ชีวิตครอบครัวของ ราชอภิบาล
นั้นเป็นสิ่งยากลำบากสำหรับผู้คนที่จะเข้าใจ,
แต่ข้าจะพยายามที่จะให้แก่เจ้าด้วยภาพทัศน์สรุปสั้นๆ.
พระบิดาของข้าได้มีเพียงสหายแท้จริงผู้เดียวเท่านั้น, ข้าคิดว่า. นั่นคือ เคานท์
ฮาสิมีร์ เฟนริง, เชื้อสายพันธุ์-บัณเฑาะก์ และหนึ่งในบรรดานักสู้สุดอันตรายใน
จักรวรรดิ. ท่านเคานท์, ชายมาดปราดเปรียวกรุ้มกริ่มผอมบางและร่างเล็กอัปลักษณ์,
ได้นำทาส-สนมมายังพระบิดาของข้าวันหนึ่งและข้าถูกส่งโดยพระมารดาของข้าให้ไปสืบความลับของพฤติการณ์นั้น.
ทั้งหมดของพวกเราได้สืบความลับกับพระบิดาของข้ากันเป็นดุจเหตุปัจจัยของการพิทักษ์-ตนเอง.
หนึ่งในทาส-สนมใดอนุญาตต่อพระบิดาของข้าภายใต้ข้อตกลง เบเน เกสเสอริต-กิลด์,
นั้นไม่สามารถทำได้, แน่นอน, ที่จะให้กำเนิด รัชทายาท, แต่การเล่ห์ลักลอบกันนั้นมีอยู่ตลอดเวลาและเป็นที่น่าสลดใจในความคล้ายคลึงกัน.
เราได้กลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญ, พระมารดาของข้าและภคินีทั้งหลายและข้า,
กับการหลีกเลี่ยงเครื่องมืออันละเอียดอ่อนทั้งหลายของมรณกรรม.
มันอาจดูเหมือนสิ่งน่าสะพรึงกลัวที่จะพูด, แต่ข้าไม่แน่ใจเลยว่าพระบิดาของข้าจะไร้เดียงสาในบรรดาความพยายามทั้งหมดเหล่านี้.
ราชตระกูล ไม่เหมือนกันกับครอบครัวอื่นทั้งหลาย. นี้คือทาส-สนมคนใหม่,
กระนั้น, ผมแดงเหมือนพระบิดาของข้า, อรชรและสง่างาม. เธอมีกล้ามเนื้อของนักระบำ,
และการฝึกฝนของเธอชัดเจนว่าได้รวมถึงการล่อลวงผัสสะ.
พระบิดาของข้ามองดูเธออยู่นานขณะที่เธอวางท่าไร้อาภรณ์อยู่ตรงหน้าของท่าน.
ในที่สุด, ท่านตรัส: “นางงดงามมากเกินไป.
เราจะเก็บเธอไว้เป็นของกำนัล.”
เจ้าไม่มีความคิดหรอกว่ามากขนาดไหนของความตกตะลึงกับการหักห้ามใจที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นใน
ราชอภิบาล. ความละเอียดอ่อนและขันติเป็น, หลังจากนั้น,
การเลี้ยงดูที่สมบูรณ์แบบอย่างยิ่งต่อเราทั้งหมด.
---“ในราชวังของพระบิดาข้า” โดย อีร์อูลาน
พอล
ยืนอยู่ด้านนอกกระโจมทะเลทรายในตอนบ่ายมากแล้ว.
ช่องแตกแยกที่เขาได้ตั้งค่ายพักของพวกเขาวางอยู่ในเงาลึก. เขาจ้องออกไปข้ามทะเลทรายเปิดโล่งยังหน้าผาห่างไกลนั้น,
สงสัยในใจว่าเขาควรปลุกมาดาของตนขึ้นมาดีไหม, เธอนอนหลับอยู่ในกระโจม.
เหล่าแอ่งอยู่บนแอ่งของนูนทรายเผยให้เห็นเงาเลื่อมมันช่างดำมืดเหมือนเศษชิ้นของราตรี.
และความราบเรียบนั้น.
จิตใของเขาค้นหาบางอย่างที่สูงในภูมิทัศน์นั่น. แต่ไม่มีความสูงใดที่จูงใจโผล่ออกมาจากอากาศร้อนระอุ-สับสนและเส้นขอบฟ้านั่น---ไม่มีดอกไม้บานหรือสิ่งส่ายไหวเบาๆที่ให้สังเกตได้ถึงทางผ่านของสายลมเอื่อย.....มีเพียงนูนทรายทั้งหลายเท่านั้นและหน้าห่างไกลภายใต้ท้องฟ้าสีเงิน-ฟ้าเงาวาว.
ถ้าไม่มีหนึ่งในสถานีทดลองซึ่งถูกทิ้งร้างทั้งหลายที่ฝั่งตรงข้ามนั่นล่ะ?
เขากังขาใจ.
ถ้าไม่มีพวกฟรีเมน, อีกด้วย, และพืชทั้งหลายที่เราเห็นเป็นแค่อุบัติเหตุเทานั้นล่ะ?
ภายในกระโจม, เจสสิกา ตื่นขึ้น,
หันไปทางด้านหลังของเธอและจ้องมองเอียงออกไปทางปลายด้านสุดที่โปร่งใสยัง พอล.
เขายืนโดยหันหลังมาที่เธอและบางอย่างเกี่ยวกับท่ายืนของเขาเตอนให้เธอหวนนึกไปถึงบิดาของเขา.
