ในวัยสิบห้า, เขาได้เรียนรู้ที่จะเงียบแล้ว.
-จาก
“ประวัติในวัยเด็ก ของ มวด’ดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน
ขณะที่ พอล ต่อสู้กับเครื่องควบคุมยาน’ธ็อปเปอร์,
เขาเริ่มระแวดระวังได้ว่าเขากำลังแยกแยะแรงกำลังของพายุที่ถักทอกันอยู่ออกมา,
ความตระหนักรู้ของเขาที่ยิ่งกว่า เมนทาต
คำนวณผลบนพื้นฐานของเศษส่วนข้อปลีกย่อย. เขารู้สึกถึงฝุ่นตรงหน้า, ลอยฟุ้ง, การผสมของอากาศไหลทะลัก,
พายุหมุนเป็นงวงครั้งคราว.
ห้องโดยสารภายในเป็นเหมือนกล่องใส่ความโกรธสว่างอยู่ด้วยแสงเรืองเขียวของหน้าปัดอุปกรณ์.
สีน้ำตาลไหม้ไหลของฝุ่นด้านนอกปรากฏอยู่ไร้จุดเด่นใดพิเศษ,
แต่ประสาทสัมผัสด้านในของเขาเริ่มต้นที่จะ เห็น ผ่านทะลุม่านบังนั้นไป.
ข้าต้องค้นหางวงลมหมุนที่ถูกต้อง, เขาคิด.
เป็นเวลานนานแล้วในตอนนี้ที่เขาได้สัมผัสพลังของพายุกำลังลดน้อยลง,
แต่มันยังคงเขย่าพวกเขาอยู่. เขารอคอยจัดการลมไหลทะลักอีกอัน.
งวงพายุหมุนเริ่มต้นดุจพองตัวขึ้นกะทันหันซึ่งเขย่ารัวไปทั่วทั้งเรือยาน.
พอล ขัดขืนความกลัวทั้งหมดเพื่อเอียงยาน’ธ็อปเปอร์ไปทางซ้าย.
เจสสิกา มองเห็นกลยุทธนี้บนลูกโลกแผนที่การบิน.
“พอล!” เธอกรีดร้อง.
งวงพายุหมุนนั้นหมุนหันพวกเขา, บิด, เอียงคว่ำ. มันยกยาน’ธ็อปเปอร์ขึ้นเหมือนเบี้ยบนน้ำพุร้อน,
พ่นสำลักพวกเขาขึ้นและออกมา---รอยจุดแต้มวูบวาบอยู่ภายในแกนของลมฝุ่นกลวงโค้งมีสว่างด้วยดวงจันทร์ที่สอง.
พอล ก้มลงมอง, เห็นเสา-ฝุ่นอย่างดีของลมร้อนที่ได้พ่นสำรอกพวกเขาออกมา,
มองเห็นพายุกำลังตายเดินเลื้อยลากรอยจากไปเหมือนแม่น้ำแหงเหือดเข้าไปสู่ทะเลทราย---กิริยาท่าทางสีเทาในแสงจันทร์เริ่มเล็กลงและเล็กลงไปใต้ล่างขณะ
ที่พวกเขาลอยตัวขึ้นขี่มันไปอีกด้วยลมร้อน.
“เราออกมาจากมันแล้ว,” เจสสิกา กระซิบ.
พอล
หันยานอากาศของพวกเขาออกไปจากฝุ่นนั้นในจังหวะโฉบถลาลงขณะที่เขาตรวจกวาดท้องฟ้ายามราตรี.
“เราหลบไถลพวกมันมาได้,” เขาพูด.
เจสสิกา รู้สึกหัวใจของเธอเต้นรัวหนัก.
เธอบังคับตนเองให้สู่ความสงบ, มองยังพายุที่ลดถอยลง. สัมผัสเวลาของเธอบอกว่าพวกเขาได้ขับขี่มาภายในแรงพื้นฐานที่ปะปนกันนี้เกือบสี่ชั่วโมง,
แต่ส่วนหนึ่งของจิตใจเธอคำนวณผลช่องทางนี้ราวกับเป็นนานชั่วชีวิต.
เธอรู้สึกเหมือนเกิดใหม่.
มันเป็นเหมือนเพลงสวดนั้น, เธอคิด. เราได้เผชิญหน้ามันและไม่ได้ต่อต้าน.
พายุนั้นผ่านทะลุเราและรายรอบเรา. มันจากไปแล้ว, แต่เรายังคงอยู่.
“ข้าไม่ชอบเสียงของการเคลื่อนไหวปีกของเรา,”
พอล พูด. “เราได้รับความเสียหายในที่นั้น.”
เขารู้สึกการบิดติดขัด, บาดเจ็บผ่านมือของเขาบนที่ควบคุมทั้งหลาย.
พวกเขาออกมานอกพายุนั้น,
แต่ยังไม่ได้ออกพ้นเข้าไปในทัศนภาพเต็มที่ของเห็นล่วงหน้าของเขา. กระนั้น,
พวกเขาหลบหนีได้แล้ว, และ พอล สัมผัสรู้ตนเองกำลังสั่นเทาบนขอบริมของวิวรณ์ที่เผยออกนั้น.
เขาระริก.
ความรู้สึกต่อสัมผัสนั้นเป็นดุจแม่เหล็กดึงดูดและน่าตื่นตระหนกใจ,
และเขาพบว่าตนเองติดอยู่บนคำถามของอะไรที่ได้ทำให้เกิดการตื่นรู้อันสั่นเทานี้.
ส่วนหนึ่งของมัน, เขาได้รู้สึก, ว่าเป็นเพราะอาหารพิเศษอุดม-เครื่องเทศนั้นของ
อาร์ราคิส. แต่เขาคิดว่าส่วนหนึ่งของมันน่าจะเป็นบทเพลงสวด,
ราวกับว่าคำเหล่านั้นได้มีพลังอำนาจของพวกมันเอง.
“ข้าจะไม่กลัว...”
เหตุและผล:
เขามีชีวิตรอดอยู่ทั้ง ๆที่กับแรงกำลังอันตรายร้ายนั้น,
และเขารู้สึกตนเองได้สงบเยือกเย็นบนกระพริบตาหนึ่งของการตื่นรู้-ตนเองที่ไม่สามารถเป็นได้ถ้าไม่เพราะอิทธิฤทธิ์ของเพลงสวดนั้น.
คำทั้งหลายจาก ไบเบิ้ล ออเรนจิ์ คาธอลิค
กริ่งดังผ่านความทรงจำของเขา:
สัมผัสรู้ใดหรือที่เราขาดแคลนซึ่งเราไม่สามารถเห็นหรือได้ยินโลกอื่นทั้งหมดที่รายรอบเรา?
“มีแต่ก้อนหินอยู่รายรอบไปหมด” เจสสิกา พูด.
พอล มุ่งสนใจกับการลงจอดของยาน’ธ็อปเปอร์,
สั่นศีรษะของเขาเพื่อทำให้มันปลอดโปร่ง. เขามองไปยังที่ซึ่งมารดาของตนชี้,
มองเห็นเหล่าหินผุดโผล่รูปร่างสีดำบนพื้นทรายข้างหน้าและทางด้านขวามือ. เขารู้สึกถึงลมรายรอบข้อเท้าของเขา,
พัดกวนฝุ่นฟุ้งขึ้นในห้องโดยสาร. มีรูรั่วที่ไหนสักแห่ง,
มากขึ้นจากการทำของพายุนั้น.
“ดีกว่าที่จะจอดเราลงบนพื้นทะเลทราย,” เจสสิกา พูด.
“ปีกทั้งหลายอาจจะรับการเบรคหยุดได้เต็มที่นัก.”
เขาพยักหน้าไปยังสถานที่ข้างหน้าซึ่งแนวสันทรายพ่นปลิวขึ้นอยู่ในแสงจันทร์เหนือนูนทรายเหล่านั้น.
“ข้าจะจัดเราลงใกล้กับหินเหล่านั้น. ตรวจสอบสายรัดนิรภัยของแม่ให้ดี.”
เธอเชื่อฟัง, คิด: เรามีน้ำและชุดสติลล์สูท. ถ้าเราสามารถหาเจออาหาร,
เราก็สามารถอยู่รอดได้นานในทะเลทรายนี้. ฟรีเมนอาศัยอยู่ที่นี่. อะไรที่พวกเขาทำได้เราก็ทำได้.
“วิ่งไปที่แนวก้อนหินเหล่านั้นทันทีที่เราหยุดลงได้,” พอล
พูด. “ข้าจะเอาเป้นี่ไปเอง.”
