หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2567

สวามี สารวาปริญานันฑะ – ปราณ(พลังชีวิต) หรือ พรหมัน

 สวามี สารวาปริญานันฑะ – ปราณ(พลังชีวิต) หรือ พรหมันMusic]

#PRANA (LIFE-FORCE) OR #BRAHMAN. Rev. Swamy Sarvapriyananda @VedantaNY

         https://youtu.be/cEOlC5jLtsA?si=N1FKG6fFZZzNDu_f




ผู้ถาม: สักการะบาบู, ผมต้องการคำถามเชิงปฏิบัติอย่างเรียบง่ายหนึ่ง(one simple practical question in regular question). ดังนั้นเช้านี้เมื่อท่านปล่อยให้เราอยู่ในการปฏิบัติสมาธิ(let us in meditation), เราถูกน่าจะทำการสมาธิของเราเอง(are we supposed to do our own meditation)หรือว่าทำตามการแนะนำทั้งหลายของท่าน(or follow your instructions), อันหนึ่งที่ถูกนำมาให้เราโดยครูของเรา(the one that was given to us by our guru?)

สวามี สารวปริญะนันฑะ:     อันหนึ่งที่ถูกนำมาให้กับคุณโดยครูของคุณ, แน่นอน, ทำเช่นนั้นเสมอ.   แล้ว, อย่ายึดติดแขวนอยู่กับเทคนิคของการปฏิบัติสมาธิ(don’t get hung up on the techniques of meditation). ไม่มีที่สิ้นสุดของเรื่องนั้น(there’s no end to that).  ครู(guru)สอนฉันบางอย่างที่ฉันได้ทำมันมาอย่างงามเลยสัก 10 ปี, แต่นี้คือสมาธิที่ดีแบบเวฑานตะอย่างแท้จริง(but this is a fine really Vedantic meditation). ครูเฒ่าผู้น่าสงสารได้ถูกแทนที่ไปแล้วในตอนนี้(poor old guru is now replaced).ทีนี้ให้ฉันได้ใช้เวลากับสิ่งที่ปรับปรุงขึ้นใหม่(now let me take up the new improved), ที่ไม่เคยทำสิ่งเช่นนั้น(never do such a  thing).

ฉันไม่ได้ทำ(I don’t). ฉันได้อ่านเรื่องนี้มาทั้งหมด, ฉันได้ฝึกปฏิบัติพวกมันด้วยเช่นกัน(I have read all of this, I have practiced them also). แต่อะไรที่ครูของฉัน(my guru)ให้ฉันและมนตร์นั้น, (the Mantra), ก็ทำอยู่เสมอ. ความเชื่อส่วนตัวของฉันนั้นคือว่า กระบวนการพัฒนาทางจิตวิญญาณทั้งหมดกำลังมาจากมนตร์เล็กๆนั้นที่ครูนั้นได้ให้มา(my personal belief is all the Spiritual Development Progress is  coming from that little Mantra).

นั่นเป็นความเชื่อส่วนตัว(that’s the personal belief). ทั้งหมดคือมนตร์, จงติดตามนั่นไปอยู่เสมอ(all is Mantra, follow that). และสิ่งอื่นทั้งหลายจะมาแล้วก็ไป(and other things will come and go), ถ้าคุณชอบอะไรบางอย่าง ก็จงฝึกปฏิบัติมัน, มันเป็นสิ่งเสริมที่ดี(if you like something practice it, it’s good supplement), แต่ไม่ใช่จานหลักของคุณ(but it’s not your main diet).

ผู้ถาม: นี้เป็นคำถามที่สอง, ท่านต้องอดทนต่อผมด้วย. กระผมได้เดือดร้อนโดยเรื่องนี้มาตลอดเวลา(I’m troubled by this all the time).  กระผมรู้ว่าเป็นคำถามในเรื่องจิตสำนึก(I know the question of Consciousness).

ผู้คนคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่าพลังชีวิต(people thought there is a thing called life force). และเมื่อคุณตาย, พลังชีวิตก็จากไป(and when you die, life force goes away). แต่ตามที่ท่านเข้าใจดี วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในตอนนี้ไม่มีสิ่งเช่นนั้น(but as you understand, now modern science there’s no such thing). มันเป็นมายาของพลังชีวิต(it’s ab illusion of Life Force). ที่ไหนคือการสามารถซึ่งเราใช้เปรียบเทียบเดียวกันสำหรับจิตสำนึก(where is the can we use the same analogy for Consciousness). ผมหมายถึงว่า...มันทำให้ท่านมีความรู้สึกนั่น.

สวามี สารวาปริญานันฑะ:    โอเค. ฉันเข้าใจเป็นอย่างดี(I understand perfectly)เพราะว่าเราได้อภิปรายถกเถียงเรื่องนั้นกันมาอยู่ตลอดเวลา(because we have this discussion all the time). ให้ฉันยกมันมาในวิธีนี้นะ(let me put it in this way).

คุณเป็นนักชีววิทยาหรือเปล่าหรือว่า...?(are you a biologist or…?)

ผู้ถาม: ผมเป็นนักฟิสิกส์ครับ(I’m a physician).

สวามี สารวาปริญานันฑะ:    นักฟิสิกส์(a physician). แล้วอะไรที่เขากำลังพูดว่าในช่วงเวลาหนึ่ง ผู้คนได้คิดว่ามีอะไรบางอย่างที่ถูกเรียกว่าพลังชีวิต(so what he’s saying  is at one time people thought there’s something called a life force), และร่างกายของคุณตาย, หมายความว่าชีวิตนั้นจากไป(and when your bodies means the life goes away). ปราณก็จากไป(Prana goes away). แต่เมื่อในทางชีววิทยาได้ก้าวหน้าขึ้น(but as biology has  advanced), เราได้เข้าใจกันมากยิ่งมากขึ้นเกี่ยวกับในเรื่องนี้(we have understand more and more about it).