เธอสัมผัสรู้ถึงบ่อน้ำแห่งความอาลัยพวยพุ่งขึ้นมาภายในตัวเธอและหันหนีไป.
ทันทีนั้นเธอก็นจัดแจงชุดสติลล์สูทของเธอ,
สดชื่นตัวเองด้วยน้ำจากกระเป๋าดักจับของกระโจม,
และลอดตนออกไปข้างนอกเพื่อยืนและเหยียดไล่ความหลับใหลออกไปจากกล้ามเนื้อของเธอ.
พอล พูดโดยไม่หันมา: “ข้าพบว่าตนเองรื่นรมย์กับความสงบที่นี่.”
จิตใจนั้นช่างปรับเปลี่ยนตัวมันเองกับสภาพแวดล้อมของมันได้อย่างไรกัน,
เธอคิด.
และเธอนึกได้ถึงสัจพจน์ของ เบเน เกสเสอริต: “จิตใจนั้นสามารถไปได้ไม่ว่าทิศทางใต้แรงกดดัน---ยังด้านบวก
หรือ ยังด้านลบ; เปิดและปิด.
คิดถึงมันดุจแสงเจ็ดสีผู้ซึ่งความสุดขีดคือจิตไร้สำนึกที่ปลายด้านลบและอภิจิตสำนึกที่ปลายสุดด้านบวก.
หนทางที่จิตใจจะเรียนรู้ภายใต้ความตึงเครียดที่มีอิทธิพลอย่างแรงกล้านั้นก็โดยการฝึกฝน.
“มันคงเป็นชีวิตที่ดีในที่นี้,” พอล พูด.
เธอพยายามจะมองทะเลทรายนั้นผ่านตาของเขา, เสาะหาที่จะรวมเข้าไว้ทั้งหมดของสภาพอากาศอันรุนแรงทั้งหลายของดาวเคราะห์นี้ที่ยอมรับได้เป็นเช่นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไป,
กังขาใจถึงความเป็นไปได้ของอนาคตทั้งหลายที่ พอล ได้ชายตามอง.
ใครก็สามารถอยู่ตามลำพังข้างนอกนี่ได้, เธอคิด,
โดยปราศจากความกลัวถึงใครบางคนที่ข้างหลังของตน, ปราศจากความกลัวถึงผู้ตามล่า.
เธอก้าวผ่าน พอล,
ยกกล้องส่องทางไกลของเธอขึ้น,
ปรับเลนส์น้ำมันและศึกษาเนินเชิงผาฝั่งตรงข้ามของพวกเขา. ใช่,
ซากัวโรในละหานทั้งหลายและพุ่มไม้มีหนามอื่น.....และผืนลาดของหญ้าเตี้ยทั้งหลาย,
เขียว-เหลืองในหมู่เงามืด.
“ข้าจะรื้อค่ายพัก,” พอล พูด.
เจสสิกา พยักหน้า, เดินไปที่ปากช่องโพรงที่เธอสามารถกวาดตามองได้ทั่วทะเลทราย,
และเหวี่ยงกล้องส่องทางไกลไปทางด้านซ้ายมือ.
แอ่งกระทะเกลือสะท้อนระยิบระยับขาวอยู่ที่นั้นด้วยสีน้ำตาลไหม้อ่อนๆที่ริมขอบของมัน---ทุ่งของสีขาวข้างนอกนี่ที่ซึ่งสีขาวคือความตาย.
แต่แอ่งกระทะบอกถึงอย่างอื่น: น้ำ.
สมัยหนึ่งน้ำได้เคยไหลผ่านข้ามสีขาววาวแววระยิบนั่น.
เธอลดกล้องส่องทางไกลของเธอลง, ปรับแต่งเสื้อคลุมผ้าโพกศีรษะของเธอ,
ฟังอยู่ชั่วขณะต่อเสียงการเคล่อนไหวของ พอล.
ดวงอาทิตย์จุ่มตัวต่ำลง.
เงาทั้งหลายเหยียดยาวข้ามแอ่งกระทะเกลือ. เหล่าเส้นของสีธรรมชาติรกร้างแผ่ไปทั่วเหนือขอบฟ้าอัสดง.
สีสันไหลอาบเข้าไปในเป็นนิ้วเท้าของความมืดแหย่ทดสอบทรายนั้น.
เงาสี-ถ่านทั้งหลายแผ่ไป,
และความหนาพังพับลงมาของราตรีได้แต้มเลอะเปรอะเป็นรอยในทะเลทราย.
ดวงดาว!
เธอเงยหน้าขึ้นมองพวกนั้น,
สัมผัสรู้ถึงการเคลื่อนไหวของ พอล ขณะที่เขาเข้ามาข้างตัวเธอ.
ราตรีทะเลทรายเพ่งจับขึ้นไปด้วยความรู้สึกยกลอยขึ้นไปสู่ดวงดาวทั้งหลาย.
น้ำหนักของกลางวันล่าถอย. มีสายลมเฉื่อยอ่อนๆสั้นๆมากระทบใบหน้าของเธอ.
“ดวงจันทร์แรกจะขึ้นในไม่ช้านี้,” พอล พูด.
“เป้ของเรียบร้อยแล้ว. ข้าได้วางติดตั้งเครื่องตบพื้นไว้ด้วย.”
เราสามารถสาบสูญไปตลอดกาลในสถานที่นรกนี้, เธอคิด.
และไม่มีผู้ใดได้รู้.
