สิ่งที่เรียกว่าจิตนั้นคืออะไร
https://youtu.be/XZFStIp_Qi0?si=KCtRU61oVXuq6ndm
วันที่
๑๘ เมษายน สำหรับพวกเราที่นี่ ล่วงมาเวลา ๒๐ น.แล้ว เป็นเวลาที่กำหนดไว้
สำหรับการบรรยายเรื่อง ต่อจากเรื่องในครั้งที่แล้วมา
เกี่ยวกับเรื่องนี้จะต้องขอทบทวนใจความสำคัญของเรื่องไว้เสมอ. คือข้อที่ว่า
ปัญหายุ่งยากลำบากอันเกิดมาจากอารยธรรมเนื้อหนัง
เราต้องเข้าใจในสิ่งนี้ให้ถึงที่สุด.
อารยธรรมเนื้อหนังก็คือ
อารยธรรมแห่งการเห็นแก่ตัว คิดจะประดิษฐ์หรือจะทำอะไร มันก็ เพื่อความเห็นแก่ตัว เพื่อเห็นแก่กิเลสของตัว
กระทั่งเห็นแก่ตัวแล้วก็เอาเปรียบผู้อื่น ขนกระทั่งฆ่าฟันผู้อื่น เหมือนกับที่เขาเรียกว่า
ฆ่ามดฆ่าปลา เรียกว่าอารยธรรมเนื้อหนังของแผนปัจจุบัน ของสมัยปัจจุบัน.
มันตรงกันข้ามจากมนุษยธรรมทางจิตใจ ในสมัยที่มนุษย์เขาเคยรู้จัก
เขากระทำมันสูงสุดนี้ ซึ่งไม่มีทางจะให้เกิดความเห็นแก่ตัว แล้วเบียดเบียนตัว
แล้วเบียดเบียนผู้อื่น มนุษย์กระทำชนิดนี้ มันเป็นเรื่องทางจิตใจ
และต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับจิตใจ ให้ถึงที่สุด เท่าที่จำเป็น.
ในครั้งที่แล้วมา
ก็ได้พูดกันแล้วถึงข้อที่ว่า สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน
แต่มันกลับเกิดความรู้สึกที่เป็นตัวเป็นตน ของร่างกายและจิตใจนี้ที่แท้ก็เป็น
สักว่าธาตุตามธรรมชาติ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน
แต่แล้วมันกลับเกิดความรู้สึกที่เป็นตัวตน ซึ่งมันเป็นมายา.
เว้นแต่แสดงอยู่ในตัวแล้วว่า เรื่องของสิ่งที่เรียกกันว่า จิต นี้มันสับสน
แล้วเราก็ต้องรู้เรื่องของสิ่งที่เรียกว่าจิต ให้เพียงพอ.
ในวันนี้ก็จะได้กล่าวในหัวข้อว่า
จริงๆที่เรียกว่าจิตนั้นคืออะไร. แล้วก็จะได้กล่าวถึงเรื่องสิ่งที่เรียกว่าจิตโดยละเอียด.
ตอนนี้ก็อยากจะให้นึกทบทวนถึงคำบรรยายครั้งที่แล้วๆมา ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่า
ไอ้คำพูดของมนุษย์นี่มันเป็นอย่างนี้เอง คือมันสับสน ถ้าเรารู้ไม่เหมือนกัน
หรือว่ารู้กันคนละแง่คนละมุม หรือภาษามันถ่ายทอด จากภาษาหนึ่งไปสู่ภาษาหนึ่ง
มันไปเปลี่ยนความหมาย หรือมันบอกต่อๆกันไปไปตามความที่ไม่เข้าใจอย่างถูกต้อง
มันจึงเกิดความหมายหลายๆชนิด ขึ้นแก่คำพูดเพียงคำเดียว อย่างนี้เป็นต้น.
ทีนี้คำว่า
จิต นี้ก็เหมือนกัน. มีคำอื่นแทนชื่อเรียกเป็น มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
และคำอื่นอีกหลายคำที่ล้วนแต่เป็นคำที่ไกลออกไป ไกลออกไป กระทั่งคำว่าหทยัง1 นี่ก็ยังเป็นชื่อของจิต. เดี๋ยว
1 https://www.facebook.com/TTPAssociation/posts/2566793653596197/
นี้ดเราไม่อาจจะถือเอาคำว่า หทยัง หัวใจ(heart)ว่าเป้นชื่อของจิตได้.
ข้อนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัส
เพราะไม่จำเป็นจะต้องตรัส นี่เป็นชนชั้นหลังอธิบายเอาเองว่า จิตนั้นมันคือหทยัง
มันอยู่ในหัวใจ มีน้ำน้อยๆอยู่ในหัวใจเปลี่ยนสีได้ ถ้ารู้อย่างนี้ก็ไปอ่านพบก็จะตถตา
คือหนังสือที่แต่งขึ้นชั้นหลังๆเมื่อพันปีมาแล้ว. ถึงแม้บางทีจะเรียกว่า มโน
หรือวิญญาณ หรืออะไรก็สุดแท้ เราก็จะเรียกกันในที่นี้สั้นๆว่า จิต. เมื่อเข้าใจไอ้เรื่องที่ว่าจิตเนี่ยะดีแล้ว
ก็จะเข้าใจว่ามันทำไมถึงเรียกว่า มโนหรือวิญญาณเนี่ยะได้.
ข้อแรก
คำว่าจิตนี่ คืออะไร เราจะมองกันในแง่ สำหรับธรรมะในพระพุทธศาสนาก่อน.
และในขั้นแรกที่สุด จิตก็คือสิ่งที่เป็น สักว่าธาตุ ตามธรรมชาติ
เท่านั้น ธาตุ หรือธา-ตุ นั้น ภาษาบาลีมีความหมายกว้าง
ในภาษาไทยมีความหมายแคบ จนกระทั่งจะพูดได้ว่าในภาษาบาลีนี่ อะไรๆ ก็เป็นธาตุไปหมด.
นับตั้งแต่ขี้ฝุ่น อนุภาคหนึ่ง จนถึงนิพพาน ก็เรียกว่าธาตุไปหมด.
แล้วจิตก็เป็นธาตุ ธาติหนึ่งในบรรดาธาตุเหล่านั้น
มีชื่อเรียกของมันเองโดยเฉพาะเป็น ๔ คำอยู่ คือคำว่า มโนธาตุ นามธาตุ
วิญญาณธาตุ อรูปธาตุ. แต่คำว่าจิต จิตตะธาตุนี้ ไม่เคยพบ.
เอาที่พบกันมากๆ คือมโนธาตุ ธาตุทางมโน, นามธาตุ คือธาตุที่ไม่มีรูป
เป็นว่า สักว่าชื่อ, วิญญาณธาตุ
ธาตุสำหรับรู้แจ้ง, อรูปปธาตุ คือธาตุที่ไม่มีรูป.
นี่ดูจากคำเหล่านี้และความหมายคำเหล่านี้
จะเห็นได้ว่า เพราะจากสิ่งที่เรียกว่าจิตหรือใจหรือมโนหรือวิญญาณนี้ไว้เป็น
ธาตุ ชนิดหนึ่งเหมือนกับธาตุทั้งหลายอันแสนจะมากมาย
แรกทีเดียวก็ต้องรู้ถึงธาตุ ๖ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า รูปนี้ประกอบด้วยธาตุ
๖ ว่าคนเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วยธาตุ ๖ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ. แล้วมันมีวิญญาณธาตุอยู่เป็นธาตุที่ ๖ แห่งธาตุ
๖, ที่ประกอบกันขึ้นเป็นคน. คนมี...ประกอบขึ้นด้วยธาตุ ๖ ธาตุเท่านั้นน่ะ. ธาตุดิน
ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มันรู้กันดี เป็นส่วนวัตถุ มีวัตถุชัดแจ้ง.
ทีนี้อากาสธาตุ ที่ว่าง ธาตุที่ว่าง ธาตุที่เป็นความว่าง แล้วก็มีวิญญาณธาตุ
ไกลขึ้นไปอีก เป็นหน่วยนาม เป็นเรื่องจิตใจ ทิ้งไว้ไปพูดกันคราวอื่นก็ได้
ว่ามนุษย์คนหนึ่งประกอบไปด้วยธาตุ ๖.
ในที่นี้ต้องการจะให้เห็นแต่เพียงว่า
ในธาตุ ๖ นั้น มันมีวิญญาณธาตุอยู่ด้วย คือธาตุวิญญาณ
เป็นสิ่งที่เรียกว่าจิต หรือวิญญาณ หรือมโน ก็เป็นเพียงธาตุธาตุหนึ่ง
ที่ประกอบกันขึ้นเป็นคนๆหนึ่ง. จะเป็นธาตุธาตุหนึ่งในบรรดาธาตุทั้งหมดที่ประกอบกันขึ้นเป็นคนๆหนึ่ง.
เดี๋ยวนี้ผมอยากจะให้คุณทราบต่อไปว่า
ในทางหลักธรรมะในพุทธศาสนาเค้าเรียกว่า ธาตุกันไปหมดอย่างไร? เป็น ธาตุ ๑๘
ชนิด นี้มันก็คือโลกทั้งหมด เช่น ตาก็เรียกว่าจักษุธาตุ
สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาทั้งหลายก็เรียกว่า รูปธาตุ ทีนี้วิญญาณที่ทำหน้าที่เห็นรูปต่างๆก็เรียกว่า
จักขุวิญญาณธาตุ มัน ๓ ธาตุแล้ว. เรื่องตาเรื่องเดียวนี่ จักขุธาตุ
ธาตุที่ตา รูปธาตุ ธาตุที่รูปที่ตาก็เห็น แล้วจักขุวิญญาณธาตุ
คือธาตุที่เป็นวิญญาณ ที่จะรู้แจ้งสิ่งต่างๆทางตา.ทางหูก็เหมือนกันอีกแหละ
หูก็เป็นธาตุหู เรียกว่า โสตธาตุ เสียงที่หูก็ได้ยินก็เรียกว่าธาตุเสียง
หรือสัททธาตุ สิ่งที่วิญญาณได้รู้แจ้งทางหูก็เรียกว่า โสตวิญญาณธาตุ.
