เรามาจาก คาลาดาน---โลกสวรรค์หนึ่งสำหรับรูปแบบ ชีวิตของเรา. ไม่มีความจำเป็นใดมีอยู่บน คาลาดาน ที่จะ ต้องสร้างสวรรค์ทางกายภาพ หรือ สวรรค์ทางจิตใจ---เรา สามารถ มองเห็นความเป็นจริงทั้งหมดรายรอบเราอยู่ได้. และราคาที่เราจ่ายนั้นเป็นราคาที่คนได้มักได้จ่ายอยู่เสมอให้ กับเพื่อได้บรรลุสวรรค์หนึ่งในชีวิตนี้---เราไปอ่อนโยน, เราสูญ เสียความแข็งแรงของเรา.
---จาก “มวด’ดิบ: บทสนทนา”
โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน
“แล้วเจ้าก็คือ เกอร์นีย์
ฮัลเล็ค ผู้ยิ่งใหญ่,” ชายนั้นพูด.
ฮัลเล็ค ยืนจ้องมองข้ามถ้ำกลมสำนักงานยังนักลักลอบขนของเถื่อนผู้นั่งอยู่หลังโต๊ะโลหะ.
ชายนั้นสวมชุดคลุมฟรีเมนและมีดวงตาสีฟ้าอ่อนที่บอกถึงอาหารนอก-ดาวเคราะห์ในการบริโภคอาหารของเขา.
สำนักงานนี้จำลองแบบมาจากศูนย์บัญชาการหลักของยานรบอวกาศฟรีเกต---เครื่องมือสื่อสารและจอทัศนภาพไปตามความโค้งสามสิบ-องศาของผนัง,
แถวแนวของเครื่องสั่งการระยะไกลของอาวุธที่ติดตั้งและการยิงเชื่อมต่อกันไว้, และโต๊ะที่วางรูปแบบเป็นเครื่องฉายภาขึ้นผนัง---ส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่ของผนังโค้ง.
“ข้าคือ สตาบาน ตูอิค,
บุตรชายของ เอสมาร์ ตูอิค,” นักลักลอบขนของเถื่อนพูด.
“งั้นเจ้าก็คือผู้นั้นที่ข้าเป็นหนี้คำขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือที่เราได้รับ,”
ฮัลเล็ค พูด.
“อา-ห-ห, การรู้คุณ,”
นักลักลอบขนของเถื่อน. “นั่งลงสิ.”
ที่นั่งแบบ-ถังในเรือโผล่จากผนังด้านข้างจอภาพเหล่านั้นและ
ฮัลเล็ค หย่อนตัวลงบนมันด้วยถอนหายใจ, รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าของตน.
เขาสามารถเห็นเงาสะท้อนของเขาเองตอนนี้ในผิวมืดด้านข้างของนักลักลอบขนของเถื่อนนั้นและหน้าบึ้งตึงที่เส้นสายทั้งหลายของความอิดโรยในใบหน้าก้อนหนาของตน.
แผลเป็นรูปเถาอิงค์ไวน์(inkvine*)ยาวไปตามกรามของเขาบิดเบี้ยวด้วยการบึ้งตึง.
* https://dune.fandom.com/wiki/Inkvine
ฮัลเล็ค หันจากเงาสะท้อนของตน,
จ้องมองยัง ตูอิค. เขาเห็นความคล้ายคลึงกันอย่างครอบครัวในนักลักลอบของเถื่อนตอนนี้---คิ้วหนาหนักห้อยของบิดาและแก้มแบนราบแข็งและจมูก.
“คนของเจ้าบอกข้าว่าบิดาของท่านเสียชีวิตแล้ว,
ถูกฆ่าโดยพวกฮาร์คอนเนนส์.” ฮัลเล็ค พูด.
“โดยพวกฮาร์คอนเนนส์
หรือผู้ทรยศในหมู่ผู้คนของท่าน,” ตูอิค พูด.
ความโกรธเข้ามาครอบคลุมส่วนความอิดโรยของ
ฮัลเล็ค. เขาหยัดร่างขึ้นตรง, พูด: “เจ้าบอกชื่อคนทรยศนั้นได้ไหม?”
“เราไม่แน่ใจ.”
