หน้าเว็บ

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2567

คุรุเทพ – นี้จะช่วยคุณจาก อุปาทาน อันทำให้เจ็บปวดทั้งหลาย

คุรุเทพ – นี้จะช่วยคุณจาก อุปาทาน อันทำให้เจ็บปวดทั้งหลาย

This Will Save You From Hurtful Attachments! | Gurudev

         https://youtu.be/vtU6WAiX01c?si=U8YV0j8lYyqeWLZM

- อุปทาน(attachment)จาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)/ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)/ พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

[214]อุปาทาน 4 (ความยึดมั่น, ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส, ความยึดติดอันเนื่องมาแต่ตัณหา ผูกพันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง - attachment; clinging; assuming)
       1. กามุปาทาน (ความยึดมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ - clinging to sensuality)
       2. ทิฏฐุปาทาน (ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ - clinging to views)
       3. สีลัพพตุปาทาน (ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่ากระทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบัติตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล - clinging to mere rule and ritual)
       4. อัตตวาทุปาทาน (ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญหมายอยู่ในภายในว่า มีตัวตน ที่จะได้ จะเป็น จะมี จะสูญสลาย ถูกบีบคั้นทำลายหรือเป็นเจ้าของ เป็นนายบังคับบัญชาสิ่งต่างๆ ได้ ไม่มองเห็นสภาวะของสิ่งทั้งปวงอันรวมทั้งตัวตนว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ประชุมประกอบกันเข้า เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหลายที่มาสัมพันธ์กันล้วนๆ - clinging to the ego-belief)

 

คุรุเทพ:   ทำไมพวกคุณต้องการที่จะปลีกตัวแยกออกไป/สันโดษ?(why you want to detach?) บอกฉันซิ ว่าทำไมคุณถึงกำลังดิ้นรนที่จะปลีกตัวแยกออกไป/สันโดษ? (tell me, why you are struggling to detach?)

ก็แค่มียึดติด/มีอุปาทาน(just be attached)?

ก็เพราะว่าอุปาทานให้ความเจ็บปวดแก่คุณ(because attachment give you pain)?

ทำไมคุณอยากที่จะได้ปลีกแยกออกไปจากลูกและหลานๆของคุณ?(why you want to be detached from your children and grandchildren?)

ทำไมคุณถึงต้องการที่จะปลีกแยกออกไป?(why you want to detach?) อุปาทานกำลังให้ความเจ็บปวดแก่คุณนั่นคือทำไมคุณต้องการที่จะ(attachment is giving pain that’s why you want to detach, right?) เห็นมั้ย? ความรักของคุณเป็น ถ้ามันเป็นสิ่งไร้เงื่อนไขมันก็จะไม่ให้คว่ามเจ็บปวดแก่คุณ(see, your love is if, it is unconditional it will not give you pain).

แต่ถ้าความรักของคุณเป็นว่า โอ้ ฉันรักลูกของฉัน ให้พวกเขาได้อยู่กับฉันตลอดเวลาเถิด(but if your love is oh I love my child, let them be with me all the time) โอ้ ฉันต้องการที่จะเห็นพวกเขาทุกวัน หรือว่า พวกเขาควรฟังฉัน.

คุณคาดหวังว่าจะได้สิ่งใดตอบแทนกลับมา, นั่นเองที่จะให้ความเจ็บปวดแก่คุณ(you expect any return from them, that will give you pain).

นี่นะ, คุณรักลูกๆของคุณเหมือนที่คุณรักเด็กๆคนอื่นไหม?(do you love your kids like you love other kids?) ทำไมไม่ล่ะ?(why not?) มองยังงี้สักชั่วครู่นะ, ก็นี่คือลูกของฉัน, ลูกชายของฉัน, ลูกชายของพี่ฉัน หรือลูกชายของเพื่อนบ้านฉัน(so this is my child, my son, my brother’s son or my neighbor’s son ), พวกเขาทั้งหมดเหมือนกัน(they’re all same), คุณสามารถยึดติดตนเองกับทุกคนเช่นนั้นได้ไหม?(can you attach yourself to everybody like that?)

ถ้าคุณทำเช่นนั้นได้ ความเจ็บปวดของคุณก็จะน้อยลง(if you do that your pain will be less).

คุณยืดขยายอุปาทาน/ความยึดติดของคุณออกไป(you expand your attachment). คุณรักทุกคน(you love everybody). คุณรักมามากกว่า 40 ปี 50 ปีของชีวิตคุณ, คุณใช้เวลาไปในจำกัดครอบครัวของคุณ(you love more 40 years 50 years of your life you spend in your limited family). เธอคือลูกชายของฉัน(my son), ลูกสาวของฉัน(my daughter), หลานสาวของฉัน(my granddaughter), ลูกสะใภ้ของฉัน(my daughter-in-law), หลานๆทั้งหลาย(grandkids), โลกของคุณย่อหดลงมาเป็นมากเพียงแค่นั้น(your world shrunk only that much).

เมื่อโลกของคุณถูกหดย่อลงมา มันจะมักให้ความเจ็บปวดแก่คุณเสมอบปวดแก่คุณเสมอสมอ(when your world is shrunk it will always give you pain). มันไม่ใช่ความรักมากเกินไป เพราะว่าเราไม่ได้กำลังยืดขยายการเอาใจใส่ของเรา(it’s not too much love because we are not expanding our attention).

คุณต้องรัก, คุณไม่ทำไม่ได้, คุณไม่สามารถทำได้นอกจากรักลูกๆของคุณ, คุณมีความรัก แลละไม่มีแม่คนไหนสามารถรักลูกๆขแองพวกเขา หรือหลานๆของพวกเขาได้น้อยลงไปกว่ามัน(you must love you cannot you cannot but love your children, you are love and no mother can love their children less or grandchildren any less it’s).    

อย่าพยายามที่จะบรรเทาลดความรักของคุณลงไปเลย(don’t try to lessen your love at all), มันเป็นการออกแรงที่ไร้ประโยชน์(it’s futile exercise). แต่ถ้าคุณสามารถยืดขยายที่คุณรักลูกๆของคุณมากเท่าไหร่นั่นได้(but if you can expand that how much you love your children), คุณรักลูกๆของเจธานี – น้องสะใภ้ ของคุณด้วยใช่ไหม? นั่นคืออะไรที่เราไม่เคยคิดถึงมัน(that we never think about it). อันที่จริงแล้ว(actually), เมื่อคุณจำเป็นต้องการ, คือผู้คนแปลกหน้าทั้งหลายที่จะมาหาเพื่อช่วยเหลือคุณ(when you need, who are strangers will come to your help).

หลายครั้ง, คุณก็รู้, ที่ในอินเดีย, พ่อแม่ทั้งหลายอยู่ที่นั่น, ลูกๆทั้งหลายของพวกเขาอยู่ที่นี่, แต่เมื่อพวกเขาอยู่ในความต้องการอย่างยิ่งของการช่วยเหลือบางอย่าง, ใครบางคนที่ไม่ใช่ญาติของพวกเขาได้มาและช่วยเหลือพวกเขา(when they’re in dire need of some help, someone who is not their relative, they come and help them). สิ่งนี้บังเกิดขึ้นตลอดเวลา. ไม่มีความขาดแคลนความรัก หรือความรู้สึกว่าเป็นญาติมิตรเชื่อมโยงอะไรในพวกเขา(there is no dearth of love or feeling on connectivity with them). เมื่อพวกเขาจำเป็นต้องการอะไรบางอย่าง แต่คุณมาอยู่ในที่นี้, พวกเขาอยู่ที่นั่น, ใครกันล่ะที่ช่วยเหลือพวกเขาได้?(when they need something, you are here, they are there, who would help them?) ผู้ช่วยเหลือพวกเขา(their helper), เพื่อนบ้านของพวกเขา(their neighbor), พวกเขาจะมาช่วยเหลือพวกเขา(they will come to their help). นั่นคือทำไมที่ฉันพูดว่า, คุณรู้, ของเราในระบบยุคโบราณนี้เป็นได้งดงามยิ่งนัก(that why I say, you know, our in the ancient time system, this is very nice done).

มาถึง 50 ปีของอายุคุณ ที่คุณเพ่งใจใส่อยู่แต่ครอบครัวของคุณ, นั่นไม่เป็นไร(up to 50 years of your age, you focus only your family, that’s okay). แต่ภายหลังจากนั้น, คุณไปสู่ วนปรัสถ์(but afterwards you go to Vanaprastha1 - वानप्रस्थ ), หมายถึงว่า คุณยืดขยายการเป็น”ฉัน”ของคุณ ออกไปสู่ผู้อื่นด้วยเช่นกัน(means you expand your ‘I’ness to other, also).