อย่างนี้ก็เป็นไปจนครบทั้ง ๖, อายตนะมโนธาตุ ธาตุที่ใจ, ธัมมธาตุ
ธาตุที่ธัมมารมณ์ที่ใจจะรู้สึก, มโนวิญญาณธาตุ ธาตุคือมโนวิญญาณ.
ทีนี้เมื่อรู้กันทีเดียวครบทั้ง
๑๘ อย่างมันก็คือ สิงทุกสิ่งในโลก บรรดาสิ่งที่เราจะเห็นได้...อ้า รู้สึกได้ด้วย
ตาหูจมูกลิ้นกายใจเนี่ยะ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็เรียกว่าธาตุ.
แล้วตัวที่จะรู้สึกถึงสิ่งเหล่านั้นก็คือ ตัวตาหูจมูกลิ้นกายใจ
มันก็เรียกว่าธาตุ รวมทั้งตัวจักขุก็เรียกว่าธาตุ วิญญาณที่มาทำหน้าที่ที่จักขุก็เรียกว่าธาตุ.
ฉะนั้นไอ้คำว่าธาตุในภาษาบาลีในภาษาธรรมะในพุทธศาสนา
มันต่างจากคำว่าธาตุ ที่คุณเรียนกันในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย
ถึงขนาดนี้. ที่ยังมีแปลกออกไปว่า วิชชาธาตุ อวิชชาธาตุ. ธาตุรู้
และธาตุไม่รู้. ธาตุแห่งความรู้และธาตุแห่งความไม่รู้. วิชชาธา-ตุ
ธาตุแห่งความรู้, อวิชชาธา-ตุ ธาตุแห่งความไม่รู้. แล้วที่มันหนักขึ้นไปอีกก็
นิพพาน ก็จัดเป็นธาตุ เรียกว่านิพพานธาตุ สะอุปานิเส
สะนิพพานะธาตุ อะนุปาทิเส สะนิพพานะธาตุ2ธาตุแห่งนิพพาน ที่มีอุปาทิ หรือธาตุแห่งนิพพาน อันไม่มีอุปาทิเหลือ
ยิ่งยากฟังยากไปทุกที ไม่ต้องพูดก็ได้.
2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99
ฉะนั้นก็จะบอกให้ทราบว่า
แม้สิ่งที่เรียกว่า นิพพาน เค้าก็ถูกจัดเป็นธาตุ ทีนี้มันก็สรุปไอ้ธาตุทั้งหมดเนี่ยะ
ก็เหลือเป็น ๒ พวก สังขตธาตุ กับ อสังขตธาตุ3. สังขตธาตุ ก็คือธาตุทั้งหลายที่มี
3https://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=%CA%D1%A7%A2%B5&detail=on
เหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา, อสังขตธาตุ
ก็คือธาตุที่ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง. มันก็มีเท่านี้ มีเพียง ๒
ธาตุโดยหัวข้อ แล้วก็กายนั้นจะเป็นธาตุก็ได้ ถ้ามันเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง
ตามกฎของ อิทัปปัจยตา ก็เรียกว่า สังขตธาตุ,
ถ้ามันไม่มีปัจจัยทั้งหลายก็เรียกว่า อสังขตธาตุ.
นี่เราพูดเรื่องธาตุโดยย่อๆให้สรุปกันให้หมดซะทีนึงก่อน,
แล้วก็จะบอกแต่เพียงว่า สิ่งที่เรียกว่าจิต ก็เป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่ง
ในบรรดาธาตุทั้งหลายเหล่านี้. โดยหลักทั่วไปถือกันว่า จิตนี้เรียกว่าเป็น
สังขตธาตุ, คือมีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่ง. แล้วบางพวกเค้าถือเป็นอย่างอื่น
เค้าอธิบายอย่างอื่นว่า จิตที่เป็นอสังขตะก็มี
นั่นเค้าว่าไปตามแบบของเขา. ของเราเป็นเค้าโครงที่นี่น่ะ จิตว่าเป็นสังขตธาตุ
.
นี่ข้อนี้จิตกันทีหนึ่งก่อนล่ะ
ก็ถามว่าจิตคืออะไร? ก็ตอบว่า จิตคือธาตุชนิดหนึ่ง
ในบรรดาธาตุทั้งหลาย นี้ตอบอย่างหนึ่งคือ ภาษา
อาศัยหลักเกณฑ์ทางภาษาหรือคำที่ใช้เรียกกันอยู่ จิตกฌคือธาตุชนิดหนึ่งในบรรดาธาตุทั้งหลาย.
ทีนี้ต่อไป ทางรู้สึกหรือข้อเท็จจริง
นี้ถามว่าจิตคืออะไร? ก็จำเป็นที่ต้องแปลว่า จิตคือสิ่งที่เราไม่ได้รูได้
ว่ามันเป็นอะไร. นี่คุณยังจะพอฟังถูก มันเป็นสามัญสำนึก
ที่จะให้มนุษย์เนี่ยไปรู้ว่าจิตคืออะไร แล้วรู้ว่าเป็นธาตุชนิดหนึ่งแล้ว
แต่จะให้รู้ว่าคืออะไร ก็ซัดลงไปอย่างนี้ มันก็ไม่รู้ เพราะเป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก
เข้าใจได้ยาก เห็นได้ยาก แต่ว่าเราอาจจะเกี่ยวข้องกับมัน หรือทำให้เป็นประโยชน์ได้
ตามที่เราต้องการ และเท่าที่เราควรจะต้องการ. สิ่งนั้นคืออะไรก็ไม่รู้
ว่ากันโดยแท้จริงแล้วมันไม่อาจจะรู้ทั้งหมด แต่มันรู้แต่วิธีที่จะไปดึงเอามา
ทำให้เป็นประโยชน์ เช่นในการดับทุกข์นี้เป็นต้น.
ข้อนี้เข้าใจได้สำหรับพวกคุณที่เรียนเรื่องวิทยาศาสตร์อะไรมาบ้างแล้ว
มามากแล้ว ก็อยากจะเปรียบด้วยสิ่งที่เรียกกันว่าไฟฟ้า. ไอ้ตัวไฟฟ้าที่แท้จริงนั้น
ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนรู้ว่ามันคืออะไรโดยแท้จริง แต่สามารถจะทำให้มันเกิดปรากฏการณ์
หรือเกิดปฏิกิริยาแสดงออกมา แล้วก็ใช้มัน
นานาชนิดอย่างที่เราก็เห็นกันอยู่แล้วว่าเราใช้ไฟฟ้า กันในลักษณะใดบ้าง
ทางแสงสว่างก็มี ทางกำลังงานก็มี ทำสำหรับอื่นๆก็มี ทั้งที่เรายังไม่รู้ดเลยว่า
ไอ้ตัวแท้ตัวจริงของไฟฟ้านั้นคืออะไร เรารู้แต่เพียงว่าถ้าเราทำอย่างนี้
แล้วอันนั้นมันจะออกมา ถ้าเราจะใช้อย่างนั้น ถ้าเราจะใช้อย่างนี้
ออกมาทางเยเนอเรเตอร์มันก็ได้ ออกมาจากการหมักดองทางเคมีมันก็ได้ ก็ตัวไฟฟ้าแท้จริงก็ไม่รู้
แต่เราเอามาใช้มากยิ่งขึ้นทุกทีเนี่ยะ มันไม่จำเป็นจะต้องรอจนกว่าจะรู้ ว่ามันคืออะไร
จึงจะใช้มัน. ค้นได้เท่าไร เอามาใช้ได้เท่าไร มันก็ใช้ประโยชน์เรื่อยไปก็แล้วกัน.
เนี่ยะ เรื่องไฟฟ้าก็เป็นอย่างนี้
เรื่องจิตก็เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครรู้
พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตรัสในลักษณะที่ตัวมันคืออะไร และก็ได้ตรัสแต่เพียงว่าธาตุ เป็นธาตุอันหนึ่งในบรรดาธาตุทั้งหลาย
แล้วเราก็เข้าใจไม่ได้ มองไม่เห็น แต่แล้วเราก็จัดการกับสิ่งที่เรียกว่าจิตนั้นได้.
ก็มีวิธีอุบายหลายๆอย่างที่พระพุทธเจ้าหรือผู้ค้นพบทั้งหลายได้แสดงไว้. รู้จักจิตแต่เพียงปรากฏการณ์หรืออะไรในของๆมัน
แล้วก็มีวิธีจัดการกับมัน ให้มันเปลี่ยนไปในลักษณะ ที่ไม่ทำความทุกข์แก่เรา
หรือเป็นประโยชน์แก่เรา มีประโยชน์สูงสุดแก่เรา.
นี่จิต สิ่งที่เรียกว่าจิต
ตามข้อเท็จจริงที่มันเป็นอย่างนี้. แต่ถ้าเราพูด เราก็พูดได้ ตามพระบาลีพระอะไร
ว่าจิตนี้เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เดี๋ยวผมก็จะพูดให้ฟัง.
ในนี้ในที่นี้ในชั้นต้นนี้ก็จะพูดให้เข้าใจ ตามที่มันเป็นที่
เท่าที่เราจะรู้จักมันได้ นี่เสียก่อน.