สายลมที่พัดแผ่ผ่านร่องธารทรายที่ครูดเสียดสีผ่านใบหน้าของเธอ,
นำมาด้วยกลิ่นของอบเชย: ละองโปรยของกลิ่นทั้งหลายในความมืด.
“สังเกตกลิ่นนั่น,” พอล บอก.
“แม่สามารถได้กลิ่นมันกระทั่งผ่านที่กรองจมูก,”
เธอพูด. “อุดมสมบูรณ์. แต่มันจะซื้อน้ำได้ไหม?” เธอชี้ข้ามแอ่งนั้น.
“ไม่มีแสงโคมไฟประดิษฐ์ที่ฝั่งโน้นเลย.”
“ฟรีเมน
น่าจะหลบซ่อนอยู่ในสิฐคามด้านหลังก้อนหินเหล่านั้น,” เขาพูด.
ขอบของสีเงินดันตัวขึ้นมาเหนือเส้นขอบฟ้าทางด้านขวามือของพวกเขา: ดวงจันทร์แรก. มันลอยขึ้นสู่สายตา, ลายมือเรียบง่ายบนผิวหน้าของมัน. เจสสิกา
ศึกษาสีขาว-เงินของทรายเผยออกในแสงสว่าง.
“ข้าติดตั้งเครื่องตบพื้นในส่วนลึกที่สุดของช่องแตก,”
พอล พูด.
“เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าจุดเทียนของมันมันจะให้เราได้ประมาณสามสิบนาที.”
“สามสิบนาที?”
“ก่อนที่มันจะเริ่มต้นเรียก....หนอน...ทราย.”
“โอ้...แม่พร้อมที่จะไปแล้ว.”
เขาเลื่อนออกไปจากข้างเธอและเธอได้ยินเสียงการเดินกลับขึ้นไปในช่องโพรงนั้นของพวกเขา.
ราตรีนั้นคืออุโมงค์หนึ่ง, เธอคิด,
รูหนึ่งเข้าไปในวันพรุ่งนี้.....ถ้าเราจะมีพรุ่งนี้ได้. เธอสั่นศีรษะของตน.
ทำไมข้าต้องเป็นโรคอะไรขนาดนี้? ข้าได้ถูกฝึกฝนมาดีกว่านั่น.
พอล กลับมา, หยิบเป้ใส่ของขึ้น,
นำทางลงไปหานูนทรายแผ่กว้างแรกที่เขาหยุดและฟังขณะที่มารดาตามลงมาถึงด้านหลังของเขา.
เขาได้ยินเสียงก้าวไปข้างหน้าอย่างนุ่มเบาและเม็ดทรายเย็นหยดไหลเพียงหนึ่งเดียว---รหัสทะเลทรายร่ายมนตร์ของมันเองออกมาในมาตรการความปลอดภัย.
“เราต้องเดินโดยไร้จังหวะ,” พอล
พูดและเขาเรียกคืนความทรงจำขึ้นมาถึงการเดินของคนในทะเลทราย.....ทั้งความทรงจำล่วงหน้าและความทรงจำจริง.
“คอยดูว่าข้าทำมันอย่างไร,” เขาบอก. “นี่เป็นที่พวกฟรีเมนเดินกันในทะเลทราย.”
เขาก้าวออกไปบนผิวหน้าปะทะลมของนูนทราย,
ไล่ไปตามความโค้งของมัน, เคลื่อนไปด้วยการเดินลากขา.
เจสสิกา
ศึกษาการเดินหน้าไปของเขาได้สิบก้าว, ติดตามไป, เลียนแบบวิธีของเขา.
เธอเห็นความหมายของมัน: พวกมันต้องเป็นเสียงเหมือนธรรมชาติการไหลเลื่อนของทราย.....เหมือนสายลม.
แต่กล้ามเนื้อทั้งหลายประท้วงรูปแบบไม่เป็นธรรมชาติ, แตกพังนี้: ก้าว...ลาก...ลาก...ก้าว...รอ...ลาก...ก้าว...
เวลาเหยียดออกรอบพวกเขา.
หินที่ตั้งอยู่ข้างหน้าไปนั้นดูเหมือนจะไม่โตใกล้เข้ามาเลย.
อันที่ตั้งอยู่ข้างหลังก็ยังตะหง่านสูงเป็นหอคอยอยู่.
“ตั้ม! ตั้ม! ตั้ม! ตั้ม!
มันเป็นเสียงกำลังรัวกลองมาจากหน้าผาด้านหลัง. การทุบของมันดำเนินต่อเนื่องไปและพวกเขาพบว่ายากลำบากที่จะหลีกเลี่ยงจังหวะของมันได้ในการก้าวเดินยาวๆของพวกเขา.
“ตั้ม.....ตั้ม.....ตั้ม.....ตั้ม.....”
พวกเขาเคลื่อนที่ไปในชามอ่างแสงจันทร์ที่ถูกเจาะรูโดยสว่านการทุบนั้น.
ลงและขึ้นผ่านนูนทรายไหลล้น: ก้าว...ลาก...รอ...ก้าว...ข้ามเม็ดทรายที่กลิ้งอยู่ใต้เท้าของพวกเขา: ลาก...รอ...ก้าว...
แล้วตลอดเวลานั้นหูของพวกเขาก็ได้ค้นหาเสียงซี่ดๆพิเศษ.
เสียงนั้น, เมื่อมันมาถึง,
เริ่มจากต่ำค่อยมากจนทางเดินลากของพวกเขากลบบังมัน. แต่มันเติบโตขึ้น.....ดังขึ้นและดังขึ้น.....ออกมาจากทางตะวันตก.