1 https://en.wikipedia.org/wiki/V%C4%81naprastha

         คุณมองเห็นสิ่งที่ฉันกำลังพูดไหม?(do you see what I’m saying?) จำนวนความรักที่คุณมีกับหลานๆของคุณ, คุณสามารถมีความรักนั่นให้กับ 100 เด็กๆอื่นได้ไหม?(amount of love you have for your grandchildren, can you have that love for 100 other children?). คุณสามารถได้.

         เด็กๆของคุณไม่ใช่ใบหน้าของพวกเขา, ไม่ใช่ร่างกายของพวกเขา แต่พวกนั้นคือพลังงาน(your children are not their faces their bodies but they are energy). คุณได้ติดอยู่กับหลอดไฟทั้งหลายนั้น, คุณไม่ได้คิดถึงไฟฟ้านั้น จนกว่าความสนใจของเราไปที่ไฟฟ้านั้น(you are stuck in the bulbs, you are not thinking about the electricity unless our attention goes to the electricity). เราไม่สามารถมีวันเป็นอิสระจากความทุกข์ของชีวิต(we can never be free from misery of life).

         อีกตัวอย่างหนึ่งที่ฉันจะบอกกับคุณ, ห้องนี้ทั้งหมดเป็นไม้, อะไรคือไม้?(this room is all wood, what is wood?) หลังคาเป็นไม้, นี่คือไม้, และประตูนั่น, เพดานนั่น, โต๊ะเก้าอี้และพื้น มันทั้งหมดเป็นไม้(it’s all wood). นี้คือทรรศนะเชิงกลไกควอนตัม(this is quantum mechanical vision). เมื่อมันมาสู่ชีวิต, ทั้งหมดนี้คือชีวิต(when it comes to life, this is all life).

         เมื่อเราไม่ได้มีความสนใจในด้านกลศาสตร์หรือกลไกควอนตัมนี้ในชีวิตของเรา, เราก็เป็นทุกข์ได้(when we don’t have this physics or quantum mechanic attention in our life, we will be miserable).

มีอยู่สองแผนกของความรู้(there are two divisions of knowledge).

หนึ่งนั้นคือ วยาวาหริก สัตยะ(Vyavaharik Satya2 - ความจริงสัมพัทธ์), นั่นคือวิชาเคมี

2https://www.quora.com/What-is-Pratibhasik-Satya-Vyavaharik-Satya-Parmarthik-Satya

แบบคลาสสิค(that is the classical chemistry). อย่างนี้นะ, เพชรและถ่านของคุณ มาจากวัสดุเดียวกัน(your diamond and charcoal are of the same material). คุณไม่สามารถห้อยถ่านที่หูของคุณ หรือเอามาสวมที่คอของคุณ, ถูกไหม?(you can’t hang charcoal in your ears or put on your neck, right?) ดังนั้น พวกเขาก็แตกต่างกันทั้งหมด(so they are all different). ดังนั้น, ถึงแม้ว่าคุณรักทุกคนเหมือนกัน, ความรักของคุณก็จะเป็นที่แตกต่างกันไป, วิธีที่คุณรักแม่ของคุณก็แตกต่างไปจากวิธีที่คุณรักหลานของคุณ(so though you love everybody the same, your love will be different the way you love your mother is different from the way you love your grandchildren). มันทั้งหมดนั้นแตกต่างกันในรสชาติทั้งหลายของความรัก(it’s all different flavors of love). ดังนั้น, นี้ก็คือความจริงด้วยเช่นกัน(this is also true).

         คุณเห็นมั้ย, พระเจ้าในทุกคน(God in everybody), เมื่อคุณมายังคุรุ คุณก้มลงไปสัมผัสเท้านั้น, แต่เมื่อคุณเห็นเด็กคนหนึ่ง พวกเขาคือพระเจ้าอยู่ที่นั้นด้วยเช่นกัน คุณไม่ได้ลงไปแตะเท้าของเด็กนั้น, เด็กนั้นจะถูกทำให้สับสน, งงงัน(when you come to  Guru you bow down touch the feet, but when you see a child they also God is there you don’t fall at the feet of a child), the child will get confused, baffled).

         ในชีวิตสองความรู้นี้เป็นสิ่งสำคัญ(in life these two knowledge is essential). หนึ่งนั้นคือ ความรู้เชิงวัตถุของความแตกต่างทั้งหลาย(one is the materialistic knowledge of differences). สิ่งนี้แตกต่างกันไปทั้งหมด(this is all different).

         และอีกด้านหนึ่ง(and another side), ความรู้สัมบูรณ์สุดของเวฑานตะ(the ultimate knowledge of Vedanta) ที่มันคือทั้งหมดหนึ่งชีวิต(that it is all one life).

         นี่นะ, ย่าของคุณรักคุณมากเหลือเกิน, เธออยู่ที่ไหนหรือ?(your grandmother loved you so much, where is she?) เธอได้จากไปแล้ว(she’s gone). ในจุดหนึ่งของเวลา, คุณได้ติดถูกยึดอยู่กับย่าของคุณหรือไม่?(in one point of time you were attached to your grandmother or not?) เย้, เธอจากไปแล้ว. ร่างกายของเธอจากไปแล้ว แต่จิตวิญญาณของเธออยู่ที่นั่น(but her spirit is there).

เช่นเดียวกันคุณก็จะจากไป(similarly you will be gone). ดังนั้นความยึดติด/อุปาทาน

ในเรื่องย่าของคุณ และแม่ของคุณ แล้วมันก็เปลี่ยนย้ายมาที่ลูกสาวของคุณ และหลานสาวของคุณ, คุณได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนย้ายของมันไหม?(so your attachment for your grandmother and the your mother then it shifted to your daughter and your granddaughter, have you noticed it shifting?)

         แต่ทั้งหมดนี้ก็เพราะว่าคุณคือจุดศูนย์กลางที่นี่(but all this is because you are the central point here). หลานสาวของฉัน(my granddaughter), แม่ของฉัน(my mother), เพื่อนของฉัน(my friend), แต่ใครคือ “ของฉัน” หรือ?(but who is ‘my’?)

         “ของฉัน”นั้นคือ พลังงานทั้งหมด(that ‘my’ is all energy), และด้วยนั่น ตัวมันคือ รัก(and that itself is love). จนกว่าและจนกระทั่งว่าเรารู้สิ่งนี้(unless and until we know this), ความทุกข์ก็ยังจะมาสู่ชีวิตของเราเรื่อย ๆในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง(misery will keep coming into our life in one or other form).

         https://youtu.be/vtU6WAiX01c?si=Un6zVUyQUBCW95zn 

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2567

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) - มัวกลัวว่าถ้าอยากจะเป็นตัณหา ก็เลยไม่พัฒนาไปไหน

 มัวกลัวว่าถ้าอยากจะเป็นตัณหา ก็เลยไม่พัฒนาไปไหน โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

         https://youtu.be/VKZjTwvbJuI?si=3Os6S8U4oc7kp_aH



...นี้อีกตัวอย่างหนึ่ง อันนี้ต้องฝากทำใหม่ ต้องชัด ต้องช่วยสังคมไทยและช่วยในชีวิตของท่านเองด้วย

         ก็คือเรื่อง คือเราสอนกันมาเนี่ยะ ชาวพุทธไทย ก็ บอกให้ละตัณหา ตัณหานี้ไม่เอา ละตัณหา แต่พระท่านไม่ได้ให้รอละตัณหา ไปรอละตัณหาอยู่ทำไม มันมีสิ่งที่จะต้องทำ สิ่งที่ต้องทำที่สำคัญ ไปรอละตัณหา แล้วทำอะไร เอ้อ สิ่งที่ต้องทำนี่แหละสำคัญ ไอ้สิ่งที่ต้องทำที่มันคู่ตรงข้ามกับตัณหาเนี่ยะ เราหลงลืมทิ้ง สังคมไทยจะไปไม่รอดถ้าไม่ปลุกอันนี้ขึ้นมา.

แม้แต่ชีวิตก็เหมือนกัน ตัวนี้คืออะไร?

เนี่ยะ จะต้องชัดทุกองค์ อย่างน้อยต้องชัดตัวนี้. คำนี้ก็ไม่ได้ยากอะไร คือคำว่า ฉันทะ.

แต่คนไทยก็อาจจะนึกว่า เอ้อ มอบฉันทะให้นะ ที่ประชุมจะว่ายังไงก็ลงมติไป ฉันมอบฉันทะให้แล้ว อันนี้ก็ความหมายหนึ่ง. ฉันทะ พอบางคนได้เรียนอิทธิบาทก็พอจะรู้หน่อย ฉันทะ-ความพอใจ.

