หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (30)

 

ชนฟรีเมนเป็นที่สุดยอดในคุณลักษณะนั้นที่โบราณเรียกว่า “คันธนูที่ถูกน้าวโก่งตึง”(spannungbogen*)---ซึ่งก็คือการกำหนด-ตนเองหน่วงไว้ซึ่งระหว่างความกิเลสความอยากในสิ่งหนึ่งกับการกระทำของการเอื้อมไปคว้าสิ่งนั้นมา.

                  -จาก “ภูมิปัญญา ของ มวดดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

        

https://www.reddit.com/r/DoesNotTranslate/comments/1uq0r3/german_spannungsbogen_lit_the_span_of_the_bow_the/

พวกเขาเข้าไปใกล้ ถ้ำแห่งสันเขาตอนฟ้าสาง, เคลื่อนผ่านรอยแยกของกำแพงแอ่งลุ่มที่แคบมากกระทั่งพวกเขาต้องหันเอียงข้างของลำตัวเพื่อแทรกเข้าไปได้. เจสสิกา เห็น สติลจาร์ แยกยามทั้งหลายออกในแสงรางของอรุณรุ่ง, มองเห็นพวกเขาชั่วขณะที่พวกเขาเริ่มต้นปีนตะกายของพวกเขาขึ้นไปที่หน้าผา.

พอล เงยศีรษะของเขาขึ้นไปข้างบนขณะที่เขาเดินไป, มองเห็นพรมแขวนของดาวเคราะห์นี้ตัดตามขวางที่ซึ่งช่องโพรงแยกห่างขึ้นไปยังท้องฟ้าสีเทา-ฟ้า.

ชานี ดึงที่เสื้อคลุมของเขาเพื่อเร่งเขา, บอก: “เร็วเข้า. มันมีแสงไปแล้ว.”

“พวกคนที่ปีนขึ้นไปเหนือเรานั้น, พวกเขาไปที่ไหนกันหรือ?” พอล กระซิบถาม.

“ยามผลัดแรกของกลางวัน,” เธอพูด. “ตอนนี้เร็วเข้า.”

ยามทิ้งไว้ให้อยู่ข้างนอก, พอล คิด. ฉลาด. แต่มันอาจจะฉลาดกว่ายังคงที่เราเข้าหาสถานที่นี้โดยแยกกลุ่มคณะกัน. โอกาสน้อยกว่าของการสูญเสียไปทั้งกองทหาร. เขาหยุดในความคิดนั้น, ตระหนักได้ว่านี่เป็นการคิดแบบกองโจร, และเขาจำได้ถึงความหวาดกลวของบิดาที่อะไรดิสอาจจะกลายเป็นราชสำนักกองโจร.

“เร็วขึ้นอีก,” ชานี กระซิบ.

พอล เร่งก้าวเท้าของเขา, ได้ยินเสียงเฟี้ยวสะบัดของเสื้อคลุมด้านหลัง. และเขาคิดถึงคำทั้งหลายของ สิรัต จาก โอ.ซี. ไบเบิ้ล เล่มเล็กของ หยัว.

สวรรค์อยู่เบื้องขวามือของข้า, นรกอยู่เบื้องซ้ายของข้าและเทพแห่งมรณาที่ด้านหลัง.” เขาม้วนกลิ้งอัญพจน์นั้นในจิตใจของเขา.

พวกเขาอ้อมมุมหนึ่งที่เส้นทางกว้างขึ้น. สติลจาร์ ยืนอยู่ที่ด้านหนึ่งทำอากัปกิริยาให้พวกเขาเข้าไปในรูช่องต่ำอันหนึ่งที่เปิดอยู่ที่มุมขวามือ.

“เร็วเข้า!” เขาส่งเสียงขู่. “เราเหมือนกระต่ายเข้าไปในกรงถ้าหน่วยลาดตระเวนจับเราได้ที่นี่.”

พอล ก้มงอร่างกับช่องเปิดนั้น, ติดตาม ชานี เข้าไปในถ้ำเรืองสว่างอยู่ด้วยแสงจางๆสีเทาจากที่ไหนสักแห่งเหนือศีรษะ.

“เจ้าสามารถยืนขึ้นได้แล้ว,” เธอบอก.

เขาหยัดตัวขึ้น, ศึกษาสถานที่นี้: เป็นพื้นที่ลึกและกว้างมีเพกานรูปโดมที่โค้งอกไปแค่มื้อเอื้อมของผู้ชาย. กองทหารกระจายกันอกไปผ่านเงาทั้งหลาย. พอล มองเห็นมารดาของเขาเข้ามาทางด้านหนึ่ง, เห็นเธอตรวจดูสหายทั้งหลายของพวกเขา. และเขาสังเกตไว้ว่าเธอได้ล้มเหลวที่จะปนเปเข้ากับพวกฟรีเมนแม้กระทั่งเสื้ผ้าของเธอก็ดูโดดเด่น. วิธีที่เธอเคลื่อนที่---ช่างเป็นสัมผัสรู้ได้ถึงพลังอำนาจและสง่างาม.

“หาที่ที่จะพักผ่อนและหลีกให้พ้นทาง, เด็ก-ชาย,” ชานี พูด. “นี่, อาหาร.” เธอยัดอาหารสองคำที่ห่อด้วยใบไม้เข้ามาในมือของเขา. พวกนั้นมีกลิ่นอวลด้วยเครื่องเทศ.

สติลจาร์ เข้ามาที่เบื้องหลังของ เจสสิกา, ออกคำสั่งที่กลุ่มทางด้านซ้ายมือ. “ผนึกประตูให้เข้าที่และดูที่ความมั่นคงปลอดภัยของความชื้นด้วย.” เขาหันไปที่ฟรีเมนอื่น:เลมิล, เอาโคมกลมเรืองแสงมา.” เขาจับแขนของ เจสสิกา. “ข้าปรารถนาจะให้เจ้าเห็นบางอย่าง, แม่หญิงพิกล.”เขานำเธออ้อมโค้งหินไปยังแหล่งกำเนิดของแสง.

เจสสิกา พบตนเองกำลังมองออกไปข้ามชายขอบกว้างของช่องเปิดของถ้ำอีกแห่งหนึ่ง, ช่องเปิดสูงอยู่ในกำแพงผา---มองออกไปข้ามแอ่งลุ่มอีกแห่งหนึ่งราวสิบหรือสิบสองกิโลเมตรกว้าง. แอ่งลุ่มนั้นถูกโ,ล้อมโดยกำแพงหินสูง. กลุ่มก้อนหร็อมแหร็มของพืชเติบโตกระจายอยู่รอบมัน.

ขณะที่เธอมองยังแอ่งลุ่มในแสงอรุณสีเทานั้น, ดวงอาทิตย์ได้ยกตัวขึ้นเหนือหน้าผาสูงชันสาดแสงส่องสีน้ำตาลอ่อนอาบไล้ภูมิประเทศของหมู่หินและทราย. และเธอสังเกตไว้ว่าดวงอาทิตย์ของ อาร์ราคิส ปรากฏว่าเหมือนจะกระโจนข้ามเส้นขอบฟ้า.

มันเป็นเพราะเราต้องการที่จะกุมยึดมันกลับมา, เธอคิด. กลางคืนนั้นปลอดภัยกว่ากลางวัน. แล้วก็มาท่วมท้นเธอจากนั้นเป็นความโหยหาถึงรังกินน้ำในสถานที่นี้ซึ่งจะไม่มีวันได้เห็นฝนตก. ข้าต้องหยุดยั้งการโหยหาเช่นนี้, เธอคิด. พวกมันคือความอ่อนแอ. ข้าไม่สามารถมีความอ่อนแออีกต่อไปได้.

สติลจาร์ คว้าแขนของเธอ, ชี้ข้ามแอ่งลุ่มนั้นไป. “นั่น! นั่นไงที่เจ้ามองเห็นพวกดรูสสิ์(Druses*- หน่วยทหารลับ/รากเหง้าของกองกำลังฟาติมิด-อิสลามโบราณ)อย่างชัดเจน.”

* https://aboutsalama.blogspot.com/2020/05/100-arabic-words-in-frank-herberts-dune.html

เธอมองไปยังที่ซึ่งเขาได้ชี้, เห็นการเคลื่อนไหว: ผู้คนบนพื้นของแอ่งลุ่มกระจายกันอยู่ในแสงกลางวันเข้าไปสู่ร่มเงาของหน้าผาฝั่งตรงข้าม. กับระยะที่ห่างไกลนั้น, การเคลื่อนไหวของพวกเขาเปิดเผยในอากาศปลอดโปร่ง. เธอยกกล้องส่องทางไกลของเธอขึ้นมาจากในใต้เสื้อคลุมของเธอ, ปรับความเพ่งชัดชัดของเลนส์แบบน้ำมันไปที่ผู้คนระยะไกลนั้น. ผ้าพันคอปลิวสะบัดอยู่เหมือนปีกบินหลากสีขอผีเสื้อ.

“นั่นคือบ้าน,” สติลจาร์ พูด. “เราจะไปอยู่ที่นั้นในคืนนี้.” เขาจ้องข้ามแอ่งลุ่มไป, ดึงหนวดของตนเอง. “ผู้คนของข้าอยู่ทำงานข้างนอกนั่นสายเกินเวลา. นั่นหมายความว่าไม่มีหน่วยลาดตระเวนอยู่แถวนั้น. ข้าจะส่งสัญญานให้พวกเขาที่หลังและพวกเขาจะเตรียมพร้อมให้เรา.”

“ผู้คนของเจ้าแสดงความมีระเบียบวินัยที่ดี,” เจสสิกา พูด. เธอลดกล้องส่องทางไกลต่ำลง, มองเห็น สติลจาร์ กำลังมองดูพวกนั้น.

“พวกเขาเชื่อฟังสิ่งที่ธำรงรักษาไว้ของเผ่า,” เขาพูด. “มันเป็นวิถีที่เราเลือกในหมู่ของพวกเราสำหรับผู้นำ. ผู้นำคือผู้ที่แข็งแรงที่สุด, ผู้ที่นำมาซึ่งน้ำและความมั่นคงปลอดภัย.” เขายกความสนใจของเขามายังใบหน้าของเธอ.

เธอตอบกลับการจ้องมองของเขา, สังเกตไว้ถึงดวงตาไร้ความขาว, รอยเปื้อนในเบ้าตา, ฝุ่มเกาะริมขอบของเคราและหนวด, เส้นรอยของหลอดท่อดักจับโค้งลงจากรูจมูกเข้าไปในสติลล์สูทของเขา.

“ข้าไม่ได้ยอมรับความเป็นผู้นำของเจ้าด้วยการเอาชนะต่อเจ้าหรอกหรือ, สติลจาร์? เธอถาม.

“เจ้าไม่ได้ท้าประลองต่อข้าออกมา,” เขาพูด.

“มันเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้นำจะต้องคอยระวังรักษาความเคารพนับถือในกองทหารของเขา,” เธอพูด.

“ไม่ใช่ตัวหนึ่งในพวกเห็บทรายที่ข้าไม่สามารถจัดการได้,” สติลจาร์ พูด. “เมื่อเจ้าเอาชนะข้า, เจ้าก็เอาชนะพวกเราทั้งหมด. ตอนนี้, พวกเขาหวังที่จะเรียนจากเจ้า.....วิธีพิกลพิลึกนั้น.....และบางคนก็กระหายที่จะได้เห็นว่าเจ้าตั้งใจที่จะท้าประลองกับข้าอกมา.”

เธอชั่วน้ำหนักความหมายโดยนัยนั้น. “ด้วยการเอาชนะเจ้าในการต่อสู้อย่างเป็นทางการหรือ?”

เขาพยักหน้า. “ข้าควรแนะนำเจ้าคัดค้านในเรื่องนี้เพราะว่าพวกเขาจะไม่เชื่อฟังเป็นบริวารเจ้า. เจ้าไม่ใช่มาคนของทะเลทราย. พวกเขามองเห็นสิ่งนี้ในการเดินทางเมื่อคืนที่ผ่านมา.”

“ผู้คนนักปฏิบัติ,” เธอพูด.

