สวามี สารวาปริญานันฑะ – จิตสำนึกคือการสร้างสรรค์ของสมอง!
CONSCIOUSNESS
IS A CREATION OF THE BRAIN!
https://youtu.be/j-FmDTsrcwM?si=kvWVmho0ov6DPgGp
สวามี
สารวปริญานันฑะ(Swami
Sarvapriyananda)เป็นพระภิกษุฮินดู(สันยาสี)สังกัดนิกายรามากฤษณะ(the
Ramakrishna Order). ปัจจุบันท่านพำนักอยู่ที่อาศราสวามี(Swami)และเป็นหัวหน้าของเวฑันตะ สมาคม แห่ง นิวยอร์ค(Vedanta
Society of New York), เป็นตำแหน่งที่ท่านรับใช้มาตั้งแต่มกราคม
2017.
https://en.wikipedia.org/wiki/Swami_Sarvapriyananda
พิธีกร: คำถามแรกมาจากโจนาธาน ม., จริงหรือไม่ที่มีความแตกต่างระหว่างอัตตา(ego)กับผู้เห็น(witness). ใช่หรือไม่ว่าอัตตา(ego)คือตัวตน(self)เป็นเช่นส่วนบวกเพิ่มขึ้นของศักติ(as Shakti1
1https://hmong.in.th/wiki/%C5%9Aakti
plus),
ความผิดพลาดในการระบุแยกแยะว่าเป็นเช่นปัจเจกบุคคล (the error of identifying
as an individual), มีประสบการณ์รับรู้เป็นโลกของปรากฏการณ์แยกจากกัน (experiencing
a separate phenomenal World), สังสารวัฏ (Samsara). ในขณะที่ศักติ(Shakti)เป็นที่ไม่มีความผิดพลาดใดๆเช่นนั้นของการเป็นปัจเจกบุคคล(is
without such error of individuality), และรับรู้สังสารวัฏ(perceiving
Samsara)ว่าเป็นแค่เพียงสิ่งปรากฏของตัวตน(as
a mere appearance of self).
และจาก
อโศก ด.(Asoke
D.),
จิตสำนึกคือการสร้างสรรค์ของสมองหรือ? (is
consciousness is creation of the brain), ถ้าไม่ใช่,
อะไรคือข้อพิสูจน์ที่สามารถถูกให้ได้ในการสนับสนุนของเรื่องนี้? (if not what
proof can be given in support of this)
สวามี
สารวปริญานันฑะ: เอาละ.
ขอให้ฉันได้, อ้า, ยกเอาคำถามที่สองมาเป็นอันดับแรกก่อน,
แต่นั่นเป็นคำถามที่ทั่วๆไปมากกว่า, ว่า จิตสำนึกคือการสร้างสรรค์หรือผลผลิตของสมอง(is
consciousness a creation or a product of a brain). ถ้าไม่,
อะไรคือข้อพิสูจน์ที่สามารถถูกให้ในการสนับสนุนของการนั้น(what proof
can be given in support of that).
แต่ถ้าคุณอ้างว่า(you’re
claiming that)จิตสำนึกไม่ใช่ที่จริงแล้วเป็นผลผลิตของสมอง(
consciousness is not in fact a product of the brain).
เอ้อ, ให้ฉันยกเอาอันนี้ขึ้นมา,
ให้ฉันอย่างแรกให้คำตอบตรงๆกับคุณจากทัศนภาพเชิงเวฑนดะ(let me first
give you the direct answer from a vedantic perspective), และแล้วเราจึงจะยกเอามาอภิปรายกันทั่วไปโดยตรงกันมากยิ่งขึ้น(a more
general discussion directly).
ถ้าคุณถามชาวอทวินิยม(non-dualist)และชาวอฑวิตะ(Advaita)ในคำถามนี้,
คำตอบก็จะเป็นที่เรียบง่ายและตรงมาก(the answer will be very simple and
direct).
จงมองดูที่ประสบการณ์รับรู้ของคุณเอง(look
to your own experience). ในประสบการณ์รับรู้ของคุณ,
คุณจะพบว่าคุณคือผู้ได้รับรู้เหตุการณ์นั้น(your experience you
will find that you are the experiencer). ตัวกระทำและคุณได้รับรู้ประสบกับสิ่งทั้งหลายมากมาย(the
subject and you experience many things).
อะไรคือสิ่งทั้งหลายที่คุณประสบรับรู้(what are the
things that you experience). คุณประสบรับรู้โลกภายนอก(you
experience an external world). วัตถุทั้งหลาย(objects),
ผู้คน(people),
สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย(living
beings),
สิ่งไม่มีชีวิตทั้งหลาย(non-living
beings),
กระทำกิจกรรมทั้งหลายดำเนินไปในโลก(activities going on in the world).
คุณประสบรับรู้ร่างกายของตัวคุณเอง(you
experience your own body), เป็นเชิงกายภาพด้วย(also
physical).
ดังนั้นจึงมีโลกทั้งปวงของสิ่งกายภาพทั้งหลายที่คุณประสบรับรู้(there’s a
whole world of physical things which you experience).
และเมื่อเรามองกลับเข้าข้างใน(we look inward),
ก็มีโลกส่วนตัว(there’s
a private World)ที่เราแต่ละคนประสบรับรู้โลกส่วนตัวของความคิดทั้งหลาย(experienced a
private world of thoughts), ความรู้สึกทั้งหลาย(feelings),
อารมณ์ที่งหลาย(emotions),
มโนคติทั้งหลาย(ideas),
บุคคลที่เราเป็น(the
person which we are).
ดังนั้น,
นี้คือชุดจักรวาลทั้งสิ้นของวัตถุที่มีประสบการณ์(the entire
set universe of experienced objects), พวกเขาทั้งหมดคือวัตถุทั้งหลาย(they are all
objects).
จากทัศนภาพของเวฑานตะ(from a Vedanta perspective),
พวกเขาทั้งหมดคือวัตถุทั้งหลาย(they are all objects). แล้วคุณจะให้คำจำกัดความวัตถุหนึ่งในทัศนภาพในแบบอฑไวตะว่าอย่างไร(how you
define an object in Vedantic perspective).
การให้คำจำกัดความของวัตถุเป็นสิ่งง่ายดายมาก(defining an
object is very simple). อะไรก็ตามที่คุณประสบรับรู้หรือคุณสามารถประสบรับรู้ได้(whatever you
experience or you can e3xperience), ก็คือวัตถุ(is an object). มันอาจจะเป็นอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างนอก(could be
something outside). มันอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิต(a living
being thing),
สิ่งไม่มีชีวิต(non-living
thing),
อาจจะเป็นการกระทำหนึ่ง(could
be an action),
อาจจะเป็นคำพูด(could
be speech),
เสียง(sound), แสง(light),
รูปร่าง(form), รส(taste),
กลิ่น(smell),
สัมผัส(touch). มันสามารถเป็นบางอะไรอย่างทั้งสิ้นในจิตของคุณ(could be
something in entirely in your mind), ความคิดทั้งหลาย,
ความรู้สึกทั้งหลาย, มโนคติทั้งหลาย, ความทรงจำทั้งหลายของคุณเอง(your
own thoughts, feelings, ideas, memories),
มันสามารถที่จะเป็นการมีอยู่ของวัตถุทั้งหลายทั้งหมดเหมือนเช่นการตื่นอยู่นี้(it
could be the presence of all objects like this waking), มันสามารถที่จะเป็นประสบการณ์รับรู้อย่างคลุมเครือทั้งหลาย(the
vague experiences), ประสบการณ์รับรู้อย่างทั้งสิ้นส่วนตัวข้างในของความฝันทั้งหลาย(the
entirely private inner experience of dreams). หรือมันสามารถที่จะเป็นการหายไปของประสบการณ์รับรู้ทั้งหลายทั้งหมด(the
absence of all experiences),
นั่นก็เป็นประสบการณ์รับรู้อย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน(that is also an
experience)เหมือนเช่นการหลับลึกเป็นตัวอย่าง(like
deep sleep for example).
