หน้าเว็บ

วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2567

สวามี สารวาปริญานันฑะ - ถ้าเราเป็นทั้งหมดหนึ่งเดียว, ทำไมเราทั้งหมดจึงช่างแตกต่างกันเหลือเกิน?

 สวามี สารวาปริญานันฑะ - ถ้าเราเป็นทั้งหมดหนึ่งเดียว, ทำไมเราทั้งหมดจึงช่างแตกต่างกันเหลือเกิน?

         https://youtu.be/YnW41rykyMU?si=uZTsYO5-hCyPP9xL



พิธีกร: คำถามจาก ดียู, มีแนวความคิดของ ฟริตจอฟฟ์ คาปรา(Fritjof Capra1)เรื่องการมีอยู่ของ

1https://www.facebook.com/205830399601778/photos/a.207595199425298/273616202823197/?type=3

จักรวาลนี้(being of this universe)และในการบรรยายสอนเรื่อง ไวอานะ ไวฑานตะ(Viana Vidanta), อายัน มาราช(Ayan Maraj)ได้พูดว่า ถ้าจักรวาลนี้มีอยู่เช่นนั้นแล้วจักรวาลนี้ต้องเป็นพรหมันโดยตัวมันเอง(if this universe exists then this universe must be Brahman2 itself). ท่านได้โปรดสามารถทำความกระจ่างได้ไหม?(can you please clarify?)

         2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99



สวามี ปริญานันฑะ:   เอาละ. คุณมีคำถามอีกไหม? ที่ฉันถามก็เพราะว่าคำถามนี้เป็นที่หนักหนาอันหนึ่ง(a heavy one).

พิธีกร: เราเป็นหนึ่ง หรือว่าเราคือหนึ่งทั้งหลายนั้นของคุณลักษณะทั้งหลายที่นับว่าแรกเริ่ม, คนสองคนในสถานการณ์เดียวกันเลือกที่จะตอบสนองอย่างแตกต่างกัน(are we one or we the ones with the same originality account characteristics, two people in the same situation choose to respond differently). ทำไมมีการตอบสนองทั้งหลายที่แตกต่างกันในเมื่อเราทั้งคู่เป็นจิตสำนึกเดียวกัน(why are different responses when the reality is that we both are the same Consciousness?) ถ้าเราทั้งหมดคือหนึ่งเดียวกัน แล้วทำไมเราเผชิญหน้าต่อผลกระทบของการกระทำทั้งหลายของเรากับกรรมอย่างเป็นปัจเจก(if we are all one why do we face the effect of our actions on Karma individually). ฉันรับผิดชอบเป็นการส่วนตัวต่อการกระทำทั้งหลายของฉัน หรือว่ามันเป็น ฉัน ผู้ทรงสัจธรรมอันสูงสุดที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วที่จะกระทำหนทางนี้ (am I individually responsible for my actions or is it I the Supreme reality that is predestined to act this way?).

สวามี สารวาปริญานันฑะ:    ฉันคิดว่าจะรับเอา(คำถาม)อันนั้น, มันดูจะง่ายที่สุด. ที่ว่า เราเป็นหนึ่งเดียว หรือว่ามากมาย(are we one or many)? ถ้าเราเป็นเวฑานตะ, ดูเหมือนจะบอกว่า เราคือหนึ่งจิตสำนึก(We Are One Consciousness).

แต่กระนั้น, ผู้คนก็มีปฏิกิริยาอย่างแตกต่างกันในสถานการณ์ทั้งหลายเดียวกัน(people react differently in the same circumstances). ดังนั้นทำไมจึงมีความแตกต่างกันนี้ในท่ามกลางพวกเรา?(why is this difference amongst us?) ถ้าเราเป็นหนึ่งเดียว(if we are one).

คำตอบนั้นไม่ได้ยากมากที่จะให้ได้เลย(the answer is not very difficult to give). ถ้าคุณจำเอาไว้ในจิตกระจ่างชัดซึ่งฉันได้พูดถึงไปแล้ว(keep in mind the clear division I spoke about), ว่าคุณคือจิตสำนึกตัวรับรู้ล้วน ๆในตอนนี้(you are the pure subject Consciousness right now). แล้วในตอนบนของสิ่งนั้นหรือการได้ถูกสมาคมทั้งหลายนั่นที่มาเป็นหนึ่งชั้นผิวของจิต(and on top of that or associated that with comes one layer of mind). ด้วยจิตที่ฉันกำลังใช้คำในความหมายที่กว้าง(by mind I’m using a broad term), จิต(mind), ปัญญา(intellect), ความทรงจำ(memory), บุคลิกภาพทั้งปวง(the entire personality), ที่เข้ามาสู่จิตสำนึก(that comes over Consciousness)เหมือนแสงกำลังส่องผ่านหน้าต่างกระจกสีนั้น(like light shining through the stained glass window).

