หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (26)

 

               เรามาจาก คาลาดาน---โลกสวรรค์หนึ่งสำหรับรูปแบบ                   ชีวิตของเรา. ไม่มีความจำเป็นใดมีอยู่บน คาลาดาน  ที่จะ                     ต้องสร้างสวรรค์ทางกายภาพ หรือ สวรรค์ทางจิตใจ---เรา                   สามารถ   มองเห็นความเป็นจริงทั้งหมดรายรอบเราอยู่ได้.                     และราคาที่เราจ่ายนั้นเป็นราคาที่คนได้มักได้จ่ายอยู่เสมอให้                กับเพื่อได้บรรลุสวรรค์หนึ่งในชีวิตนี้---เราไปอ่อนโยน, เราสูญ                 เสียความแข็งแรงของเรา.

---จาก  “มวดดิบ: บทสนทนา” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

 

“แล้วเจ้าก็คือ เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค ผู้ยิ่งใหญ่,” ชายนั้นพูด.

ฮัลเล็ค ยืนจ้องมองข้ามถ้ำกลมสำนักงานยังนักลักลอบขนของเถื่อนผู้นั่งอยู่หลังโต๊ะโลหะ. ชายนั้นสวมชุดคลุมฟรีเมนและมีดวงตาสีฟ้าอ่อนที่บอกถึงอาหารนอก-ดาวเคราะห์ในการบริโภคอาหารของเขา. สำนักงานนี้จำลองแบบมาจากศูนย์บัญชาการหลักของยานรบอวกาศฟรีเกต---เครื่องมือสื่อสารและจอทัศนภาพไปตามความโค้งสามสิบ-องศาของผนัง, แถวแนวของเครื่องสั่งการระยะไกลของอาวุธที่ติดตั้งและการยิงเชื่อมต่อกันไว้, และโต๊ะที่วางรูปแบบเป็นเครื่องฉายภาขึ้นผนัง---ส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่ของผนังโค้ง.

“ข้าคือ สตาบาน ตูอิค, บุตรชายของ เอสมาร์ ตูอิค,” นักลักลอบขนของเถื่อนพูด.

“งั้นเจ้าก็คือผู้นั้นที่ข้าเป็นหนี้คำขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือที่เราได้รับ,” ฮัลเล็ค พูด.

“อา-ห-ห, การรู้คุณ,” นักลักลอบขนของเถื่อน. “นั่งลงสิ.”

ที่นั่งแบบ-ถังในเรือโผล่จากผนังด้านข้างจอภาพเหล่านั้นและ ฮัลเล็ค หย่อนตัวลงบนมันด้วยถอนหายใจ, รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าของตน. เขาสามารถเห็นเงาสะท้อนของเขาเองตอนนี้ในผิวมืดด้านข้างของนักลักลอบขนของเถื่อนนั้นและหน้าบึ้งตึงที่เส้นสายทั้งหลายของความอิดโรยในใบหน้าก้อนหนาของตน. แผลเป็นรูปเถาอิงค์ไวน์(inkvine*)ยาวไปตามกรามของเขาบิดเบี้ยวด้วยการบึ้งตึง.

*      https://dune.fandom.com/wiki/Inkvine

ฮัลเล็ค หันจากเงาสะท้อนของตน, จ้องมองยัง ตูอิค. เขาเห็นความคล้ายคลึงกันอย่างครอบครัวในนักลักลอบของเถื่อนตอนนี้---คิ้วหนาหนักห้อยของบิดาและแก้มแบนราบแข็งและจมูก.

“คนของเจ้าบอกข้าว่าบิดาของท่านเสียชีวิตแล้ว, ถูกฆ่าโดยพวกฮาร์คอนเนนส์.” ฮัลเล็ค พูด.

“โดยพวกฮาร์คอนเนนส์ หรือผู้ทรยศในหมู่ผู้คนของท่าน,” ตูอิค พูด.

ความโกรธเข้ามาครอบคลุมส่วนความอิดโรยของ ฮัลเล็ค. เขาหยัดร่างขึ้นตรง, พูด: “เจ้าบอกชื่อคนทรยศนั้นได้ไหม?”

“เราไม่แน่ใจ.”