         บิลล์ คอนราด(Bill Conrad)อยู่ที่นั่น, เขาเป็นนักชีวฟิสิกส์(he is a biophysicist). เขาเป็นสมาชิกอาวุโสมากที่สุดของเราซึ่งมีอายุ 95 ปีแล้ว(he’s our senior most member at 95 years). ดังนั้นในตอนนี้ขอให้ฉันยกมันมา, ให้ฉันเปลี่ยนแปลงคำถามสักเล็กน้อยแล้วยกมันมาโดยวิธี้นี้นะ(let me change the question a little bit and put it this way), ดเพราะว่าฉันได้, เราได้อภิปรายถกเถียงเรื่องนี้กัน(we have discussed this), เรามีอะไรที่เรียกว่า คาเฟ่ ปรัชญา(Café philosophy)ที่นี่ใน สมาคมจริยธรรม(ethical society), ที่พบปะกันเดือนละครั้งและในกลุ่มผู้นำนั้นมีนักปรัชญาทั้งหลายจากโคลัมเบีย, จากคูนิ(from Colombia, from Cuni). แล้วในหนึ่งของผู้นำนั้นคือแม็กซิโม่(Maximo), เขาเป็นหัวหน้าของภาควิชาปรัชญาที่คิวนี, และเขาเป็นนักชีววิทยาโดยการฝึกฝน(a biologist by training)และก็เป็นนักปรัชญาด้วย(and so a philosopher). แล้วข้อโต้แย้งของเขาอย่างแน่ชัดเป็นเช่นนี้(so his argument is exactly this).

         เมื่อฉันถามเขาตอนอภิปรายกันในการศึกษาทั้งหลายเรื่องจิตสำนึก(when I ask him se discuss on Consciousness studies). ดังนั้น, คุณยืนอยู่ตรงไหนกับปัญหาหนักหนาของจิตสำนึก(where do you stand on the hard problem of Consciousness studies). เขาไม่พิจารณามัน(he dismisses it). เขาบอกว่าไม่มีสิ่งพื้นฐานที่เรียกว่าจิตสำนึก(he says there’s no fundamental thing called Consciousness). มันเป็นแค่กระบวนการของสมองที่ยังมีชีวิตอยู่(it’s a process of a living brain). ผลพลอยได้(by product). กระบวนการของปรากฏการณ์รอง(epiphenomenal process1).

         1 https://hmong.in.th/wiki/Epiphenomena

         แล้วเขาก็ตอบคำถามนั้น. คำตอบที่เขาให้นั้น(the answer he gives), เหตุผลที่เขาให้อย่างชัดเจนเลยอย่างนี้(the reason he gives exactly this). เขาบอกว่า, ในตอนนี้เพราะว่าเราไม่ได้เข้าใจสมองได้ดีพอ และจิตสำนึกดีพอเลย(right now because we don’t understand the brain well enough and Consciousness). เราไม่เข้าใจ(we don’t understand). นั่นคือทำไมเราถึงคิดว่ามีสิ่งลี้ลับที่เรียกว่าจิตสำนึก(that’s why we think there’s a mysterious thing called Consciousness), ซึ่งต้องถูกค้นพบ(which has to be discovered).

แต่มีสิ่งที่คล้ายกันอยู่ที่นั่น(but similar thing was there). เขาบอกว่า, ที่ช่วงเปลี่ยนผ่านของศตวรรษ(at the turn of the century)ที่ซึ่งชีวิตไม่ได้ถูกเข้าใจ(where life was not understood)และได้มีการคิดที่ว่าหนึ่งในคำถามทั้งหลายที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ก็คือชีวิต(one of the questions which science will never be able to explain is life). และผู้คนเรียกมันสิ่งนั้นแบบว่า(and people called it things  like)อีลาน ไวฑาน บักซอน, แล้วก็มีบางอย่างที่สอดคล้องตรงกันกับความคิดคนอินเดียของเรื่อง ปราณ(there is something corresponding to the Indian idea of Prana). วัฒนธรรมโบราณทั้งหลายทั้งหมดมีสิ่งนี้(all ancient cultures had this), คนจีนได้มีความคิดของเรื่อง ชี่(chi), และคนญี่ปุ่นได้มีความคิดของเรื่อง คี่(ki). และคนอินเดียก็มีความคิดในเรื่องของ ปราณ(prana). คนกรีกก็มีความคิดในเรื่องของ นูมา(Numa), ลมหายใจของชีวิต(life breath).

ตอนนี้เมื่อวิทยาศาสตร์ได้ก้าวหน้าขึ้นเราได้เข้าใจว่า(now science has advanced we have understood that)อะไรที่เราเรียกว่าชีวิตนั้น, โดยพื้นฐานแล้วเป็นกลุ่มรวมของกระบวนการเชิงชีววิทยาอันหลากหลายอย่าง what we call life is basically a collection of several biological processes), ที่กำลังดำเนินไปอยู่ในร่างกายนี้(going on in this body), เขาพูดเช่นนั้น.

และในขอบเขตอันกว้างใหญ่มากขึ้น(and to a great extent), เราสามารถที่จะสังเคราะห์หลายส่วนของสิ่งที่คล้ายกันกันเข้าด้วยกันในห้องปฏิบัติการ(we are able to synthesize many parts of similar things in the lab). ในวิธีง่ายๆได้ในห้องปฏิบัติการอีกด้วยเช่นกัน(in a simple way in the lab also). ดังนั้นเราจึงเข้าใจมันลงไปได้ถึงระดับโมเลกุล(so we understand it down to the molecular level), เรารู้ว่ามันไม่มีบางเรื่องลี้ลับอันเดียวที่มาแล้วก็ไป(we know it’s no some mysterious single which comes and goes), ไม่ใช่เช่นนั้น(not like that). นั่นคืออะไรที่เขาได้พูด.

ดังนั้นวันหนึ่งเราก็จะสามารถที่จะเข้าใจจิตสำนึกได้เหมือนเช่นนั้นนั้นด้วย(so one day we will be able to understand Consciousness also like that). สักวันหนึ่ง, เมื่อเราเข้าใจสมองได้ดียิ่งขึ้น(when we understand the brain better). ดังนั้นจึงไม่มีอะไรเช่นจิตสำนึกที่แยกขาดออกทั้งหมดอะไรนี้(so there’s no such separate Consciousness all this). จิตสำนึกมา, คุณรู้, เป็นความเป็นจริงที่สุด(being the Ultimate Reality), หรือของจิตวิญญาณอมตะที่ศาสนาทั้งหลายเชื่อในเช่นนั้น(of the Immortal Soul which religions believe in). ไม่มีอะไรเช่นนั้น, เขาบอก.

