หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (27)

 

                  ชีวิตครอบครัวของ ราชอภิบาล นั้นเป็นสิ่งยากลำบากสำหรับผู้คนที่จะเข้าใจ, แต่ข้าจะพยายามที่จะให้แก่เจ้าด้วยภาพทัศน์สรุปสั้นๆ. พระบิดาของข้าได้มีเพียงสหายแท้จริงผู้เดียวเท่านั้น, ข้าคิดว่า. นั่นคือ เคานท์ ฮาสิมีร์ เฟนริง, เชื้อสายพันธุ์-บัณเฑาะก์ และหนึ่งในบรรดานักสู้สุดอันตรายใน จักรวรรดิ. ท่านเคานท์, ชายมาดปราดเปรียวกรุ้มกริ่มผอมบางและร่างเล็กอัปลักษณ์, ได้นำทาส-สนมมายังพระบิดาของข้าวันหนึ่งและข้าถูกส่งโดยพระมารดาของข้าให้ไปสืบความลับของพฤติการณ์นั้น. ทั้งหมดของพวกเราได้สืบความลับกับพระบิดาของข้ากันเป็นดุจเหตุปัจจัยของการพิทักษ์-ตนเอง. หนึ่งในทาส-สนมใดอนุญาตต่อพระบิดาของข้าภายใต้ข้อตกลง เบเน เกสเสอริต-กิลด์, นั้นไม่สามารถทำได้, แน่นอน, ที่จะให้กำเนิด รัชทายาท, แต่การเล่ห์ลักลอบกันนั้นมีอยู่ตลอดเวลาและเป็นที่น่าสลดใจในความคล้ายคลึงกัน. เราได้กลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญ, พระมารดาของข้าและภคินีทั้งหลายและข้า, กับการหลีกเลี่ยงเครื่องมืออันละเอียดอ่อนทั้งหลายของมรณกรรม. มันอาจดูเหมือนสิ่งน่าสะพรึงกลัวที่จะพูด, แต่ข้าไม่แน่ใจเลยว่าพระบิดาของข้าจะไร้เดียงสาในบรรดาความพยายามทั้งหมดเหล่านี้. ราชตระกูล ไม่เหมือนกันกับครอบครัวอื่นทั้งหลาย. นี้คือทาส-สนมคนใหม่, กระนั้น, ผมแดงเหมือนพระบิดาของข้า, อรชรและสง่างาม. เธอมีกล้ามเนื้อของนักระบำ, และการฝึกฝนของเธอชัดเจนว่าได้รวมถึงการล่อลวงผัสสะ. พระบิดาของข้ามองดูเธออยู่นานขณะที่เธอวางท่าไร้อาภรณ์อยู่ตรงหน้าของท่าน. ในที่สุด, ท่านตรัส: “นางงดงามมากเกินไป. เราจะเก็บเธอไว้เป็นของกำนัล.” เจ้าไม่มีความคิดหรอกว่ามากขนาดไหนของความตกตะลึงกับการหักห้ามใจที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นใน ราชอภิบาล. ความละเอียดอ่อนและขันติเป็น, หลังจากนั้น, การเลี้ยงดูที่สมบูรณ์แบบอย่างยิ่งต่อเราทั้งหมด.

---“ในราชวังของพระบิดาข้า” โดย อีร์อูลาน

 

พอล ยืนอยู่ด้านนอกกระโจมทะเลทรายในตอนบ่ายมากแล้ว. ช่องแตกแยกที่เขาได้ตั้งค่ายพักของพวกเขาวางอยู่ในเงาลึก. เขาจ้องออกไปข้ามทะเลทรายเปิดโล่งยังหน้าผาห่างไกลนั้น, สงสัยในใจว่าเขาควรปลุกมาดาของตนขึ้นมาดีไหม, เธอนอนหลับอยู่ในกระโจม.

เหล่าแอ่งอยู่บนแอ่งของนูนทรายเผยให้เห็นเงาเลื่อมมันช่างดำมืดเหมือนเศษชิ้นของราตรี.

และความราบเรียบนั้น.

จิตใของเขาค้นหาบางอย่างที่สูงในภูมิทัศน์นั่น. แต่ไม่มีความสูงใดที่จูงใจโผล่ออกมาจากอากาศร้อนระอุ-สับสนและเส้นขอบฟ้านั่น---ไม่มีดอกไม้บานหรือสิ่งส่ายไหวเบาๆที่ให้สังเกตได้ถึงทางผ่านของสายลมเอื่อย.....มีเพียงนูนทรายทั้งหลายเท่านั้นและหน้าห่างไกลภายใต้ท้องฟ้าสีเงิน-ฟ้าเงาวาว.

ถ้าไม่มีหนึ่งในสถานีทดลองซึ่งถูกทิ้งร้างทั้งหลายที่ฝั่งตรงข้ามนั่นล่ะ? เขากังขาใจ. ถ้าไม่มีพวกฟรีเมน, อีกด้วย, และพืชทั้งหลายที่เราเห็นเป็นแค่อุบัติเหตุเทานั้นล่ะ?

ภายในกระโจม, เจสสิกา ตื่นขึ้น, หันไปทางด้านหลังของเธอและจ้องมองเอียงออกไปทางปลายด้านสุดที่โปร่งใสยัง พอล. เขายืนโดยหันหลังมาที่เธอและบางอย่างเกี่ยวกับท่ายืนของเขาเตอนให้เธอหวนนึกไปถึงบิดาของเขา. เธอสัมผัสรู้ถึงบ่อน้ำแห่งความอาลัยพวยพุ่งขึ้นมาภายในตัวเธอและหันหนีไป.

