หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2567

คุรุเทพ – มีคำถามใดที่ลึกที่สุดเกี่ยวกับชีวิต ก็มีคำตอบให้

 คุรุเทพ – มีคำถามใดที่ลึกที่สุดเกี่ยวกับชีวิต ก็มีคำตอบให้

Your Deepest Questions About Life Just Got Answered By Gurudev

         https://youtu.be/LFy95x1wIFI?si=9I3sIIhSqCmOpRj-

 


ทำอย่างไรที่จะมีการสนทนาทั้งหลายอย่างมีความหมายเต็มที่(how to have meaningful conversations).

         เหมือนเช่นส่วนมากของการทักทายยินดีทั้งหลายที่เราแลกเปลี่ยนกันในแต่ละวันของชีวิตทุกวันนี้(like most of the pleasantries we exchange on a day today life). พวกเขาเหมือนการทักทายของแอร์ โฮสเตส(they are like air hostess greeting), คุณรู้มั้ย. เมื่อคุณลงจากเครื่องบิน, แอร์ โฮสเตสพูดทักทายส่งท้ายคุณว่า ขอให้พบวันที่ดี(when you get off the plane, air hostess greeting you saying have a nice day), พวกเขาไม่ได้หมายความจริงตามนั้น(they don’t mean it).

         เมื่อใครบางคนนำน้ำถ้วยหนึ่งมาให้คุณ, และคุณพูดว่า, ขอบคุณเป็นอย่างมาก, อย่างมากนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรจริงๆ. แต่ถ้าคุณติดอยู่ที่ในทะเลทรายซาฮารา(if you are caught up in Sahara desert)และใครบางคนเอาน้ำแก้วหนึ่งมาให้คุณ, แล้วเมื่อคุณพูดว่า, ขอบคุณอย่างมาก, อย่างมากนั้นมีความหมายลึก, ไม่ใช่รึ(that so much has depth, isn’t it)?

         คุณรู้มั้ยว่า, เราไม่สามารถถูกเคลื่อนผ่านการมีอยู่ของเราได้ในตอนนั้นผ่านคำพูดของเรา(we can’t be moved through our presence then through our words). การมีอยู่ของเราสูบเอาพลังงานเข้ามาในร่างกายส่วนคำพูดทั้งหลายของเรา(our presence pumping energy into our body words section), แต่ในเวลาส่วนมากเราลืมถึงการมีอยู่นั้น(but most of the time we forget the presence). เราได้ถูกติดจับอยู่แต่แค่ในคำพูดทั้งหลาย(we are caught just in words).

         นี้ก็เหมือนอย่างที่การพูดของแอร์ โฮสเตส, ขอให้พบวันดีๆ(have a nice day). เมื่อคำพูดเดียวกันนี้มาจากย่าทวดของคุณ, หรือใครบางคนที่ใกล้ชิดมากกับคุณ, คุณรู้มั้ยว่ามันมีแรงสั่นสะเทือนตามมากับมันด้วย(it has the vibration along with it), คุณได้สังเกตเห็นมั้ย, คุณจะได้สังเกตเห็นในสิ่งนี้. มันมีความลึก(it has depth), มันมีความหมาย(it has meaning).

         ชีวิตกลายเป็นสิ่งน่าเบื่ออย่างยิ่งถ้าเราต้องมีชีวิตอาศัยอยู่กับระดับผิวเผิน(life becomes so boring if we have to live on the superficial level).     ไฮ, เฮลโล, คุณสบายดีไหม?

         คุณรู้มัย, เราไปและพูดคุยกับผู้คนในโรงพยาบาล(go and talk to people in the hospital), คุณถามพวกเขาว่า, คุณกำลังเป็นอย่างไรบ้าง(how are you doing)แล้วพวกเขาพูดว่า สบายดีมาก(very fine). ถามพวกเขาว่า, ถ้าคุณสบายดีแล้ว คุณมาอยู่ที่นี่ในโรงพยาบาลทำไม(if you are fine why are you here in the hospital)?

         คุณรู้มั้ย, ชีวิตกลายเป็นกิจวัตรแบบเครื่องจักรมากเกินไป(life has  become so routine mechanical), แล้วเหลือทิ้งเวลาไว้ให้เราเพียงเล็กน้อยมากที่จะตรวจสอบเข้าไปถึงความสัจจริง(and leaves very little time for us to probe into the truth), ความเป็นจริงเกี่ยวกับชีวิตตัวมันเอง(the reality about life itself).

อะไรคือความหมายของชีวิต?(what is the meaning of life?)

เราทำอะไรทุกอย่างที่เป็นส่วนประกอบต่อชีวิต(we do everything that is accessory to life), แต่เราไม่ได้กำลังใส่ใจต่อชีวิตในตัวของมันเอง(but we are not attending to life itself), ไม่ใช่รึ?

         เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างมาก, และในวันนี้เมื่อมีมากมายเหลือเกินในความเครียด, ความขึงตึง, ตวามแคลงใจไม่ไว้ใจ และดูสิว่าอะไรได้บังเกิดขึ้นที่ปารีสเมื่อเร็วๆนี้ (and today when there is so much stress, tension, mistrust and see what has happened recently in Paris). ด้วยฉากทัศน์เช่นเดียวกันทั้งหมดนี้, เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญอันเด่นชัดต่อการศึกษาเกี่ยวกับชีวิต(with all this same scenario, we need to give more prominence to education about life), ให้เกียรติยกย่องต่อชีวิต(honoring life), ไม่ใช่รึ? คุณไม่คอดเช่นนั้นกหันหรอกหรือ?

         ตอนนี้ฉันอยากจะถามคุณหนึ่งคำถาม, ที่ฉันตั้งใจทำ, ขอใหคุณทำกระบวนการเล็กๆอันหนึ่ง, คุณพร้อมรึยัง (now I want to ask you a question, I do, ask you to do a small process, are you ready)? ไม่? แค่คุณอายุมากเท่าไหร่แล้วที่คุณรู้, แค่แก้ไขวัยของคุณอีกครั้งให้ถูกต้อง(just think how old are you know, just recollect your age). และเมื่อคุณได้เข้ามายังดาวเคราะห์แห่งนี้, คุณมีน้ำหนักมากเป็นกิโลเท่าไหร่(and when you came into this planet, how much were you weighting for kilos?) 5 กิโล? แล้วตอนนี้คุณมีน้ำหนักมากเท่าไหร่?(and today how much do you weigh?) 50, 60, 70, 80, 90 กิโล? 100 กิโล. ถูกมั้ย?

         นานเท่าไหร่ที่คุณอยู่ที่นี่บนดาวเคราะห์นี้?(how long since you are here on this planet?) 50, 60 ปี. คุณกำลังจะอยู่ที่นี่ไปตลอดหรือ?(are you going to be here forever?) หือ? แผนของคุณคืออะไรรึ?

         คุณเคยได้คิดเกี่ยวกับเรื่องบริหารจัดการเวลาบ้างไหม?(have you ever thought about the time management?) อีก 20 ปี 30 ปี ที่คุณกำลังจะอยู่ที่นี่แต่แล้วอะไรเกิดขึ้น?(you are going to be here but then what happen?) ทั้งหมดแค่นั้น(that’s all).

         คลื่นลูกแล้วลูกเล่า 50 ปีก่อน 60 ปีก่อนล่วงมาแล้ว(wavy, wavy 50 years, 60 years ago), เหล่านี้คือโลกใบนี้ได้อยู่ที่นี่, ดวงอาทิตย์อยู่ตรงนั้น, ดวงจันทร์อยู่ตรงโน้น(these are this earth was here, the sun was there, the moon was there).

         และโลกทั้งปวงใบนี้ได้อยู่ที่นี่อย่างที่มันเป็นในทุกวันนี้(this whole planet was here as it is today).

         และมันกำลังที่จะอยู่ที่นั่นในอนาคต, เช่นกันว่าคุณจะอยู่ที่ไหนล่ะ?(it’s going to be in the future, also where will you be?) ฉันได้เคยอยู่ที่ไหน?(where I was?) ฉันจะอยู่ที่ไหน?(where will I be?)

         คำถามนี้จำเป็นต้องเกิดขึ้นในจิตใจของเรา(this question has to rise in our mind).

