระลอกกระชากสวนกลับทั้งหลาย,
เหมือนโต้คลื่นต้านอยู่บนหน้าผาหิน.
มันให้เขาซึ่งความเข้าใจใหม่ของการรู้ล่วงหน้าของเขา,
และเขามองเห็นแหล่งกำเนิดซึ่งจุดบอดของเวลา, แหล่งกำเนิดของความผิดพลาดในมัน,
ด้วยการสัมผัสรู้ฉับพลันถึงความกลัว.
การรู้ล่วงหน้า, เขาได้ตระหนักรู้,
ว่าเป็นภาพมายาที่ถูกรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับขีดจำกัดทั้งหลายของสิ่งที่มันได้เผยออกมา---ทันทีนั้นในต้นตอของความแม่นยำและข้อผิดพลาดอันสำคัญ.
ประเภทที่ความไม่แน่นอนที่ไฮเซนเบิร์ก(Heisenberg*)ได้แทรกขัดแย้งไว้ว่า: การใช้สอยของพลังงานในการเปิดเผยอะไรที่เขาเห็นนั้น, ได้เปลี่ยนแปลงอะไรที่เขาได้เห็น.
และอะไรที่เขาเห็นคือการเชื่อมต่อเวลาภายในถ้ำนี้, การต้มเดือดของความเป็นไปได้ทั้งหลายได้เพ่งรวมกันยังที่นี่,
ในที่ซึ่งนาทีสำคัญมากที่สุดของการกระทำ---การกระพริบของตา, คำพูดที่ไม่ระมัดระวัง,
ทรายเม็ดหนึ่งซึ่งอยู่ผิดที่---ได้เคลื่อนย้ายคานมหึมาพาดข้ามเอกภพที่รู้จักกัน.
เขามองเห็นความรุนแรงด้วยผลลัพธ์ที่อยู่ใต้อำนาจของตัวแปรมากมายทั้งหลายที่การเคลื่อนไหวอย่างน้อยนิดที่สุดของเขาได้สร้างสรรค์การเปลี่ยนย้ายทั้งหลายอย่างกว้างใหญ่ในเหล่าแบบแผน.
ภาพทัศน์นั้นทำให้เขาต้องการที่จะแช่แข็งเข้าไปในภาวการณ์เคลื่อนไหวไม่ได้,
แต่นี่, ด้วยเช่นกัน, เป็นเหตุการณ์กระทำด้วยผลที่ตามมาของมันเอง.
ผลที่ตามมาทั้งหลายสุดที่จะนับได้---เรียงเส้นแถวคลี่ออกไปจากถ้ำนี้,
และไปตามส่วนใหญ่ของเส้นแถว-ความสำคัญเหล่านี้เขาได้เห็นร่างเสียชีวิตของตนเองด้วยเลือดไหลหลั่งจากช่องแผลจากมีดหนึ่ง.