ธูเฟอร์ ฮาวัต สงสัยว่าเป็น ท่านหญิง เจสสิกา.”

“อา-ห-ห, แม่มดเบเน เกสเสอริต.....บางทีนะ. แต่ ฮาวัต ตอนนี้เป็นเชลยของ ฮาร์คอนเนน.”

“ข้าก็ได้ยินมา,” ฮัลเล็ค สูดหายใจลึก. “มันปรากฏออกมาว่าเราได้การฆ่าอีกปริมาณมากอยู่ข้างหน้าของเรา.”

       “เราจะไม่ทำอะไรที่จะดึงดูดความสนใจมายังเรา,” ตูอิค บอก.

ฮัลเล็ค ตัวแข็งทื่อ. “แต่---”

“เจ้าและเหล่าคนของเจ้าที่เราช่วยชีวิตไว้เรายินดีต้อนรับยังวิหารลี้ภัยในหมู่ของเรา,” ตูอิค พูด. “เจ้าพูดถึงการรู้คุณ. ดีมาก; ทำงานใช้หนี้ต่อเรา. เราสามารถใช้ประโยชน์คนมือดีได้อยู่เสมอ. เราจะทำลายเจ้าถ้าเจ้าไม่สามารถอยู่ในการควบคุมได้, กระนั้นด้วย, ถ้าเจ้าทำการเปิดเคลื่อนไหวเพียงแม้แต่เล็กน้อยกับพวกฮาร์คอนเนนส์.”

“แต่พวกมันฆ่าบิดาของเจ้านะ, พวก!

“บางที. และถ้าเป็นเช่นนั้น, ข้าจะให้เจ้าในคำตอบของบิดาข้าสำหรับผู้ที่กระทำตนโดยไม่คิด: ก้อนหินหนักและทรายก็หนักมาก; แต่ความโกรธของคนโง่หนักว่าอะไรทั้งสองนั้น.

“เจ้าหมายถึงว่าจะไม่ทำอะไรเกี่ยวกับมัน, งั้น?” ฮัลเล็ค ถากถาง.

“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดนั่น. ข้าเพียงแต่พูดว่าข้าจะปกป้องสัญญาของเรากับ กิลด์. พวกกิลด์ต้องการที่เราเล่นเกมที่วางไว้แล้วอย่างรอบคอบ. มีหลายหนทางอื่นของการทำลายศัตรู.”

“อ้า-ห-ห-ห-ห.”

“อ้าห์, จริงแท้ล่ะ. ถ้าเจ้ามีจิตใจที่จะเสาะหาตัวแม่มดนั่นออกมา, ก็จงทำมัน. แต่ข้าเตือนเจ้าไว้ว่าเจ้าอาจจะสายเกินไป.....และเรายังสงสัยว่าเธอจะเป็นผู้ที่เจ้าต้องการนั้นหรือไม่, จะว่าไปแล้ว.”

ฮาวัต ทำผิดพลาดน้อยครั้ง.”

“เขายอมให้ตนเองตกไปอยู่ในอุ้งมือของ ฮาร์คอนเนน.”

“เจ้าคิดว่าเขาเป็นผู้ทรยศรึ?”

ตูอิค ยักไหล่. “นี่คือในทางทฤษฎี. เราคิดว่าแม่มดนั้นตายแล้ว. อย่างน้อยพวกฮาร์คอนเนนส์ เชื่อมันเช่นนั้น.”

“เจ้าดูเหมือนจะรู้อะไรมากมายนักเกี่ยวกับพวกฮาร์คอนเนนส์.”

“ความนัยและเสนอแนะ.....คำเล่าลือและลางสังหรณ์.”

“เรามีเจ็ดสิบ-สี่คน,” ฮัลเล็ค พูด. “ถ้าเจาปรารถนาอย่างจริงจังต่อเราที่จะเข้าร่วมกับเจ้า, เจ้าต้องเชื่อแล้วว่า ดยุค ของเรานั้นตายแล้ว.”

“ร่างของเขาได้ถูกเห็น.”

“แล้วเด็กชายนั่น, ด้วยรึ---นายน้อย พอล?” ฮัลเล็ค พยายามที่จะกล้ำกลืน, พบก้อนเหนอะติดอยู่ที่ในคอของตน.