         แล้วมันก็ให้มิติที่ใหญ่โตกว่าต่อการมีชีวิตอยู่ของเรา(then it gives a bigger dimension to our living).

         ลืมไปให้ทั้งหมดเลยเกี่ยวกับเรื่องที่ได้จากการอ่านคัมภีร์ทั้งหลายมาของคุณจากที่นี่ที่โน่น(forget about all that your reading scriptures are here and there). เรามาเก็บมันวางไว้ที่ด้านหนึ่ง. สวรรค์และนรกและอะไรทั้งหมดนั่น(heaven, hell and all that).

เรามาถามตนเองในกิริยาสัตย์ซื่ออย่างง่ายๆว่า, (let us simply in an honest manner ask yourself), ฉันคือใคร?(who am I?) ฉันได้มาจากที่ไหน?(where I come from?) ฉันจะไปอยู่ที่ไหนหลังจากนี้สองสามปี?(where I will be after a few years?)

ฉันจะกำลังไม่วิจารณ์ทบทวนคำตอบ(I’m going to review answer). และอันที่จริงแล้วคุณก็ไม่ควรไปเอาคำตอบจากใครคนใด(and in fact you should not take answer from anybody). แต่เรากำลังถามคำถามนี้ต่อตัวเราเอง, คุณรู้มั้ย(but we asking this question to ourselves, you know)? ปลุกไฟขึ้นมาให้กับระดับของการตื่นรู้/สัมปชัญญะที่เราทั้งหมดต่างมีครอบครอง(kindles a level of awareness that we all possess).

เราทั้งหมดมีสิ่งนั้น(we all have that). มันช่วยให้เราได้ตระหนักรู้ถึงความลึกของจิตสำนึกนั้น, ที่ปรากฏมีอยู่ในแต่ละคนและทุกคนของเรา(it makes us that depth of consciousness, that’s present in each and every one of us). และฉันบอกกับคุณว่าการเดินทางอันน่าหลงใหลเริ่มต้นขึ้นที่นี่(and I tell you the fascinating journey begins here). เมื่อเรามองเลยโพ้นไปจากที่เราคิดว่าเราเป็น, เรารู้(when we see beyond that we think we are, we know).

คุณทั้งหมดยังคงอยู่ที่นี่ไหม? คุณรู้มั้ย, นักจิตวิทยาทั้งหลายบอกว่า, ถ้าคุณนั่งและฟังอยู่กับการพูดคุยหนึ่งเป็นเวลา 10 นาที, อันที่จริงแล้วคุณกำลังฟังอยู่แค่ 3 นาทีเท่านั้นเอง(actually you are listening only 3 minutes). เวลาที่เหลือ, เวลานอกจากนั้นจิตของเราออกไปหากาแฟคาปุชชิโน(rest of the time our mind goes out for a cappuccino). เราออกไปเดินเล่น.

ขณะที่ฉันกำลังพูดอยู่, ในจิตใจของคุณ คุณกำลังพูดว่า ใช่, ไม่ใช่, ใช่, ไม่ใช่. คุณได้กำลังระแวดระวังถึงว่าอะไรกำลังบังเกิดขึ้นอยู่ไหม?(are you aware what is happening?) ไม่ว้าเราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยเป็นสิ่งไม่สำคัญ, อะไรที่เรากำลังระแวดระวังถึงอะไรที่เรากำลังพูดอยู่ในจิตของเราต่างหาก ที่เป็นสาระสำคัญ(whether we agree or disagree is immaterial, what we be being aware of what we are saying in our mind, makes a lot of sense).

3 ระดับของความรู้ -ประสาทสัมผัส, สติปัญญา, สหัชญาณ/การรู้โดยสัญชาตญาณ

(3 levels of knowledge – senses, intellect, intuition)

ดังนั้น 3 ระดับของความรู้(the 3 levels of knowledge), หนึ่งนั้นความรู้ที่เราได้รับผ่านสัมผัสรู้สึกของเรา(one is the knowledge that we gain through our senses), ผ่านการได้ยิน(through hearing), การเห็น(through seeing), ผ่านการได้กลิ่น(through smelling), ผ่านการรับรส(through taste), ผ่านการสัมผัสและการอ่าน(through touch and reading). ผ่านประสาทรับรู้/อายตนะ, การรับรู้จากประสาทสัมผัส (through the sense, sensory perception).

แต่มีหนึ่งระดับ, หนึ่งรอยช่องหยักที่สูงกว่าอันนี้(but there is one level one notch higher than this). ความรู้นั้นก็คือที่ผ่านสติปัญญา(the knowledge is that through intellectual), ผ่านการสรุป, ผ่านความเข้าใจ(through conclusion, through understanding). สิ่งนี้สูงสุดยอดกว่าความรู้ที่ได้รับจากประสาทสัมผัสรู้สึก/อายตนะทั้งหลาย(this is superior to the knowledge gained by the senses). ถูกต้องมั้ย?(correct?) เรามองเห็นดวงอาทิตย์รุ่งขึ้นและดวงอาทิตย์อัสดงลงไป, แต่เราก็รู้ว่าดวงอาทิตย์ไม่ได้รุ่งขึ้นมาหรือว่าตกลงลับไป(we see the sun rising, sun setting, but we know sun is neither rising nor setting). ความรู้นี้คือความรู้สติปัญญา(this knowledge is an intellectual knowledge).

แต่มีรอยช่องหยักที่สูงกว่านั้น, นั่นคือความรู้สหัชญาณ/ความรู้โดยสัญชาตญาณ(but there is one notch higher than that, that is intuitive knowledge).

หนึ่งนั้นคือรู้ด้วยประสาทสัมผัสรู้สึก(one is perception), อีกหนึ่งนั้นด้วยความมีเหตุผล(another is reasoning). อะไรบางอย่างที่โพ้นเลยไปกว่าความมีเหตุผลก็คือความรู้สหัชญาณ(something beyond reasoning is an intuitive knowledge).

ผมบอกกับคุณว่าเราทั้งหมดต่างได้ถูกมอบด้วยของขวัญนี้ในระดับหนึ่ง(I tell you we have all been gifted with this to some extent). มากมายหลายครั้งที่เราไม่ได้พัฒนามัน(many times we have not de3veloped it). กับพวกเราหลายคนมันแค่ปล่อยไปไม่โดยได้ใช้ประโยชน์(for many of us it just goes unutilized).

คุณอาจจะได้เคยมีความรู้สึกถึงลางสังหรณ์นี้(you might have had this gut feeling), ในบางครั้งคุณอาจจะได้อารมณ์รู้สึกสังหรณ์นี้, ทั้งหมดของมันต่อต้านตรรกะ/เหตุผลทั้งหมด, (sometimes you get this gut feeling, all it defying all logic), คุณกระทำบางอย่างไปความรู้สึกสังหรณ์ใจนี้ และคุณก็พบว่ามันกำลังจะเป็นเช่นนั้น(you take action with your gut feeling and you find it’s going to be it). พบว่ามันจะเป็นสิ่งถูกต้อง. ไม่ได้เคยบังเกิดขึ้นกับคุณหรือกหรือ?(find it to be the right thing hasn’t has happen to you?)

มีมากกี่รายที่ได้เคยบังเกิดขึ้นเช่นนี้? กรุณาชูมือของคุณขึ้น. ชูมือของคุณขึ้น(raise your hand). บางครั้งหรือเวลาใดเวลาหนึ่งในชีวิตของคุณสิ่งนี้ได้บังเกิดขึ้นกับคุณ(sometime or other in your life this has happened to you). นั่นคืออะไรหรือ?(what is that?) นั่นคืออะไรหรือ บางอย่างที่บอกกับคุณว่ามีระดับบางอย่างอื่นของความรับรู้ของประสาทสัมผัส(what is that something  that tells you there is some other level of perception).

ถ้าคุณเข้าไปในประวัติศาสตร์ เรากำลังไปที่มานุษยวิทยา(if you go into the history we’re going to anthropology), หรือก็เป็นที่ช่างประหลาดใจ, ช่างน่าตกยิ่งนักที่เห็นระดับความรู้นี้ ว่ามีอยู่ผ่านประวัติศาสตร์มาโดยตลอด(or be so surprised so shocked to see this level of knowledge was available throughout history).