ทีนี้, คำตอบก็คือ, ฉันจะให้คำตอบแก่คุณแบบเวฑานตะอย่างง่าย(I’ll will give you the simple Vedanta answer). นี่นะ, ถ้ามันสมเหตุสมผลดีกับฉัน มันก็ทำให้เหตุผลที่ดี(if it makes sense to me it makes perfect sense). คุณรู้มั้ย, คุณจะเป็นที่ประหลาดใจที่รู้นั่น(you’ll be surprised to know that). ตามที่เวฑานตะกล่าวเอาไว้(according to Vedanta), ชีวิตก็เป็นวัตถุด้วยเช่นกัน(life is also material). โลกเป็นวัตถุ(world is material), ร่างกายเป็นวัตถุ(body is material). ชีวิตเป็นวัตถุ(life is material). จิตก็เป็นวัตถุ(mind is material). โดยเป็นวัตถุโดยคำสันสกฤต(by material the Sanskrit word). ฉันกำลังใช้ จิต(Chitta - จิตฺต) ตามคำดั้งเดิมสันสกฤต(the original Sanskrit word). พวกเขามีคำว่า จิตฺต(Chitta), จิตสำนึก(Consciousness)และวัตถุ(matter-รูปธรรม).

พวกเขาจำแนกออกจากกันอย่างไร?(how do they distinguish?) พวกเขามีวิธีที่แยกแยะจำแนกนี้อย่าสง่างามมากในเวฑานตะ(they have a very elegant way of this distinguishing in Vidanta). อะไรคือจิตสำนึก(what is Consciousness), อะไรคือไม่ใช่จิตสำนึก(what is not Consciousness). เขาบอกว่า, มองดูเสมอที่ประสบการณ์รับรู้ของตัวคุณเอง(you always look at your own experience). ในประสบการณ์รับรู้ของคุณในตอนนี้(in your experience right now), อะไรก็ตามที่คุณตื่นรู้ถึงได้(whatever you are aware of), อะไรที่คุณได้ตื่นรู้ถึงได้นั้นเป็นของหมวดหมู่ประเภทของสัต2(Sat), วัตถุวิสัย/ความเป็นจริงเชิงวัตถุ(whatever you are aware of

         2 https://hmong.in.th/wiki/Satcitananda

         * file:///C:/Users/CATS1234/Downloads/jomcusoc,+%7B$userGroup%7D,+561-576%20(2).pdf

belongs to the category of Satta, objective reality). คือวัตถุอะไรที่ปรากฏต่อจิตสำนึก(what is object that which appear to Consciousness).

แล้วอะไรคือจิตสำนึก(then what is Consciousness), ชัดเลยว่ามันไม่สามารถเป็นวัตถุวิสัยใด/เป็นวัตถุใด(clearly it can be objective). สิ่งใดที่เป็นวัตถุก็ต้องเป็นและต้องเป็นสัต(anything that is object must be and must be Satta), วัตถุต่อจิตสำนึก(an object to Consciousness).

ดังนั้นอัตตา/ตัวรับรู้แท้ๆ(the pure subject)ที่ไม่ใช่วัตถุ/ตัวถูกรับรู้(an object), ที่เป็นซึ่งเอก/หนึ่งเดียว(which is the One), ที่ตื่นรู้กับทุกสิ่งรวมทั้งกระทั่งจิต นั่นคือจิตสำนึก(which is aware of everything including Mind that is Consciousness). ตามไวฑานตะกล่าวไว้.

ตอนนี้, อะไรที่ตามจากนี้มา(what follows from this), อะไรที่อฑไวตะพูดถึงการโต้แย้งเช่นนี้(what is Advaita say to objection like this). อฑไวตะบอกว่า ไม่มีปัญหา(say there’s no problem)ที่คุณได้สามารถที่จะอธิบายชีวิตในแง่ของกระบวนการทั้งหลายทางวัตถุวิสัย(that you have been able to explain life in terms of objective processes). กระบวนการทางวัตถุวิสัยหนึ่งได้ถูกอธิบายในแง่ของกระบวนการทั้งหลายทางวัตถุวิสัยอย่างง่ายกว่า(one objective process is explained in terms of simpler objective processes).

แน่นอน, ในหลักการแล้วไม่มีปัญหา(in principle there’s no problem). ปราณ(Prana)หรือชีวิต(life)เป็นกระบวนการหนึ่งทางวัตถุวิสัย(is an objective process). แล้วคุณได้อธิบายมันในแง่มุมอื่นที่ง่ายกว่าของกระบวนการทางวัตถุวิสัย(and you have explain it in terms of other simpler objective processes). ก็ดี(good).

แต่ถ้าคุณในตอนนี้อ้างว่ากลุ่มชุดหนึ่งของกระบวนการทั้งหลายทางวัตถุวิสัยในสมองกำลังผลิตสร้างอัตตา/ตัวรับรู้ขึ้นมาอยู่(but now you claim that a set of objective processes in the brain is generating the subject), ที่ไม่ใช่วัตถุ/ตัวถูกรับรู้(which is not an object). คุณต้องจำไว้ว่า(you must remember), มีดนั้นที่พวกเขากำลังใช้ตัดหั่นแยกความเป็นจริงทางไวฑานตะ(the knife they’re cutting reality in Vidanta)ออกเป็นอัตตา/ตัวรับรู้(subject)กับวัตถุ/ตัวถูกรับรู้ (object), ทำไม, ทำไมฉันถึงจะยอมรับนั่น(why will I accept that),ก็เพราะว่านั่นคือที่คุณประสบรับรู้ต่อจักรวาลได้อย่างไร(because that’s how you experience in  the universe).

ผู้ถาม: ผมตามท่านไม่ทันแล้วครับ(I lost you sir).

สวามี สารวาปริญานันฑะ:    ชีวิตเป็นกระบวนการทางวัตถุวิสัยหนึ่ง?(life is an objective process?) (โอเคครับ-ผู้ถาม) เพราะว่าเราในตอนแรกเริ่มทั้งหมดเลย, จำที่ฉันได้ให้คำจำกัดความของวัตถุวิสัยได้ไหม?(remember what I have defining as objective?)