“จริงเพียงพอ,” เขาเหลือบมองแอ่งลุ่มนั้น. “เรารู้ถึงความจำเป็นต้องการของเรา. แต่ไม่มีมากนักที่คิดอย่างใคร่ครวญลึกซึ้งในตอนใกล้จะถึงบ้านเช่นนี้. เราได้ออกมานานเกินไปในการจัดแจงเพื่อส่งมอบเครื่องเทศตามโควต้าของเราต่อพ่อค้าอิสระสำหรับพวกเวรกิลด์นั้น.....ขอให้ใบหน้าของพวกมันดำมืดไปตลอดชั่วกาลนานเถิด.”

เจสสิกา หยุดอาการหันหนีไปจากเขา, มองกลับขึ้นไปยังใบหน้าขอเขา. “พวกกิลด์รึ? พวกกิลด์มายุ่งอะไรกับเครื่องเทศของเจ้า?”

“มันเป็นคำบัญชาของ เลียต,” สติลจาร์ พูด. “เรารู้ถึงเหตุผลนั้น, แต่รสชาติของมันเปรี้ยวลิ้นสำหรับเรา. เราติดสินบนพวกกิลด์ด้วยการจ่ายอย่างมหึมาในเครื่องเทศเพื่อรักษาท้องฟ้าของเราให้ปลอดจากดาวเทียมและอะไรเป็นเช่นไร้ผู้สอดแนมอะไรที่เราทำกันบนพื้นผิวของอาร์ราคิส.”

เธอชั่งน้ำหนักออกมากับคำพูดของเธอ, จำได้ว่า พอล เคยพูดไว้ถึงเรื่องนี้ว่ามันต้องมีเหตุผลที่ท้องฟ้าอาร์ราคีนนั้นปลอดโล่งจากดาวเทียมทั้งหลาย. “และอะไรหรือคือที่เจ้าทำบนพื้นผิวของอาร์ราคิสที่ต้องไม่ถูกพบเห็นได้?”

“เราเปลี่ยนแปลมัน.....อย่างช้าๆแต่ด้วยความแน่นอน.....ที่จะทำมันให้เหมาะสมกับชีวิตมนุษย์. ชนรุ่นเราจะไม่เห็นมัน, หรือลูกๆของเราหรือลูกของลูกเราทั้งหลายหรือหลานของหลานพวกเขา.....แต่มันจะมาถึง,” เขาจ้องมองด้วยดวงตาถูกปิดคลุมด้วยผ้าออกไปเหนือแอ่งลุ่มนั้น. “น้ำเปิดโ,งและพืชสีเขียวยืนต้นสูงแลผู้คนเดินไปอย่างอิสระปราศจากสติลล์สูท.”

และนั้นคือความฝันของ เลียต-คายนิ์สผู้นี้, เธอคิด. และเธอพูด: “การติดสินบนทั้งหลายคืออันตราย; พวกเขามีวิธีการที่จะทำให้มันเติบใหญ่โตขึ้นและโตขึ้น.”

“พวกมันเติบโตขึ้น,” เขาบอก, “แต่วิธีที่ช้านั้นเป็นหนทางที่ปลอดภัย.”

เจสสิกา หัน, มองออกไปเหนือแอ่งลุ่มนั้น, พยายามที่จะมองมันในวิธีที่ สติลจาร์ ได้มองเห็นมันในจินตนาการของเขา. เธอเห็นแต่เพียงรอยเปื้อนสีเทาเหลืองมัสตาร์ดของกลุ่มก้อนหินระยะไกลและการเคลื่อนไหวฉับพลันพร่ามัวในท้องฟ้าเหนือผาชันนั้น.

อาห์-ห-ห-ห,” สติลจาร์ พูด.

เธอคิดในทีแรกว่ามันต้องเป็นยานลาดตระเวน, แล้วก็ตระหนักได้ว่ามันคือ ภาพลวงตา(mirage – ภาพเงาสะท้อนในทะเลทราย)---อีกหนึ่งภูมิทัศน์ฉวัดเฉวียนอยู่เหนือทราย-ทะเลทรายและพฤกษชาติที่แกว่งไกวอยู่ห่างไปไกลและในกลางระยะห่างไกลนั้นมีหนอนทรายเดินทางท่องไปบนพื้นผิวด้วยอะไรที่มองดูเหมือนเสื้อคลุมฟรีเมนโบกสะบัดอยู่บนหลังของมัน.

ภาพลวงตาจางหายไป.

“มันน่าจะดีกว่าที่ขี่ไป,” สติลจาร์ พูด, “แต่เราไม่สามารถยอมให้ผู้สร้างเข้ามาในแอ่งลุ่มนี้ได้. ดังนั้น, เราต้องเดินกันอีกครั้งในคืนนี้.”

ผู้สร้าง---คำที่พวกเขาใช้กับหนอนทราย, เธอคิด, ประโยคที่ว่าพวกเขาไม่สามารถยอมให้หนอนทรายเข้ามาในแอ่งลุ่มนี้. เธอรู้ว่าอะไรที่เธอได้เห็นในภาพลวงตานั้น---ฟรีเมนกำลังขี่อยู่บนบนหลังของหนอนยักษ์. มันต้องใช้การควบคุมอย่างหนักหน่วงที่จะไม่ทรยศต่อการตื่นตระหนกต่อความนัยนั้น.

“เราต้องกลับไปหาคนอื่นๆ,” สติลจาร์ พูด. “มิเช่นนั้นผู้คนของข้าอาจจะสงสัยว่าข้าชักช้าโอ้เอ้อยู่กับเจ้า. บางคนได้อิจฉาไปแล้วที่มือของข้าได้ลิ้มรสความน่ารักของเจ้าเมื่อตอนที่เราต่อสู้กันเมื่อคืนวานใน แอ่งลุ่ม ทัวโน.”

“นั่นจะเป็นที่เพียงพอกับเรื่องนั้นแล้ว!เจสสิกา ตวาด.

“อย่าขุ่นเคือง,” สติลจาร์ บอก, และเสียงของเขาอ่อนโยนลง. “ผู้หญิงในท่ามกลางหมู่เราไม่ขัดขืนความประสงค์ของเขากัน.....และกับเจ้า.....” เขายักไหล่. “.....กระทั่งประเพณีปฏิบัตินั่นก็ไม่จำเป็นต้องมี.”

“เจ้าเก็บเตือนเอาไว้ในใจอยู่ตลอดว่าข้านั้นคือท่านหญิงของดยุค,” เธอพูด, แต่น้ำเสียงของเธอสงบลง.

“ตามที่เจ้าปรารถนา,” เขาพูด. มันถึงเวลาที่จะปิดผนึกช่องเปิดนี้แล้ว, เพื่ออนุญาตการผ่อนคลายออกจากข้อบังคับสวมสติลล์สูท. ผู้คนของข้าจำเป็นต้องพักอย่างสบายในตอนวันนี้. ครอบครัวของเขาทั้งหลายจะให้เขาได้พักน้อยลงกับพรุ่งนี้.”

ความเงียบอยู่ระหว่างพวกเขา.

เจสสิกา จ้องออกเข้าไปในแสงแดด. เธอได้ยินอะไรที่เธอได้ยินในน้ำเสียงของ สติลจาร์---คำเสนอที่ไม่ได้พูดของอะไรที่มากกว่าการยอมรับของเขา. เขาจำเป็นต้องการภรรยาหรือ? เธอตระหนักได้ว่าเธอสามารถก้าวเข้าไปในที่นั้นได้กับเขา. มันควรจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะจบความขัดแย้งลงในเรื่องผู้นำเผ่า---ผู้หญิงอยู่ในที่ทางที่เหมาะสมก็ด้วยกับผู้ชาย.

แต่อะไรในเรื่องของ พอล ล่ะ? ใครควรจะบอกถึงกฏทั้งหลายของความเป็นบิดามารดาที่มีอยู่ทั่วไปของที่นี่? และอะไรของธิดาที่ยังไม่กำเนิดที่เธอได้แบกมาด้วยกับสองสามสัปดาห์นี้? อะไรของเรื่องธิดาของดยุคผู้วายชนม์? และเธอยอมให้ตนเองที่จะเผชิญหน้าอย่างเต็มที่ต่อความสำคัญของลูกอีกคนหนึ่งที่กำลังเติบโตอยู่ในตัวเธอ, ที่จะได้เห็นแรงกระตุ้นของเธอเองในการยอมรับถึงภาวะการตั้งครรภ์นี้. เธอรู้ดีว่าอะไรที่มันเป็น---เธอได้ยอมจำนนต่อแรงขับดันอันลึกซึ้งที่ถูกแบ่งปันโดยบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งปวงผู้ถูกเผชิญกับความตาย---แรงขับดันที่จะเสาะหาความเป็นอมตะผ่านลูกหลาน. แรงขับดันภาวะเจริญพันธุ์แห่งมนุษยชาติได้มีอำนาจเหนือกว่าพวกเขา.

เจสสิกา ชำเลืองมองยัง สติลจาร์, มองเห็นว่าเขากำลังศึกษาเธออยู่, รอคอย. ลูกสาวคนหนึ่งกำเนิดที่นี่กับผู้หญิงที่แต่งงานกับใครคนหนึ่งที่เป็นเช่นชายผู้นี้---อะไรจะเป็นโชคชะตาของลูกสาวคนหนึ่งเช่นนี้หรือ? เธอถามตนเอง. เขาจะพยายามที่จะจำกัดความจำเป็นทั้งหลายที่ เบเน เกสเสอริต ผู้หนึ่งต้องทำตามหรือไม่?

สติลจาร์ กระแอมในลำคอและเปิดเผยกระนั้นว่าเขาเข้าใจถึงคำถามในใจของเธอ. “อะไรที่สำคัญสำหรับการเป็นผู้นำคือสิ่งซึ่งทำให้เขาเป็นผู้นำ. มันเป็นสิ่งจำเป็นต้องการของผู้คนของเขา. ถ้าเขาสอนข้าถึงพลังอำนาจของเจ้า, อาจมีวันหนึ่งมาถึงเมื่อหนึ่งในเราต้องท้าทายต่ออีกผู้หนึ่ง. ข้าควรจะชอบทางเลือกมากกว่า.”

“มีทางเลือกอยู่หลากหลายหรือ?” เธอถาม.

เซย์ยาดินา,” เขาพูด. “แม่อธิการของเรานั้นชราแล้ว.”

         แม่อธิการของพวกเขา!

         ก่อนที่เธอจะสามารถสืบสวนเรื่องนี้ได้, เขาพูด: “ข้าไม่จำเป็นที่จะต้องเสนอตัวข้าเองเป็นเช่นคู่ครอง. นี่ไม่มีอะไรเป็นการส่วนตัว, เพราะเจ้านั้นงามและน่าปรารถนา. แต่ควรหรือที่เจ้าจะกลายมาเป็นหนึ่งในผู้หญิงของข้า, นั่นอาจจะนำบางคนหนุ่มของข้าที่จะเชื่อว่าข้านั้นกังวลอยู่กับความพึงใจในเนื้อหนังของมากเกินไปและไม่เพียงพอในการกังวลถึงความจำเป็นต้องการของเผ่า. กระทั่งในตอนนี้พวกเขาก็ฟังเราะเฝ้าดูเราอยู่.

         ชายผู้ชั่งน้ำหนักการตัดสินของเขา, ผู้คำนึงถึงผลลัพธ์, เธอคิด.

         “มีพวกที่อยู่ในหมู่คนหนุ่มของข้าผู้ที่ได้ถึงวัยของวิญญาณร้อนรนตามธรรมชาติ,” เขาพูด. “พวกเขาต้องปลดปล่อยมันไปตามคาบเวลา. ข้าต้องไม่ทิ้งเหตุผลยิ่งใหญ่ทั้งหลายไว้รอบๆเพื่อพวกเขาที่จะท้าประลองกับข้าได้. เพราะว่าจะต้องไม่ทำให้พิการและฆ่าในหมู่พวกเขา. นี่ไม่ใช่เหตุอันเหมาะสมสำหรับผู้นำถ้ามันสามารถเป็นที่หลีกเลี่ยงได้อย่างมีเกียรติ. ผู้นำนั้น, เจ้าก็รู้, คือหนึ่งในหลายสิ่งที่แบ่งแยกฝูงชนก่อความวุ่นวายออกจากผู้คน. เขาธำรงระดับของความเป็นส่วนตัวทั้งหลายไว้. ความเป็นส่วนตัวทั้งหลายที่น้อยเกินไป, และผุ้คนก็จะเปลี่ยนหันไปเป็นฝูงชนวุ่นวาย.