“ธูเฟอร์ ฮาวัต
สงสัยว่าเป็น ท่านหญิง เจสสิกา.”
“อา-ห-ห, แม่มดเบเน
เกสเสอริต.....บางทีนะ. แต่ ฮาวัต ตอนนี้เป็นเชลยของ ฮาร์คอนเนน.”
“ข้าก็ได้ยินมา,” ฮัลเล็ค
สูดหายใจลึก. “มันปรากฏออกมาว่าเราได้การฆ่าอีกปริมาณมากอยู่ข้างหน้าของเรา.”
“เราจะไม่ทำอะไรที่จะดึงดูดความสนใจมายังเรา,” ตูอิค บอก.
ฮัลเล็ค ตัวแข็งทื่อ. “แต่---”
“เจ้าและเหล่าคนของเจ้าที่เราช่วยชีวิตไว้เรายินดีต้อนรับยังวิหารลี้ภัยในหมู่ของเรา,”
ตูอิค พูด. “เจ้าพูดถึงการรู้คุณ. ดีมาก; ทำงานใช้หนี้ต่อเรา.
เราสามารถใช้ประโยชน์คนมือดีได้อยู่เสมอ. เราจะทำลายเจ้าถ้าเจ้าไม่สามารถอยู่ในการควบคุมได้,
กระนั้นด้วย, ถ้าเจ้าทำการเปิดเคลื่อนไหวเพียงแม้แต่เล็กน้อยกับพวกฮาร์คอนเนนส์.”
“แต่พวกมันฆ่าบิดาของเจ้านะ,
พวก!”
“บางที.
และถ้าเป็นเช่นนั้น, ข้าจะให้เจ้าในคำตอบของบิดาข้าสำหรับผู้ที่กระทำตนโดยไม่คิด: ‘ก้อนหินหนักและทรายก็หนักมาก; แต่ความโกรธของคนโง่หนักว่าอะไรทั้งสองนั้น.’”
“เจ้าหมายถึงว่าจะไม่ทำอะไรเกี่ยวกับมัน,
งั้น?” ฮัลเล็ค ถากถาง.
“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดนั่น.
ข้าเพียงแต่พูดว่าข้าจะปกป้องสัญญาของเรากับ กิลด์. พวกกิลด์ต้องการที่เราเล่นเกมที่วางไว้แล้วอย่างรอบคอบ.
มีหลายหนทางอื่นของการทำลายศัตรู.”
“อ้า-ห-ห-ห-ห.”
“อ้าห์, จริงแท้ล่ะ.
ถ้าเจ้ามีจิตใจที่จะเสาะหาตัวแม่มดนั่นออกมา, ก็จงทำมัน.
แต่ข้าเตือนเจ้าไว้ว่าเจ้าอาจจะสายเกินไป.....และเรายังสงสัยว่าเธอจะเป็นผู้ที่เจ้าต้องการนั้นหรือไม่,
จะว่าไปแล้ว.”
“ฮาวัต
ทำผิดพลาดน้อยครั้ง.”
“เขายอมให้ตนเองตกไปอยู่ในอุ้งมือของ
ฮาร์คอนเนน.”
“เจ้าคิดว่าเขาเป็นผู้ทรยศรึ?”
ตูอิค ยักไหล่.
“นี่คือในทางทฤษฎี. เราคิดว่าแม่มดนั้นตายแล้ว. อย่างน้อยพวกฮาร์คอนเนนส์ เชื่อมันเช่นนั้น.”
“เจ้าดูเหมือนจะรู้อะไรมากมายนักเกี่ยวกับพวกฮาร์คอนเนนส์.”
“ความนัยและเสนอแนะ.....คำเล่าลือและลางสังหรณ์.”
“เรามีเจ็ดสิบ-สี่คน,” ฮัลเล็ค
พูด. “ถ้าเจาปรารถนาอย่างจริงจังต่อเราที่จะเข้าร่วมกับเจ้า, เจ้าต้องเชื่อแล้วว่า
ดยุค ของเรานั้นตายแล้ว.”
“ร่างของเขาได้ถูกเห็น.”
“แล้วเด็กชายนั่น,
ด้วยรึ---นายน้อย พอล?” ฮัลเล็ค พยายามที่จะกล้ำกลืน, พบก้อนเหนอะติดอยู่ที่ในคอของตน.