การมีอยู่และการหายไปของวัตถุทั้งหลายทั้งหมดต่างถูกเป็นประสบการณ์รับรู้โดยอะไรรึ?(presence and
absence of objects are all experienced by what)
นั่นคือที่ชั่วขณะนี้เองซึ่งผู้รับประสบการณ์ได้เป็นอยู่ในตัวของมันเอง (that which at
this this moment is the experiencer in itself). นั่นคือจิตสำนึก(that is
consciousness).
ดังนั้นทั้งสองจึงไม่สามารถเป็นสิ่งเดียวกันอย่างชัดเจนมาก(the two
cannot be the same very clearly)ว่า คุณนั้นผู้ประสบรับรู้และอะไรที่คุณได้ประสบรับรู้(you the
experiencer and what you experienced), สองสิ่งที่แตกต่างกัน(the two
different things). นั่นคือเบื้องต้น, ขั้นแรก(that’s the
preliminary, the first step), ขั้นแรก, ไม่ใช่กระทั่งเป็นทวิลักษณะ,
มันเป็นสังขาร. ความแตกต่างระหว่างผู้รับรู้กับสิ่งที่ถูกรับรู้(the
differential between the subject and the object). และคุณก็จะเห็นได้แล้วว่า,
อะไรที่เราบ่อยครั้งถือว่าเป็นผู้รับรู้(the subject), ฉัน(I),
ตัวของฉัน(myself), ร่างกายของฉัน(my body), ควสามคิดทั้งหลายของฉัน(my thoughts), บุคลิกภาพของฉัน(my
personality),
พวกนี้ทั้งหมดกลายเป็นอะไรวัตถุ(they all become what object).
คุณตามฉันทันไหม? หรือว่าฉันได้ทิ้งคุณไว้ข้างหลังแล้ว?
พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้(they all
become object), ทำไมรึ?(why),
เหตุผลง่ายๆเพราะว่าฉันประสบรับรู้มัน(simple reason because I experience
it)ดังนั้นมันจึงเป็นวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้(therefore it
is an object).
ถ้าฉันประสบรับรู้ความคิดทั้งหลายของฉันเอง(if I experience my own thoughts),
ความสุขของฉันเอง(my
own happiness), ความทุกข์ของฉันเอง(my own
misery),
แล้วความสุข, ความทุกข์, ความคิดทั้งหลายของฉัน, พวกเขาก็เป็นวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้ทั้งหลายด้วยเช่นกัน(they are also
objects)ต่ออะไรรึ(to what)
ต่อตัวฉัน(to
me).
การตื่นรู้(the
awaken).
ต่อฉัน(to
me).
จิตสำนึก(the
Consciousness).
เช่นนั้นเองที่ประสบการณ์รับรู้ทั้งหลายในตัวของมันเอง(experiences
in itself)คือ
จิตสำนึก(is
Consciousness).
บ่อยครั้งที่มันถูกผสมปนเข้ากับหรือถูกสมาคมกับกลุ่มของวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้ทั้งหลาย(often it is
mixed up with or associated with a group of objects). อะไรคือกลุ่มของวัตถุทั้งหลายเหล่านี้รึ?(what are these group
of objects?) จิต(mind), กาย(body).
ดังนั้นโดยปกติแล้ว,
เมื่อเราพูดและตอบรับ/มีปฏิสัมพันธ์ในโลกนี้(so normally when we speak and
interact in the world), เราได้เพิ่มเติมวัตถุ/สิ่งถูกรับรู้สองสามอย่างเข้าไปในผู้รับรู้(we include a
few objects into the subject). จิตของฉัน(my mind)และกายของฉัน(my body),
อะไรที่ฉันเรียกว่ากายและจิตของฉัน(what I call
my body and mind). นี้ได้ถูกใส่รวมเข้าไปว่าเป็น ตัวฉันเอง(this is
included as I myself). เราใส่มันรวมเข้าไปในผู้รับรู้(we include it
in the subject), แต้มันไม่ใช่ผู้รับรู้(but it’s not
the subject).
ทำไมมันถึงไม่ใช่ผู้รับรู้?(why is it not
the subject?)
ทำไมมันจึงไม่ใช่ฉันตัวจริง? (why is it not really I ?)
เพราะว่าสิ่งเหล่านี้คือ วัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้ทั้งหลาย(because these
are objects).
พวกเขาคือวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้ทั้งหลายของประสบการณ์รับรู้(they are
objects of experience).
ดังนั้น,
ผู้รับรู้และสิ่งที่ถูกรับรู้(the subject and the object), จิตสำนึกและวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้ทั้งหลายของมัน(Consciousness
and its objects), เป็นที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากทัศนภาพของอฑไวตะ(are distinct
from an Advaita perspective).อธิศังกราจารย์ (Adi
Shankaracharya2)กล่าวไว้ว่า, แตกต่างกันเหมือนเช่นแสงสว่างกับความมืด(as distinct
as light and darkness). เหมือนแสงสว่างกับความมืด.
?????????(ภาษาฮินดี)ในอารัมภบทแนะนำสู่พราหมัน,
ศังกราจารย์กล่าวไว้ว่า, ผู้รับรู้กับสิ่งที่ถูกรับรู้(the subject
and the object), จิตสำนึกกับสิ่งที่ถูกรับรู้ทั้งหลายของมัน(Consciousness
and its objects)แตกต่างกันเหมือนเช่นแสงสาว่างกับความมืด(are as
distinct as light and darkness). คุณไม่สามารถ,
พวกเขาไม่สามารถเป็นสิ่งเดียวกันได้(they cannot be the same)พวกเขาไม่สามารถเป็นประเภทเดียวกันได้(they cannot
belong to the same category).
ทีนี้, นำมันมาส่งผลต่อคำถามนี้(bring it to
bear on this question). จิตสำนึกเป็นผลผลิตของสมองหรือไม่?(is
Consciousness a product of the brain?) อะไรคือสมอง?
(what
is the brain?) มันเป็นวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้?(is it an
object?)
อย่างมากเลย. ดังนั้นมันจึงเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายภาพ(it’s part of
physical body). มันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเชิงกายภาพนี้(it’s part of
the physical body).
มันสามารถถูกประสบรับรู้ได้ไหม?(can it be
experienced?)
มันกำลังถูกประสบรับรู้(it
is being experienced). ถ้าคุณมองเห็นภาพสแกนสมองของคุณ(if you see a
scan of your brain), คุณกำลังกำลังมองดูที่, อ้า,
สิ่งที่อ่านออกมาจากสมองของคุณโดยเครื่องมือหนึ่ง(at a
instrument read out of your brain). เมื่อคุณมองที่EEGหรือfmri, คุณกำลังมองดูรายงานทั้งหลายจากเครื่องมือทั้งหลายเกี่ยวกับสมองของคุณอย่างไม่โดยตรง(you
are looking at reports from instruments about your brain).
อย่างไม่โดยตรง(in indirectly),
คุณกำลังทำให้สมองเป็นวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้ของประสบการณ์รับรู้ของคุณ(you
are making the brain an object of your experience).
