การเชื่อมต่อกันของลมหายและจิต : การคลี่คลายคำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า.
Breath and Mind Connection: Unraveling Buddha's
Teachings | Wisdom Insights
https://youtu.be/hqTzR56pgx0?si=2DvFb1urMViNkRal
ใช่.
ใช่, คุณได้ยินมันถูกต้องแล้ว.
มันไม่ใช่แค่เติมปอดทั้งหลายของเราด้วยออกซิเจนหรือคอยทำให้ให้เรามีชีวิตอยู่(it’s
not just about filling our lungs with oxygen or keeping us alive),
มันยังเกี่ยวกับการเชื่อมต่อกันด้วยเช่นกันอย่างลึกกับตัวของเรา,
ความคิดทั้งหลายของเรา และอารมณ์ทั้งหลายของเรา(it’s also about connecting
deeply with ourselves, our thoughts and our emotions).
นี้อาจจะดูเหมือนเป็นคำประกาศที่หนักแน่น(this
may seem like a bold statement),
แต่มันได้รับการสนับสนุนมาหลายศตวรรษของภูมิปัญญาจากคำสอนของพระพุทธเจ้า(but
it’s backed by centuries of wisdom from Buddha’s teaching).
การเชื่อมต่อกันของลมหายของเราและจิตของเรา
เป็นแกนสำคัญที่ปรากฏให้เห็นซ้ำๆในคำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า(the
connection of our breath and our mind is a recurring theme in Buddha’s
teachings). และเป็นหนึ่งที่บ่อยครั้งถูกมองข้ามไปในโลกสมัยใหม่ที่ก้าวย่างอย่างรวดเร็วของเรา(and
it’s one that’s often overlooked in our fast paced modern world).
แต่นี่คือเช่นนี้นะ(here
is the thing),
ลมหายใจของเราไม่ใช่แค่สิ่งจำเป็นทางชีวภาพ(our breath isn’t just a
biological necessity), มันคือสะพาน(a
bridge), สิ่งเชื่อมโยง(a link),
ท่อทางรางที่สามารถนำเราไปสู่ความเข้าใจอย่างลึกขึ้นกับจิตของเรา(a
conduit that can lead us a deeper understanding of our mind).
การสอนทั้งหลายของชาวพุทธบอกเราว่า
ลมหายใจของเราคือพลังสำคัญของชีวิต(Buddhist teachings tell us that
our breath is a vital life force),
จังหวะที่ละเอียดอ่อนที่ถักทอผ่านแต่ละชั่วขณะการมีชีวิตอยู่ของเรา(a
subtle rhythm that weaves through each moment of our existence). มันก็กับเราเสมอ(it’s always with us),
มิตรสหายที่มั่นคงสม่ำเสมอจากเมื่อครั้งแรกที่เราได้สูดลมหายใจเข้ามา
ไปจนถึงลมหายใจออกสุดท้ายของเรา(a constant companion from the time we
take our first breath to the moment we exhale our last breath).
แต่ในความเร่งรีบและวุ่นวายของชีวิตประจำวันทั้งหลายของเรา(but
in the hustle and bustle in our daily lives),
เรามักจะลืมความจริงง่ายๆนี้(we often forget this simple fact), เราสูดลมหายใจไปอย่างไม่เห็นความสำคัญ(we take our breath for
granted), เราหายใจโดยปราศจากการคิด(we breath
without thinking), ปราศจากการสังเกต(without
noticing).
แต่ถ้าเราได้เริ่มต้นการให้ความสนใจล่ะ?(but
what if we started paying attention?) ถ้าเราได้เริ่มต้นสังเกตการขึ้นลงอย่างนุ่มนวลของหน้าอกขแองเราล่ะ?(what
if we started noticing the gentle rise and fall of our chest?), ถึงอากาศเย็นๆที่กำลังเข้ามาทางช่องจมูกทั้งหลายของเรา(the
cool air entering our nostrils),
อากาศอุ่นที่กำลังออกไปจากร่างกายทั้งหลายของเรา(the warm air leaving
our bodies).
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน,
เมื่อเราเริ่มต้นสังเกตการณ์ลมหายใจของเรา(when we start observing our
breath), เราก็เริ่มต้นการสังเกตการณ์จิตของเรา(we
start observing our mind). เรากลายเป็นมีสติกับความคิดทั้งหลายของเรา(we
become mindful of our thoughts), ความรู้สึกทั้งหลายของเรา(our
emotions)และปฏิกิริยาทั้งหลายของเรา(and our reactions).
เราเริ่มต้นที่จะเห็นสิ่งทั้งหลายตามเช่นที่พวกเขาเป็นจริง(we
start see things as they really are),
ไม่ใช่อย่างที่เราต้องการให้พวกเขาเป็น(not as we want them to be).
เราพัฒนาสัมผัสรู้สึกของความนิ่งสงบ(we
develop a sense of calm), สัมผัสรู้สึกของความสันติ(a
sense of peace), สัมผัสรู้สึกของความเข้าใจ(a
sense of understanding).
สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการหลบหนีความเป็นจริง(this
isn’t about escaping reality)หรือค้นหาเวทย์มนตร์การรักษาสำหรับปัญหาทั้งหลายทั้งหมดของเรา(or
find a magic cure for all our problems),
มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาความเชื่อมต่ออย่างลึกยิ่งขึ้นกับตัวเราเองทั้งหลาย,
กับความคิดทั้งหลายของเรา และอารมณ์ทั้งหลายของเรา(it’s
about developing a deeper connection with ourselves, with our thoughts and our
emotions).
มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียนรู้ที่จะนำทางภูมิทัศน์อันซับซ้อนของจิตของเรา
ด้วยความงดงาม, ด้วยความเมตตากรุณา และด้วยความเข้าใจ(it’s
about learning to navigate the complex landscape of our mind with Grace, with
compassion and with understanding).
ดังนั้นเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราเริ่มต้นการให้ความสนใจอย่างสำนึกรู้ต่อลมหายใจของเรา?(what
happen when we start paying conscious attention to our breath?) เรามาดำเนินต่อไปในการเดินทางอันน่าสนใจที่จะค้นหานี้กันเถิด(let’s
continue this intriguing journey to find out).