         สิ่งใดที่คุณตื่นรับรู้หรือสามารถรับรู้ได้(anything that you are aware of or can be aware of)ก็คือวัตถุ(is an object). (โอเค-ผู้ถาม) สิ่งใดที่ได้ถูกแสดงปรากฏต่อจิตสำนึกเป็นสัต(anything that is presented to Consciousness is Satta)ไม่ใช่สำนึกของจิต/ไม่ใช่ตัวรู้(is not conscious). คุณคือจิตสำนึก(you are Consciousness). และจิตของคุณ(your mind), ความคิดทั้งหลายของคุณ(your thoughts), ลมหายใจ, ปราณ, ร่างกาย, โลกของคุณ(your breath, Prana, body, world), วัตถุทั้งหมดของเรา(all our objects), คือสัต(Satta). คุณตามทันฉันมาถึงไกลขนาดนี้แล้วมั้ย?(are you with me so far?) ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์นั้น(have to change the Paradigm-แบบอย่า/แบบจำลองความคิด).

         ทีนี้, ในกระบวนทัศน์นี้(in this Paradigm)ชีวิตก็เป็นวัตถุหนึ่งด้วยเช่นกัน(life also is an object). และคุณได้อธิบายชีวิตในแง่ของวัตถุอื่นทั้งหลาย(and you have explained life in terms of other objects), กระบวนการทางชีววิทยาทั้งหลาย(biological processes), มันกระบวนการทางวัตถุวิสัยของชีวิต(there’s a objective processes of life), และพวกเขาอธิบายในแง่มุมของ, คุณก็รู้, ว่ามีกายภาพวิทยาของร่างกายและทั้งหมดของนั่น(they have been explained in terms of, you know, how there is the physiology of the body and all of that). พวกเขาทั้งหมดเป็นวัตถุวิสัย(they are all objective). แล้วกระบวนการทางวัตถุวิสัยได้อธิบายในแง่มุมทั้งหลายของกระบวนการวัตถุวิสัยที่ง่ายยิ่งขึ้น(so an objective process explained in terms of more simpler objective processes).

ไม่มีอะไร(nothing), ไม่มีปัญหาอะไรในหลักการ(there’s no problem in principle). แต่ในตอนนี้(but now), อัตตา/ตัวรับรู้บริสุทธิจิตสำนึก(the pure subject Consciousness), มันสามารถถูกผลิตสร้างโดยวัตถุทั้งหลายได้อย่างไรล่ะ?(how can it be produced by objects?) สมองเป็นวัตถุ(the brain is an object), อะไรก็ตามกำลังบังเกิดขึ้นในเซลล์ประสาททั้งหลายนั้นคือวัตถุ(whatever is happening in the neurons is an object).

แล้ววัตถุหนึ่งสามารถผลิตสร้างวัตถุอื่นอีกอันหนึ่งได้อย่างไร?(how so can one object produce another object?) เหมือนอย่าง, แล้วเซลล์ประสาทก็สามมรถผลิตสร้างกิจกรรมเชิงไฟฟ้าของเซลล์ประสาททั้งหลาย(like so neuron can produce the electrical activity of neurons), แต่มันสามารถผลิตสร้างอัตตา/ตัวรับรู้ให้กับคุณได้อย่างไร? (how can it produce you the subject?) ทำไมนั่นไม่ได้สร้างเหตุผลต่อคุณหรือบุคคลผู้ที่ได้รับการฝึกฝนทางวิทยาศาสตร์? (why does not make sense to you or scientifically trained person?). บุคคลที่ได้รับการฝึกฝนทางวิทยาศาสตร์ได้มีอุปาทานเชิงลึกทางวัตถุวิสัยหรือ? (is the scientifically trained person has a deep objective bias).

อ้างอิงตามที่วิทยาศาสตร์ซึ่งมองที่เรื่องนี้ไว้เป็นความขัดแย้งอันมหาศาลที่หัวใจของวิทยาศาสตร์(according to science look at the tremendous contradiction at the heart of science). วิทยาศาสตร์ศึกษาทุกสิ่งในฐานที่เป็นวัตถุ(science studies everything as an object), มันไม่สามารถแต่ก็ทำนั่น(it cannot but do that). อะไรที่คุณทำเมื่อคุณทำวิทยาศาสตร์(what you do when you do science)นั้นเป็นวัตถุวิสัย(be objective).

ดังนั้นทุกอย่างที่ได้ถูฏศึกษานั้นเป็นวัตถุ(so everything is studied is an object). ที่ทำงานได้เป็นอย่างดีเมื่อคุณกำลังศึกษาวัตถุทั้งหลาย(that works fine when you are studying objects). แต่เมื่อคุณกำลังศึกษาถึงอัตตา/ตัวรับรู้(but when you are studying the subject), หนทางเดียวเท่านั้นที่วิทยาศาสตร์สามารถทำงานได้ก็คือลดความเป็นอัตตา/ตัวรับรู้นั้นลงไปเป็นวัตถุ(the only way science can work is to reduce the subject into an object).

ไม่ใช่แต่เพียงเท่านั้น(not only that).วิทยาศาสตร์ได้ตัดสินใจมาตั้งแต่เริ่มแรกว่า วัตถุเท่านั้นที่เป็นความจริง(science has earlier made up its mind that the object is the only reality), ทุกสิ่งในจักรวาลนี้คือวัตถุ(everything in the universe is an object). แต่นั่นไม่เป็นความจริง(but that’s not true). นั่นได้ถูกปลอมแปลงโดยประสบการณ์รับรู้ของตัวคุณเอง(that is falsified by your own experience). อะไรที่วิทยาศาสตร์ได้ตัดสินใจของมันไปเรียบร้อยแล้วก็คือว่า มีอะไรที่คุณเรียกว่าอัตตา/ตัวรับรู้ นั้น(there what you are calling subject), คืออะไรที่เป็นผลพลอยได้มาจากสมองทางวัตถุวิสัย(is a byproduct of an objective brain).

คุณได้ตามฉันทันในทุกก้าวขั้น, ใช่ไหม?(are you with me at every step, yes?)

ผู้ถาม: ผมสามารถเข้าใจได้ถึงขั้นต้นมูลฐานแรกเริ่ม(I can understand the fundamental primordial), ไม่ใช่ในปรัชญานี้(not in this philosophy), ไม่ใช่ในเหตุผลเชิงจิตวิญญาณ(not in spiritual sense). นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้ทำตามหนทางนั่นแล้ว, ถูกไหม?(the scientists have done in that way, right?) จากตอนแรกเริ่มต้น(from the very beginning)ผมสามารถเข้าใจได้.