ทันทีนั้นเธอก็นจัดแจงชุดสติลล์สูทของเธอ, สดชื่นตัวเองด้วยน้ำจากกระเป๋าดักจับของกระโจม, และลอดตนออกไปข้างนอกเพื่อยืนและเหยียดไล่ความหลับใหลออกไปจากกล้ามเนื้อของเธอ.

พอล พูดโดยไม่หันมา: “ข้าพบว่าตนเองรื่นรมย์กับความสงบที่นี่.”

จิตใจนั้นช่างปรับเปลี่ยนตัวมันเองกับสภาพแวดล้อมของมันได้อย่างไรกัน, เธอคิด. และเธอนึกได้ถึงสัจพจน์ของ เบเน เกสเสอริต: “จิตใจนั้นสามารถไปได้ไม่ว่าทิศทางใต้แรงกดดัน---ยังด้านบวก หรือ ยังด้านลบ; เปิดและปิด. คิดถึงมันดุจแสงเจ็ดสีผู้ซึ่งความสุดขีดคือจิตไร้สำนึกที่ปลายด้านลบและอภิจิตสำนึกที่ปลายสุดด้านบวก. หนทางที่จิตใจจะเรียนรู้ภายใต้ความตึงเครียดที่มีอิทธิพลอย่างแรงกล้านั้นก็โดยการฝึกฝน.

“มันคงเป็นชีวิตที่ดีในที่นี้,” พอล พูด.

เธอพยายามจะมองทะเลทรายนั้นผ่านตาของเขา, เสาะหาที่จะรวมเข้าไว้ทั้งหมดของสภาพอากาศอันรุนแรงทั้งหลายของดาวเคราะห์นี้ที่ยอมรับได้เป็นเช่นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไป, กังขาใจถึงความเป็นไปได้ของอนาคตทั้งหลายที่ พอล ได้ชายตามอง.

ใครก็สามารถอยู่ตามลำพังข้างนอกนี่ได้, เธอคิด, โดยปราศจากความกลัวถึงใครบางคนที่ข้างหลังของตน, ปราศจากความกลัวถึงผู้ตามล่า.

เธอก้าวผ่าน พอล, ยกกล้องส่องทางไกลของเธอขึ้น, ปรับเลนส์น้ำมันและศึกษาเนินเชิงผาฝั่งตรงข้ามของพวกเขา. ใช่, ซากัวโรในละหานทั้งหลายและพุ่มไม้มีหนามอื่น.....และผืนลาดของหญ้าเตี้ยทั้งหลาย, เขียว-เหลืองในหมู่เงามืด.

“ข้าจะรื้อค่ายพัก,” พอล พูด.

เจสสิกา พยักหน้า, เดินไปที่ปากช่องโพรงที่เธอสามารถกวาดตามองได้ทั่วทะเลทราย, และเหวี่ยงกล้องส่องทางไกลไปทางด้านซ้ายมือ. แอ่งกระทะเกลือสะท้อนระยิบระยับขาวอยู่ที่นั้นด้วยสีน้ำตาลไหม้อ่อนๆที่ริมขอบของมัน---ทุ่งของสีขาวข้างนอกนี่ที่ซึ่งสีขาวคือความตาย. แต่แอ่งกระทะบอกถึงอย่างอื่น: น้ำ. สมัยหนึ่งน้ำได้เคยไหลผ่านข้ามสีขาววาวแววระยิบนั่น. เธอลดกล้องส่องทางไกลของเธอลง, ปรับแต่งเสื้อคลุมผ้าโพกศีรษะของเธอ, ฟังอยู่ชั่วขณะต่อเสียงการเคล่อนไหวของ พอล.

ดวงอาทิตย์จุ่มตัวต่ำลง. เงาทั้งหลายเหยียดยาวข้ามแอ่งกระทะเกลือ. เหล่าเส้นของสีธรรมชาติรกร้างแผ่ไปทั่วเหนือขอบฟ้าอัสดง. สีสันไหลอาบเข้าไปในเป็นนิ้วเท้าของความมืดแหย่ทดสอบทรายนั้น. เงาสี-ถ่านทั้งหลายแผ่ไป, และความหนาพังพับลงมาของราตรีได้แต้มเลอะเปรอะเป็นรอยในทะเลทราย.

ดวงดาว!

เธอเงยหน้าขึ้นมองพวกนั้น, สัมผัสรู้ถึงการเคลื่อนไหวของ พอล ขณะที่เขาเข้ามาข้างตัวเธอ. ราตรีทะเลทรายเพ่งจับขึ้นไปด้วยความรู้สึกยกลอยขึ้นไปสู่ดวงดาวทั้งหลาย. น้ำหนักของกลางวันล่าถอย. มีสายลมเฉื่อยอ่อนๆสั้นๆมากระทบใบหน้าของเธอ.

“ดวงจันทร์แรกจะขึ้นในไม่ช้านี้,” พอล พูด. “เป้ของเรียบร้อยแล้ว. ข้าได้วางติดตั้งเครื่องตบพื้นไว้ด้วย.”

เราสามารถสาบสูญไปตลอดกาลในสถานที่นรกนี้, เธอคิด. และไม่มีผู้ใดได้รู้.