ลมหายใจที่มักจะไม่ถูกสังเกตนี้คือจังหวะชีวิตเงียบๆของเรา(the
breath often unnoticed is our life’s silently rhythm). มันคือมิตรสหายที่มั่นคงสม่ำเสมอที่อยู่กับเราตั้งแต่ชั่วขณะที่เราได้เกิดขึ้นมา
จนกระทั่งถึงวันที่เราสูดดึงลมหายใจสุดท้ายของเรา(it’s a
constant companion that’s with us from the moment we’re born until the day we
draw our last breath). กระนั้นมันก็ช่างง่ายดายเหลือเกินที่จะมองข้ามความสำคัญของมันไป(it’s
so easy to take it for granted). แต่ในคำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า
ลมหายใจเป็นที่ถูกเคารพนบนอบ(but in Buddha’s teachings the breath is
severed). มันไม่ใช่เป็นแค่หน้าที่ทางชีวภาพ(it’s
not just as a biological function)แต่เป็นพลังชีวิต(but
as a life force).
สะพานหนึ่งระหว่างร่างกายของเรากับจิตวิญญาณของเรา(a bridge between our
body and our spirit).
ในการที่จะเข้าใจว่าทำไม. เรามาดูกันที่ลมหายใจทำงานอย่างไร.
เมื่อเราหายใจเข้า เราดึงเอาออกซิเจนเข้าไปในปอดทั้งหลายของเรา(when
we breath in we draw oxygen into our lungs),
ออกซิเจนนี้ก็ถูกนำไปยังทุกเซลล์ของร่างกายเรา(this oxygen is then carried to
every cell in our body), เติมเชื้อเพลิงให้กับพวกมัน รักษามันให้มีชีวิตอยู่(fuel
them keeping them alive). เมื่อเราหายใจออก ขับไล่คาร์บอน
ไดออกไซด์ออกมา, ของเสียจากการผลิตของระบบเผาผลาญในร่างกายของเรา(when
we breath out we expel carbon dioxide, a waste product of our body’s
metabolism). การทำง่ายๆของการหายใจ,
การแลกเปลี่ยนของก๊าซทั้งหลายนี้คือสิ่งสำคัญสำหรับการอยู่รอดชีวิตของเรา(this
exchange of gases is vital for our survival).
แต่สำหรับพระพุทธเจ้า,
การหายใจเป็นมากยิ่งกว่าขบวนการทางกายภาพ(breath is more than a physical
process). พระองค์มองมันว่าเป็นการสำแดงปรากฏของปราณ(he
saw it as a manifestation of Prana1- ปราณ ในภาษาสันสกฤตแปลว่า พลังชีวิต)หรือ
พลังงานชีวิต(or life energy).
1 https://youtu.be/yWQLXuwna14?si=A073SNkRWOVgxU0R
ในคำสอนของพระองค์,
ลมหายใจนั้นเป็นจังหวะเงียบที่หนุนค้ำจุนการมีชีวิตอยู่ของเรา(breath
is silent rhythm that underpins our existence). มันเป็นเพลงวงดนตรีใหญ่ที่เล่นบรรเลงประกอบป็นฉากหลังให้กับชีวิตทั้งหลายของเรา(symphony
that plays .o the background of our lives),
บ่อยครั้งที่ไม่ถูกสังเกต(often unnoticed). กระนั้นก็มีผลกระทบอย่างลึกซึ้ง(yet
profoundly impactful).
การหายใจ : พระพุทธเจ้าสอน,
คือกระจกเงาของจิตของเรา(is a mirror of our mind). เมื่อเราได้เคร่งเครียดหรือกระวนกระวาย(when we’re stressed
or anxious), ลมหายใจของเราก็จะกลายเป็นตื้นเร็ว(our
breath will become shallow rapid).
แต่เมื่อเราได้ผ่อนคลายหรือเพ่งความสนใจ, ลมหายใจของเราก็จะช้าลึก(but
when we’re relaxed or focused, our breath is slow deep).
โดยการสังเกตต่อลมหายใจของเรา
เราสามารถบรรลุข้อมูลเชิงลึกข้างในทั้งหลายได้(by observing our breath we can
gain insights),
เข้าไปในสภาวะอารมณ์ความรู้สึกและจิตใจของเรา(into our emotional and mental
state). ยิ่งไปกว่านั้นอีก, พระพุทธเจ้าได้เสนอว่า(proposed
that), โดยการควบคุมอย่างมีจิตสำนึกในลมหายใจของเรา(by
consciously controlling our breath), เราก็สามารถมีอิทธิพลต่อจิตของเรา(we
can influence our mind),
เราสามารถสงบความคิดแล้วทั้งหลายของเรา(we can calm our thoughts), ปลูกฝังสติ(cultivate mindfulness),
และประคับประคองสันติภายใน(and foster inner peace).
นี้คือหมุดหินบอกทางคำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้าในการหายใจ(this
is the cornerstone of Buddha’s teachings on breath),
ว่าลมหายใจของเรานั้นไม่ได้เป็นเพียงหน้าที่การงานของความยั่งยืนอยู่รอดชีวิต(our
breath is not just a life sustaining function),
แต่คือเครื่องมืออันทรงพลังสำหรับการเปลี่ยนรูป/การเปลี่ยนสภาพส่วนบุคคล(but a
powerful tool for personal transformation).
ทีนี้เรามาเลื่อนย้ายจุดเพ่งของเรากัน(now let’s shift our focus), จากลมหายใจของเราไปที่จิตของเรา(from our breath to our mind). คุณคิดว่าอะไรบังเกิดขึ้นที่นั้น?(what do you think happens there?)
จิตทั้งหลายของเราสามารถเป็นที่ดุร้ายไม่อาจควบคุมได้ดุจม้าป่าทั้งหลายที่ยังไม่ได้ถูกฝึก(our
minds can be as wild as untrained horses),
หรือสงบนิ่งได้เท่ากันกับม้าพ่อพันธุ์ทั้งหลายที่ถูกฝึกแล้ว(or as
calm as trained stallions). ความคิดที่ปลุกเร้าคำสั่งการนั้นไม่ใช่หรือ?(a
thought provoking statement, isn’t it?) แต่มันหมายถึงอะไร
และมันได้เชื่อมโยงกับคำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้าอย่างไรหรือกับ?(but
what does it mean and how does it relate to Buddha’s teachings?)
พระพุทธเจ้าได้ทรงอธิบายไว้ว่า
จิตนั้นเป็นเช่นม้าป่าทำการวิ่งควบไปอย่างไร้ทิศทาง(the
mind as a wild horse golloping without direction)ถูกชี้นำด้วยตามใจชอบและความเพ้อฝันทั้งหลายของเขา(guided
by his whims and fancies). มันบ่อยครั้งที่ไม่ได้หยุดพัก,
กระโดดจากความคิดหนึ่งไปยังอีกความคิดหนึ่ง(it’s often restless,
jumping from thought to thought)เหมือนลิงที่เหวี่ยงตัวจากต้นไม้หนึ่งไปยังอีกต้นไม้หนึ่ง(like
a monkey swings from tree to tree). นี้คือจิตที่ยังไม่ได้รับการฝึก
อยู่แต่กับการเคลื่อนไหวอยู่อย่างสม่ำเสมอ(this is the untrained mind
constantly in motion), ไม่เคยหยุดพัก(never at rest).