“ตามคำบอกสุดท้ายที่เราได้, เขาได้สูญหายไปกับมารดาของตนในพายุทะเลทราย. ดูเหมือนว่ากระทั่งกระดูกของพวกเขาก็จะหาไม่พบแล้วล่ะ.”

“งั้นแม่มดนั้นก็ตายไปแล้ว...ตายไปหมดแล้ว.”

ตูอิค พยักหน้า. “และ บีสต์ แร็บบาน, อย่างที่พวกเขาบอกด้วย, จะขึ้นนั่งอีกครั้งยังบัลลังก์อำนาจที่นี่บน ดูน.”

เคานท์ แร็บบาน แห่ง ลังคิวีล?”

“ใช่.”

มันทำให้ ฮัลเล็ค ใช้เวลาชั่วขณะที่จะทำให้การพุ่งพรวดของโทสะที่คุกคามเข้ามาท่วมท้นเขานั้นลดลงได้. เขาพูดด้วยหายใจหนักหน่วง: “ข้าได้มีรอยแผลหนึ่งของข้าเองกับ แร็บบาน นั่น. ข้าติดค้างกับเขาสำหรับชีวิตทั้งหลายของครอบครัวข้า.....” เขาถูแผลเป็นที่ยาวไปตามกรามของเขา. “...และสำหรับอันนี้.....”

“ใครก็ต้องไม่เสี่ยงทุกอย่างเพื่อตอกย้ำรอยแผลนั้นให้เป็นที่ถาวร,” ตูอิค พูด. เขาขมวดคิ้ว, เฝ้าดูการแสดงของกล้ามเนื้อทั้งหลายไปตามกรามของ ฮัลเล็ค, และที่การเปิดออกของแผ่นหนังหนาซึ่งได้ปิดดวงตาของชายนั้น.

“ข้ารู้.....ข้ารู้,” ฮัลเล็ค สูดหายใจลึก.

“เจ้าและคนของเจ้าสามารถค่อยสร้างช่องทางของเจ้าออกจาก อาร์ราคิส โดยการทำงานให้กับเรา. มีสถานที่หลายแห่งที่จะ.....”

“ข้าได้ปลดเปลื้องคนของข้าจากข้อผูกยึดกับข้าแล้ว; พวกเขาสามารถเลือกทางของตนได้เอง. กับ แร็บบาน ที่นี่---ข้าอยู่.”

“ตามอารมณ์ของเจ้า, ข้าไม่แน่ใจว่าเราต้องการให้เจ้าอยู่.”

ฮัลเล็ค จ้องมองนักลักลอบขนของเถื่อน. “เจ้ากังขาในคำพูดของข้ารึ?”

“ไ-ไ-ไม่.....”

“เจ้าช่วยชีวิตข้ารอดมาจากพวกฮาร์คอนเนนส์. ข้าได้มอบความจงรักภักดีต่อท่านดยุค ลีโต โดยไม่มีเหตุผลใดที่ยิ่งใหญ่กว่า. ข้าจะอยู่บนอาร์ราคิส---กับเจ้า.....หรือไม่กับพวกฟรีเมน.

“ไม่ว่าความคิดนั้นถูกพูดออกมาหรือไม่ก็มันคือความเป็นจริงและมันมีพลัง,” ตูอิค พูด. “เจ้าอาจพบว่าเส้นแบ่งระหว่างชีวิตและความตายในหมู่พวกฟรีเมนนั้นเป็นสิ่งที่คมบางและรวดเร็วเกินไป.”

ฮัลเล็ค หลับตาลงระยะหนึ่งสั้นๆ, รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าพุ่งพรวดขึ้นมาในตัวเขา. “ที่ไหนหรือที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งนำเราผ่านแดนดินแห่งทะเลทรายและนรกทั้งหลาย?” เขาพึมพำ.

“เคลื่อนไปช้าๆและวันเวลาแห่งการล้างแค้นของเจ้าจะมาถึง,” ตูอิค พูด. “ความเร่งเร็วคืออุปกรณ์ของ ไชตาน. เย็นความโศกาของเจ้า---เรามีหลายความบันเทิงเบี่ยงเบนสำหรับมัน; สามสิ่งมีอยู่เพื่อช่วยบรรเทาหัวใจ---น้ำ, หญ้าเขียว, และความงามของสตรี.”