คำพูดทั้งหลายของเขา, ความลึกของความตระหนักรู้ถึง, ความจริงที่เขาได้พูดอย่ามากมายต่อเธอดุจเป็นผู้ได้ฟังความลับ, บังคับเธอให้ประเมินในตัวเขาใหม่.

เขามีภูมิรู้, เธอคิด. เราได้เรียนรู้ความสมดุลภายในขนาดนี้มาจากที่ไหนหรือ?

“กฎหมายที่เรียกร้องรูปแบบของเราแห่งการเลือกผู้นำนั้นคือแค่กฎหมายหนึ่ง,” สติลจาร์ พูด. “แต่มันไม่ได้เป็นไปตามความยุติธณรมที่มักเป็นสิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องการ. อะไรที่เราจำเป็นต้องการจริงๆในตอนนี้ก็คือเวลาที่จะเติบโตและเจริญก้าวหน้า, เพื่อเร่งแรงกำลังของเราเหนือแผ่นดินนี้ให้มากยิ่งขึ้น.”

อะไรคือบรรพบุรุษของเขาหรือ? เธอสงสัยในใจ. จากที่ใดกันหรือซึ่งให้สายพันธุ์เยี่ยงนี้? เธอพูด. “สติลจาร์, ข้าได้ประเมินเจ้าต่ำไป.”

“เยี่ยงนั้นแหละที่ข้าสงสัย,” เขาพูด.

“เราแต่ละคนปรากฏว่าต่างก็ได้ประเมินซึ่งกันและกันต่ำไป,” เธอพูด.

“ข้าควรจะชอบการจบกับเรื่องนี้,” เขาพูด. “ข้าควรชอบมิตรภาพกับเจ้า.....และไว้วางใจ. ข้าควรชอบว่านับถือซึ่งกันและกันที่เติบโตขึ้นในอกโดยปราศจากการเรียกร้องสำหรับการกอดรัดของกามารมณ์.”

“ข้าเข้าใจ,” เธอพูด.

“เจ้าไว้วางใจในข้าไหม?”

“ข้าได้ยินความจริงใจของเจ้า.”

“ในท่ามกลางพวกเรา,” สัยยาดินา นั้น, คือเมื่อพวกเขาไม่ใช่ผู้นำเป็นทางการ, ครองตำแหน่งพิเศษแห่งเกียรติ. พวกเขาสอน. พวกเขาธำรงความแข็งแรงของพระเจ้าที่นี่.” เขาแตะที่หน้าอกของตน.

ตอนนี้ข้าต้องสืบค้นความลี้ลับของแม่อธิการนี้, เธอคิด. และเธอพูด: “เจ้าพูดถึงแม่อธิการของเจ้า.....และข้าได้ยินคำทั้งหลายของตำนานและคำพยากรณ์.”

“มันถูกกล่าวไว้ว่า เบเน เสเสอริตหนึ่งและบุตรของเธอกุมกุญแจสู่อนาคตของพวกเราไว,” เขาพูด.

“เจ้าเชื่อว่าข้าคือผู้นั้น?”

เธอเฝ้ามองใบหน้าของเขา, คิด: ไม้รวกอ่อนตายได้ง่าย. การเริ่มต้นทั้งหลายนั้นเป็นระยะเวลาของภัยอันตรายใหญ่หลวงยิ่ง.

“เราไม่รู้,” เขาพูด.

เธอพยักหน้ารับ, คิด: เขาเป็นชายที่น่านับถือ. เขาต้องการสัญญานจากข้า, ต่เขาจะไม่เบี่ยงเบนโชคชะตาด้วยการบอกกับข้าถึงสัญญานนั้น.

เจสสิกา หันศีรษะของเธอ, มองไปยังแอ่งลุ่มที่เงาสีทอง, เงาสีม่วง, อากาศกระเพื่อมสั่นพร่าของฝุ่น-ธุลีข้ามปากทางขอบถ้ำของพวกเขาออกไป. จิตใจของเธอถูกเติมเต็มทันทีทันใดด้วยความระมัดระวังดุจแมว. เธอรู้ว่าการพูดศัพท์เฉพาะของ มิชชั่นนาเรีย โพรเท็คว่า, รู้ว่าอย่างไรที่จะดัดแปลงกลวิธีต่อตำนานและความหวาดกลัวและความหวังเข้ากับความจำเป็นเร่งด่วนของเธอ, แต่เธอสัมผัสรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงที่นี่.....ราวกับว่าใครบางคนได้มาอยู่ในท่ามกลางฟรีเมนเหล่านี้และใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากรอยระทัยตราของมิชชั่นนาเรีย โพรเท็คติว่านั้น.

สติลจาร์ กระแอมในลำคอ.

เธอสัมผัสรู้ถึงความไม่ทนรอของเขา, รู้ว่ากลางวันกำลังเคลื่อนข้างหน้าและผู้คนกำลังรอคอยอยู่ที่ปิดผนึกช่องเปิดนี้. นี่เป็นเวลาสำหรับความกล้าในส่วนของเธอ, และเธอตระหนักได้ว่าอะไรที่เธอจำเนต้องการ: บาง ดาร์ อัล-ฮิกมาน, บางการเรียนวิชาการแปลภาษานั่นน่าจะให้เธอได้.....

อาดับ,”  เธอกระซิบ.

จิตใจของเธอรู้สึกราวกับว่ามันได้กลิ้งไปอยู่ภายในเธอ. เธอจดจำได้ถึงความสัมผัสรู้สึกด้วยการเต้นรัวของชีพจร. ไม่มีอะไรในบรรดาการฝึกฝนของเบเน เกสเสอริตนำพามาเช่นสัญญานของการรู้จำเยี่ยงนี้. มันสามารถเป็นได้แค่ อาดับ(adab* - ครรลอง )เท่านั้น,

         * https://delphipages.live/th///adab-literature

ความทรงจำที่เรียกร้องซึ่งมาสู่เจ้าด้วยตัวมันเอง. เธอให้ตนเองขึ้นสู่มัน, ยอมให้คำทั้งหลายนั้นหลั่งไหลไปจากเธอ.

         “อิบัน คีร์ทาอิบา,” เธอพูด, “ตราบเท่าที่จุดนั้นที่ซึ่งธุลีสิ้ทั้งหลายสิ้นสุด.” เธอเหยียดแขนออกไปจากเสื้อคลุมของเธอ, มองเห็นดวงตาของ สติลจาร์ เบิกกว้าง. เธอได้ยินเสียงสับ

https://dune.fandom.com/wiki/List_of_Dune_terminology (Ibn qirtaiba* - กิระนั้นจึงทรงพระวาทะ...)  

สนของเสื้อคลุมมากมายในทางเบื้องหลัง. “ข้าเห็น.....ฟรีเมนกับคัมภีร์แห่งอุทาหรณ์,” เธอขับขาน. “เขาอ่านต่อ อัล-แลต(al-Lat*), ดวงอาทิตย์ผู้ที่เขาได้จำกัดความและบำราบ. เขาอ่านต่อ ซาดุสแห่งสวรรค์วินิจฉัยและนี้คือสิ่งที่เขาอ่าน:

         “ศัตรูทั้งหลายของข้าเป็นดั่งดาบเขียวได้กินจนหมด

         ที่ได้ยืนอยู่ในเส้นทางแห่งพายุร้าย.

         สูเจ้ามิได้เห็นอะไรที่ผู้เป็นเจ้าของเราได้ทำหรือ?

         ท่านได้ส่งโรคระบาดนั้นมาท่ามกลางพวกเขา

         ที่ได้วางแผนการร้ายต่อเรา.

         พวกนั้นเหมือนนกทั้งหลายแตกกระจายไปด้วยพรานล่า.

         แผนการของพวกเขาเป็นเช่นยาเม็ดทั้งหลายแห่งพิษ

         ที่ทุกปากปฏิเสธ.

         ความสั่นเทาหนึ่งได้ผ่านร่างเธอ. เธอทิ้งแขนของตนลง.

         กลับสู่เธอจากเงามืดของถ้ำมาเป็นการตอบรับอย่างกระซิบกระซาบของเสียงมากมาย. “งานทั้งหลายของพวกเขาได้ถูกพลิกคว่ำ.”

“ไฟแห่งพระเจ้าพอกพูนขึ้นเหนือหัวใจของเจ้า,” เธอพูด. และเธอคิด: ตอนนี้, มันไปในช่องทางที่ถูกต้องแล้ว.

“ไฟแห่งพระเจ้าได้ลุกสว่างแล้ว,” เสียงตอบรับมา.

เธอพยักหน้า. “ศัตรูของพวกสูทั้งหลายจะแพ้พ่าย,” เธอพูด.

“ไบ-ลา คาอิฟะ(bi-la kaifa* - สาธุ),” พวกเขาตอบรับ.

ในอึดใจทันใดนั้น, สติลจาร์ ค้อมกายต่อเธอ. “เซย์ยาดินา,” เขาพูด. “ถ้าไช-ฮูลุดสงเคราะห์, กระนั้นเจ้าอาจยังมิได้ผ่านภายในมาสู่เป็นแม่อธิการ.”

ผ่านภายใน, เธอคิด. วิธีแปลกของการวางมันไว้. แต่ที่เหลือของมันเหมาะเจาะเข้าไปในกระป๋องดีเพียงพอ. และเธอรู้สึกความขมขื่นน่าเหยียดหยามกับอะไรที่เธอได้ทำไป. มิชชั่นนาเรีย พร็อคติวาของเราน้อยนักที่จะล้มเหลว. สถานที่หนึ่งได้ถูกจัดเตรียมไว้เพื่อเราในที่ป่าเถื่อนนี้. ผู้ภาวนาของละหมาดนั้น(the salat* - คำอธิษฐาน)ได้แกะสลักสถานที่หลบภัยของ

         * https://th.glosbe.com/id/th/salat

เรานี้ออกมา. ตอนนี้.....ข้าต้องเล่นในบทของ ออลิยะ(Auliya* - นักบุญ), มิตรแห่งพระเจ้า...

         * https://th.nipponkaigi.net/wiki/Wali

เซย์ยาดินา เพื่อแต้มชาดผู้คนที่ได้ฝังใจมาอย่างหนักยิ่งกับผู้ทำนายแห่งเบเน เกสเสอริตของเราซึ่งพวกเขากระทั่งเรียกหัวหน้านักบวชสตรีของพวกเขาว่าแม่อธิการ.

พอล ยืนอยู่ข้าง ชานีในเงามืดของถ้ำตอนใน. เขายังคงสามารถได้รสชาติมอเรลชิ้นเล็กที่เธอได้เลี้ยงอาหารเขา---เนื้อนกและธัญพืชคลุกเข้ากันกับเครื่องเทศหวานฉ่ำห่ออยู่ในด้วยใบไม้. ในลิ้มรสมันเขาได้ตระหนักว่าตนไม่เคยมาก่อนที่ได้กินเครื่องเทศเนื้อแท้ที่เข้มข้นขนาดนี้และได้มีชั่วขณะหนึ่งของความกลัว. เขารู้ว่าอะไรที่เนื้อแท้นี้สามารถทำต่อเขาได้---ความแปลกใหม่ของเครื่องเทศนี้ที่ผลักดันจิตของเขาเข้าไปในการตื่นรู้ถึงสิ่งล่วงหน้า.

“ไบ-ลา คาอิฟะ,” ชานี กระซิบ.

เขามองดูเธอ, เห็นความกลัวเกรงซึ่งมีกับฟรีเมนได้ปรากฏออกมาที่จะยอมรับคำพูดของมารดาของเขา. มีเพียงชายที่ถูกเรียกว่า จาร์มิส ที่ดูเหมือนจะยืนอยู่ห่างไปจากพิธีกรรมนี้, กุมตัวเขาเองแยกจากด้วยแขนกอดอกของตนอยู่.

“ดุย ยัคฮะ ฮิน มานจี(duy yakha hin mange*),” ชานี กระซิบ. “ดุย ปุนระ ฮิน มานจี(duy punra hin mange*). ข้ามีสองตา. ข้ามีสองเท้า.”

และเธอหันมาจ้องมอง พอล ด้วยสายตาที่ระหลาดใจ.