จิตที่ไม่ได้ถูกฝึกนั้นง่ายต่อการได้รับอิทธิพลโดยสิ่งเร้าภายนอก(the
untrained mind easily influenced by external stimuli),
ถูกกวาดไปตามแรงของอารมณ์รู้สึกและความคิดทั้งหลาย(being
swept away by the torrance of emotions and thoughts).
มันเป็นปฏิกิริยา(it is reactive)ไม่ใช่รู้ทันความคิด(not
proactive). มันตอบสนองต่อสถานการณ์ทั้งหลายอย่างหุนหันพลันแล่น(it
responds to situations impulsively),
ที่บ่อยครั้งนำไปสู่การกระทำทั้งหลายซึ่งสามารถสำนึกเสียใจได้ในภายหลัง(often
leading to regrettable actions).
มันเหมือนกับม้าป่าวิ่งไปอย่างไร้จุดหมาย(running
aimlessly)ไม่ได้รู้ว่ามันกำลังไปที่ไหน(not knowing where it going).
แต่อะไรถ้าเราสามารถทำให้ม้าป่านี้เชื่องอ่อนน้อมได้(what
if we could tame this wild horse), อะไรถ้าเราสามารถฝึกฝนมันให้เป็นที่สงบลงได้(what
if we could train it to be calm), ได้เพ่งรวมความสนใจและเป็นที่ตอบสนอง
มากยิ่งกว่าเป็นปฏิกิริยา?(focused and responsive rather than
reactive?)
นี่คือที่ซึ่งแนวความคิดของจิตที่ถูกฝึกฝนได้ก้าวเข้ามา(this
is where the concept of training mind come in).
ในคำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า, จิตที่ถูกฝึกแล้วก็เหมือนม้าพ่อพันธุ์ที่ฝึกดีมีวินัยแล้ว(in
Buddha’s teachings, the trained mind is like a well disciplined stallion).
มันเพ่งจับจุดนิ่งสงบและตื่นรู้(it is calm focused and aware).
มันไม่ได้ถูกกวาดไหลออกไปโดยกระแสทั้งหลายของอารมณ์รู้สึกและความคิดทั้งหลาย(it
doesn’t get swept away by the currents of emotions and thoughts).
แทนที่จิตมันจะเอาแต่เฝ้าสังเกตพวกนั้น แต่ทำความเข้าใจพวกมันแล้วตอบสนองพวกมันอย่างชาญฉลาด(instead
it observes them, understand them then response them
wisely).
มันเป็น ปริกัปกิริยา(it’s proactive – มีสติไวทันต่อความคิด),
ไม่ใช่ปฏิกิริยา(not reactive – ไวต่อการตอบสนองสิ่งที่มากระทบ).
การฝึกฝนจิต ไม่ใช่การกดข่มความคิดหรืออารมณ์รู้สึกทั้งหลาย(training
the mind is not about suppressing thoughts or emotions). มันคือการทำความเข้าใจพวกมัน(it’s about understanding), การยอมรับพวกมัน(accepting them), และแล้วก็การปล่อยพวกมันไป(and
then letting them go).
มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาประสาทสำนึกของการตื่นตัว/สัมปชัญญะ,
ประสาทสำนึกของการตื่นรู้/สติ(it’s about developing a sense of
awareness, a sense of mindfulness).
มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่กับชั่วขณะปัจจุบัน(it’s
about living in the present moment), ไม่ใช่กับในอดีต(not in
the past), หรือกับอนาคต(or the future).
แล้ว, เราจะฝึกฝนจิตทั้งหลายของเราอย่างไร?(so how
do we train our minds?) เราเปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างจิตทั้งหลายของเราจากม้าป่าไปสู่ม้าพ่อพันธุ์ทั้งหลายที่มีวินัย(how do
we transform our minds from wild horses to discipline
stallions), คำตอบนั้นทอดวางอยู่ที่ ลมหายใจ(the
answer lies in the breath).
ใช่, การกระทำง่ายๆของการหายใจ(the
simple act of breathing), สามารถที่จะเป็นเครื่องมืออันทรงพลังสำหรับการฝึกฝนจิต(can be
a power tool for mind training).
แต่ว่า,
ลมหายใจของเรามีอำนาจชักจูง/มีอิทธิพลต่อจิตของเราได้อย่างไร?(how
does our breath influence our mind?) เรามาสำรวจค้นหากัน(let’s
explore).
ลมหายใจของเราคือประตูทางผ่านไปสู่สติ(our
breath is a gateway to mindfulness), เป็นคำสั่งการที่ทรงพลังอำนาจ
ไม่ใช่รึ?(a powerful statement, isn’t it?) แต่อะไรคือความหมายที่แท้จริงของมัน?(but
what does it truly mean?) เรามาสำรวจค้นหากัน.
สติ(mindfulness)ตามที่พระพุทธเจ้าได้สอน,
คือการฝึกปฏิบัติของการเป็นที่เต็มเปี่ยมอยู่กับความตื่นรู้และปัจจุบัน(is the
practice of being fully aware and present).
มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสังเกตโดยปราศจากการใช้ดุลพินิจตัดสิน,
การยอมรับสิ่งทั้งหลายตามที่พวกมันเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราต้องการให้มันเป็น(it’s
about observing without judgement, accepting as they are not as we want them to
be). และหนึ่งในหนทางที่ได้ผลง่ายที่สุดในการปลูกฝัง สติ ก็คือผ่านวิธีการหายใจ(and
one of the simplest most effective ways to cultivate mindfulness is through the
breath). การฝึกปฏิบัตินี้รู้จักกันว่า อานาปานสติ2(this
practice is known as Ana Panasati), หรือ สติของการหายใจ(or
mindfulness of breathing).
มันเป็นเทคนิคที่พระพุทธเจ้าได้สอนมากว่า
2,500 ปีแล้ว(it’s a technic that Buddha taught more than 2,500 years ago).