สมองเป็นวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้อย่างยิ่งต่อแพทย์(the brain is
very much an object to a doctor). อะไรที่คุณเรียกว่าสมองของคุณ(what you call
your brain)เป็นที่แน่ชัดว่าคือวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้หนึ่ง(is exact is
an object),
คือสิ่งเล็กๆของเนื้อที่มีชีวิต(just a little bit of living flesh).
ดังนั้น,
จากทัศนภาพของเวฑานตะ(from an vedantic perspective), ที่บอกว่า,
นั่นคือวัตถุที่ได้ผลิตสร้างจิตสำนึกขึ้นมานั้นเป็นสิ่งน่าขบขัน(that an
object has generated Consciousness). มันเป็นในจิตสำนึก,
โดยจิตสำนึกและผ่านจิตสำนึก(it is in
Consciousness, by Consciousness and through Consciousness)ที่วัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้ทั้งหลายทั้งหมดได้ถูกประสบรับรู้(that all
objects are experienced).
นั่นไม่ได้บอกว่าวัตถุนั้นไม่ได้ทำอะไรต่อจิตสำนึก(that the
object has nothing to do with the Consciousness). มันสามารถที่จะเป็นได้อย่างยิ่ง(it could very
well be).
มันเป็นความจริงว่า, จิตสำนึกนั้นทำงานผ่านร่างกายทั้งหลายของสิ่งมีชีวิต(it
is a fact that Consciousness works through living bodies), และรวมถึงสมองและระบบประสาททั้งหลาย(including
the brain and nervous systems). ดังนั้นพวกเขาได้แตกต่างอย่างทั้งสิ้น(they
are entirely distinct).
แน่นอนว่า,
เวฑานตะ(a
Vedanta)ไปไกลยิ่งกว่า,
ฉันได้เอ่ยถึงไปแล้วว่าขั้นแรกมันไปไกลกว่าอย่างไร(how it goes
one step further), ไม่ใชเพียงแค่จิตสำนึกและวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้นั้นแตกต่างกันทั้งสิ้น(not only
Consciousness and object entirely distinct). จิตสำนึกไม่มีวันที่จะเป็นวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้(Consciousness
is never be an objects), แต่ไปไกลอีกหนึ่งขั้น(one step
further),
วัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้ทั้งหลายไม่ได้แตกต่างอย่างแท้จริงจากจิตสำนึก(objects are
not actually distinct from Consciousness).
เพราะว่า,
มองดูประสบการณ์รับรู้ของคุณสิ(look at your experience), วัตถุทั้งหลายทั้งหมด(al objects), อะไรก็ตามที่คุณกำลังประสบรับรู้(whatever you
are experiencing)หรือว่าสามารถถูกประสับรับรู้ได้(or can be
experience),
ทั้งหมดต่างถูกประสบรับรู้ในคุณที่ตื่นรู้(are all
experienced in you the awareness).
ถ้าพวกเขาได้ปแระสบรับรู้ในคุณผู้ตื่นรู้(if they experienced in you the
awareness)และมีเพียงในความตื่นรู้เท่านั้น(only in the
awareness)พวกเขาแตกต่างจริงๆไปจากความตื่นรู้นั้นรึ?(are they
really from the awareness?)
เวฑานตะบอกว่า,
แค่เป็นแตกต่างนี้ระหว่างสิ่งที่ถูกรับรู้และผู้ถูกรับรู้(just as this
distinction of object and subject),
ที่จริงแล้วมันยึดกุมความจริงในฝันทั้งหลาย(actually it holds true in dreams).
ในความฝันทั้งหลาย(in
dreams)คุณอยู่ที่นั่นและคุณกำลังประสบรับรู้สิ่งทั้งหลายมากมาย(you’re there
and you’re experiencing many things), ผู้คนและสถานที่และสิ่งบังเกิดอยู่ทั้งหลาย(people and
places and happenings). และกระนั้นก็ยังเมื่อคุณตื่นขึ้น9and yet when
you wake up),
อะไรที่คุณพูดก็คือ, ทั้งหมดนั้นได้อยู่อยู่ในจิตใจของฉัน(all that was
in my mind).
เช่นเดียวกัน(similarly), เวฑานตะบอกว่า,
ในภาวะการตื่นขึ้นนี้(in
this waking state), มันไม่ใช่ว่าคุณจะตื่นขึ้นและทันทีนั้นพูดว่า
ทั้งหมดนี้อยู่ในจิตใจของฉันมากกว่า ทั้งหมดของสิ่งนี้ปและจิตใจ,
ทั้งหมดของสิ่งนี้อยู่ในจิตสำนึก(all of this was in my mind
rather all of this and my mind, all of this is in Consciousness right now).
ไม่ได้แยกออกมาจากจิตสำนึกในตอนนี้( is not separate from Consciousness
right now).
และโดยพลังอำนาจของมายา(by the
wonderful power of Maya), นั่นคืออะไรที่เวฑานตะบอก, มันเป็นจิตสำนึกตามลำพังที่ปรากฏเป็นวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้ของตัวมันเอง(it is
Consciousness alone appearing as its own object). แล้วอะไรที่อฑไวตะทำก็คือในขั้นแรกของมันก็คือทำความแตกต่างอย่างกระจ่างชัดระหว่างผู้รับรู้กับวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้(so what
Advaita does is it first makes a clean distinction between subject and object). อย่างไรรึ?(how?) จากประสบการณ์รับรู้ของคุณเอง(from
your own experience), จากตรรกะ(from logic), จากประสบการณ์รับรู้(from experience).
แล้วมันก็ไปไกลอีกเพื่อที่จะลดย่อวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้กลับเข้าไปในผู้รับรู้(and
then it goes further to reduce the object back into the subject),ในทางตรงข้าม, ที่เป็นวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุ(materialistic
science).
ดูที่คำถามนั้น,
คุณสามารถพิสูจน์ได้อย่างไรว่าจิตสำนึกไม่ใช่ผลิตของสมอง(how can you
prove that Consciousness is not the product of the brain). ถ้าจิตสำนึกที่คุณกำลังพูดว่าเป็นจิตสำนึก(if
Consciousness
you are saying Consciousness), คุณคือความตื่นรู้สัมปชัญญะ(you
the awareness).
คุณคือผลผลิตของสสารที่มีชีวิตอยู่/ชีวตินทรีย์ในกายร่างของคุณ(you are
a product of the living matter in your body), ในกะโหลก(in
the skull).
และอะไรที่คุณกำลังพูด,
คุณตัวตื่นรู้/สัมปชัญญะ(you the awareness), ว่าจิตสำนึกว่าคือผลผลิตของวัตถุ/ตัวถูกรับรู้,
ของสสาร(Consciousness
is a product of object, of matter). อย่างมูลฐานแล้ว(fundamentally),
คุณกำลังย่อหดลดตัวรับรู้เข้าไปในวัตถุ/ตัวถูกรับรู้(you’re
reducing the subject into object).
อะไรที่อฑไวตะได้ทำไปแล้วก็คือ(what Advaita
has done is),
อย่างแรกมันได้ทำความแตกต่างอันสะอาดชัดระหว่างตัวรับรู้ล้วน ๆ กับวัตถุ/ตัวถูกรับรู้ทั้งหลายทั้งหมด(first it
makes a clean distinction between the pure subject and all objects).
แล้วก็ย่นย่อหดลดวัตถุ/-ตัวถูกรับรู้ทั้งหลายกลับเข้าไปในตัวรับรู้(and then
reduces the objects back into the subject).
