การดัดแปลงทางศาสนาของชน ฟรีเมน, กระนั้น,
เป็นแหล่งกำเนิดของอะไรที่เราตอนนี้รู้จักกันเป็นเช่น “เสาค้ำของเอกภพ.”
ของ คิซารา ทาฟวิด ผู้ซึ่งอยู่ในท่ามกลางพวกเราทั้งหมดพร้อมด้วยเครื่องหมายและข้อพิสูจน์และคำพยากรณ์.
พวกเขานำการผสมเวทย์มนตร์ของอาร์ราคีนมาสู่เรา ซึ่งความงามอย่างลึกซึ้งได้ถูกทำเป็นแบบอย่างโดยการกวนคนคละดนตรีที่ถูกสร้างบนรูปแบบสมัยเก่าทั้งหลาย,
แต่ประทับตราด้วยการตื่นรู้ใหม่. ใครกันหรือที่ไม่เคยได้ยินและเคยดาลใจลึกล้ำโดย “บทสวดของชายชรา”?
ข้าดันเท้าของข้าผ่านทะเลทราย
ที่ภาพลวงตาของมันเต้นรัวเหมือนเจ้าบ้าน.
ตะกละหาซึ่งความรุ่งโรจน์, ตะกลามหาซึ่งอันตาย,
ข้าจรไปเส้นขอบฟ้าแห่ง อัล-คูลาบ,
เฝ้าดูระดับเวลาภูเขาทั้งหลาย
ในการค้นหาของมันและการหิวหาตัวข้า.
และข้าเห็นนกกระจอกทั้งหลายโฉบบินเข้ามาหา,
หาญกล้ากว่าหมาป่าที่พุ่งพล่านกระโจน.
พวกเขาแผ่กระจายในต้นไม้แห่งความเยาว์วัยของข้า.
ข้าได้ยินฝูงนั้นในกิ่งก้านทั้งหลายของข้า
และเข้าใจได้ถึงจงอยปากและกรงเล็บของพวกมัน!
---จาก “การตื่นรู้ของ อาร์ราคิส” โดย
เจ้าหญิงอีร์อูลาน
ชายนั้นคืบคลานข้ามเนินทราย. เขาเป็นจุดแต้มอยู่ในระยิบระยับของดวงอาทิตย์ตอนเที่ยง.
เขาแต่งกายเพียงแค่ส่วนที่เหลือที่ฉีกขาดของเสื้อคลุมจับบา,
เปลือยเปิดต่อความร้อนผ่านผ้าที่ขาดรุ่งริ่งนั้น.
ผ้าหมวกคลุมศีรษะได้ถูกฉีกออกจากเสื้อคลุม, แต่ชายนี้ได้ทำพันผ้าโพกศีรษะจากแถบฉีกของผ้า.
ผมกระจุกสีทรายโผล่แลบออกมาจากมัน, เข้ากันกับเคราหร็อมแหร็มและคิ้วดกหน้า.
ภายใต้ดวงตาสีฟ้า-ใน-ฟ้านั้น, ยังคงเป็นคราบเข้มแผ่ลงมาตามแก้มทั้งสองของเขา.
รอยถักสานด้านหนาพาดข้ามหนวดและเคราแสดงให้เห็นรอยที่หลอดท่อของสติลล์สูทได้ทำไว้ออกมาในเส้นทางของมันจากจมูกไปยังกระเป๋าดักเก็บ.
ข้าคือ เลียต-คายนิ์ส,” เขาพูด,
ระบุตนเองต่อเส้นขอบฟ้าว่างเปล่า, และเสียงของเขานั้นเป็นแหบห้าวเลียนล้อของความเข้มแข็งซึ่งมันได้เป็นที่รู้จักกัน.
“ข้าเป็น นักนิวศพิภพวิทยาขององค์จักรพรรดิราชย์,” เขากระซิบ.
“นักนิเวศวิทยาดาวเคราะห์ สำหรับ อาร์ราคิส.
ข้าคือผู้พิทักษ์ทรัพย์สินของดินแดนนี้.”
เขาเดินโซซัดโซเซ, ร่วงล้มลงเอียงไปตามผิวหน้ากรอบหยาบของด้านที่หันเข้าหาลม.
มือของเขาขุดอย่างอ่อนแรงลงไปในทราย.
ข้าคือผู้พิทักษ์ทรัพย์สินของทรายนี้, เขาคิด.
เขาตระหนักได้ว่าเขาได้กึ่ง-ภวังค์เพ้อแล้ว,
ว่าเขาควรจะขุดตนเองลงไปในทราย, ค้นหาความเย็นสัมพัทธ์ใต้ชั้นดินและปกปิดตนเองด้วยมัน.