และมันเป็นที่เข้ากันได้กับทุกวันนี้เท่าๆกับย้อนกลับไปในสมัยนั้น(and
it’s as relevant today as it was back then). มันเป็นการฝึกปฏิบัติที่ให้เราดีงเอาความสนใจของเราอย่างเต็มที่มายังประสาทสัมผัสรู้ของการหายใจ(it’s a
practice that asks us to bring our full attention to the sensation of
breathing), มาสู่จังหวะขึ้นและยุบลงของหน้าอกของเรา(to the
rhythmic rise and fall of our chest), มาที่อากาศอันอ่อนเบา(to the
gentle air), การเข้าและออกไปผ่านช่องจมูกของเรา(entering
and leaving our nostrils).
มันเป็นเรื่องการปรับแต่งเข้าไปสู่ชั่วชณะปัจจุบัน(it’s
about tuning into the present moment). หนึ่งลมหายใจในเวลานั้น(one
breath at the time). แต่ว่าสิ่งนี้ไปมีผลกระทบต่อจิตได้อย่างไร?(but
how does this affect to the mind?)
เอาละ,
เมื่อเราเพ่งจุดสนใจมาที่ลมหายใจของเรา, เราให้อะไรบางอย่างกับจิตของเราแน่วแน่คงที่ที่จะยึดไว้(well,
when we focus on our breath we give our mind something constant to anchor onto). สิ่งนี้ศึกษาจิต(this studies the mind), ทำให้จิตใจอันวุ่นวายจอแจสงบลง(calm the mental chatter), และยอมให้เราเห็นสิ่งทั้งหลายได้ชัดเจนกระจ่างมากยิ่งขึ้น(and
allow us to see things more clearly). มันเหมือนกับทำให้ผิวระลอกคลื่นทั้งหลายของน้ำในสระราบเรียบลง(it’s
like smoothing out the ripples on the pond).
ยอมให้เรามองเก็นก้นสระได้(allow us to see the bottom), ชัดเจนได้มากยิ่งขึ้น(clearly moreover).
การดเพ่งจุดใจที่ลมหายใจสอนเราถึงความไม่เที่ยง/อนิจจัง(focus
on the breath teaches us about impermanence).
แนวความคิดกุญแจหลักในคำสอนชาวพุทธทั้งหลาย(a key concept in Buddhist
teachings).
แต่ละลมหายใจมีความเป็นลักษณะเฉพาะ(each
breath is unique), การมาและการไป(coming
and going), ไม่เคยเป็นที่จะย้อนทวนซ้ำ(never to be repeat). การสังเกตนี้สามารถช่วยเราให้เข้าใจธรรมชาติความฉับพลันของสิ่งทั้งหลายทั้งหมด(observe
this can help us understand the transitory nature of all things)อันนำไปสู่ประสาทสำนึกเบื้องลึกของสันติและความสงบใจ(leading to
a deeper a sense of peace and equanimity).
จงหายใจในวิธีนี้(breath
in this way), ใช้เป็นเหมือนสะพาน(serve
as a bridge), เชื่อมต่อเราเข้ากับชั่วขณะปัจจุบัน(connecting
us to the present moment), และเสนอต่อเราในเส้นทางตรงไปสู่สติ(and
offering us a direct route to mindfulness). มันเป็นเครื่องมือที่อยู่กับเราเสมอ(it’s a
tool that’s always with us, มีอยู่ให้ใช้งานได้เสมอ(always
available)ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน หรือว่าเรากำลังทำอะไรอยู่(no
matter where we are or what we’re doing).
ตอนนี้จงใช้เวลาชั่วขณะที่จะสังเกตลมหายใจของคุณ(take a
moment to notice your breath). ว่ามันรู้สึกอย่างไร(how
does it feels), มันตื้นหรือว่าลึก(it’s
shallow or deep), เร็วหรือช้า(fast
or slow). คุณสามารถรู้สึกได้ถึงความเย็นของอากาศที่คุณสูดเข้ามา,
ความอุ่นที่คุณหายใจออกไป(can you feel the coolness of the air that
you inhale, the warmth that you exhale).
การกระทำเรียบง่ายนี้(this simple act), ชั่วขณะของการตื่นรู้/สัมปชัญญะนี้(this
moment of awareness)เป็นก้าวแรกในการเดินทางของคุณไปสู่สติ(is the
first step on your journey to mindfulness).
จำเอาไว้ว่าลมหายใจนั้นเป็นมากยิ่งกว่าแค่การกระทำทางกาสยภาพ(remember
the breath is more than just a physical act). มันเป็นเส้นทางไปสู่สันติ(if’s
the pathway to peace). ประตูทางเข้าไปสู่สติ(a
gateway to mindfulness).
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่สะท้อนก้องคำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า(modern
science too, echoes Buddha’s teachings).
ขณะที่เราสืบค้นเจาะลึกเข้าไปในโลกอันน่ามหัศจรรย์ใจของประสาทชีววิทยาและจิตวิทยา(as we
delve into the fascinating world of neurobiology and psychology),
เรามองเห็นการจัดเรียงแถวแนวพ้องต้องกันอันสนใจจำกับปัญญาโบราณของพระพุทธเจ้า(we see
the remarkable alignment with the ancient wisdom of Buddha).
ลมหายใจมักถูกมองข้ามโดยผู้คนมากมายในตอนนี้ได้ถูกมองว่าเป็นเครื่องมืออันทรงอำนาจสำหรับการมีสุขภาพจิตที่ดี(always
overlooked by many is now seen as a powerful tool for mental well being).
การค้นคว้าวิจัยในอาณาจักรของจิตวิทยา(research
in the realm of psychology),
ได้ค้นพบว่าการหายใจอย่างถูกควบคุมสามารถช่วยในการจัดการความเครียดและความหมกหมุ่นกังวลได้(controlled
breathing can help manage stress an anxiety).
เมื่อคุณผ่อนลมหายใจของคุณลงช้าๆอย่างมีสำนึกจิต(when you consciously slow down
your breath),
ร่างกายของคุณก็ตอบกลับด้วยการลดอัตราการเต้นของหัวใจ และลดความดันเลือดให้ต่ำลง(your
body responds by reducing the heart rate and lowering blood pressure).
การเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพนี้ส่งสัญญานให้กับสมองที่จะเปลี่ยนย้ายจากสภาวะของการตื่นตัวสูงไปสู่สภาวะความนิ่งสงบ(this
physiological change signals the brain to shift from a state of high alert to a
state of calm). มันเหมือนกับการบอกกับจิตของคุณว่าทั้งหมดยังเป็นที่ดีอยู่(it’s
like telling your mind all is well),
คุณสามารถผ่อนคลายได้ในตอนนี้(you can relax now).
ทีนี้เรามาคุยกันถึงเรื่องการเชื่อมต่อทางชีวภาพระหว่างลมหายใจกับสมอง(the
biological connection between the breath and the brain).