หมายความถึงว่า, ไม่ได้ทุบวัตถุ/ตัวถูกรับรู้ทั้งหมดอัดกลับเข้าไปในตัวรับรู้(means that
not it pounds all objects back into subjects).
คุณก็เห็นได้ว่ามันไม่สามารถถูกแยกออกไปจากคุณ,
ผู้ประสบรับรู้ได้(you just see that it can’t be apart from you, the
experiencer).
แต่อะไรที่วิทยาศาสตร์เชิงวัตถุต้องการจะบอกก็คือ(what
materialistic science wants to say), ทุกสิ่งต้องเป็นสสารวัตถุ(everything
must be matter).
อะไรที่คุณคิดว่าเป็นเช่น
จิตวิญญาณ(spirit)หรือจิตสำนึก(consciousness),หรือจิตใจ(mind),
อะไรก็ตาม, อะไรก็ตามที่คุณสามารถคิดออกมาได้(whatever you can think of),
จะด้วยอย่างไรก็ตาม, ต้องเป็นผลผลิตของสสารวัตถุ(somehow must be a product of
matter).
ดังนั้น,
จากทัศนภาพของเวฑานตะ(from Vedanta perspective),
ทัศนภาพของอฑไวตะ(Advaita perspective),
คำถามนี้ไม่สามารถยอมรับได้อย่างชัดเจน(this question does not stand clearly).
เพราะว่าแม้กระทั่งสมอง(the brain)และระบบประสาท(the nervous
system)และกายร่างที่มีชีวิต(the living
body)ก็คือวัตถุ/ตัวถูกรับรู้ทั้งหลายต่อ
จิตสำนึก(are
objects to Consciousness).
โอเค,
ถกเถียงกันแบบทั่วๆไปมากยิ่งขึ้น(more general discussion), ได้เพิ่งถูกมีกำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่และแนวคิดสมัยใหม่(has been
raised recently in modern science and modern thought),
สองสามศตวรรษที่ผ่านมานี้(couple of decades ago), โดยนักปรัชญาออสเตรเลียนหนุ่มผู้หนึ่ง(by a young
Australian philosopher), เดวิด ชาลเมอร์ส(David Chalmers3). ที่จริงแล้วเขากลายมาเป็นที่มีชื่อเสียงมาก(in fact he
became
3 https://en.wikipedia.org/wiki/David_Chalmers
very famous) ก็เพราะว่าเขายกเอาคำถามนี้ขึ้นมาในที่ประชุมกลายเป็นคำถามอย่างปฏิวัติหนึ่ง
(because he raised this question in a conference became a
revolutionary quest-ion ). ถ้าคุณเปิดในกูเกิ้ล(Google)ตอนนี้, มันได้เป็นประวัติศาสตร์แล้วในตอนนี้. มันได้ถูกชื่อว่าเป็นปัญหาอันยากหนักของเรื่องจิตสำนึก(it’s
called the hard problem of Consciousness).
อะไรที่เขาได้พูดมาจาก,
มันมาจากทัศนภาพความคิดเชิงปรัชญาตะวันตกทั้งสิ้น(from an entirely
Western philosophical thought perspective), ที่อฑไวตะได้เอื้อมไปแล้วเมื่อหลายพันปีมาแล้ว.
เขาได้ยกเอาคำถามนี้ขึ้นมา, ว่ารูปลักษณ์กายภาพสามารถมีชีวิตข้างในได้อย่างไร?(how
can a physical entity have an inner life?).
เราทั้งหมดต่างมีชีวิตข้างใน, ถูกไหม? เราทั้งหมด, เราแต่ละคน(each of
us). เราเป็นอะไรบางอย่างแสดงปรากฏเชิงกายภาพอยู่ตอนนี้ที่นี่(we
are something physically present here).
คุณกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่สามารถถูกมองเห็นได้โดยทุกๆคน(which is
visible to everybody), แต่เช่นเดียวกันคุณก็มีชีวิตข้างใน(have
an inner life)ดำเนินต่อไปอยู่ที่เป็นส่วนตัว(which
is private). มันรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างที่เป็นคุณ(it
feels like something to be you), ที่ไม่มีใครอื่นสามารถประสบรับรู้ได้(which
nobody can experience).
คุณจะพูดว่า,
เย้, แต่อะไรจะไปยิ่งใหญ่นักหนาเหลือเกินกับนั่น? (what’s so great
about that?).
อะไรที่ยิ่งใหญ่นักหนาเหลือเกินในเรื่องนั้นก็คือสิ่งนี้. โต๊ะนี้(this
table)หรือเก้าอี้นี้(this chair),
หรือสถานที่นี้(or this place here),
มันสามารถถูกอธิบายได้อย่างสมบูรณ์สิ้น(it can be completely described), มันสามารถถูกเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์สิ้นโดยการมองดูที่มัน(it
can be completely understood by looking at it). และตรวจสอบคุณสมบัติทั้งหลายของมันอย่างเป็นจริงโดยตรง(and
examining its properties objectively). เอ้อ, คุณ,
ไม่มีอะไรมากไปกว่ากับมันอีก(there’s nothing more to it). ไม่มีด้านคู่ตรงข้ามต่อมันอีก(there’s no dual side to
it).
มันไม่มีเหตุผลสาระอะไรที่จะถามว่า,
นาฬิกานี้รู้สึกอย่างไรข้างใน(how does this clock feel inside). มันรู้สึกเหมือนอย่างไรแบบว่า ที่เป็นนาฬิกา(how does it feel
like to be a clock). มันรู้สึกเหมือนอย่างไรที่เป็นนาฬิกา(how
does it feels like to be a clock). ไม่เลย,
ไม่มีเหตุผลสาระอะไรเลย. คำถามนี้ไม่มีความหมายอะไร(the question has no
meaning).
คุณอาจพูดว่า,
คุณรู้ได้อย่างไรว่านาฬิกาอาจจะรู้สึกตัวรับรู้ข้างใน? (how do you know
the clock might be conscious inside?) อ้า, ไม่มีเหตุผลใดที่จะพูดเช่นนี้(there’s
no point to say this). เพราะว่าเราไม่มีหลักฐานใดที่จะแสดงถึงนั่นได้(because
we have no evidence to show that).
มันไม่ได้สาธิตหรือแสดงความเป็นไปได้อย่างใดของการมีชีวิตข้างใน(it does
not demonstrate or show any possibility of having an inner life), รูปลักษณ์เชิงกายภาพ/รูปธรรม(a physical entity). นี่เป็นรูปธรรมอันสลับซับซ้อน, เป็นนาฬิกา(this is a complex
entity, a clock).
รูปธรรม/รูปลักษณ์เชิงกายภาพเหมือนนาฬิกานี้(a
physical entity like this clock), หรือในคำศัพท์ทางเวฑานตะว่า
วัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้(in Vedantic terms an object), ไม่มีชีวิตอยู่ข้างใน(has no inner life).
ทั้งหมดที่คุณสามารถเห็นได้ก็คือทั้งหมดที่มันเป็น(all you can see of
it is all it is).
ยิ่งคุณตรวจสอบมันอย่างเป็นจริงเป็นจังไม่ลำเอียง, ด้วยกล้องจุลทรรศน์(the
more you examine it objectively} with microscopes),
และกล้องจุลทรรศน์ไฟฟ้า(an electro microscope)และทั้งหมดนั้น(and
all),
มันก็จะเปิดเผยออกมายิ่งมากขึ้นๆของธรรมชาติวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้ของมัน(it
will reveal more and more of its objective nature).