แสงก็เหมือนจิตสำนึก(light is like Consciousness), หน้าต่างกระจกสีก็เป็นเหมือนบุคลิกภาพของคุณ(stained glass window is like your personality). ทีนี้เมื่อคุณมองดูมันจากอีกด้านหนึ่งจากข้างใน(now when you look at it from the other side from inside), คุณก็จะมองเห็นแสงจับลงไปบนสีสันของของหน้าต่างกระจกสีนั้น(you will see the light takes on the color of the stained glass window). ไม่ใช่รึ?

ดังนั้น, จิต(the mind)ด้วยลักษณะจำเพาะของมัน(with its particular), ด้วยความเป็นลักษณะจำเพาะทั้งหลายของมันซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล(it particularities that is different from person to person). มันแตกต่างกันอย่างชัดเจน(it’s different clearly). ร่างกายทั้งหลายอันแตกต่างกันของมันแตกต่างกันอย่างชัดเจน(it’s different bodies are different clearly), คุณสามารถนับพวกมันได้(you can count them). คุณสามารถมองเห็นว่าพวกมันแตกต่างกันได้(you can see they’re different). พวกนั้นดูแล้วแตกต่างกัน(they look different). พวกเขาแตกต่างกัน(they are different).

จิตทั้งหลายก็แตกต่างกันเช่นเดียวกัน(minds are also different). แต่ละจิตมีส่วนลักษณะจำเพาะของมันเอง(each mind has its own particularity). สภาวะเงื่อนไขจำเพาะของมันเอง(its own conditioning). แต่จิตสำนึกที่ส่องแสงผ่านพวกมันทั้งหมด(but Consciousness which shines through all of them)เป็นหนึ่งเดียวและอันเดียวกันกัน(is one and the same). ปึ

ในระดับของจิตสำนึก(at the level of Consciousness)เราคือหนึ่งเดียวกัน(we are one). แต่ชั่วขณะหนึ่งที่จิตสำนึกนั้นถูกจำกัดด้วยจิตทั้งหลายที่แยกจากกัน(but the moment that consciousness becomes limited by separate Minds), แล้วมันก็เลยปรากฏออกมาว่าแยกออกจากกัน(then it appears to be separate)0 มันทำหน้าที่การงานดุจว่าเป็นแยกออกจากกัน(it functions as if separate). และมันก็มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกัน(and it interacts each other).

ตอนนี้เราสามารถพูดได้ว่าซึ่งกันและกันนั้น, จิตสำนึกเดียวกัน ตอนนี้ซึ่งกันแลบะกัน(we can say each other, same Consciousness now each other), ผ่านกายและจิตทั้งหลายซึ่งแตกต่างกัน(through different bodies and minds).

ตอนนี้มันจึงเป็นการง่ายที่จะอธิบายได้ว่า ทำไมผู้คนแตกต่างกันจึงมีปฏิกิริยาแตกต่างกัน, ในหนทางแตกต่างกัน, ในสถานการณ์แตกต่างกัน, จิตที่แตกต่างกัน(why different people react, in different ways in different circumstances, different minds).

ในตอนนี้, เราแตกต่างกันอย่างมากจากกันและกันในฐานะจิตและกายทั้งหลายหรือ?(are we different from each other as minds and bodies?). ใช่.

ใช่. ลองจินตนาการถึงจิตสำนึกของคุณในตอนหลับลึก(imagine your Consciousness in Deep Sleep), ในการหลับลึก เมื่อไม่มีการประสรับรู้ของกาย, เมื่อไม่มีการประสบรับรู้ของจิต(when there’s no experience of the body, there’s no experience of the mind), ภายใต้อิทธิพลของการหลับ(under the influence of sleep), ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีความแตกต่างมากมายอยู่เท่าไหร่ระหว่างการหลับลึกของคุณกับการหลับลึกของเพื่อนทั้งหลายของคุณ(how much difference is there between your deep sleep and your friends deep sleep), และสามีทั้งหลายของพวกคุณ(your husbands), ภรรยาทั้งหลายของพวกคุณ(your wives), และพ่อแม่ทั้งหลายและลูกๆทั้งหลาย(and parents and children). แตกต่างมากเท่าไหร่?(how much difference?). ไม่เลย(none).

การหลับลึกของคุณและการหลับลึกของศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของคุณ(your deep sleep and your worst enemy’s deep sleep), แตกต่างกันมากเท่าไหร่?(how much difference?) , มีความเกลียดชังกันมากเท่าไหร่?(how much enmity?) ไม่มีดเลย(nothing).