“ตามคำบอกสุดท้ายที่เราได้,
เขาได้สูญหายไปกับมารดาของตนในพายุทะเลทราย.
ดูเหมือนว่ากระทั่งกระดูกของพวกเขาก็จะหาไม่พบแล้วล่ะ.”
“งั้นแม่มดนั้นก็ตายไปแล้ว...ตายไปหมดแล้ว.”
ตูอิค พยักหน้า. “และ บีสต์
แร็บบาน, อย่างที่พวกเขาบอกด้วย, จะขึ้นนั่งอีกครั้งยังบัลลังก์อำนาจที่นี่บน ดูน.”
“เคานท์ แร็บบาน แห่ง
ลังคิวีล?”
“ใช่.”
มันทำให้ ฮัลเล็ค
ใช้เวลาชั่วขณะที่จะทำให้การพุ่งพรวดของโทสะที่คุกคามเข้ามาท่วมท้นเขานั้นลดลงได้.
เขาพูดด้วยหายใจหนักหน่วง:
“ข้าได้มีรอยแผลหนึ่งของข้าเองกับ แร็บบาน นั่น.
ข้าติดค้างกับเขาสำหรับชีวิตทั้งหลายของครอบครัวข้า.....”
เขาถูแผลเป็นที่ยาวไปตามกรามของเขา. “...และสำหรับอันนี้.....”
“ใครก็ต้องไม่เสี่ยงทุกอย่างเพื่อตอกย้ำรอยแผลนั้นให้เป็นที่ถาวร,”
ตูอิค พูด. เขาขมวดคิ้ว, เฝ้าดูการแสดงของกล้ามเนื้อทั้งหลายไปตามกรามของ ฮัลเล็ค,
และที่การเปิดออกของแผ่นหนังหนาซึ่งได้ปิดดวงตาของชายนั้น.
“ข้ารู้.....ข้ารู้,” ฮัลเล็ค
สูดหายใจลึก.
“เจ้าและคนของเจ้าสามารถค่อยสร้างช่องทางของเจ้าออกจาก
อาร์ราคิส โดยการทำงานให้กับเรา. มีสถานที่หลายแห่งที่จะ.....”
“ข้าได้ปลดเปลื้องคนของข้าจากข้อผูกยึดกับข้าแล้ว;
พวกเขาสามารถเลือกทางของตนได้เอง. กับ แร็บบาน ที่นี่---ข้าอยู่.”
“ตามอารมณ์ของเจ้า,
ข้าไม่แน่ใจว่าเราต้องการให้เจ้าอยู่.”
ฮัลเล็ค
จ้องมองนักลักลอบขนของเถื่อน. “เจ้ากังขาในคำพูดของข้ารึ?”
“ไ-ไ-ไม่.....”
“เจ้าช่วยชีวิตข้ารอดมาจากพวกฮาร์คอนเนนส์.
ข้าได้มอบความจงรักภักดีต่อท่านดยุค ลีโต โดยไม่มีเหตุผลใดที่ยิ่งใหญ่กว่า.
ข้าจะอยู่บนอาร์ราคิส---กับเจ้า.....หรือไม่กับพวกฟรีเมน.”
“ไม่ว่าความคิดนั้นถูกพูดออกมาหรือไม่ก็มันคือความเป็นจริงและมันมีพลัง,”
ตูอิค พูด. “เจ้าอาจพบว่าเส้นแบ่งระหว่างชีวิตและความตายในหมู่พวกฟรีเมนนั้นเป็นสิ่งที่คมบางและรวดเร็วเกินไป.”
ฮัลเล็ค
หลับตาลงระยะหนึ่งสั้นๆ, รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าพุ่งพรวดขึ้นมาในตัวเขา.
“ที่ไหนหรือที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งนำเราผ่านแดนดินแห่งทะเลทรายและนรกทั้งหลาย?”
เขาพึมพำ.
“เคลื่อนไปช้าๆและวันเวลาแห่งการล้างแค้นของเจ้าจะมาถึง,”
ตูอิค พูด. “ความเร่งเร็วคืออุปกรณ์ของ ไชตาน.