สายลมที่พัดแผ่ผ่านร่องธารทรายที่ครูดเสียดสีผ่านใบหน้าของเธอ, นำมาด้วยกลิ่นของอบเชย: ละองโปรยของกลิ่นทั้งหลายในความมืด.

“สังเกตกลิ่นนั่น,” พอล บอก.

“แม่สามารถได้กลิ่นมันกระทั่งผ่านที่กรองจมูก,” เธอพูด. “อุดมสมบูรณ์. แต่มันจะซื้อน้ำได้ไหม?” เธอชี้ข้ามแอ่งนั้น. “ไม่มีแสงโคมไฟประดิษฐ์ที่ฝั่งโน้นเลย.”

ฟรีเมน น่าจะหลบซ่อนอยู่ในสิฐคามด้านหลังก้อนหินเหล่านั้น,” เขาพูด.

ขอบของสีเงินดันตัวขึ้นมาเหนือเส้นขอบฟ้าทางด้านขวามือของพวกเขา: ดวงจันทร์แรก. มันลอยขึ้นสู่สายตา, ลายมือเรียบง่ายบนผิวหน้าของมัน. เจสสิกา ศึกษาสีขาว-เงินของทรายเผยออกในแสงสว่าง.

“ข้าติดตั้งเครื่องตบพื้นในส่วนลึกที่สุดของช่องแตก,” พอล พูด. “เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าจุดเทียนของมันมันจะให้เราได้ประมาณสามสิบนาที.”

“สามสิบนาที?”

“ก่อนที่มันจะเริ่มต้นเรียก....หนอน...ทราย.”

“โอ้...แม่พร้อมที่จะไปแล้ว.”

เขาเลื่อนออกไปจากข้างเธอและเธอได้ยินเสียงการเดินกลับขึ้นไปในช่องโพรงนั้นของพวกเขา.

ราตรีนั้นคืออุโมงค์หนึ่ง, เธอคิด, รูหนึ่งเข้าไปในวันพรุ่งนี้.....ถ้าเราจะมีพรุ่งนี้ได้. เธอสั่นศีรษะของตน. ทำไมข้าต้องเป็นโรคอะไรขนาดนี้? ข้าได้ถูกฝึกฝนมาดีกว่านั่น.

พอล กลับมา, หยิบเป้ใส่ของขึ้น, นำทางลงไปหานูนทรายแผ่กว้างแรกที่เขาหยุดและฟังขณะที่มารดาตามลงมาถึงด้านหลังของเขา. เขาได้ยินเสียงก้าวไปข้างหน้าอย่างนุ่มเบาและเม็ดทรายเย็นหยดไหลเพียงหนึ่งเดียว---รหัสทะเลทรายร่ายมนตร์ของมันเองออกมาในมาตรการความปลอดภัย.

“เราต้องเดินโดยไร้จังหวะ,” พอล พูดและเขาเรียกคืนความทรงจำขึ้นมาถึงการเดินของคนในทะเลทราย.....ทั้งความทรงจำล่วงหน้าและความทรงจำจริง.

“คอยดูว่าข้าทำมันอย่างไร,” เขาบอก. “นี่เป็นที่พวกฟรีเมนเดินกันในทะเลทราย.”

เขาก้าวออกไปบนผิวหน้าปะทะลมของนูนทราย, ไล่ไปตามความโค้งของมัน, เคลื่อนไปด้วยการเดินลากขา.

เจสสิกา ศึกษาการเดินหน้าไปของเขาได้สิบก้าว, ติดตามไป, เลียนแบบวิธีของเขา. เธอเห็นความหมายของมัน: พวกมันต้องเป็นเสียงเหมือนธรรมชาติการไหลเลื่อนของทราย.....เหมือนสายลม. แต่กล้ามเนื้อทั้งหลายประท้วงรูปแบบไม่เป็นธรรมชาติ, แตกพังนี้: ก้าว...ลาก...ลาก...ก้าว...รอ...ลาก...ก้าว...

เวลาเหยียดออกรอบพวกเขา. หินที่ตั้งอยู่ข้างหน้าไปนั้นดูเหมือนจะไม่โตใกล้เข้ามาเลย. อันที่ตั้งอยู่ข้างหลังก็ยังตะหง่านสูงเป็นหอคอยอยู่.

“ตั้ม! ตั้ม! ตั้ม! ตั้ม!

มันเป็นเสียงกำลังรัวกลองมาจากหน้าผาด้านหลัง. การทุบของมันดำเนินต่อเนื่องไปและพวกเขาพบว่ายากลำบากที่จะหลีกเลี่ยงจังหวะของมันได้ในการก้าวเดินยาวๆของพวกเขา.

“ตั้ม.....ตั้ม.....ตั้ม.....ตั้ม.....”

พวกเขาเคลื่อนที่ไปในชามอ่างแสงจันทร์ที่ถูกเจาะรูโดยสว่านการทุบนั้น. ลงและขึ้นผ่านนูนทรายไหลล้น: ก้าว...ลาก...รอ...ก้าว...ข้ามเม็ดทรายที่กลิ้งอยู่ใต้เท้าของพวกเขา: ลาก...รอ...ก้าว...

แล้วตลอดเวลานั้นหูของพวกเขาก็ได้ค้นหาเสียงซี่ดๆพิเศษ.

เสียงนั้น, เมื่อมันมาถึง, เริ่มจากต่ำค่อยมากจนทางเดินลากของพวกเขากลบบังมัน. แต่มันเติบโตขึ้น.....ดังขึ้นและดังขึ้น.....ออกมาจากทางตะวันตก.