ความแตกต่างมีมากเท่าไหร่ระหว่างการหลับลึกของเรากับการหลับลึกของสัตว์หนึ่ง? (how much the difference between our deep sleep and the deep sleep of an animal?) นั้นกห็มีการหลับลึกด้วยเช่นกัน(they also have deep sleep). การหลับลึกของมด, มีความแตกต่างมากเท่าไหร่?(deep sleep of an ant, how much difference?) ไม่มีเลย(none).

คุณพูดว่า, มดมีการนอนหลับไหม?(do ant sleep?) ฉันเองก็ประหลาดใจด้วยเช่นกัน. ฉันได้เห็นเอกสารหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน(I saw a paper many years ago)ว่ามดทั้งหลายก็มีการนอนหลับด้วยเช่นกัน. เรานอนหลับ, เรามีอยู่สองประเภทของการนอนหลับ(we have two kinds of sleep). มันได้ถูกเรียกว่า ช่วงหลับฝัน(rapid eye movement sleep หรือ REM sleep3)และ

3 https://www.nksleepcenter.com/sleep-cycle/

ช่วงหลับธรรมดา(non-rapid eye movement sleep หรือ non-REM sleep). หลับฝันกับหลับไม่ฝัน. มดมีการหลับแบบเสาอากาศเคลื่อนไหว(rapid antenna movement sleep)หรือ REM sleep)และการหลับแบบธรรมดา(non-REM sleep). ถ้าคุกูเกิ้ลค้นหามันคุณก็จะเจอมัน, น่าสนใจมาก. พวกมันมีการนอนหลับจิ๋วๆ(micro-sleep)ในที่ที่พวกมันเดิน, และพวกมันทันทีนั้นก็หยุด(and they suddenly stop), แล้วเสาอากาศนั้นก็สั่น(and antenna are vibrating)พวกมันที่จริงแล้วกำลังหลับ(they’re sleeping actually). และบางทีพวกมันก็อาจจะกำลังฝันอยู่(they’re dreaming), แบบฝันของมดตัวเล็กๆ. และแล้วความฝันนั้นก็หยุดด้วยเช่นกัน, นอนหลับธรรมดา(non-REM sleep). ไม่มีการเคลื่อนไหวทั้งหลายของเสาอากาศ(non-rapid antenna movement sleep).  

         อะไรก็ตามที, แต่ที่เวลานั้น มดก็ไม่ใช่มด(an ant is not an ant), มนุษย์ก็ไม่ได้เป็นมนุษย์(a human being is not a human being). เราเป็นแค่จิตสำนึกที่ถูกห่อหุ้มไว้ในความมืด(we are just Consciousness enveloped in darkness).

         ดังนั้น, ความแตกต่างก็อยู่ในจิตที่แตกต่าง(difference is in mind difference), ความแตกต่างอยู่ในชุดที่เราสวมใส่(difference is in the dress we put on). ความแตกต่างนั้นอยู่ในจิตทั้งหลายนั้นที่อยู่ในร่างกายทั้งหลายนั้นดังที่อยู่ในธรรมชาติแท้จริงของเรา(difference is in the minds in the bodies as in our real nature).

         อะไรที่เราเป็นที่แท้จริงไม่ได้แตกต่างกัน(what we truly are no difference). เราเป็นหนึ่งเดียวและเหมือนกัน(we are one and the same).

         ทีนี้กลับไปที่คำถามเริ่มแรกนั่นที่เป็นอันยาก(going back the first question that’s a heavy one), คำถามนั้นคือ อ้างอิงเข้าไปถึงส่วนหนึ่งของ มันฑุกยา อุปนิษัท กริกะ  (the question was that according to go the part of the Mandukya Upanisad Krika4),

4https://archive.org/details/MandukyaUpanishadKarikaWithShankaraBhashya-SwamiNikhilananda/page/n11/mode/2up

จักรวาลเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง(the Universe is non-existent). พรหมัน(Brahman)ดำรงอยู่โดยตามลำพัง(alone exists). สิ่งนี้ถูกเรียกว่า ไม่ใช่ต้นกำเนิด “อะจาติวาฑะ”(non-origination “ajativada”6). จักรวาลไม่เคยได้กำเนิดขึ้น(the universe was never born). แล้วเขาก็เอ่ยถึง

         6 https://hmong.in.th/wiki/Ajativada

อายัน มาราชAyan Maraj), เขามาพูดไว้เช่นนี้รี? ดังนั้นเขาได้ฟังอย่างระมัดระวังใส่ใจมากกับมาราช(he listened very carefully to Maharaj). เขาพูดว่า, ในมหาราช,แนวความคิดก็คือ(in Maharaj the conception is)ที่พูดถึงเกี่ยวกับเวฑานตะ ศักติ กฤษณะ, จักรวาลโดยตัวมันเองคือพรหมัน(universe itself is Brahman).