สิ่งที่มีชีวิต ทุกชนิด จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณธาตุ หรือธาตุจิต
นั้นจึงไปรู้เองเถอะ ชีวิตมันตั้งต้นเมื่อไร? บัญญัติกันอย่างไร?
แล้วไอ้นั้นก็ต้องมีวิญญาณธาตุ หรือธาตุจิต ตามสัดส่วนของมัน.
ถ้าชีวิตมันต่ำมาก ไอ้วิญญาณธาตุ ธาตุจิตนี้ก็เป็นต่ำมาก. เพราะว่าสิ่งที่มีชีวิตจะต้องรู้จัก
ก็ต้องรู้สึก ก็ต้องมีความรู้สึก จะต้องรู้จัก เอ้อ รู้สึก, รู้จักรู้สึก.
รู้สึกต้องการรู้สึกอะไร. โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้จักรู้สึกกินอาหาร รู้สึกเจ็บคัน,
แล้วแต่ว่าไอ้สัตว์เดรัจฉาน แล้วแต่ว่าต้นไม้
แล้วแต่ว่าพืชที่ยังละเอียดเป็นเซลล์อยู่ มันก็มีความรู้สึก แต่มันต่ำมากจนแทบจะไม่เห็นเป็นความรู้สึก
จิตในทำนองนี้ เราก็กล่าวได้ว่า จิตก็คือสิ่งที่ว่าต้องมีอยู่ในสิ่งที่มีชีวิต
ทุกระดับ ตามสมควรแก่ระดับของชีวิตนั้นๆ นี้ก็เรียกว่า พูดโดยการใช้เหตุผลล่ะ
คือเหตุผลที่เราจะสังเกตเห็นได้ในอาสนะนี้ แต่ตัวมันโดยแท้จริงคืออะไรยังไม่รู้
เช่นเดียวกัน.
ทีนี้ถ้าจะรู้อย่างยิ่งขึ้นไปอีก
มันก็จะดู ไอ้จิตเนี่ยะ กันเป็นชนิดๆไป หรือว่าเป็นระดับๆไป
ตามระดับที่ตั้ง หรือว่าพื้นฐานที่สุด แล้วก็ขึ้นถึงระดับที่มันสูงที่สุด.
ในการพิจารณานี้ ก็อยากจะแยกออกเป็น ๒ ชนิด แยกจิตออกเป็น ๒ ชนิด คือจิตล้วนๆ
นี่อย่างหนึ่ง คือจิตที่มีความรู้สึกคิดนึก ที่เรียกกันว่า อาวัชชนจิต4 หรือไงนี่อีกอย่างหนึ่ง. จิตล้วนๆ ไม่ได้ทำความรู้สึก
ไม่ได้ทำหน้าที่ กำลังไม่ทำหน้าที่อะไรเลย มันเป็นจิตล้วนๆ
4 https://www.dhammahome.com/audio/topic/6898
ส่วนจิตที่กำลังทำหน้าที่นั้น
มันก็ได้แต่มีความรู้สึก คิดนึกเคลื่อนไหว หรือมีพฤติอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่ เรียกกันง่ายๆเหมือนกับว่า
ไอ้เครื่องจักรอันหนึ่งเมื่อมันหมุนเฉยๆ ไม่มีโหลด
ไม่มีงานอะไรเคลื่อนเข้าไปที่มัน เป็นเครื่องจักรที่หมุนอยู่เฉยๆ.
ทีนี้ถ้าว่าเอาอะไรไปสัมพันธ์เข้าเป็นโหลด ให้มันหมุนไปหน้าโม่ หรือให้มันหมุนไป
เครื่องยนต์กลไกต่างๆเนี่ยะมันเป็นเครื่องจักรที่กำลังทำงาน กำลังมีหน้าที่ มีโหลด
จิตนี้ก็เหมือนกันอย่างนั้น. จิตในบางขณะไม่มีโหลด,
ถ้าใช้ยืมคำนั้นมาใช้, แล้วจิตบางขณะก็มีโหลด ตัวกำลังนอนหลับสนิท
อย่างนี้เรียกว่าไม่มีโหลด
ตัวนี้ที่ไม่หลับสนิทในบางขณะบางระยะเป็นเล็กน้อยนี้มันก็ไม่มีโหลด.
แต่ถ้าตื่นอยู่โดยมากก็มีสิ่งที่ จะเปรียบได้ว่า มีโหลด ไอ้จิตล้วนๆ
นั่นคือจิตไม่มีโหลด เรียกกันในภาษาอภิธรรมว่า ภวังคจิต.
ในพุทธภาษิตยังไม่เคยพบคำว่าภวังคจิตเนี่ยะ. มีแต่ภาษาอภิธรรม
ทีนี้เรียกว่า สำหรับผมแล้วนี้ไม่ถือว่าอภิธรรมเป็นพุทธภาษิต.
ทีนี้ จิตที่มีโหลด
คือที่รู้สึกอะไรอยู่น่ะ ภาษาอภิธรรมเค้าเรียกว่า อาวัชชนจิต เคยพบในสุตันทตะ
คัมภีร์ที่เก่ากว่า เรียกจิตชนิดนี้ว่า สมันนาหารจิต5แต่เดี๋ยวนี้ในวงการศึกษาทั่วไปเราเรียก
5 http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=28064
จิตที่ล้วนๆ ว่าภวังคจิต
เรียกจิตที่กำลังมีอารมณ์มีอะไรมีพฤติต่างๆอยู่นี้เรียกว่า อาวัชชนจิต.
นี่พูดกันเรื่องจิตล้วนๆก่อน มันเป็นจิตที่สักแต่ว่าจิต
ที่พูแล้วเมื่อตะกี้ว่า ในบรรดาสิ่งที่มีชีวิต ต้องมีจิต คือจิตที่สักว่ามีอยู่นี่
ไม่ทำหน้าที่อะไรนี่เรียกว่า จิตล้วนๆ จิตไม่มีโหลด จิตยืนโรง สำหรับชีวิต.
แล้วจิตชนิดนี้มีลักษณะอย่างไร?
ก็รู้ได้จากพระพุทธภาษิตที่เรียกจิตชนิดนี้ว่า จิตประภัสสร. มีพระบาลบีเป็นประโยคว่า
ประภัสสระมิทัง ภิกขเว จิตตังหรือแปลว่า ภิกษุทั้งหลายนี้เป็นประภัสสร.
คุณจำคำว่า ประภัสสร ไว้ก่อน, ตัญจะ โข อาคันตุเกหิ อุปักกิเลเสหิ
อุปักกิลิฏฐัง แปลว่า จิตนี้เศร้าหมองได้ เพราะอาคัน...เพราะกิเลส
เพราะอุปกิเลสที่จรเข้ามา นี่ข้อหนึ่ง, แล้วข้อต่อไปก็ว่า ประภัสสระมิทัง
ภิกขะเว จิตตัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เป็นประภัสสร ตัญจะ โข อาคันตุเกหิ
อุปักกิเลเสหิ วิปปะมุตตัง แปลว่า จิตนี้พ้นได้ พ้นวิเศษได้จากอาคันตุกะ
จากกิเลสที่เป็นอาคันตุกะจรเข้ามา กิเลสที่เรียกว่าอาคันตุกะเพราะว่ามันเพิ่งมา
เหมือนกับเป็นแขก จึงว่า เพราะกิเลส เพราะอุปกิเลสอันเป็นอาคันตุกะเข้ามา
จะว่าทำให้จิตนี้เศร้าหมองก็ได้ พ้นวิเศษก็ได้จากไอ้ อุปกิเลสนั้น. ในเมื่อปุถุชนไม่รู้ข้อนี้ตามที่เป็นจริง
จิตตภาวนาย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น. และว่าอริยสาวกย่อมรู้ข้อนี้ตามที่เป็นจริง
จิตตภาวนาจึงมีแก่อริยสาวกนั้น. เนี่ยะ พระพุทธภาษิตมีอยู่เท่านี้.
ก็ด้วยรู้ในแง่ที่ว่า จิตล้วนๆ
นั้น เป็นประภัสสร ประภัสสรนี้ไม่ได้ลงถึงบริสุทธิ์โดยตรง
มันเป็นความรุ่งเรือง อยู่ด้วยรัศมี ประภา แปลว่า รัศมี, สร(สะระ)
แปลว่า ซ่านออก, ประภัสสร แปลว่า มีรัศมีซ่านออก.
อย่างกับเพชรเนี่ยะ มีรัศมีซ่านออกมาจากเพชร แล้วก็เล็งถึงความหมายที่ว่า
มันไม่มีอะไรมาแปดเปื้อน มันจึงประภัสสรอยู่ได้, พอกิเลสเข้ามา
ก็เหมือนเอาโคลนมาหุ้มเพชร ประภัสสรของเพชรรก็มีไม่ได้ แม้จะไม่ปรากฏ
แต่คงยังมีตามเดิม มันซ่อนอยู่ใต้ตัวโคลน.
ฉะนั้นจิตนี้เศร้าหมองได้
เพราะอุปกิเลสที่มันเป็นอาคันตุกะเข้ามา แล้วจิตนี้พ้นพิเศษได้
จากอุปกิเลสที่เป็นอาคันตุกะเข้ามา ก็แปลว่า ตัวจิตแท้ๆนั้นมันเลื่อมประภัสสรอยู่นั่น.
ทีนี้ปุถุชนไม่รู้ความจริงข้อนี้ ก็เลยไม่ได้ทำจิตตภาวนา. ทีนี้เราประพฤติจะทำให้จิตประภัสสรนั้น,
พ้นไปจากกิเลสทั้งหลายโดยถาวร ตลอดกาล จึงสาวกผู้ที่ได้สดับธรรมของพระพุทธเจ้า
รู้ความจริงข้อนี้ พระอริยสาวกจึงทำจิตตภาวนา คือทำจิตให้เจริญ จนจิตนั้นพ้นพิเศษเด็ดขาดจากการแทรกซึมของกิเลสทั้งหลาย.