แต่เขายังคงสามารถได้กลิ่นกลิ่นฉุน, กึ่งหวานของสารชีวอินทรีย์ของกระเปาะปฐมเครื่องเทศที่ไหนสักแห่งใต้ทรายนี้.
เขารู้ถึงภัยอันตรายภายในความจริงนี้แน่ชัดยิ่งกว่าฟรีเมนคนใดก็ตาม.
ถ้าเขาสามารถได้กลิ่นปฐม-เครื่องเทศมหาศาลขนาดนี้แล้ว,
นั่นหมายถึงว่าแก๊สทั้งหลายที่ลึกอยู่ใต้ทรายกำลังใกล้จะระเบิดแรงดันออกมา.
เขาต้องไปจากที่นี้.
มือของเขาทำอาการตะกุบอย่างอ่อนแรง,
ไปตามผิวหน้าของนูนทราย.
ความคิดหนึ่งแผ่ขยายในจิตของเขา---กระจ่าง, ชัดเจน: ความมั่งคั่งที่แท้จริงของดาวเคราะห์หนึ่งนั้นอยู่ที่ภูมิประเทศของมัน,
เราเข้าไปมีส่วนในแหล่งกำเนิดพื้นฐานของอารยธรรมนั้นได้อย่างไรก็คือ---เกษตรกรรม.
และเขาคิดว่าช่างแปลกประหลาดที่คือมันซึ่งจิตใจ,
ฝังยาวนานอยู่ในเส้นทางเดี่ยว, ไม่สามารถออกไปจากเส้นทางนั้น, กองกำลังทหารของฮาร์คอนเนนได้ทิ้งเขาไว้ที่นี่โดยปราศจากน้ำหรือสติลล์สูท,
คิดว่าหนอนทรายคงจะจัดการเขาเองถ้าทะเลทรายไม่ทำ. พวกมันได้คิดว่ามันตลกขบขันมากที่ได้ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่เพื่อที่จะตายทีละนิ้วด้วยมือที่ไม่เกี่ยวข้องกับใครแห่งดาวเคราะห์ของเขานี้.
พวกฮาร์คอนเนนส์มักจะพบว่ามันยุ่งยากลำบากในการที่จะฆ่าฟรีเมน,
เขาคิด.
เราไม่ตายกันง่ายๆ. ข้าน่าจะตายไปแล้วในตอนนี้.....ข้าจะได้ตายในไม่ช้านี้.....แต่ข้าไม่สามารถหยุดการเป็นนักนิเวศวิทยาได้.
“สารัตถประโยชน์สูงสุดของนิเวศวิทยาคือการเข้าใจในผลลัพธ์ที่จะตามมา.”
เสียงนั้นทำความสะเทือนใจให้กับเขาเพราะว่าเขาจดจำมันได้และรู้ว่าเจ้าของของมันนั้นตายไปแล้ว.
มันเป็นเสียงของบิดาของเขาผู้ได้เป็นนักนิเวศพิภพวิทยาที่นี่มาก่อนเขา---บิดาของเขาตายมายาวนาน,
ถูกฆ่าในการพังถล่มยุบตัวลงที่ แอ่ง พลาสเตอร์.
“ทำตัวลูกให้เลี่ยงความยุ่งยากในที่นี้, เจ้าหนู,”
บิดาของเขาบอก. “ลูกควรจะรู้ถึงผลลัพทธ์ที่จะตามมาของการพยายามที่จะช่วยทายาทของ ดยุค
นั้น.”
ข้าเพ้อในภวังค์แล้ว, คายนิส์ คิด.
เสียงนั้นดูเหมือนจะมาจากทางขวามือของเขา. คายนิ์ส
ไถใบหน้าของเขาผ่านทรายขึ้นมา, หันเหลียวเพื่อมองไปทางทิศนั้น---ไม่มีอะไรนอกจากเส้นโค้งเหยียดยาวของนูนทรายเต้นระบำอยู่กับปีศาจร้อนระอุในแสงเลื่อมระยิบระยับของดวงอาทิตย์.
“ชีวิตอีกมากนั้นมีอยู่ภายในระบบหนึ่ง,
โพรงเวิ้งอีกมากนั้นมีอยู่สำหรับชีวิต,” บิดาของเขาพูด.
และเสียงนั้นตอนนี้มาอยู่ทางด้านซ้ายมือของเขา, จากด้านหลังของเขา.