ฮัลเล็ค เปิดตาของเขาขึ้น. “ข้าจะชอบเลือดของ แร็บบาน ฮาร์คอนเนน ไหลท่วมหลังเท้าของข้ามากกว่า.” ฮัลเล็ค จ้องมอง ตูอิค. “เจ้าคิดว่าวันนั้นจะมาถึงไหม?”

“ข้ามีอะไรเล็กน้อยจะทำด้วยกับที่เจ้าจะได้พบกับวันพรุ่งนี้, เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค. ข้าสามารถได้แค่เพียงช่วยท่านได้พบกับวันพรุ่งนี้เท่านั้น.”

“งั้นข้าจะยอมรับความช่วยเหลือนั้นและอยู่จนถึงวันที่เจ้าจะบอกข้าให้แก้แค้นให้บิดาของเจ้าและผู้อื่นทั้งหมดที่---”

“ฟังข้านะ, ยอดนักสู้,” ตูอิค พูด. เขาเอนร่างมาข้างหน้าเหนือโต๊ะของตน, ไหล่ของเขาอยู่ในระดับเดียวกับหูของเขา, ตาเขม็ง. ใบหน้าของนักลักลอบขนของเถื่อนทันทีนั้นเหมือนกันกับหินต้านลม. “น้ำของบิดาข้า---ข้าจะซื้อมันกลับมาด้วยตัวข้าเอง, ด้วยมีดของข้าเอง.”

ฮัลเล็ค จ้องมองกลับยัง ตูอิค. ในชั่วขณะนั้น, นักลักลอบขนของเถื่อนทำให้เขาหวนนึกไปถึง ดยุค ลีโต: ผู้นำของคน, กล้าหาญ, มั่นคงในตำแหน่งแห่งหนของตัวเขาเองและแนวทางของตนเอง. เขาเป็นเหมือน ดยุค.....ก่อนมายัง อาร์ราคิส.

“เจ้าปรารถนามีดของข้าเคียงข้างเจ้าไหม?” ฮัลเล็ค ถาม.

ตูอิค นั่งลงเอนกายกลับไป, ผ่อนคลาย, ศึกษาดู ฮัลเล็ค อย่างเงียบๆ.

“เจ้าคิดว่าข้าเป็น ยอดนักสู้ รึ?ฮัลเล็ค กดดัน.

“เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นหัวหน้าหมวดของ ดยุค ที่หลบหนีมาได้,” ตูอิค พูด. “ศัตรูของเจ้ามีอยู่ท่วมท้นเหนือกว่า, กระนั้นเจ้าก็กลิ้งหลบหลีกพ้นกับมันได้......เจ้าเอาชนะมันวิธีเดียวกับที่เราชนะ อาร์ราคิส.”

“หือ?”

“เรามีชีวิตอยู่บนความอดทนที่นี่, เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค,” ตูอิค พูด. “อาร์ราคิส คือศัตรูของเรา.”

“ทีละหนึ่งศัตรู, ยังงั้นรึ?”

“นั่นแหละ.”

“นั่นคือที่พวกฟรีเมนทำสำเร็จรึ?”

“บางที.”

“เจ้าบอกว่าข้าอาจจะพบว่าการมีชีวิตอยู่กับพวกฟรีเมนนั้นโหดยากเกินไป. พวกเขาอาศัยอยู่ในทะเลทราย, ในที่รกร้าง, นั่นคือที่ว่าทำไมน่ะรึ?”

“ใครล่ะที่รู้ว่าพวกฟรีเมนอยู่ที่ไหน? สำหรับเราแล้ว, ที่ราบสูงตอนกลาง เป็นเขตไร้ผู้คนอาศัยอยู่. แต่ข้าปรารถนาที่จะพูดคุยอีกมากเกี่ยวกับ---”

“ข้าถูกบอกมาว่าพวกกิลด์มักจะวางเส้นทางยานลำเลียงเครื่องเทศไปทั่วทะเลทรายนั้น,” ฮัลเล็ค พูด. “แต่มีคำเล่าลือทั้งหลายว่าเจ้าสามารถเห็นพฤกษชาติเล็กๆที่นี่นิดและที่นั่นถ้าเจ้ารู้ว่าจะมองไปที่ไหน.”