“ตั้ม.....ตั้ม.....ตั้ม.....ตั้ม.....”เสียงรัวกลองของเครื่องตบพื้น.
เสียงซี่ดๆเข้ามาแผ่ขยายข้ามราตรีเบื้องหลังพวกเขา.
พวกเขาหันศีรษะกลับขณะที่พวกเขาเดิน, เห็นพูนเนินของเส้นทางมาของหนอนทราย.
“เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ,” พอล กระซิบ.
“อย่าหันกลับไปมอง.”
เสียงครูดสีของความโกรธระเบิดจากเงาก้อนหินที่พวกเขาได้ทิ้งมันมา.
มันเป็นเสียงแตกเปราะบางถล่ม.
“เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ,” พอล พูซ้ำ.
เขามองเห็นว่าพวกเขาได้มาถึงจุดไม่อาจสังเกตได้ที่สองก้อนหินหันหน้ามาหา---หนึ่งนั้นอยู่ข้าหน้าและหนึ่งนั้นข้างหลัง---ปรากฏกอยู่อย่างเท่ากันในระยะไกล.
และยังคงอยู่ด้านหลังของพวกเขา, เสียงถูกฟาด,
ฉีกทึ้งของก้อนหินโดดเด่นอยู่ในค่ำคืน.
พวกเขาเคลื่อนที่ต่อไปและต่อไป.....กล้ามเนื้อไปถึงขั้นของความปวดร้าวอย่างเครื่องจักรที่ดูเหมือนจะเหยียดตึงไปไม่สิ้นสุด,
แต่ พอล มองเห็นว่าผาสูงชันที่กวักมือเรียกอยู่เบื้องหน้านั้นได้ไต่สูงขึ้นทุกที.
เจสสิกา เคลื่อนไปในช่องว่างของการให้ความสนใจ,
ระแวดระวังว่าแรงกดดันของเธอจะเป็นเพียงลำพังคอยรักษาการเดินของเธอไว้.
ความแห้งผากปวดเจ็บอยู่ในปากของเธอ, แต่เสียงนั้นทางด้านหลังขับไล่ความหวังออกไปที่จะหยุดเพื่อจิบน้ำจากกระเป๋าดักเก็บในสติลล์สูทของเธอ.
“ตั้ม.....ตั้ม.....”
ความตื่นเต้นเริ่มต้นใหม่อีกครั้งปะทุขึ้นจากหน้าผาอันห่างไกลนั้น,
ดึงเอาเครื่องตบพื้นออกไป.
ความเงียบสงัด!
“เร็วเข้า,” พอล กระซิบ.
เธอพยักหน้า, รู้ว่าเขาไม่เห็นอิริยาบถนั้น,
แต่ความจำเป็นต้องการอากัปกิริยาเพื่อที่จะบอกว่ามันเป็นความจำเป็นที่จะขอร้องมากกระทั่งยิ่งขึ้นจากกล้ามเนื้อซึ่งได้ถูกรีดภาษีไปแล้วจนถึงขีดสุดของพวกมัน---โดยการเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นตามธรรมชาติ.
พื้นผิวของก้อนหินแห่งความปลอดภัยข้างหน้าของพวกเขาไต่สูงขึ้นไปสู่ดวงดาวทั้งหลาย,
และ พอล มองเห็นที่ราบของทรายแบนเรียบเหยียดออกอยู่ที่ฐานเชิงผานั้น.
เขาก้าวขึ้นไปบนมัน, ล้มคว่ำลงในความอ่อนล้าของเขา, ทรงตัวเองด้วยการยื่นทิ่มเท้าออกไปอย่างไม่รู้ตัว.
เสียงก้องสะท้อนระเบิดตูมขึ้นเขย่าทะเลทรายรอบตัวเขา.
พอล เอียงเซไปทางด้านข้างสองก้าว.
“ตูม! ตูม!”
“กลองพื้นทราย!” เจสสิกา
ส่งเสียงเดือดดาล.
พอล กู้คืนการทรงตัวของตนกลับมาได้.
ชำเลืองกวาดหนหนึ่งในทะเลทรายรอบตัวพวกเขา,
ผาหินสูงชันนั้นบางทีน่าจะราวสองร้อยเมตรห่างออกไป.
เบื้องหลังพวกเขา, เขาได้ยินเสียงซี่ดๆ---เหมืองเสียงลม,
เหมือนกระแสไหลผ่านที่ซึ่งไม่มีน้ำ.
“วิ่ง!” เจสสิกา กรีดร้อง.
“พอล, วิ่ง!”
พวกเขาวิ่ง.
เสียงกลองลั่นตูมๆอยู่ใต้เท้าของพวกเขา.
แล้วพวกเขาก็พ้นออกมาจากมันและเข้าไปสู่พื้นกรวดเม็ดถั่ว. ชั่วขณะหนึ่ง,
การวิ่งได้ปลดปล่อยกล้ามเนื้อทั้งหลายที่ปวดร้าวเขม็งเกร็งจากที่ไม่คุ้นเคยของการไร้จังหวะการใช้อยู่นั้นออกไป.
นี่คือกิริยาอาการที่สามรถเป็นที่เข้าใจได้. นี่คือจังหวะ.
แต่ทรายและกรวดลากดึงเท้าของพวกเขา.
และเสียงซี่ดๆเข้ามาหาของหนอนทรายนั้นกลายเป็นเสียงพายุที่รายล้อมอยู่รอบตัวพวกเขา.
เจสสา ล้มทรุดลงไปที่เข่าของเธอ.