“ตั้ม.....ตั้ม.....ตั้ม.....ตั้ม.....”เสียงรัวกลองของเครื่องตบพื้น.

เสียงซี่ดๆเข้ามาแผ่ขยายข้ามราตรีเบื้องหลังพวกเขา. พวกเขาหันศีรษะกลับขณะที่พวกเขาเดิน, เห็นพูนเนินของเส้นทางมาของหนอนทราย.

“เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ,” พอล กระซิบ. “อย่าหันกลับไปมอง.”

เสียงครูดสีของความโกรธระเบิดจากเงาก้อนหินที่พวกเขาได้ทิ้งมันมา. มันเป็นเสียงแตกเปราะบางถล่ม.

“เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ,” พอล พูซ้ำ.

เขามองเห็นว่าพวกเขาได้มาถึงจุดไม่อาจสังเกตได้ที่สองก้อนหินหันหน้ามาหา---หนึ่งนั้นอยู่ข้าหน้าและหนึ่งนั้นข้างหลัง---ปรากฏกอยู่อย่างเท่ากันในระยะไกล.

และยังคงอยู่ด้านหลังของพวกเขา, เสียงถูกฟาด, ฉีกทึ้งของก้อนหินโดดเด่นอยู่ในค่ำคืน.

พวกเขาเคลื่อนที่ต่อไปและต่อไป.....กล้ามเนื้อไปถึงขั้นของความปวดร้าวอย่างเครื่องจักรที่ดูเหมือนจะเหยียดตึงไปไม่สิ้นสุด, แต่ พอล มองเห็นว่าผาสูงชันที่กวักมือเรียกอยู่เบื้องหน้านั้นได้ไต่สูงขึ้นทุกที.

เจสสิกา เคลื่อนไปในช่องว่างของการให้ความสนใจ, ระแวดระวังว่าแรงกดดันของเธอจะเป็นเพียงลำพังคอยรักษาการเดินของเธอไว้. ความแห้งผากปวดเจ็บอยู่ในปากของเธอ, แต่เสียงนั้นทางด้านหลังขับไล่ความหวังออกไปที่จะหยุดเพื่อจิบน้ำจากกระเป๋าดักเก็บในสติลล์สูทของเธอ.

“ตั้ม.....ตั้ม.....”

ความตื่นเต้นเริ่มต้นใหม่อีกครั้งปะทุขึ้นจากหน้าผาอันห่างไกลนั้น, ดึงเอาเครื่องตบพื้นออกไป.

ความเงียบสงัด!

“เร็วเข้า,” พอล กระซิบ.

เธอพยักหน้า, รู้ว่าเขาไม่เห็นอิริยาบถนั้น, แต่ความจำเป็นต้องการอากัปกิริยาเพื่อที่จะบอกว่ามันเป็นความจำเป็นที่จะขอร้องมากกระทั่งยิ่งขึ้นจากกล้ามเนื้อซึ่งได้ถูกรีดภาษีไปแล้วจนถึงขีดสุดของพวกมัน---โดยการเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นตามธรรมชาติ.

พื้นผิวของก้อนหินแห่งความปลอดภัยข้างหน้าของพวกเขาไต่สูงขึ้นไปสู่ดวงดาวทั้งหลาย, และ พอล มองเห็นที่ราบของทรายแบนเรียบเหยียดออกอยู่ที่ฐานเชิงผานั้น. เขาก้าวขึ้นไปบนมัน, ล้มคว่ำลงในความอ่อนล้าของเขา, ทรงตัวเองด้วยการยื่นทิ่มเท้าออกไปอย่างไม่รู้ตัว.

เสียงก้องสะท้อนระเบิดตูมขึ้นเขย่าทะเลทรายรอบตัวเขา.

พอล เอียงเซไปทางด้านข้างสองก้าว.

“ตูม! ตูม!

“กลองพื้นทราย!เจสสิกา ส่งเสียงเดือดดาล.

พอล กู้คืนการทรงตัวของตนกลับมาได้. ชำเลืองกวาดหนหนึ่งในทะเลทรายรอบตัวพวกเขา, ผาหินสูงชันนั้นบางทีน่าจะราวสองร้อยเมตรห่างออกไป.

เบื้องหลังพวกเขา, เขาได้ยินเสียงซี่ดๆ---เหมืองเสียงลม, เหมือนกระแสไหลผ่านที่ซึ่งไม่มีน้ำ.

“วิ่ง!เจสสิกา กรีดร้อง. “พอล, วิ่ง!

พวกเขาวิ่ง.

เสียงกลองลั่นตูมๆอยู่ใต้เท้าของพวกเขา. แล้วพวกเขาก็พ้นออกมาจากมันและเข้าไปสู่พื้นกรวดเม็ดถั่ว. ชั่วขณะหนึ่ง, การวิ่งได้ปลดปล่อยกล้ามเนื้อทั้งหลายที่ปวดร้าวเขม็งเกร็งจากที่ไม่คุ้นเคยของการไร้จังหวะการใช้อยู่นั้นออกไป. นี่คือกิริยาอาการที่สามรถเป็นที่เข้าใจได้. นี่คือจังหวะ. แต่ทรายและกรวดลากดึงเท้าของพวกเขา. และเสียงซี่ดๆเข้ามาหาของหนอนทรายนั้นกลายเป็นเสียงพายุที่รายล้อมอยู่รอบตัวพวกเขา.