สวามี สารวาปริญานันฑะ:    ให้ฉันเรียกมันว่าดึกดำบรรพ์(let me call it the Primitive). แบบรูปทางความคิดแรกเริ่มนั่น(the primordial paradigm), ความแตกต่างทางแบบรูปความคิด(the paradigm difference). วิทยาศาสตร์ไม่เคยได้พิจารณาในเรื่องนี้(science never consider this).

         วิทยาศาสตร์บอกว่า, นี่คือการพูดถึงเรื่อง อัตตา/ตัวรับรู้(subject), วัตถุ/ตัวถูกรับรู้(object)นี้เป็นวิธีพูดกันอย่างหนึ่ง(is a way of talking), โดยความจริงแล้ว(actually)ทุกสิ่งเป็นความจริงทางวัตถุวิสัย(everything is an objective reality). ไม่เลย(no). ทั้งหมดของมันก็ปกติกันดีอยู่ตราบนานเท่าที่คุณกำลังศึกษา ควอซาร์หรือควาร์กหรือเซลล์ที่มีชีวิต(all of it is fine as long as you studying quasars3 or quarks or living cells), พวกเขาทั้งหมดเป็นวัตถุ(they’re all objects).

         3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C

แม้กระทั่งเมื่อคุณกำลังพยายามที่จะศึกษาถึงจิต(even when you’re trying to study the mind). ตามเวฑานตะนั้น, กระทั่งจิตก็คือวัตถุ(even mind is an object). ทำไมจิตถึงเป็นวัตถุ(why is mind an object)ก็เพราะ, อะไรคือคำจำกัดความของวัตถุ(what is the definition of object)คือ สิ่งใดที่คุณประสบรับรู้คือวัตถุ(anything that you experience is an object). แต่โดยคำจำกัดความอย่างยิ่งอันนั้น(but by that very definition), เมื่อคุณในตอนนี้พูดว่า สิ่งทางวัตถุวิสัย เหมือนกับสมองที่มีชีวิตอยู่ สามารถผลิตสร้างอัตตา/ตัวรับรู้ ได้นี้(when you now say the objective thing like the living brain can produce the subject), คุณกำลังสร้างอะไรที่เรียกว่าอยู่ในปรัชญาของหมวดหมู่ตอนเริ่มแรก(you are making what is called in philosophy a category earlier). และเรื่องนี้เป็นที่กระจ่างชัดในทัศนภาพของเวฑานตะ(this is clearly from Vedantic perspective).

ผู้ถาม: ที่ไหนซึ่งสิ่งจำเป็นสำคัญที่จะปลุกตื่นหมวดหมู่เริ่มแรกนั่นขึ้นมาครับ?(where is the necessity that evoke category early?)

สวามี สารวาปริญานันฑะ:    เพราะว่าสัมพันธภาพของวัตถุกับวัตถุนั้นชัดเจน(because object and object relationship is clear). แต่อัตตานั้นเป็นอะไรบางอย่างที่แตกต่างในธรรมชาติไปทั้งสิ้นจากวัตถุ(but the subject is something that entirely different in a nature from an object).

         คุณสามารถกระโดดจากวัตถุไปเป็นอัตตาได้อย่างไรล่ะ?(how can you jump from the object to the subject?) ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ที่คุณได้เคยมาเจออะไรบางอย่างเหมือนจิตสำนึก(never in scientific history have you ever come across something like Consciousness). มันเป็นที่แปลกประหลาดซึ่งคุณไม่(and it’s strange that you have not), เพราะว่าจิตสำนึกได้เคยแสดงปรากฏอยู่ไปทั้งหมดที่วิทยาศาสตร์ได้เสร็จสมบูรณ์(because Consciousness is ever present all science is done).

ในจิตสำนึกมันเป็นเราที่คือประสบการณ์รับรู้บุคคลที่ 1 ซึ่งสำนึกรับรู้(in Consciousness it is we are the first person experience is conscious). และนั่นคือที่ที่คุณทำวิทยาศาตร์(and that where you do science). นั่นคือที่ที่คุณเป็นผู้ศรัทธานับถือในพระเจ้าและผู้ไม่นับถือศรัทธาพระเจ้า(that is where you are a theist and atheist). นั่นคือที่ที่คุณเป็นอย่างวิทยาศาสตร์หรือไม่เป็นอย่างวิทยาศาสตร์(that is where you’re scientific and unscientific).

ทุกสิ่งในชีวิตอยู่ในจิตสำนึก(everything in life is in Consciousness), จากทัศนภาพของเวฑานตะ(from Vedantic perspective). ที่ไม่ได้อยู่ในทัศภาพของเวฑานตะ(not in Vedantic perspective), ในทัศนภาพของสามัญสำนึกทั่วไปก็ด้วยเช่นกัน(in a common sense perspective also).

จิตสำนึกนี้(this Consciousness), มันไม่ใช่วัตถุ/ตัวถูกรับรู้(it’s not an object), นี้คือที่เวฑานตะกล่าวเอาไว้. นี้คืออะไรที่วิทยาศาสตร์ไม่มีความสามารถที่จะฉกฉวยเข้าใจได้(this is science unable to grasp). ดูที่ทฤษฎีดกดื่นแพร่หลายทั้งหมดของจิตสำนึกในตอนนี้สิ(look at all the prevalent theories of Consciousness now). พวกนั้นไม่อย่างย่นย่อลดที่บางอันเป็นเหมือนที่แม็กซิโม่ได้บอกฉัน(they’re either reductive that some are like Maximo told me), ว่ามันเป็นกระบวนการของสมองที่มีชีวิต(that it is a process of the living brain). เราไม่รู้ว่าทำอย่างไร(we don’t know how). ให้เวลากับเรา, แล้วเราจะค้นหาเรื่องนี้ออกมาได้(give us time we will find out). นี้ถูกเรียกว่า ลัทธิวัตถุนิยมเชิงสัญญาล่วงหน้า(this is called promissory materialism4).

4 https://www.edge.org/response-detail/11002

ฉันจะให้คำอธิบายคุณในเชิงวัตถุนิยม(I’ll give you a materialistic explanation). ฉันให้สัญญา 10 ปี 40 ปี 50 ปี 100 ปี, คุณจะค้นพบ(you will find out). อะไรที่เดวิด ชาลเมอร์(Davis Chalmer)ในมหาวิทยาลัยนิวยอร์คพูดคือว่า คุณไม่เข้าใจจิตสำนึกนั้น(you don’t understand the Consciousness).