ทั้งหมดที่เธอสามารถคิดออกได้คือความเหนื่อยล้าและเสียงนั้นและ ความน่าสะพรึงกลัว.
พอล ลากเธอขึ้นมา.
พวกเขาวิ่งต่อไป, มือกุมกัน.
เสาเรียวยื่นออกมาจากทรายเบื้องหน้าของพวกเขา.
พวกเขาผ่านมันไป, และเห็นอีกอันหนึ่ง.
จิตใจของ เจสสิกา ล้มเหลวที่จะจดบันทึกกับจนกระทั่งเขาได้ผ่านไปแล้ว.
มีอีกอันหนึ่ง---สายลมกัดเซาะผิวหน้าทิ่มขึ้นมาจากจากช่องแตกในหิน.
อีกอันหนึ่ง.
ก้อนหิน!
เธอรู้สึกถึงมันได้ผ่านเท้าของเธอ,
ความตื่นตกใจของพื้นผิวที่ไม่ต้านทานดึงเท้าเรียกเอาความเข้มแข็งใหม่มาจากการได้ก้าวเดินที่แน่นกว่า.
รอยแตกลึกเหยียดยาวของมันเป็นแนวเงาตั้งตะหง่านขึ้นไปเป็นผาชันข้างหน้าของพวกเขา.
พวกเขาถีบตนเองพุ่งเข้าหามัน, เบียดเสียดกันเข้าไปในรูแคบ.
เบื้องหลังของพวกเขาเสียงเส้นทางของหนอนทรายหยุดลง.
เจสสิกา และ พอล หันไป,
มองหาออกไปบนทะเลทราย.
ที่ซึ่งนูนทรายเริ่มต้น, บางทีสักห้าสิบเมตรออกไปที่ตีนของหาดหิน,
เส้นโค้งสีเทา-เงินเปิดช่องรูจากทะเลทราย,
ส่งแม่น้ำทั้งหลายของทรายและฝุ่นสาดเทลงมารอบๆ. มันยกขึ้นสูงขึ้นอีก,
แยกแยะออกไปเป็นปากยักษ์อ้าส่ายหา. มันเป็นรู้กลม, ดำด้วยขอบคมแวววาวในแสงจันทร์.
ปากนั้นฉกไปยังรอยแตกแคบทีซึ่ง พอล และ เจสสิกา
ซุกเบียดกันอยู่. อบเชยฉุนตะโกนอยู่ในนาสิกของพวกเขา.
แสงจันทร์วาบแว่บจากฟันผลึกคริสตัลทั้งหลายนั้น.
กลับไปกลับมาที่ปากมหึมานั้นถักทอส่าย.
พอล กลั้นลมหายใจของตน.
เจสสิกา หมอบจ้องมองเขม็ง.
มันใช้ความมุ่งสนใจอย่างเข้มข้นของการฝึกฝนเบเน
เกสเสอริตของเธอที่จะกดวางความตื่นสะพรึงกลัวพื้นฐานดั้งเดิมทั้งหลายนั้นลงไปได้,
การหวาดกลัวตามความทรงจำ-ชาติพันธุ์ที่จู่โจมที่จะเติมเต็มจิตใจของเธอ.
พอล รู้สึกถึงความอิ่มเอมใจอย่างหนึ่ง.
ในบางชั่วพริบตาที่เพิ่งผ่านไป, เขาได้ข้ามกำแพงกั้นของเวลาเข้าสู่ในขอบเขตที่ไม่รู้มากยิ่งขึ้น.
เขาสามารถสัมผัสรู้ความดำมืดข้างหน้า, ไม่มีอะไรเปิดเผยต่อตาภายในของเขา. มันเป็นราวกับว่าบางขั้นที่เขาได้ก้าวขึ้นไปได้พุ่งเขาลงไปในบ่อน้ำ.....หรือเข้าไปในร่องรางน้ำของลูกคลื่นที่อนาคตนั้นมองไม่เห็น.
ภูมิทัศน์นั้นได้ประสบผ่านไปกับความเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้ง.
แทนที่จะทำให้เขาหวาดกลัว,
ความรู้สึกต่อการสัมผัสของความดำมืดของเวลาบีบบังคับการเร่งความเร็วมากเกินไปของสัมผัสประสาทอื่นของเขา.
เขาพบว่าตนเองบันทึกเก็บทุกรูปลักษณะที่มีอยู่ของสิ่งนั้นที่ยกร่างขึ้นมาจากทะเลทรายเพื่อเสาะหาตัวพวกเขา.
ปากของมันราวสักแปดสิบเมตรในเส้นผ่าศูนย์กลาง.....ฟันผลึกคริสตัลที่โค้งงอรูปทรงของมีดกริชคริสไน้ฟสะท้อนแสงแวววาวเรียงอยู่รอบริม.....ลมหายใจคำรามฉุนของอบเชย,
อินทรียสารอัลดีไฮด์เจือจาง.....กรด.....
หนอนทรายนั้นบดบังแสงจันทร์ออกไปขณะที่มันปัดป่ายก้อนหินทั้งหลายเหนือพวกเขา.
ละอองหินก้อนเล็กๆและทรายไหลตกสาดเข้ามาในทีหลบซ่อนแคบๆ นั้น.
พอล รุนล้อมมารดาของเขากลับเข้าไปไกลอีก.
อบเชย!
กลิ่นของมันอวลท่วมท้นทั่วตัวเขา.
อะไรที่เจ้าหนอนทรายนี้ทำกับเครื่องเทศ, เมลานจิ์
นั้นด้วยหรือ?