“วิ่งไปเพื่อหนี.....” เธอเงียบเสียงลง, พยักหน้า. “หนอนทราย.”
“เพื่อนทั้งหลายของเรา,” เขาเติมให้ถูกต้องแทนเธอ.
“พวกมันจะจัดการยาน’ธ็อปเปอร์นี้. จะไม่มีหลักฐานเลยว่าเราลงจอดที่ไหน.”
ช่างรอบคอบในความคิดของเขายิ่งนัก, เธอคิด.
พวกเขาร่อนไถลต่ำลง.....ต่ำลง.....
มีสัมผัสรับรู้แล่นมาถึงของการเคลื่อนไหวต่อเส้นทางของพวกเขา---เงาพร่ามัวของนูนทรายทั้งหลาย,
เหล่าก้อนหินยกตัวขึ้นเหมือนเกาะทั้งหลาย. ยาน’ธ็อปเปอร์สัมผัสยอดนูนทรายด้วยการเอียงอย่างนุ่มนวล,
กระโดดข้ามหุบทราย, แตะลงบนนุนทรายอีกอัน.
เขากำลังฆ่าความเร็วของยานเราลดลงกับพื้นทรายล เจสสิกา
คิด, และอนุญาตให้ตัวเธอที่จะชื่นชมความสามารถของเขา.
“ยันตัวเองเอาไว้!” พอล เตือน.
เขาดึงกลับยังที่ปีกทั้งหลายเพื่อยับยั้งยานให้หยุดลง,
อย่างนุ่มนวลในตอนแรก, แล้วก็แรงขึ้นและแรงขึ้น.
เขารู้สึกได้ว่าพวกนั้นห่อตัวเข้าตักอากาศ,
อัตราส่วนระหว่างแนวตั้งกับแนวนอนของพวกเขาลดลงอย่างเร็วขึ้นและเร็วขึ้น.
ลมกรีดร้องผ่านใบปีกพื้นฐานทั้งหลายที่ซ้อนทับหุ้มกัน”
ทันทีนั้น, ด้วยอาการแกว่งเอียงบางเบาของการเตือน,
ปีกด้านซ้ายมือ, ที่อ่อนแอจากพายุมา, ก็บิดม้วนพับขึ้นและหักเข้ามาใน,
ฟาดโครมเข้ากับด้านข้างของยาน’ธ็อปเปอร์.
ยานอากาศนั้นลื่นไถลข้ามยอดของนูนทราย, ม้วนไปทางด้านซ้ายมือ.
มันกลิ้งลงไปหน้าอีกด้านทิ่มจมจมูกเข้าใส่นูนทรายข้างหน้าถัดและสาดทรายกระจายออกเป็นน้ำตก.
พวกเขานอนหยุดตะแคงอยู่บนปีกที่แตกหักด้านข้าง,
ปีกด้านขวามือชี้ขึ้นไปยังดวงดาวทั้งหลาย.
พอล กระตุกสายรัดนิรภัยของเขาออก,
สลัดตัวเองข้ามไปเหนือร่างของมารดาของตน, บิดดึงประตูด้านนั้นเปิดออก. ทรายไหลเทรอบตัวพวกเขาเข้ามาในห้องโดยสาร,
นำเอากลิ่นแห้งไหม้ของหินชนวนไฟเข้ามา. เขาเอื้อมไปคว้าเป้ใส่มาจากทางด้านหลัง,
มองเห็นมารดาของเขาหลุดออกมาจากสายรัดของเธอ.
เธอเก้าขึ้นไปยังด้านข้างของที่นั่งทางขวามือและออกปสู่บนผิวโลหะด้านนอกของยาน’ธ็อปเปอร์. พอล
ตามออกไป, ลากดึงเป้ใส่ของที่สายรัดทั้งหลายของมัน.
“วิ่ง,” เขาร้องสั่ง.
เขาชี้ขึ้นไปที่นูนทรายเบื้องหน้าและโพ้นเลยมันออกไปยังที่ซึ่งพวกเขาสามารถมองเห็นหอคอยหินแท่งหนึ่งถูกตัดเฉือนโดยลมทรายระเบิดซัดทั้งหลาย.
เจสสิกฺ กระโจนออกจากยาน’ธ็อปเปอร์และวิ่ง, ตะกายและไถลขึ้นนูนทรายไป.
เธอได้ยินเสียงหอบหายใจของ พอล ตามไล่มาทางเบื้องหลัง.
พวกเขาออกมาสู่บนสันทรายที่วาดโค้งออกไปสู่ก้อนหินทั้งหลาย.
“ไปตามสันทราย,” พอล สั่ง. “มันจะไปได้เร็วกว่า.”
พวกเขาตะลุยไปหาเหล่าก้อนหินนั้น, ทรายกุมฉุดดึงเท้าของพวกเขา.
เสียงใหม่อันหนึ่งเริ่มต้นที่จะซึมซาบตัวมันเข้าไปในใจลงบนพวกเขา: กระซิบเงียบ,
เสียงซี่ดซี่ด, เสียงเสียดสีขัดถูไถมา.
“หนอนทราย,” พอล พูด.
มันเริ่มดังขึ้น.
“เร็วเข้า,” พอล กระหืดกระหอบ.
หนก้อนแรกกลมเล็ก,
เหมือนชายหาดเอียงลาดจากพวกทราย, วางอยู่ไม่เกินสิบเมตรที่ข้างหน้าเมื่อพวกเขาได้เสียงโลหะถูกบีบอัดบุบบี้และฉีกแตกขาดเบื้องหลังของพวกเขา.
พอล ย้ายเป้ใส่ของมาที่บ่าขวาของเขา,
กุมมันไว้ที่สายรัดพวกนั้น. มันตบเข้ากับสีข้างของเขาขณะที่เขาวิ่ง.
เขาจับแขนของมารดาด้วยมืออีกข้าง.
พวกเขาปีนป่ายขึ้นไปบนก้อนหินที่ผุดขึ้นมาเหล่านั้น,
ขึ้นบนผิวหน้าเกลื่อนกรวดผ่านช่องรอดบิดโค้งแกะไว้ด้วยสายลม. ลมหายใจมาแห้งผากและหืดหอบในลำคอขอพวกเขา.
“แม่ไม่สามารถวิ่งไปได้ไกลอีกแล้ว,” เจสสิกา หอบ.
พอล หยุด, กดร่างเธอเข้าไปในช่องหิน,
หันและมองลงไปยังทะเลทราย. พะเนินทราย-เคลื่อนที่วิ่งขนานไปกับเกาะหินของพวกเขา---ระลอกกระเพื่อมในแสงจันทร์,
คลื่นทราย, รูโพรงโค้งเสี้ยวเกือบระดับเดียวกับสายตาของ พอล ที่ระยะห่างไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร.
นูนทรายแบนราบของร่องรอยมันโค้งวงอีกครั้ง---ขมวดวนสั้นข้ามแผ่นผืนของทะเลทรายที่พวกเขาได้ละทิ้งซากพังยาน’ธ็อปเปอร์เอาไว้.
ที่ซึ่งหนอนทรายได้เคยปรากฏอยู่นั้นไม่มีร่องรอยของยานอากาศนั่นอีกแล้ว.
อุโมงค์นูนเคลื่อนที่ออกไปยังทะเลทรายนั้น,
ย้อนกลับตัดข้ามเส้นทางของตนเอง, เสาะหา.
“มันใหญ่กว่ายานอวกาศของพวกกิลด์,” พอล กระซิบ.
“ข้าเคยได้รับการบอกเล่ามาว่าพวกหนอนทรายโตใหญ่มากในทะเลทรายตอนใน,
แต่ข้าไม่คิดเลยว่า......จะใหญ่ขนาดนี้.”
“แม่ก็เหมือนกัน,” เจสสิกา หายใจ.
อีกครั้ง, เจ้าสิ่งนั้นหันหนีออกไปจากแนวหินทั้งหลาย,
เร่งเร็วในตอนนี้ด้วยลู่ร่องทางโค้งไปยังเส้นขอบฟ้า.
พวกเขาฟังจนกระทั่งเสียงของเส้นทางของมันได้สูญหายเป็นเสียงทรายแผ่นกวนวนอยู่รอบตัวพวกเขา.
พอล สูดลมหายใจเข้าลึก, เงยขึ้นมองผาชันอาบน้ำค้างแข็งในแสงจันทร์,
และเอ่ยอ้างจาก คิตาบ อัล-อิบาร์: “เดินทางยามค่ำคืนและหยุดพักในเงาดำผ่านยามกลางวัน.”