ทีนี้แค่นั้นไม่พอ ต้องรู้รากเหง้ารู้ต้นตอที่ไปที่มา จะยกตัวอย่างให้นิดหนึ่งพอจะได้เห็นความหมาย เช่นว่า เอ้อ เรานึกถึงวัด วัดนี้มีพระ มีบรรยากาศน่าเลื่อมใสศรัทธา มีพระที่มีความรู้มีปัญญา เราน่าจะไปฟังท่านอะไรต่างๆเหล่าเนี้ยะ เกิดศรัทธาขึ้นมาละ นี่เรียกว่าศรัทธา ศรัทธานี้เป็นตัวเริ่มให้ ในกรณีนี้ ศรัทธาเริ่มให้แล้ว พอศรัทธาเชื่อ เออ เออ ไปนี้ดีนะ ก็อยากไปเอาละสิ อยากไปเพราะจะไปฟัง จะได้ฟังก็คือต้องไป.

ที่นี้อยากไปฟัง อยากไปฟังนี่คือ ฉันทะ เกิดแล้ว.

เป็นตัวเริ่มต้นการกระทำ ถ้าไม่มีฉันทะ การกระทำ แต่ในทีนี้หมายถึงการกระทำที่ดี มันเริ่มไม่ได้ ฉันทะเนี่ยะ เป็นตัวศัพท์พื้นที่สุดของคำว่า “ความพอใจ ความปรารถนา ความอยาก ความต้องการ”. เป็นตัวกลางนะ เป็นตัวเริ่ม เป็นตัวพื้นฐาน ความต้องการ ความพอใจ ความปรารถนา. ทีนี้ พอใจใฝ่ปรารถนานี่ มันดีก็ร้ายก็ได้ ฝ่ายปรารถนาร้าย ที่ไม่ดี ที่จะเป็นโทษต่อใฝ่ ก็ ท่านเรียกว่าตัณหาฉันทะ ชื่อเต็มมันว่าอย่างงั้น ฉันทะนี่เป็นตัวกลาง เป็นชื่อพื้นเดิม ความอยากความปรารถนาพอใจเนี่ยะ. ทีนี้พอเป็นอยากฝ่ายไม่ดีก็เติมตัณหาเข้าไป ก็เป็นตัณหาฉันทะ. หรือเรียกอีกอย่างว่า อกุศลฉันทะ ก็ได้ อกุศลฉันทะก็คือตัณหาฉันทะ ทีนี้ เวลาเรียกอย่างนี้มันยาวก็เลยตัดเรียกตัณหาตัวเดียวพอ. เอาละนะ ให้รู้ว่าตัณหา ก็คือตัณหาฉันทะ.

ทีนี้ไอ้ฉันทะที่มัน ฝ่ายต้องการพอใจปรารถนาอันที่มันดีล่ะ เนี่ยะ อย่างเมื่อกี้บอกว่า อยากจะไปฟังธรรมละ นี่คืออยากดี. อยากอย่างงี้เป็นฉันทะก็เรียก กุศลฉันทะ หรือเรียกว่า ธรรมฉันทะ ก็ได้. แต่เพราะไอ้ฉันทะตัวเนี้ยะ  มันเป็นฉันทะที่จะมีการกระทำ มันอยากทำ เพราะฉะนั้นท่านจึงมีชื่อพิเศษเรียกว่ากัตตุกัมยตาฉันทะ1 ฉันทะคือความปรารถนาจะทำ.

1 https://book.watnyanaves.net/dictionary/display/149

ไอ้ตัณหานี่ อยากปรารถนา อยากจะได้มาเป็นของตัว อยากเสพ อยากจะบริโภค อยากจะบำรุงบำเรอ อยากจะให้ลิ้นอร่อย อยากจะได้จมูกหอมอะไรทั้งนั้นแหละ มันไม่ได้ต้องการจะทำ นอกจากจะจำใจมีเงื่อนไข ถ้าแกไม่ทำแล้วแกอด ที่จริงแกอยากจะลิ้มรสอร่อยเท่านั้นเอง ถ้ามีแล้วแกไม่ทำละ แกก็หยิบขึ้นมาลิ้ม ฉะนั้นไอ้เจ้าตัณหาฉันทะ นั้นไม่มีความอยากทำหรอก ทำก็จำใจ ทำแล้วเป็นทุกข์. ตัณหาเนี่ยะ มันอยากจะเสพอยากจะบำรุงบำเรออะไรตะไร นี่เป็นตัณหา ทีนี้เจ้าฉันทะมันอยากทำ ทำไอ้ที่มันดีๆ สิ่งที่ดี

ทำไมมันจึงอยากทำที่ดี? เพราะฉันทะตัวนี้มันแปลว่า ถ้าแปลให้เต็มนะ ก็แปลว่า ความพอใจปรารถนา จะทำอะไรที่ดีๆ หรือทำให้มันดี นี่อันนี้เรียกว่าฉันทะ. จะทำอะไรที่ดีๆ เช่น อยากจะไปฟังธรรม ก็มีศรัทธาแล้วนี่ อยากจะทำก็คือ ไป๊ ไปฟังธรรม อยากฟังธรรมแล้วดีทั้งนั้น อันนี้ต้องทำทั้งนั้น.

ทีนี้ อะไรที่มันยังไม่ดี อยากทำให้มันดี ก็เป็นฉันทะ เอาละ นี่ว่าลบ้อมรอบไปกก่อน.

ทีนี้ไปถึงเนื้อตัวแท้ๆ เอาละทีนี้ทำความเข้าใจให้ชัด ยกตัวอย่างก่อน เคยยกตัวอย่างบ่อย เช่นว่าโยมเข้ามาในวัดเนี่ยะ วัดหลายวัดก็มีต้นไม้เยอะๆ ต้นไม้นั้นก็สงบ ร่มรื่น แล้วก็ไม่มีใครมาทำอันตรายก็มีกระรอกกระแต ทีนี้ไอ้เจ้ากระรอกกระแต มันก็กระโดดโลดเต้น วิ่งไปวิ่งมา เอ้อ มันก็น่าดู ทีนี้คน 2 คนเข้ามา คนหนึ่งก็บอกว่า เอ้อ ไอ้กระรอกตัวนี้มันสวยดี มันอ้วนซะด้วย ถ้าเราได้เป็นกับข้าวมื้อเย็นนี้ ลงหม้อข้าวลงหม้อต้ม อร่อยแน่ นี่นี่ นี่อยากได้แล้วใช่มั้ย? อยาก เนี่ยะ อยาก มันพอใจเหมือนกัน พอใจเจ้าตัวกระรอกเนี่ยะ แล้วก็อยากได้เจ้ากระรอก. ทีนี้อีกคนหนึ่ง มาเห็นเจ้ากระรอกนี่ เอ้อ เขา รูปร่างเขาสวยงามคล่องแคล่วปราดเปรียว วิ่งสวยงาม กระโดดโลดเต้น แหมทำให้บรรยากาศวัดนี่รื่นรมย์ สวยงาม ขอให้เจ้ากระรอกตัวเนี่ยะ มีสุขภาพดีแข็งแรงต่อไปนะ แล้วก็คล่องแคล่วปราดเปรียวอย่างงี้ ช่วยให้วัดนี้ได้รื่นรมย์มีความเป็นรมณีย์ สดชื่นสวยงามต่อไป.

อย่างนี้ 2 อันเนี่ยะ อันที่หนึ่ง อยากได้กระรอกนั้นมาลงหม้อแกง ต้มกิน นี้เรียกว่าตัณหา  ทีนี้ไอ้เจ้าพอใจอยาก ปรารถนาให้เจ้ากระรอกตัวนั้น แข็งแรงสมบูรณ์สวยงาม กระโดดโลดเต้นให้มันน่าดูอย่างงี้ต่อไป อย่าวงนี้เรียกว่าฉันทะ.

แล้วโยมนี่ไป เดินไปในทุ่งในสวนหนึ่ง มีต้นไม้เยอะ ต้นไม้นั้นก็สวยงาม คนหนึ่งก็ เอ้อ ไอ้ต้นไม้นี้ดีนี่ ถ้าเราเอาตัดเอาไปขายได้หลายสตางค์ อย่างนี้ก็อยากได้ใช่มั้ย? นี้ก็ตัณหาละ นี่อยากแบบตัณหา. ทีนี้อีกคนหนึ่ง โอ้นี่ สวนนี้ มีต้นไม้ยังงี้ ทำให้สวยงาม แหมขอให้ เนี้ยะ ไม้ในนี้งดงามยิ่งขึ้นไป ทำให้บรรยากาศร่มรื่น สดชื่น เป็นรมณีย์สถาน ถ้าเรามีโอกาส เราจะมาช่วย เราจะมารดน้ำให้ เราจะมาช่วยตัดแต่งให้ต้นไม้นี้ งามสวยยิ่งขึ้น อย่างงี้เรียกว่าฉันทะ.

เอาละนะ โยมแยกให้ถูก.