         คุณสามารถอธิบายทั้งสองนั้นได้ไหม? คุณสามารถพูดได้อย่างไรว่าจักรวาลไม่ได้มีอยู่?(how can you say the universe does not exist?), แล้วคุณก็สามารถพูดได้อีกว่า, จักรวาลในตัวมันเองนั้นคือพรหมัน (then you can say that the universe itself is Brahman). แล้วพรหมันในตัวมันเองคือจักรวาล(Brahman itself is the universe).

         ที่จริงแล้วทั้งสองคืออันเดียวกัน9actually the wo are the same). ทั้งสองอย่างนั้นเหมือนกัน(the wo are the same). อะไรที่หมายถึงว่าพวกเขาอย่างชัดเจนเลยว่าคือเหมือนกันสิ่งอันเดียวกัน?(what does it mean they’re exactly the same?).  มันคือเหมือนอย่างนี้(it’s like this).

         อย่างแรกของทั้งหมด(first of all), มาเข้าใจกันในหนทางอย่างง่ายๆมากก่อนว่า มันหมายถึงอะไร(let’s understand in very simple way what does it mean), ที่ว่าจักรวาลนี้ไม่ได้กำเนิดขึ้น(the universe is not born). ที่นี่คือจักรวาล, คุณสามารถพูดได้อย่างไรว่าจักรวาลนี้ไม่ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้น?(here is the universe, how can you say the universe was not created?)

         คุณสามารถพูดได้ว่า จักรวาลนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากพระเจ้า(you can say the universe was created from God), จากพรหมัน(from Brahman). และอะไรก็ตามแต่ที่คุณจะสามารถพูดได้(and whatever you can say), จักรวาลนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจาก บิ๊ก แบง(the universe was created from the Big Bang). แต่ทั้งหมดไม่ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเลย, คุณพูดสามารถพูดเช่นนั้นได้อย่างไร?(but not at all created, how can you say that?) นั่นฟังดูบ้าบอ(that sounds crazy), ก็เรากำลังมองเห็นมันอยู่นี่ไง(here we seeing it). เราอาศัยอยู่ที่นี่(we living here). ที่จริงแล้ว, พรหมัน(Brahman)คือเครื่องหมายคำถามอันใหญ่สำหรับพวกเรา, จักรวาลนี้ก็เป็น(is a big question for us, the universe is).

         มันเป็นเหมือนเช่นนี้(it’s like this), เอาตัวอย่างคลาสสิคของเรื่อง หม้อดินเหนียว(take the classic example of The Clay Pot). เราคิดว่ามันเป็นหม้อใบหนึ่ง(we think it’s a pot), อะไรที่เวฑานตะบอกคือ ไม่ ไม่ ไม่. มีอะไรบางอย่างที่เรียกว่าดินเหนียว(there is something called clay)ที่เป็นชนวน/เหตุปัจจัยของหม้อนี้(which is the cause of this pot).

ชนวน/เหตุปัจจัยนี้เป็นคำศัพท์เชิงปรัชญา(cause is a philosophical term)ซึ่งมันหมายถึงว่า หม้อนั้นถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากดินเหนียวนั้น(which it means the pot is created from the clay). คุณพูดว่า, โอเค ฉันสามารถยอมรับนั่นได้(I can accept that).

ดังนั้นจึงมีดินเหนียวอันหนึ่ง และหม้อใบหนึ่ง. และหม้อใบนั้นสร้างสรรค์ขึ้นมาจากดินเหนียวนั้น(the pot is created from the clay). จำไว้ว่าขั้นแรกคือ หม้อ(remember step one pot), แค่หม้อเท่านั้น. เหมือนเราที่บอกว่า, จักรวาลเท่านั้น(like us say universe only). อะไรคือพรหมันนี้, เครื่องหมายคำถาม(what is this Brahman, question mark).

บุคคลผู้นี้พูดว่า, มีแค่เพียงหม้อดินเหนียวใบหนึ่ง เป็นไปตามหลักวิชา(there’s only a Pot Clay is theoretical). อะไรคือดินเหนียวฉันไม่รู้ มันคือเครื่องหมายคำถาม(what is clay I don’t know, it’s a question mark).