เขามองยังมารดาของตน. “เรายังมีอีกสองสามชั่วโมงของค่ำคืน. แม่พอจะไปต่อไหวไหม?”
“ในอีกสักพักนะ.”
พอล ก้าวออกไปบนหินกรวดเล็ก, แบกเป้ใส่ของไว้ที่ไหล่และปรับสายรัดของมัน.
เขายืนอยู่ชั่วขณะด้วยมีพาราเข็มทิศอยู่ในมือของเขา.
“เมื่อไหร่ที่แม่พร้อมก็แล้ว,” เขาบอก.
เธอผลักตัวเองออกจากก้อนหิน, รู้สึกพละกำลังของตนเองกลับคืนมา.
“ไปทิศทางไหนหรือ?”
“ตามที่แนวสันหินนี้นำไป,” เขาชี้.
“ลึกเข้าไปในทะเลทราย,” เธอพูด.
“ทะเลทรายฟรีเมน,” พอล กระซิบ.
และเขาหยุด,
ตัวสั่นโดยภาพนิมิตเบื้องสูงที่ถูกปลดเปลื้องจากความทรงจำของทัศนภาพที่เห็นล่วงหน้าซึ่งเขาได้รับประสบการณ์รับรู้ที่บน
คาลาดาน. เขาได้เห็นทะเลทรายนี้. แต่ ฉาก ของภาพทัศน์ได้แตกต่างไปอย่างยากจะเข้าใจ,
เหมือนภาพจากสายตาที่ได้หายปรากฏเข้าไปในจิตสำนึกของเขา,
ได้ถูกดูดซึมโดยความทรงจำ, และตอนนี้ล้มเหลวในการบันทึกลงทะเบียนให้สมบูรณ์เมื่อฉายออกมาบนฉากจริง.
ภาพทัศน์ปรากฏที่จะเคลื่อนย้ายและเข้ามาหาเขาจากมุมที่แตกต่างออกไปขณะที่เขายังคงอยู่กับที่.
ไอดาโฮ อยู่กับเราด้วยในภาพทัศน์นั้น, เขาจำได้. แต่ในตอนนี้
ไอดาโฮ ตายไปแล้ว.
“ลูกมองเห็นหนทาง จะไปไหม?” เจสสิกา ถาม.
เข้าใจผิดไปในการไม่เคลื่อนไหวอะไรของเขา.
“ไม่” เขาพูด. “แต่เราก็จะไปต่อ, ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม.”
เขาจัดแจงไหลบ่าของเขาให้แน่นหนาขึ้นกับเป้ใส่ของ, เปะปะขึ้นไปตามช่องอุโมงค์ทรายในหินนั้น.
อุโมงค์นั้นเปิดออกไปสู่พื้นอาบแสงจันทร์ของก้อนหินที่มีม้ายาวหิ้งยื่นเป็นขั้นให้ปีนไต่ไปยังทางทิศใต้.
พอล มุ่งหน้าไปยังหิ้งหินขั้นแรกนั้น,
ตะกายปีนขึ้นไปบนมัน. เจสสิกา ติดตามไป.
เธอสังเกตเห็นในทันทีนั้นว่าทางเดินของพวกเขากลายเป็นสภาพแวดล้อมอย่างฉับพลันและผิดธรรมดา---ของแอ่งหลุมทรายระหว่างก้อนหินที่การก้าวย่างของพวกเขาถูกทำให้ช้าลง,
สันผาแหว่งเว้าจากลมกัดเซาะที่บาดมือพวกเขา, สิ่งกีดขวางที่บีบบังคับทางเลือก.
ข้ามไปหรืออ้อมไป? ภูมิประเทศที่บังคับให้ต้องทำตามจังหวะของมันเอง.
พวกเขาพูดกันเพียงแค่ที่จำเป็นแล้วด้วยน้ำเสียงแหบกร้านจากการออกแรงกายของพวกเขา.
“ระวังตรงนี้นะ---ชะง่อนนี้ลื่นด้วยทราย.”
“คอยดูอย่าให้ศีรษะของแม่ชนกับชะง่อนนี่ล่ะ.”
“ก้มลงใต้สันผานี้เอาไว้; ดวงจันทร์อยู่ด้านหลังของเราและมันจะส่องให้เกิดเงาเคลื่อนไหวให้ใครเห็นที่ด้านนอกนั่นได้.”
พอล หยุดที่เวิ้งหิน, วางพิงเป้ใส่ของลงกับชั้นหินยื่นจากเชิงผาอันหนึ่ง.
เจสสิกา เอนพิงอยู่ข้างเขา,
ขอบคุณสำหรับชั่วขณะหนึ่งของการหยุดพัก. เธอได้ยิน พอล
ดึงหลอดท่อของชุดสติลล์สูทของเขา, จิบน้ำจากการแปลงเอากลับคืนมาของเธอเองบ้าง.
มันรสชาติกร่อย, และเธอหวนนึกไปถึงน้ำทั้งหลายของ คาลาดาน---น้ำพุพุ่งสูงโค้งเป็นวงกับยังท้องฟ้า,
ความร่ำรวยอุดมของความชื้นของมันไม่ได้ถูกสังเกตเห็นกัน....แต่เพียงรูปร่างของมัน,
หรือเงาสะท้อนของมัน, หรือเสียงของมันเมื่อเธอหยุดอยู่ข้างๆมัน.
ที่จะหยุด, เธอคิด. ที่จะพัก.....พักจริงๆ.
มันปรากฏขึ้นกับเธอว่าความเมตตานั้นคือความสามารถที่จะหยุด,
แม้เพียงแต่สักชั่วขณะ. ไม่มีความเมตตาใดในที่ซึ่งไม่สามารถจะหยุดได้.
พอล ดึงตัวออกจากชั้นหินยื่น, หันไป,
และปีนข้ามผิวพื้นลาดเอียงนั้น. เจสสิกา ตามไปด้วยถอนหายใจ.
พวกเขาลื่นไถลลงไปบนชั้นกว้างที่ม้วนอยู่รอบหน้าผาหินตัด.
อีกครั้ง, พวกเขาร่วงลงเข้าไปสู่จังหวะที่ไม่ต่อเนื่องของการเคลื่อนที่ข้ามแผ่นดินแตกแยกนี้.
เจสสิกา รู้สึกว่าราตรีนี้ถูกครอบงำเหนือกว่าโดยระดับขนาดของความเล็กในสสารวัตถุใต้เท้าและมือของพวกเขา---กรวดก้อนโตหรือเท่าเม็ดถั่วหรือหินชิ้นเล็กชิ้นน้อยหรือทรายถั่วหรือทรายตัวมันเองหรือทรายปนกรวดหรือฝุ่นหรือฝุ่นแป้งละเอียด.
ฝุ่นแป้งอุดตันเครื่องกรองที่จมูกและต้องถูกเป่าออก.
ทรายเม็ดถั่วและกรวดเม็ดถั่วกลิ้งอยู่บนพื้นผิวแข็งและสามารถลื่นไถลล้มลงได้ถ้าไม่ระวังตัว.
เศษหินก็บาดเอาได้.
และผืนทรายที่ปรากฏอยู่ทุกที่ฉุดลากเท้าของพวกเขา.
พอล หยุดกะทันหันบนตะพักหินนั้น,
ประคองยึดมารดาของเขาที่ไถลลงมาเข้าหาเขา.
เขาชี้ไปทางซ้ายมือและเธอมองไปตามแขนของเขาเพื่อเห็นว่าพวกเขาได้ยืนอยู่บนยอดหน้าผาซึ่งทะเลทรายแผ่ขยายอกไปเหมือนมหาสมุทรนิ่งสงบราวสองร้อยเมตรอยู่เบื้องล่าง.
มันลาดนอนอยู่เต็มเป็นคลื่นสีเงินยวงของแสงจันทร์---เงาของมุมทั้งหลายที่หล่นลดหลั่นเป็นรูปโค้งเว้าและ,
ในระยะห่างไกล, ยกตัวขึ้นเป็นหมอกสีเทาพร่าของสันผาอีกด้าน.
“ทะเลทรายเปิดโล่ง,” เธอพูด.
“สถานที่กว้างที่จะข้ามผ่าน,” พอล พูด, และน้ำเสียงของเขาถูกอุดให้ไม่ชัดด้วยที่แผ่นกรองปากพาดปิดใบหน้าของเขาไว้.
เจสสิกา
เหลียวมองซ้ายและขวา---ไม่มีอะไรนอกจากทรายที่เบื้องล่าง.
พอล จ้องตรงไปยังขางหน้าข้ามเหล่านูนทรายนั้น,
เฝ้าดูการเคลื่อนไหวทั้งหลายของเงาในช่องทางของแสงจันทร์. “สักสามหรือสี่กิโลเมตรตรงข้ามนั่น,”
เขาพูด.