เย็นความโศกาของเจ้า---เรามีหลายความบันเทิงเบี่ยงเบนสำหรับมัน;
สามสิ่งมีอยู่เพื่อช่วยบรรเทาหัวใจ---น้ำ, หญ้าเขียว, และความงามของสตรี.”
ฮัลเล็ค เปิดตาของเขาขึ้น.
“ข้าจะชอบเลือดของ แร็บบาน ฮาร์คอนเนน ไหลท่วมหลังเท้าของข้ามากกว่า.”
ฮัลเล็ค จ้องมอง ตูอิค. “เจ้าคิดว่าวันนั้นจะมาถึงไหม?”
“ข้ามีอะไรเล็กน้อยจะทำด้วยกับที่เจ้าจะได้พบกับวันพรุ่งนี้,
เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค.
ข้าสามารถได้แค่เพียงช่วยท่านได้พบกับวันพรุ่งนี้เท่านั้น.”
“งั้นข้าจะยอมรับความช่วยเหลือนั้นและอยู่จนถึงวันที่เจ้าจะบอกข้าให้แก้แค้นให้บิดาของเจ้าและผู้อื่นทั้งหมดที่---”
“ฟังข้านะ, ยอดนักสู้,”
ตูอิค พูด. เขาเอนร่างมาข้างหน้าเหนือโต๊ะของตน,
ไหล่ของเขาอยู่ในระดับเดียวกับหูของเขา, ตาเขม็ง.
ใบหน้าของนักลักลอบขนของเถื่อนทันทีนั้นเหมือนกันกับหินต้านลม.
“น้ำของบิดาข้า---ข้าจะซื้อมันกลับมาด้วยตัวข้าเอง, ด้วยมีดของข้าเอง.”
ฮัลเล็ค จ้องมองกลับยัง ตูอิค.
ในชั่วขณะนั้น, นักลักลอบขนของเถื่อนทำให้เขาหวนนึกไปถึง ดยุค ลีโต: ผู้นำของคน,
กล้าหาญ, มั่นคงในตำแหน่งแห่งหนของตัวเขาเองและแนวทางของตนเอง. เขาเป็นเหมือน ดยุค.....ก่อนมายัง
อาร์ราคิส.
“เจ้าปรารถนามีดของข้าเคียงข้างเจ้าไหม?”
ฮัลเล็ค ถาม.
ตูอิค นั่งลงเอนกายกลับไป,
ผ่อนคลาย, ศึกษาดู ฮัลเล็ค อย่างเงียบๆ.
“เจ้าคิดว่าข้าเป็น ยอดนักสู้
รึ?” ฮัลเล็ค กดดัน.
“เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นหัวหน้าหมวดของ
ดยุค ที่หลบหนีมาได้,” ตูอิค พูด. “ศัตรูของเจ้ามีอยู่ท่วมท้นเหนือกว่า,
กระนั้นเจ้าก็กลิ้งหลบหลีกพ้นกับมันได้......เจ้าเอาชนะมันวิธีเดียวกับที่เราชนะ
อาร์ราคิส.”
“หือ?”
“เรามีชีวิตอยู่บนความอดทนที่นี่,
เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค,” ตูอิค พูด. “อาร์ราคิส คือศัตรูของเรา.”
“ทีละหนึ่งศัตรู,
ยังงั้นรึ?”
“นั่นแหละ.”
“นั่นคือที่พวกฟรีเมนทำสำเร็จรึ?”
“บางที.”
“เจ้าบอกว่าข้าอาจจะพบว่าการมีชีวิตอยู่กับพวกฟรีเมนนั้นโหดยากเกินไป.
พวกเขาอาศัยอยู่ในทะเลทราย, ในที่รกร้าง, นั่นคือที่ว่าทำไมน่ะรึ?”
“ใครล่ะที่รู้ว่าพวกฟรีเมนอยู่ที่ไหน?
สำหรับเราแล้ว, ที่ราบสูงตอนกลาง เป็นเขตไร้ผู้คนอาศัยอยู่.
แต่ข้าปรารถนาที่จะพูดคุยอีกมากเกี่ยวกับ---”
“ข้าถูกบอกมาว่าพวกกิลด์มักจะวางเส้นทางยานลำเลียงเครื่องเทศไปทั่วทะเลทรายนั้น,”
ฮัลเล็ค พูด. “แต่มีคำเล่าลือทั้งหลายว่าเจ้าสามารถเห็นพฤกษชาติเล็กๆที่นี่นิดและที่นั่นถ้าเจ้ารู้ว่าจะมองไปที่ไหน.”