สมองของเราถูกเดินสายใยถักทอไว้ด้วยกลุ่มชุดเส้นเซลล์ประสาททั้งหลายที่เรียกว่า เครื่องกระตุ้นหัวใจจากการหายใจ(our
brains are wired with a set of neurons called the respiratory pacemaker).
กลุ่มทั้งหลายของเซลล์ประสาทนี้ไม่ได้เป็นแค่ควบคุมรูปแบบทั้งหลายของการหายใจของเราเท่านั้น(this
group of neurons not only regulates our breathing patterns),
แต่ยังปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่ทั้งหลายของสมองเชื่อมโยงกับความสนใจ, ความตื่นเต้น,
ความวิตกกังวล ด้วยเช่นกัน(but also interact with the areas of the
brain related to attention, excitement, anxiety).
ดังนั้นเมื่อคุณเปลี่ยนหันจังหวะการหายใจของคุณ(so
when you alter your breathing rhythm),
คุณก็ติดต่อสื่อสารอย่างสำคัญกับพื้นที่เหล่านี้(you essentially communicating
with these areas), ส่งอิทธิพลต่อสภาวะทางจิตใจของคุณ(influencing
your mental state).
นี้คือที่ที่วิทยาศาสตร์ทั้งหลายมาพบกันกับคำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า(this
is where the science meets Buddha’s teachings). เมื่อพระพุทธเจ้าได้พูดถึงการหายใจอย่างมีสติ(when
Buddha spoke of mindfulness of breathing), พระองค์ได้กำลังชี้มาที่ปฏิสัมพันธ์อย่างยิ่งนี้(he was
pointing to this very interaction).
โดยการเพ่งจุดสนใจอยู่ที่ลมหายใจ, เราก็สามารถชี้นำจิตของเราจากความจราจลวุ่นวายมาสู่ความสงบนิ่งได้(by
focus to the breath, we can guide our minds from chaos to calm),
จากความฟุ้งซ่านมายังความสนใจ(from distraction to attention).
แต่นี่คืออะไรที่ซ่อนเร้นอยู่(but here’s the catch).
มันไม่ใช่แค่เกี่ยวกับหายใจอย่างลึกๆ(it’s not just about deep
breathing), มันคือการหายใจอย่างมีสติ(it’s
about mindful breathing).
มันเกี่ยวกับการอยู่อย่างเต็มที่กับปัจจุบันด้วยหายใจเข้าและหายใจออก,
ความรู้สึกถึงการไหลของพลังชีวิตภายในคุณ(it’s about being fully present
with each inhale and exhale feeling the
flow of life force within you). เมื่อคุณหายใจด้วยความตื่นรู้,
คุณไม่ได้แค่เติมออกซิเจนให้กับร่างกายของคุณ(when you breath with awareness,
you’re not just oxygenating your body),คุณกำลังบำรุงจิตของคุณด้วยเช่นกันด้วยความสนใจและใส่ใจ(you’re
also nourishing you’re mind with attention and care).
ดังนั้นคราวหน้า, คุณพบว่าตนเองติดอยู่ในลมพายุหมุนวนของความคิดหรืออารมณ์รู้สึกทั้งหลาย(you
find yourself caught up in a whirlwind of thoughts or emotions),
จดจำสิ่งนี้. ลมหายใจของคุณคือพันธมิตรของคุณ(your breath is your ally),
สะพานของคุณไปยังจิตที่สงบนิ่งยิ่งกว่า(your bridge to a calmer mind).
การหายใจอย่างมีสติเป็นเหมือนการกระซิบต่อสมองของคุณ(breathing
mindfully is like whispering to your mind),
ว่ามันเป็นเวลาที่จะผ่อนคลาย(it’s time to relax).
มันเป็นเวลาที่จะเพ่งความสนใจ(it’s time to focus).
เรามาฟังเรื่องราวของชีวิตจริงกันที่งดงามซึ่งบรรยายถึงการเชื่อมต่อนี้,
การปฏิบัติสมาธิและการหายใจ(let’s listen to a real life story that
beautiful illustrate this connection, meditation and breath).
สองด้านของเหรียญเดียวกัน(two sides of the same coin).
วลีนี้คือแก่นสำคัญของคำสอนขอวงพระพุทธเจ้าในการปฏิบัติสมาธิ(this
phrase encapsulates the essence of Buddha’s teachings on meditation).
การหายใจทำงานดุจสะพานหนึ่งที่เชื่อมติดต่อร่างกายและจิตของเรา(the
breath serves as a bridge connecting our body and mind),
รวบรวมสติ/จิตสำนึกของเราให้อยู่กับชั่วขณะปัจจุบัน(grounding
us in the present moment).
การฝึกฝนปฏิบัติสมาธิมากมายทั้งหลายมีจุดเน้นเด่นอยู่ที่ความสำคัญของการหายใจ(numerous
meditation practices highlight the importance of breath).
หนึ่งในพื้นฐานมากที่สุดคือ อนาปานสติ(one of the most fundamental is
Ana Panasati), หรือการมีสติอยู่กับการหายใจ(or
mindfulness of breathing).
เทคนิคนี้สอนขึ้นโดยพระพุทธเจ้าเอง(this
technique taught by Buddha himself), เกี่ยวข้องกับการเพ่งความสนใจของผู้นั้นอยู่กับสัมผัสรู้ทั้งหลายของการหายใจ(involve
focusing one’s attention on the sensations of breathing).
ในขณะที่คุณหายใจ,
คุณกลายเป็นตื่นรู้ถึงอากาศเย็นที่ผ่านช่องจมูกของคุณเข้ามาเติมเต็มปอดทั้งสองของคุณ(as you
inhale, you become aware of the cool air entering your nostrils filling your
lungs). ในขณะที่คุณหายใจออก,
คุณสังเกตถึงอากาศอุ่นที่กำลังออกไปจากร่างกายของคุณ(as you
exhale, you observe the warm air leaving your body).
การกทำง่ายๆของการสังเกตนี้, ปราศจากซึ่งการวินิจฉัยตัดสินหรือการคาดหวังทางจิตใจ
ช่วยในการปลูกฝังสัมผัสรู้ของความสันติและสงบเงียบ(this
simple act of observation, devoid of judgement or mental expectation help
cultivate a sense of peace and tranquility).