“พวกหนอนทราย,” เธอพูด.
“แน่นอนเลยว่ามี,”
เธอเพ่งสนใจยังความเหนื่อยล้าของตนเอง,
ความปวดของกล้ามเนื้อทำให้ประสามสัมผัสของเธอมึนชา. “เราจะหยุดพักและทานอาหารไหม?”
พอล ปลดเป้ใส่ของออกและนั่งลงและพิงร่างกับมัน. เจสสิกา
พยุงตัวเองด้วยมือของเธอบนบ่าของเขาขฯที่เธอจมลงยังหินข้างเขา. เธอรู้สึกว่า พอล
หนไปขณะที่เธอตั้งหลักตนเอง, ได้ยินเขาความรื้อของในเป้.
“เอานี่,” เขาบอก.
มือของเขารู้สึกแห้งผากกับเธอขณะที่เขากดสองแค็ปซูลพลังงานใส่ในฝ่ามือของเธอ.
เธอกลืนมันลงไปอย่างลำบากฝืดคอด้วยหยดน้ำจากหลอดท่อของสติลล์สูทของเธอ.
“ดื่มน้ำของแม่ให้หมดเถิด,” พอล บอก. “หลักการ:
สถานที่ที่ดีที่สุดที่จะสงวนรักษาน้ำของแม่เอาไว้คืออยู่ในร่างของแม่.
มันจะรักษาพลังงานของแม่เอาไว้ได้. แม่จะแข็งแรงขึ้น. จงไว้ใจในสติลล์สูงของแม่.”
เธอเชื่อฟัง, ดูดน้ำจนหมดกระเป๋าดักจับของเธอ,
รู้สึกพลังงานกลับคืนมา.
เธอคิดหลังจากนั้นว่ามันช่างสงบในที่นี่เหลือเกินในชั่วขณะของความเหนื่อยล้าของพวกเขา,
และเธอหวนนึกถึงครั้งหนึ่งที่ได้ยิน นักรบ-วณิพก เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค พูด,
“ดีกับอาหารแห้งชิ้นน้อยและความเงียบสงบในที่นั้นมากกว่าบ้านที่เต็มไปด้วยของถวายสักการและความวิวาทวุ่นวาย.”
เจสสิกา เอ่ยทวนคำนั้นออกมาต่อ พอล.
“นั่นเป็น เกอร์นีย์,” เขาพูด.
เธอจับสำเหนียกในน้ำเสียงของเขาได้,
วิธีที่เขาพูดราวกับเอ่ยถึงผู้ตาย, คิด: แล้วคนดีที่น่าสงสาน เกอร์นีย์ คงตายไปแล้ว. กองกำลังอะไทรดิส
ไม่ตายไปก็ถูกจับกุมหรือสูญหายไปเหมือนอย่างพวกเขาเองในที่ว่างเปล่าไรน้ำ.
“เกอร์นีย์ มีคำคติพจน์ที่ถูกต้องเสมอ,” พอล พูด.
“ข้าสามารถได้ยินเขาในตอนนี้บอกว่า: ‘และข้าจะทำแม่น้ำให้แห้งเหือด, และขายแผ่นดินเข้าไปสู่อุ้งมือมาร,
และข้าจะทำให้แผ่นดินรกร้างสูญเปล่า, และทั้งหมดนั่นในการนี้,
ด้วยมือของผู้แปลกหน้า.”
เจสสิกา หลับตาของเธอ,
พบว่าตนเองเคลื่อนไหวปิดมันลงเพื่อหลั่งน้ำตารินด้วยความปลุกเร้าในน้ำเสียงของบุตรชายของเธอ.
ทันทีนั้น, พอล พูด: “แม่รู้สึกอย่างไร...บ้าง?”
เธอจดจำได้ถึงคำถามของเขาว่ามุ่งตรงมาที่การตั้งครรภ์ของเธอ, บอก:
“น้องสาวของลูกจะยังไม่กำเนิดในอีกหลายเดือน.
แม่ยังคงรู้สึก.....ร่างกายแข็งแรงเพียงพออยู่.”
และเธอคิด: ช่างกระด้างอย่างเป็นทางการนักที่ฉันพูดกับลูกชายของตนเอง!
แล้ว, เพราะว่ามันเป็นวิถีของ เบเน เกสเสอริต
ที่จะเสาะค้นสำหรับคำตอบที่มีต่อความประหลาดเยี่ยงนั้น,
เธอค้นหาและพบแหล่งกำเนิดของความเป็นทางการของเธอนั้น: ฉันหวาดกลัวต่อลูกชายของฉัน; ฉันหวาดกลัวความแปลกประหลาดของเขา;
ฉันหวาดกลัวอะไรที่เขาอาจเห็นล่วงหน้าของเรา, อะไรที่เขาอาจบอกกับฉัน.
พอล ดึงหมวกผ้าคลุมศีรษะลงเหนือดวงตาของตน,
เงี่ยหูฟังเสียงแมลงเพรียกร้องกันในราตรี.
ปอดของเขาถูกอัดประจุด้วยความเงียบสงัดของตนเอง. จมูกของเขาคันยุบยิบ. เขาถูมัน,
ถอดเครื่องกรองออกและเริ่มสำนึกรู้ได้ถึงกลิ่นเครื่องเทศอบเชยอันอุดมฟุ้ง.
“มีเครื่องเทศเมลานจิ์อยู่ใกล้ๆนี้.”
สายลมนุ่มหนาละไล้แก้มของ พอล,
กระพือรอยย่นพับของเสื้อคลุมของเขา. แต่ลมนี้ไม่โชยบอกถึงพายุที่จะมีเข้ามาด้วย,
เขาสัมผัสรู้ถึงความแตกต่างนั้นได้แล้ว.
“รุ่งอรุณในไม่ช้า,” เขาพูด.
เจสสิกา พยักหน้า.
“มีหนทางหนึ่งที่จะข้ามทะเลทรายเปิดโล่งนั่นได้อย่างปลอดภัย,” พอล
พูด. “พวกฟรีเมนทำมันกัน.”
“หนอนทรายรึ?”
“ถ้าเราได้ติดตั้งเครื่องตบธัมเปอร์จาก เฟรมคิท
ในเป้ที่ย้อนกลับไปกองหินทั้งหลายข้างล่างที่นี่,” พอล พูด “มันน่าคอยทำหนอนทรายตัวหนึ่งวุ่นวายอยู่ให้เวลาเราได้ทัน.”
เธอเหลียวมองดูที่ทะเลทรายเหยียดยาวกลางแสงจันทร์ระหว่างพวกเขากับเชิงผาอื่นอีกด้านหนึ่ง.
“สี่กิโลเมตรกับเวลาที่คุ้มค่า?”
“บางที. และถ้าเราข้ามนั่นไปโดยทำเสียงแบบธรรมชาติทั้งหลาย,
ชนิดที่ไม่ดึงดูดต่อพวกหนอนทรายนั่น.....”
พอล ศึกษาทะเลทรายเปิดโล่งนั้น, สืบค้นในความทรงจำการรู้ล่วงหน้าของเขา,
ตรวจสอบความอ้างอิงอย่างมีเงื่อนงำถึงเครื่องตบพื้นธัมเปอร์นั้นและตะขอปฏักในคู่มือเฟรมคิท
ที่ได้มาด้วยกับเป้ใส่ของหลบหนีของพวกเขา. เขาพบว่ามันพิกลที่สัมผัสรู้ทั้งหมดของเขาคือความตื่นตระหนกแผ่ซ่านที่ความคิดของเรื่องหนอนทรายนั้น.
เขารู้ราวกับว่ามันนอนวางอยู่แค่ริบขอบของความตื่นรู้ของเขาที่ว่าหนอนทรายพวกนั้นต้องเป็นที่เคารพบูชาไม่ใช่หวาดกลัว.....ถ้า.....
เขาสั่นศีรษะของตน.
“มันต้องเป็นเสียงที่ปราศจากจังหวะ,” เจสสิกา พูด.
“อะไรนะ? โอ้. ใช่เลย.
ถ้าเราก้าวลากขาของเรา...ทรายตัวมันเองต้องไหลเลื่อนลงไปเป็นบางครั้ง.
พวกหนอนทรายไม่สามารถตรวจสอบหาได้ในทุกเสียงเล็กๆน้อยๆ. เราควรจะพักกันให้เต็มที่ไว้ก่อนที่เราจะลองทำมัน,
ด้วย.”