ห้าพันปีก่อนเมื่อยังไม่มีกล้องโทรทรรศน์ทั้งหลาย, ไม่มีเครื่องมือใหญ่โต, ผู้คนได้พูดกันไว้ว่าดาวพฤหัสได้มีดวงจันทร์อยู่ 12 ดวง(five thousand years ago when there were no telescopes, no big instruments available, people had said that Jupiter has twelve moons). พวกเขาคำนวณเช่นนี้กันได้อย่างไรหรือ?(how did they calculate this?)

ในยุคคัมภีร์พระเวท(in Vedic time), พวกเขาได้บอกไว้ว่า สสารมืด(black matter)และพลังงานมืด(black energy)ทั้งหมดทำงานปกปิดร่วมกันและกัน(all covered work by with each other). เมเสตะ มหาภารตะ, ความมืดนั้นได้กำลังปกคลุมคสวามมืดอยู่ในตอนเริ่มต้น(the meseta Mahabharata, the darkness was covering darkness in the beginning), พวกเขารู้ถึงสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน?(how did they know this?) อะไรที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายพูดกันอยู่ในทุกวันนี้?(what the scientists say today). พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าดวงอาทิตย์นั้นอยู่ตรงศูนย์กลาง และบรรดาดาวเคราะห์อื่นๆทั้งหมดนั้นอยู่รอบๆ(how did they know that Sun is in the center and all the other planets all are around).

ถ้าคุณไปยังวิหารฮินดูที่ใดสักแห่ง คุณก็จะพบดาวเคราะห์อยู่ 9 ดวง, มีที่หนึ่งสำหรับดาวเคราะห์อยู่ 9 ดวง และพวกเขาเอาดวงอาทิตย์ไว้อยู่ที่ตรงกลางนั้น(if you go to any Hindu temple you will find the nine planets, there is a place for nine planets and they put Sun in the middle). และพวกเขาก็เอาดาวเคราะห์อื่นๆทั้งหมดนั้นรายรอบมัน(and they put all other planets all around it). ผู้คนเหล่านี้รู้สิ่งนี้ได้อย่างไรกันมานานแล้วขนาดนั้น?(how did people know this that long ago?)

จะสำแดงประจักษ์ได้อย่างไรผ่านสัมผัสที่หก(how to manifest through sixth sense)

         นี้คือความรู้ที่ว่านั้นที่มาจากส่วนลึกภายใน, และฉันบอกกับคุณว่า เราหรือเราทั้งหมดได้มีครอบครองสัมผัสที่หกนั่นกัน(this is that knowledge, that comes from a deep within and I tell you we or we all possess this sixth sense), และคุณได้ประโยชน์อย่างไรกับสิ่งนั้น(how do you benefit that), และคุณคุณทำมันให้บังเกิดขึ้นได้อย่างไรในชีวิตวันต่อวันของคุณนี้(how do you make it happen in your day-to-day life), กระบวนการนั้นเรียกว่า การปฏิบัติสมาธิ(that process is called meditation).

อะไรคือ การปฏิบัติสมาธิ?(what is meditation?)

         การปฏิบัติสมาธิเรามักเข้าใจว่าสิ่งนี้คือการตั้งอกตั้งใจ เพ่งรวมจุดจิตของคุณ(meditation often we understand this means concentration focus your mind), บังคับจิตของคุณไม่ทำให้มันไปนี่ไปนั่น(force your mind don’t make it go here and there). ไม่ใช่หรอก.

         มันเป็นรกระบวนการเรียบง่ายของการผ่อนคลาย(it’s a simple process of relaxation), การผ่อนคลายอย่างลึกที่เชื่อมติดต่อคุณเข้ากับตัวตนที่แท้จริงของคุณ(a deep relaxation which connects you to your true self), รูปลักษณ์ด้านในสุดของคุณ(your innermost aspect), ที่ว่างซึ่งได้ถูกเต็มไปด้วยความรู้(the space that is filled with knowledge).

         คุณยังคงอยู่ที่นี่กันใช่ไหม?

ฉันคือใคร?(who am I?)

ดังนั้น, ในทุกๆวันเราต้องถามคำถามหนึ่ง(so every day we must asak a question) ฉันคือใคร?(who am I?)

ฉันคือร่างกายของฉัน, ความคิดทั้งหลายของฉัน, อารมณ์รู้สึกทั้งหลายของฉัน, แนวความคิดทั้งหมดที่สว่า ฉันคิด นั่นเองก็คือฉัน?(am I my body, my thoughts, my emotions, all the concept I think that I am?) หรือว่าฉันเป็นอะไรที่มากยิ่งไปกว่านี้(or  am  I as something more than this?)

คุณจะพบว่ามีอะไรบางอย่างในตัวเราที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยที่ผ่านมา(you will find that there is something in us which has not change throughout). มีบางอย่างในเราที่เป็นจุดอ้างอิงของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด(there’s something in us which has been the reference point of all changes).

ฉันไม่คิดว่ามีคนหนึ่งในโถงประชุมนี้จะพูดได้ว่า ไม่มีอะไรได้เปลี่ยนแปลงไปในตัวของฉันเลย(I don‘t think there is one person in this hall would say that nothing has changed in me). คุณน่าจะพูดเสมอได้ว่า ความคิดทั้งหล่ายของคุณกำลังเปลี่ยนแปลงไป(you would always say your thoughts are changing), เป็นเช่นการเปลี่ยนแปลงที่อัปลักษณ์(as an ugly changing). เย้? อารมณ์รู้สึกทั้งหลายของคุณกำลังเปลี่ยนแปลง(your emotions are changing). ความชอบทั้งหลายของคุณกำลังเปลี่ยนแปลง(your likes are changing), ความไม่ชอบกำลังเปลี่ยนแปลง(dislikes are changing). สิ่งทั้งหลายมากมายเกี่ยวกับชีวิตกำลังเปลี่ยนแปลง(many things about life are changing). ร่างกายของเรากำลังเปลี่ยนแปลง(our body is changing), ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ร่างกายก็กำลังเปลี่ยนแปลง(if nothing changes the body is changing).

ดังนั้นเมื่อทุกอย่างที่รายรอบคุณกำลังเปลี่ยนแปลง(so when everything around you is changing). คุณสามารถที่จะจดจำได้ไหม ว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ได้กำลังเปลี่ยนแปลง?(are you able to recognize there is something that is not changing?) เย้?

มันไม่ชัดเจนว่ามันคืออะไร(it’s not clear what it is). จิตสำนึกคืออะไรบางอย่างข้างในคุณ(consciousness is something inside you), คุณไม่รู้ว่ามันคืออะไร(you don’t know what it is). เราไม่สามารถเอานิ้วของเราชี้ลงไปแล้วบอกว่า นี่คืออะไรที่มันไม่ได้กำลังเปลี่ยนแปลง(we cannot put our finger and say this is what it is not changing).

แต่มันมีอะไรบางอย่างในตัวคุณที่ไม่ได้กำลังเปลี่ยนแปลง(but it is something in us which is not changing). ที่เป็นจุดอ้างอิงของบรรดาการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด(that is the reference point of all change).  เพราะเช่นนี้เองที่เราจึงสามารถสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายได้(because of which we are even able to notice the changes). นั่นคือที่กำลังบังเกิดขึ้นในชีวิตของเรา(that’s happening in our life).

ทีนี้ลั่นดาลอยู่กับที่แกนข้างในของการดำรงอยู่ของเรา(now latching on to that inner core of our existence). นั่นคือการปฏิบัติสมาธิ(that is meditation).

และนั่นคือสหัชญาณ/การรู้โดยสัญชาตญาณ(and that is intuition). นั่นคือนวัตกรรม(that is the innovation). นั่นคือแหล่งกำเนิดของความสร้างสรรค์(that is the source of creativity).

ทีนี้, ไม่ว่าคุณกำลังทำอะไรก็ตาม(now whatever you are doing). คุณอาจจะเป็นนักธุรกิจ, คุณอาจจะเป็นวิศวกร, คุณอาจจะเป็นผู้มีวิชาชีพ, ศาสตราจารย์, คุณอาจจะเป็นแพทย์, ไม่ว่าอะไรก็ตาม you may be a businessman, you may be an engineer, you may be a professional, professor, you may be a doctor, whatever it is), ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เรากำลังทำอยู่(whatever we are doing), คุณจำเป็นต้องการสหัชญาณ(you need intuition), คุณจำเป็นต้อวงการนสวัตกรรม(you need innovation).