ทำไมเขาคอยแต่เคลื่อนที่ไปเรื่อยรอบๆ? คายนิ์ส
ถามตนเอง. เขาไม่ต้องการให้ข้าเห็นเขารึ?
“ชีวิต ปรับปรุงสมรรถภาพของสภาพแวดล้อมเพื่อชีวิตที่ยั่งยืน,”
บิดาของเขาบอก. “ชีวิต สร้างความจำเป็นต้องการของสารอาหารทั้งหลายมากยิ่งกว่าที่มีพร้อมอยู่แล้ว.
มันรัดผูกพลังงานมากยิ่งขึ้นเข้ามาในระบบผ่านปฏิกิริยาต่อกันทางเคมีอย่างใหญ่โตจากชีวอินทรีย์หนึ่งไปสู่ชีวอินทรีย์หนึ่ง.”
ทำไมเขาคอยแต่บรรเลงพิณอยู่กับประเด็นเดิมนี้นะ? คายนิ์ส
ถามตนเอง. ข้ารู้นั่นมาก่อนข้าอายุสิบขวบแล้ว.
เหยี่ยวทะเลทราย, นักกินซากในดินแดนนี้ดุจสัตว์ทีป่าเถื่อนมากที่สุด,
เริ่มที่จะบินวนอยู่เหนือเขา. คายนิ์ส มองเห็นเงาผ่านใกล้มือของเขา,
บังคับศีรษะของตนออกไกลอีกเพื่อแหงนดูขึ้นไป.
นกทั้งหลายนั้นเป็นรอยเปื้อนพร่ามัวอยู่บนท้องฟ้าสีฟ้า-เงิน---จุดด่างระยะห่างทั้งหลายของเขม่าเหนือตัวเขา.
“เราคือผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย,” บิดาของเขาพูด.
“เจ้าไม่สามารถลากเส้นบรรจงล้อมรอบปัญหากว้างไกลทั้งหลายของดาวเคราะห์. พภพวิทยา
คือ ศาสตร์ของการตัด-ให้-พอดี.”
อะไรที่เขากำลังพยายามจะบอกข้าหรือ? คายนิ์ส
กังขา.
มีผลลัพทธ์บางอย่างที่ข้าล้มเหลวในการมองเห็นหรือ?
แก้มของเขาทรุดฮวบกลับไปยังทรายร้อนนั้น, และเขาได้กลิ่นของหินไหม้อยู่ภายใต้แก๊สของปฐม-เครื่องเทศ.
จากบางมุมของตรรกะในจิตของเขา, ความคิดได้ก่อรูปขึ้น: เหล่านั้นคือนกกินซากอยู่เหนือข้า. บางทีฟรีเมนของข้าบางรายจะมองพวกมันและเข้ามาเพื่อตรวจดู.
“กับนักพิภพวิทยาทำงาน,
เครื่องมือที่สำคัญมากที่สุดของเขาคือมนุษย์,” บิดาของเขาพูด. “ลูกต้องไถพรวนเพาะปลูกการอ่านเขียนได้ทางนิเวศวิทยาในหมู่ผู้คนนั้น.
นั่นคือทำไมพ่อถึงได้สร้างรูปแบบใหม่ทั้งปวงของสัญลักษณ์ทางนิเวศวิทยา.”
เขากำลังทวนซ้ำสิ่งที่เขาได้บอกกับข้าเมื่อตอนที่ข้าเป็นเด็ก, คายนิ์ส
คิด.
เขาเริ่มที่จะรู้สึกเย็นเยือก,
แต่มุนนั่นของตรรกะในจิตของเขาบอกเขาว่า: ดวงอาทิตย์อยู่เหนือหัว.
เจ้าไม่มีสติลล์สูทและเจ้ากำลังร้อน:
ดวงอาทิตย์กำลังเผาความชื้นออกไปจากร่างกายของเจ้า.
นิ้วของเขางอหงิกเข้ามาอย่างอ่อนแรงที่ทราย.
พวกมันกระทั่งไม่ทิ้งสติลล์สูทไว้ให้ข้า!
“การปรากฏของความชื้นในอากาศช่วยป้องกันการระเหยเร็วเกินไปจากร่างกายที่มีชีวิต,”
บิดาของเขาพูด.
ทำไมเขาคอยแต่พูดซ้ำในสิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้ว? คายนิ์ส
กังขาใจ.