ไม่มีอะไรอย่างเป็นนามธรรม/อัตวิสัยอย่างผู้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย(there’s
nothing subjectively about this).
ไม่มีอะไรอยู่ข้างในกับมันเลย(nothing inner to it).
ไม่มีอะไรเหมือนเช่นที่มันเหมือนเป็นนาฬิกาเรือนหนึ่ง(nothing like what
it is like to be a clock).
แต่มีความเหมือนอย่างชัดเจนว่าในอะไรมันว่ามันเหมือนจะเป็นคุณ(there is
certainly like what it is to be you)ที่คุณรู้สึกอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน(you
feel something inside).
ในเชิงกายภาพแล้วมันสามารถอย่างไร,
ตอนนี้นี่เป็นปัญหาอย่างหนักของจิตสำนึก(now this is the hard
problem of Consciousness),
รูปลักษณ์/รูปธรรมเชิงกายภาพสามารถอย่างไร, เหมือนนาฬิกานี้, (how can a
physical entity just like this clock), สมองและระบบประสาทในกายร่างที่มีชีวิตนี้(the
brain and the nervous system in the living body), มีทวิธรรมชาติ/ธรรมชาติคู่ตรงข้ามกัน(have
a dual nature)คือ รูปธรรม/ธรรมชาติกายภาพ(physical
nature)แล้วก็ยังมีธรรมชาติของอัตวิสัย/นามธรรมข้างใน(and
also inner subjective nature), ธรรมชาติของวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้กับธรรมชาติของผู้รับรู้/อัตวิสัยข้างใน(objective
nature and inner subjective nature). ได้อย่างไรกัน?(how?)
และคำถามนี้ได้ถูกนำเข้ามาเกี่ยวพันกับเรามากยิ่งขึ้นในทุกวันนี้(this
question has taken on more relevance today). เมื่อคุณกำลังผลิตแพร่หลาย,
คุณกำลังพัฒนาปัญญาประดิษฐ์(when you are generating you
developing artificial intelligence), คอมพิวเตอร์ทั้งหลายที่สามารถลอกเลียนทำกิจกรรมทั้งหลายทั้งหมดของเราได้(computers
which can mimic all our activities). พวกมันสามารถพูดคุย(they
can talk), พวกมันสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับคุณ(they can
interact with you). พวกมันสามารถทำงานอาชีพทั้งหลายได้ทุกชนิดทั้งหมด(they
can do all kinds of jobs).
พวกมันมีปัญญาฉลาดเพราะว่าพวกมันแสดงถึงภารกิจทั้งหลายด้านปัญญา(they
are intelligent because they perform intelligent tasks).
แต่พวกมันสำนึกรู้อยู่ข้างในไหม?(but are they aware inside?).
แม้กระทั่งวิศวกรทั้งหลายที่ดีที่สุดของกูเกิ้ล,
ไอบีเอ็ม และอีกทั้งหลายทั้งหมดนั้น(even the best engineers of
Google, IBM and all), ไม่มีใครจะพูดได้ว่า, ผลิตภัณฑ์ของฉัน,
เครื่องจักรของฉันมีสัมปชัญญะ/ความตื่นรู้ข้างใน(my product, my
machine has inner awareness). ไม่(no). มันเป็นแค่เครื่องจักรหนึ่ง(it’s just a machine), ทำหน้าที่การงานได้ด้วยอัลกอริธึ่ม/ชุดลำดับคำสั่งทั้งหลาย(functioning
with algorithms4).
มันอยู่ที่นั้น(it’s
there)และมันสามารถลอกเลียนกิจกรรมทั้งหลายทั้งหมดของพวกเราได้(it
can mimic all our activities).
ถึงแม้ว่าเราจะได้ไปไกลถึงการที่จะสาธิต(even
we have gone so far as to demonstrate)ว่า
ปัญญานั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องมีจิตสำนึก(intelligence may not
require Consciousness), ใครบางคนกล่าววางมันเอาไว้(somebody
puts it).
ตอนนี้เรากำลังเริ่มต้นที่จะเข้าใจในยุคสมัยของเครื่องจักรมีปัญญาทั้งหลาย(now
we are beginning to understand in the age of intelligent machines).
เรากำลังเริ่มต้นที่จะเข้าใจ.
ว่าคุณไม่จำเป็นต้องมีปัญญา(you don’t have to be intelligent), คุณไม่จำเป็นต้องมีปัญญาที่จะมีทุกข์(you don’t
have to be intelligent to suffer). สัตว์หนึ่ง(an animal), กบตัวหนึ่ง(a
frog)หรือสุนัขตัวน้อยข้างนอกนั่น(or a little dog
out there), สุนัขทั้งหลายมีปัญญากันดี(dogs are
pretty intelligent). แต่, พูดกันได้ว่า, กบตัวหนึ่ง(a
frog), ตุ๊กแกตัวหนึ่ง(a lizard)หรืออะไรบางอย่าง(or
something), มันมีทุกข์(it suffers). เมื่อมันเจ็บปวดและมันกำลังตาย, มันมีทุกข์(when it’s
hurt and it’s dying, it suffers).
มันไม่ได้เฉลียวฉลาดพิเศษแบบคอมพิวเตอร์ทั้งหลายของคุณ(it’s
not particular intelligent your computers)ทุกวันนี้ในเครื่องจักรปัญญาประดิษฐ์ทั้งหลาย(today
in the artificial intelligence machines)ที่ชาญฉลาดยิ่งกว่าสัตว์เล็กๆนั้นในบางหนทางทั้งหลาย(are
more intelligent than that little creature in some ways),
ที่สามารถทำการงานใหญ่โตทั้งหลายได้กระทั้งสิ่งมีชีวิตนั้นไม่อาจจินตนาการได้(can
do enormous tasks which that creature cannot even imagine).
และกระนั้นก็ตาม,
สิ่งมีชีวิตนั้นสามารถที่จะมีทุกข์/เจ็บปวดได้(can suffer), แต่คอมพิวเตอร์ไม่สามารถมีทุกข์ได้(but the computer
cannot suffer).
ความคิดในเรื่องความมีทุกข์(of
suffering), ความเจ็บปวด(of pain)รวมทั้งจิตสำนึกนี้(includes
this Consciousness). บุคคลประสบรับรู้ที่ 1 (first
person experience), ต้องมีความรู้สึกข้างในของความพอใจ,
ของความเจ็บปวด(there must be a inner feeling of pleasure, of pain)ที่คอมพิวเตอร์หนึ่งไม่สามารถประสบรับรู้ได้(which a computer
cannot experience).
ดังนั้น, เครื่องจักรเชิงวัตถุ/สิ่งที่ถูกรับรู้(an
objective machine), วัตถุหนึ่ง(an object), อะไรบางอย่างที่เป็นสสารทั้งสิ้น(something which is
matter entirely), สสารที่จะแสดงการกระทำมากมายของการมีสำนึกรับรู้(can
perform many of the activities of conscious being),
แต่กระนั้นก็ยังปราศจากการมีสำนึกรับรู้(without being
conscious).
และเรามีสำนึกรับรู้(and
we are conscious). ได้อย่างไรรึ?(how?)
ฉันอ้างถึงคำถามนี้ในฐานที่เป็นหนึ่งในคำถามสำคัญทั้งหลายมากที่สุดในสมัยของเรา(as
the most important questions of our time).