“คำเล่าลือทั้งหลาย,” ตูอิต
เยาะ. “เจ้าปรารถนาที่จะเลือกในตอนนี้ระหว่างข้ากับฟรีเมนไหม?
เรามีมาตรการของความปลอดภัย, สิทคามของเราเองตัดสลักในหินนั้น,
แอ่งอ่างหลบซ่อนของเราเอง. เรามีชีวิตอยู่อย่างคนอารยะ. พวกฟรีเมนเป็นเพียงกลุ่มเศษริ้วย่อยๆที่เราใช้เป็นผู้ล่าเครื่องเทศ.”
“แต่พวกเขาสามารถฆ่าฮาร์คอนเนนส์.”
“และเจ้าปรารถนาที่จะรู้ผลลัพธ์นั้นไหม?
กระทั่งในตอนนี้พวกเขาก็กำลังถูกตามล่าเหมือนสัตว์ทั้งหลาย---ด้วยปืนเลซ,
เพราะว่าพวกเขาไม่มีโล่พลัง. พวกเขากำลังถูกกำจัดกวาดล้าง. ทำไมรึ? เพราะว่าพวกเขาฆ่าฮาร์คอนเนนส์.”
“มันเป็นฮาร์คอนเนนส์ที่พวกเขาได้ฆ่ารึ?”
ฮัลเล็ค ถาม.
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“เจ้าไม่ได้ยินมาหรอกรึว่าอาจจะเป็นซาร์เดาการ์อยู่ด้วยกับพวกฮาร์คอนเนนส์?”
“ข่าวลือทั้งหลายอีกมาก.”
“แต่การสังหารหมู่---นั่นไม่เหมือนฝีมือพวกฮาร์คอนเนนส์.
การสังหารหมู่เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์.”
“ข้าเชื่อในอะไรที่ข้าเห็นด้วยตาจองตนเอง,”
ตูอิค พูด. “ทำการเลือกของเจ้าซะ, ยอดนักสู้. ข้าหรือฟรีเมน.
ข้าจะสัญญาเจ้าด้วยที่หลบภัยและโอกาสที่จะได้เลือดนั้นที่เราทั้งคู่ต้องการ.
จงแน่ใจในเรื่องนั้น. ฟรีเมนจะเสนอเจ้าเพียงแค่ชีวิตของการถูกล่า.”
ฮัลเล็ค ลังเล,
สัมผัสได้ถึงคำสั่งสอนและความเห็นใจในคำพูดของ ตูอิค,
กระนั้นก็ยังกังวลใจอย่างไร้เหตุผลที่เขาไม่สามารถอธิบายได้.
“ไว้ใจในความสามารถของเจ้าเอง,”
ตูอิค พูด. “การตัดสินใจของใครกันล่ะที่นำกองกำลังของเจ้าฝ่ายุทธการนั่นผ่านมาได้?
ของเจ้า. ตัดสินใจซะ.”
“มันต้องเป็นเช่นนั้น,” ฮัลเล็ค
พูด. “ดยุค กับบุตรชายของเขาเองตายแล้วรึ?”
“พวกฮาร์คอนเนนส์เชื่อมันเช่นนั้น.
ที่ไหนที่เรื่องทั้งหลายแบบนี้มันเกี่ยวข้องด้วย, ข้าโน้มเอียงที่จะไว้ใจในฮาร์คอนเนนส์.”
รอยยิ้มเล็กน้อยสัมผัสขึ้นที่ปากของ ตูอิค.
“แต่มันเกี่ยวกับแค่ความไว้ใจเดียวที่ข้าให้กับพวกมัน.”
“งั้นมันก็ต้องเป็นเช่นนั้น,”
ฮัลเล็ค พูดซ้ำ. เขายื่นมือขวาของตนออกไป,
หงายฝ่ามือขึ้นและนิ้วหัวแม่มือพับราบกับมันในกิริยาให้สัญญาณตามประเพณี.
“ข้ามอบท่านด้วยดาบของข้า.”
“ยอมรับ.”
“เจ้าปรารถนาให้ข้าไปชักชวนคนของข้าไหม?”