เขาพยายามที่จะคิดถึงความชื้นในอากาศ---หญ้าปิดคลุมนูนทรายนี้.....น้ำเปิดที่ไหนสักแห่งภายใต้ตัวเขา,
บ่อส่งน้ำคานัต(qanat*)เรียงยาวไหลด้วยน้ำเปิดสู่ท้องฟ้าในรูปภาพประกอบของ
* https://www.digopaul.com/th/english-word/qanat.html
ตำรา.
น้ำเปิด....น้ำชลประทาน...มันใช้ห้าพันลูกบศก์เมตรของน้ำที่จะทดจัดสรรให้กับหนึ่งเฮคตาร์ของแผ่นดินต่อการเพาะปลูกหนึ่งฤดูกาล,
เขาจำได้.
“เป้าหมายแรกของเราบน อาร์ราคิส,”
บิดาของเขาพูด, “คือทุ่งหญ้าบริเวณที่ต่ำทั้งหลาย.
เราจะเริ่มต้นด้วยหญ้ากลายพันธุ์ขาดสารอาหารเหล่านั้น.
เมื่อเราได้กักปิดความชื้นไว้ในทุ่งหญ้า, เราจะเคลื่อนต่อไปยังป่าที่ดอนทั้งหลาย,
แล้วก็สองสามแห่งของน้ำที่เปิดกายโล่ง---ขนาดเล็กในตอนแรก---และวางตำแหน่งไปตามเส้นแนวทั้งหลายของลมที่มีอยู่ทั่วไปด้วยเครื่องกรองฝุ่นดักความชื้นจากลมตั้งเว้นระยะในแนวเพื่อที่จะจับซ้ำอีกในอะไรที่ลมได้ขโมยไป.
เราต้องสร้างสรรค์ลมร้อนซิร็อคโค(sirocco*)ของจริง---ลมที่ชื้น---แต่เราจะไม่มีวันหนีไปจากความจำเป็นของตัวดักลมทั้งหลาย.”
บรรยายสั่งสอนข้าอยู่เสมอ, คายนิ์ส
คิด. ทำไมเขาไม่หุบปากซะนะ? เขาไม่เห็นหรอกหรือว่าข้ากำลังตาย?
“ลูกจะตาย, ด้วยเช่นกัน,” บิดาของเขาพูด,
“ถ้าลูกไม่ออกไปจากฟองที่กำลังก่อรูปในตอนนี้อยู่ลึกใต้ร่างของลูก.
มันอยู่ที่นั่นและลูกก็รู้ถึงมันดี. ลูกสามารถได้กลิ่นแก๊สทั้งหลายของปฐม-เครื่องเทศนั้น.
ลูกรู้ดีว่าผู้สร้างตัวน้อยทั้งหลายกำลังเริ่มต้นที่จะคายบางส่วนของน้ำของพวกมันเข้าไปในมวลก้อนนั้น.”
ความคิดถึงเรื่องน้ำภายใต้ร่างของเขานั้นทำให้อารมณ์คลั่ง.
เขาจินตนาการถึงมันตอนนี้---ปิดผนึกชั้นของหินที่มีรูพรุนด้วยแผ่นเหนียวกึ่ง-พืช,
กึ่ง-สัตว์ผู้สร้างตัวน้อย---และเนื้อเยื่อบางๆห่อหุ้มที่เทหลั่งธารเย็นของน้ำใสที่สุด,
บริสุทธิ์, เหลว, กลมกล่อมเข้าไปใน.....
มวลก้อนปฐม-เครื่องเทศ!
เขาสูดหายใจเข้า,
สูดดมระดับความหวานนั้น. กลิ่นนั้นมากอุดมอวลรายรอบตัวเขากว่าที่มันได้เป็นมา.
คายนิ์ส
ดันตัวเองขึ้นมาคุกเข่า, ได้ยินเสียงนกกรีดร้อง,
เสียงกระพืออย่างรีบเร่งขงปีกทั้งหลาย.
นี่เป็นทะเลทรายเครื่องเทศ,
เขาคิด. ต้องมีพวกฟรีเมนอยู่บ้างแม้จะเป็นตอนกลางวันแดด. แน่นอนว่าพวกเขาสามารถมองเห็นนกพวกนี้และจะเข้ามาตรวจดู.
“การเคลื่อนที่ข้ามภูมิประเทศนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตสัตว์,”
บิดาของเขาพูด. “ผู้คนเร่ร่อนติดตามความจำเป็นเดียวกันนั้น. เส้นทางของการเคลื่อนที่ปรับแต่งเข้ากับความจำเป็นต้องการทางกายภาพต่อน้ำ,
อาหาร, แร่ธาตุทั้งหลาย. เราต้องควบคุมการเคลื่อนที่ในตอนนี้,
จัดเรียงมันเพื่อเป้าประสงค์ของเรา.”