พอล สูดหายใจเข้าลึก, พยายามที่จะสงบพายุร้ายภายในตัวของเขา. คำพูดของมารดาของเขาได้ติดแน่นเข้ากับการทำงานของแก่นแท้เครื่องเทศ, และเข้าได้รู้สึกว่าเสียงของเธอสูงขึ้นและร่วงลงภายในตัวเขาเหมือนเงาทั้งหลายของไฟลุกโพลง. ผ่านมันทั้งหมดไป, เขาได้สัมผัสรู้ถึงขอบริมของลัทธิเย้ยหยันโลกในตัวเธอ---เขารู้จักเธอดี---แต่ไม่มีอะไรสามารถหยุดสิ่งนี้ได้ที่เริ่มต้นขึ้นด้วยอาหารชิ้นน้อยนี้.

เจตจำนงอันน่ากลัว!

เขาสัมผัสรู้มัน, กระแสจิตสำนึกที่เขาไม่สามารถหลบหนีได้. มีมีความกระจ่างแจ้งอันคมชัด, กระแสที่ไหลหลั่งเข้ามาของข้อมูล, ความเที่ยงตรงเย็นเยียบของสติตื่นรู้ของเขา. เขาจมลงสู่พื้นห้อง, นั่งโดยหลังพิงเข้ากับก้อนหิน, ให้ตนเองยอมต่อมัน. สติตื่นรู้ไหลเข้าไปในระดับชั้นไร้กาละที่เขาสามารถทัศนาเวลา, สัมผัสรู้มรรคาที่ใช้การได้, สายลมทั้งหลายของอนาคต.....สายลมทั้งหลายของอดีต: ภาพทัศน์แบบเอก-เนตรของอนาคต---ทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันอยู่ในภาพทัศน์แบบไตรเนตรซึ่งอนุญาตให้เขาได้เห็นเวลา-กลายเป็น-อวกาศ.

มีอันตราย, เขารู้สึกได้, ของการรุกล้ำตัวของเขาเอง, และเขาต้องยึดอยู่กับสติตื่นรู้ของเขาแห่งปัจจุบัน, การสัมผัสรู้การเบี่ยงเบนพร่ามัวของประสบการณ์รับรู้, ชั่วขณะที่ไหลหลั่ง, การแข็งตัวอย่างต่อเนื่องของ สิ่ง-ซึ่ง-ได้เข้าสู่ชั่วนิรันดร-เป็น.

ในการตะครุบคว้าปัจจุบัน, เขาหลงไปกับเป็นครั้งแรกของความคงที่มหึมาของการเคลื่อนของเวลาทุกแห่งที่สลับซับซ้อนจากการเลื่อนเปลี่ยนย้ายของกระแส, คลื่น, กระเพื่อมระลอก, และระลอกกระชากสวนกลับทั้งหลาย, เหมือนโต้คลื่นต้านอยู่บนหน้าผาหิน. มันให้เขาซึ่งความเข้าใจใหม่ของการรู้ล่วงหน้าของเขา, และเขามองเห็นแหล่งกำเนิดซึ่งจุดบอดของเวลา, แหล่งกำเนิดของความผิดพลาดในมัน, ด้วยการสัมผัสรู้ฉับพลันถึงความกลัว.

การรู้ล่วงหน้า, เขาได้ตระหนักรู้, ว่าเป็นภาพมายาที่ถูกรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับขีดจำกัดทั้งหลายของสิ่งที่มันได้เผยออกมา---ทันทีนั้นในต้นตอของความแม่นยำและข้อผิดพลาดอันสำคัญ. ประเภทที่ความไม่แน่นอนที่ไฮเซนเบิร์ก(Heisenberg*)ได้แทรกขัดแย้งไว้ว่า: การใช้สอยของพลังงานในการเปิดเผยอะไรที่เขาเห็นนั้น, ได้เปลี่ยนแปลงอะไรที่เขาได้เห็น.

และอะไรที่เขาเห็นคือการเชื่อมต่อเวลาภายในถ้ำนี้, การต้มเดือดของความเป็นไปได้ทั้งหลายได้เพ่งรวมกันยังที่นี่, ในที่ซึ่งนาทีสำคัญมากที่สุดของการกระทำ---การกระพริบของตา, คำพูดที่ไม่ระมัดระวัง, ทรายเม็ดหนึ่งซึ่งอยู่ผิดที่---ได้เคลื่อนย้ายคานมหึมาพาดข้ามเอกภพที่รู้จักกัน. เขามองเห็นความรุนแรงด้วยผลลัพธ์ที่อยู่ใต้อำนาจของตัวแปรมากมายทั้งหลายที่การเคลื่อนไหวอย่างน้อยนิดที่สุดของเขาได้สร้างสรรค์การเปลี่ยนย้ายทั้งหลายอย่างกว้างใหญ่ในเหล่าแบบแผน.

ภาพทัศน์นั้นทำให้เขาต้องการที่จะแช่แข็งเข้าไปในภาวการณ์เคลื่อนไหวไม่ได้, แต่นี่, ด้วยเช่นกัน, เป็นเหตุการณ์กระทำด้วยผลที่ตามมาของมันเอง.

ผลที่ตามมาทั้งหลายสุดที่จะนับได้---เรียงเส้นแถวคลี่ออกไปจากถ้ำนี้, และไปตามส่วนใหญ่ของเส้นแถว-ความสำคัญเหล่านี้เขาได้เห็นร่างเสียชีวิตของตนเองด้วยเลือดไหลหลั่งจากช่องแผลจากมีดหนึ่ง.

 

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (29)

 

     การพยากรณ์และการมองเห็นอนาคต---พวกเขาสามารถถูกนำไปสู่การทดสอบในเบื้องหน้าของคำถามที่ไร้คำตอบได้อย่างไรกันหรือ? พิจารณาจาก: มากแค่ไหนที่คำทำนายสภาพปัจจุบันของ “รูปแบบคลื่น” (ดังที่ มวดดิบ เอ่ยถึงภาพทัศน์ของเขา) และมากแค่ไหนที่ผู้พยากรณ์แตะรูปร่างอนาคตให้เข้ากันได้ดีกับคำพยากรณ์นั้น? อะไรของความกลมกลืนทั้งหลายโดยเนื้อแท้ที่มีอยู่เดิมในบทบัญญัติของคำพยากรณ์? ผู้พยากรณ์ได้มองเห็นอนาคตหรือว่าเขาเห็นเส้นของความอ่อนแอ, ความผิดหรือการแตกร้าวที่เขาอาจทำให้เป็นชิ้นละเอียดด้วยคำพูดหรือการตัดสินใจดุจช่างตัดเพชรที่ทำให้อัญมณีของเขาแตกละเอียดไปด้วยการฟันของมีด?

---“ภาพสะท้อนส่วนตัวต่อ มวดดิบ” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

 

“เอาน้ำของพวกเขามา,” ชายที่ร้องเรียกออกมาจากราตรีนั้นได้พูด. และ พอล ได้ต่อสู้ข่มความกลัวของเขาลงไป, ชำเลืองยังมารดาของเขา. ดวงตาที่ได้ฝึกฝนมาของเขามองเห็นการเตรียมพร้อมของเธอเพื่อสู้รบ, มัดแซ่รอหวดฟาดของกล้ามเนื้อทั้งหลายของเธอ.

“มันน่าจะเป็นสิ่งที่ควรสำนึกเสียใจได้ซึ่งเราต้องทำลายพวกเจ้าพ้นมือไปเปล่าๆ,” เสียงที่อยู่ข้างบนเหนือพวกเขาพูด.

นั่นคือผู้ที่ได้พูดกับเราเป็นคนแรก, เจสสิกา คิด. พวกนี้อย่างน้อยก็มีสองคน---หนึ่งนั้นอยู่ขวามือของเราและหนึ่งนั้นอยู่ทางซ้ายมือของเรา.

“ซิกโนโร โฮรโบสา สุคาเรส ฮิน มังเก ลา ปชาจาวาส โดอิ มี คามาวาส นา เบสลาส เลเล่ โฮรบาส!*” (บนหลุมศพน้อยของเธอ มีกุหลาบน่ารักขึ้นมาด้วยตนเอง เพียงลำพังข้าทึ้งทิ้งกุหลาบนั้นร่ำโศกาไปหาเคียงเธอ - ผู้แปล)

https://en.wikisource.org/wiki/Gypsy_Sorcery_and_Fortune_Telling/Chapter_6

มันเป็นชายทางขวามือของพวกเขาที่ตะโกนออกมาข้ามแอ่งนั้นมา.

กับ พอล, คำทั้งหลายนั้นไร้สาระยากที่จะเข้าใจ, แต่ผลจากการฝึกฝนในเบเน เกสเสอริตของเธอ, เจสสิกาจดจำคำพจน์นี้ได้. มันเป็นชาค็อบสา(Chakobsa), หนึ่งในภาษาล่าสัตว์โบราณ, และชายที่อยู่เหนือบนพวกเขาได้พูดนั่นก็เพราะบางทีนี้คือผู้แปลกหน้าที่พวกเขาได้เคยพบ.

ในความเงียบสงัดทันทีทันใดนั้นที่ตามติดเสียงตะโกนร้องเรียกนั้นมา, โฉมหน้าห่วงวงของดวงจันทร์ที่สอง---สีงา-ฟ้าอ่อน---ม้วนข้ามก้อนหินทั้งหลายพาดข้ามแอ่งลุ่มนี้, สว่างและส่องสกาวมอง.

เสียงปีนป่ายมาจากทางก้อนหิน---เหนือบนและทั้งสองด้าน...ร่างมืดในแสงจันทร์. หลายร่างไหลผ่านเงาทั้งหลายนั้น.

กองกำลังทั้งหน่วย! พอล คิดด้วยเจ็บปวดฉับพลัน.

ชายร่างสูงคนหนึ่งในเสื้อคลุมโพกหัวด่างดำก้าวมาที่ข้างหน้าของ เจสสิกา. ผ้าปิดปากของเขาถูกเหวี่ยงไปทางด้านข้างเพื่อการพูดให้ชัดเจน, เผยให้เห็นเคราดกหนาในแสงจากด้านข้างของดวงจันทร์, แต่ใบหน้าและดวงตานั้นถูกซ่อนอยู่ในส่วนยื่นข้างบนของผ้าโพกคลุมหัวของเขานั้น.

“อะไรที่เรามีที่นี่กันรึ---ภูตหรือคน? เขาถาม.

และ เจสสิกา ได้ยินสัจกวนในน้ำเสียงของเขา, เธอยอมให้ตนเองมีความหวังขึ้นมาเลือนลาง. นี่เป็นน้ำเสียงของกการบัญชาการ, เสียงที่ได้สร้างความตื่นตระหนกในทีแรกต่อพวกเขาด้วยการบุกรุกของมันจากราตรี.

“คน, ข้ารับรองได้,” ชายนั้นพูด.

เจสสิกา สัมผัสรู้สึกได้มากกว่าการเห็นมีดที่ซ่อนอยู่ในส่วนพับของเสื้อคลุมของชายผู้นั้น. เธอยินยอมให้ตนเองสำนึกข่มขื่นใจครั้งหนึ่งที่เธอและ พอล ไม่มีโล่ห์พลัง.

“เจ้าก็พูดได้ด้วยไหม?” ชายนั้นถาม.

เจสสิกา ดึงความเย่อหยิ่งเยี่ยงราชนิกูลในการบัญชาของเธอเข้ามาสู่กิริยาและน้ำเสียง. การตอบนั้นเร่งด่วน, แต่เธอไม่ได้ยินเพียงพอจากชายนี้ที่จะเป็นความแน่ชัดเธอได้มีทะเบียนบันทึกลงไว้ในวัฒนธรรมและความอ่อนแอของเขา.

“ผู้ใดหรือที่เข้ามาหาเราดุจอาชญากรยามราตรี?” เธอถามสั่ง.

หัวในผ้าโพกชุดคลุมแสดงความตึงเขม็งในอาการบิดผงะมันที, แล้วการผ่อนคลายลงอย่างช้าๆมีเผยออกมามาก. ชายนี้มีการควบคุมที่ดี.

พอล ขยับเลื่อนไปจากมารดาของตนเพื่อแบ่งแยกพวกเขาจากการเป็นเป้าและให้แต่ละพวกเขาปลอดโปร่งในพื้นที่สังเวียนและลงมือ.