นี้เรียกว่ามันเป็นเรื่อง จิตประภัสสร เป็นพระพุทธภาษิต.
ทีนี้มันก็มีเรื่อง
อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งที่คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค6
เรียกว่าเรื่อง วิญญาณะจริยา
6
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=165&p=1
นี้ก็เราถือกันว่าคัมภีร์นี้เป็นคัมภีร์ ที่ร้องกรองโดยพระสารีบุตร
พระสารีบุตรมักจะอ้างเสมอว่าพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้อย่างนั้นๆ
แล้วก็เอามาร้อยกรอง. ทีนี้เรื่อง วิญญาณะจริยานี้ มันก็แสดงความหมายอย่างเดียวกันว่า
จริยาล้วนๆของสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณนั้น ไม่มีอะไรเลย ที่ไม่มีกิเลส
ไม่มีเอ้อ ไม่มีกิเลสก่อน ไม่มีกิเลสทุกชนิด มันก็ไม่มีดีไม่มีชั่ว,
นี้มันมีคำกล่าวไว้อย่างนี้. กรมแรกใช้คำว่า นิ หรือไม่มี นิราคาจรตีติ
วิญาณณะจริยา เพราะวิญญาณเที่ยวไปไม่มีราคะ, นิโทสาจรตีติ วิญญาณะจริยา
วิญญาณเที่ยวไป ไม่มีโทสะ, นิโมหา จรตีติ วิญญาะจริยา
วิญญาณเที่ยวไปไม่มีโมหะ นิมานาจรตีติ วิญญาณะจริยา วิญญาณเที่ยวไปไม่มีมานะ
นิทิฏฐิจรตีติ วิญญาณะจริยา วิญญาณเที่ยวไปไม่มีทิฏฐิ, นิอุจทัจจะทัจจา
นิอุจทัจจาจรตีติ วิญญาณะจริยา วิญญาณเที่ยวไปไม่มีอุจทัจจะ,
นิวิจิกิจฉาจรตีติ วิญญาณะจริยา วิญญาณเที่ยวไปไม่มีวิจิกิจฉา, อานุศะยาจรติติ
วิญาณะจริยา วิญญาณเที่ยวไปไม่มีอนุศัย.
หมายความว่า วิญญาณล้วนๆ ตามปกติของวิญญาณล้วนๆ
เป็นอยู่ตามปกตินั้น ไม่มีสิ่งเหล่านี้ไม่มีราคะโทสะโมหะทิฏฐิมานะอุจทัจจะวิจิกิจฉาอนุศัย เค้าเรียกว่าสภาพปกติของวิญญาณ.
ทีนี้คำกล่าวถัดไปชัดเจนยิ่งกว่านั้นอีกก็ว่า ราคะวิปปะยุตตาจรตีติ วิญญาณะจริยา ปราศจากราคะเที่ยวไป
ชื่อว่าวอิญญาณะจริยา ครบ.
ปราศจากราคะโทสะโมหะมานะทิฏฐิเสร็จหมดแล้ว ได้ชื่อว่าเที่ยวไปโดยปราศจากสิ่งเหล่านี้แล้วก็เรียกว่าวิญญาณะจริยา.
ทีนี้มันมีชัดว่า ปราศจากกุศลกรรมเที่ยวไป นี่คือวิญญาณะจริยา, ปราศจากอกุศลกรรมเที่ยวไป นี่คือวิญญาณะจริยา, ปราศจากกรรมอันมีโทษเที่ยวไป นี่คือวิญญาณะจริยาร, ปราศจากกรรมอันไม่มีโทษเที่ยวไป
นี่คือวิญญาณะจริยา, ปราศจากธรรมดำกรรมดำเที่ยวไป นี้ก็วิญญาณะจริยา, ปราศจากกรรมขาวเที่ยวไป นี้ก็วิญญาณะจริยา, ปราศจากกรรมที่มีกำไรเที่ยวไป นี้ก็วิญญาณะจริยา, ปราศจากกรรมที่ไม่มีกำไรเที่ยวไป
นี้ก็วิญญาณะจริยา,
ปราศจากกรรมที่มีสุขเป็นวิบาทเที่ยวไป นี้วิญญาณะจริยา, ปราศจากกรรมที่มีทุกข์เป็นวิบาทเที่ยวไป นี้ก็วิญญาณะจริยา.
สักว่ามันเที่ยวไปแต่ในสิ่งที่มันรู้แจ้งได้นั้น
นี่คือวิญญาณะจริยา. วิญญาณะสะเอวะรูปานะจริยา โหติติ วิญญาณะจริยา
จริยามีอย่างนี้เป็นรูปของวิญญาณ ดังนั้นนี้ชื่อว่า วิญญาณะจริยา. ทีนี้ประโยคที่สำคัญที่สุดมันมีว่า ปกติปริสุทธังจิตตัง
นิกิเลทะเสนาติ วิญญาณะจริยา จิตนี้มีบริสุทธิ์เป็นปกติ มีความบริสุทธิ์เป็นปกติ
เพราะอัฏฐวาไม่มีกิเลส นี้คือวิญญาณะจริยา.
ทั้งหมดนี้มันแสดงว่า ไอ้ตัววิญญาณแท้ๆน่ะ มันไม่ดีไม่ชั่ว
มันไม่ตั้งอยู่ด้วยกิเลส หรืออะไรต่างๆที่มา มันเข้ามาเป็นอาคันตุกะเข้ามา
ในเรื่องกรรมดีกรรมชั่ว ได้เรื่องบุญเรื่องบาปนี้มันทีหลัง วิญญาณแท้ๆ วิญญาณล้วนๆ มันไม่ได้เกี่ยวกันกับไอ้สิ่งเหล่านี้
ถ้ามาพันมาเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ไม่ใช่วิญญาณะจริยาแล้ว คือไม่ใช่ปกติของวิญญาณ วิญญาณะจริยา คือพฤติภาวะปกติของไอ้สิ่งที่เรียกวิญญาณ ถ้ามันเป็นตัวมันเอง เป็นวิญญาณ
มันจะต้องปราศจากสิ่งเหล่านี้หมด. จึงมีคำกล่าวไว้ชัดว่า ปกติปริสุทธังจิตตัง จิตนี้มีปกติบริสุทธิ์ นิกิเลสัสเถนะ โดยอัตถวา มันไม่มีกิเลส นี้คือวิญญาณะจริยา.
พุทธภาษิตสองกลุ่ม
พุทธภาษิตเรื่องประภัสสะมิธังก็ดี คำกล่าวในปฏิสัมภิทามรรคนี้ก็ดี เรียกว่า มันแสดงให้เห็นว่า จิตแท้ๆ จิตล้วนๆ นั้น ไม่มีกิเลสที่เป็นอาคันตุกะ
ชนิดใดหมด. ทั้งนี้ก็เพื่อให้เรารู้จักแยกไอ้สิ่งที่เรียกว่าจิต
ออกไปเสียจากสิ่งที่มันจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับจิต. พอเรารู้ว่าไอ้จิตเนี่ย
มันเศร้าหมองก็เพราะมันมีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างนี้
มันไม่เศร้าหมองก็เพราะไม่มีอะไรมาเกี่ยวข้องอย่างนี้, พอเรารู้มีความรู้ข้อนี้
เราก็มีความเชื่อแน่ ในการที่จะทำการอบรมจิต. ฉะนั้นไปนึกดูให้ดี เวลาที่จิตมันไม่มีอะไร
ไม่มีความรู้สึกอะไร ในประเภทเหล่านี้ เรียกว่าวิญญาหรือจิตล้วนๆ มันกำลังเป็นไป
อย่างที่ในภาษาอภิธรรมเค้าเรียกว่า ภวังคจิต. ภวังคะ แปลว่า
เป็นองค์แห่งภพ ภพ แปลว่า ความมีอยู่. องค์แห่งความมีอยู่ คือ ภวังคจิต
เหมือนกับ...เปรียบเหมือนกับว่าเครื่องยนต์ที่ไม่มีโหลด
มีอาการเพียงแต่ว่าเกิดขึ้นกันอยู่ดับไป เกิดขึ้นกันอยู่ดับไป เป็นขณะๆไป
ไม่มีความรู้สึกไม่มีความหมายอะไร. ทั้งนี้ก็เพราะว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าจิตเนี่ยะ
มันเป็นธาตุชนิดหนึ่ง เหมือนที่กล่าวมาแล้วข้างต้น. และเพราะว่าไอ้จิตนี้มันเป็นธาตุ
ประเภท สังขตธาตุ เพราะฉะนั้นมันจึงอยู่ถาวรไม่ได้,
มันจึงอยู่ได้ด้วยอำนาจของการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้นตังอยู่ดับไปเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
ๆ ๆ ๆ ๆ
แล้วไปดูอะไรที่มีลักษณะอยู่อย่างนี้ เราจะเห็นได้ว่ามันทรงตัวอยู่ได้ก็มีลักษณะอย่างนี้
อย่างเครื่องยนต์ที่หมุนไปล้วนๆ เนี่ยะ มันมีลักษณะที่จะต้องมีจุดตั้งต้น
แล้วมีเหวี่ยงไป แล้วมีจบ เป็นรอบๆ ๆ ๆ ไปเนี่ยะ ก็เรียกว่าจิตล้วนๆ เป็นสักว่าเป็นตัวสำหรับยืนอยู่
สำหรับความมีอยู่แห่งชีวิต จิตล้วนๆนี่เรียกว่าภวังคจิตก็ได้, เรียกว่า ประภัสสรจิตก็ได้, จะเรียกว่าวิญญาณะจริยา
อย่างที่ว่านี้ก็ได้.