คุณจำเป็นต้องการพลังงาน(you need energy). เราได้พลังงานมาจากที่ไหนหรือ?(where do we get energy from?)  ลั่นดาลอยู่กับอะไรบางอย่างนั่น ที่ไม่ได้กำลังเปลี่ยนแปลงในตัวเราแต่อย่างใดเลย(latching on to that something which is not changing in us at all).

 

อะไรบังเกิดขึ้นในณะที่ฉันนอนหลับ?(what happens when I sleep?)

         อะไรที่เราทำอยู่ในทุกวัน(what do we do every day), คุณจะชนหมอน, คุณจะหมดสติไปสักหกชั่วโมง(you will hit the pillow, you are knocked off for six hours), หรือแปดชั่วโมง, เราเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ? หกหรือแปดชั่วโมงคุณที่คุณหายไป, คุณไปอยู่ที่ไหนหรือ? คุณไปทำอะไรอยู่? เราสามารถเข้าใจถึงการนอนเคยได้มาพบกับเราบ้างไหม? คุณได้พบการนอนหลับของคุณไหม? เราไม่เคยได้พบเจอกับการนอนหลับของเราเลย(we have never met our sleep). เราได้นอนหลับจริงๆ และ(we do sleep). และเมื่อเราที่เมื่อเราใส่ใจต่อรูปการนั้น(and when we are when we attend to that aspect), เราก็รู้ว่า, โอ้, เราได้เข้าไปในแก่นแกนอย่างไม่รู้สึกตัวในการนอนหลับ(we get into the core unconsciously in sleep), นั่นคือทำไมว่าเมื่อเราออกมาจากการหลับ เรารู้สึกกระฉับกระเฉง(that’s why when we come out we feel energetic).

         ความลับของการนอนหลับก็คือ, มันเติมพลังงานให้กับคุณ(it energizes you). แลละพลังงานนั้นมาจากแกนที่สุด, จุดศูนย์กลางที่สุด(and energy comes from the very core, very center). มันให้คุณได้พักผ่อนอย่างลึก(it gives you deep rest). การปฏิบัติสมาธิคือการเชื่อมต่อจิตสำนึกกับแก่นแกนนั้น(meditation is a conscious connection with the core).

         นอนหลับคือการเชื่อมต่อไร้จิตสำนึกกับแก่นแกนนี้(sleep is an unconscious connection with the core). นั่นคือทำไมฤษีในสมัยโบราณทั้งหลายของอินเดียเมื่อพวกเขาอธิบายสมาธิว่าคือการปฏิบัติทางจิต เหมือนกับการนอนหลับ(that is why the ancient seers of India when they described Samadhi are mediation, they said it like sleep), ไม่ใช่นอนหลับแต่เหมือนนอนหลับ(not sleep but like sleep). เพราะว่านอนหลับคุณไม่จำเป้นต้องใช้ความมานะพยายามดังเช่นการปฏิบัติสมาธิทวนการนอนหลับอีกครั้ง(for sleep you don’t need to make an effort as meditation replay sleep).

         ในขั้นตอนภายหลังเมื่อคุณมีความเชี่ยวชาญจริงๆในการปฏิบัติสมาธิ(late stages when you are really proficiently in meditation), แล้วคุณก็ไม่ต้องการนอนหลับมากนัก(then you don’t require much sleep). แต่ฉันจะไม่แนะนำนั่นสำหรับคุณ(but I wouldn’t recommend that for you), คุณควรจะนอนหลับและการนอนหลับมีคุณภาพของตัวมันเองของการพักผ่อนที่ร่างกายจำเป็นต้องการ(you should sleep and sleep has its own quality of rest that the body requires).

         ในการนอนหลับ, กระบวนการเมตาโบลิซึ่มขึ้นไปสูง(in sleep, the metabolism1 goes up

         1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%8B%E0%B8%B6%E0%B8%A1

และนั่นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกายนี้(and that is necessary for the body). ในการปฏิบัติสมาธิคุณได้พักผ่อนจริงๆ, แต่กระบวนการเมตาโบลิซึ่มลงไปต่ำ(in the meditation you do get rest but the metabolism goes down). ดังนั้นมันจึงมีความแตกต่างในคุณภาพทั้งหลายเพียงเล็กน้อยในที่นั้น(so it’s a little different qualities there). แต่อย่างแน่นอนก็คือมันมีอยู่ที่นั้น, พวกเขาเสริมประกอบซึ่งกันและกัน(but definitely there are they are complement each other).

         ถ้าคุณได้การนอนหลับที่ดี, การปฏิบัติสมาธิก็จะลึกยิ่งขึ้นและดียิ่งขึ้น(if you have good sleep, meditation is deeper and nicer). และถ้าคุณมีการปฏิบัติสมาธิที่ดี, คุณก็มีการนอนหลับที่ดีด้วยเช่นกัน(an d if you have good meditation, you have a good sleep also). อาจเป็นอย่างสั้นในบางครั้ง.

         ถ้าคุณได้ปฏิบัติสมาธิในทุกวัน, สองครั้งต่อวัน, ตอนเช้าและตอนเย็น(if you meditate every day, twice a day, morning evening). ในตอนเริ่มต้นคุณสามารถทำได้, ฉันได้ทำCDมากมาย. คุณสามารถเอาCDทั้งหลายนั้นไป, ให้CDทั้งหลายนั้นช่วยเหลือในการปฏิบัติสมาธิ. หลังจากนั้นคุณก็ไม่ต้องใช้การช่วยนำทางใดอีก(later on you don’t require any guidance). และเขาก็พูดว่า, มันเป็นแค่คุณนั่งลงและแค่ผ่อนคลายลง(it you just sit and relax), ปล่อยวาง(let go, แล้วคุณก็จมลงสู่ระดับที่ลึกยิ่งขึ้น หรือลุกตื่นสูงยิ่งขึ้นสู่อย่างไรก็ตาม, อะไรก็ตามที่คุณต้องการที่จะพูด(and you sink to deeper level or riser to however, whatever you want to say). เย้? และนั่นจะคอยทำให้รอยิ้มอันงดงามอยู่กับคุณซึ่งแก้(ที่ผูกมัดอยู่คลาย)ออก(and that will keep a beautiful smile on you which is untie).

เย้. นั่นคืออะไรที่คือคำตอบต่อ(คำถามที่ว่า) ฉันคือใคร? ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่?(why am I here?)

 

ทำไมฉันมาอยู่ที่?(why am I here?)

         คำตอบสำหรับคำถามที่ว่า ฉันคือใคร?(who am I?) ใครก็ตามที่รู้จะไม่บอกกับคุณ

(anyone who knows will not tell you). และถ้ามีใครบางคนกำลังพยายามที่จะบอกกับคุณ, คุณอาจจะรู้ได้เลยว่าพวกเขาไม่ได้รู้ถึงมัน(and if someone is attempting to tell you, you may just know that they don’t know it).

         ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่, คำถามนี้ด้วยเช่นกัน(why are you here this question also). คำถามยิ่งยวดนี้ที่ว่าฉันเป็นใคร?(this very question Who am I?) ทำไมฉันมาอยู่ที่?(Why am I here?) คำถามทั้งสองนี้เป็นเหมือนยานพาหนะสำหรับคุณ, สำหรับการเดินทางของคุณ(these two questions are like the vehicle for you, for your journey). และใครบางคนที่รู้จะไม่สามารถปล้นเอายานพาหนะนี้ของคุณได้, นั่นคือที่คุณต้องได้มัน, นั่นคือการเดินทาง(and someone who know will not rob you of your vehicle, that you have to get it, that’s the whole journey). คุณต้องถามว่า อะไรคือเจตจำนงของชีวิตฉัน(you have to ask what’s the purpose of my life). ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่? ใช่ไหม?

         อะไรคือเจตจำนงของชีวิตนี้?(what Is the purpose of this life?) นี้คือคำถามอย่างยิ่งยวดซึ่งฉันบอกกับคุณเป็นคำถามที่ล้ำค่ายิ่งนัก(this very question I tell you is precious question). และอย่าพยายามที่จะค้นหาคำตอบง่ายๆสำหรับมัน(don’t try to finds an easy answer for it). เย้?