“หุบปากเถอะ, พ่อเฒ่า,” คายนิ์ส พึมพำ.
“เราต้องทำสิ่งหนึ่งบนอาร์ราคิสที่ไม่เคยมาก่อนในพยายามกับตลอดทั่วทั้งดาวเคราะห์,”
บิดาของเขาพูด.
“เราต้องใช้คนเป็นดุจกองกำลังโครงสร้างทางนิเวศวิทยา---สอดแทรกชีวิตที่ได้ปรับตัวแปลงสภาพ: พืชที่นี่, สัตว์ที่นี่, คนในสถานที่นั้น---ที่จะแปลงสภาพวัฏจักรของน้ำ,
ที่จะสร้างภูมิประเทศชนิดใหม่ขึ้น.”
“หุบปาก,” คายนิ์ส ร้องแหบแห้ง.
“มันเป็นเส้นแนวทั้งหลายของการเคลื่อนที่ที่ให้เงื่อนงำแรกกับเราถึงสัมพันธภาพระหว่างหนอนทรายกับเครื่องเทศ,”
บิดาของเขาพูด.
หนอนทราย, คายนิ์ส
คิดด้วยแรงกระตุกของความหวัง. ผู้สร้างแน่นอนเลยว่าจะมาเมื่อการระเบิดแตกทั้งหลายของฟองนี้.
แต่ข้าไม่มีตะขอปฏัก.
ข้าจะสามารถขึ้นติดไปกับผู้สร้างใหญ่นั้นได้โดยไม่มีตะขอปฏัก?
เขาสามารถรู้สึกได้ถึงความท้อแท้ขัดข้องใจกำลังพังทลายอะไรที่กำลังเข้มแข็งอันน้อยนิดซึ่งยังคงเหลืออยู่กับเขา.
น้ำช่างอยู่ใกล้เหลือเกิน---แค่เพียงหนึ่งร้อยเมตรหรืออยู่ใต้ร่างของเขาแค่นั้น; หนอนทรายจะมาแน่, แต่ไม่มีหนทางที่จะดักมันบนผิวพื้นและใช้งานมัน.
คายนิ์ส เหวี่ยงตัวไปข้างหน้าบนทราย,
กลับไปยังแอ่งตื้นที่การเคลื่อนที่ของเขาได้กำหนดระบุเอาไว้. เขารู้สึกทรายร้อนๆปะทะแก้มด้านซ้ายของเขา,
แต่ความสัมผัสรู้สึกนั้นไกลพ้น.
“สภาพแวดล้อมอาร์ราคีนนั้นได้สร้างตัวมันเองเข้าไปสู่แบบพิมพ์ของรูปทรงชีวิตพื้นถิ่น,”
บิดาของเขาพูด. “ช่างแปลกประหลาดกระไรที่ผู้คนแสนจะน้อยนิดนี้ได้เคยเงยหน้าขึ้นจากเครื่องเทศนั้นนานพอที่จะสงสัยใจต่อความสมดุลเกือบจะในอุดมคติของ
ไนโตรเจน-ออกซิเจน-คาร์บอนไดออกไซด์ที่ดำรงอยู่ในที่แห่งนี้ในการหายไปของพืชปกคลุมในพื้นที่ขนาดใหญ่ไพศาล.
ชั้นบรรยากาศพลังงานของดาวเคราะห์นี้อยู่ที่นั่นเพื่อที่จะมองเห็นและเข้าใจ---กระบวนการไร้ปราณี,
แต่ก็คือกระบวนการถึงกระนั้น. มีช่องโหว่ในมันไหม? แล้วบางอย่างอาศัยอยู่ในช่องโหว่นั่น.
วิทยาศาสตร์ถูกสร้างขึ้นมาจากสิ่งต่างๆมากมายเหลือเกินที่ปรากฏชัดเจนหลังจากที่พวกมันถูกอธิบายแล้ว.
ข้ารู้ว่าผู้สร้างน้อยอยู่ที่นั้น, ลึกลงไปในทราย, นานก่อนที่ข้าเคยเห็นมัน.”
“ได้โปรดหยุดบรรยายสั่งสอนข้าทีเถอะ, ท่านพ่อ,”
คายนิ์ส กระซิบ.
เหยี่ยวหนึ่งร่อนลงมาที่พื้นทรายใกล้ระยะมือเอื้อมของเขา.
คายนิ์ส มองเห็นมันหุบปีก, เอียงหัวของมันเพื่อมองมาที่เขา.