หัวถูกคุมไว้นั้นหันมาที่การเคลื่อนไหวของ พอล, เปิดหนทางของใบหน้ากับแสงจันทร์. เจสสิกา เห็นจมูกเรียวแหลม, ดวงตาแวววาวหนึ่ง---ดำมืด, เป็นดวงตาที่มืดเหลือเกิน, ปราศจากสีขาวใดๆในมัน---สีน้ำตาลเข้มและหันชี้ขึ้นของหนวด.

“ยังกับลูกเสือน้อย,” ชายนั้นพูด. “ถ้าเจ้าเป็นผู้หลบลี้ภัยจากพวกฮาร์คอนเนนส์, มันอาจได้ว่าว่าเจ้าเป็นที่ยินดีต้อนรับในหมู่พวกเรา. มันคืออะไรล่ะ, เจ้าหนู?”

ความเป็นไปได้วาบผ่านจิตของ พอล: กลลวง? ความจริง? การตัดสินในทันที่เป็นที่จำเป็นต้องการ.

“ทำไมเจ้าถึงยินดีต้อนรับผู้หลบลี้ภัยหรือ?” เขาถามสั่ง.

“เด็กที่คิดและพูดเหมือนชายโตวัย,” ชายร่างสูงพูด. “เอาละ, ในตอนนี้, เพื่อตอบคำถามของเจ้า, ผู้พิทักษ์หนุ่มที่รัก, ข้าเป็นผู้หนึ่ง ที่ไม่ได้จ่ายฟาย(fai), บรรณาการน้ำ, ให้กับพวกฮาร์คอนเนนส์. นั่นคือทำไมข้าอาจจะยินดีต้อนรับผู้หลบลี้ภัย.”

เขารู้ว่าเราเป็นใคร, พอล คิด. มีการปิดบังอยู่ในน้ำเสียงนั้นของเขา.

“ข้าคือ สติลจาร์, เจ้าฟรีเมน,” ชายร่างสูงนั้นพูด. “นั่นทำให้เจ้าลิ้นเร่งเร็วขึ้นไหม, เจ้าหนู?”

มันเป็นน้ำเสียงเหมือนเดิม, พอล คิด. และเขาจำได้ว่าถึงการประชุมคณะทำงานที่ชายผู้นี้ตามหาร่างของเพื่อนที่ถูกฆ่าโดยพวกฮาร์คอนเนนส์.”

“ข้ารู้จักท่าน, สติลจาร์,” พอล พูด. “ข้าอยู่กับท่านพ่อของข้าในการประชุมคณะทำงานเมื่อท่านเข้ามาเพื่อน้ำของเพื่อนของท่าน. ท่านรับเอาคนของท่านพ่อของข้าไปกับท่านด้วย, ดันแคน ไอดาโฮ---เป็นการแลกเปลี่ยนของเพื่อนทั้งหลาย.”

“และ ไอดาโฮ ละทิ้งเราเพื่อกลับไปหาดยุคของเขา,” สติลจาร์ พูด.

เจสสิกา ได้ยินเงาของความรังเกียจในน้ำเสียงของเขา, กุมตนเองเตรียมพร้อมเพื่อโมตี.

เสียงจากก้อนหินทั้งหลายข้างบนเหนือพวกเขาตะโกนมา: “เราสูญเวลาเปล่าอยู่ที่นี่แล้ว, สติล.”

“นี่เป็นลูกชายของดยุค,” สติลจาร์ ตะโกนขู่. “เขาแน่ชัดว่าคือผู้ที่เลียตบอกเราให้ตามหาตัว.”

“แต่.....แค่เด็กคนหนึ่ง, สติล.”

ดยุคเป็นชายชาตรีคนหนึ่งและเด็กหนุ่มนี่ใช้เครื่องตบพื้นธัมเปอร์,” สติลจาร์ พูด. “นั่นเป็นการข้ามมาอย่างกล้าหาญที่เขาได้ทำในเส้นทางของ ไช-ฮูลุด.”

และ เจสสิกา ได้ยินเขากำลังตัดเธอออกไปจากความคิดของเขา. เขาได้ผ่านการพิพากษาเสร็จเรียบร้อยไปแล้วหรือ?

“เราไม่มีเวลาสำหรับการทดสอบ,” เสียงข้างบนเหนือพวกเขาท้วงมา.

“กระนั้นเขายังอาจเป็นได้ซึ่ง ไลสาน อัล กาอิบ,” สติลจาร์ พูด.

เขากำลังมองหาลางบอกเหตุ! เจสสิกา คิด.

“แต่ผู้หญิงนั่น,” เสียงจากข้างบนเหนือพวกเขาพูด.

เจสสิกา เตรียมพร้อมตนเองใหม่. มีความตายแฝงมาในน้ำเสียงนั้น.

“ใช่, ผู้หญิงนั้น,” สติลจาร์ พูด. “และน้ำของเธอ.”

“เจ้ารู้กฎนั้น,” เสียงนั้นพูดมาจากกลุ่มก้อนหิน. “ใครทั้งหลายที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ด้วยกับทะเลทรายได้---”

“เงียบเถอะ,” สติลจาร์ พูด. “เวลาทั้งหลายเปลี่ยน.”

เลียตบัญชาในเรื่องนี้ไว้หรือ?” เสียงนั้นถามมาจากกลุ่มก้อนหิน.

“เจ้าได้ยินวจนะของ ซิเอลาโก(cielago - นกน้ำ)นั้น, จามิส,” สติลจาร์ พูด. “ทำไมเจ้าต้องกดดันข้าด้วย?”

และ เจสสิกา คิด: ซิเอลาโก! เบาะแสนัยยะของลิ้นที่เปิดถนนกว้างของความเข้าใจ: นี่เป็นภาษาของ อิลม์ และ ฟิกฮ์ (Ilm and Fiqh* - วิทยาศาสตร์และนิติศาสตร์), และ ซิเอลาโก หมาย-

         * https://th.wikiqube.net/wiki/Glossary_of_Islam

ถึง ค้างคาว, สัตว์บินตัวเล็กเลี้ยงลูกด้วยนม. วจนะ แห่ง ซิเอลาโก: พวกเขาได้รับการปลูกฝังสาส์นเพื่อหาตัว พอล และเธอ.

         “ข้าได้แต่เตือนจำท่านถึงหน้าที่ทั้งหลายของท่าน, สหายสติลจาร์,” เสียงข้างบนเหนือพวกเขาพูด.

         “หน้าที่ของข้าคือความเข้มแข็งของเผ่า,” สติลจาร์ พูด. “นั่นคือหน้าที่เดียวเท่านั้นของข้า. ข้าไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเตือนจำข้าถึงมัน. เด็ก-ชายผู้นี้ทำให้ข้าสนใจ. เขาเป็นเนื้อ-เต็มที่แล้ว. เขาได้อยู่ด้วยน้ำมาก. เขาได้อยู่ห่างไกลจากสุริยบิดร. เขาไม่มีดวงตาของ อิบัด(ibad – ผู้นอบน้อม). กระนั้นเขาก็ไม่พูดหรือกระทำเยี่ยงพวกอ่อนแอแห่งแอ่งน้ำนี้. หรือไม่ก็บิดาของเขาเช่นกัน. นี้สามารถเป็นได้อย่างไรหรือ?”

         “เราไม่สามารถอยู่ข้างนอกนี่เถียงกันได้ตลอดทั้งคืน,” เสียงจากกลุ่มหินนั้นพูด. “ถ้าหน่วยลาดตระเวน---”

         “ข้าจะไม่บอกแก่เจ้าอีกครั้ง, จามิส, ให้เงียบไว้,” สติลจาร์ พูด.

         ชายที่อยู่ข้างบนเหนือพวกเขาคงนิ่งเงียบอยู่, แต่ เจสสิกา ได้ยินเขากำลังเคลื่อนที่, ข้ามโดยกระโจนเหนือโตรกแคบและทำทางของเขาลงมายังพื้นแอ่งลุ่มนี้ทางด้านซ้ายมือของพวกเขา.

         “วจนะของซิเอลาโกนั้นชี้แนะว่าจะเป็นคุณประโยชน์ต่อเราในการช่วยชีวิตเจ้าทั้งสอง,” สติลจาร์ พูด. “ข้าสามารถเห็นความเป็นไปได้ในเด็ก-ชายเข้มแข็งนี้: เขายังเยาว์และสามารถเรียนรู้. แต่มีอะไรในตัวเจ้าหรือ, แม่หญิง?”เขาจ้องมองที่ เจสสิกา.

         ข้าได้เสียงและรูปแบบของเขาบันทึกลงทะเบียนแล้วในตอนนี้, เจสสิกา คิด. ข้าสามารถควบคุมเขาได้ด้วยหนึ่งคำพูด, แต่เขาเป็นชายที่เข้มแข็ง.....มีค่ามากยิ่งต่อเราด้วยการไม่ถูกลบคมให้ทื่อและมีอิสรภาพของการกระทำ. เราจะเห็นกัน.

         “ข้าเป็นมารดาของเด็กชายผู้นี้,” เจสสิกา. “ในส่วนหนึ่ง, ความเข้มแข็งที่เจ้าชื่นชมคือผลิตผลจากการฝึกฝนของข้า.”

         “ความเข้มแข็งของผู้หญิงสามารถเป็นที่ไม่สิ้นสุดได้,” สติลจาร์ พูด. “แน่นอนว่ามันมีอยู่ใน แม่อธิการ. เจ้าคือ แม่อธิการ หรือ?”

         ชั่วขณะนั้น, เจสสิกา ไม่เอาใจใส่ในความหมายโดยนัยของคำถามนั้น, และตอบอย่างจริงใจ, “ไม่ใช่.”

         “เจ้าได้รับการฝึกฝนมาหรือไม่ในวิถีของทะเลทราย?”

         “ไม่, แต่มากมายพิจารณาว่าการฝึกฝนของข้านั้นมีค่า.”

         “เราทำการพิจารณาตัดสินด้วยตัวเราเองกับคุณค่านั้น,” สติลจาร์ พูด.

         “ทุกคนต่างมีสิทธิที่จะพิจารณาตัดสินด้วยตนเอง,” เธอพูด.

         “มันเป็นการดีที่เจ้ามองเห็นเหตุผล,” สติลจาร์ พูด. “เราไม่สามารถชักช้าอืดอาดในที่นี้เพื่อทดสอบเจ้า, แม่หญิง. เจ้าเข้าในไหม? เราไม่ได้ต้องการเงาของเจ้ามาแพร่ระบาดต่อเรา. ข้าจะรับเอาเด็ก-ชายนี้, ลูกชายของเจ้า, และเข้าจะได้การยอมรับของข้า, ที่หลบลี้ภัยในเผ่าของข้า. แต่สำหรับเจ้า, แม่หญิง---เจ้าเข้าใจได้ว่าไม่มีเรื่องส่วนตัวในการนี้? มันคือกฎ, อิสทิสเลาะฮ์(Istislah – สาธารณประโยชน์), ในผลประโยชน์ทั่วไป. นั่นไม่เพียงพอหรือ?”

         พอล ครึ่ง-ก้าวไปข้างหน้า. “เจ้ากำลังพูดถึงอะไร?”

         สติลจาร์ ตวัดมองข้ามผ่าน พอล, แต่คงความสนใจเอาไว้กับ เจสสิกา. “นอกเสียจากว่าเจ้าได้รับการฝึกฝนเชิงลึกจากวัยเด็กในการมีชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว, เจ้าก็สามารถนำความพินาศมาสู่เผ่าทั้งปวงได้. มันเป็นกฎหมาย, และเราไม่สามารถแบกรับผู้ไร้ประโยชน์---”

         การเคลื่อนไหวของ เจสสิกา เริ่มด้วยอาการดุจเซทรุดคว่ำ, ลวงเป็นลมหมดสติลงสู่พื้นดิน. มันเป็นสิ่งชัดเจนสำหรับผู้ต่างถิ่นจากนอกโลกที่อ่อนแอที่จะเป็น, และชัดเจนหน่วงให้ปฏิกิริยาตอบโต้ทั้งหลายของฝ่ายตรงข้ามช้าลง. มันใช้เวลาชั่วประเดี๋ยวที่จะแปลความหมายสิ่งที่รู้แล้วเมื่อสิ่งนั้นกำลังเปิดเผยดุจอะไรบางอย่างที่ไม่รู้. เธอเลื่อนไถลไปขณะที่เธอเห็นไหล่ขวาของเขาทิ้งลงเพื่อดึงอาวุธขึ้นมาจากภายในรอยพับทั้งหลายของเสื้อคลุมของเขานั้นเพื่อที่จะมีผลต่อตำแหน่งใหม่ของเธอ. การเบี่ยงตัน, ฟันแขนของเธอออกไป, การวนหมุนของเสื้อคลุมประสานกัน, และเธออีกครั้งปะทะเข้ากับกลุ่มก้อนหินโดยมีชายผู้ทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงหน้าเธอ.