         เมื่อคุณได้ปฏิบัติสมาธิคุณได้คำตอบนั่นว่า, คุณต้องได้มนัมาจากข้างใน (when you meditate you get the answer is that, you have to get it from inside). เย้?

ผู้ฟัง:   ท่านคุรุจี(Guruji), ทางนี้ครับ.

คุรุเทพ:   ฉันสามารถพูดได้อีกอย่างหนึ่ง, คุณสามารถมองเห็นอะไรที่คุณไม่ได้มาที่นี่เพื่อมัน. เรื่องนี้คุณสามารถทำรายการทั้งปวงนั้นออกมาเลยได้. ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อเป็นทุกข์ และทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์(I am NOT here to be miserable and make other miserable). ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อแค่กิน, นอนหลับ และตีกลองทั้งหลายนั้น(I am NOT here just eat, sleep and beat the drums). ฉันมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อ นี่, นี่, นี่, นี่, นี่, นี่ ทั้งหลายเหล่านี้.

         แต่เพื่ออะไรที่คุณมายังที่นี่นั้น คุณจะต้องได้มาจากข้างใน(but what you are here for that you will get from inside). เย้? เข้าใจมั้ย?

 

อะไรคือเวลาที่ดีที่สุดในการปฏิบัติสมาธิ?(what is the best time to meditate?)

ผู้ฟัง:   ท่านคุรุจี, อะไรที่เป็นอยู่ในยุโรป? และเวลาที่จะปฏิบัติสมาธิ, ในตอนกลางคืน หรือในตอนเช้าดี?(what is in Europe? and the best time to meditate at night or in the morning?) และควรจะหลับตาหรือว่าลืมตาอยู่?(and should you keep your eyes shut or open?)

คุรุจี:   เวลาที่ดีที่สุดที่จะปฏิบัติสมาธิคือก่อนมื้ออาหารทั้งหลาย(the best time to meditate is before meals), เป็นสองถึงสามชั่วโมงหลังมื้ออาหารทั้งหลาย(are two to three hour after meals). เห็นมั้ย? เมื่อคุณกินอาหาร, เมตาโบลิซึ่มของคุณไปสูงขึ้น, เมื่อคุณปฏิบัติสมาธิ เมตาโบลิซึ่มของคุณต่ำลงไป(when you eat food, your metabolism goes up, in meditation your metabolism comes down). ทีนี้, ในทันทีทันใดหลังอาหาร ถ้าคุณนั่งปฏิบัติสมาธิ, อะไรจะบังเกิดขึ้น?(now, immediately after food if you sit for meditation, what will happen?)

         ไม่คุณจะได้อยู่ในการย่อยอาหาร หรือก็คุณจะไม่สามารถที่จะปฏิบัติสมาธิได้(either you will have in digestion or you will not able to meditate). คุณก็จะง่วงนอน(you will go to sleep). ดังนั้น, การปฏิบัติสมาธิควรมาก่อนมื้ออาหารทั้งหลาย(meditation should precede meals). หมายเลขหนึ่ง(number one).

         อย่างที่สอง, คือในเวลาตอนเช้าเมื่อใดก็ตามมันไม่ได้จำเป็นที่จะต้องตื่นขึ้นมาตอนตี 4 และปฏิบัติสมาธิ, เมื่อใดที่คุณตี่นขึ้นมา คุณสามารถนั่งที่บนเตียงของคุณตามใจชอบ(whenever you wake up you can sit on your bed it’s up)หรือว่าคุณสามารถล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นและอาบน้ำแล้วมานั่ง(or you can freshen up and take shower and then sit).

         คุณสามารถปฏิบัติสมาธิในตอนเช้า, ตอนบ่าย ก็ดีเช่นกันทั้งนั้นแค่ก่อนมื้ออาหารทั้งหลาย(you can meditate morning, afternoon is also good just before meals). โดยปกติแล้วฉันแนะนำแก่บริษัททั้งหลายทั้งหมดและพนักงานที่ทำงานกับบริษัททั้งหลายนั้น, ในสำนักงานทั้งหลายนั้น(usually I  recommend for all companies and workers in  the companies and in offices). M&Mไม่ใช่ลูกอม/ท้อฟฟี่ที่คุณทาน, แต่ M&M คือ มื้ออาหารทั้งหลายและการปฏิบัติสมาธิด้วยกัน (is meals and meditation together). ผู้คนนั่งลงและปฏิบัติสมาธิ แล้วพวกเขาแบ่งปันมื้ออาหารของพวกเขาด้วยกัน(people sit and meditate and they share their meals together). ความรู้สึกทั้งหลายนั้นช่างกระปรี้กระเปร่ามากเหลือเกินไปจนถึงตอนเย็น, และพวกเขารู้สึกใหม่สดชื่นในตอนที่พวกเขาออกจากสำนักงานของพวกเขา เหมือนดังเช่นที่พวกเขาได้มาที่สำนักงานในตอนเช้า(the feels so energetic till evening, and they feel as fresh when they leave their office as they came into the office). เย้?

 

กรรมมีอยู่หรือไม่? การกลับชาติมาเกิดใหม่มีอยู่จริงหรือไม่?(does Karma exist? Does reincarnation exist?)

ผู้ฟัง:   ผมไม่รู้นะครับ, ฉันไม่รู้ว่าเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องประเด็นหรือไม่(I don’t know whether there is a relevant question). ผมต้องการที่จะรู้ว่ากรรมและการกลับชาติมาเกิดใหม่นั้นมีจริงหรือไม่(I want to know whether karma and reincarnation is true or not?) ผมสับสนอย่างมากในบางครั้งครับ(I am so confused sometimes).

คุรุเทพ:   การกลับชาติมาเกิดในทุกวันนี้โพ้นเลยไปจากคำถามแล้ว, เพราะมันได้ถูกพิสูจน์กันไปแล้ว(reincarnation is today if beyond question, it has been proved). และคุณสามารถไปที่คลีนิคทางจิตเวชทั้งหลายใดๆ(and you can go to any psychological clinics), และคุณก็รู้ว่าคลีนิคทั้งหลายด้านจิตญาณศาสตร์ต่างมีอยู่ที่นั้น(and you know parapsychology clinics are there), และพวกเขากระทั่งให้คุณได้รับรู้ประสบการณ์ในสิ่งนั้นอย่างคุณรู้, ชีวิตย้อนหลังไปในอดีตได้ถูกใช้เป็นเช่นการบำบัดรักษาในคลีนิคทั้งหลายมากมายด้วยเช่นกัน(and they even make you experience the thing you know, past life regression is used as a therapy in many clinics as well).

         แต่ฉันบอกกับคุณ, ฉันเป็นตัวอย่างสำหรับคุณเอง, ว่ามีการกลับชาติมาเกิดใหม่(I am an example for you, and for sure there is a incarnation). ฉันมาที่นี่, ฉันรู้ว่าฉันได้มาที่นี่มาก่อนแล้ว และคุณได้มาที่นี่ด้วยเช่นกัน แต่ในบางครั้งคุณได้ลืมมันไป(I know I have come here before and you have also come but sometimes you have forgotten). เพลงนั้นการกระหน่ำของการปัดแปลงความทรงจำ(that song its batter of brushing the memory). เราทั้งหมดคงรักษาการกลับมานี้เพราะว่า จิตคือพลังงาน และพลังงานก็ทั้งไม่อาจถูกทำลายได้ หรือว่าถูก, ตามกฏข้อที่สามของเธอร์โมไดนามิ(we all keep coming back because mind is energy and energy can neither be destroyed nor be, third law of thermodynamics2), โอเคนะ.

         2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AB%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C

         ดังนั้น, แม้ว่าถ้าคุณกำลังมองดูผ่านมุมของวิทยาศาสตร์(so even if you are looking through a scientific angle), กฎข้อที่สามของเธอร์โมไดนามิค, พลังงานของจิตไม่สามารถถูกทำลายได้(the third law of thermodynamics, mind energy can be destroyed). ร่างกายนี้ทั้งหมดที่กลับคืนไปยังดินเดิมเดียวกันกับที่มันได้จากมา(this body all that come back to the same soil where it has come), แต่จิตวิญญาณ, พลังงานของจิตที่ยังคงอยู่และกลับมา(but the spirit, the energy if the mind that stays on and comes back). หะหะหะ.