เจสสา ล้มทรุดลงไปที่เข่าของเธอ. ทั้งหมดที่เธอสามารถคิดออกได้คือความเหนื่อยล้าและเสียงนั้นและ ความน่าสะพรึงกลัว.

พอล ลากเธอขึ้นมา.

พวกเขาวิ่งต่อไป, มือกุมกัน.

เสาเรียวยื่นออกมาจากทรายเบื้องหน้าของพวกเขา. พวกเขาผ่านมันไป, และเห็นอีกอันหนึ่ง.

จิตใจของ เจสสิกา ล้มเหลวที่จะจดบันทึกกับจนกระทั่งเขาได้ผ่านไปแล้ว.

มีอีกอันหนึ่ง---สายลมกัดเซาะผิวหน้าทิ่มขึ้นมาจากจากช่องแตกในหิน.

อีกอันหนึ่ง.

ก้อนหิน!

เธอรู้สึกถึงมันได้ผ่านเท้าของเธอ, ความตื่นตกใจของพื้นผิวที่ไม่ต้านทานดึงเท้าเรียกเอาความเข้มแข็งใหม่มาจากการได้ก้าวเดินที่แน่นกว่า.

รอยแตกลึกเหยียดยาวของมันเป็นแนวเงาตั้งตะหง่านขึ้นไปเป็นผาชันข้างหน้าของพวกเขา. พวกเขาถีบตนเองพุ่งเข้าหามัน, เบียดเสียดกันเข้าไปในรูแคบ.

เบื้องหลังของพวกเขาเสียงเส้นทางของหนอนทรายหยุดลง.

เจสสิกา และ พอล หันไป, มองหาออกไปบนทะเลทราย.

ที่ซึ่งนูนทรายเริ่มต้น, บางทีสักห้าสิบเมตรออกไปที่ตีนของหาดหิน, เส้นโค้งสีเทา-เงินเปิดช่องรูจากทะเลทราย, ส่งแม่น้ำทั้งหลายของทรายและฝุ่นสาดเทลงมารอบๆ. มันยกขึ้นสูงขึ้นอีก, แยกแยะออกไปเป็นปากยักษ์อ้าส่ายหา. มันเป็นรู้กลม, ดำด้วยขอบคมแวววาวในแสงจันทร์.

ปากนั้นฉกไปยังรอยแตกแคบทีซึ่ง พอล และ เจสสิกา ซุกเบียดกันอยู่. อบเชยฉุนตะโกนอยู่ในนาสิกของพวกเขา. แสงจันทร์วาบแว่บจากฟันผลึกคริสตัลทั้งหลายนั้น.

กลับไปกลับมาที่ปากมหึมานั้นถักทอส่าย.

พอล กลั้นลมหายใจของตน.

เจสสิกา หมอบจ้องมองเขม็ง.

มันใช้ความมุ่งสนใจอย่างเข้มข้นของการฝึกฝนเบเน เกสเสอริตของเธอที่จะกดวางความตื่นสะพรึงกลัวพื้นฐานดั้งเดิมทั้งหลายนั้นลงไปได้, การหวาดกลัวตามความทรงจำ-ชาติพันธุ์ที่จู่โจมที่จะเติมเต็มจิตใจของเธอ.

พอล รู้สึกถึงความอิ่มเอมใจอย่างหนึ่ง. ในบางชั่วพริบตาที่เพิ่งผ่านไป, เขาได้ข้ามกำแพงกั้นของเวลาเข้าสู่ในขอบเขตที่ไม่รู้มากยิ่งขึ้น. เขาสามารถสัมผัสรู้ความดำมืดข้างหน้า, ไม่มีอะไรเปิดเผยต่อตาภายในของเขา. มันเป็นราวกับว่าบางขั้นที่เขาได้ก้าวขึ้นไปได้พุ่งเขาลงไปในบ่อน้ำ.....หรือเข้าไปในร่องรางน้ำของลูกคลื่นที่อนาคตนั้นมองไม่เห็น. ภูมิทัศน์นั้นได้ประสบผ่านไปกับความเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้ง.

แทนที่จะทำให้เขาหวาดกลัว, ความรู้สึกต่อการสัมผัสของความดำมืดของเวลาบีบบังคับการเร่งความเร็วมากเกินไปของสัมผัสประสาทอื่นของเขา. เขาพบว่าตนเองบันทึกเก็บทุกรูปลักษณะที่มีอยู่ของสิ่งนั้นที่ยกร่างขึ้นมาจากทะเลทรายเพื่อเสาะหาตัวพวกเขา. ปากของมันราวสักแปดสิบเมตรในเส้นผ่าศูนย์กลาง.....ฟันผลึกคริสตัลที่โค้งงอรูปทรงของมีดกริชคริสไน้ฟสะท้อนแสงแวววาวเรียงอยู่รอบริม.....ลมหายใจคำรามฉุนของอบเชย, อินทรียสารอัลดีไฮด์เจือจาง.....กรด.....

หนอนทรายนั้นบดบังแสงจันทร์ออกไปขณะที่มันปัดป่ายก้อนหินทั้งหลายเหนือพวกเขา. ละอองหินก้อนเล็กๆและทรายไหลตกสาดเข้ามาในทีหลบซ่อนแคบๆ นั้น.

พอล รุนล้อมมารดาของเขากลับเข้าไปไกลอีก.

อบเชย!

กลิ่นของมันอวลท่วมท้นทั่วตัวเขา.