เขามองข้ามไปที่กำแพงหินอีกด้าน,
เห็นช่องกาลเวลาในเงาจันทร์เป็นแนวตั้งทั้งหลายที่นั่น.
“มันจะรุ่งเช้าภายในชั่วโมงนี้แล้ว.”
“เราจะใช้เวลากลางวันที่ไหนดีล่ะ?” เธอถาม.
พอล หันไปทางซ้ายมือ, ชี้. “หน้าผาโค้งกลับไปทางทิศเหนือตรงโน้น.
แม่สามารถเห็นได้ว่าด้วยทิศทางของลม-ตัดเฉือนผิวหน้าด้านปะทะลมของมัน. จะมีรอยเว้าแตกทั้งหลายที่นั่น,
ลึกๆอยู่หลายอัน.”
“เราเริ่มไปกันเลยดีไหม?” เธอถาม.
เขายืนขึ้น, ช่วยเธอให้ลุกขึ้นยืน. “แม่พักผ่อนพอแล้วสำหรับปีนลงไปแล้วนะ?
ข้าอยากจะไปให้ใกล้เท่าที่จะเป็นไปได้กับพื้นทะเลทรายก่อนที่เราจะตั้งค่ายพัก.”
“เพียงพอแล้วล่ะ.” เธอพยักหน้าให้เขาเพื่อนำทางเธอไป.
เขาลังเล, แล้วก็ยกเป้ขึ้น, จัดแจงมันลงบนกับไหล่ของเขาและหันเดินไปตามหน้าผานั้น.
ถ้าเพียงแค่เรามีเครื่องพยุงลอยทั้งหลายนั่น, เจสสิกา
คิด. มันจะเป็นเรื่องง่ายดายไปเลยที่จะกระโดดลงไปที่นั่น.
แต่บางทีเครื่องพยุงลอยพวกนั้นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงการใช้ในทะเลทรายเปิดโล่ง.
บางทีพวกมันไปดึงดูดความสนใจกับพวกหนอนทรายทั้งหลายเหมือนกับที่โล่ห์พลังทำ.
พวกเขาถึงตะพักชั้นหินยื่นเป็นลำดับชุดเรียงลดหลั่นลงไปหาด้านล่างและ,
โพ้นเลยพวกนั้นไป, เห็นรอยแยกตัวออกในหิ้งผนังของมันเป็นเงาโครงด้วยแสงจันทร์นำลงไปหาช่องโถงทางเข้านั้น.
พอล นำทางลง, เคลื่อนกายอย่างระมัดระวังแต่รีบเร่งเพราะมันเป็นที่ชัดแล้วว่าแสงจันทร์ไม่อาจอยู่ได้อีกนานแล้ว.
พวกเขาบาดเจ็บโขยกเขยกเข้าไปสู่โลกของเงามืดลึกขึ้นและลึกขึ้น.
รูปร่างเลือนรางของหินทั้งหลายปีนป่ายขึ้นไปหาดวงดาวรายรอบตัวพวกเขา. ช่องแตกแยกออกนั้นแคบอยู่ราวสักสิบเมตรด้านกว้างที่ริมขอบของทรายลาดเอียงสีเทามัวที่เทลงเข้าไปสู่ความมืดนั้น.
“เราจะลงไปได้ไหม?” เจสสิกา กระซิบ.
“ข้าก็คิดเช่นนั้น.”
เขาทดสอบผิวหน้าด้วยเท้าข้างหนึ่ง.
“เราสามารถลื่นไถลตัวลงไปได้,” เขาพูด. “ข้าจะลงไปก่อน.
รอจนกว่าแม่จะได้ยินเสียงข้าหยุดตัวแล้วนะ.”
“ระวังด้วย,” เธอพูด.
เขาก้าวลงไปบนทางลาดเอียงนั้นและไถลและลื่นตัวลงไปบนพื้นผิวนุ่มแทบจะเกือบในระดับเดียวกับระดับพื้นทรายแน่นใต้นั้น.
ที่นี้ได้ลึกอยู่ภายในช่องกำแพงหิน.
แล้วมีเสียงของทรายไหลเลื่อนลงมาตามด้านหลังของเขา. เขาพยายามที่จะมองขึ้นไปตามทางลาดเอียงในความมืด,
เกือบจะโดดกระแทกสลบโดยธารน้ำตกทรายนั้น. มันไหลร่องจากไปสู่ความเงียบงัน.
“ท่านแม่?” เขาพูด.
ไม่มีเสียงตอบรับ.
“ท่านแม่?”
เขาทิ้งเป้ลง, เหวี่ยงตนเองขึ้นไปตามทางลาดนั้น, ตะกาย; ขุด,
ตะกุยทรายออกไปเหมือนคนบ้าคลั่ง. “แม่!” เขาหอบสำลัก. “แม่,
อยู่ที่ไหนน่ะ?”
น้ำตกทรายอีกอันกวาดผ่านไปบนร่างของเขา, ฝังเขาจมไปถึงเอว.
เขาบิดดึงตัวออกมาจากมัน.
เธอได้ติดอยู่ในทรายเลื่อน, เขาคิด. ถูกฝังอยู่ในมัน. ข้าต้องสงบใจและทำเรื่องนี้ออกมาอย่างระมัดระวัง.
เธอจะหายใจไม่ออกในทันที. เธอจะสำรวมตนเองในจุดระงับ ภิณฑุภวังค์(bindu suspension)เพื่อลดความจำเป็นต้องการออกซิเจนของเธอ.
เธอรูเว่าข้าจะขุดหาตัวเธอได้.
ในวิถีของ
เบเน เกสเสอริต ที่เธอได้สอนเขามา, พอล ยับยั้งการเต้นรัวป่าเถื่อนของหัวใจของเขา,
ตั้งจิตเป็นดั่งกระดานชนวนว่างเปล่าอยู่เหนือชั่วขณะของอดีตสามารถเขียนตัวพวกมันเองลงไปได้.
ทุกบางส่วนการเลื่อนและบิดม้วนของการลื่นไถลย้อนเล่นตัวมันเองอีกครั้งในความทรงจำของเขา,
เคลื่อนที่ไปด้วยความผ่าเผยภายในที่ถูกตรงข้ามกับเสี้ยววินาทีของเวลาจริงต้องใช้ในการเรียกคืนมาทั้งหมด.
ทันทีนั้น, พอล หันร่างเอียงขึ้นไปตามทางลาดนั้น,
ควานสำรวจหาอย่างระวังอันตรายจนกระทั่งเขาเจอผนังของช่องโพรงแยกนี้, และหินที่ยื่นออกมาตรงนั้น.
เขาเริ่มต้นขุด, เคลื่อนย้ายทรายด้วยความระมัดระวังที่จะไม่เคลื่อนหลุดออกไปเป็นไหลถล่มอีกครั้ง.
ชิ้นหนึ่งของผ้ามาใต้มือทั้งสองของเขา. อย่างนุ่มนวล, เขาไล่ตามหาพบแขน,
โผล่ใบหน้าเธอออกมาได้.
“แม่ได้ยินข้าไหม?” เขากระซิบ.
ไม่มีคำตอบ.
เขาขุดเร็วขึ้นอีก, ให้ไหล่เธอหลุดพ้น.
เธออ่อนปวกเปียกภายใต้มือของเขา, แต่เขาตรวจพบการเต้นของหัวใจที่แผ่วช้า.
ภิณฑุภวังค์, เขาบอกกับตนเอง.
เขากวาดทรายออกจากข้อมือของเธอ,
ห้อยแขนของเธอเหนือไหล่ของเขาและดึงลงมาตามความลาด, อย่างช้าในตอนแรก,
แล้วก็ลากเธอเร็วเท่าที่เขาจะทำได้, รู้สึกได้ว่าทรายทางข้างบน.
เร็วขึ้นและเร็วขึ้นอีกที่เขาดึงเธอ, หอบหายใจด้วยแรงพยายาม,
ต่อสู้เพื่อรักษาความสมดุลของเขา. เขาออกมาสู่พื้นแข็งแน่นของช่องโถงโพรงแล้ว,
แกว่งเธอขึ้นมาบนไหล่ของเขาและเลี่ยนไปเป็นวิ่งโซเซขณะที่ทรายลาดเอียงทั้งปวงไหลถล่มตามลงมาเสียงดังซู่ๆที่ก้องและถูกขยายดังขึ้นภายในช่องกำแพงหินนั้น.
เขาหยุดที่ปลายสุดของช่องโพรงที่มันดูเหมือนมองออกไปหานูนทรายเดินสวนสนามอยู่ของทะเลทรายราวสามสิบเมตรข้างล่าง.