เขารวบรวมพลังงานที่จะขู่ฆ่าไปหามัน. นกนั้นกระโดดเต้นออกไปสองก้าว,
แต่การจ้องมาที่เขาอยู่ต่อไป.
“คนทั้งหลายและงานของเขาได้เป็นเชื้อโรคบนพื้นผิวดาวเคราะห์ทั้งหลายของพวกเขาแล้ว,
ก่อนมาถึงตอนนี้,” บิดาของเขาพูด. “ธรรมชาติโน้มเอียงที่จะแก้ไขให้กับเชื้อโรค,
กำจัดพวกมันออกไป หรือ ห่อหุ้มมันอย่างมิดชิด, เพื่อที่จะรวมพวกมันเข้าไปในระบบตามวิธีของเธอเอง.”
เหยี่ยวนั้นก้มหัวของมันต่ำลง, เหยียดปีกของมันออก,
และหุบพวกมันกลับมา. มันเปลี่ยนรูปความสนใจของมันไปที่มือของเขาที่กางออก.
คายนิ์ส
พบว่าเขาไม่มีพละกำลังเหลืออยู่ที่จะตวาดขู่ไล่มัน.
ระบบในประวัติศาสตร์ของการปล้นสะดมซึ่งกันและกันและบีบบังคับรีดไถหยุดลงที่นี่บนอาร์ราคิส,”
บิดาของเขาพูด.
“เจ้าไม่สามารถดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุดในการปล้นขโมยอะไรที่เจ้าจำเป็นต้องการโดยไม่คำนึงต่อผู้ที่ตามมาทีหลัง.
คุณลักษณะทางกายภาพทั้งหลายของดาวเคราะห์หนึ่งได้ถูกเขียนงไปในบันทึกทางเศรษฐกิจและการเมืองของมัน.
เรามีบันทึกนั้นยู่ตรงหน้าของเราและวิถีทางของเรานั้นชัดเจน.”
เขาไม่มีวันสามารถจะหยุดการบรรยายสั่งสอนได้,
คายนิ์ส คิด. การบรรยายสั่งสอน,
สั่งสอน, สั่งสอน---สั่งสอนอยู่เสมอ.
เหยี่ยวนั้นเต้นกระโดดหนึ่งก้าวเข้ามาใกล้ยังมือที่เหยียดออกมาของ
คายนิ์ส,
หันหัวของมันครั้งแรกไปทางหนึ่งและแล้วก็หันมาอีกทางเพื่อศึกษาเนื้อหนังที่เปล่าเปลือยอยู่นั้น.
อาร์ราคิส เป็นดาวเคราะห์เพาะปลูกพืชผลหนเดียว,”
บิดาของเขาพูด. “พืชผลหนเดียว. มันรองรับชนชั้นปกครองที่มีชีวิตเป็นชนชั้นปกครองได้อาศัยอยู่ในตลอดเวลาขณะที่,
ภายใต้พวกเขา, มวลชนกึ่งมนุษย์ของกึ่งทาสดำรงอยู่กับการเคลื่อนย้ายทั้งหลาย. มันเป็นมวลชนและการเคลื่อนย้ายทั้งหลายนั้นที่ครอบครองความสนใจของเรา.
เหล่านี้นั้นมีค่ามากไกลยิ่งกว่าได้เคยถูกสงสัย.”
“ข้าไม่สนใจในมัน, ท่านพ่อ,” คายนิ์ส
กระซิบ. “ไปซะเถอะ.”
และเขาคิด: แน่นอนล่ะว่าต้องมีบางพวกฟรีเมนอยู่ใกล้ๆ.
พวกเขาไม่สามารถช่วยได้แต่ก็เห็นนกทั้งอยู่เหนือข้า. พวกเขาจะตรวจดูถ้าเพียงแค่ที่จะเห็นว่าความชื้นมีอยู่ได้.
“มวลชนทั้งหลายของอาร์ราคิสจะรู้ว่าเราทำงานเพื่อที่จะสร้างแผ่นดินนี้หลั่งไหลไปด้วยน้ำ,”
บิดาของเขาพูด. “พวกเขาส่วนใหญ่, แน่นอนล่ะ,
จะมีเพียงแค่กึ่งลี้ลับเข้าใจถึงว่าเราตั้งใจจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร. มากมาย,
ไม่เข้าใจการยับยั้งอัตราส่วน-มวลของปัญหา,
อาจจะกระทั่งคิดว่าเราจะนำน้ำจากดาวเคราะห์อื่นที่อุดมสมบูรณ์มายังที่นี่.