         ไม่ใช่ กรรม(no, karma). กรรม หมายถึง การกระทำ(karma means action). อย่างง่ายๆ, กรรม หมายถึง การกระทำ. จักรวาลทั้งปวงเต็มไปด้วยการกระทำ(the whole universe is full of action). บางการกระทำแฝงเร้นอยู่, บางการกระทำเป็นการกระทำซึ่งประทับรอย(some latent action, some action impressions of action), พวกนั้นคือที่เรียกว่ากรรม(there are called Karma’s).

ทีนี้, โดยปกติแล้วผู้คนเช่นใครๆมีอิสระตามอำเภอใจหรือว่ามีโชคชะตากำหนดไว้ทั้งหลาย?(now usually people as who, then is it free will or destinies?). ชีวิตของเราทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับโชคชะตากำหนดทั้งหลายทั้งหมด หรือว่ามีอิสระตามอำเภอใจ, ไม่ใช่งั้นรึ?(our life is all about destiny or is it free will, isn’t it?) มีมากกันอยู่กี่รายของพวกคุณที่มีคำถามนี้อยู่ กรุณายกมือของคุณขึ้น. หนึ่ง สอง สาม สี่ เห็นกันเลยว่ามีมากมากของเราที่มีคำถามนี้กันอยู่.

ชีวิตคือการผสมผสานของทั้งสองความมีอิสระตามอำเภอใจและความมีโชตชะตากำหนดนั้น(life is a combination of both freewill and destiny). ฉันจะให้ตัวอย่างง่ายมากๆแก่คุณ.

คุณมีความสูงสุดหลังจาก 21, มันได้ถูกผิดผนึกแล้ว, ถูกต้องไหม?(you are height after 21, it is sealed, right?) ถ้าคุณสูงห้าฟุตสี่นิ้ว และนั่น(if you are five feet four inches and that’s what that is your destiny). หรือว่าถ้าคุณสูงหกฟุต, คุณก็ไม่สามารถกลายมาเป็นแค่ห้า, หรือถ้าคุณห้าคุณก็ไม่สามารถไปเป็นเจ็ด(or if you are six feet you cannot become five, if you are five you cannot seven), ความสูงของคุณคือโชตชะตากำหนดของคุณ(your height is your destiny). แต่น้ำหนักเป็นอิสระตามอำเภอใจของคุณ(but your weight is your free will). (หะหะหะ – ผู้ฟังปรบมือ)

ถ้าคุณมีน้ำหนัก 200 ปอนด์, หลายกิโล, คุณไม่สามารถพูดได้ว่านี้คือโชคชะตากำหนดของฉัน(if you weigh  200 pounds, a lot kilos, you can’t say this is my destiny). ไม่เอาน่า, รีบขึ้นไปบนลู่วิ่งไฟฟ้าเร็ว(get onto the treadmill). เฝ้าระวังการลดอาหารของคุณ คุณก็ลดลงได้(watch your diet you can lose).

ดังนั้น, แค่จดจำเอาไว้ว่า, ชีวิตคือการผสมผสานกันของทั้งสอง ความเป็นอิสระตามอำเภอใจ และโชคชะตากำหนด(life is a combination of both freewill and destiny). มันกำลังฝนตกอยู่ที่ข้างนอกนั้นเป็นโชคชะตากำหนด(it’s raining outside is destiny), แต่จะได้เปียกหรือไม่เปียกนั้นเป็นเจตจำนงอิสระของคุณเอง(but to get wet or not is your free will). เพราะคอยเอาร่มของคุณพับเอาไว้และเดินออกไปที่ถนนแล้วเปียก(for keep your umbrella folded and walk in the street and get wet), แล้วคุณก็กางร่มออก, คุณทำ(and you open in the umbrella you do). คุณมีร่มอยู่ในมือของคุณ และถ้าคุณกางร่มของคุณ, คุณก็ไม่เปียก.

ดังนั้น, ชีวิตมักจะในทุกแต่ละชั่วขณะก็มีโอกาสเลือกและก็ไม่มีโอกาสเลือก(life is in each every and every each moment, there is choice and there is no choice). ของทั้งสองเคตะ(of both two keta), ไม่ใช่รึ? เรามักจะต้องการที่จะเห็นว่า มันเป็นโอกาสเลือกหรือไม่เป็นโอกาสเลือก หรือว่าไม่มีโอกาสเลือก(we always want to see whether it’s choice or there is no choice). ไม่, ไม่มีโอกาสเลือก(no, there is no choice).

สิ่งที่ฉลาดที่จะทำก็คือ(the wise thing to do), มองอดีตที่ผ่านมาทั้งหมดว่าเป็นเช่นโชคชะตากำหนด(is see the whole past as destiny), อนาคตมี เจตจำนงอิสระ และมีชีวิตอยู่ในชั่วขณะปัจจุบันอย่างเป็นสุข(the future has freewill and live in the present moment happily). (ผู้ฟังปรบมือ)

และถ้าคุณต้องการที่จะเป็นทุกข์กับในปัจจุบัน(and if you want to be miserable in the present), แล้วมันก็เป็นการเลือกของคุณเอง(and it’s your choice). คุณสามารถมองได้ว่าอดีตทั้งปวงนั้นว่าเป็นเช่น เจตจำนงอิสระ แล้วสำนึกเสียใจเกี่ยวกับมัน(you can see the whole past as freewill and regret about it). และมองว่าอนาคตทั้งปวงนั้นว่าเป็นเช่น โชคชะตากำหนด(and see the whole future as destiny), แล้วก็แค่นั่งอยู่ในขณะปัจจุบันที่ไม่ว่าจะอย่างไรเพราะอนาคตคือเรื่องของโชคชะตากำหนด(and just be sitting in the present where anyway for future is all destiny). และเราก็สำนึกเสียใจต่ออดีต(and we regret about the past and you are miserable in the present). นี่คืออะไรที่ผู้คนที่โง่ทำ(this is what the foolish people do). เย้.

 

ลางสังหรณ์ทั้งหลาย เป็นเรื่องจริงหรือไม่? (are premonitions real?)

ผู้ฟัง:   ท่านคุรุจีครับ, คำถามอยู่กับเรื่องนี้ครับ. หลายครั้งที่ผมริ้ว่าอะไรกำลังบังเกิดขึ้นในวันเวลาตอนนี้(many times I know exactly what will be happening in the day right now), มันมักจะบังเกิดขึ้นว่า ผมเข้าใจว่าอะไรจะบังเกิดและมันก็ได้บังเกิดขึ้น(it always happens that I understand what will happen and it does happen). นั่นเป็นว่าผมได้สร้างอนาคตขึ้นมาเอง หรือว่าผมรู้ถึงอนาคต?(is that I creature the future or I know the future?)  หรือว่ามันเป็นลางสังหรณ์ล่วงหน้า?(or is it pre distinct?)    

คุรุเทพ:   คุณรู้มั้ยว่า, มันเป็นการยากที่จะพูดว่า มันอาจเป็นลางสังหรณ์ที่คุณกำลังได้มี(it’s very difficult to say it could be premonition that you are getting). ใช่มั้ย? มีลางสังหรณ์หลายครั้ง?(premonition many times?) และบางครั้งถ้าคุณได้ลางสังหรณ์ทั้งหลายนั้น, มีความเป็นไปได้สำหรับคุณที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน ในบางครั้งคุณก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน(there is possibility for you to change also sometime you cannot change also). เย้?

          สมมติว่าคุณได้ลางสังหรณ์หนึ่งว่ากำลังจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น, โอเค, แล้วมีหนทางทั้งหลายที่คุณสามารถหลีกเลี่ยงนั่นได้, เย้?(suppose you get a premonition there going to be accident, okay, then there are ways that you can avoid that, yeah?) และบางครั้งคุณแค่เคลื่อนผ่านมันไป(sometime you just move go through it) เย้. คนต่อไป.

 

คุรุคืออะไร? (what is Guru?)

ผู้ฟัง:   ท่านคุรุจี, ท่านสามารถอธิบายบางอย่างเกี่ยวกับคุณสมบัติ/คุณวุฒิทั้งหลายของผู้ที่เป็นคุรุได้ไหม?(can you explain something about the qualifications of a Guru?)