เอาละ ทีนี้ก็มาถึงไอ้จิตประเภทที่มันไม่ใช่จิตล้วนๆแล้ว. จิตที่มีอะไรมาประกอบกันไปแล้ว.
เพราะว่าไอ้จิตล้วนๆมันทำอะไรไม่ได้
มันไม่มีความรู้สึกอะไร เป็นจิตประภัสสรหรือเป็นวิญญาณะจริยาก็ตาม, มันไม่ทำหน้าที่อะไรได้
มันไม่สำเร็จประโยชน์อะไรได้ ในการที่จะเกิดเรื่องเกิดราว
มันจะหยุดเฉยอยู่อย่างนั้น.
ทีนี้ก็มาถึงจิตที่ว่า มันจะเป็นจิตที่มีอะไรประกอบเข้าไปในนั้น.
จ้อนี้ก็ขอให้ระลึกนึกถึงในคำบรรยายครั้งที่แล้วมานี้, ว่าจิตเกิดขึ้นอย่างไร.
ที่แท้มันก็มิได้มีตัวตน, แต่มันก็เกิดขึ้นได้ อาศัยตากระทบรูป อาศัยตากับรูปเกิดจักษุวิญญาณ, จักษุวิญญาณนั้นแหละคือจิต. อาศัยตาด้วยรูปด้วยย่อมเกิดจักษุวิญญาณ. นี้หมายความว่าจิต ละสภาพที่อยู่เฉยๆอย่างที่ว่า มารับอารมณ์ทางตา, จิตนี้ก็เปลี่ยนตัวเอง จากจิตล้วนๆ มาเป็นจิตที่เรียกว่า จักษุวิญญาณ. นี้ประเดี๋ยวมันไปทำหน้าที่ทางหู มันก็เป็นจิตที่มีชื่อว่า โสตะวิญญาณ, เดี๋ยวทางจมูกก็เรียกว่า ฆานะวิญญาณ, มีชื่อต่างๆ กันไป.
ตรงนี้ควรจะเข้าใจซะด้วยว่า ไอ้จิตนั้นมันก็จิตล้วนๆ มีชนิดเดียวแหละ.
เสร็จแล้วพอมันไปทำหน้าที่อะไรเข้า มันมีชื่อเปลี่ยนไป
หลายสิบอย่างหลายร้อยอย่างก็ได้. อย่างพวกอภิธรรมก็ว่ามี ๘๙ อย่าง
หรือว่า ๑๒๑ อย่าง แต่ก็พากันไปเรียกมันว่าดวง ก็เลยฟังยาก. คือจิตมีชนิดเดียว ดวงเดียว มันเปลี่ยนตัวได้ ๘๙ อย่าง, ตามหลักแกณฑ์อันนั้น แต่เค้าไปเรียกมันว่าจิตมี
๘๙ ดวง. ควรต้องเรียกว่ามันมี ๘๙ ชนิด, ไปตามการเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย
ตามหลักเกณฑ์อันนั้น.
ทีนี้พอดูให้ดีมันมากกว่านั้น มาก มันแจกซอยไปทางอายตนะ ทางอะไรต่างๆ มันมากกว่านั้นมาก.
นี่เรารู้ซะทีว่า จิตล้วนๆ
มันเปลี่ยนตัวเป็นจิตที่ทำงาน
ที่มีงาน ชื่อว่ากำลังทำงาน ทำความรู้สึก ในเมื่อตาเห็นรูป, หูฟังเสียง, จมูกได้กลิ่น, ลิ้นได้รส, กายได้สัมผัสผิวหนัง, ใจได้รับความรู้สึกที่เป็นอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามา, ไอ้จิตล้วนๆ ก็กลายเป็นจิตที่ไม่ล้วน
กลายเป็นจิตที่มีพฤติ. เป็นจักษุวิญญาณนี่ก็อย่างหนึ่งแล้ว เป็นวิญญาณทั้งหลายนี้ก็อย่างหนึ่งแล้ว,
ทีนี้วิญญาณนี้ก็ทำให้เกิดสังขาร, สังขารก็ทำให้เกิดวิญญาณนามรูป, ไอ้จิตนั้นก็เปลี่ยนเรื่อยเปลี่ยนเรื่อย
แล้วแต่ว่าอะไรเข้าไปผสมจิต. จนกระทั่งเรียกว่าเวทนา ตัณหา อุปาทาน, คือว่ามันเป็นจิตที่มี เจตสิกธรรมประเภทเวทนา, เข้าผสมแล้วจิตในขณะนั้นจึงรู้สึกเวทนา. จิตมีความอยาก จิตมีความยึดมั่นถือมั่น มันเกิดจิตที่ยึดมั่นถือมั่นเข้ามาแล้ว,
ตามนัยยะที่อธิบายแล้วเมื่อวานนี้. นี้ว่าจิตจึงมีปกติ
ที่ต้องรู้สึกต่ออารมณ์ แล้วก็เปลี่ยนตัวไปตามอารมณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง.
ฉะนั้นเวลาที่ไม่มีอารมณ์ คือไม่มีโหลดตรงนั้นมันน้อยกว่า ในวันหนึ่งวันหนึ่ง
ในความรู้สึก แล้วมันมีอารมณ์ทางตาทางหูนี้มันมีเรื่อย จนกว่าจะนอนหลับ
ถ้าไม่หลับสนิทมันก็มีการฝัน คือมีจิตที่เกิดขึ้นใต้สำนึก มันก็ไม่ใช่จิตล้วนๆ เหมือนกัน.
มันต้องเป็นเวลาที่นอนหลับชนิดไม่ฝัน หรือไม่มีความรู้สึกอะไรเลย
หรือว่าถูกทำให้สลบไปด้วยสิ่งที่ทำให้มันสลบไปได้ แต่มันยังไม่ตาย, ทางกายยังไม่ตายไอ้จิตมันก็ยังคงอยู่.
ก็ไปสังเกตดูเวลานอนหลับบ้าง เวลาสลบบ้าง เวลามันไม่รู้สึกอะไรบ้าง มันล้วน.
แต่เดี๋ยวนี้ธรรมดาเราจะเห็นว่ามันไม่ใช่อยู่ล้วนๆ
มันรับอารมณ์แล้วมันเปลี่ยนไปตามเรื่องตามราว นี่เกิดเป็นนิสัยอันใหม่ขึ้นมา คือเปลี่ยนจริยาหรือเปลี่ยนจริตหรือเปลี่ยนนิสัยอะไรใหม่ คือมันปรุงแต่งเข้ามาและเป็นไปต่างๆมาวันหนึ่งๆ
คำนวณดูเองก็แล้วกัน. มันก็ไม่ใช่จิตล้วนๆ
ก็หมายความว่า เป็นจิตที่อะไรผสมเข้าไป เป็นจิตปลอมแล้ว
คือมีอะไรหุ้มห่อให้เปลี่ยนรูปร่างไว้แล้ว มันก็ต้องเปลี่ยนนิสัยไปหมด คือไม่บริสุทธิ์ ไม่ประภัสสร มันกลายเป็นจิตแบบใหม่ขึ้นมา,
ไม่เป็นสักว่าเป็นวิญญาณาตุล้วนๆ หรือมโนธาตุล้วนๆ หรือไอ้...นามธาตุล้วนๆ. มันกลายเป็นจิตที่กระโดดโลดเต้นแล้ว,
อย่างนี้มีลักษณะที่สังเกตได้จากพระพุทธภาษิตโดยตรง จะยกมากล่าวให้เป็นตัวอย่าง
คำแรกว่า ทูรังคะมัง, ทูรังคะมัง7 แปลว่าไปได้ในที่ไกล อย่างมาอยู่ที่นี่มันนึกไปถึงกรุง
7 https://www.blockdit.com/posts/63019d62c00502a87d98b6b7
-เทพ
หรือนึกไปถึงเมืองนอก หรือนึกไปรอบโลก นึกไปดวงจันทร์ก็ได้. เนี่ยะจิตนี่ไปได้ในที่ไกล
ก็เรียกว่า
ทูรังคะมัง.
นี้คำถัดไปว่า เอกะจะรัง ไปเดี่ยว ไอ้สิ่งที่เรียกว่าจิตนั้น มันอันเดียวมันดวงเดียว
คือไม่มีอะไรไปเป็นคู่กันได้ แม้ว่าจิตจะมีความรู้สึก
ความรู้สึกนั้นก็มันไปผสมเป็นจิตเสียแล้ว มันจึงใช้คำว่า จิตนี้ไปเดี่ยว.
อย่างในภาษาอภิธรรมอธิบายไว้ละเอียดแล้ว ว่าสิ่งที่ว่า เจตสิก คือความรู้สึกนั่นนี่ต่างๆนั้น
มันเกิดขึ้นพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่าจิต เป็นจิตที่ผสมเจตสิกมาเสร็จแล้ว เรามีจิตรักบ้าง จิตโกรธบ้าง
จิตเกลียดบ้าง จิตกลัวบ้าง จิตอะไรต่างๆ หลายๆอย่าง.
ขอให้เข้าใจว่าจิตนั้นเดี่ยวอยู่นั่นแหละ มันเป็นจิตดวงเดียว.
มันอยู่ที่ไหน ไปไหน มันก็จิตเดียว
อยู่นั่นแหละ. จึงใช้คำว่า เอะจะรัง,
มีความประพฤติเป็นบุคคลเดี่ยว สิ่งเดี่ยวเดียว.