“คำเล่าลือทั้งหลาย,” ตูอิต เยาะ. “เจ้าปรารถนาที่จะเลือกในตอนนี้ระหว่างข้ากับฟรีเมนไหม? เรามีมาตรการของความปลอดภัย, สิทคามของเราเองตัดสลักในหินนั้น, แอ่งอ่างหลบซ่อนของเราเอง. เรามีชีวิตอยู่อย่างคนอารยะ. พวกฟรีเมนเป็นเพียงกลุ่มเศษริ้วย่อยๆที่เราใช้เป็นผู้ล่าเครื่องเทศ.”

“แต่พวกเขาสามารถฆ่าฮาร์คอนเนนส์.”

“และเจ้าปรารถนาที่จะรู้ผลลัพธ์นั้นไหม? กระทั่งในตอนนี้พวกเขาก็กำลังถูกตามล่าเหมือนสัตว์ทั้งหลาย---ด้วยปืนเลซ, เพราะว่าพวกเขาไม่มีโล่พลัง. พวกเขากำลังถูกกำจัดกวาดล้าง. ทำไมรึ? เพราะว่าพวกเขาฆ่าฮาร์คอนเนนส์.”

“มันเป็นฮาร์คอนเนนส์ที่พวกเขาได้ฆ่ารึ?” ฮัลเล็ค ถาม.

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

“เจ้าไม่ได้ยินมาหรอกรึว่าอาจจะเป็นซาร์เดาการ์อยู่ด้วยกับพวกฮาร์คอนเนนส์?”

“ข่าวลือทั้งหลายอีกมาก.”

“แต่การสังหารหมู่---นั่นไม่เหมือนฝีมือพวกฮาร์คอนเนนส์. การสังหารหมู่เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์.”

“ข้าเชื่อในอะไรที่ข้าเห็นด้วยตาจองตนเอง,” ตูอิค พูด. “ทำการเลือกของเจ้าซะ, ยอดนักสู้. ข้าหรือฟรีเมน. ข้าจะสัญญาเจ้าด้วยที่หลบภัยและโอกาสที่จะได้เลือดนั้นที่เราทั้งคู่ต้องการ. จงแน่ใจในเรื่องนั้น. ฟรีเมนจะเสนอเจ้าเพียงแค่ชีวิตของการถูกล่า.”

ฮัลเล็ค ลังเล, สัมผัสได้ถึงคำสั่งสอนและความเห็นใจในคำพูดของ ตูอิค, กระนั้นก็ยังกังวลใจอย่างไร้เหตุผลที่เขาไม่สามารถอธิบายได้.

“ไว้ใจในความสามารถของเจ้าเอง,” ตูอิค พูด. “การตัดสินใจของใครกันล่ะที่นำกองกำลังของเจ้าฝ่ายุทธการนั่นผ่านมาได้? ของเจ้า. ตัดสินใจซะ.”

“มันต้องเป็นเช่นนั้น,” ฮัลเล็ค พูด. “ดยุค กับบุตรชายของเขาเองตายแล้วรึ?”

“พวกฮาร์คอนเนนส์เชื่อมันเช่นนั้น. ที่ไหนที่เรื่องทั้งหลายแบบนี้มันเกี่ยวข้องด้วย, ข้าโน้มเอียงที่จะไว้ใจในฮาร์คอนเนนส์.” รอยยิ้มเล็กน้อยสัมผัสขึ้นที่ปากของ ตูอิค. “แต่มันเกี่ยวกับแค่ความไว้ใจเดียวที่ข้าให้กับพวกมัน.”

“งั้นมันก็ต้องเป็นเช่นนั้น,” ฮัลเล็ค พูดซ้ำ. เขายื่นมือขวาของตนออกไป, หงายฝ่ามือขึ้นและนิ้วหัวแม่มือพับราบกับมันในกิริยาให้สัญญาณตามประเพณี. “ข้ามอบท่านด้วยดาบของข้า.”

“ยอมรับ.”

“เจ้าปรารถนาให้ข้าไปชักชวนคนของข้าไหม?”