แล้วมันก็ได้แนะนำว่า, ไม่หรอก, ดินเหนียวเป็นแหล่งกำเนิดที่หม้อเกิดขึ้นมาจากมัน(then it introduced that, no, clay is the source from which the pot was born). มันเป็นวัสดุที่หม้อถูกสร้างสรรค์ขึ้นออกมาจากมัน(it’s a material out of which the pot was created). โอเค, เราเริ่มต้นที่จะเข้าใจแล้ว(we begin to understand).

แล้วในขั้นที่สาม(n third step), เราก็เริ่มต้นการตรวจสอบสวนว่าดินเหนียวอยู่ที่ไหน(we start investigating where is the clay), พรหมันอยู่ที่ไหน(where is Brahman). แล้วเราก็ถูกบอกว่า จงดูที่หม้อตัวมันเองสิ(we are told look at the pot itself), ดูที่ผลิตผลนั้น(look at the product), คุณจะเจอชนวน/เหตุปัจจัยนั้น, วัสดุนั้น, อยู่ในผลิตผลนั่น(you will see the cause, the material there in the product). ผลิตผลคือหม้อนั้น(the product is the pot), เมื่อเราตรวจสอบหม้อนั้น, ข้างนอกก็คือดินเหนียว, ข้างในก็ดินเหนียว, ข้างล่างดินเหนียว, ข้างบนดินเหนียว (when we examine the product, outside clay, inside clay, bottom clay, top clay). มันเป็นดินเหนียวไปตลอด(it’s clay through and through). ดังนั้นมีตัวมันเองแผ่กระจายไปทั่วทั้งผลิตผลนั้น, หม้อทั้งใบนั้น(so there itself pervading the entire product), หม้อทั้งใบนั้นคือดินเหนียวนี้(entire pot is this clay).

ที่จริงแรกในขั้นสี่(the step four), เราก็จะไปอีกและพูดว่า, ไม่มีสิ่งอะไรที่เรียกเช่นนั้นว่าหม้อ(there is no such thing called pot), มีแค่ดินเหนียวเท่านั้น(there is only clay). หม้อเป็นชื่อ(pot is a name), เป็นการปรากฏเป็นรูปร่าง(is an appearance a shape), การใช้ประโยชน์(a use), ธุรกรรม(a transaction), ถูกซ้อนทับบนดินเหนียวดั้งเดิม(superimposed on the original clay).

ดินเหนียวเดียวเท่านั้นที่เป็นความเป็นจริง(the clay alone is the reality). เราสามารถพูดได้ว่า, เดี๋ยว เดี๋ยวสักครู่ก่อน(wait a minute), เราไม่สามารถพูดในตอนนี้ได้หรือว่ามีอยู่สองสิ่ง?(can we say now there are two?) มีหม้อใบหนึ่งนั้นที่เป็นความจริงและก็มีดินเหนียว(there is a pot which is real and there is the clay). ฉันเข้าใจในตอนนี้ว่าอะไรคือดินเหนียว(I understand now what is the clay). ดินเหนียวก็เป็นความจริงด้วย, หม้อก็เป็นความจริงด้วยเช่นกันรึ?(clay is also real, pot is also real?). ไม่, คุณต้องเป็น เราต้องเป็นเชิงปรัชญาให้มากในที่นี้(you have to be we have to be very philosophical here).

คุณต้องเป็นที่โหดเหี้ยมไร้ปราณีในที่นี้(you have to be ruthless here). อะไรที่คุณพูดหมายความถึงเรื่องความเป็นจริงอฑไวตะแล้วถามว่า, ถ้ามีสองความจริง(if there are two real)งั้นก็แสดงให้ฉันดูหน่อยถึงความจริงทั้งสองที่ว่านั่นแยกจากกันหน่อยสิ(then shows me the two reals separately). คุณไม่สามารถทำได้(you cannot). คุณสามารถแสดงให้ฉันดูถึงดินเหนียวเท่านั้น, หรือว่าดินเหนียวที่ถูกทำรูปร่างเป็นหม้อใบหนึ่ง(you can only show me the clay, or the clay shaped as a pot). คุณไม่มีวันแสดงให้ฉันดูได้ว่าหม้อนั้นแยกแยกจากดินเหนียว(you never show me the pot apart from the clay). แต่คุณสามารถแสดงให้ฉันดูถึงดินเหนียวแยกจากหม้อนั้นได้(but you can show me the clay apart from the pot).

ดินเหนียวนั้นสามารถเป็นก้อนของดินเหนียวหนึ่งได้(the clay can be a lump of clay). ดินเหนียวนั้นก็สามารถเป็นบางอย่างอื่นได้อีก(the clay can be some other thing), หม้อชนิดอื่นที่แตกต่างออกไป, โถ หรืออะไรบางอย่าง(a different pot, a jar or something).