ลักษณะอย่างหนึ่งของตัณหากับฉันทะ คือมันต่างกัน คือตัณหามันจะตัวตนขึ้นมา อยากจะได้ อยากจะเอา ให้ตัวได้เสพ ได้บำรุงบำเรอตัว มีตัวตนขึ้นมา ตัณหาเนี่ยะ อยากเพื่อตัวเอง ใช่มั้ย? อยากได้ อยากเอามาบำรุงบำเรอตัวเอง.

ทีนี้ไอ้ฉันทะ ท่านบอก มันอยากเพื่อสภาวะของสิ่งนั้นๆเอง เห็นอะไร? เห็นพื้นนี้ อยากพื้นนี้สะอาดเรียบร้อยหมด ก็คือความดีงามเพื่อสภาวะของพื้น ไปเห็นถนนก็อยากให้ถนนสะอาด หมดจดเรียบร้อย ไม่ขรุขระ ถ้ามันมีหลุมมีตุ่มมีอะไร ทำให้คนเป็นอันตราย ก็นึกถึงคนอีก อยากให้คนเค้ามีสุขภาพดี เค้าอยู่ดี ต้องไปช่วยเค้าแก้ไข หลุมนี้ไปปรับแก้ไปเติม ไปเอาอะไรใส่ให้มันเต็ม อย่างงี้ก็คือทำให้มันดี แล้วทำมุ่งสภาวะที่ดีงามของสิ่งนั้นๆ.

เข้าใจแล้วนะ? ฉันทะ ความพอใจใฝ่ปรารถนา เพื่อสภาวะของสิ่งนั้นๆเอง นี่ไม่เกี่ยวกับตัวเราเลย ใช่มั้ย? เราไปเห็นอะไร แม้แต่แขนเนี่ยะ ก็เป็นสภาวะอย่างหนึ่ง เราอยากให้แขนเนี่ยะ มันสมบูรณ์ แข็งแรง แม้จะเป็นของตัวเองนะ มันก็เป็นฉันทะ แต่ถ้าเราอยาก เอ้ย อยากให้สวยแบบตาคนนั้น อะไรอย่างงี้ อย่างงี้ก็เป็นตัณหาไป ใช่มั้ย? ถ้าอยากเพื่อให้ร่างกายของเราดี แข็งแรง ก็เป็นสภาวะของมัน ความที่ใฝ่ปรารถนาให้เพื่อสภาวะของสิ่งนั้นๆ ที่จะดีงามสมบูรณ์ของมัน อย่างนี้เรียกว่าฉันทะ. แต่ความอยากเพื่อจะ นั่นแหละ เพื่อตัวตน เพื่อจะได้มาบำรุงบำเรอเสพอะไรต่ออะไรขึ้นมามิด พอจะตัณหาเกอิด มันจะมีตัวตนขึ้น เอาทันที ถ้าฉันทะมันไม่มี.

เพราะฉะนั้น ขอให้คิดดู ถ้าฉันทะมีกันมากๆเนี่ยะ ชีวิตก็จะเจริญงอกงาม จะทำงานอะไรมันต้องทำให้มันดี มันไม่คิด ลืมไปเลยเรื่องผลตอบแทนอะไรต่ออะไร ไอ้นั่นเป็นสังคมที่ดีเค้าก็จะจัดสรรเองว่า เอ้อ คนทำงานเค้าต้องอยู่ต้องอาศัย เครื่องเลี้ยงชีพก็จัดให้เค้าอยู่ได้ยังไง จะอยู่ได้ดียังไงก็จัดเข้าไป แต่ว่าตัวคนทำนั้น ถ้าทำได้ตามคติของพุทธศาสนา ก็คือ เค้าจะตั้งใจทำสิ่งที่เค้าทำนั้น ให้มันดีของมัน ดีที่สุด เต็มที่ของมัน ดีแล้วก็ดียิ่งๆขึ้นไป.

เพราะฉะนั้น ฉันทะเนี่ยะ พระพุทธเจ้าบอกว่า ฉันทะ มูละกาสัพเพ ธัมมา ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นจุดเริ่มต้น ถ้าไม่มีฉันทะแล้วไม่ไป เนี่ยะ ในตัวอย่างในพระไตรปิฎกยังมีเลย. พระพุทธเจ้ายกตัวอย่างกับพระอานนท์ บอกว่าจะไปโน่น เช่นอย่างที่ว่าเมื่อกี้ ไปฟังธรรม บอกว่า จะไปฟังธรรม ก็ต้องทำให้สำเร็จ แล้วฉันทะก็จะหมดไปเอง. เนี่ยะ หลักปฏิบัติต่อฉันทะและตัณหา.

ปฏิบัติต่อตัณหานั้นอย่างหนึ่ง ปฏิบัติต่อฉันทะอย่างหนึ่ง ทั้ง ๆที่มันเป็นความอยาก.

ฉันทะ ละด้วยการทำให้สำเร็จ ท่านบอกไว้อย่างนี้นะ. พอทำให้สำเร็จแล้ว มันก็ละเอง ใช่มั้ย? เพราะว่ามันหมดหน้าที่แล้ว ไอ้ฉันทะมันก็เลิกด พอฉันทะ เราอยากไปฟังธรรมที่วัด แล้วก็ไปสิ พอไปถึงแล้ว ฉันทะมันก็จบ ละได้ ละด้วยการทำมันสำเร็จ นี่เรียกว่า หลักของการละฉันทะ.

ส่วนตันหานั้น เมื่อไหร่มันเกิดขึ้นก็ไม่ต้องเอามันตอนนั้น ก็จบ. นี่เรียกว่า หลักของการละตัณหา กับ ฉันทะ.

เมืองไทยเนี่ยะ เวลานี้ต้องคุยกันมากนะ เราเป็นชาวพุทธกันมาจนป่านนี้แล้วยังเนี่ยะ แยกไม่ออกระหว่างตัณหากับฉันทะ อยู่ ๆก็บอกให้ละตัณหา อย่าไปอยาก ชาวพุทธนี่ อยากอะไรไม่ได้ คิดเป็นตัณหาไปหมด.

เมืองไทยสังคมไทยมันจะแย่ เพราะคนไทยชาวพุทธเนี่ยะ ไม่รู้จัก ไม่รู้จักฉันทะ แยกความอยากความต้องการไม่เป็น เนี่ยะ เสียหายไปเท่าไหร่แล้ว.

ชีวิตก็เหมือนกัน ถ้าจะมัวไปรอละตัณหาอยู่  ให้เร่งทำฉันทะซะ นะ อะไรที่มันดีตั้งจุดมุ่งหมาย แล้วก็ฉันทะก็มา เริ่มไปเลย จำให้แม่น ฉันทะ มูลการ สัพเพ ธัมมา ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล ต้นดเค้า แต่ทั้งฝ่ายดีฝ่ายร้ายนะ ฉันทะฝ่ายร้ายก็ ถ้ามูลการ สัพเพ ธัมมา ก็คือฝ่ายตัณหาเป็นตัวต้น เป็นตัวเริ่มต้นให้ มีอวิชชาเป็นตัว...เป็นตัวเอื้อ ปัจจัยของตัณหาก็คืออวิชชา ความไม่รู้ไม่เข้าใจว่าอะไรมันดีมันร้าย ประโยชน์ ไม่ใช่ประโยชน์ มันก็ให้โอกาสต่อความรู้สึก ตัณหาเป็นเรื่องของความรู้สึก ที่เกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจ ชีวิต ความจริง อะไรจริงแท้ อะไรเนี่ยะ ก็ อวิชชาก็เป็นตัวเอื้อ เป็นปัจจัยแก่ตัณหา ตัณหาก็เกิดขึ้นมา เป็นตัวต้นทางของฝ่ายร้าย.

ทีนี้ ฉันทะ มูลการ สัพเพ ธัมมา ก็ ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล ของฝ่ายดี ก็ฉันทะที่เรียกว่า กุศลฉันทะ ธรรมฉันทะ กัตตุธัมยตาฉันทะ เนี่ยะ เป็นฝ่ายดีก็มีวิชชา มีปัญญาเป็นมูลปัจจัย เพราะเรารู้นี่ อันนี้มันดี อันนี้มีประโยชน์ อย่างนี้จึงจะเหมาะสมที่จะทำให้มีความเจริญ เมืองไทยจะเจริญ ควรจะต้องมีอย่างงี้ ปัญญามันรู้แล้ว พอปัญญามันรู้ ว่าอันนี้มันดี มันเป็นประโยชน์ โอ้ มันก็อยากทำ ใช่มั้ย? อยากทำให้มันดี ไอ้ปัญญามันก็เป็นตัวปัจจัยให้แก่ฉันทะ. อวิชชาเป็นปัจจัยให้แก่ตัณหา. ปัญญาเป็นปัจจัยให้แก่ฉันทะ.