คุรุเทพ:   อะไรนะ?

ผู้ฟัง:   ท่านสามารถอธิบายบางอย่างเกี่ยวกับคุณสมบัติ/คุณวุฒิทั้งหลายของผู้ที่เป็นคุรุได้ไหม?

คุรุเทพ:   คุณสมบัติทั้งหลายของผู้เป็นคุรุ(qualifications of a Guru), คือผู้ที่เดินแล้วคุยไปด้วย(one who walk the talk). (ผู้ฟัง-ปรบมือ)

         อันที่จริงแล้ว(actually), ฉันเป็นคุรุโดยแค่อุบัติเหตุ(I am a Guru just by accident). คุณรู้ว่าทำอย่างไรไหม? คุณรู้ไหมว่าคุณเป็นคุรุไม่ได้สมมติทึกทักเอาว่าฉันคือคุรุ(you know you don’t a Guru does not assume I am a Guru). คุรุไม่มีศิษย์, เพราะศิษย์ก็ย่อมมีครูคนหนึ่ง(Guru there is no student,  for student there is a teacher).

         ดังนั้น, เมื่อคุณรู้อะไรบางอย่าง และเมื่อคุณต้องการจะแบ่งปันให้กับผู้อื่น, ไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน แล้วนั่นก็คือครู (so, when you know something and when you want to share it with others, wanting nothing in return, then that is a teacher). และฉันบอกกับคุณ, แต่ละและทุกคนที่จุดหนึ่งในชีวิตของคุณได้เล่นบทบาทของการเป็นคุรุหนึ่ง, คุณไม่เคยเป็นรึ?(each and every one at some point in your life play role of a Guru, haven’t you?) ถ้าคุณไม่เคยมี คุณก็ต้องเริ่มเล่นบทนั้นได้แล้ว(if you have not you must start playing).      

         ฉันกังวลในบทบาทนั้นก็คือ, ฉันอยากจะทำให้ดีที่สุดต่อใครบางคน แค่เพราะว่าคุณรักพวกเขา และไม่ต้องการอะไรตอบแทนกลับมาแม้กระทั่งคำขอบคุณทั้งหลาย(I worry the role is, I want to do the best to someone just because you love them and want nothing back from, not even a thanks). ถ้าคุณได้ทำอะไรเช่นนั้น, คุณได้ชี้นำแก่บางคนด้วยดวงใจทั้งหมด, สัมผัสรู้สึก 100% (if you have done such an act you’ll guidance to someone with all your heart, 100% sense), แล้วคุณก็จะสามารถพูดได้ว่านั่นคือ คุรุ(then you can say that is the Guru). นั้นคือ VAR หลักของความเป็นคุรุได้มีพลังเคลื่อนไหวอยู่ในคุณ(that VAR guru principle being active in you).

         เหมือนที่ทุกคนได้เป็นมารดา, ใครบางคนเป็นบิดา, มารดา, เพื่อน(like everyone has mothered, somebody has become a father, mother, friend) เหมือนเช่นนั้นที่คุรุคือผู้ชี้แนะ, ต้องการให้มีสิ่งที่ดี, ดีที่สุด สำหรับบุคคลที่อยู่ตรงหน้าของคุณ(like that guru is a guide, wanting the good, the best for that person who is in front of you).

ผู้ฟัง:   คุรุจี, เป็นอาศิรมงคลหรือไม่ที่จะค้นพบจิตวิญญาณคู่แฝดของคุณ, และมันเป็นอาศิรมงคลหรือไม่ที่จะรับใช้บุคคลพิการ เมื่อมันได้กำเนิดขึ้นในครอบครัวของคุณ ดังเช่นที่ชาวมุสลิมทั้งหลายเชื่อ, ชาวมุสลิมทั้งหลายเช่อว่า มันเป็นอาศิรมงคลที่มีเด็กพิการ?(is it a blessing to find your twin soul or not, and is it a blessing to serve a handicapped person when it was born in your family as the Muslims belief Muslims believe it’s a blessing to have a handicapped child?)

คุรุเทพ:   เย้. มันเป็น, มันเป็นหน้าที่ที่จะรับใช้เหล่าผู้ที่จำเป็นต้องการการให้บริการของเรา(it’s our duty to serve those who need our service), เย้.

ผู้ฟัง:   แล้วอะไรในเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณคู่แฝดนั้น, มีความหมายอะไรต่อท่านบ้างครับ(and what about with twin souls, what does that mean to you).

คุรุเทพ:   อย่างแรก, เราจำเป็นต้องค้นหาจิตวิญญาณของเราให้ได้ก่อน แล้วเราจึงจะพบได้กับคู่จิตวิญญาณทั้งหลายของเรา(first, we need to find our soul then we can meet our soul-mates, that is).

พระแม่ราธา และ พระกฤษณะ(Radha and Krishna3)

         3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2

         3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0

ผู้ฟัง:   ท่านคุรุจีคะ, หลายครั้งที่ผ่านมาเราได้ถามคำถามกัน, เรามีสีดา-ราม, ทำไมเราก็มีราธา-กฤษณะ(many a times we have been asked the question, we have Sita-Ram, why we have Radha-Krishna), ท่านสามารถกรุณาบอกเราถึงเรื่องสายใยสวรรค์นั้นได้หรือไม่, ที่เราได้เชื่อในพระแม่ราธา-กฤษณะ(could you please tell us that divine thread, that we believe in Radha-Krishna).

คุรุเทพ:   ไม่หรอก. ราธา-กฤษณะ, สีดา-รามเป็นผู้หญิงมาก่อน. ในอินเดีย, มันไม่ใช่ มิสเตอร์และมิสซิส มันมักจะเป็นมิสซิสและมิสเตอร์ ศรีมาติและศี(Srimati and Si). พวกเขามักจะจัดไว้กันแบบนั้น(they’ve always put that way). ดังนั้น, ผู้หญิงได้รับการเสริมอำนาจในอินเดียกันมานานแล้ว(women empowerment has been in India form long time).

ผู้ฟัง:   คุรุจีคะ, แค่ต้องการจะขยายความอีกสักเล็กน้อย, ผู้คนถามดิฉันในคำถามที่ว่า องค์รามได้แต่งงานและสีดาได้แต่งงานกันอย่างแท้จริง, และศรีกฤษณะก็มีพระแม่รุกขมิณี จีและสาติวา, ทำไมเราถึงได้มีพระแม่ราธา จีเป็นคู่ครองของพระองค์อีกในวิหารทั้งหลายของเรา(just slightly to elaborate, people ask me the question that the Ramsey assirram were actually married and Sri Krishna had Rukmini ji and Sativa mati why do we still have Radha as his consort in our temples?) นั่นเป็นการค้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราต้องการที่จะมี...(that divine trade that we want to have….)

คุรุเทพ:   ที่จริงแล้วคุณรู้มั้ย? ถ้าคุณอาจจะติดตามมากับฉัน. ถ้าคุณได้อ่าน, ไม่มีการเอ่ยถึงพระแม่ราธาไว้ในที่ไหนเลย(if you read, there is no mention of Radha anywhere). ราธาหมายถึง, เอาว่าเข้าใจกันแบบนี้นะว่าราธาหมายถึงอะไร.

         ถ้าคุณได้อ่านจากอีกด้านหนึ่ง มันคือ ธารา(if you read from the other side it Daraa). ธารา(Daraa)หมายถึง การไหล(means a flow). ไหลจากแหล่งกำเนิดสู่มหาสมุทร(flow away from the source to the ocean).  แม่น้ำถูกเรียกว่าธารา(the river is called Daraa). เมื่อคุณย้อนกลับที่ไปยังแหล่งกำเนิด มันก็ถูกเรียกว่าราธา(when you reverse that go to the source it is called Radha). ดังนั้นราธาจึงไม่ใช่ตัวบุคคล, มันเป็นพลังอำนาจของศรี กฤษณะ(so Radha is not a person who was there, it is the power of Sri Krishna), ที่กำลังกลับคืนมายังแหล่งกำเนิดของเรา(that is getting back to our source), นั่นคืออะไรที่มันหมายถึง.

จะรับมืออย่างไรกับความกลัว และความวิตกกังวล?(how to deal with fear and anxiety?)