อะไรที่คุณรู้สึกว่าเป็นประสบการณ์รับรู้บุคคลที่ 1ทั้งหลายนั้น(what you feel as first person experience), พึงพอใจ(pleasure), เจ็บปวด(pain), มีอะไรบางอย่างที่ในที่นั้นซึ่งบุคคลแรก ของ ประสบการณ์รับรู้นั้น(there something there that first person of that experience). ไม่มีการติดต่อเชื่อมโยงอะไรกันระหว่างสิ่งนั้นกับความเป็นจริงทางวัตถุวิสัยทั้งหลายในโลกนี้(there is no connection between that and the objective realities in the world).

ที่จริงแล้วถ้าคุณมองที่ประสบการณ์รับรู้ของคุณเอง(in fact, if you look at your own experience), ประสบการณ์รับรู้ส่วนตัวของคุณ(your personal experience), ประสบการณ์รับรู้ทางวัตถุวิสัยเหล่านี้อยู่ในคุณ(these objective experience are in you). ใช่, จะมา, ความเป็นจริงทางวัตถุวิสัยทั้งหลายเหล่านี้เป็นประสบการณ์รับรู้ในจิตรู้สึก(these objective realities are experienced in Consciousness), ไม่ใช่รึ? อะไรคือเบื้องต้นยิ่งกว่าในประสบการณ์รับรู้ของคุณ(what is more Primary in your experience). คุณคือ ผู้ประสบรับรู้แล้วมีเพียงปรสบการณ์รับรู้เท่านั้นที่เป็นไปได้(you the experiencer then only experience is possible).

ผู้ถาม: เราที่จะเข้าใจว่าจิตสำนึกคืออะไรบางอย่างเหมือนแบบพูดว่า, ผมมีแม็กนีเซี่ยมในตัวของผม,มีแม็กนีเซี่ยมอยู่ทุกหนทุกแห่ง(are we to understand is something like say I have magnesium in my body, there’s magnesium everywhere)หรือว่า เหล็ก(iron), เหล็กมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง(iron everywhere). ผมเป็นส่วนหนึ่งของเหล็กและแม็กนีเซี่ยม(I own part of the iron and magnesium)...

สวามี สารวาปริญานันฑะ:    ไม่. ไม่เป็นกระทั่งเช่นนั้น(not even like that). เหล็กและแม็กนีเซี่ยมยังคงเป็นความจริงทั้งหลายทางวัตถุวิสัย(still are objective realities).

ผู้ถาม: มันเป็นเหมือนพลังแสง(light force)กับพลังแม่เหล็กไฟฟ้า(electromagnetic force)?

สวามี สารวาปริญานันฑะ:    ไม่. พลังแสง(light force), พลังแม่เหล็กไฟฟ้า(electromagnetic force), พวกเขาเป็นความจริงทางวัตถุวิสัยทั้งหลายด้วยเช่นกัน(they are also objective realities). แค่ใช้กฎนั่นของสิ่งนั้น(just use that law that thing).

นี่นะ, อะไรที่เรากำลังพูดอยู่ก็คือ สนใจในประสบการณ์รับรู้ของตัวคุณเอง, ถูกไหม?(what we are saying is attend to your own experience, right?) ที่นี่และในตอนนี้(here and right now). อะไรที่มีอยู่ในประสบการณ์รับรู้ของคุณนั่น?(what is there in your experience?) แค่ทำเช่นนี้(just do this). อะไรที่มีอยู่ในประสบการณ์รับรู้ของคุณ(what is there in your experience), มีอยู่หลายสิ่งมากมายที่คุณเห็น(see), ได้ยิน(hear), ได้กลิ่น(smell), รส(taste)ร, สัมผัส(touch). และอะไรที่คุณได้เห็นได้ฟังได้กลิ่นได้รสได้สัมผัส, ต่างกันแปรผันไปตามแต่พวกมันเป็น(varied though they are). พวกเขาทั้งหมดคือวัตถุทั้งหลาย(they are all objects).

อะไรที่คุณคิดและรู้สึกและเข้าใจและจำได้ไหมว่า เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก(what you think and feel and understand and remember, very subtle thing). แต่พวกเขาคือวัตถุทั้งหลายด้วยเช่นกัน(they’re also objects). ทำไมเป็น(why are), ทำไมฉันถึงกำลังเรียกพวกเขาว่าวัตถุ?(why am I calling them objects?) เพราะว่าคุณได้รับรู้ถึงพวกเขา(because you aware of them).

ทีนี้,นั่นคือที่ได้ระแวดระวังรับรู้ทั้งหมดของเรื่องนี้, มันเป็นวัตถุไหม?(now that which is aware of all of this, is it an object?)

ผู้ถาม: ผมขอถามได้ไหมว่า, ท่านเชื่อในตรรกะแบบโสคราตีส ที่พูดว่า, อะไรบางอย่างใหม่นั้นไม่สามารถบังเกิดขึ้นมาได้ มันต้องเป็นสิ่งที่นอนนิ่งมาโดยตลอด(do you believe in the socratic logic say, something new cannot arise it must be dormant all along). ท่านเชื่อว่า มีจิตสำนึกในสิ่งที่นอนนิ่งเฉยและสิ่งที่ไม่มีชีวิต, พืชทั้งหลายและสัตว์ทั้งหลายและแล้วมาเป็นความรู้สึกทั้งหลาย?(do you believe there’s Consciousness in dormant and non-living thing, plants and animals and then sentient beings?)

สวามี สารวาปริญานันฑะ:    เป็นคำถามที่ดี, คุณเชื่อว่าอะไรบางอย่างใหม่ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้(do you believe that something new cannot arise), คำถามนั่นฉันลืมที่จะตอบอันนั้น(I forgot to answer that), จักรวาลของคุณสามารถมาจากความไม่มีอะไรได้อย่างไร?(how can your universe come from nothing?) นั่น, นั่นเป็นคำถามที่ดี.