อย่างนุ่มนวล, เขาลดร่างของเธอลงที่ทราย,
พึมพำคำพูดเพื่อดึงเธอออกมาจากภวังค์อัมพาต.
เธอตื่นขึ้นอย่างช้าๆ, สูดหายใจเข้าลึกและลึกขึ้น.
“แม่รู้ว่าลูกจะหาแม่เจอ,” เธอกระซิบ.
เขาหันกลับไปมองช่องโพรงนั้น.
“มันคงเป็นที่กรุณาได้มากกว่าถ้าข้าไม่ได้ทำ.”
“พอล!”
“ข้าทำเป้นั่นสูญหายไป,” เขาพูด.
“มันถูกฝังอยู่อยู่ใต้หนึ่งร้อยตันของทราย...เป็นอย่างน้อยที่สุด.”
“ทุกอย่างรึ?”
“น้ำสำรอง, กระโจมสติลล์ทะเลทราย---ทุกอย่างที่อยู่ในนั้น,” เขาสัมผัสกระเป๋า.
“ข้ายังคงมีเข็มทิศพารา.” เขาควานไปตามสายคาดเอว. “มีดและกล้องส่องทางไกล.
เราสามารถมองไปได้อย่างดีรอบที่นี้ว่าเราจะตายตรงไหนกัน.”
ในทันทีทันใดนั้น, ดวงอาทิตย์ได้ยกตัวขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้าที่ไหนสักแห่งทางด้านซ้ายมือโพ้นเลยปลายสุดช่องโพรงนี้ออกไป.
สีสันกะพริบพราวอยู่ในทรายด้านนอกบนทะเทรายเปิดโล่ง. เสียงประสานของเหล่านกจัดบรรเลงเพลงของพวกเขาขึ้นจากที่ซ่อนไหนสักแห่งท่านกลางหมู่ก้อนหิน.
แต่ เจสสิกา มีสายตาจับอยู่แต่ใบหน้าอันหมดหวังของ พอล.
เธอลับคมให้กับน้ำเสียงของเธอด้วยความหมิ่นแคลน, พูด:
“นี่คือวิถีที่เจ้าถูกสอนมาหรือ?”
“แม่ไม่เข้าใจรึ?” เขาถาม.
“ทุกอย่างที่เราจำเป็นที่จะรอดชีวิตในสถานที่นี้ถูกฝังอยู่ใต้ทรายนั่น.”
“ลูกหาแม่เจอ,” เธอพูด, และตอนนี้น้ำเสียงเธออ่อนโยนลง,
มีเหตุผล.
พอล นั่งยองลงบนส้นเท้าของตน.
ทันทีนั้น, เขามองขึ้นไปยังช่องโพรงที่ทางลาดเอียงใหม่,
ศึกษามัน, กำหนดตำแหน่งความหลวมของทรายนั้น.
“ถ้าเราสามารถตรึงพื้นที่เล็กๆของทางลาดเอียงนั้นและผิวหน้าตอนบนเพื่อขุดรูเข้าไปในทรายได้,
เราอาจสามารถที่จะดึงลงเป็นช่องทางไปยังเป้นั้น. น้ำอาจจะทำมัน,
แต่เราไม่มีน้ำเพียงพอสำหรับ...” เขาหยุดชงัก, แล้ว: “ฟอง.”
เจสสิกา รั้งตนเองให้นิ่งเงียบอย่างน้อยที่สุดที่เธอจะไปขัดรบกวนการทำงานขั้นอภิจิตของเขา.
พอล มองออกไปยังนูนทรายเปิดโล่ง,
ค้นหาด้วยช่องจมูกของตนดุจเดียวกับดวงตาของเขา,
ค้นหาทิศทางและแล้วรวมศูนย์ความสนใจของเขาบนหย่อมดำมืดของทรายข้างล่างพวกเขา.
“เครื่องเทศ,” เขาพูด. “แก่นของมัน---เป็นด่างอัลคาไลน์อย่างสูง.
และข้ามีเข็มทิศพารา. พลังงานของมันเป็นกรด-ด่าง.”
เจสสิกา นั่งตัวตรงขึ้นพิงกับหิน.
พอล ไม่สนใจเธอ, กระโจนขึ้นยืนบนเท้าของตน, และออกเดินลงไปตามผิวพื้นอัดแน่นด้วยลมที่ล้นจากด้านปลายสุดของช่องโพรงไปสู่พื้นทะเลทรายเบื้องล่าง.
เธอเฝ้าดูทางที่เขาเดินไป,
ทำลายจังหวะของการก้าวยาวๆ---ก้าว...หยุด, ก้าว-ก้าว...ลากไถล...หยุด...
ไม่มีจังหวะกับมันที่อาจบอกแก่หนอนทรายที่กำลังเที่ยวปล้นสะดมอยู่ถึงบางอย่างไม่ใช่ของทะเลทรายที่เคลื่อนที่ที่นี่.
พอล ไปถึงหย่อมเครื่องเทศนั้น, ตักกองพะเนินเข้าไปในพับเสื้อคลุมของเขา,
กลับมายังช่องโพรงนี้. เขาเทเครื่องเทศนั้นลงบนทรายตรงหน้าของ เจสสิกา, นั่งยองลงและเริ่มถอดเครื่องประกอบเข็มทิศพาราออก,
ใช้ปลายมีดของเขา. หน้าปัดของเข็มทิศหลุดออกมา. เขาถอดสายคาเอวของเขาออก,
แผ่วางชิ้นส่วนของเข็มทิศลงบนมัน, ยกก้อนพลังงานของมันออกมา.
กลไกหน้าปัดออกมาถัดไป, ทิ้งเรือนหลุมว่างในอุปกรณ์นั้น.
“ลูกจำเป็นต้องใช้น้ำ,” เจสสิกา พูด.
พอล เอาหลอดท่อดักจับจากคอของเขามา, ดูดขึ้นเต็มปาก,
ถ่ายเทมันลงไปในชามหลุมว่างในอุปกรณ์นั้น.
ถ้าเรื่องนี้ล้มเหลว, น้ำนั่นก็สูญเปล่า, เจสสิกา คิด. แต่มันก็จะไม่สำคัญอะไรอีก,
จะอย่างไรก็ตาม.
ด้วยมีดของเขา, พอล แงะเปิดก้อนพลังงาน,
รินผลึกทั้งหลายของมันลงไปในน้ำ. พวกมันเป็นฟองทีละน้อย, ยุบตัวลง.
ดวงตาของ เจสสิกา จับมองการเคลื่อนไหวเหนือข้างบนพวกเขา.
เธอมองขึ้นไปเห็นแถวของเหยี่ยวทั้งหลายตามริมขอบของช่องโพรง.
พวกมันเกาะคอนที่นั่นจ้องมองลงมายังน้ำที่เปิดอยู่.
พระแม่มหาศักดิ์สิทธิ์!
เธอคิด. พวกมันก็สามารถสัมผัสรู้ถึงน้ำได้กระทั่งในระยะไกลขนาดนี้!
พอล ได้ปิดฝากลับคืนบนเข็มทิศพารา,
ทิ้งช่องปุ่มรีเซ็ทออกไว้ที่ทำให้เป็นรูเล็กให้กับของเหลวนั้น. ถือเอาเครื่องมือที่ตนทำขึ้นใหม่ไว้ในมือข้างหนึ่ง,
เครื่องเทศเต็มกำมืออีกข้าง. พอล กลับขึ้นไปยังช่องโพรง, ศึกษาชั้นพื้นดินของทางลาดนั้น.
เสื้อคลุมของเขาพองออกเบาๆปราศจากสายคาดที่จะรัดมันไว้.
เขาเดินลุยแหวกทางขึ้นไปตามทางลาดเอียง, เตะลำธารทรายทั้งหลาย, ทะลักฝุ่นออกมา.
ทันทีนั้น, เขาก็หยุด, กดก้อนเครื่องเทศนั้นเข้าไปในเข็มทิศพารา,
เขย่าตลับเครื่องมือนั้น.
ฟองสีเขียวเดือดทะลักออกมาจากรูที่ปุ่มรีเซ็ทได้เคยมีอยู่ที่นั้น.
พอล เล็งมันไปที่ยังทางลาด, แผ่ขยายเป็นคันเขื่อนเตี้ยๆตรงนั้น,
เริ่มต้นเตะทรายข้างใต้มันออก,
ยับยั้งการเคลื่อนที่ของผิดหน้าที่ถูกเปิดด้วยฟองจากเครื่องเทศนั้นอีก.
เจสสิกา เคลื่อนไปที่ตำแหน่งต่ำกว่าเขา, ตะโกนถาม:
“ให้แม่ช่วยไหม?”