จงให้พวกเขาคิดสิ่งใดตามที่พวกเขาปรารถนาตราบนานเท่าที่พวกเขาศรัทธาในเรา.”
ในหนึ่งนาทีข้าจะลุกขึ้นและบอกกับเขาในอะไรที่ข้าคิดกับเขา,
คายนิ์ส
คิด.
ยืนอยู่นั่นบรรยายสั่งสอนข้าตอนที่เขาควรจะช่วยข้า.
นกนั้นเต้นกระโดดอีกก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นกับมือที่กางอยู่ของ
คายนิ์ส. อีกสองเหยี่ยวโฉบลงมายังพื้นทรายข้างหลังมัน.
“ศาสนาและกฎหมายในหมู่มวลชนต้องเป็นหนึ่งและเดียวกัน,”
บิดาของเขาพูด. “การกระทำที่ไม่เชื่อฟังต้องเป็นบาปและต้องการการลงโทษทั้งหลายทางศาสนา.
นี้จะได้รับผลประโยชน์เป็นคู่ของการนำมาซึ่งการเชื่อฟังที่ยิ่งใหญ่กว่าและความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่กว่า.
เราต้องไม่พึ่งพามากเกินไปกับความกล้าหาญของเหล่าปัจเจกชน, เข้าใจไหม,
ดังเช่นมีต่อความกล้าหาญของประชากรทั้งปวง.”
ประชากรของข้าอยู่ที่ไหนในตอนนี้เมื่อข้าจำเป็นต้องการมันมากที่สุด?
คายนิ์ส คิด.
เขารวบรวมพละกำลังทั้งหมดของเขา, เคลื่อนมือของตนไปอีกกว้างหนึ่งนิ้ว,
ยังเหยี่ยวตัวที่ใกล้ที่สุด. มันเต้นกระโดดถอยหลังกลับไปเข้ากลุ่มกับสหายของมันและทั้งหมดยืนตั้งท่าที่จะบินขึ้น.
“ตารางเวลาของเราจะบรรลุความเจริญเติบโตของปรากฏการณ์ธรรมชาติ,”
บิดาของเขาพูด. “ชีวิตของดาวเคราะห์หนึ่งนั้นไพศาล, ถักทอภายในแน่นเป็นผืนผ้า.
พืชผักและสัตว์ที่เปลี่ยนแปลงจะเป็นตัวตัดสินในอันดับแรกโดยแรงดิบทางกายภาพที่เราจัดการปรับให้เหมาะสม.
ขณะที่เขาตั้งหลักฐานของพวกเขาเอง, แม้ว่า,
การเปลี่ยนแปลงของเราจะกลายเป็นการควบคุมอิทธิพลทั้งหลายในสิทธิของพวกเขาเป็นเจ้าของ---และเราจะจำเป็นต้องทำความตกลงกับพวกเขา,
ด้วยเช่นกัน. เก็บเอาไว้ในจิตใจ, กระนั้น,
ว่าเราจำเป็นต้องควบคุมแค่เพียงสามเปอร์เซนต์ของพลังงานบนพื้นผิว---สามเปอร์เซ็นต์แค่นั้น---ที่จะเด็ดยอดโครงสร้างทั้งปวงออกไปสู่ระบบการพึ่งตนเอง-อย่างยั่งยืน.”
ทำไมพ่อถึงไม่ช่วยข้าล่ะ? คายนิ์ส
กังขาใจ. เป็นเช่นนี้เสมอ:
เมื่อข้าจำเป็นต้องการท่านมากที่สุด, ท่านทำให้ข้าผิดหวัง.
เขาอยากจะหันศีรษะของตนไป, เพื่อมองดูในทิศทางที่เสียงของบิดาของเขา,
จ้องให้ชายเฒ่าหลบลง. กล้ามเนื้อทั้งหลายปฏิเสธที่จะตอบรับคำสั่งของเขา.
คายนิ์ส เห็นเหยี่ยวนั้นเคลื่อนที่.
มันเข้ามาหามือของเขา,
ก้าวอย่างระมัดระวังตลอดเวลาขณะที่สหายของมันรอคอยอย่างเยาะหยันต่างออกไป.
เหยี่ยวนั้นหยุดลงตรงระยะหนึ่งก้าวห่างจากมือของเขา.
ความกระจ่างชัดเต็มที่เติมเต็มในจิตของ คายนิ์ส.
เขามองเห็นเกือยทันทีทันใดถึงศักยภาพเพื่ออาร์ราคิสที่บิดาของเขาไม่เคยได้เห็น.