ดังนั้นดินเหนียว(the clay)สามารถมีอยู่ได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องเป็นหม้อ(so the clay can very well exist without the pot). หม้อนั้นไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยปราศจากดินเหนียว(the pot cannot exist without the clay). หม้อนั้นเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ได้เพราะสิ่งอื่น(the pot is a dependent existence), แล้วพูดได้ไปไกลขึ้นอีกว่า, ไม่เคยมีหม้อใดที่จริงๆแล้วได้เกิดขึ้นมาจากดินเหนียวเลยจริงๆ(no pot was ever was ever truly born of clay).

คุณตามมาไกลถึงนี้กันแล้วไหม?(have you followed so far). งั้นให้ฉันวิ่งผ่านสี่ขั้นไปอย่างเร็วมากอีกครั้งนะ(let me run through the four stages very fast). หม้อขั้นที่หนึ่ง(stage one), ไม่มีคำถามในเรื่องดินเหนียว(no question of clay). แค่นี้คือหม้อใบหนึ่ง(just this is a pot). แล้วความคิดในเรื่องดินเหนียวก็ถูกแนะนำให้กับเรา(then the idea of the clay is introduced to us), ขั้นที่สอง(stage two), ดินเหนียวคือเหตุ หม้อคือผลลัพธ์(clay is the cause pot is the effect). ขั้นที่สาม(stage three), เราตรวจสอบสวนหม้อแล้วค้นพบว่า มันเป็นดินเหนียวทุกส่วนไปทั้งหมด(we investigate the pot and find that it is clay through and through), ไม่มีสิ่งที่แยกกันได้ ที่เรียกว่า ต่างกันออกไป(no separate thing called apart). สิ่งนั้น(the thing), วัสดุนั้น(the material), ความเป็นจริงนั้น(the reality)คือ ดินเหนียว(is clay). คุณพูดว่า, ไม่, ไม่, แต่มีหม้อใบหนึ่ง(there’s a pot), หม้อนั้นคืออะไรล่ะงั้น?(what is the pot then?) แยกต่างออกมาจากดินเหนียว(apart from the clay), หม้อนั้นเป็นแค่ชื่อหนึ่ง(the pot is just a name). มันเป็นแค่รูปร่างหนึ่ง(it’s just a form). เย้, แต่มันเป็นแค่รูปอย่างหนึ่ง, ถูกต้องไหม? (but it’s just a form, right?)

ต้องระวังตอนที่คุณพูดว่า มันเป็น(be careful when you say it is), คุณสามารถแนบติด เป็น เข้ากับรูปหนึ่งได้ไหม?(can you attach is to a form?) ไม่. เพราะว่าถ้าคุณเอาดินเหนียวออกไป, อะไรจะเกิดขึ้นกับรูปร่างนั้น?(because if you take the clay away what  will happen to the form?) หายไปเลย(disappear). มันไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้(it cannot hang in the air). มันมีอยู่โดยการขึ้นอยู่กับดินเหนียวนั้น(it exists depending on the clay), ดินเหนียวไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปร่างนั้น(the clay does not depending on the form). รูปร่างทั้งหลายนั้นมาแล้วก็ไป(forms come and go), ดินเหนียวเป็นเช่นเดิม(clay is the same). ดังนั้นตั้งชื่อให้รูปร่างนั้นแล้วใช้มันว่าหม้อ(so name form and use is pot)แต่อย่างทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับดินเหนียว(but entirely dependent on the clay). และขั้นที่สี่เราตระหนักได้ว่าไม่มีสิ่งอะไรเช่นที่เรียกว่าหม้อ(and stage four we realize there is no such thing called pot)ซึ่งได้เคยถูกสร้างสรรค์ขึ้น, มันยังคงเป็นดินเหนียวอันเดิม(which was ever created from the clay, it is still the same clay). คุณตามฉันทันมั้ย?(are you with me?)

และประยุกต์มันเข้ากับโลกในตอนนี้(and apply it to the world now)โลกานุวัฒน์ อย่างที่พูดกันglobalize at say), มองดูการมีอยู่อย่างบริสุทธิเช่นนั้นสิ(look at such pure being). จักรวาลทั้งปวงชื่อ, รูปร่าง และสิ่งมีชีวิต(the entire universe, names, forms and existence), สิ่งทั้งหลายทั้งหมดที่มีดำรงอยู่(all the things that exist). มีอะไรบางอย่างที่เรียกว่า การมีอยู่อย่างบริสุทธิ(there is something called Pure Being), กับที่ทั้งหมดของสิ่งนี้ถูกซ้อนทับซ้อนทับ(on which all of this is superimposed). และเมื่อคุณตรวจสอบสวนสิ่งนี้(and when you investigated this), ในที่นี้และในตอนนี้(right here and right now), คุณพบว่าทุกแห่งมีการดำรงอยู่(you find everywhere existence).