นี้คำต่อไปคือว่า อะสะรีรัง ไม่มีรูปร่าง, จิตนี้ไม่มีร่างกาย
หรือรูปร่างของมันเอง เป็นนาม เป็นนามธรรม. มันจึงต้องอาศัยรูปร่างอื่น เช่น
ร่างกายนี้ เป็นรูปร่างให้จิตอาศัย, ตัวจิตเองไม่มีรูปร่าง, ฉะนั้นจึงเรียกว่า
ไม่มีสรีระ,
อะสะรีรัง ไม่มีสรีระ,
ทีนี้มีอีกคำต่อไปว่า ผันดันนัง8 ยังจะแปลตามตรงศัพท์ไทยดีกว่า ผันผวนอยู่ ผันผวนอยู่เรื่อย, คือ ผันดันนัง คือผันผวนอยู่เรื่อย, จะปะลัง คือ
กลับกลอกอยู่เรื่อย.
ไอ้ผันผวนนี่มันหมายความว่าเปลี่ยนแปลง ไอ้จะปะลังนั้นหมายถึงกลับกลอก จิตนี้เปลี่ยนเรื่อย เพราะว่าจิตล้วนๆ
8 https://www.watsacramento.org/w-article-074F-t.htm
มันก็ยังมีด้วย
มีอยู่ด้วย มีอยู่ได้ด้วยการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป. แล้วทีนี้จิตไม่ล้วนนี้มันเลยยิ่งไว
เปลี่ยนแปลงมากขึ้นไปอีก เดี๋ยวอารมณ์นั้น เดี๋ยวอารมณ์นี้ เดี๋ยวอารมณ์นู้น.
อย่างนี้เค้ามีคำเปรียบไว้ว่า เหมือนกับว่าลิง เดี๋ยวกระโจนไปต้นไม้นั้น
เดี๋ยวกระโจนไปต้นไม้ นี้เดี๋ยวกระโจนไปต้นไม้นู้น, เดี๋ยวจิตกระโจนไปทางตา กระโจนไปทางหู เดี๋ยวกระโจนไปทางจมูก
อย่างนี้เป็นต้น. เรียกว่ามันผันผวน
เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย, แล้ว จะปะลัง เนี่ยะ
มันกลับกลอก, มันเอาแน่ไม่ได้ มันเอาจริงไม่ได้.
คำต่อไปมีว่า สูตทุททะสัง
เห็นได้ยากเหลือประมาณ
มันเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากเหลือประมาณ. เราอย่ามองที่ตัวจิต
ซึ่งไม่มีทางที่จะเห็นได้ เพราะมันเป็นนามธรรม แม้ว่าเราจะมอง
เรามองด้วยตา มองจิตด้วยตาเนี่ยะ มันมองเห็นไม่ได้ ทีนี้มองด้วยจิต
ด้วยความรู้สึก มันก็ยังมองเห็นยากเหลือประมาณอยู่นั่นแหละ
มิใช่ว่าจะไม่มองเห็นเสียทีเดียว แต่มันมองเห็นยากเหลือประมาณ ถือ
ว่าเราเข้าใจผิดสิ่งที่เรียกว่าจิตนี้ไม่ได้ เหมือนกับที่บอกมาตอนแรกว่า จิตนี้คืออะไรก็ไม่รู้
แต่ว่าเราจับใช้เป็นประโยชน์ได้ ด้วยการประพฤติปฏิบัติทางจิต.
แล้ว สุนิปุณัง9 นี่ละเอียดอ่อนเหลือเกิน ในบรรดาสิ่งที่ว่าประณีตละเอียดสุขุมก็แล้ว
ไม่มี
9 https://www.facebook.com/100063774392656/posts/2514931308516884/
อะไรเท่าจิต,
ละเอียดอ่อนเหลือเกิน เพราะว่ามันเป็นนามธรรมด้วย
แล้วมันยิ่งมีความละเอียดอ่อนตามแบบของนามธรรมอย่างยิ่งอีกด้วย.
แล้วคำต่อไปมันมีว่า กามะนิปาตินัง10 มันจะตกไปแต่ในทางที่ที่มันใคร่
มันรัก มันจะพลัด
10https://www.chulamani.ac.th/files/download/6278bb1d1647b1626d22cd9d3a8fb254.pdf
ตกไป หล่นลงไป
แต่ในทางที่มันใคร่มันรักเท่านั้นแหละ นี้ก็น่าเข้าใจได้มั้ง. เมื่อจิตของใครก็ตามใจละ
มันจะพลัดไปหาในที่มันชอบมันรักเท่านั้น, เค้าเรียกว่า กามะนิปาตินัง ไปสู่กามเท่านั้น.
นี้คำต่อไปว่า ทุรักขัง11 รักษายาก จิตนี้เลี้ยงยากรักษายาก
ก็ดูสิว่าเราจะรักษาให้มันอยู่ในสภาพอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็รักษาไม่ได้
มันไวเหลือประมาณ.
และ ทุนนิวาระยัง ที่ห้ามยาก เค้าว่าไว้ชัดแล้ว จิตนี้มันมีธรรมชาติที่ห้ามยาก เพราะนั้นเรา
11https://www.chulamani.ac.th/files/download/6278bb1d1647b1626d22cd9d3a8fb254.pdf
จึงรักษามันยากและห้ามยาก
ห้ามมันยาก ห้ามว่าอย่าทำอย่างนั้น อย่าทำอย่างนี้
มันก็ไม่ค่อยจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เพราะว่าธรรมชาติของจิตมันเป็น ทุนนิวาระยัง คือห้ามมันยาก.
คำต่อไปมีว่า ทุนนิคคะหัง แปลว่า ข่มขี่ยาก หมายความว่าจะบังคับข่มขี่อะไร มันก็ยังทำได้แสนยาก.
ลักษณะทั้งหมดนี้คือลักษณะของจิต
ที่มีโหลดแล้ว ที่มีอะไรผสมแล้ว มีเจตสิกกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งผสมแล้ว
เป็นจิตปกติของคนธรรมดา ที่มีชีวิตอยู่ในโลกมานานพอสมควรแล้ว.
นับตั้งแต่คลอดมาจากท้องแม่ มันยิ่งมีความ...จะมีความเป็นอย่างนี้
แล้วมันก็จะมีความเป็นอย่างนี้มากขึ้น มากขึ้น เข้มข้นมากขึ้น เข้มข้นมากขึ้น
จนเป็นนิสัยสันดานของสิ่งที่เรียกว่าจิต. มีคสรุปไว้ว่า มันจะลงน้ำเรื่อย
ที่คุณถือเอาความหมายเองก็ได้ว่า มันจะลงน้ำเรื่อย, คือมันจะลงไปในทางต่ำเรื่อย
จนถึงว่าแม้ว่ามันจะรู้ว่ามันมีความสูง แต่มันก็ยังอยากจะลงไปในทางต่ำเรื่อย
เพราะว่ามันมีความเคยชินอยู่กับไอ้ทางต่ำ คือทางไอ้สิ่งที่มันรักมันใคร่ มันพอใจ
มันเกิดเป็นอาลัยขึ้นมา คือที่อยู่ที่อาศัยของจิตขึ้นมาคือของต่ำ
หมายถึงกามารมณ์ คำว่าอาลัยก็แปลว่าที่อยู่ที่อาศัย. เดี๋ยวนี้มีกามาลัย คือที่อยู่ที่อาศัยคือกาม. เหมือนกับปลาน่ะ มันมีชลาลัย คือที่อยู่ที่อาศัยคือน้ำ
นี่เปรียบเทียบกันไว้ดี ปลากับจิตมันคล้ายกันตรงนี้, ปลามีอาลัยคือน้ำ
มีที่อยู่คือน้ำ, ไอ้จิตนี้มีกามาลัย คืออารมณ์ที่มันใคร่มันรักมันพอใจ มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกจนบัดนี้ เป็นอาลัยของมัน.
มันจึงเกิดความยากลำบาก
แก่บุคคลผู้ต้องการจะเจริญจิต หรือทำจิตให้เจริญ เพราะเหตถุที่จิตมีลักษณะ
อะไรหลายอย่างดังที่กล่าวมาแล้ว. ดังนั้นสรุปอันที่สำคัญที่สุด ก็คือ
มันชอบไปในทางต่ำ ตามที่มันอยาก. ฉะนั้นตามปกติ มันถูกกระทำให้ติดในรส คือ อัสสาทะ12 ของกามคือสิ่ง
12https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CD%D1%CA%CA%D2%B7%D0&detail=on
ที่มันใคร่. แล้วมันจึงมีความเคยชินในทางต่ำ จนเรียกว่า อนุสัย มีอนุสัย คือมีความเคยชินที่จะไปนอนที่นั่น. ถ้าไม่ละอนุสัย มันก็ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ ถึงนิพพานได้. นี้จิตมันบ่มตัวเองมาด้วยการนอนอยู่ในที่ต่ำอย่างนี้ เป็นนิสัย เมื่อต้องการให้จิตขึ้นจากไอ้อนุสัยนั้น ให้พ้นจากอนุสัยนั้น นี้มีความยากลำบากสักเท่าไหร่ก็คิดดูสิ.
อย่างคุณสูบบุหรี่จนชิน มันเป็นอนุสัย ที่นอนของจิต คุณจะละบุหรี่สักทีมันยากสักเท่าไหร่
เนี่ยะเป็นตัวอย่างของคำว่าอนุสัย.
ทีนี้เรื่องความโลภ ความโกรธ ความหลง เนี่ยะ มันยังยิ่งกว่าบุหรี่
มันจึงละยากกว่าละบุหรี่ แล้วมันละบุหรี่ไม่ได้ก็ละไอ้โลภโกรธหลงไม่ได้. นี้เรียกว่า ทั้งหมดนี้เรียกว่า ปกติของจิต ตามธรรมดาสามัญ, มิใช่จิตล้วนๆ.