ความเป็นไปได้ทั้งหลายไปตามเส้นทางที่แตกต่างกันนั้นไหลท่วมตัวเขา.
“ไม่มีหายนะวิบัติอีกต่อไปที่จะสามารถร่วงลงมาสู่ผู้คนของลูกได้มากไปกว่าที่พวกเขาจะร่วงไปสู่อุ้งมือของวีรบุรุษหนึ่ง,”
บิดาของเขาพูด.
อ่านจิตใจของข้า! คายนิ์ส
คิด. เอาละ.....ปล่อยเขาเถอะ.
สาส์นนั้นได้ถูกส่งแล้วมายังหมู่บ้านสิฐคามของข้า,
เขาคิด. ไม่มีอะไรสามารถหยุดพวกเขาได้. ถ้าบุตรชายของดยุคนั้นมีชีวิตอยู่พวกเขาจะคนหาเขาพบและปกป้องเขาตามที่ข้าได้สั่งการไว้.
พวกเขาอาจละทิ้งสตรีนั้นได้, มารดาของเขา, แต่พวกเขาจะต้องช่วยชีวิตเด็กชายนั้น.
เหยี่ยวนั้นเต้นกระโดดอีกหนที่นำมันมาอยู่ในระยะตบหวดด้วยมือของเขาได้.
มันเอียงหัวของมันเพื่อตรวจสอบเนื้อหนังที่แผ่หงายอยู่นั้น. ฉับพลัน,
มันยืดตัวขึ้น, เหยียดหัวของมันขึ้นและด้วยการร้องกรีดหนึ่งครั้ง,
กระโจนเข้าไปในอากาศและบินเอียงออกไปข้างบนพร้อมด้วยสหายของมันตามไปเบื้องหลัง.
พวกเขามาแล้ว! คายนิ์ส คิด. ฟรีเมนของข้าได้เจอข้าแล้ว!
แล้วเขาก็ได้ยินทรายสั่นสะเทือนรัว.
ฟรีเมนทุคนรู้จักเสียงนี้,
สามารถจำแนกความแตกต่างของมันได้ทันทีจากเสียงทั้งหลายของหนอนทรายหรือชีวิตทะเลทรายอื่น.
ที่ใดสักแห่งข้างใต้ตัวเขา, มวลของปฐม-เครื่องเทศได้สะสมน้ำและสารชีวอินทรีย์จากผู้สร้างน้อยทั้งหลายอย่างเพียงพอแล้ว,
ได้มาถึงระดับขั้นวิกฤติของการเติบโตอย่างรุนแรง. ฟองยักษ์มหึมาของคาร์บอน
ไดออกไซด์ กำลังก่อรูปอยู่ลึกไปในทราย, ดันตัวขึ้นข้างบนในการ
“โป่งออก”ใหญ่โตด้วยฝุ่นท้นวนหมุนที่ศูนย์กลางของมัน.
มันจะแลกเปลี่ยนกับอะไรที่ได้ก่อรูปลึกอยู่ในมรายเพื่ออะไรก็ตามทอดนอนอยู่ที่พื้นผิว.
พวกเหยี่ยวบินวนอยู่เหนือศีรษะกรีดร้องอย่างขุ่นใจ.
พวกมันรู้ว่าอะไรกำลังบังเกิดขึ้น. สัตว์ทะเลทรายใดก็จะรู้.
และข้าก็เป็นสัตว์ทะเลทรายหนึ่ง, คายนิ์ส
คิด. ท่านเห็นไหม,ท่านพ่อ? ข้าคือสัตว์ทะเลทรายตัวหนึ่ง.
เขารู้สึกว่าฟองนั้นยกตัวเขาขึ้น,
รู้สึกได้ถึงมันแตกออกและฝุ่นหมุนวนกลืนกินร่างเขา,
ลากเขาลงไปสู่ความมืดอันเย็นเยือก. ชั่วขณะหนึ่ง, สัมผัสรู้สึกของความเย็นและความช้นคือพรปลดเปลื้อง.
แล้ว, ขณะที่ดาวเคราะห์ขงเขาฆ่าเขา, มันบังเกิดต่อ คายนิ์ส
ว่าบิดาของเขาและทั้งหมดของนักวิทยาศาสตร์อื่นๆนั้นผิดไป,
ว่าหลักการส่วนมากที่ยังคงอยู่ของเอกภพคืออุบัติเหตุและผิดพลาด.
กระทั่งพวกเหยี่ยวก็สามารถชื่นชมนิยมในความจริงเหล่านี้.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น