อะไรที่เจ้าหนอนทรายนี้ทำกับเครื่องเทศ, เมลานจิ์ นั้นด้วยหรือ? เขาถามตนเอง. และเขาจำได้ถึงที่ เลียต-คายนิ์ส ได้แพร่งพรายให้รู้ถึงข้ออ้างอิงที่ถูกปิดบังไว้ในเรื่องบางสนธิการระหว่างหนอนทรายกับเครื่องเทศ.

บารรรรรรรรูม!

มันเหมือนเสียงกระหึ่มลั่นของฟ้าผ่าตอนแล้งฝนดังมาจากที่ห่างไกลออกไปทางขวามือของพวกเขา.

อีกครั้ง: บารรรรรรรรูม!

หนอนทรายนั้นดึงตัวถอยกลับไปบนทะเลทราย, นอนอยู่ที่นั้นชั่วขณะหนึ่ง, ฟันผลึกคริสตัลส่ายไปมาอยู่ในแสงแวบวับของดวงจันทร์.

“ตั้ม! ตั้ม! ตั้ม! ตั้ม!

เครื่องตบพื้นอีกอันหนึ่ง! พอล คิด.

อีกครั้งที่มันดังมาจากทางขวามือของพวกเขา.

อาการสั่นระริกผ่านทะลุหนอนทรายนั้น. มันดึงตัวถอยออกไกลเข้าไปในทะเลทราย. มีเพียงแค่พูนเนินโค้งตอนบนยังคงเหลืออยู่เหมือนครึ่งหนึ่งของปากระฆัง, ส่วนโค้งของอุโมงค์ชูขึ้นเหนือนูนทรายทั้งหลาย.

ทรายขูดครูด.

สัตว์นั้นจมลึกลงไปอีก, ถอย, หันกลับ. มันกลายเป็นเนินนูนเสี้ยวโค้งของทรายที่เลี้ยวตีวงออกไปผ่านหลังของนูนทรายทั้งหลาย.

พอล ก้าวออกไปจากช่องแตกของหินนั้น, เฝ้าดูทะเลทรายเป็นคลื่นซัดไล่ถอยห่างออกไปข้ามที่รกร้างนั้นเข้าหาเสียงเรียกของเครื่องตบพื้นอันใหม่.

เจสสิกา ตามออกมา, ฟังเสียง: “ตั้ม.....ตั้ม.....ตั้ท.....ตั้ม.....ตั้ม.....”

ทันทีนั้นเสียงนั้นก็หยุดลง.

พอล ควานหลอดท่อเข้าไปในสติลล์สูทของเขา, จิบน้ำที่เอากลับคืนมานั้น.

เจสสิกา เพ่งความสนใจอยู่กับอากัปกิริยาของเขา, แต่จิตใจของเธอรู้สึกว่างเปล่าด้วยความเหนื่อยล้าและควันหลงจากความตื่นตระหนก. “มันไปแล้วแน่นอนหรือ?” เธอกระซิบ.

“ใครบางคนเรียกมันไป,” พอล พูด. “ฟรีเมน.”

เธอรู้สึกตนเองฟื้นคืนกลับมา. “มันช่างใหญ่โตเหลือเกิน!

“ไม่ใหญ่เท่าตัวที่จัดการยานธ็อปเตอร์ของเรานั่น.”

“ลูกแน่ใจหรือว่าเป็น ฟรีเมน.”

“พวกเขาใช้เครื่องตบพื้น.”

“ทำไมพวกเขาถึงช่วยเรา?”

“บางทีพวเขาไม่ได้ช่วยเรา. บางทีพวกเขาแค่กำลังเรียกหาหนอนนั้น.”

“ทำไม?”

คำตอบทอดตัวอยู่ที่ขอบริมของความตระหนักรู้ของเขา, แต่ ปฏิเสธที่จะมา. เขาได้ภาพทัศน์ในจิตของเขาของบางอย่างที่จะทำกับเงี่ยงเบ็ดที่มีด้ามยืดหดได้ที่อยู่ในเป้ใส่ของทั้งหลายนั้น---“ปฏักควาญ.”

“ทำไมพวกเขาเรียกหาหนอนทรายหรือ?”  เจสสิกา ถาม.

ลมหายใจของความกลัวสัมผัสจิตของเขา, และเขาบังคับตนเองที่จะหันไปจากมารดาของเขา, เพื่อที่จะเงยขึ้นไปมองหน้าผานั้น. “เราน่าจะหาทางขึ้นไปข้างบนนั้นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจะดีกว่า.” เขาชี้. เสาพวกนั้นที่เราได้ผ่านมา---มีพวกมันอยู่อีกมาก.”

เธอมอง, ไล่ไปตามแนวมือของเขา, เห็นเสาเหล่านั้น---รอยกัดเซาะสลักของลม---เงาออกมาของชั้นหินที่ยื่นจากหน้าผาที่บิดเป็นเกลียวเข้าไปหาช่องโพรงแตกเหนือพวกมัน.

“พวกเขาทำเครื่องหมายทางขึ้นไปหน้าผานั่น,” พอล พูด. เขาหยับบ่าไหล่ของตนให้เข้าที่กับเป้ใส่ของ, ข้ามไปยังเชิงขั้นบันไดหินนั้นและเริ่มต้นปีนขึ้นไป.

เจสสิกา รออยู่ชั่วครู่, เรียกคืนพละกำลังของเธอกลับมา: แล้วเธอก็ตามไป.