“เจ้าปล่อยให้พวกเขาได้ตัดสินใจด้วยตนเองไหม?”

“พวกเขาได้ติดตามข้ามาไกลขนาดนี้, แต่ส่วนใหญ่เกิด-คาลาดาน. อาร์ราคิส ไม่ใช่อะไรที่พวกคิดว่ามันจะเป็น. ที่นี่, พวกเขาได้สูญเสียทุกสิ่งนอกจากชีวิตของพวกเขา. ข้าชอบมากกว่าที่จะให้พวกเขาได้ตัดสนใจเพื่อตัวของพวกเอง, ในตอนนี้.”

“ตอนนี้ไม่มีเวลาให้เจ้าที่จะลังเล,” ตูอิค พูด. “พวกเขาได้ติดตามเจ้ามาไกลถึงนี้แล้ว.”

“เจ้าจำเป็นต้องการพวกเขา, เช่นนั้นรึ?”

“เรามักสามารถใช้ประโยชน์กับนักสู้รบที่มีประสบการณ์ได้เสมอ.....ในเวลาทั้งหลายนี้ยิ่งมากกว่าที่เคย.”

“เจ้าได้ยอมรับดาบของข้าแล้ว. เจ้าปรารถนาให้ข้าชักชวนพวกเขานั้นด้วยหรือ?”

“ข้าคิดว่าพวกเขาจะติดตามเจ้า, เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค.”

นี่เป็นที่ถูกหวังไว้.”

“จริงแท้.”

“ข้าอาจทำการตัดสินใจในเรื่องนี้ด้วยตนเอง, งั้น?”

“การตัดสอนของเจ้าเอง.”

ฮัลเล็ค ดันตัวเองลุกขึ้นจากถังที่นั่ง, รู้สึกได้ว่ามากอย่างไรของพละกำลังสำรองของเขากระทั่งความพยายามเพียงเล็กน้อยก็เป็นที่ต้องการ. “สำหรับตอนนี้, ข้าจะไปหาที่พักให้พวกเขาและการอยู่อย่างดี,” เขาพูด.

“แนะนำกับหัวหน้าพลาธิการของข้าได้เลย,” ตูอิค บอก. “ดริสค์ คือชื่อของเขา. บอกเขาว่าเป็นความปรารถนาของข้าที่จะให้เจ้าได้รับทุกอัธยาศัยไมตรี. ข้าจะตามไปร่วมกับเจ้าด้วยตนเองในทันที. ข้ามีบางการลำเลียงส่ง-ออกเครื่องเทศที่จะดูแลก่อน.”

“โชคลาภผ่านมาในทุกแห่งหน,” ฮัลเล็ค พูด.

“ทุกแห่งหน,” ตูอิค พูด. “เวลาของการพ่ายแพ้ที่ไม่คาดฝันนั้นเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับธุรกิจของเรา.”

ฮัลเล็ค พยักหน้า, ได้ยินเสียงกระซิบพึมพำเบาๆและรู้สึกอากาศไหลผ่านขณะที่ช่องปิดอากาศเหวี่ยงเปิดออกข้างตัวของเขา. เขาหันไป, หมุดผ่านมันและออกไปจากห้องทำงานนั้น.

เขาพบว่าตนเองอยู่ในโถงสมาคมที่เขาและคนของตนได้ถูกนำผ่านเข้ามาโดยผู้ช่วยของ ตูอิค. มันเป็นพื้นที่แคบยาวพอประมาณเจาะตัดจากหินพื้นถิ่นนั้น, ผิวหน้าของมันเรียบลื่นทรยศต่อการใช้เครื่องมือตัดแบบเผาสำหรับงานนี้. เพดานเหยียดออกไปสูงแค่เพียงพอที่จะใช้การต่อไปของส่วนโค้งรองรับตามธรรมชาติของก้อนหินและที่จะยอมให้กระแสอากาศ-หมุนเวียนภายใน. แคร่วางอาวุธและตู้ปิดวางเรียงกันอยู่ที่ผนัง.