ทีนี้ข้อต่อไปที่เราต้องดูให้ตลอดไปก็คือว่า
มันมีความจำเป็นอย่างยิ่งอยู่อย่างหนึ่งที่ว่า ทุกสิ่งมันขึ้นอยู่กับจิต
ถ้าไม่มีจิตอย่างเดียว ทุกสิ่งมันก็เหมือนกับไม่มี.
ที่ว่าทุกสิ่งมันขึ้นอยู่กับจิตนี่ มีความหมายลึกซึ้งมาก, ถ้าอย่ามีจิตเพียงอย่างเดียว
ทุกอย่างไม่มี โลกนี้ไม่มี ตัวเราไม่มี อะไรไม่มี ร่างกายไม่มี มันมีไม่ได้
ถ้าอย่ามีสิ่งที่เรียกว่าจิตอย่างเดียวน่ะ สมมติว่า ไอ้โลกนี้มันจะมีได้เอ้า
แต่ว่าถ้าเราไม่มีจิตอย่างเดียว มันก็รู้ รู้จัก
รู้สึกหรือรู้จักต่อโลกนี้ไม่ได้ มันก็เหมือนว่าโลกนี้ไม่มี. รนี่เรียกว่าในทาง
รู้สึกหรือรู้จัก.
ทีนี้ในทางความคิด
หรือการกระทำของคนเราเนี่ยะ มันขึ้นอยู่กับสิ่งสิ่งเดียวคือจิต ถ้าไม่มีจิตเสียอย่างเดียว
มันมีความคิดแล้วมันไม่มีการกระทำ อะไรมันก็เลยพลอยไม่มีไปด้วย.
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิต ในลักษณะอย่างนี้. มีพุทธภาษิตไว้ว่า มโนปุพพังคะมาธัมมา13 สิ่งทั้งหลายมีจิตนำหน้า มโนเสษฐา
มโนมิยา สำเร็จออกมาจากจิต. ในทีนี้ใช้คำว่ามโน, มโนปุพพังธัมมา มีมโนไป
13 https://www.facebook.com/Buddhasawika/posts/1176682889185992/
ข้างหน้า นำหน้า, คือจิตนั่นแหละนำหน้า. มันจึงเกิดมีความคิด การกระทำ
ทำไปตามจิตนั้น.
เข่นว่าเดี๋ยวนี้เค้าสร้างอะไรขึ้นมาในโลก
ประดิษฐ์ยานไปอวกาศไปดวงจันทร์นี้ นี้ตามหลังจิตทั้งนั้นล่ะนะ จิตไปก่อนแล้ว
คือจิตมันต้องคิดมันถึงทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้. ดังนั้นจิตมันต้องไปที่โลกพระจันทร์ก่อน
มันจึงจะคิดทำยานไปดวงจันทร์ได้. นี่ทางวัตถุมันก็แสดงว่า จิตนี่นำหน้า
ทุกสิ่งเลย, จนกระทั่งว่ามันนำหน้าของความคิด นำหน้าการกระทำ การประดิษฐ์
การอะไรต่างๆ.
แล้วมันประเสริฐที่สุดในฐานะ ที่ว่ามันบังคับไปทุกสิ่ง
มันเหนือสิ่งอื่นๆ แล้วมโนมยา
ออกมาจากจิต สำเร็จมาจากจิต. ถ้าจิตคิดนึกไม่ได้
มันก็ไม่มีอะไรสำเร็จออกมาได้, ฉะนั้นจิตคิดนึกได้ มันจึงสำเร็จออกมาจากจิต.
นี้ก็เป็นคำอธิบายที่ว่า ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับจิต.
ทีนี้เกิดจากจิต เป็นไปตามอำนาจของจิต
รู้สึกเท่าที่จิตรู้สึก. ที่ว่าเกิดจากจิต ก็ถ้าไม่มีจิตเป็นต้นเหตุ
มันเกิดออกมาไม่ได้ สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นไม่ได้. ที่ว่าเป็นไปตามอำนาจจิตนั้น
เพราะว่าทุกอย่าวงมันทำไปตามอำนาจที่จิตมันคิดนึกได้ หรือมันบังคับให้ทำ.
ที่มันรู้สึกสิ่งเหล่านั้นได้เท่าที่จิตรู้สึกเท่านั้นแหละ, จิตมีสมรรถภาพที่จะรู้สึกเท่าไหร่
มันก็รู้สึกกับสิ่งเหล่านั้นได้เพียงเท่านั้น, แล้วจิตนั้นมันรู้สึกเองไม่ได้
ต้องอาศัยอวัยวะอื่นๆ เช่นตาหูจมูกลิ้นกายด้วย มันก็ยิ่งจำกัดอยู่เพียงแค่สมรรถภาพของไอ้ตัวตาหูจมูกลิ้นกายนั้นด้วย. มันจึงรู้สึกเท่าที่จิตรู้สึกได้เท่าไหร่
นี่เรียกว่าขึ้นอยู่กับจิต.
ในคัมภีร์อภิธรรมพวกกถา พวกกถาวัตถุ
คือคัมภีร์อภิธรรมพวกคัมภีร์หลังเค้าหมด พวกกถาวัตถุนี้ เขียนไว้ชัดเลยว่า เอกะจิต ตัคคะนิกา สัพเพธัมมา, สัพเพธัมมา ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เอกะจิตตัคคะนิกา ประกอบอยู่ที่ขณะจิต ขณะเดียว คือจิตคิดไปเรื่องหนึ่งก็คือสิ่งหนึ่ง
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงขึ้นอยู่กับจิตขณะเดียว.
ในคัมภีร์คนสัมภิทามรรคพูดไว้คล้ายกัน
ว่าทุกอย่างชีวิตอัตภาพร่างกาย ว่าทุกอย่างอะไรก็ตาม เอกะจิตตะสมายุตตา ประกอบพร้อมอยู่ด้วยจิตดวงเดียว
ว่าร่างกายของเราทั้งหมดนี่ ไม่มีความหมายอะไร มีความหมายอยู่ที่จิต มันรู้สึกอย่างไรขณะใด
รู้สึกอย่างไรมันมีเท่านั้นแหละ มันกลายเป็นอัตภาพที่มีขึ้นมาเพราะว่าจิตมันรู้สึกเท่านั้น ถ้ามันไม่ได้รู้สึกอัตภาพนี้ก็เหมือนมิได้มี.
ชีวิตนี้ก็เหมือนกัน ชั่วที่จิตมันรู้สึกว่ามีชีวิตน่ะ จึงจะมีชีวิต.
ฉะนั้นจิตมันเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ อยู่เสมอ, ไอ้ชีวิตนี่ก็
มีลักษณะที่เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ไปตามจิต เพียงแต่ว่าถี่ยิบ
แยกออกเป็นหน่วยๆไม่ได้ มันไหลเป็นสายไป ความรู้สึกมันจึงรู้สึกเหมือนกับว่ามันยังคงอยู่
คงอยู่ กันเที่ยงแท้หรือถาวร.
ไอ้เรื่องนี้เห็นได้ง่าย
ยกตัวอย่างเรื่องหลอดไฟฟ้านี้ มันติดดับติดดับเท่ากับจำนวนเครื่องยนต์เยเนอเรเตอร์ที่มันหมุดพันแปดร้อยรอบต่อนาที
หมายความว่ามันติดแล้วดับติดแล้วดับพันแปดร้อยรอบต่อนาที ไอ้ตาเรารู้ไม่ได้
เห็นมันช่วงโร่อยู่. ความรู้สึกของจิตก็เป็นทำนองนี้ มันได้เกิดดับเกิดดับมากกว่าพันแปดร้อยรอบต่อนาทีเสียอีก
มันตั้งหมื่นตั้งหลายหมื่น มันเราจึงรู้สึกไม่ได้ว่าจิตนี้คือสิ่งที่เกิดดับ.
ไอ้ชีวิตนี้ก็พลอยเป็นสิ่งที่เกิดดับ. นี่คือความที่ว่ามันไม่ได้มีมีตัวตน หรือมีของจริง มีแต่สิ่งที่เกิดดับเกิดดับ, แล้วสิ่งต่างๆที่มันเนื่องอยู่กับชีวิต
เช่นความสุขความทุกข์อะไรก็ตาม พลอยเป็นอย่างนั้นไปด้วย
พลอยเป็นของเหลวไหลมายาไปด้วย.
เมื่อเรารู้ข้อเท็จจริงอันนี้ว่า
สิ่งที่เรียกว่าจิตคืออย่างนี้ แล้วก็ปัญหาทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับจิต มันก็จะได้ตั้งใจระดมไอ้
ความพยายามอะไรต่างๆลงไปที่จิต เพื่อจะทำจิตนี้ให้มาสู่ภาวะที่เราต้องการ
ทั้งที่เรายังไม่รู้ว่าจิตคืออะไร แต่มันมีกฏเกณฑ์สำหรับการกระทำ
ที่พระพุทธเจ้าหรือบุคคลประเภทพระพุทธเจ้านั้น เขาก็พบว่าเราต้องทำอย่างนั้นๆ แล้วจิตนั้นก็มาอยู่ในลักษณะหรือภาวะที่ไม่ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้.
จนกระทั่งเด็ดขาดเลย จิตเลยกลับเศร้าหมองอีกไม่ได้ จิตนี้จะกลับเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์อีกไม่ได้.