แต่มันไม่ใช่แค่สันติ(but it’s not just about peace),
การหายใจสามารถทำงานเป็นเครื่องมือหนึ่งสำหรับความรู้จักตน/ญาณ
และการเปลี่ยนแปลงรูป(the breath can also serve as a tool for
insight and transformation). ในวิปัสสนา3,
การฝึกปฏิบัติสมาธิอีกแบบหนึ่ง, หยั่งรากลงในคำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า,
การหายใจถูกใช้เป็นจุดรวมเพ่งความสนใจที่จะสังเกตถึงธรรมชาติความไม่เที่ยงของปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งหมด(another
meditation practice, rooted in Buddha’s teachings, the breath is used as a
focal point to observe the impermanent nature of all phenomena).
โดยการสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์รู้สึกที่ได้เกิดขึ้นของการหายใจ(by
observing the ever changing sensations of the breath), เราเริ่มต้นที่จะเข้าใจถึงธรรมชาติความไม่ถาวรของความคิด,
อารมณ์รู้สึกและประสบการณ์รับรู้ทั้งหลายของเรา(we begin to understand the transient
nature of our thoughts, emotions and experiences). ความเข้าใจนี้สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนถ้ายอย่างละเอียดลูกซึ้งในทัศนภาพช่วยสนับสนุนอุปถัมภ์การยอมรับที่นิ่งและสงบใจยิ่งกว่า(this
understanding can lead to profound shifts in perspective fostering greater
acceptance and equanimity).
การฝึกปฏิบัติสมาธิทั้งหลายแบบเพ่งการหายใจนี้ไม่ได้จำกัดกันอยู่แต่ที่ศาสนาพุทธ(Breath
focused meditation practices aren’t confined to Buddhism),
พวกนี้ได้ถูกพบอยู่ในธรรมเนียมลัทธิทั้งหลายอีกมากมาย สะท้อนถึงการรับรู้อย่างสากลกับศักยภาพในการเปลี่ยนรูปโดยการหายใจ(they
are found in many spiritual traditions reflecting a universal recognition of
the breath transformative potential), จากการปฏิบัติโยคะ ปรานายามะ(from
the Pranayama practices of yoga), ไปสู่การสวดภาวนาเฮซิซึ่มของคริสต์ศาสนาธรรมเนียมออร์ธอด็อกซ์(to the
hesychastic prayer4 of Christian Orthodox tradition).
ลมหาย
4 https://www.templetonworldcharity.org/projects-database/30294
ใจได้ถูกยอมรับนับถือว่าเป็นดุจรางท่อศักดิ์สิทธิ์สู่สภาวะแห่งจิตสำนึก(the
breath is revered as a sacred conduit to higher states of consciousness).
พระพุทธเจ้าได้เน้นความสำคัญของการหายใจในขณะที่กำลังอยู่ในสภาวะสมาธิ(Buddha
emphasized the importance of breath in meditation stating).
การหายใจเข้ายาว, เขาให้สังเกตรู้ว่า, ฉันกำลังหายใจเข้ายาว(breathing
in long, he discerns, I am breathing in long),
หรือกำลังหายใจออกยาว, เขาก็สังเกตรู้ว่า, ฉันกำลังหายใจออกยาว(or
breathing out long, he discerns, I am breathing out long).
เขาฝึกฝนตนเอง, ฉันจะหายใจเข้านิ่งสงบการเสกสรรร่างกาย(he
trains himself, I will breath in calming bodily fabrication),
ฉันจะหายใจออกสงบนิ่งการเสกสรรร่างกาย(I will breath out calming bodily
fabrication).
ในหนทางนี้,
การหายใจกลายเป็นเครื่องมือหนึ่งสำหรับการตื่นรู้/สัมปชัญญะตนเองและการควบคุมกำกับตนเอง(in
this way , the breath becomes a tool for self-awareness and self-regulation), นำทางเราไปสู่สันติภายในและความกระจ่างแจ้ง(guiding us towards inner peace and
clarity). แล้วเราสามารถเป็นประยุกต์ปัญญาโบราณนี้มาใช้กับชีวิตประจำวันทั้งหลายของเราได้อย่างไร?(how can we apply this ancient wisdom in
our daily lives?)
ก็โดยทำการหายใจในแต่ละครั้งโดยกระทำอย่างสำนึกของสติ(by making each breath a conscious act
of mindfulness), เราสามารถเปลี่ยนรูปชข่วงเวลาทั้งหลายทางโลกสำหรับปัจจุบันและสงบสันติให้มัน(we can transform mundane moments into
opportunities for present and peace it). มันทั้งหมดเริ่มต้นด้วยหนึ่งลมหายใจ(it’s all begins in a single breath).
ศิลปะของการหายใจและการปฏิบัติสมาธิคืออย่างแท้จริงเป็นศิลปะของการมีชีวิต(the art of breathing and meditation is
truly an art of living). การเปลี่ยนรูปชีวิตทั้งหลายของเรา,
ทีละหนึ่งลมหายใจ(transforming
our lives, one breath at a time),
นี่ไม่ใช่เป็นแค่วลีที่จับใจ(this
isn’t just a catchy phrase),
มันคือความเป็นจริงที่ปัจเจกบุคคลทั้งหลายจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้มีปรสบการณ์รับรู้ผ่านการหายใจอย่างมีสติ(it’s a reality that countless
individuals have experienced through mindful breathing), ชีวิตในทุกวันนั้นเต็มไปด้วยความเครียดทั้งหลาย,
เส้นตายทั้งหลาย, การจราจรติดขัดทั้งหลาย, ความไม่เห็นด้วยไม่ตกลงทั้งหลาย(everyday life is fill with stressors,
deadlines, traffic jams, disagreements), นั่นสามารถทำให้ลมห่ายใจของเราตื้นและจิตทั้งหลายของเราที่จะวิ่งแข่งเร็ว(that can cause our breath to become
shallow and our minds to race). แต่ด้วยการนำความสนใจของเราเพ่งจุดมาที่ลมหายใจของเรา,
เราก็สามารถนำทางสถานการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ด้วยความผ่อนปรนและสงบนิ่งมากมายมหาศาลยิ่งกว่า(but by bringing our focus to our breath
we can navigate these situations with greater ease and calm).
แล้วผู้หนึ่งผู้ใดจะประยุกต์เอาการหายใจอย่างมีสตินี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร?(so how does one apply mindful breathing
in day to day life?)
อย่างแรกเริ่มต้นวันของคุณด้วยสองสามนาที่ของการหายใจอย่างเพ่งจุดในขณะที่คุณตื่นขึ้นมา,
ก่อนที่วันอันเร่งรีบและวุ่นวายจะเริ่ม(first
start your day with a few minute of focused breathing as you wake up before the
hustle and bustle of the day begins).