ปัญหาที่ยากหนักหนาของเรื่องจิตสำนึก(the hardest problem of
Consciousness). ถึงแม้ว่ามันจะได้ถูกถามมาหลายพันปีล่วงมาแล้ว,
เป็นครั้งแรกที่มันกำลังทำการกลับมาในยุคสมัยนี้(for the first time it
is making a comeback in this age),
เมื่อวิทยาศาสตร์ได้ก้าวหน้าไปอย่างมากเหลือเกิน(when science has
progressed so much).
เราในตอนนี้กำลังเริ่มต้นที่จะถามที่สำคัญมากที่สุดของคำถามทั้งหลายนี้(are
now beginning to ask this important of questions).
แล้วก็มีคำตอบหลายอย่างกับมัน(and there are multiple answers to it).
ดังนั้นฉันจึงมีความสุขอย่างมากที่เดวิด
ชาลเมอร์ส(David Chalmers)ผู้กลายเป็นมีชื่อเสียงเพราะหนึ่งในคำถามที่เขาได้ถามไว้.
ฉันมีความสุขมากที่ได้เห็นนั่นในที่นี้, เขาอยู่ที่นี่ในนิวยอร์ค,
เขาเป็นหัวหน้าของแผนกจิต, สมอง, จิตสำนึก ในมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค(he
is the head of the mind brain Consciousness in New York University). และเมื่อเร็วๆนี้ฉันได้พบกับเขาและฉันได้บอกว่า,
มีสองคำถามสำคัญในแนวความคิดสมัยใหม่, ความคิดแบบตะวันตก จากทัศนภาพของเวฑานตะ(there
are two important questions in modern thought, Western thought from Vedantic
perspective).
มาร์ติน ไฮเดกเกอร์(Martin
Heiger5), ผู้คือหนึ่งในนักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ของศตวรรษที่ 20 ( was one
of the greatest philosophers of 20th century).
ชื่อของเขาในตอนนี้แปดเปื้อน,
เพราะเขาถูกนำไปสับสนปนกับพวกนาซี(he
got mixed up with the Nazis). แต่นั่นไม่ได้หันเหไปจากความจริงที่ว่า,
เขาเป็นนักปรัชญาที่ปราดเปรื่อง(but not distract from the fact that he
was a brilliant philosopher).
เขาถามคำถามขึ้นมาว่า,
อะไรคือการมีชีวิต?(what is existence being?)
และตอนนี้คุณกำลังถามคำถามนั้น, อะไรคือจิตสำนึก?(what
is Consciousness?)
ในทัศนภาพของเวฑานตะ6(from Vedanta
perspective), นี้คือสองคำถาม(these are the two
questions), เกี่ยวกับสัต7(Satta)กับจิต8(Chit). คำถามทั้งหลายได้ถามกันมา,
คำตอบ
6 https://tandhava.in.th/index.php/philosophy-vedanta/
7 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95
8 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95
นั้นอยู่ไกลห่างไปมากในความคิดสมัยใหม่(answers are
far away in modern thought). แต่ฉันดีใจมากที่คำถามเหล่านี้ได้ถูกถามขึ้นมาในวันนี้(I’m very glad
these questions have been asked today).
อะไรคือสิ่งมีชีวิตในตัวของมันเอง(what is existence itself), ไฮเดกเกอร์,
อะไรจริงๆคือจิตสำนึก?(what is really Consciousness?). แน่นอน, ฉันคิดว่าเขาเขิน(blushed)เมื่อฉันได้ถามนั้น.
เมื่อฉันได้เปรียบเทียบมันให้กับไฮเดกเกอร์, แต่มันก็เป็นความจริงที่ว่า,
เหล้านี้คือคำถามขั้นมูลฐาน(these are fundamental questions).
เอ้อ, ในอีกวันอื่นต่อมา(it was just the other day at The Institute of advanced studies), ศาสตราจารย์ เจ อยู่ในที่นี้(professor J is here)ผู้ให้การนำเที่ยวเราอย่างมหัศจรรย์มาก(who give us a very wonderful tour), สวามีปริอันได้เคยมา. และนั่นคือที่ซึ่งไอน์สไตน์ได้ทำงาน, เอเปนไมเออร์, ฟอน นีแมน, โกเดล, มีหนึ่งในสุดยอดสมาชิกทั้งหลายของคณะวิทยาลัยนี้(there one of the top faculty members), มีเอ็ด วิตเตน(Ed Witten9)ที่เป็นนักฟิสิกซ์(a physicist). ถ้าคุณค้นหาเขาในกูเกิ้ล,
มันก็จะมีคำอธิบายว่าเขาคือชายผู้ฉลาดมากที่สุดที่มีชีวิตอยู่
9 https://en.wikipedia.org/wiki/Edward_Witten
ในวันนี้.
อะไรที่กูเกิ้ลหรือในอินเตอร์เน็ตจะบอกเช่นนั้น, แต่เปรียบเทียบได้กับสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดที่เราได้มีคือไอน์สไตน์ของทุกวันนี้(is compared
with the closest thing we have got to Einstein today).
ทีนี้,
ทำไมถึงนำเรื่องนี้ขึ้นมา, คือมีคำสัมภาษณ์สั้นๆกับเขาเกี่ยวกับเรื่องจิตสำนึก(a
short interview with him about Consciousness),
ฉันประหลาดใจเพราะว่านั่นไม่ใช่ด้านของเขา(because that’s not his
field), ด้านของเขาคือทฤษฎีสตริง(his field is
string theory10). แต่
10 https://youtu.be/OJj_UVPOPDg?si=WpcBIcHzQmtQKxz8
ก็ชัดเจนว่าเขานั้นเป็นบุคคลที่มีปัญญาชาญฉลาดอย่างน่าเกรงขาม(obviously a
tremendous intelligent person), มีความหยั่งรู้อย่างยิ่งในตอนนี้(very
perceptive now). เขาถูกถามในทันทีทันใดเกี่ยวกับจิตสำนึก(he was asked
suddenly about Consciousness). และมีว่าถ้าคุณกูเกิ้ลหา
เอ็ด วิตเตน(Ed
Witten)
จิตสำนึก(Consciousness),
คุณจะเจอมันที่ใน
YouTube แค่ 5 นาที. และเขาก็ให้คำตอบที่สามารถเข้าใจอย่างยิ่ง(he
gives a very perceptive answer). เขาพูดว่า, ในขณะที่เราทำการศึกษาต่อไปในเรื่องสมอง(as
we go on studying the brain), เห็นมั้ย, ฉันไม่ได้ลืมคำถาม,
กำลังกลับมาที่คำถามนี้, ในขณะที่เราทำการศึกษาสมองต่อไป,
เราก็จะเรียนรู้มากยิ่งขึ้น, ยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสมอง. แต่ผมคิดว่าจิตสำนึกจะยังคงเป็นความลี้ลับ(but
I think Consciousness will remain a mystery), นั่นคืออะไรที่เอ็ด
วิตตันฺพูด.
นั่นไม่ใช่จะพูดว่า, จิตสำนึกไม่ได้สมาคมเกี่ยวพันกับสมองหรือระบบประสาท(not to say
Consciousness is not associated with the brain and nervous system),
แต่บอกว่า, มันไม่ได้ถูกผลิตสร้างขึ้นมาโดยสมองหรือระบบประสาท(it’s not
produced by the brain and nervous
system).