ทีนี้เราจะให้ประเทศชาติ หรือแม้แต่ชีวิตของดเราเจริญ เราก็ต้องคู่ไปสิ ปัญญาพัฒนาไป แล้วก็ พอปัญญาพัฒนาไป อย่าไปทิ้งฉันทะ มันก็ตจะรู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นประโยชน์ อะไรควรจะทำ ปัญญามันบอกแล้วก็เจ้าฉันทะจับเอาเลย อยากจะทำ อยากจะทำให้มันดีให้สมบูรณ์ให้สำเร็จ อย่างนี้ก็ไปได้ ชีวิตก็ไปได้ดี ชุมชนก็ไปดี สังคมก็ไปดี.

ก็เคยบอกแล้ว บอก...ท่านให้หลักไว้ แม้แต่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เนี่ยะ มันมาจากฉันทะ ตัวแกนของเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาก็ฉันทะทั้งนั้น อยาก-ให้ดี ถ้าเจอคน ก็อยากให้เค้าดี ก็คือ อยาก-เพื่อสภาวะของเขา สภาวะที่ดีของเขาก็คือ เป็นคนร่างกายดี สุขภาพดี มีแข็งแรงมีความสุขอะไรเนี่ยะ. ทีนี้ก็ ไอ้เจ้าฉันทะที่มันอยากให้มันมีสภาวะที่ดี มันก็ออกมา หนึ่งเมตตา อยาก-ให้เขามีความสุข. แล้วก็นี่ ถ้าเขาทุกข์ เดือดร้อน ตกต่ำอยู่ ก็อยาก-จะทำให้เขาพ้นทุกข์ อ้า ฉันทะมันก็ออกที่กรุณา. แล้วก็ เขาทำดีได้สำเร็จ ก็อยาก-จะให้เขาดียิ่งขึ้นไป ก็เป็นมุทิตา. แล้วก็ อุเบกขา อยากเหมือนกัน เนี่ยะ คนไม่รู้ อุเบกขานี่ว่าเฉย ว่าไม่อยาก อุเบกขาก็อยาก ตัวอยากสำคัญเลย อยาก-ให้เขาไม่ทำอะไรผิดพลาด.

ท่านอธิบายไว้ชัดเลย เช่นบอกว่า ฉันทะนี่เป็นตัวต้น เค้าเรียกว่าเป็นอาทิ เป็นตัวต้นของเมตตากรุณามุทอิตาอุเบกขา โดยเฉพาะข้ออุเบกขา อยาก-ให้เขาไม่ทำอะไรผิดพลาด เช่น พ่อแม่. พ่อแม่อยากให้ลูกไม่ทำอะไรผิดพลาด จึงได้ต้อง ควบคุมดูแลหรือว่าการไม่ให้เค้าทำ ใช่มั้ย?ไม่ใช่ตามใจซะหมด ถ้ามีแต่เมตตา ตามใจ ลูกจะได้มีความสุข ทำอันนั้นทำอันนี้ กลายเป็นเหลวไหล เสียหายกับชีวิตของเขาเอง หรือเสียหายแก่สังคมก็แล้วแต่ ก็ตามใจ ยังงั้นเมตตาเสียแล้ว เมตตาก็ประกอบด้วยความโมหะ ความไม่รู้. ทีนี้ ต้องมีฉันทะตัวอุเบกขา. ฉันทะที่อยากให้เขาไม่ทำอะไรผิดพลาด อยากไม่ให้เขาทำอะไรเสียหาย อยากให้เขาตั้งอยู่ในความถูกต้อง อยากให้เข่าทำสิ่งที่ถูกต้อง อยากให้เขาทำสิ่งที่ดีงาม.

นี้คือตัวฉันทะที่เป็นต้นทางของอุเบกขา. แล้วอุเบกขาจึงหยุด ใช่มั้ย? แต่ก่อนนี้มัน อยากให้เขามีความสุขก็ตามใจ ปล่อยเขา พออุเบกขาบอกว่า เอ้ ถ้าเขาทำยังงี้แล้วมันเสีย ใช่มั้ย? เสียหายกับตัวเข้าเองด้วย อุเบกขา-หยุดเลย. อุเบกขา-หยุดแล้ว ทีนี้ปัญญาก็มา อุเบกขาก็คือตัวตั้งหลัก ตั้งท่าที วางที เฉยดูมั่ง วางทีเตรียมการกระทำ ไม่ใช่ เฉยไม่รู้ดเรื่อง ท่านเรียกว่า อัญญาณุเบกขา เฉยโง่ พระพุทธเจ้าไม่ให้ทำ เฉยโง่-ไม่เอา เฉยมีปัญญาก็คือ เฉยตั้งหลัก พอตั้งหลักทีนี้ปัญญาก็ทำงาน เพราะฉันทะของอุเบกขาก็คือ บอกว่า อยากให้เขาตั้งอยู่ในความถูกต้อง อยากให้ตั้งอยู่ในธรรม.

อย่างผู้พิพากษาต้องมีอุเบกขา อยาก-ให้ทุกคนตั้งอยู่ในความถูกต้อง ไม่ทำอะไรผิดพลาด. เอาละทีนี้ปัญญาก็มาวินิจฉัย ว่า จะผิดจะถูกจะแก้ไขอย่างไร นี่ปัญญามา อุเบกขาต้องคู่กับปัญญาตลอดเวลา. ส่วนไอ้เจ้าเมตตากรุณามุทิตานั้น บางทีไม่ได้ใช้ปัญญาหรอก.

เพราะฉะนั้น ถ้าสังคมไทย ไม่รู้จักอุเบกขา แย่แล้ว. เนี่ยะ จนเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้จักเลย.

ฉันทะ ก็ไม่รู้จัก. ใช่มั้ย?

เรื่องอยู่กับปัจจุบันก็ไม่ชัด.

เพราะฉะนั้น ศึกษาให้มันชัดเจนทุกอย่าง ข้อธรรมะเนี่ยะ ไม่งั้นเดี๋ยวพลาด แล้วเสียหาย.

วันนี้ก็ดเลยมาพูด ไปซะเยอะเหมือนกัน ก็เอาละ นี้เป็นตัวอย่างของวิภัชชชวาท2 การรู้จักแยกแยะ  อันนี้ เอ้อใช่ ในแง่นี้ ไม่ใช่ในแง่นั้น ถูกแง่นี้ อะไรยังงี้อ่ะนะ ต้องแยกแยะเป็น.  

2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97

  ก็เป็นอันว่า เรื่องกาลเวลาก็เข้าใจไม่ยาก แต่เรื่องที่จะต้องเน้นก็คือเรื่องฉันทะ ไม่ว่าชีวิต ชุมชน สังคมของเรา สังคมไทยประเทศไทยเนี่ยะ ต่อไปจะต้องปลูกฝัง พวกเด็กเยาวชนให้มีฉันทะให้ได้ แล้วไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าเด็กมีฉันทะแล้วเนี่ยะ เรื่องของอบายมุข เรื่องของการเสเพล เรื่องของแม้แต่ระยะยาว ทุจริต อะไรต่ออะไรเนี่ยะ มันเบาบางไปเอง มันอยู่ที่ ให้การศึกษาให้ถูกต้อง อะไร ป่านนี้การศึกษายังไม่รู้จักฉันทะ เอ้อ ก็ได้แต่ให้ละตัณหา รอละตัณหาอะไรก็ไม่รู้.

เพราะฉะนั้นต้อง ถึงเวลาควรจะพูดกันย้ำกันซะที นะ ขอให้ปลูกฝังฉันทะให้ได้ เริ่มตั้งแต่ตัวเองเป็นต้นไป แล้วมันมาเลย ศรัทธาก็ เราก็เชื่อสิ่งที่ดีมีเหตุผล พุทธศาสนาบอกไว้ ศรัทธามีปัญญา เพราะว่าศรัทธามันเชื่อสิ่วที่ดี มันก็ทำให้ฉันทะ อยากทำมันมาเลย อยากทำดี มันก็สำเร็จ นั่นแหละ แล้วปัญญาก็คู่ไป มันก็จะบอก จะปรับแก้จะทำให้ก้าวหน้าต่อไปได้ นี่แหละทาวงที่จะสำเร็จด้วยดี

เพราะฉะนั้น เราทำความเข้าใจเรื่องธรรมะให้มันถูก การศึกษาจะไปไม่ได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ใช่มั้ย? สัมมาทิฏฐิ ความเข้าใจ ความรู้ ธรรมะ-ไม่รู้แล้วมันก็ เฉไฉไปหมด ถึงจะตุ้งใจทำยังไง มันก็ไม่ถูก.