นั่งเงียบๆและสังเกตลมหายใจของคุณ(sit
quietly and observe your breath),
การฝึกปฏิบัติเรียบง่ายนี้(this
simple practice),
สามารถจัดวางอารมณ์ด้านบวกสำหรับที่เหลือทั้งหมดของวันของคุณ(can set a positive tone for the rest of
your day).
ถัดมา(next),
ใช้ลมหายใจของคุณเป็นเหมือนสมอเรือในระหว่างขณะที่เกิดความตึงเครียดทั้งหลาย(use your breath as an anchor during
stress moments). ถ้าคุณพบว่าตนเองอยู่ในสถานะตึงเครียดหนึ่ง(if you find yourself in a tense
situation),
ใช้เวลาชั่วขณะหนึ่งเพ่งสนใจไปที่ลมหายใจของคุณ,
รู้สึกถึงอากาศที่กำลังเข้าและกำลังออกไปจากร่างกายของคุณ(take a moment to focus on your breath,
feel the air entering and leaving your body).
สิ่งนี้สามารถช่วยนำคุณกลับมายังขณะปัจจุบันและลดทอนความรู้สึกของความเครียดและวิตกกังวลนั้นลง(this can help bring you back to the present moment and reduce
feeling of stress and anxiety).
ในท้ายสุด(finally), จบวันของคุณลงด้วยการหายใจอย่างมีสติ
เช่นเดียวกับที่คุณได้เริ่มต้นวันของคุณด้วยลมหายใจของคุณเช่นไร(end your day with mindful breathing
just as you began your day with your breath). จบมันลงด้วยวิธีเดียวกันนั้น(end it the same way).
สิ่งนี้สามารถช่วยคุณคลี่คลายม้วนปล่อยความกังวลทั้งหลายของวันไป(this can help you unwind let go of the
day’s worries),
และเตรียมตัวที่จะพักผ่อนนอนหลับยามค่ำคืนอย่างเต็มที่(and
prepare for restful night’s sleep).
ทีนี้มาลองฟังจากคนอื่นๆดูบ้าง,
ผู้ที่ได้เปลี่ยนรูปชีวิตของพวกเขาผ่านการหายใจอย่างมีสติ(who have transformed their lives
through mindful breathing). จอห์น ผู้ประกอบการงานยุ่งพบว่าตัวเขามีความเครียดอย่างสม่ำเสมอตลอด
และไม่สามารถที่จะเพ่งความสนใจได้(a busy
entrepreneur found himself constantly stressed and unable to focus). เขาได้เริ่มต้นการหายใจอย่างมีสติ(mindful breathing), และสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ(and notice a significant change), เขาพูดว่า, การหายใจอย่างมีสติได้ช่วยให้ผมพบสัมผัสรู้สึกของความสงบนิ่งในท่ามกลางความสับสนอลหม่านวุ่นวาย(mindful breathing helped me find a
sense of calm amidst the chaos). มันเหมือนกับว่าผมได้ค้นพบอาวุธลับอันหนึ่งที่จะจัดการพุ่งชนความเครียดนั่นได้(it’s like I found a secret weapon to
tackle stress).
เช่นเดียวกับซาราห์ ครูโรงเรียนคนหนึ่ง(Sarah, a school teacher), ใช้การหายใจอย่างมีสติที่จะบริหารจัดการชั้นเรียนของเธอให้ดีขึ้น(used mindful breathing to manage her
classroom better), เธอแบ่งปันการฝึกปฏิบัติการหายใจแบบมีสติ(she shares practicing mindful breathing), ช่วยให้ฉันอยู่ในความสงบนิ่งแลพะอดทนกับเด็กนักเรียนทั้งหลายของฉัน(helps me stay calm and patient with my
students). มันได้สร้างทำโลกที่แตกต่างในการสอนทั้งหลายของฉันและชีวิตส่วนตัวของฉัน(it’s made a world of difference in my
teaching and my personal life).
เหล่านี้เป็นเพียงแค่สองจากเรื่องราวทั้งหลายอันนับไม่ถ้วนของการเปลี่ยนรูปผ่านการหายใจอย่างมีสติสัมปชัญญะ/ตื่นรู้(two from countless stories of transformation through breath mind awareness). แต่ละลมหายใจที่เรารั้งกุมเอาไว้,
พลังที่จะเปลี่ยนรูปจิตของเราและชีวิตทั้งหลายของเรา(each
breath we take holds the power to transform our minds and our lives), แต่อะไรที่ท้าทายซึ่งเราอาจจะเผชิญหน้าในการฝึกปฏิบัตินี้(what challenges might we encounter in
this practice).
ในทุกการเดินทางมีความท้าทายทั้งหลายของมัน(every journey has its challenges), และในอันนี้ก็ไม่ได้มีความแตกต่าง(and this one is no different). ในขณะที่เราได้เริ่มต้นที่จะให้ความสนใจมากยิ่งต่อลมหายใจและจิตของเรา(as we start to pay more attention to
our breath and mind), เราอาจเผชิญหน้ากับบางอุปสรรคทั้งหลาย(we may encounter some common hurdles). ตัวอย่างเช่น, หลายรายของเราอาจค้นพบว่ามันยากที่จะนั่งอยู่นิ่งๆและเพ่งความสนใจอยู่กับลมหายใจของเรา(many of us may find it’s hard to sit
still and focus on our breath). เราอาจจะถูกเบี่ยงเบนความสนใจได้ง่ายๆโดยความคิดทั้งหลายของเราหรือแม้กระทั่งง่วงนอนหลับไป(we may get easily distracted by our
thoughts or even fall asleep),
แต่จำไว้ว่า, เหล่านี้ไม่ใช่สัญญานทั้งหลายของความล้มเหลว(these are not signs of failure), แต่ค่อนข้างเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางของการเรียนรู้และการเจริญเติบโต(but rather part of the journey of
learning and growth).
สิ่งธรรมดาอีกอย่างหนึ่งของความเข้าใจผิดก็คือ(another common misconception is that), สติขแองการหายใจนั้นเป็นเรื่องการควบคุมหรือการจัดการการหายใจของเรา(mindfulness of breathing is about
controlling or manipulating our breathing). อย่างไรก็ตาม, คำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้าเน้นที่การสังเกตอย่างที่มันเป็น
โดยปราศจากความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงมัน(emphasize
observing the breath as it is without trying to change it). การฝึกปฏิบัตินี้ไม่ใช่เรื่องของการประสบสำเร็จในสภาวะถูกต้องทางจิต(this practice is not about achieving a
certain state of mind), แต่เป็นเรื่องความเข้าใจและความยอมรับประสบการณ์รับรู้ปัจจุบันของเรา(is about understanding and accepting
our present experience).