ฮัลเล็ค จดจำด้วยสัมผัสของความภูมิใจว่าคนของเขาเหล่านั้นยังคงสามารถที่จะยืนได้กำลังยืนอยู่---ไม่มีการผ่อนคลายในความเหนื่อยล้าและยอมแพ้กับพวกเขา. เหล่าหมอนักลักลอบขนของเถื่อนกำลังเคลื่อนไปในท่ามกลางพวกเขากำลังดูแลคนที่บาดเจ็บนั้น. แคร่หามถูกวางรวมในพื้นที่หนึ่งลงไปทางด้านซ้ายมือ, แต่ละผู้บาดเจ็บกับหนึ่งสหายอะไทรดิส.

การฝึกฝนแบบอะไทรดิส---“เราดูแลของเราเอง!---มันถูกยึดถือเหมือนแกนของก้อนหินธรรมชาติในพวกเขา. ฮัลเล็ค จดจำไว้.

หนึ่งในผู้หมวดของเขาก้าวมาข้างหน้ากำลังถือพิณบาลิเส็ทเก้าสายออกมาจากหีบของมัน. ชายนั้นตวัดวันทยหัตถ์, พูด: “ขอรับ, พวกหมอที่นี่บอกว่าไม่มีหวังสำหรับแม็ทไท. พวกเขาไม่มีธนาคารกระดูกและอวัยวะในที่นี้---มีเพียงยารักษาสำหรับแนวหน้าเท่านั้น. แม็ทไท ไม่อาจรอดได้, พวกเขาว่า, และเขามีเรื่องขอร้องต่อท่าน.”

“อะไรรึ?”

ผู้หมวดนั้นยื่นพิณบาลิเส็ทมาข้างหน้า.”แม็ทไท อยากได้เพลงหนึ่งเพื่อทำให้เขาไปสบายๆ, ขอรับ. เขาบอกว่าท่านจะรู้เพลงนั้นเอง.....เขาได้เคยขอท่านอยู่บ่อยๆ.” ผู้หมวดนั้นกล้ำกลืนน้ำลาย. “มันเป็นเพลงหนึ่งที่ชื่อ “ผู้หญิงของข้า,” ขอรับ. ถ้าท่าน----”

“ข้ารู้,” ฮัลเล็ค รับพิณบาลิเส็ทมา, แกะปิ๊คอเนกการออกมาจากที่เหน็บตรงแผ่นรองดีด. เขาดีดคอร์ดนุ่มนวลอกมาจากเครื่องดนตรีนั้น, พบว่าใครบางคนได้ตั้งสายมันไว้แล้ว. มีความร้อนผ่าวในดวงตาของเขา, แต่เขาขับไล่นั่นออกไปจากความคิดของเขาขณะที่ย่างก้าวไปข้างหน้า, ดีดพิณอย่างช่ำชองเป็นเสียงนั้น, บังคับตนเองให้ยิ้มแย้มอย่างเคย.

ทหารของเขาหลายคนและหมอนักลักลอบขนของเถื่อนค้อมร่างอยู่เหนือแคร่คนเจ็บ. หนึ่งในคนเหล่านั้นเริ่มต้นร้องเพลงขึ้นมาอย่างนุ่มเบาขณะที่ ฮัลเล็ค ก้าวเข้าไปหา, กุมเข้ากับจังหวะการตีอย่างง่ายดายของความคุ้นเคยมายาวนาน.

   “ผู้หญิงของข้ายืนอยู่ที่หน้าต่าง,

โค้งเว้าโครงเค้าร่างกับกระจกจัตุรัส.

แขนคัดเคร่งยกขึ้น....งอ...พับลง

“อัสดงอาทิตย์ทาบทอแดงและทองทา---

มาหาข้าสิ...

มาหาข้า, หาอ้อมแขนและอกอุ่นของข้าสิ

สู่ข้า...

สู่ข้า, อ้อมแขนและอกอุ่นร่ำเรียกหาของข้านี้.”

นักร้องนั้นหยุด, เอื้อมแขนผ้าพันแผลออกและปิดเปลือกตาชายที่อยู่บนแคร่นั้น.

ฮัลเล็ค ดีดคอร์ดสุดท้ายอันนุ่มนวลออกมาจากพิณบาลิเส็ท, คิดคำนึง: อนนี้เราเจ็บสิบ-สามแล้ว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น