พวกเขาปีนไต่ขึ้นไป, ติดตามเสานำทางเหล่านั้นจนกระทั่งขั้นบันไดหินจนกระทั่งขั้นบันไดหินั้นค่อยๆลดลงไปที่ขอบแคบๆที่ปากของช่องโพรงมืด.

พอล ยื่นศีรษะของตนมองเข้าไปในที่เงามืดนั้น. เขาสามารถรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยดึงเท้าของเขากับบนขั้นบันไดหินบอบบางนั้น, แต่ก็บังคับตนเองเพื่อชะลอความระวังตน. เขาเห็นแค่ความมืดภายในช่องโพรงหิน. มันเหยียดยาวออกไปขึ้นตอนบน, เปิดโล่งสู่ดวงดาวทั้งหลายที่ตอนยอดบน. หูของเขาค้นหา, พบแค่เพียงเสียงทั้งหลายที่เขาคาดเอาไว้---ทรายเล็กๆที่หกล้น, แมลง บรรร, เสียงเปาะแปะของสัตว์ตัวเล็กวิ่ง. เขาทดสอบความมืดในช่องโพรงนั้นด้วยเท้าข้างหนึ่ง, พบหินอยู่ใต้ผิวกรวดเม็ดหยาบ. อย่างช้าๆ เขาขยับทีละนิ้วอ้อมหัวมุม, ส่งสัญญานกับมารดาของเขาให้ตามมา. เขากุมชายปล่อยของเสื้อคลุมเธอ, ช่วยเธออ้อมเข้ามา.

พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองที่แสงดาวในช่องกรอบของขอบหินสองก้อน. พอล เห็นมารดาของเขาอยู่ข้างตนเหมือนเช่นการเคลื่อนที่ของหมอกควันสีเทา. “ถ้าเพียงแต่เราสามารถเสี่ยงจุดแสงไฟขึ้นมาได้,” เขากระซิบ.

“เรามีประสาทสัมผัสอื่นดีหว่าดวงตา,” เธอพูด.

พอล เลื่อนเท้าข้างหนึ่งไปด้านหน้า, ถ่ายน้ำหนักตัวของตน, และประเมินด้วยเท้าอีกข้าง, พบสิ่งกีดขวาง. เขายกเท้าขึ้น, พบว่าเป็นขั้นบันได, ดึงตนเองขึ้นไปบนมัน. เขาเอื้อมมือกลับมา, รู้สึกได้ถึงแขนของมารดาตน, ดึงที่เสื้อคลุมของเธอให้เธอตามเขามา.

อีกขั้นบันไดหนึ่ง.

“มันขึ้นไปทั้งหมดได้ถึงยอดบน, ข้าคิดว่า,” เขากระซิบ.

ช่องตื้นและกระทั่งขั้นบันได, เจสสิกา คิด. คน-ได้สลักสกัดไว้เกินเลยไปกว่าที่จะสงสัย.

เธอติดตามการเงาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของ พอล, รู้สึกพ้นไปจากขั้นบันไดเหล่านั้น. กำแพงหินแคบจนกระทั่งไหล่ของเธอเกือบถูไปกับพวกมัน. ขั้นบันไดเหล่านั้นจบลงในช่องแคบกรีดเป็นทางยาวราวยี่สิบเมตร, ได้ระดับพื้นราบของมัน, และเปิดออกสู่แอ่งติ้นอาบแสงจันทร์.

พอล ก้าวออกเข้าไปสู่ขอบของแอ่งนั้น, กระซิบ: “ช่างเป็นที่อันงดงามยิ่ง.”

เจสสิกา สามารถได้แต่จ้องอยู่อย่างนิ่งงันเห้นด้วยจากตำแหน่งของเธอหนึ่งก้าวด้านหลังของเขา.

แทนที่จะเป็นความเหน็ดเหนื่อย, ความระคายเคืองกับหลอดท่อของเสียทั้งหลายและที่อุดจมูกและกระเป๋าเก็บกักของชุดสติลล์สูท, แทนที่จะเป็นความหวาดกลัวและความปวดร้าวในการปรารถนาที่จะพัก, ความงามของแอ่งนี้เติมเต็มประสาทสัมผัสของเธอ, บังคับเธอให้หยุดและชื่นชมมัน.

“ยังกับแผ่นดินเทพนิยาย,” พอล กระซิบ.

เจสสิกา พยักหน้า.

แผ่ออกไปจากตรงหน้าของเธอเหยียดยืดออกเป็นการเติบโตในทะเลทราย---ไม้พุ่ม, กระบองเพชร, กระจุกของใบ---ทั้งหมดสั่นไหวอยู่ในแสงจันทร์. เนินป้อมล้อมวงนั้นมืดอยู่ทางซ้ายมือของเธอ, อาบไล้แสงจันทร์ทางขวามือของเธอ.

“นี่ต้องเป็นสถานที่ของฟรีเมน,” พอล พูด.

“นี่น่าจะต้องเป็นฝีมือผู้คนสำหรับพืชมากมายนี้อยู่รอดได้,” เธอเห็นด้วย. เธอเปิดจุกท่อหลอดต่ออยู่กับกระเป๋าดักเก็บของสติลล์สูทของเธอ, จิบน้ำจากมัน. อุ่น, รสเผ็ดจางเบาเปียกชื้นเลื่อนไหลผ่านคอของเธอ. เธอสังเกตได้ถึงมันคืนความสดชื่นกับเธออย่างไร. จุกหลอดท่อครูดกับเกร็ดของทรายขณะที่เธอปิดคืนมัน.