“ปีนขึ้นมาช่วยขุดที,” เขาพูด. “เรามีราวสามเมตรที่ต้องลงไป.
มันกำลังจะเป็นสิ่งที่ใกล้.” ขณะที่เขาพูด, ฟองนั้นหยุดไหลรินออกมาจากเครื่องมือนั้นแล้ว.
“เร็วเข้า,” พอล บอก.
“บอกไม่ได้ว่าฟองนี้จะหยุดทรายเอาไว้ได้นานแค่ไหน.”
เจสสิกา ตะกายขึ้นไปข้าง พอล ขณะที่เขาหยอดก้อนเครื่องเทศอีกอันเข้าไปในรูช่อง,
เขย่าตลับเข็มทิศพารา. อีกครั้ง, ฟองเครื่องเทศเดือดทะลักออกมาจากมัน.
ขณะที่ พอล กำลังฟองนั้นทำคันเขื่อนกั้น, เจสสิกา
ขุดด้วยมือทั้งสอง, เหวี่ยงทรายลงไปตามทางลาดเอียง. “ลึกแค่ไหน?” เธอหอบ.
“สักสามเมตร,” เขาบอก. “และข้าจะสามารถประมาณตำแหน่งนั้นได้.
เราต้องขยายช่องนี้ให้กว้างขึ้นอีก.” เขาเคลื่อนก้าวมาข้างๆ, ลื่นไถลไปในทรายหลวม.
“เบนเฉียงการขุดของแม่กลับไปทางด้านหลัง. อย่าไปตรงๆลงไป.”
เจสสิกา ทำตามที่บอก.
อย่างช้าๆ, รูช่องนั้นลึกลงไป, ถึงระดับกระทั่งเกือบติดพื้นของแอ่งและยังไม่มีวี่แววของเป้ใส่ของนั้น.
ข้าได้คำนวณผิดพลาดรึ? พอล ถามตนเอง. ข้าเป็นผู้ที่ได้ตื่นตะหนกแต่แรกเริ่มเองและทำให้เกิดความผิดพลาดนี้ขึ้น.
นั่นได้บิดเบี้ยวความสามารถของข้าไปรึ?
เขามองดูเข็มทิศพารา. น้อยกว่าสองออนซ์ของกรดละลายที่ยังเหลืออยู่.
เจสสิกา หยัดร่างอยู่ในหลุมช่องนั้น,
ถูรอยเปื้อนฟองเครื่องเทศที่มือผ่านแก้มของเธอ. ดวงตาของเธอเงยขึ้นมาพบกับของ พอล.
“ผิวหน้าตอนบน,” พอล บอก. “นุ่มนวลหน่อย, ตอนนี้.”
เขาเติมก้อนเครื่องเทศลงไปยังที่บรรจุนั้นอีก, ส่งฟองที่เดือดทะลักไปรอบๆมือของ เจสสิกา
ขณ ที่เธอเริ่มต้นตัดผิวหน้าทางตั้งในตอนบนที่เฉียงของรูช่อง.
ในช่องผ่านที่สองนี้, มือของเธอประสบเข้ากับลางอย่างแข็งๆ. อย่างช้าๆ
เธอทำงานเปิดให้เห็นตลอดความยาวของสายคาดที่มีปุ่มเสียบยึดพลาสติกนั้น.
“อย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายอะไรกับมันอีก,” พอล พูดและเสียงของเขาเกือบเป็นการกระซิบ.
“เราหมดฟองเครื่องเทศนี้ไปแล้ว.”
เจสสิกา จับที่สายรัดนั้นในมือหนึ่ง, เงยขึ้นมามองเขา.
พอล โยนเข็มทิศพาราที่ว่างเปล่านั้นลงไปกับพื้นของแอ่งนั้น,
พูด:
“ส่งมืออีกข้างของแม่มาให้ข้า. ทีนี้ฟังให้ดีนะ.
ข้ากำลังจะดึงแม่ไปยังที่ด้านข้างและลงเนินไป. อย่าปล่อยมือจากสายคาดนั้น.
เราจะไม่ถูกทรายไหลล้นจากทางบนยอดมากนัก. ทางลาดนี้ได้มั่นคงในตัวมันเองอยู่.
ทั้งหมดที่ข้ากำลังจะเล็งเป้าไปคือรักษาให้ศีรษะของแม่พ้นจากทราย.
เมื่อทรายไหลมาเต็มรูช่องนี้, เราสามารถขุดแม่แล้วดึงเป้ขึ้นมาได้.”
“แม่เข้าใจ,” เธอพูด.
“พร้อมนะ?”
“พร้อม.” เธอกำนิ้วจับสายคาดนั้นให้แน่น.
ด้วยการกระตุกหนึ่งครั้ง, พอล
ดึงได้ตัวเธอขึ้นมาครึ่งรูช่อง,
ยกคอของเธอขึ้นขณะที่คันกั้นที่ฟองเครื่องเทศทำไว้ก็พังเปิดออกและทรายไหลรอดลงมา.
เมื่อมันได้ยุบลง, เจสสิกา ยังคงถูกฝังจมอยู่ถึงเอว,
แขนซ้ายของเธอและบ่ายังคงอยู่ในทราย, คางของเธอปกป้องอยู่ด้วยบนเสื้อคลุมของ พอล
ที่ห่อเอาไว้. บ่าของเธอปวดร้าวจากแรงดึงที่ถูกทำกับมันนั้น.
“แม่ยังคงมีสายคานั่นอยู่,”
เธอพูด.
อย่างช้าๆ, พอล ทำงานด้วยมอของเขาลงไปในทรายข้างตัวเธอ,
พบสายคาดนั้น. “ด้วยกันนะ,” เขาพูด. “กดแรงสม่ำเสมอไว้. เราต้องไม่ทำมันขาด.”
ทรายอีกไหลลงมาขณะที่พวกเขาทำงานเอาเป้ขึ้นมา.
เมื่อสายคดพ้นจากพื้นผิวแล้ว, พอลหยุด,
แล้วหนมาให้มารดาของเขาเป็นอิสระพ้นจากทราย.
ด้วยกันนั้นเองที่พวกเขาได้ดึงเป้ใส่ของนั้นลงมาตามทางลาดเอียงและหลุดพ้นจากกับดักของมัน.
ในสองสามนาทีที่พวกเขายืนบนพื้นของช่องโพรงนั้นถือกุมเป้อยู่ในระหว่างตัวพวกเขา.
พอล มองมารดาของเขา.
ฟองเครื่องเทศเปื้อนอยู่ที่ใบหนาของเธอ, และเสื้อคลุมของเธอ.
ทรายเป็นเหมือนก้อนเค้กกับเธอในที่ซึ่งฟองนั้นทำให้ไว.
เธอมองดูราวกับว่าเธอได้ตกไปเป็นเป้าปาใส่ด้วยลูกบอลทรายเปียก, สีเขียว.
“แม่ดูเละเทะเลย,” เขาพูด.
“ลูกเองก็ไม่สวยงามกับตัวเองมากหรอก,”
เธอพูด.
พวกเขาเริ่มต้นหัวเราะกัน,
และก็ขรึมลง.
“นั่นไม่ควรได้บังเกิดขึ้น,”
พอล พูด. “ข้าไม่ระมัดระวังเอง.”
เธอยักไหล่,
รู้สึกถึงก้อนเค้กทรายนั่นร่วงหล่นไปจากเสื้อคลุมของเธอ.
“ข้าจะตั้งกระโจม,” เขาพูด. “ถอดเสื้อคลุมนั่นออกมาจะดีกว่าแล้วสะบัดมันออก.”
เขาหันออก, เอาเป้ไป.
เจสสิกา พยักหน้า,
ทันทีนั้นก็เหน็ดเหนื่อยเกินกว่าที่จะตอบ.
“มีหลายรูสมอในก้อนหน,”
พอล พูด. “ใครบางคนเคยได้ตั้งกระโจมที่นี่มาก่อน.”
ทำไมจะไม่ล่ะ?
เธอคิดขณะที่ปัดไปตามเสื้อคลุมของเธอ. นี่เป็นที่ที่เหมาะ---ลึกเข้ามาในกำแพงหินและหันหน้าไปยังหน้าผาอื่นสักสี่กิโลเมตรห่างออกไป---ไกลเพียงพอเหนือทะเลทรายนั่นเพื่อที่จะหลบเลี่ยงพวกหนอนทรายแต่ใกล้พอที่จะเข้าถึงได้ง่ายก่อนที่จะข้ามทะเลทราย.