“เจ้าปล่อยให้พวกเขาได้ตัดสินใจด้วยตนเองไหม?”
“พวกเขาได้ติดตามข้ามาไกลขนาดนี้,
แต่ส่วนใหญ่เกิด-คาลาดาน. อาร์ราคิส ไม่ใช่อะไรที่พวกคิดว่ามันจะเป็น.
ที่นี่, พวกเขาได้สูญเสียทุกสิ่งนอกจากชีวิตของพวกเขา.
ข้าชอบมากกว่าที่จะให้พวกเขาได้ตัดสนใจเพื่อตัวของพวกเอง, ในตอนนี้.”
“ตอนนี้ไม่มีเวลาให้เจ้าที่จะลังเล,”
ตูอิค พูด. “พวกเขาได้ติดตามเจ้ามาไกลถึงนี้แล้ว.”
“เจ้าจำเป็นต้องการพวกเขา,
เช่นนั้นรึ?”
“เรามักสามารถใช้ประโยชน์กับนักสู้รบที่มีประสบการณ์ได้เสมอ.....ในเวลาทั้งหลายนี้ยิ่งมากกว่าที่เคย.”
“เจ้าได้ยอมรับดาบของข้าแล้ว.
เจ้าปรารถนาให้ข้าชักชวนพวกเขานั้นด้วยหรือ?”
“ข้าคิดว่าพวกเขาจะติดตามเจ้า,
เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค.”
“’นี่เป็นที่ถูกหวังไว้.”
“จริงแท้.”
“ข้าอาจทำการตัดสินใจในเรื่องนี้ด้วยตนเอง,
งั้น?”
“การตัดสอนของเจ้าเอง.”
ฮัลเล็ค ดันตัวเองลุกขึ้นจากถังที่นั่ง,
รู้สึกได้ว่ามากอย่างไรของพละกำลังสำรองของเขากระทั่งความพยายามเพียงเล็กน้อยก็เป็นที่ต้องการ.
“สำหรับตอนนี้, ข้าจะไปหาที่พักให้พวกเขาและการอยู่อย่างดี,” เขาพูด.
“แนะนำกับหัวหน้าพลาธิการของข้าได้เลย,”
ตูอิค บอก. “ดริสค์ คือชื่อของเขา. บอกเขาว่าเป็นความปรารถนาของข้าที่จะให้เจ้าได้รับทุกอัธยาศัยไมตรี.
ข้าจะตามไปร่วมกับเจ้าด้วยตนเองในทันที. ข้ามีบางการลำเลียงส่ง-ออกเครื่องเทศที่จะดูแลก่อน.”
“โชคลาภผ่านมาในทุกแห่งหน,”
ฮัลเล็ค พูด.
“ทุกแห่งหน,” ตูอิค
พูด. “เวลาของการพ่ายแพ้ที่ไม่คาดฝันนั้นเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับธุรกิจของเรา.”
ฮัลเล็ค พยักหน้า,
ได้ยินเสียงกระซิบพึมพำเบาๆและรู้สึกอากาศไหลผ่านขณะที่ช่องปิดอากาศเหวี่ยงเปิดออกข้างตัวของเขา.
เขาหันไป, หมุดผ่านมันและออกไปจากห้องทำงานนั้น.
เขาพบว่าตนเองอยู่ในโถงสมาคมที่เขาและคนของตนได้ถูกนำผ่านเข้ามาโดยผู้ช่วยของ
ตูอิค. มันเป็นพื้นที่แคบยาวพอประมาณเจาะตัดจากหินพื้นถิ่นนั้น, ผิวหน้าของมันเรียบลื่นทรยศต่อการใช้เครื่องมือตัดแบบเผาสำหรับงานนี้.
เพดานเหยียดออกไปสูงแค่เพียงพอที่จะใช้การต่อไปของส่วนโค้งรองรับตามธรรมชาติของก้อนหินและที่จะยอมให้กระแสอากาศ-หมุนเวียนภายใน.
แคร่วางอาวุธและตู้ปิดวางเรียงกันอยู่ที่ผนัง.