         แล้วคุณเชื่อว่าจิตสำนึกสงบเงียบอยู่เฉยๆในสิ่งมีชีวิตทั้งหมด?(so do you believe that Consciousness is dormant in all living beings?), อะไรที่น่าจะเป็นว่าคุณเข้าใจในคำตอบนั่นแล้ว ที่ฉันกำลังจะให้จากทัศนภาพเวฑานตะ? (what would be that if you understand the answer which I’m going to give from a Vedantic perspective?) แล้วคุณก็จะได้จากเวฑานตะ(then you will get Vedanta).

         เวฑานตะบอกว่า, มันไม่ใช่ว่าจิตสำนึกที่เป็นสิ่งหลบอยู่นิ่งเฉย(it’s not that Consciousness is dormant), หรือว่าเคลื่อนไหวทำงานอยู่ที่ไหนสักแห่งในจักรวาล(or active somewhere in the universe)มากกว่าที่จักรวาลจะเป็นสิ่งนอนนิ่งหลบอยู่เฉยๆในจิตสำนึก(rather the universe lies dormant in Consciousness).

         อ้างตามที่เวฑานตะ(according to Vedanta), จิตสำนึกคือความเป็นจริง(Consciousness is the reality)ในที่ซึ่งจักรวาลนอนนิ่งเฉยหลบอยู่(in which the universe lies dormant). และแล้วมันก็สำแดงปรากฏขึ้น คุณสามารถเรียกมันได้ว่าเป็น บิ๊ก แบง(and then it appears you can call it a Big Bang). คุณสามารถเรียกมันได้ว่าเป็น วิวัฒนาการของชีวิต(you can call it evolution life), ชีวิตสำแดงปรากฏ(life appearing)และแล้วก็มีการสำแดงปรากฏขึ้นของสิ่งมีสำนึกทั้งหลายเหมือนเช่นเรา(and then conscious being appearing like us).

         และแล้วชีวิตก็หายไปและชีวิตนั้น จักรวาลนั้นสิ้นสุดลง, กลับไปสู่สภาวะหลบนิ่งเฉยอยู่(and then life disappearing and the life the universe ending going back to dormancy). เวฑานตะบอกว่า, จากสิ่งที่ไม่สำแดงประจักษ์(from the unmanifest), สิ่งสำแดงประจักษ์ก็มาแล้วก็กลับไปสู่สิ่งไม่สำแดงประจักษ์(the manifest comes and goes back to the unmanifest). แต่ไม่สำแดงประจักษ์(unmanifest)แล้ว สำแดงประจักษ์(manifest)และ ไม่สำแดงประจักษ์อีกครั้ง(and unmanifest again), เป็นวงจร/วัฏจักร(the cycle). ทั้งหมดบังเกิดขึ้นในจิตสำนึก(it’s all happening in Consciousness). และอฑไวตะจะไปข้างหน้าต่ออีกและพูดว่า มันไม่ใช่แค่กระทั่งความสุข, มันคือการเป็นภาพยนต์ได้เล่น(will go for forward and say it’s not even happy, it’s a movie being played).

         ความเป็นจริงทั้งหมดที่ผ่านออกมานั้นคือจิตสำนึกซึ่งไร้การเปลี่ยนแปลง(the reality all throughout is a changeless Consciousness).

         นี่นะ, ฉันจะจบด้วยอันนี้(I’ll end with this)มีความเป็นไปได้สี่อย่างอยู่ตรงนั้น(there’s four possibilities are there). ฉันจะให้คุณแค่เพียงในรูปแบบเมล็ดของคำตอบนี้(I’ll just give you in a seed form the answer), และฉันได้ยินมัน, ฉันหมายความว่าฉันได้อ่านมันจากครูด้านอทวิลักษณะในภาษาฮินดี(I mean I read it from a non-dualist teacher in Hindi)ผู้ไม่ได้มีความคิดในทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่(who had no idea of modern science). เขาพูดว่า, จิตสำนึกและสสาร เรามาเรียกมันกันว่าวัตถุ(Consciousness and matter let’s call it object), สสาร(matter), จักรวาลวัตถุ(the material universe)และจิตสำนึก(and Consciousness). อะไรคือสัมพันธภาพกัน?(what is the relationship?) มี 4 ความเป็นไปได้อยู่ที่นั้น(there four possibilities are there).

         หนึ่ง คือจิตสำนึกโผล่ผุดขึ้นมาจากสสาร/วัตถุ(Consciousness emerges  from  matter), ที่เป็นการโต้แย้งเก่าแก่เรื่องจารวากะเชิงวัตถุในอินเดียสมัยโบราณ(which is the old materialistic Charvaka6 argument  in Ancient India)และที่เป็นการโต้แย้งอย่างชัดเจนของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่(and which is exactly modern scientific argument). สสาร/วัตุ(matter), เวลา

5https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%81

(time), อวกาศ/ที่ว่าง(space), สสาร/วัตถุ(matter)กับพลังงาน(energy). นี้คืออย่างมูลฐาน(this is fundamental). และที่จุดหนึ่ง(at one point), ดาวเคราะห์ทั้งหลายได้พัฒนาสสาร/วัตถุซึ่งมีชีวิตที่สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น(planets develop living more complex matter)มาเป็นสสาร/วัตถุทางอินทรีย์(comes organic matter). และจากสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้นออกมา(and from that living beings come), พวกเขาก็จัดรวมองค์กรตัวพวกเขาเองทั้งหลายมากยิ่งมากขึ้น ตามกฏวิวัฒนาการของดาร์วิน(they organize themselves more and more by Darwinian evolution5). สิ่งมีอยู่

         6https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4

อันสลับซับซ้อนมากทั้งหลายขึ้น(into complex beings).

         และแล้วพวกเขาก็พัฒนาระบบประสาททั้งหลายและสมองทั้งหลายขึ้น(and then they develop nervous systems and brains). เนื้อหาวัตถุทั้งหมดนั้น(all that material)มีผลผลิตส่วนเกินออกมาที่ถูกเรียกว่า จิตสำนึก(there’s a byproduct called Consciousness). แค่เป็นเหมือนเช่นเปลวไฟจากเทียน(just like a flame from a candle). ปรากฏการณ์รอง(epiphenomenal7). และไม่มีจิตสำนึกที่ปราศจากสสาร/วัตถุ(and there is no Consciousness

         7 https://hmong.in.th/wiki/Epiphenomena

without matter). ดังนั้น, สสาร/วัตถุคือความเป็นจริงที่จิตสำนึกวาบออกมาด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง(so matter is the reality out of which Consciousness flickers  somehow). นั่นเป็นทฤษฎีที่หนึ่ง.