อะไรคือทฤษฎีของเดวิด
ชาลเมอร์(David Chalmers’s theory). เขาบอกว่า, จิตสำนึกทั้งหมดแผ่ซ่านกระจายไปทั่ว,
มันสามารถเป็นได้(Consciousness is all pervasive, it could be). เขาบอกว่า มันสามารถเป็นได้. เขาเรียกว่ามันเป็นความคิดที่บ้าบอ(he
calls it a crazy idea). ดังนั้นมันสามารถเป็นได้ว่า, จิตสำนึกทั้งหมดได้แผ่ซ่านกระจายไปทั่วและมันทำงานผ่านสมอง(it
could be that Consciousness is all pervasive and it works through a brain). มะนทำงานผ่านสมองและระบบประสาท(it works
through a brain and nervous system).
และนั่นคือทำไมมันถึงดูเหมือนว่ามันได้ถูกผลิตสร้างขึ้นมาโดยสมอง(it seems that
it is produced by the brain). พวกคุณทั้งหมดเดินผ่านประตูนั้นเข้ามา(all of you in
through that door)ในตอนนี้ฉันไม่ได้รู้ว่าคุณใส่เสื้อผ้าอะไร(didn’t know
what you wear), ฉันก็ควรจะพูดว่า ประตูนั่นช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก,
มันช่างสามารถผลิตสร้างผู้คนได้มากมายเหลือเกิน(that door is fantastic it
produced so many people). มันได้ผลิตสร้างผู้คนทั้งหมดเหล่านี้(it produces
all these people)และมันก็ดูดซึมผู้คนทั้งหมดเหล่านี้(it absorbs
all these people). พวกเขาผุดขึ้นมาจากประตูและพวกเขาก็หายกลับเข้าไปในประตู(the arise
from the door and they disappear back into the door). โอ้ ประตูผู้ทรงอำนาจ(oh Almighty
door).
ไม่เลย.
ประตูแทบจะไม่ได้มีอะไรทำกับคุณเลย(the door has almost nothing to do
with you).
มันแค่ถูกทำรูปร่างในหนทางที่จะยอมให้คุณเข้ามาและออกไป(it’s been
shaped in such a way which allows you in and out).
เอาละ, กลับไปที่คำถามแรกนั้น, มันก็ง่ายน่าดูล่ะ.
เขาบอกว่า, ประจักษ์พยาน(witness), จิตสำนึก(Consciousness)และอัตตา/ตัวตน(the ego). ประจักษ์พยาน(witness)จิตสำนึก(Consciousness)และอัตตา/ตัวตน(and the ego)เหล่านี้เป็นเรื่องทั้งหลายที่ละเอียดประณีตอย่างมากในเวฑานตะ(are
very defined terms Vedanta). อัตตา/ตัวตน ถูกเรียกว่าอหังการ(ego
is called Ahankar), (พูดภาษาฮินดิ)......., นั่นที่พูดว่า ฉัน ฉัน ฉัน,
และบอกว่าอะไรคือนั่นให้ดูข้างในคุณ, ฉัน(and say what that look
inside you, I). ฉันกำลังนั่ง, ฉันกำลังพูดคุย, ฉันกำลังเดิน.
ผมมีความสุข(I’m happy), ผมไม่มีความสุข(I’m
unhappy). ฉันยึดถือเรื่องจิตวิญญาณ(I’m spiritual), ฉันไม่ยึดถือเรื่องจิตวิญญาณ(I’m not spiritual). ฉัน ฉัน ฉัน(I I I).
นี้คือหน้าที่ทำงานของจิต(this is a
function of the mind), ไม่มีอะไรมากไปกว่าหน้าที่ทำงาน(nothing more
than a function of the mind). และจำไว้ว่าตามคำกล่าวของเวฑานตะ(according to Vedanta),
แม้กระทั่งจิต(even
the mind),
เป็นตัวรับรู้หรือว่าตัวถูกรับรู้?(subject or
object?)
ควรจะเป็นที่แน่นอนใจว่า
คุณได้ประสบรับรู้จิตของคุณเองไหม?(should be confident, do you
experience your own mind?) คุณสามารถประสบรับรู้จิตของตัวคุณเองได้ไหม?(can you
experience your own mind)? ใช่. มองเข้าไปข้างในแล้วคุณก็จะค้นพบ(look inside
you’ll find).
ถ้าคุณสามารถที่จะประสบรับรู้ได้, มันก็เป็นวัตถุ/ตัวถูกรับรู้(if you can
experience it, it’s an object). แล้วอัตตา/ตัวตน(the ego)ที่เป็นหน้าที่การงานของจิต(a function of
the mind),
มันเป็นตัวรับรู้หรือวัตถุ/ตัวที่ถูกรับรู้?(is it a
subject or an object?) เป็นวัตถุ/ตัวถูกรับรู้สิ(object!).
นี่คือค้อนฟาดของเวฑานตะ(this is the hammer blow of Vedanta), การหยั่งรู้ตนอันเลิศล้ำ(the stunning Insight).
อะไรที่ทุกคนยอมรับว่าเป็นเช่นตัวรับรู้/อัตวิสัย(what
everybody accepts as the subject), ตลอดไปทั้งหมดของปรัชญา,
วรรณคดี, ทุกๆแห่ง(all
throughout philosophy, literature, everywhere), อะไรคือ ฉัน
ตัวรับรู้? (What
is I the object?)
เวฑานตะกล่าวไว้ว่า, ฉัน
ที่ได้ประสบรับรู้ เป็นเช่นอัตตา/ตัวตน(the I which is
experienced as the ego), ฉันผู้ประสบรับรู้(the
experience I), ระวังให้มาก(very careful), ฉันที่ได้ประสบรับรู้ คือตัวถูกรับรู้(the
experienced I is an object). มันอย่างง่ายๆเป็นหน้าที่การงานหนึ่งของจิต(it’s
simply a function of the mind).
เป็นตัวถูกรับรู้
ของอะไร?(an
object to what?)
เป็น
ตัวถูกรับรู้ ของประจักษ์พยานจิตสำนึก, ศักติ(an object to
the witness Consciousness, Shakti11), เป็น
วัตถุ/ตัวถูกรับรู้ ของอาตมัน, ของคุณ(an object to
Atman,
11https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B4
to you) ผู้ตื่นรู้/สัมปชัญญะ(the awareness), คุณส่องแสงมายังจิต(you shine
upon the mind)และจิตก็ทำหน้าที่การงานในหนทางทั้งหลายเหล่านี้(and the mind
functions in these ways), อหังการ(Ahankar12), อัตตา/ตัวตน(ego), จิตตะ(chitta - จิตที่ตื่นรู้), ความทรงจำ
12 https://book.watnyanaves.net/dictionary/display/2565
(memory), มนัส(manus)รูปลักษณ์ความพินิจพิเคราะห์ของจิต
(the
cogitating aspect of the mind), พุทธิ(buddhi), ปัญญา(intellect).
เหล่านี้เป็นรูปลักษณ์หลากหลายทั้งหลายของเครื่องมือเดียวกัน,
คือวัตถุ/ตัวที่ถูกรับรู้(these are various aspects of the same
instrument, an object). มันเป็นเครื่องมือหนึ่ง(it’s an
instrument),
รวมทั้งอัตตา/ตัวตน(the ego). นั่นคือทำไมศังกราจารย์
(Shankaracharya)ขับขานไว้ว่า, (ภาษาฮินดี)…….ฉันไม่ใช่จิต(I am not the mind), ฉันไม่ใช่ปัญญา(I
am not the intellect), ฉันไม่ใช่ความทรงจำ(I
am not the memory), ฉันไม่ใช่อัตตา(I
am not the ego). ในตามตัวอักษรแล้ว(literally), ถ้าคุณแปลไปเป็นภาษาอังกฤษ, มันจะกลายเป็นว่า ฉันไม่ใช่ฉัน
(if you translate in English, it will become I am not I).