วันนี้น่าจะพอ. พูดเยอะแล้ว. ก็เอาละ อนุโมทนา ก็เลยเป็นตัวอย่างของเรื่อง วิภัชชวาท ไม่รู้ตั้งใจพูดอะไรไว้อีก เอาแค่นี้ก็แล้วกัน ไหน เอาๆ สมองมันชักจะว้าๆและ ถ้าจะพูดกับพระใหม่ได้ ขอพูดน้อยหน่อยละ อ้างพระใหม่ ก็ถือว่าพูดไปแล้วนี่แหละนะ

https://youtu.be/VKZjTwvbJuI?si=iqL1m7CzGu0w7rhM   

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2567

เหมา เจ๋อตง - ความคิดที่ถูกต้องของคนเรา มาจากไหน?

 เหมา เจ๋อตง - ความคิดที่ถูกต้องของคนเรา มาจากไหน? (พฤษภาคม 1963)

หมายเหตุ:

          เรื่องนี้เป็นตอนหนึ่งใน “มติของศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนเกี่ยวกับปัญหาบางประการในงานชนบทปัจจุบัน” (ฉบับร่าง). ร่างมตินี้ได้ร่างขึ้นภายใต้การนำอำนวยการของสหายเหมาเจ๋อตง ข้อความตอนนี้สหายเหมาเจ๋อตงเป็นผู้เขียน.

 

         ความคิดที่ถูกต้องของคนเรามาจากไหน? หล่นลงมาจากบนฟ้าหรือ? หามิได้. มีอยู่แต่ดั้งเดิมในสมองของตนหรือ? หามิได้. ความคิดที่ถูกต้องของคนเราจะได้มาก็แต่จากการปฏิบัติทางสังคม ก็แต่จากการปฏิบัติทางสังคม 3 อย่าง คือ การต่อสู้ทางการผลิต การต่อสู้ทางชนชั้นและการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เท่านั้น.

         การดำรงอยู่ทางสังคมของคนเรา เป็นสิ่งกำหนดความคิดของคนเรา. เมื่อใดที่ความคิกดอันถูกต้องซึ่งเป็นตัวแทนชนชั้นที่นำหน้าได้เป็นที่ยึดกุมของมวลชน เมื่อนั้นมันก็จะกลายเป็นพลังทางวัตถุที่ดัดแปลงสังคมและดัดแปลงโลก.

         คนเราดำเนินการต่อสู้ชนิดต่างๆ ในการปฏิบัติทางสังคม มีความจัดเจนอันดุดม ทั้งที่สำเร็จและที่ล้มเหลว ปรากฏการณ์อันนับไม่ถ้วนของโลกภายนอกทางภววิสัยได้สะท้อนเข้ามาในสมองของคนเราโดยผ่านอวัยวะสัมผัสทั้ง 5 คือ หู ตา จมูก ลิ้นและกาย เริ่มแรกเป็นความรับรู้ทางรู้สึก.

         เมื่อข้อมูลความรับรู้ทางรู้สึกนี้สะสมมากเข้า ก็จะเกิดการก้าวกระโดด กลายเป็นความรับรู้ทางเหตุผล ซึ่งก็มีความคิด. นี่กระบวนการแห่งการรับรู้กระบวนหนึ่ง นี่ค่อขั้นที่ 1 ขอบงกระบวนการแห่งการรับรู้ทั้งกระบวน ซึ่งก็คือขั้นจากวัตถุทางภววิสัยไปสู่จิตทางอัตวิสัย ขั้นจาการดำรงอยู่ไปสู่ความคิด.

         จิตหรือความคิด (รวมทั้งทฤษฎี นโยบาย โครงการและมาตรการ) ในขณะนี้ได้สะท้อนกฏแห่งโลกภายนอกทางภววิสัยอย่างถูกต้องหรือไม่นั้น ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ยังกำหนดแน่ชัดลงไปไม่ได้ว่าถูกต้องหรือไม่.

         จากนี้ก็มีขั้นที่ 2 ของกระบวนแห่งการรับรู้ คือขั้นจากจิตไปสู่วัตถุ ขั้นจากความคิดไปสู่การดำรงอยู่ ซึ่งก็คือนำเอาความรับรู้ที่ได้มาในขั้นที่ 1 ไปสู่การปฏิบัติทางสังคม ดูว่าทฤษฎี นโยบาย โครงการและมาตรการเหล่านี้สามารถบรรลุผลสำเร็จตามที่คาดหมายไว้ได้หรือไม่.

         กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ที่สำเร็จก็คือสิ่งที่ถูกต้อง ที่ล้มเหลวก็คือสิ่งที่ผิดพลาด โดยเฉพาะการต่อสู้ของมนุษย์ที่กระทำต่อโลกธรรมชาติยิ่งเป็นเช่นนี้.

         โดยการต่อสู้ทางสังคม การที่อิทธิพลที่เป็นตัวแทนชนชั้นที่นำหน้าต้องประสบความพ่ายแพ้บ้างในบางครั้งนั้น หาใช่เป็นเพราะว่าความคิดไม่ถูกต้องไม่ หากเป็นเพราะในดุลกำลังแห่งการต่อสู้นั้น อิทธิพลฝ่ายนำหน้ายังสู้อิทธิพลฝ่ายปฏิกิริยาไม่ได้เป็นการชั่วคราว ดังนั้น จึงต้องประสบความพ่ายแพ้เป็นการชั่วคราว แต่อย่างไรเสียสักวันหนึ่งข้างหน้าก็จะต้องชนะจนได้.

         ความรับรู้ของคนเราเมื่อได้ผ่านการทดลองจากการปฏิบัติแล้ว ก็จะเกิดการก้าวกระโดดอีกครั้งหนึ่ง การกระโดดครั้งนี้ เมื่อเปรียบกับการก้าวกระโดดครั้งก่อนก็มีความหมายยิ่งใหญ่กว่า. เพราะว่ามีแต่การก้าวกระโดดครั้งนี้เท่านั้นที่จะพิสูจน์ได้ว่า การก้าวกระโดดครั้งแรกของการรับรู้คือ ความคิด ทฤษฎี นโยบาย โครงการและมาตรการที่ได้มาจากกระบวนการแห่งการสะท้อนโลกภายนอกทางภววิสัยเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือผิดพลาดกันแน่ นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีวิธีอื่นใดที่จะตรวจสอบสัจธรรมได้.

         การรับรู้โลกของชนชั้นกรรมาชีพนั้น จุดมุ่งหมายก็เพื่อจะดัดแปลงโลกเท่านั้น หามีจุดมุ่งหมายอื่นใดนอกจากเหนือจากนี้ไม่.

         ความรับรู้ที่ถูกต้องอันหนึ่งๆ มักจำเป็นต้องผ่านการวกไปเวียนมาหลายตลบจากวัตถุไปสู่จิต แล้วจากจิตไปสู่วัตถุ ซึ่งก็คือผ่านจากการปฏิบัติไปสู่ความรับรู้ แล้วจากความรับรู้ไปสู่การปฏิบัติ จึงจะสามารถสำเร็จลุล่วงไปได้. นี่แหละคือทฤษฎีความรับรู้แห่งลัทธิมาร์กซ คือทฤษฎีความรับรู้แห่งวัตถุนิยมวิภาษ.

         เวลานี้ในหมู่สหายของเรา ยังมีคนมากมายไม่เข้าใจเหตุผลของทฤษฎีความรับรู้นี้. เมื่อถามว่าความคิด ความเห็น นโยบาย วิธีการ โครงการ ข้อสรุปปาฐกถาชนิดพูดเป็นคุ้งเป็นแคว บทความอันยาวยืดของเขานั้นได้มาจากไหน พวกเขาก็รู้สึกว่าเป็นปัญหาประหลาด ตอบไม่ถูก. เกี่ยวกับการที่วัตถุกลายเป็นจิตได้และจิตกลายเป็นวัตถุได้ได้อันปรากฏการณ์ก้าวกระโดดที่เห็นกันจำเจในชีวิตประจำวันนั้น พวกเขาก็รู้สึกว่าไม่อาจเข้าใจได้. ดังนั้น จึงควรให้การศึกษาในทางทฤษฎีความรับรู้แห่งวัตถุนิยมวิภาคแก่สหายของเรา เพื่อจะได้ปรับความคิดให้ถูกต้อง  จะได้เกิดความสันทัดในการสำรวจค้นคว้า สรุปความจัดเจนขจัดความยากลำบาก ทำความผิดพลาดน้อยหน่อย ทำงานได้ดี และบากบั่นต่อสู้เพื่อสร้างปกระเทศของเราให้เป็นมหาประเทศอันยิ่งใหญ่แห่งสังคมนิยมและช่วยเหลือประชาชนอันไพศาลที่ถูกกดขี้ขูดรีดทั่วโลก บรรลุหน้าที่อันยิ่งใหญ่แห่งสากลนิยมซึ่งเราพึงแบกรับ.