พูดได้ว่า, ไหน?(where?), ไหนรึ? ทุกแห่ง(everywhere). คุณไม่รู้สึกว่ามีสิ่งทั้งหลายดำรงอยู่รึ?(don’t you feel things exist?) ความจริงง่ายที่สุด(simplest fact)คือ สิ่งทั้งหลายนั้นมีอยู่(things exist). มีอยู่(exist)are(-เป็นพหุพจน์) คือ พวกเขาคือสิ่งทั้งหลาย,is(-เป็นเอกพจน์) คือทุกสิ่ง (are they are things, everything is). และความเป็นเอกนั้นก็แผ่ซ่านในทุกๆสิ่ง(and isness pervades everything). และทั้งหมดที่เป็นสิ่งทั้งหลายซึ่งเราได้ประสบรับรู้, พวกนั้นไม่มีการมีอยู่โดยแยกขาดออกจากความเป็นเอกนั้น(and all the things that we experience, they have no existence apart from the isness).

ในความจริงแล้ว(in fact), จากความเป็นเอกนั้น ไม่มีอะไร, ไม่มีสิ่งใดอื่นได้กำเนิดขึ้น(from that isness nothing, no other thing was born). ถ้าสิ่งใดได้กำเนิดขึ้นมาจากความเป็นเอก(if anything is born from isness), แยกขาดออกมาจากความเป็นเอก(apart from isness), ใดอื่นมากไปกว่าความเป็นเอก(other than isness) ก็ไม่ใช่เอก(not is). นั่นเป็นการเอาสังหารหมู่โดยภาษาอังกฤษ(that’s massacring the English language), แต่มันหมายความว่า ไม่ได้มีอยู่(but it means does not exist).

แยกขาดออกมาจากความมีอยู่(apart from existence)ก็คือ ไม่มี-ความมีอยู่(non-existence).

ไม่มีจักรวาลที่กำเนิดขึ้นจากพรหมัน(there is no Universe which was born from Brahman).

อจาฑวาตะ ไม่มีต้นการเป็นกำเนิดเดิม(non-origination). แค่เป็นดินเหนียวเพียงอย่างเดียวมีอยู่กับชื่อใหม่, และรูปร่างใหม่, และใช้งานใหม่(just as the clay alone exists with a new name and a new form and a new use).

พรหมันตามลำพังเป็นเพียงความเป็นจริงเท่านั้นกับหลายชื่อ, หลายรูปร่าง, หลายใช้งาน (Brahman alone is only reality with many names, many forms, many uses). นาม(names), รูป(forms)และใช้งาน(uses)มาแล้วก็ไป(come and go), ปฏิสัมพันธ์(transactions). มาแล้วก็ไป. แต่พรหมันคงอยู่(Brahman remains). เช่นเดิม(the Same). นี้คือความหมายของ อฑไวตะ(Advaita7).

7 https://en.wikipedia.org/wiki/Advaita_Vedanta

ทีนี้รามากฤษณะ(Ramakrishna8)บอกว่า, ทุกสิ่งคือพรหมัน(everything is Brahman),

8https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0

หรือทุกสิ่งคือพระแม่ศักดิ์สิทธิ์(or everything is Divine Mother). คุณเองก็เพิ่งพูดว่ามันเป็นสิ่งเดียวกันอย่างชัดเจน(you immediately say it’s exactly the same thing). คุณเห็นมั้ย? มันเป็นสิ่งเดียวกันอย่างแน่ชัด(it’s exactly the same thing).

ทุกส่วนของเรื่องนี้(every bit of this), ครูคนหนึ่งวางมันไว้อย่างงดงามมากในอินเดีย(one teacher put it very beautifully in India)เขาพูดว่า, ในมาลายาลัม(Malayalum), โยคะติโอ ทะซาหัตทะปูร ในภาษาฮินดี(in Hindi). พรหมันคืออะไรชัดเจนอย่างที่มันเคยเป็นอยู่(Brahman is exactly what it was). ก่อนการสร้างสรรค์(be fore creation), ระหว่างการสร้างสรรค์(during creation), การสร้างสรรค์(creation), ภายหลังการสร้างสรรค์9after creation). ก่อนจักรวาล(before the universe), ระหว่างมีจักรวาล(during the universe).

วลีที่ว่า ธาสะ(thasa) เป็นวลีพูดฮินดีไม่เป็นทางการ(a colloquial Hindi phrase)ซี่งหมายความว่า อัดกันอยู่แน่น(which means packed tightly).