เขาถามตนเอง. และเขาจำได้ถึงที่ เลียต-คายนิ์ส ได้แพร่งพรายให้รู้ถึงข้ออ้างอิงที่ถูกปิดบังไว้ในเรื่องบางสนธิการระหว่างหนอนทรายกับเครื่องเทศ.
“บารรรรรรรรูม!”
มันเหมือนเสียงกระหึ่มลั่นของฟ้าผ่าตอนแล้งฝนดังมาจากที่ห่างไกลออกไปทางขวามือของพวกเขา.
อีกครั้ง: “บารรรรรรรรูม!”
หนอนทรายนั้นดึงตัวถอยกลับไปบนทะเลทราย, นอนอยู่ที่นั้นชั่วขณะหนึ่ง,
ฟันผลึกคริสตัลส่ายไปมาอยู่ในแสงแวบวับของดวงจันทร์.
“ตั้ม! ตั้ม! ตั้ม! ตั้ม!”
เครื่องตบพื้นอีกอันหนึ่ง! พอล คิด.
อีกครั้งที่มันดังมาจากทางขวามือของพวกเขา.
อาการสั่นระริกผ่านทะลุหนอนทรายนั้น.
มันดึงตัวถอยออกไกลเข้าไปในทะเลทราย. มีเพียงแค่พูนเนินโค้งตอนบนยังคงเหลืออยู่เหมือนครึ่งหนึ่งของปากระฆัง,
ส่วนโค้งของอุโมงค์ชูขึ้นเหนือนูนทรายทั้งหลาย.
ทรายขูดครูด.
สัตว์นั้นจมลึกลงไปอีก, ถอย, หันกลับ.
มันกลายเป็นเนินนูนเสี้ยวโค้งของทรายที่เลี้ยวตีวงออกไปผ่านหลังของนูนทรายทั้งหลาย.
พอล ก้าวออกไปจากช่องแตกของหินนั้น,
เฝ้าดูทะเลทรายเป็นคลื่นซัดไล่ถอยห่างออกไปข้ามที่รกร้างนั้นเข้าหาเสียงเรียกของเครื่องตบพื้นอันใหม่.
เจสสิกา ตามออกมา, ฟังเสียง: “ตั้ม.....ตั้ม.....ตั้ท.....ตั้ม.....ตั้ม.....”
ทันทีนั้นเสียงนั้นก็หยุดลง.
พอล ควานหลอดท่อเข้าไปในสติลล์สูทของเขา,
จิบน้ำที่เอากลับคืนมานั้น.
เจสสิกา
เพ่งความสนใจอยู่กับอากัปกิริยาของเขา,
แต่จิตใจของเธอรู้สึกว่างเปล่าด้วยความเหนื่อยล้าและควันหลงจากความตื่นตระหนก.
“มันไปแล้วแน่นอนหรือ?” เธอกระซิบ.
“ใครบางคนเรียกมันไป,” พอล พูด. “ฟรีเมน.”
เธอรู้สึกตนเองฟื้นคืนกลับมา. “มันช่างใหญ่โตเหลือเกิน!”
“ไม่ใหญ่เท่าตัวที่จัดการยาน’ธ็อปเตอร์ของเรานั่น.”
“ลูกแน่ใจหรือว่าเป็น ฟรีเมน.”
“พวกเขาใช้เครื่องตบพื้น.”
“ทำไมพวกเขาถึงช่วยเรา?”
“บางทีพวเขาไม่ได้ช่วยเรา.
บางทีพวกเขาแค่กำลังเรียกหาหนอนนั้น.”
“ทำไม?”
คำตอบทอดตัวอยู่ที่ขอบริมของความตระหนักรู้ของเขา,
แต่ ปฏิเสธที่จะมา. เขาได้ภาพทัศน์ในจิตของเขาของบางอย่างที่จะทำกับเงี่ยงเบ็ดที่มีด้ามยืดหดได้ที่อยู่ในเป้ใส่ของทั้งหลายนั้น---“ปฏักควาญ.”
“ทำไมพวกเขาเรียกหาหนอนทรายหรือ?” เจสสิกา ถาม.
ลมหายใจของความกลัวสัมผัสจิตของเขา, และเขาบังคับตนเองที่จะหันไปจากมารดาของเขา,
เพื่อที่จะเงยขึ้นไปมองหน้าผานั้น.
“เราน่าจะหาทางขึ้นไปข้างบนนั้นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจะดีกว่า.” เขาชี้.
เสาพวกนั้นที่เราได้ผ่านมา---มีพวกมันอยู่อีกมาก.”
เธอมอง, ไล่ไปตามแนวมือของเขา,
เห็นเสาเหล่านั้น---รอยกัดเซาะสลักของลม---เงาออกมาของชั้นหินที่ยื่นจากหน้าผาที่บิดเป็นเกลียวเข้าไปหาช่องโพรงแตกเหนือพวกมัน.
“พวกเขาทำเครื่องหมายทางขึ้นไปหน้าผานั่น,” พอล
พูด. เขาหยับบ่าไหล่ของตนให้เข้าที่กับเป้ใส่ของ,
ข้ามไปยังเชิงขั้นบันไดหินนั้นและเริ่มต้นปีนขึ้นไป.
เจสสิกา รออยู่ชั่วครู่, เรียกคืนพละกำลังของเธอกลับมา: แล้วเธอก็ตามไป.