         (จากหนังสือ “บทนิพนธ์ เหมาเจ๋อตง ว่าด้วยปรัชญาและการใช้ปรัชญา - รับรู้โลกที่เปลี่ยนแปลง” โดย บุญศักดิ์ แสงระวี, หน้า 159 – 161)



วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2567

อลัน วัตต์ - แค่ปล่อยวาง

 อลัน วัตต์ - แค่ปล่อยวาง

Just Let Go - Alan Watts

         https://youtu.be/3YddysvFr1s?si=MiX5LO7IZtt2YK98

 

(ผู้แปล - คำว่า let(ting) go จะแปลว่า “ปล่อย-ไป” ก็ดูยังไงๆอยู่. น่าจะไม่ตรงกับ-แนวความคิด-ที่ท่านอลัน วัตต์ หมายถึง. คือคำว่า “วาง” นี้แปลว่า (กิริยา) 1. ตั้งลงไป, ทอดลงไป 2. กำหนดขึ้น, ตั้งขึ้น. ที่ไม่ใช่การ “ปล่อย” ไปเฉยๆ. “ปล่อย”แปลว่า(กิริยา) ทำให้ออกจากสิ่งที่ติดอยู่, ปลดออก. คือถ้า-ปล่อยไป-เฉยๆ ก็จะเหมือนกับ-ปล่อยทิ้ง. ดังนั้น จึงขอใช้คำว่า-ศิลปะของการปล่อยวาง-ในที่นี้.)

 

          วันนี้ผมยืนต่อหน้าพวกคุณเพื่อที่จะเสาะค้น/วินิจฉัยแนวความคิดหนึ่งซึ่งได้ครอบครอวพลังอำนาจอันกว้างขวาง, กระนั้นบ่อยครั้งก็ยังหลบเลี่ยงการยึดกุมของเรา. ศิลปะของการปล่อยวาง(the Art of Letting Go).


         เพราะว่า, คุณเห็นไหม, การได้ปลีกแยกไปไม่เกี่ยวข้อง/อุเบกขา/สันโดษจากโลก(to be detached from the world)ในความหมายที่ ชาวพุทธทั้งหลายหรือชาวเต๋าทั้งหลายและชาวฮินดูทั้งหลาย มักจะพูดถึงเสมอในเรื่อง การแยกออก/ วางเฉย/ อุเบกขานั้น(in the sense of that Buddhists and Daoists and Hindus will always talk about Detachment), ไม่ได้หมายความที่จะเป็นการไม่มีส่วนร่วม(does not mean to be non-participative).

         คุณสามารถมีชีวิตกามารมณ์อย่างรุ่มรวยและเต็มเปี่ยมมากยิ่งได้(you can have a sexual life, very rich and very full), และกระนั้นก็ยังตลอดเวลาได้ปลีกแยก/ อุเบกขา(and yet all the time be detached).

         ด้วยการนั้น, ผมไม่ได้หมายความว่าคุณแค่ผ่านมันไปอย่างตามกลไก และความคิดทั้งหลายของคุณอยู่ที่อื่น(by that I don’t mean that you just go through it mechanically and your thoughts elsewhere). ผมหมายถึงการมีส่วนร่วมอย่างสมบูรณ์ แต่ยังคงปลีกแยก/อุเบกขา(I mean a complete participation but still detached).

         และความแตกต่างของทั้งสองเจตคติท่าทีนี้ก็คือ(and the difference of the two attitudes is), ในมือหนึ่ง, มีหนทางของการเป็นอยู่ที่ช่างกระตือรือร้นกระวนกระวายเกี่ยวกับความพึงพอใจทางกายภาพเหลือเกิน(on the one hand, there is a way of being so anxious about physical pleasure). ช่างหวาดกลัวเสียเหลือเกินว่าคุณจะไม่ทำมันได้ จนคุณกุมมันไว้อย่างแรงแน่นเกินไป(so afraid that you won’t make it that you grab it too hard). ที่คุณ, คุณจำเป็นต้องได้สิ่งนั้นมา(that you just have to have that thing). และถ้าคุณทำเช่นนั้น คุณก็ได้ทำลายมันไปอย่างสมบูรณ์สิ้น(and if you do that you destroy it completely).  และเช่นนั้นเอง(and therefore), หลังจากทุกๆการพยายามที่จะได้มันแล้ว คุณรู้สึกผิดหวัง(after every attempt to get it you feel disappointed). คุณรู้สึกว่างเปล่า(you feel empty). คุณรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างได้สูญเสียไป(you feel something was lost). และแล้วเช่นนั้นเอง, คุณก็ต้องการมันอีกครั้ง(and then therefore you want it again).

         คุณต้องคอยทำซ้ำทำซ้ำทำซ้ำอยู่เรื่อย ๆไปเพราะว่าคุณไม่มีวันไปถึงจริงๆที่นั้น(you keep repeating, repeating, repeating, repeating because you never really got there). และมันเป็นสิ่งนี้เองที่คือการทำให้วิตกกังวล(that is the hang up). นั่นคืออะไรที่ได้หมายถึง/เจตนาโดยการผูกติด/อุปาทานกับโลกนี้ในสัมผัสรู้สึกชั่วร้าย(that is what is meant by attachment to this world in an evil sense).   

         แต่บนมืออีกด้านหนึ่ง(but on the other hand), ความพึงพอใจในความเต็มเปี่ยมของมันเอง ก็ไม่สามารถถูกประสบรับรู้ได้ถ้าผู้ใดกำลังกุมจับมันอยู่(pleasure in its fullness cannot be experienced when one is grasping it). ผมรู้จักเด็กหญิงเล็กคนหนึ่ง ที่มีใครบางคนให้กระต่ายบันนีเธอตัวหนึ่ง(to whom someone gave a bunny rabbit), เธอมีความสุขมากกับกระต่ายบันนีนั้น และหวาดกลัวอย่างมากที่จะสูญเสียมันกระทั่งเธอเอามันกลับบ้านไปในรถยนต์(she so delight with a bunny rabbit and so afraid of losing it that take it home in the car). เธอกอดรัดมันจนตายด้วยความรัก(she squeezed it to death with love). และพ่อแม่มากมายทำเช่นนั้นกับลูกๆของพวกเขา(and lots of parents do that to their children),

และคู่รักมากมายทำมันซึ่งกันและกัน(and lots of spouses do it to each other). พวกเขากอดรัดแรงแน่นไว้มากเกินไป(they hold on too hard). และแล้วก็เอาชีวิตนั้นไปจากสิ่งที่อนิจจังงดงามบอบบางที่ชีวิตเป็นนี้(an so take the life out of this transient beautifully fragile thing that life is). เพื่อจะได้มัน(to have it).

เพื่อที่จะได้ชีวิต(to have life), และที่จะได้ความพึงใจของมัน คุณต้องในเวลาเดียวกัน ปล่อยวางมันไป(and to have its pleasure you must at the same time let go of it).

และแล้วคุณก็จะสามารถรู้สึกอิสระอย่างสมบูรณ์ได้(and then you can feel perfectly free), ที่จะมีความพึงใจนั้นในหนทางเลียปาก, อยางกล้าหาญ, คิกคัก, โลกียวิสัย (to have that pleasure in the most gutsy, rolicking, earthy, lip-licking way), การเป็นอยู่ทั้งปวงของผู้หนึ่งผู้ใดทั้งหลาย ยึดครองโดยอะไรชนิดที่เป็นระลอกคลื่น, กระเพื่อม, กระตุก(ones whole being take over by a kind of undulated, convulsive ripple), ที่เหมือนอย่างยิ่งกับจังหวะชีพจรแห่งชีวิตในตัวมันเอง (which is like the very pulse of life itself).

นี้สามารถบังเกิดได้แต่เพียง ถ้าคุณปล่อยวาง เท่านั้น(this can happen only if you let go).


         ถ้าคุณกำลังตั้งใจจะได้ถูกละทิ้ง(if you are willing to be abandoned), มันน่าขบขันที่คำว่า ละทิ้ง เราพูดถึงกับผู้คนที่เร่ร่อนเสเพล ว่าได้ถูกละทิ้ง(it’s funny that word abandon we speak of people who are dissolute as being abandoned).

แต่เราก็สามารถใช้คำว่า “ละทิ้ง/ทอดทิ้ง” ด้วยเช่นกัน เป็นเช่นคุณลักษณะของนักบุญ(we can also use “abandoned” as the characteristic of a saint ). คัมภีร์ทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่โดยบาทหลวงเยซูอิต, ที่เรียกว่า(a great spiritual book by a Jesuit 1father is

1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%95

called)การละทิ้งสู่ เทวาลิขิต(abandoned to Divine Providence2).