จักรวาลนี้ถูกอัดแน่นอยู่ด้วยพรหมัน(this universe is packed tightly with Brahman).

พวกเขาบอกว่า, ไม่มีแม้แต่ที่ว่างน้อยนิดสุดๆใดเลยในพรหมัน(there is not the slightest space in Brahman). วิธีนี้เป็นการจัดวางมันนี้, ไม่เป็นทางการกันมันเป็นอย่างยิ่ง(this way of putting it, very colloquial way of putting it). ไม่มีที่ว่างแม้น้อยนิดที่สุดในพรหมัน(there is not the slightest space in Brahman)ที่ที่คุณจะสามารถเอาจักรวาลใส่เข้าไปในนั้นได้(where you could fit in a universe). ไม่มีที่ว่างในพรหมันสำหรับแม้แค่คมของใบหญ้าหนึ่ง(there is no space in Brahman for one blade of  grass). พรหมันคือของแข็งอัดอยู่แน่น(Brahman is a packed solid). มันเหมือน, อย่างที่ครูหนึ่งได้บอกไว้ว่า, มันเหมือนก้อนหินมหึมา(it’s like a vast rock). มันเป็นการดีที่ได้ยินตัวอย่างทั้งหลายเช่นนี้(it’s good to hear such examples), เพราะวิธีอย่างปกติทั่วไปในการสอนนั้นคือว่า พรหมันนั้นจะเป็นที่ละเอียดอย่างยิ่ง(because the way normally taught is Brahman is so subtle). นั่นเราก็ลดทอนปรับปรุงมันไปเป็นความคิด, เป็นนามธรรม, เป็นแนวคิด(that we reduce it to an idea, an abstraction, a concept).

ไม่. ไม่เลย. มันแค่เป็นในทางตรงกันข้าม(it’s just opposite). มันเป็นจริงเท่าๆกับความเป็นจริงตัวมันเอง(it is as real as reality itself). มันคือความเป็นจริงในตัวมันเอง(it is reality itself), อะไรอื่นไปกว่ามันคือไม่มีอีกอะไรเลย(other than it there is nothing).

ในความเป็นจริง, ไม่มีอะไรแม้แต่ที่ว่างเล็กน้อยที่สุด(in reality there is not the slightest sliver of the space), ที่ว่างซึ่งน้อยนิดที่สุด(the slightest of space)สำหรับในมีการปรากฏที่จะมีอยู่ได้(for an appearance to exist).

ดังนั้นทั้งหมดของจักรวาลนั่น(all that universe then)ก็คือ ทำไมมันจึงปรากฏที่จะเป็นอะไรอื่นไปกว่าพรหมัน?(is why does it appear to be other than Brahman).

มันพึ่งพา/ขึ้นอยู่กับพรหมัน(it depends on Brahman). พรหมันด้วยตัวมันเองปรากฏเป็นซึ่งจักรวาลนี้(Brahman itself appear as this universe). ต่อการเพิกเฉย/อวิชชา(to the ignorant), โลกนี้จะเป็นอะไรต่อความรู้แจ้งที่ว่าตัวมันเองนั้นคือสัมบูรณ์สุด(what is the world to the enlightened that itself is absolute).

ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าชาวพุทธผู้ยิ่งใหญ่นั้น, ชาฑะ นาคารชุน(now we understand the great Buddhist, Shada Nagarjuna9)เมื่อเขาพูดว่า, สังสารวัฏและนิพพานคือสิ่งเดียวกัน

9 https://en.wikipedia.org/wiki/Nagarjuna

(Samsara10 and Nivarna11 are exactly the same).

10 https://en.wikipedia.org/wiki/Sa%E1%B9%83s%C4%81ra_(Buddhism)

11 https://en.wikipedia.org/wiki/Nirvana_(Buddhism)

อย่าเข้าใจผิด(don’t misunderstand). ถ้าคุณเข้าใจผิด, จะเป็นปัญหาอันร้ายแรง(terrible problem). คุณคิดว่า, โอ้ นี้เป็นแค่สิ่งเดียวเท่านั้นมีอยู่ที่นั้น(this is only thing there). ไม่ ไม่ ไม่เลย. มีนิพพาน(Nirvana), มีโมกษะ(Mokhsa12)ที่นี่(here). มีความเป็นสัมบูรณ์สุดที่นี่(there is the absolute here).

12https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B0

และคุณต้องตระหนักรู้นั่น(you must realize that), แต่ที่ไหน? ไม่ใช่ที่นั่น(not there), ที่นี่(here).

ไม่ใช่ตอนนั้น(not then), ตอนนี้(now).

https://youtu.be/YnW41rykyMU?si=pqlGrILbTELnWOlA

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น