         ที่การเคลื่อนไหวแรกของมารดาของเขา, พอล ถอยไปสองก้าว. ขณะที่เธอจู่โจม, เขาพุ่งเข้าหาเงามืด. ชายไว้เคราผวาขึ้นสู้ตามวิถีของตน, กึ่ง-หมอบ, พุ่งมาข้างหน้าด้วยอาวุธในมือข้างหนึ่ง. พอล จัดการชายนั้นที่ลิ้นปี่ด้วยการทิ่มมือ-เหยียดตรง, ก้าวเฉียงไปทางด้านข้างและหันลงที่ฐานคอของเขา, ปลดอาวุธจากเขาในขณะที่ร่างร่วงลงไป.

         แล้ว พอล ก็เข้าไปในเงามืด, ปีนป่ายไต่ขึ้นไปในท่ามกลางกลุ่มก้อนหิน, อาวุธนั้นเสียบไว้ที่สายคาดรัดเอวของเขา. เขาได้จดจำมันได้แม้ว่ารูปทรงของมันจะไม่คุ้นเคยนัก---อาวุธขว้างโค้ง, และนั่นบอกถึงหลายสิ่งเกี่ยวกับสถานที่นี้, อีกเบาะแสหนึ่งที่โล่พลังไม่ได้ถูกใช้ในที่นี่.

         พวกเขาจะมุ่งสนใจไปยังแม่ของข้าและเจ้าสติลจาร์นั้น. เธอสามารถจัดการเขาได้. ข้าต้องเข้าไปอยู่ในจุดปลอดภัยได้เปรียบที่ซึ่งข้าสามารถคุกคามพวกเขาได้และให้เวลาเธอที่จะหลบหนี.

         แล้วก็มีเสียงประสานเข้ามาของขดลวดลั่นคลิ๊กแหลมๆจากแอ่งลุ่ม. กระสุนยิงวิถีโค้งสาดร้องระงมออกมาจากบรรดาก้อนหินรอบตัวเขา. หนึ่งในมันกระทบเข้ากับเสื้อคลุมของเขา. เขาเบียดอ้อมหัวมุมในหมู่ก้อนหิน, พบว่าตนเองอยู่ในซอกแคบของรอยแตกทางตั้ง, เริ่มต้นคืบทีละนิ้วไปขึ้นไป---หลังของเขายันไว้เข้ากับด้านหนึ่ง, เท้าทั้งคู่ของเขายันกับอีกด้าน---อย่างช้าๆ, อย่างเงียบๆเท่าที่เขาจะสามารถทำได้.

         คำรามในน้ำเสียงของสติลจาร์สะท้อนก้องขึ้นมาหาเขา: ถอยกลับไป, เจ้าหัวหนอนเห็บหมัดทั้งหลาย! หล่อนจะหักคอของข้าถ้าพวกเจ้าเข้ามาใกล้!

         เสียหนึ่งดังออกมาจากแอ่งลุ่มนั้นบอก: “เด็กชายนั่นหนีไปแล้ว, สติล. เราจะอะไร---”

         “แน่นอนสิว่าเขาหนีไปได้, เจ้าสมองมีแต่ทราย.....อั๊กห์-ห-ห! เย็นไว้, แม่หญิง.”

“บอกให้พวกเขาหยุดตามล่าลูกชายของข้า,” เจสสิกา พูด.

“พวกเขาได้หยุดแล้ว, แม่หญิง. เขาหลบหนีไปดังที่เจ้าตั้งใจให้เขาทำ. มหาเหล่าเทวาเบื้องล่าง! ทำไมเจ้าไม่บอกว่าเจ้านั่นเป็นหญิงพิลึกพิลั่นและนักต่อสู้ล่ะ?”

“บอกคนของเจ้าให้ถอยกลับไป,”เจสสิกา พูดง “บอกพวกเขาให้ออกมาเข้าไปในแอ่งลุ่มที่ข้าสามารถมองเห็นตัวพวกเขาได้.....และเจ้าเชื่อไว้ดีกว่าว่าข้ารู้ว่าพวกเขามีกันอยู่มากเท่าไหร่ที่นั่น.”

และเธอคิด: นี่เป็นชั่วขณะที่ละเอียดอ่อน, แต่ถ้าชายนี้จิตใจเฉียบแหลมอย่างที่ข้าคิดไว้ว่าเขาเป็น, เราก็มีโอกาส.

พอล ทีละนิ้วตามเส้นทางของตนขึ้นไป, พบตะเพิงยื่นเป็นชั้นออกมาแคบๆให้เขาสามารถหยุดพักได้และมองกลับลงมายังแอ่งลุ่ม. เสียงของ สติลจาร์ ลอยดังขึ้นมายังเขา.

“และถ้าข้าปฏิเสธ? เจ้าสามารถอย่างไรจะ.....อั๊กห์-ห-ห! ปล่อยไว้, แม่หญิง. เราไม่ได้หมายจะทำร้ายใดต่อเจ้า, ในตอนนี้. มหาเทพทั้งหลายเอ๋ย! ถ้าเจ้าสามารถทำนี่ได้ต่อผู้แข็งแรงที่สุดของเรา, เจ้าก็มีค่าสิบเท่าของน้ำหนักน้ำของเจ้า.”

ทีนี้, การทดสอบของเหตุผล, เจสสิกา คิด. เธอพูด: “เจ้าถามถึง ไลสาน อัล-กาอิบ.”

“เจ้าสามารถจะเป็นผู้คนในตำนานได้,” เขาพูด, “แต่ข้าจะเชื่อนั่นเมื่อมันได้ถูกทดสอบแล้ว. ทั้งหมดที่ข้ารูในตอนนี้คือเจ้ามายังที่นี่กับดยุคโง่เง่าที่.....อ๊าย-ย-ย! แม่หญิง! ข้าหาได้ใส่ใจไม่ว่าเจ้าจะฆ่าข้า! เขาเป็นผู้มีเกียรติและกล้าหาญ, แต่มันโง่เง่ามากที่เอาตัวเขาเองไปตกอยู่ในกำปั้นของฮาร์คอนเนน!

เงียบสงัด.

ทันทีนั้น, เจสสิกา พูด: “เขาไม่มีทางเลือก, แต่เราจะไม่โต้แย้งมัน. ตอนนี้, บอกคนของเจ้าที่อยู่หังพุ่มไม้ตรงโน้นให้หยุดพยายามที่จะนำอาวุธของเขามาใช้กับข้า, หรือไม่ข้าก็จะริดเอกภพนี้ของเจ้าและจัดการเขาเป็นรายต่อไป.”

“เจ้าตรงนั้น!สติลจาร์ คำราม. “ทำตามที่เธอพูด!

“แต่, สติล---”

“ทำตามที่เธอพูด, เจ้าหน้าหนอน, คลานคืบ, ชิ้นสมองทรายของจิ้งเหลนกระเทย! ทำมันซะไม่งั้นข้าจะช่วยเธอตัดแขนขาของเจ้าเอง! เจ้าไม่สามารถเห็นคุณค่าของผู้หญิงนี้รึ?”

ชายที่พุ่มไม้นั้นยืดร่างขึ้นจากที่ปิดบังบางส่วนของตนและลดอาวุธของเขาลง.

“เขาได้เชื่อฟังแล้ว,” สติลจาร์ พูด.

“ทีนี้,” เจสสิกา บอก, “อธิบายให้ชัดแจ้งต่อผู้คนของเจ้าว่าอะไรที่เจ้าปรารถนากับข้า. ข้าต้องการไม่มีหนุ่มหัวร้อนใดที่จะทำอะไรโง่เขลาผิดพลาด.”

“เมื่อเราหลบเข้าไปในหมู่บ้านและเมืองทั้งหลายเราต้องปิดบังที่มา, ผสมเข้ากับพี่น้องแอ่งลุ่มและพื้นผิว,” สติลจาร์ พูด. “เราไม่ถืออาวุธ, สำหรับมีดกริชคริสไน้ฟนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์. แต่เจ้า, แม่หญิง, เจ้ามีความสามารถที่พิกลของการต่อสู้. เราเพียงแค่ได้ยินถึงมันและกังขามากมาย, แต่ใครก็ไม่สามารถกังขาในอะไรที่เขาเห็นด้วยตาของเขาเอง. เจ้าเป็นเหนือกว่าฟรีเมนที่มีอาวุธ. นี้คืออาวุธที่ไม่สามารถค้นเจอได้.”

มีความวุ่นวายในแอ่งลุ่มขณะที่คำพูดของสติลจาร์จมลงไปในจิตใจ.

“และถ้าข้าเห็นพ้องที่จะสอนเจ้าถึง.....วิธีพิกลนี้ล่ะ?”

“การยอมรับของข้าต่อเจ้าเช่นเดียวกับลูกชายของเจ้า.”

“เราจะแน่ใจได้อย่างไรถึงความสัจในคำสัญญาของเจ้า?”

เสียงของสติลจาร์สูญบางอย่างของมันเป็นเบาต่ำลงกระซิบของการอ้างเหตุผล, รับเอาขอบริมของความข่มขื่น. “ข้างนอกนี้, แม่หญิง, เราไม่ถือกระดาษอะไรมาเพื่อทำสัญญา. เราไม่ทำสัญญาตอนเย็นที่จะทำลายมันกันในตอนเช้า. เมื่อชายหนึ่งพูดสิ่งหนึ่ง, นั่นคือสัญญา. ในฐานะผู้นำแห่งผู้คนของข้า, ข้านำเอาพวกเขาเข้าผูกพันต่อคำพูดของข้า. สอนเราวิธีพิกลนี้และเจ้าจะมีสถานหลบลี้ภัยกับเราตราบนานเท่าที่เจ้าปรารถนา. น้ำของเจ้าจะรวมเข้ากับน้ำของพวกเรา.”

“เจ้าสามารถพูดแทนฟรีเมนทั้งหมดได้หรือไม่?” เจสสิกา ถาม.

“ในเวลานี้, นั่นอาจจะ. แต่มีเพียงพี่ชายของข้าเท่านั้น, เลียต, ที่พูดแทนฟรีเมนทั้งหมด. ที่นี่, ข้าสัญญาได้แค่เป็นการส่วนตัวเท่านั้น. ผู้คนของข้าจะไม่พูดถึงเจ้าต่อสิฐคามอื่นใดๆ. พวกฮาร์คอนเนนส์ได้กลับคืนมาสู่ดูน พิภพทราย ด้วยกองกำลังเต็มที่และดยุคของเจ้าได้ตายแล้ว. มันพูดกันว่าพวกเจ้าทั้งสองได้ตายไปแล้วในมารดรพายุ. พวกนักล่าไม่เสาะหาเกมที่ตายแล้ว.”

มีความปลอดภัยในนั้น, เจสสิกา คิด. แต่ผู้คนเหล่านี้มีการติดต่อสื่อสารที่ดีและข่าวสารสามารถถูกส่งออกไปได้.

“ข้าสันนิษฐานเอาว่ามีการเสนอรางวัลค่าหัวของเราอยู่,” เธอพูด.

สติลจาร์ ยังคงนิ่งเงียบ, และเธอสามารถเกือบเห็นความคิดทั้งหลายกำลังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา, สัมผัสรู้ถึงการขยับเกร็งทั้งหลายของกล้ามเนื้อของเขาภายใต้มือของเธอ.

         ทันทีนั้น, เขาพูด: “ข้าจะพูดมันอีกครั้งหนึ่ง: ข้าได้ให้คำมั่น-สัญญาของเผ่า. ผู้คนของข้ารู้ถึงคุณค่าของเจ้าที่มีต่อเราแล้วในตอนนี้. อะไรหรือที่พวกฮาร์คอนเนนส์จะให้เราได้? อิสรภาพของเราหรือ? ไม่, เจ้าคือ ตกวฺา(taqwa*- สตรีแห่งเทพ), นั่นซึ่งซื้อเราได้มากยิ่งกว่าเครื่องเทศทั้งหมดในทรัพย์สินของฮาร์คอนเนน.”