ฮัลเล็ค จดจำด้วยสัมผัสของความภูมิใจว่าคนของเขาเหล่านั้นยังคงสามารถที่จะยืนได้กำลังยืนอยู่---ไม่มีการผ่อนคลายในความเหนื่อยล้าและยอมแพ้กับพวกเขา.
เหล่าหมอนักลักลอบขนของเถื่อนกำลังเคลื่อนไปในท่ามกลางพวกเขากำลังดูแลคนที่บาดเจ็บนั้น.
แคร่หามถูกวางรวมในพื้นที่หนึ่งลงไปทางด้านซ้ายมือ, แต่ละผู้บาดเจ็บกับหนึ่งสหายอะไทรดิส.
การฝึกฝนแบบอะไทรดิส---“เราดูแลของเราเอง!”---มันถูกยึดถือเหมือนแกนของก้อนหินธรรมชาติในพวกเขา.
ฮัลเล็ค จดจำไว้.
หนึ่งในผู้หมวดของเขาก้าวมาข้างหน้ากำลังถือพิณบาลิเส็ทเก้าสายออกมาจากหีบของมัน.
ชายนั้นตวัดวันทยหัตถ์, พูด: “ขอรับ, พวกหมอที่นี่บอกว่าไม่มีหวังสำหรับแม็ทไท.
พวกเขาไม่มีธนาคารกระดูกและอวัยวะในที่นี้---มีเพียงยารักษาสำหรับแนวหน้าเท่านั้น.
แม็ทไท ไม่อาจรอดได้, พวกเขาว่า, และเขามีเรื่องขอร้องต่อท่าน.”
“อะไรรึ?”
ผู้หมวดนั้นยื่นพิณบาลิเส็ทมาข้างหน้า.”แม็ทไท
อยากได้เพลงหนึ่งเพื่อทำให้เขาไปสบายๆ, ขอรับ. เขาบอกว่าท่านจะรู้เพลงนั้นเอง.....เขาได้เคยขอท่านอยู่บ่อยๆ.”
ผู้หมวดนั้นกล้ำกลืนน้ำลาย. “มันเป็นเพลงหนึ่งที่ชื่อ “ผู้หญิงของข้า,” ขอรับ.
ถ้าท่าน----”
“ข้ารู้,” ฮัลเล็ค
รับพิณบาลิเส็ทมา, แกะปิ๊คอเนกการออกมาจากที่เหน็บตรงแผ่นรองดีด. เขาดีดคอร์ดนุ่มนวลอกมาจากเครื่องดนตรีนั้น,
พบว่าใครบางคนได้ตั้งสายมันไว้แล้ว. มีความร้อนผ่าวในดวงตาของเขา,
แต่เขาขับไล่นั่นออกไปจากความคิดของเขาขณะที่ย่างก้าวไปข้างหน้า, ดีดพิณอย่างช่ำชองเป็นเสียงนั้น,
บังคับตนเองให้ยิ้มแย้มอย่างเคย.
ทหารของเขาหลายคนและหมอนักลักลอบขนของเถื่อนค้อมร่างอยู่เหนือแคร่คนเจ็บ.
หนึ่งในคนเหล่านั้นเริ่มต้นร้องเพลงขึ้นมาอย่างนุ่มเบาขณะที่ ฮัลเล็ค ก้าวเข้าไปหา,
กุมเข้ากับจังหวะการตีอย่างง่ายดายของความคุ้นเคยมายาวนาน.
“ผู้หญิงของข้ายืนอยู่ที่หน้าต่าง,
โค้งเว้าโครงเค้าร่างกับกระจกจัตุรัส.
แขนคัดเคร่งยกขึ้น....งอ...พับลง
“อัสดงอาทิตย์ทาบทอแดงและทองทา---
มาหาข้าสิ...
มาหาข้า,
หาอ้อมแขนและอกอุ่นของข้าสิ
สู่ข้า...
สู่ข้า, อ้อมแขนและอกอุ่นร่ำเรียกหาของข้านี้.”
นักร้องนั้นหยุด, เอื้อมแขนผ้าพันแผลออกและปิดเปลือกตาชายที่อยู่บนแคร่นั้น.
ฮัลเล็ค ดีดคอร์ดสุดท้ายอันนุ่มนวลออกมาจากพิณบาลิเส็ท,
คิดคำนึง: ตอนนี้เราเจ็บสิบ-สามแล้ว.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น