พวกเขาปีนไต่ขึ้นไป,
ติดตามเสานำทางเหล่านั้นจนกระทั่งขั้นบันไดหินจนกระทั่งขั้นบันไดหินั้นค่อยๆลดลงไปที่ขอบแคบๆที่ปากของช่องโพรงมืด.
พอล
ยื่นศีรษะของตนมองเข้าไปในที่เงามืดนั้น.
เขาสามารถรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยดึงเท้าของเขากับบนขั้นบันไดหินบอบบางนั้น,
แต่ก็บังคับตนเองเพื่อชะลอความระวังตน. เขาเห็นแค่ความมืดภายในช่องโพรงหิน.
มันเหยียดยาวออกไปขึ้นตอนบน, เปิดโล่งสู่ดวงดาวทั้งหลายที่ตอนยอดบน.
หูของเขาค้นหา, พบแค่เพียงเสียงทั้งหลายที่เขาคาดเอาไว้---ทรายเล็กๆที่หกล้น, แมลง
บรรร, เสียงเปาะแปะของสัตว์ตัวเล็กวิ่ง.
เขาทดสอบความมืดในช่องโพรงนั้นด้วยเท้าข้างหนึ่ง, พบหินอยู่ใต้ผิวกรวดเม็ดหยาบ.
อย่างช้าๆ เขาขยับทีละนิ้วอ้อมหัวมุม, ส่งสัญญานกับมารดาของเขาให้ตามมา.
เขากุมชายปล่อยของเสื้อคลุมเธอ, ช่วยเธออ้อมเข้ามา.
พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองที่แสงดาวในช่องกรอบของขอบหินสองก้อน.
พอล เห็นมารดาของเขาอยู่ข้างตนเหมือนเช่นการเคลื่อนที่ของหมอกควันสีเทา.
“ถ้าเพียงแต่เราสามารถเสี่ยงจุดแสงไฟขึ้นมาได้,” เขากระซิบ.
“เรามีประสาทสัมผัสอื่นดีหว่าดวงตา,” เธอพูด.
พอล เลื่อนเท้าข้างหนึ่งไปด้านหน้า,
ถ่ายน้ำหนักตัวของตน, และประเมินด้วยเท้าอีกข้าง, พบสิ่งกีดขวาง. เขายกเท้าขึ้น,
พบว่าเป็นขั้นบันได, ดึงตนเองขึ้นไปบนมัน. เขาเอื้อมมือกลับมา,
รู้สึกได้ถึงแขนของมารดาตน, ดึงที่เสื้อคลุมของเธอให้เธอตามเขามา.
อีกขั้นบันไดหนึ่ง.
“มันขึ้นไปทั้งหมดได้ถึงยอดบน, ข้าคิดว่า,”
เขากระซิบ.
ช่องตื้นและกระทั่งขั้นบันได, เจสสิกา
คิด. คน-ได้สลักสกัดไว้เกินเลยไปกว่าที่จะสงสัย.
เธอติดตามการเงาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของ พอล,
รู้สึกพ้นไปจากขั้นบันไดเหล่านั้น.
กำแพงหินแคบจนกระทั่งไหล่ของเธอเกือบถูไปกับพวกมัน. ขั้นบันไดเหล่านั้นจบลงในช่องแคบกรีดเป็นทางยาวราวยี่สิบเมตร,
ได้ระดับพื้นราบของมัน, และเปิดออกสู่แอ่งติ้นอาบแสงจันทร์.
พอล ก้าวออกเข้าไปสู่ขอบของแอ่งนั้น,
กระซิบ: “ช่างเป็นที่อันงดงามยิ่ง.”
เจสสิกา
สามารถได้แต่จ้องอยู่อย่างนิ่งงันเห้นด้วยจากตำแหน่งของเธอหนึ่งก้าวด้านหลังของเขา.
แทนที่จะเป็นความเหน็ดเหนื่อย, ความระคายเคืองกับหลอดท่อของเสียทั้งหลายและที่อุดจมูกและกระเป๋าเก็บกักของชุดสติลล์สูท,
แทนที่จะเป็นความหวาดกลัวและความปวดร้าวในการปรารถนาที่จะพัก,
ความงามของแอ่งนี้เติมเต็มประสาทสัมผัสของเธอ, บังคับเธอให้หยุดและชื่นชมมัน.
“ยังกับแผ่นดินเทพนิยาย,” พอล กระซิบ.
เจสสิกา พยักหน้า.
แผ่ออกไปจากตรงหน้าของเธอเหยียดยืดออกเป็นการเติบโตในทะเลทราย---ไม้พุ่ม,
กระบองเพชร, กระจุกของใบ---ทั้งหมดสั่นไหวอยู่ในแสงจันทร์.
เนินป้อมล้อมวงนั้นมืดอยู่ทางซ้ายมือของเธอ, อาบไล้แสงจันทร์ทางขวามือของเธอ.
“นี่ต้องเป็นสถานที่ของฟรีเมน,” พอล
พูด.
“นี่น่าจะต้องเป็นฝีมือผู้คนสำหรับพืชมากมายนี้อยู่รอดได้,”
เธอเห็นด้วย. เธอเปิดจุกท่อหลอดต่ออยู่กับกระเป๋าดักเก็บของสติลล์สูทของเธอ,
จิบน้ำจากมัน. อุ่น, รสเผ็ดจางเบาเปียกชื้นเลื่อนไหลผ่านคอของเธอ.
เธอสังเกตได้ถึงมันคืนความสดชื่นกับเธออย่างไร. จุกหลอดท่อครูดกับเกร็ดของทรายขณะที่เธอปิดคืนมัน.