เธอหันร่าง, มองเห็น พอล ได้ตั้งกระโจมขึ้น, ก้านโครงรูปโดมครึ่งซีกงอโค้งกับกำแพงหินของช่องโพรงนั้น.
พอล ก้าวผ่านเธอ, ยกกล้องส่องทางไกลของขึ้นมา.
เขาปรับแรงกดดันภายในของพวกมันด้วยการบิดอย่างเร็ว,
ปรับเลนส์น้ำมันให้ชัดไปยังหน้าผาฝั่งตกข้ามที่ยกตัวสีน้ำตาลทองในแสงยามเช้าข้ามทะเลทรายเปิดโ,งนั่นออกไป.
เจสสิกา เฝ้าดูขณะที่เขาศึกษาภูมิประเทศสันทราย,
ดวงตาของเขาตรวจสอบเข้าไปในแม่น้ำทรายและโตรกหุบทั้งหลาย.
“มีสิ่งเติบโตหลายอย่างที่ฝั่งโน้น,”
เขาพูด.
เจสสิกา
พบกล้องส่องทางไกลสำรองอีกอันในเป้ที่ข้างกระโจม, เคลื่อนไปที่ข้าง พอล.
“ที่นั่น,”
เขาบอก, ถือกล้องส่องทางไกลด้วยมือข้างหนึ่งและชี้ไปด้วยมืออีกข้าง.
เธอมองไปยังที่ซึ่งเขาชี้.
“ซากัวโร,”
เธอพูด. “พวกตะบองเพชรผอมๆ.”
“ที่นั่นอาจจะมีผู้คนอยู่ใกล้เคียง,”
พอล พูด.
“นั่นน่าจะเป็นที่ซากเหลืออยู่ของสถานีทดลองพืชพันธุ์.”
เธอเตือน.
“นี่ค่อนข้างจะไกลมาทางทิศใต้เข้าไปในทะเลทราย,” เขาพูด.
เขาบดกล้องส่องทางไกลของเขาลง, ถูใต้แผ่นกั้นเครื่องกรองของเขา,
รู้สึกว่าริมฝีปากของเขาแห้งผากและแตกระแหงอยู่อย่างไร,
รู้สึกถึงรสฝุ่นในของความกระหายในปากของเขา. “นี่มีความรู้สึกว่าเป็นสถานที่ของฟรีเมน,”
เขาพูด.
“เราแน่ชัดได้แล้วหรือว่าพวกฟรีเมนจะเป็นมิตร?”
เธอถาม.
“คายนิ์ส
ให้สัญญาการช่วยเหลือของพวกเขา.”
แต่มีความสิ้นหวังอยู่ในผู้คนแห่งที่ทะเลทรายนี้,
เธอคิด.
ตัวฉันเองก็รู้สึกได้เช่นกันบ้างในวันนี้. ผู้คนที่สิ้นหวังอาจจะฆ่าเราเพื่อน้ำก็ได้.
เธอหลับตาของเธอและ, ต้านทานต่อดินแดนรกร้างว่างเปล่านี้, ร่ายมนต์ในจิตใจของเธอเรียกภาพทัศน์จาก
คาลาดาน. ได้เคยมีการเดินทางในวันหยุดพักผ่อนครั้งหนึ่งบน คาลาดาน---เธอและ
ดยุค ลีโต, ก่อนการกำเนิดของ พอล. พวกเขาได้บินไปข้ามป่าทั้งหลายทางตอนใต้,
อยู่เหนือใบไม้ปลิวหล่นสุมเถื่อนเกลื่อนแห้งและทุ่งนาข้าวเขียวของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำทั้งหลาย.
และพวกเขาได้เห็นแถวทั้งหลายของมดในพฤกษชาติ---กลุ่ม-คนแบกสัมภาระของพวกเขาบนเสาเครื่องพยุงลอยที่ไหล่.
และในที่ซึ่งทะเลไปถึงก็ได้มีกลีบใบสีขาวของเรือคานคู่ทั้งหลาย.
ทั้งหมดของมันจากไปแล้ว.
เจสสิกา
เปิดตาของเธอออกสู่ความนิ่งสงบของทะเลทราย, ความอบอุ่นที่เพิ่มขึ้นของวัน.
ปีศาจความร้อนระอุอันกระวนกระวายกำลังเริ่มต้นที่จะจัดการให้อากาศเย็นสะท้านออกไปจากบนทะเลทรายเปิด.
ผิวหน้าก้อนหินอื่นตรงข้ามกับพวกเขาเป็นเหมือนสิ่งที่เห็นได้ผ่านแก้วราคาถูก.
ทรายล้นไหลแผ่ม่านสั้นๆของตัวมันข้ามผ่านปลายเปิดของช่องโพรงนี้.
เสียงซู่ซู่ลงมา, ถูกปล่อยเป็นอิสระมาโดยลมกรรโชกมาของสายลมเอื่อยยามเช้า, โดยเหล่าเหยี่ยวทั้งหลายที่เริ่มต้นยกตัวเองออกไปจากยอดผานั้น.
เมื่อน้ำตกทรายจากไปแล้ว, เธอยังคงได้ยินเสียงซี่ดๆ. มันเริ่มดังขึ้น,
เสียงที่เคยได้ยินมาครั้งหนึ่ง, ไม่เคยลืมเลือนได้.
“หนอนทราย,”
พอล กระซิบ.
มันดังมาจากทางขวามือของพวกเขาอย่างวางอำนาจไม่ใส่ใจใดว่าจะเป็นที่ถูกรบกวนหรือไม่.
เนินอุโมงค์บิดม้วนของทรายตัดทะลุนูนทรายทั้งหลายปรากฏอยู่ในขอบเขตทัศนวิสัยของพวกเขา.
เนินอุโมงค์ยกตัวเองขึ้นมาตรงหน้า, ฝุ่นแหวกออกเหมือนธนูคลื่นในน้ำ. แล้วมันก็จากไป,
เส้นทางออกทางด้านซ้ายมือ.
เสียงลดหายไป,
ตายสนิท.
“ข้าเคยเห็นยานรบอวกาศฟรีเกตที่เล็กกว่านี้,”
พอล กระซิบ.
เธอพยักหน้ารับ,
ยังคงจ้องมองข้ามทะเลทรายไป.
ที่ซึ่งหนอนทรายได้ผ่านไปยังคงมีช่องว่างที่ยั่วเย้านั้นอยู่.
มันไหลผ่านเสียดแทงใจไร้ที่สิ้นสุดต่อหน้าพวกเขา, กำลังกวักมือเรียกหาอยู่ภายใต้การพังทะลายแนวนอนของมันกับเส้นขอบฟ้า.
“เมื่อเราได้พักผ่อนแล้ว.” เจสสิกา
พูด. “เราควรจะดำเนินการต่อไปกับบทเรียนทั้งหลายของลูก.”
เขากลั้นโทสะที่พรวดขึ้นมา,
พูด:
“ท่านแม่, ไม่คิดหรอกหรือว่าเราควรทำโดยไม่ต้อง.....”
“วันนี้ลูกได้ตื่นตระหนก,” เธอพูด. “ลูกรู้ถึงจิตใจของลูกและประสาท-ภิณฑุบางทีดีกว่าที่แม่ทำ,
แต่ลูกยังไม่ได้มีมากในการเรียนรู้เกี่ยวกับปราณ-ระบบกล้ามเนื้อของร่างกาย. ร่างกายทำสิ่งทั้งหลายด้วยตัวมันเองในบางครั้ง,
พอล, และแม่สามารถสอนลูกเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้.
ลูกต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมทุกกล้ามเนื้อ, ทุกเส้นใยของร่างกายของลูก.
ลูกจำเป็นต้องทบทวนถึงมือนั้น. เราจะเริ่มต้นด้วยกล้ามเนื้อนิ้ว, เอ็นฝ่ามือ,
และปลายประสาทไว.” เธอหันจากไป. “มาเถอะ, เข้าไปในกระโจมกัน, ตอนนี้.”
เขางอนิ้วมือซ้ายของตน, เฝ้าดูเธอคลานมุดผ่านลิ้นปิดเปิดหูรูดของกระโจม,
รู้ดีว่าเขาไม่สามารถเปลี่ยนความสนใจของเธอจากการตัดสินใจนี้.....ที่เขาต้องเห็นด้วย.
จะอะไรก็ตามที่ได้ทำกับข้า, ข้าได้เป็นงานเลี้ยงให้กับมัน,
เขาคิด.
ทบทวนมือนั่น!
เขามองยังมือของตน.
ช่างไม่ดีพอที่มันได้ปรากฏอยู่เมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเช่นหนอนทรายนั้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น