อย่างนี้เรียกว่า
จิตตภาวนา,
ด้วยวิธีของสมถะภาวนา
วิปัสสนาภาวนา,
เมื่อทำภาวนาอย่างนี้แล้วจิตนี้ก็เปลี่ยนสภาพมาเป็นจิตชนิดใหม่
เรียกว่าจิตหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลายแล้ว มีความเป็นประภัสสรถาวาร, มีความบริสุทธิ์ถาวร
มีอะไรที่ไม่กลับมาเศร้าหมองอีกต่อไป. เปรียบเหมือนกับเพชรที่จะไม่มีโคลนมาหมกมันอีกต่อไป.
จิตนี้ก็ไม่มีโอกาสกิเลสจะเกิดขึ้นได้อีกต่อไป.
เราจึงต้องทำจิตตภาวนา. ฉะนั้นเราเอาเท่าที่ก็ต้องประสงค์ แปลว่าเราจะเอาอย่างไร
หรือเท่าไรเนี่ยะ มันเท่าที่จำเป็นเท่านั้นแหละ เอาหมดเราไม่รู้,
จะเอาให้หมดจดทุกอย่างที่จิตมันจะให้ได้ เราไม่รู้หรอก ป่วยการ
เราเอาแต่เท่าที่มันจะไม่เป็นทุกข์ อย่างที่มันจะไม่เป็นทุกข์
แล้วเท่าที่มันจำเป็นเท่านั้นแหละ ไม่ไปเหนื่อยเปล่าๆ ให้มันมากเรื่อง.
ไอ้ จิตตวิสัย ในสิ่งเค้าเรียกว่า อจินไตย14, มีคำว่าจิตตวิสัยอยู่ด้วย. หรือคำที่คล้ายๆกันน่ะ
14https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2
แสดงว่า จิตนี้มันทำอะไรได้มาก จิตนี้มันมีความลับความอะไรอีกมาก
และมันทำอะไรได้อีกมาก ซึ่งเราไม่อาจจะรู้ให้หมดได้ หรือไม่สิ้นสุด เราจะรู้เรื่องจิตหรือให้จิตทำอะไร
ก็ยังทำอะไรได้อีกมากไม่มีที่สิ้นสุด, แต่ว่าเราอย่าไปทำเลย มันป่วยการเปล่าๆ
เราไปทำเท่าที่ว่า อย่าให้มันมีความทุกข์ก็แล้วกัน. เหมือนกับโลกนี้ในโลกนี้
อารยธรรมอันใหม่นี่ มันทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำน่ะ มันมากไป
ไอ้สิงที่จำเป็นจะต้องทำ กลับไม่ทำ ไอ้โลกมันจึงวุ่นวาย.
ฉะนั้นขอให้เรารู้ไอ้เรื่องจิตแต่ในลักษณะอย่างนี้เถิด
คือรู้แต่ลักษณะที่จะสามารถแอบรมจิต เจริญจิต ให้มันไม่มีความทุกข์ก็พอแล้ว.
ดังนั้นจิตวิทยาในพุทธศาสนาจึงจำกัดวงอยู่แค่นี้ ถ้าเกินนี้ไม่ใช่พุทธศาสนา
มันออกไปนอกขอบเขตของพุทธศาสนา มันเป็นจิตวิทยาที่เพ้อๆไป,
เมื่อเพ้อๆหนักเข้ามันก็เฟ้อเลย เลยป่วยการ. เราจะทำอะไรก็อย่าให้มันเพ้อๆไป
แล้วเดี๋ยวมันจะเฟ้อ แล้วมันจะเสียเวลาเปล่า.
รู้เรื่องจิตที่ว่ามันธรรมดา มันล้วนๆ
มันมีความรู้สึกคิดนึกอะไร. แต่นี้มาถึงบทที่ว่าคูหาสะยัง15 มีกาย
ร่างกายเป็นที่อาศัย
มันได้ออฟฟิช(office)ทำงาน มันจึงทำอะไรได้ขึ้นมา ไอ้จิตล้วนๆ
15https://www.facebook.com/238296179593402/photos/a.238316889591331/2872658979490429/?type=3
น่ะเปลี่ยนเป็นไม่ล้วนแล้ว มีอะไรผสมเกิดเป็นเรื่อง เป็นเรื่อง เป็นเรื่อง เป็นเรื่องไปมากมาย.เพราะว่ามันไปได้ออฟฟิช(office)ทำงานที่ตาบ้างหูบ้างจมูกบ้างลิ้นบ้างกายบ้างใจบ้าง, รวมแล้วคือไอ้ร่างกายนี้แหละ ไอ้ร่างกายนี้มันเป็นเหมือนกับออฟฟิช(office)ทำงานของจิต. เมื่อจิตได้ออฟฟิช(office)ทำงานเดี๋ยวนี้มันก็เปลี่ยนไปมาก กลายเป็นจิตชนิดใหม่ ชนิด...ทีแรกก็มีความทุกข์ จนกว่าจะรู้สึกรู้ตัวแล้วเปลี่ยน พยายามที่จะดับความทุกข์นั้นอีกทีหนึ่ง
.
มันเหมือนกับไฟฟ้าที่เราไม่รู้ว่าอะไร แต่ถ้าให้ที่ทำงานแก่มัน เช่นเครื่องเยเนอเรเตอร์นี้ก็ดี
หรือว่าหม้อ...หม้อไฟฟ้าไอ้...เคมีมันก็ดี มันก็แสดงตัวออกมาได้
คือแสดงกิริยาอะไรออกมามากมาย ซึ่งเราเอามาใช้ประโยชน์ได้.
จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้ามันไม่มีร่างกายอย่างเดียว
มันก็ไม่ปรากฏ เหมือนกับไม่มี พอได้ร่างกายเป็นที่ทำงาน มันก็แสดงอะไรออกมามาก.
ตั้งต้นที่มโนกรรมก่อน จิตทำงานอย่างมโนกรรมก่อน ออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม. เกิดมีคนบางคนก็คิดว่า
ถ้ายังงั้นเราก็ทำลายร่างกายเสีย จะได้หมดเรื่อง นั้นก็มีเหมือนกัน เป็นลัทธิพยายามที่จะทำลายส่วนที่เป็นรูปเป็นร่างกายนี้ ให้เหลือแต่จิต แล้วว่าจะไม่มีปัญหา ที่เป็นความทุกข์.
บางพวกว่าทำลายจิตเสีย เหลือแต่ร่างกายล้วน ก็ไม่มีความทุกข์เหมือนกัน
ผิดทั้งนั้นล่ะ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเช่นนั้น ท่านตรัสว่า อบรมมันให้ดี
อบรมมันให้ดี ควบคู่กันไปกับร่างกาย ไอ้ร่างกายนี้ไม่ต้องไปอบรมอะไรนัก อบรมจิตดีแล้วร่างกายมันก็ไปตามเอง
เราไม่ต้องกานทำลายหรือฝ่ายหนึ่ง หรือไม่ต้องทำลายจิตเสียฝ่ายหนึ่ง เนี่ยะดูจะเป็นความหมายของคำว่า
มัชฌิมาปฏิปทา ตรงนี้ด้วยเหมือนกัน.
ทีนี้ถ้าจะกล่าวให้สั้น
สรุปให้สั้นที่สุด ก็เอาแต่เพียงว่า ให้จิตพ้นจากตัวกูของกู ให้จิตนี้พ้นจากการเกิดขึ้นแห่งความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกู
ก็ไม่มีความทุกข์ แล้วก็ไม่ต้องตกไปเป็นทาสของอารยธรรมทางเนื้อหนัง แต่ว่าสมบูรณ์อยู่ด้วยมนุษยธรรม ในทางจิตใจ มีจิตใจที่อบรมดีแล้ว ไม่เกิดตัวกูของกู
มีอยู่แต่สติปัญญา ทำการงานทุกอย่างที่จะต้องทำให้ชีวิตประจำวัน ไม่มีความทุกข์เลย
ตั้งแต่บัดนี้ และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป. เรียกว่าพ้นจากตัวกูของกูแล้ว มันไม่มีตัวกูของกูแล้ว
ตัวกูของกูตายหมดแล้ว เป็นนิพพาน ตั้งแต่ที่ร่างกายมันไม่ดับไม่แตก
ยังไม่เข้าโลง ก่อนจะเข้าโลงนานทีเดียว, คือว่าจิตใจมันจะประสบกับสิ่งที่เรียกว่านิพพาน
คือสภาพที่มันประภัสสรอย่างถาวร.
มันเป็นวิญญาณะจริยา คือ ปกติของไอ้วิญญาณธาตุล้วนๆ
ไม่มีอะไรมาเจือ แต่มันมีความรู้พอที่จะทำทุกสิ่ง ที่ให้ร่างกายมันทำ แล้วไม่ยึดถือว่าดีว่าชั่วว่าบุญว่าบาปว่าสุขว่าทุกข์.
ความรู้สึกเป็นทุกข์ก็ไม่มีแก่จิต และแก่ร่างกาย แปลว่าจิตหลุดพ้น
เกินในเรื่องสูงสุด เรื่องสุดท้ายของคนเรา. ถ้าเรียกว่ามนุษยธรรม
ก็เรียกว่ามนุษยธรรมขั้นสุดท้าย, เป็นมนุษย์สมบูรณ์เหมือนพระพุทธเจ้า
ที่มีผู้สรรเสริญว่าเป็น มนุษย์แท้ เป็นนรแท้ เป็นอะไร.
ความเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ อยู่ที่ความเป็นพระอรหันต์.
นี่มันเกี่ยวกับจิตโดยตรงแต่ต้นจนปลายอย่างนี้. ฉะนั้นเราจึงพูดกันเสียบ้างเพื่อความเข้าใจ
เป็นแนวไว้ทีหนึ่งก่อนว่า จิตนี้คืออะไร? ดังที่ได้พูดมา.
เอาละ เป็นการสมควรแก่เวลา ในวันนี้ก็ยุติไว้เพียงเท่านี้.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น