การเคลื่อนไหวดึงความสนใจของ พอล--- ทางขวามือของเขาและลงไปบนพื้นแอ่งลุ่มตีวงโค้งออกไปใต้พวกเขา. เขาจ้องมองลงไปผ่านกลุ่มพุ่มไม้เงาสลัวและหญ้าวีดเข้าไปในแผ่นหินลิ่มผิวทรายในแสงจันทร์อยู่อาศัยโดยตัว ขึ้น-เขย่ง, กระโดด, ผลุบ-เขย่ง ของอาการเคลื่อนไหวจิ๋วๆ.

“พวกหนู!” เขาขู่ฟ่อ.

ผลุบ-เขย่ง-เขย่ง! พวกมันไป, เข้าในเงามืดแล้วก็ออกมา.

บางอย่างร่วงไร้เสียงผ่านสายตาของพวกเขาไปเข้าใส่เหล่าหนูจิ๋วนั้น. แล้วก็มีเสียงกรีดร้องเล็กๆ, เสียงกระพือของปีก, และนกสีเทาปีศาจยกตัวขึ้นออกไปข้ามแอ่งลุ่มนั้นด้วยเงามืดของเหยื่อตัวจิ๋วในปากคาบ.

เราจำเป็นต้องการสิ่งช่วยเตือนจำนั่น, เจสสิกา คิด.

พอล จ้องมองต่อไปข้ามแอ่งลุ่ม. เขาสูดหายใจเข้า, สัมผัสรู้ถึงกลิ่นนุ่มนวลตัดทุ้มต่ำของต้นสมุนไพรเสจป่ายปีนในราตรี. นกนักล่า---เขาคิดถึงมันดุจเป็นวิถีของทะเลทรายนี้. มันได้นำความนิ่งสงบมาสู่แอ่งลุ่มนี้มากเกินไปจนแสงจันทร์สีฟ้า-นมสามารถเกือบถูกได้ยินไล้อาบข้ามซากัวโร่ยืนยามและไม้พุ่มสียอดแหลม. มีเสียงฮัมต่ำของแสงที่นี่มากธรรมในสอดประสานของมันกว่าดนตรีอื่นใดในเอกภพของเขา.

“เราน่าจะหาที่ที่จะตั้งกระโจมพักกันดีกว่า,” เขาพูด. “พรุ่งนี้เราสามารถพยายามที่จะค้นหาพวกฟรีเมนผู้ที่---”

“ส่วนมากผู้บุกรุกที่นี้ทั้งหลายสำนึกเสียใจในการพบกับ ฟรีเมน!

เป็นเสียงหนักหน่วงของผู้ชายตัดฟันขวางคำพูดของเขา, แตกกระจายในชั่วขณะ. เสียงนั้นมาจากดานบนของพวกเขาและทางขวามือของพวกเขา.

“ได้โปรดอย่าได้วิ่ง, ผู้บุกรุก.”เสียงนั้นพูดขณะที่ พอล ขยับที่จะถอยกลับเขาไปในโตรกแคบ. “ถ้าเจเวิ่งเจ้าจะแค่สูญเปล่าซึ่งน้ำในร่างของเจ้า.”

พวกเขาต้องการเราเพื่อน้ำแห่งเลือดเนื้อของเรา! เจสสิกา คิด. กล้ามเนื้อของเธอเพิกถอนความเหนื่อยล้าทั้งหมด, ไหลเข้าไปในความเตรียมพร้อมสุดขีดโดยปราศจากการเสแสร้งภายนอก. เธอปักหมุดตำแหน่งของเสียงนั้น, คิด: ช่างปิดบังได้ดีแท้! ข้าไม่ได้ยินเขาเลย. และเธอตระหนักได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นได้ยอมให้ตนเองทำแค่เสียงเล็กๆเท่านั้น, เสียงตามธรรมชาติของทะเลทราย.

อีกเสียงหนึ่งเรียกมาจากริมขอบแอ่งลุ่มทางซ้ายมือของพวกเขา. “ทำให้เร็ว. สติล. เอาน้ำของพวกเขามาแล้วไปตามทางของเรากัน. เรามีเวลาเหลือเพียงพอเล็กน้อยแล้วก่อนจะรุ่งเช้า.”

พอล, อยู่ในสถานะตอบโต้ฉุกเฉินน้อยกว่ามารดาของเขา, รู้สึกรำคาญใจ ที่เขาได้ตัวแข็งทื่อและพยายามที่จะถอยหนี, ที่เขาได้ปกคลุมความสามารภของตนโดยความตื่นตระหนกกระทันหันนั้น. เขาบังคับตนเองได้แล้วในตอนนี้ที่จะเชื่อฟังตามการสอนของเธอ: ผ่อนคลาย, กว่าตกลงไปในลักษณะภายนอกของการผ่อนคลาย, แล้วเข้าไปสู่จับกุมมัดแส้ของกล้ามเนื้อทั้งหลายที่สามารถหวดไปได้ในทุกทิศทาง.

สงบ, เขารู้สึกริมขอบของความกลัวภายในตัวเขาและรู้ได้ถึงแหล่งของมัน. นี่เป็นเวลามืดบอด, ไม่มีอนาคตที่เขาได้เห็น.....และพวกเขาได้ติดกุมอยู่กับพวกฟรีเมนอันป่าเถื่อนผู้สนใจอยู่แค่น้ำที่บรรจุอยู่ในเนื้อหนังหุ้มของร่างที่ปราศจากโล่ห์พลังทั้งสองนี้.

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น