         * https://www.facebook.com/nut1035/posts/1052338988178697/

         “งั้นข้าก็จะสอนเจ้าถึงวิธีของข้าในการยุทธ,” เจสสิกา พูด, และเธอสัมผัสรู้ถึงความแรงกล้า-เป็นพิธีกรรมโดยไม่รู้สึกตัวของคำพูดเหล่านั้นของเธอเอง.

         “ทีนี้, เจ้าจะปล่อยตัวข้าไหม?”

         “ให้เป็นเช่นนั้นเถิด,”เจสสิกา พูด. เธอปล่อยการกุมตัวเขาไว้ของเธอ, ก้าวไปข้างๆในมุมมองเห็นได้เต็มที่ของตลิ่งจากในแอ่งลุ่มนั้น. นี่เป็นการทดสอบ-บดคลุกเคล้าเข้ากันแล้ว, เธอคิด. แต่ พอล ต้องรู้เกี่ยวกับพวกเขาแม้กระทั่งถ้าข้าตายเพื่อความรู้ของเขา.

         ในการรอคอยอย่างเงียบสงัด, พอล คืบไปข้างหน้าทีละนิ้วเพื่อให้ได้ภาพทัศน์ตรงที่มารดาของเขายืนอยู่. ขณะที่เขาเคลื่อนไป, เขาได้ยินเสียงหายใจแรงหนัก, หยุดนิ่งในทันที, ข้างบนเหนือเขาขึ้นไปในรอยแตกแนวตั้งของก้อนหินนั้น, และสัมผัสรู้ถึงเงาจางๆที่บดบังดวงดาวอยู่ตรงนั้น.

         เสียงของ สติลจาร์ ดังขึ้นมาจากแอ่งลุ่ม. “เจ้า, ที่ข้างนั่น! หยุดตามล่าเด็กชายผู้นั้น. เขาจะลงมาในเร็วนี้เอง.”

         เสียงคล้ายเด็กผู้ชายหรือหญิงดังมาจากความมืดเหนือ พอล: “แต่, สติล, เขาไม่สามารถอยู่ได้ไกลจาก---”

         “ข้าบอกว่าปล่อยเขาไป, ชานี! เจ้าไข่จิ้งเหลน!

         มีเสียงกระซิบกระซาบสาปแช่งดังมาจากข้างบนเหนือ พอล และเสียงเบาต่ำ, “เรียกข้าว่าไข่จิ้งเหลน!” แต่เงาจางๆนั้นก็ดึงกลับไปจากสายตา.

         พอล หันความสนใจของเขากลับมาที่แอ่งลุ่ม, จับแยกการเคลื่อนไหวของเงาสีเทาของ สติลจาร์ อยู่ข้างมารดาของเขา.

         “เข้ามานี่, พวกเจ้าทังหมด,” สติลจาร์ ตะโกนเรียก. เขาหันมาหา เจสสิกา. “และตอนนี้ข้าจะถามเจ้าว่าอย่างไรที่เราจะแน่ใจชัดเจนได้ว่าเจ้าจะเติมเต็มครึ่งของเจ้าในการค้าขายแลกเปลี่ยนกันของเรา? เจ้าคือผู้ที่มีชีวิตอยู่กับกระดาษและสัญญาลวงเปล่าทั้งหลายและเช่นนั้นแล้ว---”

         “เราแห่ง เบเน เกสเสอริต ไม่ทำลายคำสาบานใดของเรายิ่งไปกว่าที่เจ้าทำ,” เจสสิกา พูด.

         มีความเงียบที่ยืดเยื้อ, แล้วเสียงซี่ดแซ่ดหลากหลายดังขึ้น. “แม่มดเบเน เกสเสอริต!

         พอล นำเอาอาวุธที่ยึดได้อกมาจากสายคาดของเขา, ตั้งท่าเตรียมยังเงาร่างของ สติลจาร์, แต่ชายนั้นและและสหายทั้งหลายของเขายังคงไม่ขยับเคลื่อนไหว, จ้องมองมาที่ เจสสิกา.

         “มันคือตำนานนั้น,” ใครบางคนพูดขึ้น.

         “มันได้ถูกบอกเล่ากันว่า ชาเดา มาเปส ให้รายงานถึงเรื่องของเจ้านี้มา,” สติลจาร์ พูด. “แต่สิ่งนั้นสำคัญมากยิ่งจึงต้องถูกทดสอบ. ถ้าเจ้าเป็น เบเน เกสเสอริต แห่งตำนานนั้นผู้ซึ่งบุตรชายจะนำเราไปสู่สรวงสวรรค์.....” เขายักไหล่.

         เจสสิกา ถอนหายใจ, คิดคำนึง: กระนั้นเองที่ มิชชั่นนาเรีย โพรเท็คติวา กระทั่งได้ปลูกเพาะลิ้นเปิดปิดนิรภัยเชิงศาสนาศรัทธาเอาไว้ตลอดรูนรกผ่านทั้งหมดนี้. อา, ดีละ.....มันจะช่วย, และนั่นคืออะไรที่มันต้องทำ.

         เธอพูด: “แม่หมอพยากรณ์ผู้นำเจ้ามาซึ่งตำนานนั้น, เธอให้มันภายใต้การผูกมัดของ กาลาม และ อิจาซ์(karama and ijaz* - คำศรัทธาบอกเล่า และปาฏิหาริย์ลักษณะ), ปาฎิหารย์นั้นและ

         * https://th.wikiqube.net/wiki/Glossary_of_Islam

ไม่อาจเลียนได้แห่งคำพยากรณ์---นี้ข้ารู้. เจ้าปรารถนาซึ่งสัญญานหรือ?”

         ช่องจมูกของเขาวูบวาบในแสงจันทร์. “เราไม่สามารถโอ้เอ้พักแรมสำหรับทำพิธีกรรมทั้งหลายได้.”

         เจสสิกา นึกย้อนขึ้นได้ถึงตารางภาพที่ คายนิ์ส ได้แสดงต่อเธอขณะที่จัดแจงเส้นทางหนีฉุกเฉินทั้งหลาย. มันช่างดูเหมือนนานมาแล้ว. มีสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า “สิฐคาม ทับร์” บนตารางภาพนั้นและข้างๆมันเขียนบันทึกไว้ว่า “สติลจาร์”.

         “บางทีเมื่อเราไปถึงยัง สิฐคาม ทับร์ แล้ว.” เธอพูด.

         “วิวรณ์นั้น(the revelation)สั่นสะเทือนเขา, และ เจสสิกา คิด: ถ้าเพียงแค่เขารู้เท่านั้นถึงกลเม็ดทั้งหลายที่เราใช้! เธอต้องเก่งมากเลย, เบเน เกสเสอริต ของ มิชชั่นนาเรีย โพรเท็คติว่า ผู้นั้น. พวกฟรีเมนเหล่านี้ได้ถูกจัดเตรียมไว้อย่างงดงามที่จะศรัทธาในเรา.

         สติลจาร์ ขยับตัวอย่างกระวนกระวาย. “เราต้องไปแล้วในตอนนี้.”

         เธอพยักหน้า, ปล่อยให้เขารู้ว่าพวกเขาได้ไปโดยการอนุญาตของเธอ.

         เขาเงยหน้าขึ้นไปยังหน้าผาเกือบตรงตะพักหินยื่นที่ซึ่ง พอล ได้หมอบอยู่. “เจ้าตรงนั้น, หนุ่ม: เจ้าน่าจะลงมาได้แล้วในตอนนี้.” เขาหันความสนใจของตนกลับมาที่ เจสสิกา, พูดด้วยน้ำเสียงขออภัย: “ลูกชายของเจ้าทำเสียงมากอย่างไม่น่าเชื่อในการปีนป่าย. เขายังต้องเรียนรู้อีกมากเพื่อลดทอนอันตรายต่อพวกเราทั้งหมด, แต่เขาก็ยังหนุ่มอยู่.”

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรามีอีกมากที่จะสอนให้กันและกัน,” เจสสิกา พูด. “ในระหว่างนี้, เจ้าดูแลให้ดีที่สุดต่อสหายของเจ้าข้างนอกนั่น. ลูกชายเสียงดังของข้าออกจะโหดไปนิดในการปลดอาวุธเขา.”

สติลจาร์ หมุนวนไป, หมวกคลุมศีรษะของเขากระพือขึ้น. “ที่ไหน?”

“เลยพุ่มไม้เหล่านั้นไป,” เธอชี้.

สติลจาร์ แตะตัวสองคนของเขา. “ไปดูมันซิ,”. เขาชำเลืองที่สหายทั้งหลายของเขา, ตรวจสอบระบุตัวพวกเขา. “จามิส หายไป.” เขาหันมาหา เจสสิกา. “กระทั่งลูกเสือน้อยของเจ้าก็รู้วิธีพิลึกพิกลนั่นด้วยสินะ.”

“และเจ้าก็จะสังเกตเห็นได้ว่าลูกชายของข้าไม่ได้ขยับลงมาจากข้างบนนั้นตามที่เจ้าสั่ง,” เจสสิกา บอก.

ชายสองคนที่ สติลจาร์ ได้ส่งไปกลับมาพร้อมกับคนที่สามที่เดินโซเซและอ้าปากหอบหายใจพยุงตัวอยู่ระหว่างพวกเขา. สติลจาร์ ตวัดสายตาเหลือบมองพวกนั้น, แล้วหันความสนใจของเขากลับมาที่ เจสสิกา. “ลูกชายนั่น, จะรับแต่เพียงคำสั่งของเจ้าเท่านั้นสินะ, หือ? ดี. เขารู้จักระเบียบวินัย.”

พอล, ลูกน่าจะลงมาได้แล้วในตอนนี้,” เจสสิกา พูด.

พอล ยืนขึ้น, โผล่พรวดเข้าไปในแสงจันทร์เหนือช่องแตกที่หลบซ่อนของเขา, สอดอาวุธของฟรีเมนกลับเข้าไปที่สายคาดเอวของเขา. ขณะที่เขาหัน, ร่างอีกหนึ่งลุกขึ้นจากกลุ่มหินเพื่อเผชิญหน้าเขา.

ในแสงจันทร์และเงาสะท้อนของก้อนหินสีเทา, พอล เห็นร่างเล็กๆในเสื้อคลุมฟรีเมน, ใบหน้าในเงามืดจ้องมองออกมาที่เขาจากในหมวกคลุมนั้น, และตะหร้อของหนึ่งในเครื่องยิงกระสุนวิถีโค้งเล็กมายังที่เขาจากรอยพับของเสื้อคลุม.

“ข้าคือ ชานี, ธิดาแห่ง เลียต.”

เสียงนั้นร่าเริง, กึ่งแฝงด้วยหัวเราะ.

“ข้าไม่ควรจะอนุญาตให้เจ้าที่จะทำร้ายสหายของข้า,” เธอพูด.

พอล กลืนน้ำลาย. ร่างตรงหน้าของเขาหันเข้ามาในวิถีของแสงจันทร์และเขาเห็นใบหน้ารูปไข่, หลุมดำของดวงตาคู่นั้น. ความคุ้นเคยของใบหน้านั้น, รูปพรรณสัณฐานออกมาจากภาพทัศน์ทั้งหลายนับไม่ถ้วนในนิมิตเริ่มแรกที่สุดของเขา, สร้างความตื่นตระหนกใจใหกับ พอล จนนิ่งงัน. เขาจดจำถึงความองอาจดุร้ายกับด้วยที่เขาได้ครั้งหนึ่งอธิบายว่าคือใบหน้า-จาก-ความฝัน, บอกต่แม่อธิการ ไกอัส เฮเลน โมฮิยัม: ข้าจะพบกับเธอ.”

และนี่คือใบหน้านั้น, แต่ไม่ใช่การพบกันอย่างที่เขาเคยฝันไว้.

“เจ้านั้นทำเสียงดังยังกับ ไช-ฮูลุด ในตอนโกรธ,” เธอพูด. “และเจ้าใช้วิธีที่ยากลำบากที่สุดในการขึ้นมาข้างบนนี้. ตามข้ามา; ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นถึงวิธ๊ที่ง่ายกว่าตอนลง.”