         ทฤษฎีที่สองก็แค่ตรงกันข้ามกัน (the second theory is just the opposite). สสาร/วัตถุโผล่ผุดขึ้นมาจากจิตสำนึก(matter emerge from Consciousness). ใครเป็นเจ้าของทฤษฎีนี้(who whose theory is this), ลัทธิศาสน์ทั้งหลายทั้งหมดบอกเช่นนี้(all religions hold it). เมื่อคุณบอกว่า พระเจ้าคือผู้สร้างสรรค์, นั่นคือภาษาทางลัทธิศาสน์(when you say God is the Creator, that’s religious language). ถ้าคุณถามพวกเขาว่า พระเจ้าของคุณมีสำนึกรับรู้ หรือว่าไม่มีสำนึกรับรู้? (is your God conscious or unconscious?) พวกเขาก็จะบอกว่า พระเจ้าของเรามีสำนึกรับรู้(they all say our God is conscious). ดังนั้นจึงชัดเจนว่า สสาร/วัตถุโผล่ผุดขึ้นมาจากจิตสำนึก(so exactly matter emerges from Consciousness). จิตสำนึกคือผู้สร้างสรรค์โลกของจักรวาลของสสาร/วัตถุ(Consciousness is the Creator of a material universe). ลัทธิศาสน์บอกเช่นนั้น(religion says), ลัทธิศาสน์ใดรึ? ลัทธิศาสน์เทวนิยมทั้งหมดบอกเช่นนั้น(all theistic religion say it). ทฤษฎีที่สอง(second theory). นี่ไม่ใช่ที่อฑไวตะนะ.

         ทฤษฎีที่สาม, ไม่เป็นทั้งโผล่ผุดขึ้นมาจากซึ่งกันและกัน(neither emerge from each other). ทั้งคู่เป็นนิรันดร์(both are Eternal and Parallel).....จิตสำนึกที่แท้จริง และเวลา อวกาศ สสาร/วัตถุ พลังงาน ปรติ/ปีติ(the right Consciousness and time space matter energy prti). พวกเขากำรงอยู่คู่ขนานกันเป็นนิรันดร์ซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์กัน(they exist eternally parallel to each other and interact). ที่ไหนหรือที่เขามีปฏิสัมพันธ์กัน?(where do they interact?) ในตัวเรา(in us). เราคือจิตสำนึกที่กำลังมีปฏิสัมพันธ์กันกับสสาร/วัตถุ(we are Consciousness interacting with matter). นั่นคือสิ่งที่มีชีวิตอยู่(that’s a living being), นี่ตามที่ศังกระกล่าว. ทฤษฎีที่ลุ่มลึกเป็นอย่างมาก(very sophisticated theory). ที่จริงแล้วเดวิด ชาลเมอร์กำลังนำเสนออยู่ในตอนนี้(David Chalmer is proposing now), เป็นเช่น สรรพจิตนิยมในที่นี้(as panpsychism here). มันเป็นการแตกรูปผันแปร(a variation)ไม่ใช่ตรงชัดอย่างที่ศังกรา(not exactly Sankra), แต่เป็นการแตกรูปแปรมาจากทฤษฎีของศังกระ(but a variation of Sankra theory). นี้ก็ไม่ใช่อฑไวตะ(Advaita).

มีอีกอันหนึ่งที่เขายังไม่ได้นับ(there is another one that he has not counted). ที่เป็นของท่านนาคารชุน, ทฤษฎีของพุทธ(Buddhistic theory). สสาร/วัตถุก็เป็นสัตด้วย, จิตสำนึกก็เป็นสัตด้วยเช่นกัน(matter is also Satta, Consciousness is also Satta). ทั้งคู่สำแดงปรากฏอยู่ในช่องว่าง(both are appearances in the Void). นั่นเป็นสิ่งที่แตกต่างออกไปซึ่งจะต้องสำรวจค้นหา(that’s a different thing to  explore).

ทีนี้, ถ้าคุณเพิ่มนั่นเข้าไป, นั่นก็เป็นทฤษฎีที่สี่. ทฤษฎีที่ห้า(the fifth one)คือทฤษฎีอฑไวตะ(Advaita theory). ทฤษฎีอฑไวตะคือ จิตสำนึกเพียงลำพังเดียวเท่านั้นที่เป็นจริง(Consciousness alone is real). มันเป็นความจริงเดียวเท่านั้น(it’s the only reality)ที่ซึ่งสสาร/วัตถุแสดงปรากฏในนั้น(which in which matter appears). จิตสำนึกไม่ได้สร้างสรรค์สสาร/วัตถุขึ้นมา(Consciousness does not create matter). มันไม่ได้กลายมาเป็นสสาร/วัตถุ(it does not become matter). สสาร/วัตถุสแดงปรากฏอย่างเป็นช่วงเวลา(matter appears periodically), เป็นเช่น จักรวาล(as universe), เป็นชีวิต(as life)และสิ่งมีสำนึกรับรู้(and as conscious beings)แล้วก็หายไป(and disappear).

แต่จิตสำนึกเป็นรากเหง้าสำคัญ(Consciousness is fundamental). จิตสำนึกที่ฉันใช้คำภาษาอังกฤษว่า consciousness, ไม่มีสิ่งคู่ขนานกับมัน(no parallel to it). คุณอาจพูดว่า, อะไรคือข้อพิสูจน์(what proof).

ฉันจะทิ้งไว้ให้คุณอยู่กับอันนี้, ข้อพิสูจน์ก็คือ มองที่ประสบการณ์รับรู้ของคุณเอง(look at your own experience), ว่าสสาร/วัตถุแสดงปรากฏขึ้นที่ไหน(where does matter appear). ที่ไหนซึ่งสสาร/วัตถุแสดงปรากฏ?(where does matter appear?) ก็ในจิตสำนึกของคุณ(in your Consciousness). ในจิตของคุณ(in your mind). จิตของคุณแสดงปรากฏขึ้นที่ไหน?(where does mind appear?) ก็ในจิตสำนึก(in Consciousness). ที่ไหยซึ่งจิตหายไปในตอนหลับลึก?(where does mind disappear in Deep Sleep?) ก็ในจิตสำนึก(in Consciousness).

https://youtu.be/cEOlC5jLtsA?si=p18lEqbojtoktw57

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น