การเคลื่อนไหวดึงความสนใจของ พอล---
ทางขวามือของเขาและลงไปบนพื้นแอ่งลุ่มตีวงโค้งออกไปใต้พวกเขา.
เขาจ้องมองลงไปผ่านกลุ่มพุ่มไม้เงาสลัวและหญ้าวีดเข้าไปในแผ่นหินลิ่มผิวทรายในแสงจันทร์อยู่อาศัยโดยตัว
ขึ้น-เขย่ง, กระโดด, ผลุบ-เขย่ง ของอาการเคลื่อนไหวจิ๋วๆ.
“พวกหนู!” เขาขู่ฟ่อ.
ผลุบ-เขย่ง-เขย่ง! พวกมันไป, เข้าในเงามืดแล้วก็ออกมา.
บางอย่างร่วงไร้เสียงผ่านสายตาของพวกเขาไปเข้าใส่เหล่าหนูจิ๋วนั้น.
แล้วก็มีเสียงกรีดร้องเล็กๆ, เสียงกระพือของปีก, และนกสีเทาปีศาจยกตัวขึ้นออกไปข้ามแอ่งลุ่มนั้นด้วยเงามืดของเหยื่อตัวจิ๋วในปากคาบ.
เราจำเป็นต้องการสิ่งช่วยเตือนจำนั่น, เจสสิกา คิด.
พอล จ้องมองต่อไปข้ามแอ่งลุ่ม.
เขาสูดหายใจเข้า,
สัมผัสรู้ถึงกลิ่นนุ่มนวลตัดทุ้มต่ำของต้นสมุนไพรเสจป่ายปีนในราตรี. นกนักล่า---เขาคิดถึงมันดุจเป็นวิถีของทะเลทรายนี้.
มันได้นำความนิ่งสงบมาสู่แอ่งลุ่มนี้มากเกินไปจนแสงจันทร์สีฟ้า-นมสามารถเกือบถูกได้ยินไล้อาบข้ามซากัวโร่ยืนยามและไม้พุ่มสียอดแหลม.
มีเสียงฮัมต่ำของแสงที่นี่มากธรรมในสอดประสานของมันกว่าดนตรีอื่นใดในเอกภพของเขา.
“เราน่าจะหาที่ที่จะตั้งกระโจมพักกันดีกว่า,”
เขาพูด. “พรุ่งนี้เราสามารถพยายามที่จะค้นหาพวกฟรีเมนผู้ที่---”
“ส่วนมากผู้บุกรุกที่นี้ทั้งหลายสำนึกเสียใจในการพบกับ
ฟรีเมน!”
เป็นเสียงหนักหน่วงของผู้ชายตัดฟันขวางคำพูดของเขา,
แตกกระจายในชั่วขณะ. เสียงนั้นมาจากดานบนของพวกเขาและทางขวามือของพวกเขา.
“ได้โปรดอย่าได้วิ่ง, ผู้บุกรุก.”เสียงนั้นพูดขณะที่
พอล ขยับที่จะถอยกลับเขาไปในโตรกแคบ.
“ถ้าเจเวิ่งเจ้าจะแค่สูญเปล่าซึ่งน้ำในร่างของเจ้า.”
พวกเขาต้องการเราเพื่อน้ำแห่งเลือดเนื้อของเรา! เจสสิกา คิด. กล้ามเนื้อของเธอเพิกถอนความเหนื่อยล้าทั้งหมด,
ไหลเข้าไปในความเตรียมพร้อมสุดขีดโดยปราศจากการเสแสร้งภายนอก.
เธอปักหมุดตำแหน่งของเสียงนั้น, คิด: ช่างปิดบังได้ดีแท้! ข้าไม่ได้ยินเขาเลย. และเธอตระหนักได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นได้ยอมให้ตนเองทำแค่เสียงเล็กๆเท่านั้น,
เสียงตามธรรมชาติของทะเลทราย.
อีกเสียงหนึ่งเรียกมาจากริมขอบแอ่งลุ่มทางซ้ายมือของพวกเขา.
“ทำให้เร็ว. สติล. เอาน้ำของพวกเขามาแล้วไปตามทางของเรากัน.
เรามีเวลาเหลือเพียงพอเล็กน้อยแล้วก่อนจะรุ่งเช้า.”
พอล, อยู่ในสถานะตอบโต้ฉุกเฉินน้อยกว่ามารดาของเขา,
รู้สึกรำคาญใจ ที่เขาได้ตัวแข็งทื่อและพยายามที่จะถอยหนี, ที่เขาได้ปกคลุมความสามารภของตนโดยความตื่นตระหนกกระทันหันนั้น.
เขาบังคับตนเองได้แล้วในตอนนี้ที่จะเชื่อฟังตามการสอนของเธอ: ผ่อนคลาย, กว่าตกลงไปในลักษณะภายนอกของการผ่อนคลาย,
แล้วเข้าไปสู่จับกุมมัดแส้ของกล้ามเนื้อทั้งหลายที่สามารถหวดไปได้ในทุกทิศทาง.
สงบ, เขารู้สึกริมขอบของความกลัวภายในตัวเขาและรู้ได้ถึงแหล่งของมัน.
นี่เป็นเวลามืดบอด, ไม่มีอนาคตที่เขาได้เห็น.....และพวกเขาได้ติดกุมอยู่กับพวกฟรีเมนอันป่าเถื่อนผู้สนใจอยู่แค่น้ำที่บรรจุอยู่ในเนื้อหนังหุ้มของร่างที่ปราศจากโล่ห์พลังทั้งสองนี้.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น