เขาเซเดินออกจากช่องแตกนั้น, ตามติดเสื้อคลุมที่กระพือหมุนของเธอข้ามภูมิประเทศอันยุ่งเหยิง. เธอเคลื่อนไปดุจเลียงผา, เต้นรำเหนือเหล่าก้อนหิน. พอล รู้สึกเลือดร้อนระอุในใบหน้าของเขา, และขอบคุณต่อความมืด.

เด็กสาวนั่น! เธอเหมือนสัมผัสหนึ่งของโชคชะตา. เขารู้สึกหลงติดอยู่กับบนยอดลูกคลื่นหนึ่ง, สอดรับสำเนียงด้วยลีลาเคลื่อนไหวที่ยกลอยจิตวิญญาณทั้งหมดของเขาขึ้น.

พวกเขายืนอยู่ในทันทีนั้นในท่ามกลางหมู่คนฟรีเมนบนพื้นของแอ่งลุ่ม.

เจสสิกา หันยิ้มขบขันเหน็บมายัง พอล, แต่พูดต่อ สติลจาร์: “นี่จะเป็นการแลกเปลี่ยนที่ดีของการสอน. ข้าหวังว่าเจ้าและผู้คนของเจ้าไม่รู้สึกโกรธกับความรุนแรของเรา. มันดูเหมือนว่า.....เป็นสิ่งจำเป็น. เจ้าเองก็เกือบจะ.....ทำผิดพลาด.”

“ช่วยชีวิตใครจากความผิดพลาดนั้นคือของขวัญแห่งสวรรค์,” สติลจาร์ พูด. เขาแตะริมฝีปากของตนด้วยมือข้างซ้ายของเขา, หยิบอาวุธจากเอวของ พอล ด้วยมืออีกข้าง, ยื่นมันให้กับสหายของตน. “เจ้าจะมีปืนมัวลา(muala*)ของตนเอง, หนุ่ม, เมื่อเจ้าสมควรได้รับมัน.”

* https://dune.fandom.com/wiki/Maula_pistol

พอล ขยับจะเริ่มพูด, ลังเล, จำได้ถึงคำสอนของมารดาของเขา: การเริ่มต้นทั้งหลายเป็นช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนยิ่งนัก.”

“ลูกชายของข้ามีอาวุธอะไรทั้งหลายได้ตามที่เขาจำเป็นต้องการ,” เจสสิกา พูด. เธอจ้องมองที่ สติลจาร์, บีบบังคับให้เขาต้องคิดถึงว่า พอล ได้เสาะหาอาวุธมาได้อย่างไร.

สติลจาร์ ชายตามองยังชายที่ถูก พอล กำราบ---จามิส. ชายนั้นยืนอยู่ทางด้านหนึ่ง, ศีรษะก้มต่ำ, หอบหายใจหนัก. “เจ้าเป็นผู้หญิงที่ยุ่งยากมาก.” สติลจาร์ พูด. เขายื่นมือซ้ายของตนไปที่สหายผู้หนึ่ง, ดีดนิ้วมือของเขา. “คุชฮ์ติ บัคคา เต(kushti bakka te* - ส่งผ้าสิญจน์ของเจ้ามา)

ชาค็อบสาอีกแล้ว, เจสสิกา คิด.

สหายนั้นยัดผ้าโปร่งสี่เหลี่ยมจัตุรัสสองชิ้นใส่มือของ สติลจาร์. สติลจาร์ คลี่มันผ่านไปตามนิ้วของเขา, ติดยึดอันหนึ่งรอบคอของ เจสสิกา ใต้หมวกคลุมศีรษะของเธอ, ติดอีกอันหนึ่งที่รอบคอของ พอล ในวิธีเดียวกันกับเธอ.

“ตอนนี้เจ้าสวมผ้าพันคอแห่งบัคคา(bakka),” เขาพูด. “ถ้าเรากลายเป็นแยกออกจากกัน, เจ้าจะถูกจดจำได้ว่าเป็นคนของ สติลจาร์ สิฐคาม. เราจะคุยกันถึงอาวุธในเวลาอื่น.”

เขาเคลื่อนตัวออกไปผ่านคณะของเขาในตอนนี้, ตรวจดูพวกเขา, เอาเป้เฟรมคิทของ พอล ให้หนึ่งในผู้คนของเขาแบก.

บัคคา, เจสสิกา คิด, จำได้ถึงคำทางศาสนานั้น: บัคคา---ผ้าไว้ทุกข์(the weeper). เธอสัมผัสรู้ว่าเป็นสัญลักษณ์นิยมของผ้าพันคอร่วมกันในคณะนี้. ทำไมการไว้ทุกข์จึงควรร่วมกันของพวกเขา? เธอถามตนเอง.

สติลจาร์ มาที่เด็กสาวผู้สร้างความขวยเขินให้กับ พอล, พูด:ชานี, รับเด็ก-ชายนี้ไปอยู่ภายใต้ปีกของเจ้า. คอยดูแลเขาให้พ้นจากเรื่องเดือดร้อน.”

ชานี แตะที่แขนของ พอล. “มาเถอะ, เด็ก-ชาย.”

พอล ซ่อนความโกรธในน้ำเสียงของเขา: “ชื่อของข้าคือ พอล. มันจะดีที่เจ้า---”

“เราจะให้นามแก่เจ้า, เจ้าผู้ชาย,” สติลจาร์ บอก, “ในเวลาของ มิฮ์นา(mihna*), ที่การทดสอบแห่ง แอคล์(aql*).”

การทดสอบแห่งมนสิการ(the test of reason), เจสสิกา แปล. ความจำเป็นต้องการอย่างฉับพลันต่อการขึ้นครองตำแหน่งของ พอล เข้ามาครอบงำการพิจารณาตัดสินอื่นทั้งหมด, และเธอตะโกนขู่, “ลูกชายของข้าได้รับการทดสอบด้วย ก็อม จับบาร์ แล้ว!

ในความเงียบสงัดที่ตามมา, เธอรู้ว่าเธอได้ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของพวกเขาแล้ว.

“ยังมีอีมาที่เราไม่รู้ซึ่งกันและกัน,” สติลจาร์ พูด. “แต่เรายืดเยื้อกันมานานเกินไปแล้ว. ตะวัน-กลางวันต้องไม่หาเราเจอในที่โ,ง.” เข้าข้ามไปยังชายที่โดน พอล ทำร้ายล้ม, พูด, “จาร์มิส, เจ้าเดินทางได้ไหม?”

เสียงกร่นในลำคอตอบเขามา, “น่าแปลกใจ, ที่เขาทำได้. น่าจะเป็นบังเอิญ. ข้าสามารถเดินทางได้.”

“ไม่บังเอิญ,” สติลจาร์ พูด. “ข้าถือว่ามอบให้เจ้าต้องรับผิดชอบกับ ชานี ในความปลอดภัยของเด็กหนุ่มนั้น, จาร์มิส. ผู้คนเหล่านี้ได้การยอมรับจากข้า.”

เจสสิกา จ้องที่ชายนั้น, จาร์มิส. เขาคือเจ้าของเสียงที่ได้โต้เถียงกับ สติลจาร์ มาจากกลุ่มหินนั้น. เขาคือเจ้าของเสียงที่เจือความตายมาในมันนั้น. และ สติลจาร์ ได้ดูเหมือนจะลงตัวที่จะเสริมคำสั่งของเขาด้วย จาร์มิส ผู้นี้.

สติลจาร์ ตวัดสายตาเชิงทดสอบผ่านกลุ่มคนนั้น, ทำท่าทางเรียกให้สองคนออกมา. “ลานส์ และ ฟาร์รุคฮ์, เจ้าไปกลบซ่อนร่องรอยของพวกเรา. ดูว่าเราไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้. ใส่ใจเพิ่มเป็นพิเศษ---เรามีอีกสองคนกับเราที่ไม่ได้รับการฝึกมา.” เขาหันมา, มือยกสูงขึ้นและเล็งข้ามแอ่งลุ่มไป. “ตั้งแถวตอนเรียงเดี่ยวมีผู้คุมแถวขนาบข้าง---เคลื่อนที่ได้. เราต้องอยู่ที่ถ้ำแห่งสันเขาก่อนรุ่งเช้า.”

เจสสิกา จัดให้ก้าวอยู่เคียงข้าง สติลจาร์, นับจำนวนหศีรษะ. มีอยู่สี่สิบฟรีเมน---เธอและ พอล ทำให้มันเป็นสี่สิบ-สองง และเธอคิด: พวกเขาเดินทางกันเหมือนกองทหาร---แม้กระทั่งเด็กสาวนั้น, ชานี.

พอล ยึดตำแหน่งอยู่ในแถวที่ด้านหลังของ ชานี. เขาได้วางทิ้งความรู้สึกดำมืดกับการถูกจับตัวได้โดยเด็กสาวผู้นี้. ในจิตใของเขาตอนนี้เป็นความทรงจำถูกเรียกกลับขึ้นมาโดยเสียงตะโกนเรียกของมารดาของเขาเป็นสิ่งเตือนความจำ: “ลูกชายของข้าได้รับการทดสอบด้วย ก็อม จาบบาร์ แล้ว!” เขาพบว่ามือของเขาเสียวแปลบขึ้นมาด้วยความเอย่าได้ไปปัดป่ายพุ่มไม้ให้น้อยที่สุดที่เจ้าจ็บปวดที่จำได้นั้น.

“คอยระวังที่ที่เจ้าไป,” ชานี ขู่บอก. “อย่าได้ไปปัดป่ายพุ่มไม้ให้น้อยที่สุดที่เจ้าจะทิ้งเส้นรอยที่จะแสดงเส้นทางของเรา.”

พอล กล้ำกลืน, พยักหน้ารับ.

เจสสิกา ฟังเสียงของกองทหารนี้, ได้ยินเพียงเสียงก้าวเท้าของเธอเองและของ พอล, ทึ่งใจไปกับวิธีที่พวกฟรีเมนเคลื่อนที่ไป. พวกเขาเป็นสี่สิบผู้คนกำลังข้ามแอ่งลุ่มด้วยแค่เพียงเสียงของธรรมชาติด้วยเท่านั้นกับสถานที่นี้---เยี่ยงเรือผีหาปลาลำเล็ก, เสื้อคุมของพวกเขากระพือผ่านเงาทั้งหลายนั้น. จุดหมายปลายทางของพวกเขาคือ สัฐคาม ทาบร์---สิฐคามของ สติลจาร์.

เธอหันวนคำนั้นไปทั่วจิตใจของตน: สิฐคาม. มันเป็นคำชาค็อบสา, ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงจากภาษานักล่าสัตว์มาหลายศตวรรษนับไม่ถ้วน. สิฐคาม: สถานที่ชุมนุมในเวลามีภัยอันตราย. ความหมายนัยอันลึกซึ้งของคำนั้นและภาษานั้นเป็นแค่การเริ่มที่จะบันทึกลงทะเบียนกับเธอภายหลังจากความตึงเครียดของการเผชิญหน้ากันของพวกเขา.

“เราเคลื่นไปได้ดี,” สติลจาร์ พูด. “ด้วยความสงเคราะห์ของ ไช-ฮูลุด(Shai-hulud), เราจะไปถึง  ถ้ำแห่งสันเขาก่อนรุ่งอรุณ.”

เจสสิกา พยักหนา, สงวนพละกำลังของเธอ, สัมผัสรูได้ถึงความอ่อนล้าอย่างหนักที่เธอกันให้ห่างไว้ด้วยแรงพลังของเจตจำนง.....และ, เธอยอมรับมัน: ด้วยแรงพลังของความภูมิใจยินดี. จิตใจของเธอเพ่งสมาธิอยู่กับความสำคัญของกองทหารนี้, มองเห็นอะไรที่ถูกเปิดเผยออกมาที่นี่เหี่ยวกับวัฒนธรรมของชนฟรีเมน.

ทั้งหมดของพวกเขา, เธอคิด, วัฒนธรรมทั้งปวงได้ฝึกที่จะเป็นวินัยเยี่ยงกองทหาร. ช่างเป็นสิ่งหาค่ามิได้ในที่นี่สำหรับดยุคที่ถูกขับออกจากชนชั้นวรรณะ.