ยิ่งไปกว่านั้น(moreover), บางคนอาจจะคิดว่าการฝึกปฏิบัตินี้ได้ถูกสงวนไว้สำหรับพระ/นักบวชหรือผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณทั้งหลาย(some might think that this practice is
reserved for monks or spiritual seekers), แต่ความจริงก็คือ
ใครก็ได้สามารถที่จะฝึกปฏิบัติและได้ผลกำไรจากเทคนิคง่ายๆแต่กระนั้นก็ทรงพลังนี้(but the truth is anyone can practice
and benefit from this simple yet powerful technique).
และตอนนี้, เรามาใช้เวลาชั่วขณะที่จะสะท้อนกับอะไรที่เราได้เรียนรู้กันมา(let’s take a moment to reflect on what
we have learned).
เรามาสูดลมหายใจเข้าลึกๆและสะท้อนไปกับการเดินทางของเราจากทะเลสาบอันเงียบสงบของอารัมภบทของเรา(let’s take a deep breath and reflect on
our journey from the serene lake of our introduction). เราได้สำรวจช้ามภูมิทัศน์ของคำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า
ถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งละเอียดอ่อนของลมหายใจและจิต(we’ve traversed the landscape of
Buddhist teachings on the profound relationship between breath and mind).
เราได้เรียนรู้ว่าลมหายใจนั้น,
จังหวะเงียบของชีวิตอันนี้, เป็นอะไรยิ่งกว่าความจำทางชีวภาพ(we learned how the breath, this silent rhythm
of life, is more than just a biological necessity). ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้, มันคือพลังชีวิตในตัวมันเอง(it’s a life force itself), การเต้นรำอันสลับซับซ้อนของความมีชีวิต(an intricate dance of existence)ที่คงเราไว้ให้ล่ามติดอยู่กับชั่วขณะปัจจุบัน(that keeps us tethered to the present
moment).
แล้วเราก็ผจญภัยเข้าไปในอาณาจักรของจิต,
สำรวจตรวจค้นมัน, ทวิธรรมชาติ(we
then ventured into the realm of the mind, exploring its, dual nature).
เหมือนม้าป่า, จิตที่ไม่ได้ถูกฝึกสามารถเป็นที่วุ่นวายและดื้อด้านได้(like a wild horse, the untrained mind
can be chaotic and unruly).
แต่ด้วยวินัยและการฝึกปฏิบัติ(but
with discipline and practice), มันสามารถกลายเป็นม้าพ่อพันธุ์ที่ได้ถูกฝึกแล้ว(it can become a trained stallion), ตอบสนองว่องไวและเพ่งจุดสนใจได้(responsive and focused).
เราได้ค้นพบพลังแห่งการเปลี่ยนรูปของสติในการหายใจ(we discovered the transformative power of
mindfulness of breathing), หรือ
อานาปานสติ(Ana Panansati), การฝึกปฏิบัติหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถสวมบังเหียนให้กับศักยภาพเต็มเปี่ยมของจิตของเรา(a practice that can help us harness the
full potential of our mind)โดยง่ายๆแค่การให้ความสนใจกับลมหายใจของเรา(by simply paying attention to our
breath).
เราสามารถที่จะเพิ่มสภาวะของความนิ่งสงบและความกระจ่างชัด
อุปถัมภ์เลี้ยงดูความเชื่อมต่ออย่างลึกกับสัมผัสรู้สึกภายในตัวเรา/ฌาน(we can induce our state of calm and
clarity fostering a deep connection with our inner selves).
วิทยาศาสตร์มันได้หันมาให้การสนับสนุนในคำสอนโบราณทั้งหลายเหล่านี้(science it turns out backs up these
ancient teachings). การค้นคว้าวิจัยสมัยใหม่ได้แสดงให้เห็นความเกี่ยวพันระหว่างการหายใจรูปแบบทั้งหลายของเรา
กับการมีสุขภาพจิตที่ดี(modern
research show a direct correlation between our breathing patterns and our
psychological wellbeing). การศึกษาทั้งหลายได้พบว่า
การหายใจอย่างมีสตอินั้นสามารถลดความเครียดลงได้(studies
have found that mindful breathing can reduce stress), ปรับปรุงหน้าที่ทำงานด้านความรู้ความเข้าใจ
และกระทั่งเปลี่ยนโครงสร้างสมองของเรา(improve
cognitive function and even alter the structure of our brain).
เราได้เจาะลึกเข้าไปในศิลปะของการหายใจในการปฏิบัติสมาธิ(we delved into the art of breathing in
meditation practices),
การสำรวจตรวจค้นว่ามีความแตกต่างในเทคนิคทั้งหลายที่สามารถกระแทกปะทะเข้ากับสภาวะจิตของเราได้อย่างไร(exploring how different technique can
impact our mental state).
คำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้ากับการปฏิบัติสมาธิและลมหายใจ,
ให้แผนที่เส้นทางกับเราสู่ความสันติภายในและปัญญา(offer
us a roadmap to inner peace and wisdom). เรายังได้มองที่ว่าเราสามารถประยุกต์ใช้เทคนิคการหายใจทั้งหลายกับในชีวิตประจำวันทั้งหลายของเราได้อย่างไร(we also looked at how we can apply these
breathing techniques in our daily lives).
เรื่องราวส่วนตัวทั้งหลายของการเปลี่ยนรูปผ่านการหายใจอย่างจิตรู้สำนึก/สัมปชัญญะคือพินัยกรรมต่อพลังแห่งการฝึกปฏิบัตินี้(personal stories of transformation
through breath mind awareness are testament to the power of this practice).
ในท้ายสุด(finally), เราได้พูดถึงเรื่องปกติธรรมดาของการท้าทายบางอย่าง และการเข้าใจผิดบางอย่างในการหายใจอย่างมีสำนึกตื่นรู้/สัมปชัญญะ(we addressed some common challenges and
misconceptions in practice breath mind awareness), ลบล้างความลี้ลับทั้งหลายเหล่านี้ด้วยจิตใจที่เปิดกว้าง
และเต็มใจ(debunking these myths allows us
to approach this practice with an open mind and a willing heart.
จำไว้ว่า, ลมหายใจนั้นไม่ได้เป็นแค่พลังชีวิตล
แต่เป็นพลังสำหรับชีวิตที่มีสติ(remember,
the breath is not life force, it’s a force for a mindful life).
ดังนั้นในคราวหน้าที่คุณหายใจ,
จำไว้ว่าคุณไม่ได้แค่หายใจเข้าเอาออกซิเจน, คุณกำลังหายใจเอาชีวิตเข้าไป(inhaling life).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น