มันฟังดูขัดแย้งกัน(it sounds
contradictory), แต่ถ้าคุณมองไปที่ในประสบการณ์รับรู้ของคุณ(but if you
look at in your experience), มันไม่ได้ขัดแย้งอะไรเลย
มันเป็นเรื่องสาระของประสบการณ์รับรู้อย่างสามัญ(it’s a matter of common
experience).
ทุกคนประสบรับรู้มันกันอยู่ตลอดเวลา(everybody experiences it all the
time).
เราไม่ได้ให้ความสนใจในประสบการณ์รับรู้นั่น(we don’t pay
attention to that experience).
ดังนั้น,
ใช่เลย. ศักติและอัตตานั้นแตกต่างกัน(the Shakti
and the ego are different). อัตตา/ตัวตน
นั้นคือหน้าที่การงานของจิต(the ego is a function of the mind).
ฉันจำได้ว่าคำถามนั้นคืออะไร, แต่ฉันกำลังพูดว่าฉันกำลังขอให้คุณทวนคำถามนั้นอีกครั้งในวิธีนี้(I’m saying I
am asking you to rephrase the question in this way). อัตตา/ตัวตนนั้นเป็นวัตถุ/ตัวถูกรับรู้
ไม่สามารถเป็นจิตสำนึกประจักษ์พยานนั้นได้(the ego being
an object cannot be the witness Consciousness). จิตสำนึกประจักษ์พยานแยกแยะวินิจฉัยตัวมันเองด้วยอัตตา/ตัวตน(the witness
Consciousness identifies itself with the ego), หรือว่าอัตตา/ตัวตนแยกแยะวินิจฉัยตัวเองด้วยจิตสำนึกประจักษ์พยาน(or the ego
identifies with the witness Consciousness).
และด้วยกันนั้นเราไม่แบ่งแยกมัน(and together we don’t distinguish it).
ด้วยกันนั้นเราพูดว่า ฉัน(together we say I),
แต่มันก็แตกต่างกันเสมอ(but
it is always different).
อัตตา/ตัวตน
มาแล้วก็ไป(the
ego comes and goes).
คุณหายไปเมื่ออัตตา/ตัวตนนั้นหายไปด้วยหรือไม่?(do
you disappear when the ego disappears?). ไม่เลย, ในการหลับลึก(in
deep sleep). ไม่. อัตตา/ตัวตนทำให้คุณหายไปไหม? นั่นอาจจะเป็นคำถามที่น่าสับสน(that
might be confusing question), แต่ในบางครั้งอยู่ในสภาวะตื่นอยู่(but
sometimes in waking state).
เมื่อคุณทำงานหนักอยู่(when you are
hard at work),
มุ่งมันจดจ่อเต็มที่กับการเล่นของเกมเทนนิส, เทเบิล เทนนิส หรืออะไรบางอย่าง(fully
concentrated playing of a game of tennis, table tennis or something), หรือว่าแพทย์กำลังแสดงการผ่าตัด(or a doctor
performing an operation),
หรือว่าคุณได้ถูกซึมซับอยู่กับงานวิจัยค้นคว้าของคุณในห้องปฏิบัติหรือในสำนักงานของคุณ(or you’re
absorbed in your research in your laboratory or in your office),
คุณลืมสำนึกของความเป็นฉันไป(you forget your I sense).
ที่จริงแล้ว,
ใครก็ตามผู้ที่เป็นนักดนตรี(anybody who’s a musician),
คุณจะรู้ว่าเมื่อถ้าคุณอยู่ในความสำนึกถึงตนเอง
คุณก็ไม่สามารถเล่น(ดนตรี)ได้อย่างเหมาะสม(you know that if you’re
self-conscious you can’t play properly).
เมื่อคุณกำลังเล่น(ดนตรี)ได้ดี(when you’re playing well),
เมื่อคุณกำลังให้การแสดงอันน่ามหัศจรรย์(when you’re giving a wonderful
performance),
คุณไม่ได้อยู่ในสำนึกถึงตนเอง(you’re not self-conscious). ฉันกำลังเล่นดนตรี(the I am playing), ความคิดนี้จำเป็นต้องหายไป(this thought has to disappear), นั่นคือที่เรียกว่าลื่นไหลไปในดนตรี(that’s called flow in
music).
ดังนั้นสัมผัสรู้สึกของ
ฉัน นี้มาแล้วก็ไป(so
this I sense comes and goes). มันไม่ได้ถาวร(it’s
not permanent). ถ้าคุณ, คุณมาและไปหรือไม่
เมื่อคุณกำลังเล่นเทนนิสและไม่มีสัมผัสรู้สึกถึงฉัน(if you, do
you come and go when you are playing tennis and there’s no sense of I), หรือว่าคุณกำลังเล่นกีต้าร์, ฉันไม่ได้ทำหน้าที่การงาน,
มันไม่ได้อยู่ที่นั่น(or you’re playing guitar you absorbed in it, the
I is not function, it’s not there). อัตตา/ตัวตน
ไม่ได้อยู่ที่นั่น(the ego is not there),
คุณอยู่ในการไหลรื่นนั้น(you are in flow).
คุณจะพูดไหมว่าคุณไม่ได้อยู่ที่นั่น? แล้วใครกำลังเล่นอยู่?(then who’s
playing?)
คุณอยู่ที่นั่น(you are
there).
ที่จริงแล้วคุณตื่นตัวมากยิ่งกว่าปกติอีก(in fact you more alert than usually),
นั่นเป็นประสบการณ์รับรู้ทางอารมณ์ความรู้สึกอย่างมาก(that’s a very
feeling experience). ประสบการณ์รับรู้ของการไหลตาม(the
experience of flow).
เมื่อทุกอย่างกำลังไปอย่างสมบูรณ์(when
everything is going perfectly), ประสบการณ์รับรู้ของการไหลตามนั้นคือประสบการณ์รับรู้ที่เติมเต็มอย่างมากที่สุด(the
experience of flow is most fulfilling experience),
การเติมเต็มมากยิ่งไปกว่าประสบการณ์รับรู้ทั้งหลายถือเอาแต่ตนเอง(more
fulfilling than egotistic experiences).
ดังนั้น,
ซูซาน แบล็คมอริ์(Susan Blackmore13), ผู้เป็นนักเชี่ยวชาญด้านศึกษาทั้งหลาย
13 https://en.wikipedia.org/wiki/Susan_Blackmore
ในเรื่องจิตสำนึก(who as an
expert on Consciousness studies), ผู้ได้เขียน The Oxford เป็นคำนำสั้นมากกับเรื่องจิตสำนึก(very short
introduction to Consciousness), ฉันคิดว่าเป็น ซูซาน
แบล็คมอริ์นะ, เธอเปรียบเทียบอัตตา/ตัวตนนี้กับหลอดไฟ(เล็กๆ๗ในตู้เย็น(she
compares this ego subject to a light in a refrigerator). เมื่อคุณเปิดประตูตู้เย็น
หลอดไฟก็จะติด(when you open the door the light is on), เมื่อคุณปิดประตู, หลอดไฟเปิดอยู่หรือว่าปิด? (when you close
it, the light on or of?) เมื่อไหร่ที่คุณจะตรวจสอบมัน,
มันก็เปิดขึ้นอยู่(the moment you try to check it’s on again).
มันเป็นเหมือนเช่นนั้น(it’s like
that).
อัตตา/ตัวตนเป็นเช่นนั้น(the ego is like that). จิตสำนึกก็ทั้งหมดเคยเป็นเช่นนั้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น