         2 https://en.wikipedia.org/wiki/Divine_providence

         มีผู้คนที่เป็นเช่นนั้น ผู้ไม่ได้เป็นห่วงกังวลใจใด(there are people like that who just aren’t hung up). พวกเขาเป็นผู้ยากจนในจิตวิญญาณ(they are poor in poor spirit), นั่นคือที่จะพูดว่า พวกเขาในความเป็นจิตวิญญาณนั้นย่ำแย่ยากจนในสัมผัสรู้สึกที่พวกเขาไม่ได้เกาะเกี่ยวไว้กับทรัพย์สมบัติใดๆ(that is to say that they in spirituality are poor in the sense they don’t cling on to any property). พวกเขาไม่ได้แบกหามภาระทั้งหลายไปทั่ว(they don’t carry burdens around), พวกเขาเป็นอิสระ(they’re free).

         เอาละ, แค่แยกแยะแบบนั้นเอง, ยากจนทางจิตวิญญาณ(just that sort of, spiritual poverty). ที่การปล่อยวางนั่น เป็นค่อนข้างเป็นสำคัญจำเป็น(that let go-ness is quite essential), ในการเพลิดเพลินเจริญใจในความพึงใจประเภทใดทั้งหมด(for the enjoyment of any kind of pleasure at all).


         แล้ว, ความวิตกกังวลของพุทธะตอนวัยหนุ่ม, ปัญหาที่พระองค์ต้องการจะคลี่คลาย, ก็คือ ความทุกข์ของมนุษย์(the concern of Buddha as a young man, the problem he wanted to solve, was the problem of human suffering). และแล้วพระองค์ก็บัญญัติคำสอนของพระองค์ในหนทางที่ง่ายมากที่จะจดจำ(and so he formulated his teaching in a very easy way to remember). คัมภีร์ทั้งหลายของชาวพุทธทั้งหลายทั้งหมดเหล่านั้นเต็มไปด้วยอะไรที่คุณอาจจะเรียกว่ากลอุบายทั้งหลายเพื่อช่วยในการจำ, ลำดับสิ่งทั้งหลายในหนทางที่พวกนั้นง่ายที่จะจดจำ(all those Buddhist scriptures are fill of what you might call mnemonic tricks, numbering things in such a way that they ‘re easy to remember).

         และแล้วพระองค์ก็ได้แสดงเจตจำนง, พระองค์ได้รวบรวมสรุปคำสอนของพระองค์ขึ้นในรูปของอะไรที่ถูกเรียกว่า อริยสัจ 4(and so he purposed, he summed up his teaching in the form of what are called the four noble truths).


         และข้อแรก, ที่เพราะว่ามันเป็นความเป็นห่วงกังวลหลักของพระองค์ คือความสัจจริงเกี่ยวกับ ทุกข์(which because it was his main concern was the truth about Dukha). ทุกข์(Dukha), คือ ความเจ็บปวด(suffering). สิ่งต่อไปที่ตามขึ้นมา(the next thing that comes up).

         ข้อที่สองของอริยสัจ 4(the second of the Noble Truths), คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์, ความเจ็บปวด(is about the cause of suffering). และสิ่งนี้ในภาษาสันสกฤตเรียกว่า ทริษณะ

         2 https://en.wikipedia.org/wiki/Trishna_(Vedic_thought)


(and this in Sanskrit is called “Trishna”2). ทริษณะ, เกี่ยวข้องกับคำของเราได้ว่า “กระหาย(thirst)”. มันบ่อยมากที่จะถูกแปลว่า “กิเลส”, นั่นก็ใช้ได้(it’s very often translated ‘desire’, that will do).บางทีดีกว่าก็คือ “ความอยาก”, ความหลงยึด, ความละโมบ(better perhaps is ‘craving’, clinging, grasping). แม้กระทั่งที่จะใช้คำเชิงจิตวิทยาสมัยใหม่ของเราก็ได้ว่า “ความปิดกั้น(even to use our psychological word ‘blocking’). เมื่อ, ตัวอย่างเช่น ใครบางคนได้


ถูกปิดกั้น แล้วสองจิตสองใจและลังเล และไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี(when for example somebody is blocked and dithers and hesitates and doesn’t know what to do), เขาก็อยู่ในการยึดแน่นที่สุด-อุปาทาน-ตามความหมายของชาวพุทธ(he is in the strictest Buddhist sense attached). เขาได้ถูกทำให้ติดหยุดอยู่(he’s stuck).

แต่ พุทธะ ไม่สามารถถูกทำให้ติดหยุดอยู่ได้(but Buddha can’t be stuck), พระองค์ไม่สามารถถูกทำให้เว้นวรรคได้(he cannot be phased).พระองค์ไหลไปอยู่เสมอ(he always flows), เหมือนดเช่นน้ำที่ไหลอยู่เสมอ(just as water always flows). แม้ว่าคุณจะทำเขื่อนปิดกั้นมัน(even if dam it), แม่น้ำนั้นก็แค่จะคอยยกตัวสูงขึ้นและสูงขึ้นและสูงขึ้นต่อไป จนกระทั่งมันไหลท่วมข้ามเขื่อนนั้น(the river just keeps on  getting higher and higher and higher until it flows over the dam). มันไม่สามารถถูกหยุดยั้งได้(it’s unstoppable).

ทีนี้พุทธะได้ตรัสไว้ว่า แล้วทุกข์ก็มาจากทริษณะ/กิเลส(now Buddha said then Dukha comes from Trishna). พวกคุณทั้งหมดเจ็บปวด เพราะว่าพวกคุณเกาะติดอยู่กับโลก(you all suffer because you cling to the world). คุณไม่ได้จดจำได้ว่า โลกนั้นเป็น อนิจจัง และเป็น อนัตตา(you don’t recognized that the world is Anitya - अनित्य 3/impermanence and Anatta – अनात्मन् 4 /non-self).

3 https://en.wikipedia.org/wiki/Impermanence

4https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2

ดังนั้นแล้ว, จงพยายาม, ถ้าคุณสามารถทำได้, ไม่ที่จะยึดถือเกาะกุม(so try if you can not to grasp).

เอาละ, คุณมองเห็นการตั้งปัญหาท่าทางทันทีนั้นขึ้นมาไหม?(well, do you see that immediately poses a problem?) เพราะว่าศิษย์ผู้ที่ได้เริ่มต้นบทอภิปรายเรื่องนี้กับพุทธะ, แล้วทำความพยายามหลากหลายทั้งหลาย ที่จะละทิ้งความอยาก(because the student who has started this dialogue with the Buddha, then makes various efforts to give up desire), กับสิ่งที่เขาได้ค้นพบอย่างรวดเร็วยิ่งนั้น(upon which he very rapidly discovers), คือ เขาได้กำลังอยากที่จะไม่อยาก(he is desiring not to desire).

แล้วเขาก็นำนั่นกลับไปหาครูนั้น ผู้พูดว่า “ดี, ดี, ดี” (and he takes that back to the teacher who says “well, well, well”). เขาบอกว่า, “แน่นอนสิ, เธอกำลังอยากที่จะไม่อยาก (of course, you are desiring not to desire), และ นั่นแหละ, แน่นอนละ, มากเกินไป(and that’s, of course, excessive). ทั้งหมดที่ฉันต้องการให้เธอทำคือ ละทิ้งความอยากให้มากเท่าที่เท่าที่เธอสามารถทำได้(all I want you to do is give up the desiring as much as you can). อย่าไปต้องการที่จะไปโพ้นเลยจากจุดนั้น ที่เธอสามารถทำได้(don’t want to go beyond the point of which you are capable).

และด้วยเหตุผลนี้เองที่ พุทธศาสนา ถูกเรียกว่า ทางสายกลาง(and for this reason Buddhism is called The Middle Way).

ไม่ใช่แต่เพียงเท่านั้นที่มันเป็นทางสายกลางระหว่างความสุดโต่งทั้งหลายของ การถือสันโดษอย่างเคร่งครัด กับ การเสาะแสวงหาความสุข(not only is it the middle way of the extremes of ascetic discipline and pleasure seeking), แต่มันก็ยังเป็นทางสายกลางด้วยเช่นกันในความหมายละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง(but is also the middle way in a very subtle sense).

ใช่, อย่าอยากที่จะละทิ้งความอยากเกินไปกว่าที่คุณสามาถทำได้(don’t desire to give up more desire than you can).

และถ้าคุณพบว่านั่นคือปัญหาหนึ่ง, จงอย่าอยาก ที่จะได้ผลสำเร็จเต็มที่(and if you find that a problem, don’t desire to be successful), ในการละทิ้งความอยากมากกว่าที่คุณสามารถทำได้(in giving up more desire than you can).

https://youtu.be/3YddysvFr1s?si=LbjDVP0su8XsHMoj