ผู้ฟัง:   ท่านคุรุจีครับ, ผมมีคำถามจากสุภาพสตรีผมบลอนด์ทางด้านหลัง(I have a question from the blond lady in the back). เธอยืนขึ้นอยู่ในตอนนี้, และคำถามของเธอคือ, เธอตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างต่อเนื่อง และเธอมีความรู้สึกในบางครั้งว่า ใครบางคนกำลังบีบเค้นคอเธออยู่(she’s in constant fear and she has the feeling  sometimes that somebody squeezing her throat). เธอจะสามารถทำอะไรได้บ้าง?(what can she do?) อะไรคือความกลัวนั้น?(what is fear?)

คุรุเทพ:   อย่ากังวลนั่น(don’t worry). เอาความกลัวทั้งหมดของคุณมาให้ฉัน(give me all your fears). อย่ากังวล(don’t worry).

           คุณรู้มั้ย? แค่ทำบางการออกกำลังกายหายใจทั้งหลาย, มันจะช่วยคุณ(just do some breathing exercises, it will help you). มันช่วยให้ผ่อนคลายความรู้สึกเหล่านั้นออกมา(it will help ease out sensation).

         ฉันรู้ว่าคุณมักจะถูกปกป้องโดยพลังอำนาจหนึ่ง, พลังอำนาจที่สูงกว่า(I know you always protected by a power, higher power). เย้.

อะไรคือ กายทิพย์?(what is the astral body?)

ผู้ฟัง:   เฮลโล? ท่านสามารถบอกดิฉันได้ไหมคะว่า...ดิฉันอยากจะถามท่านเกี่ยวกับกายทิพย์, ท่านเคยมีประสบการณ์ในเรื่องกายทิพย์หรือไม่?(can you tell me about a…I would like to ask you about astral body, have you experienced about astral body).  

คุรุเทพ:   แน่นอน(of course). โอเค, แน่นอนสิ, กายละเอียดของเรา(our subtle body). ที่เรามีกายอยู่สาม, กายละเอียดนั้นอยู่ที่นั่นกับเราทุกคน(the subtle body is there with all of us), เย้? เสมอเลย, คุณไม่สามารถกระทั่งถามคำถามนี้(you can’t even ask this question). พวกเขาไม่รึ? กายทิพย์ ก็คือจิตสำนึกแห่งจิตของเรา ที่กำลังฉายอยู่ในทุกแต่ละเซลล์ของร่างกายของเรา(the astral body is our consciousness of a mind which is emitting a which is in every cell of our body). เย้.

อะไรคือความซื่อสัตย์?(what is honesty?)

ผู้ฟัง:   คุรุจีครับ, ผมต้องการทราบว่า อะไรที่ความซื่อสัตย์มีความหมายในปัจจุบันชีวิต?(what is honesty means present life?)

คุรุเทพ:   ความซื่อสัตย์(honesty), หมายถึง คุณไม่ต้องการจะทำบางอย่างต่อผู้อื่นทั้งหลาย ที่คุณไม่ต้องการให้ผู้อื่นทำต่อคุณ(means you don’t want to do something to others which you don’t others to do to you).

ผู้ฟัง:   ท่านคุรุจี, จากคุณสุภาพสตรีในแถวที่สองตรงกลาง, การเกิดอีกครั้งของเราได้ถูกกำหนดโดยกรรมของเรา, เราจะการแลกเปลี่ยนของเราได้อย่างไร, ที่แต่ละคนต่างเกิดมากับมัน?(our rebirth is defined by our Karma’s, how do we get our swap, which one is born with?) เราสามารถทำการแลกเปลี่ยนกับมันได้ไหม, ภาวะ ที่เป็นส่วนตน, มันได้ถูกเชื่อมต่อกับเครื่องยนต์ทางจิตทั้งหลายหรือไม่?(can we work on it swap bhava-भव4, is individual, is it connected with tele-engines?)

         4 https://hmong.in.th/wiki/Bhava

คุรุเทพ:   ใช่. แล้วภาวะ(bhava)หมายความถึง เกี่ยวกับธรรมชาติ(means about nature). ดังนั้นอย่าไปกังวลกับศิษยาภิบาล/ผู้ดูแลศิษย์ทั้งหมดว่าเป็นอะไรต่ออะไร(don’t worry about all pastor5 was and all).

         5https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5

         บางทีในห้องนี้ไม่ได้ส่องสว่างมามากมายหลายปีแต่ก็นานที่มันจะนำแสงไฟมาอีกครั้งก็ไม่ได้ใชเวลานานนัก(may be this room was not lit for so many years but long it will take to lit bring the light again doesn’t take much).

         ดังนั้นง่ายอย่างการปฏิบัติสมาธิและปล่อยวาง, คุณก็จะเห็นว่าคุณสามารถจะเคลื่อนไป(so simple meditation and letting go, you will see that you are able to move).

 

จะเอาชนะพลังงานด้านลบ ได้อย่างไร?(how to overcome negative energy?)

ผู้ฟัง:   การมีอยู่ของธาตุแท้เลวร้ายทั้งหลาย(the bad entities exist). เราสามารถมีรูปลักษณ์เลวร้ายทั้งหลายในตัวเรา และเราต้องทำเพื่อกำจัดพวกมันได้หรือไม่?(can we have bad entities in us and we have to do to get rid of them?)

คุรุเทพ:   ถ้ามีสิ่งเลวร้ายทั้งหลายอยู่ในตัวคุณ, นั่นคืออะไรที่คุณกำลังถามรึ?(if there are bad things exist within you is what you are asking?) ธาตุแท้ทั้งหลายไม่ได้, นี่นะ, ธาตุแท้เลวร้ายทั้งหลายไม่มีอยู่(entities not, see, bad entities do not exist), แต่อะไรที่มีอยู่คือเงา(but what exist is shadow). นี่นะ, เงา ไม่ใช่ธาตุแท้, มีเงาอยู่ตรงนั้น(shadow is not an entity, there is a shadow), และคุณก็มองดูเงา คุณก็หวาดกลัวต่อเงานั้น(and you look at the shadow, you get scared of shadow), หมายความว่า คุณกำลังหันใบหน้าของคุณไปจากแสงสว่าง(means you’re turning your face away from light). แต่ชั่วขณะที่คุณหันไปยังแสงสว่าง, เงานั้นก็หายไป(but the moment you turn towards the light, shadow disappears).

         ดังนั้นจึงไม่มีธาตุแท้อันเลวร้ายทั้งหลาย(so there are no bad entities), พลังงานด้านลบคุณมีความรู้สึกจริงในบางครั้ง(negative energy you do feel some time), และในการที่จะออกไปจากพลังงานด้านลบ, ก็มีอยู่มากมายหนทาง(and to get out of the negative energy, there are so many ways). มีการสวดภาวนาทั้งหลาย(there are chantings), มีการร้องเพลงทั้งหลาย(there are singings).

         คำสวดภาวนาสันสกฤตโบราณทั้งหลายที่ดีอย่างมากในการผลิตสร้างพลังงานด้านบวก(the ancient Sanskrit chants which are very good to generate positive energy). แล้วก็การปฏิบัติสมาธิ และการออกกำลังกายหายใจ, ปรารายามะ(and then meditation and breathing exercise, Pranayama6), ทั้งหมดเหล่านี้ช่วยที่จะนำเอาพลังงานด้านบวกมา. แค่

         6https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B0

กลับไปทำคืนนี้, มันเป็นแค่ความคิดเดียวในจิตของคุณ(just go back tonight, it is one thought in your mind).

         คุณมาที่นี่เพื่อนำเอาสันติและความกลมกลืนมาสู่โลก, มาสู่สังคมนี้(you are here to bring peace and harmony in the world, in the society).

         อย่างแรก, จงยิ้มให้กับตัวคุณทุกเช้า เมื่อคุณตื่นขึ้นมา(give a smile to yourself every morning when you wake up).

         อย่างที่สองคือ, มองดูอะไรที่คิด(see what think), อะไรที่คุณสามารถทำได้(what you can do), อะไรคือสิ่งนั้นที่คุณสามารถให้กับสังคมนี้ได้(what is that you can give to the society), คุณรู้มั้ย? เราได้มักจะรับเอา, เอาไปล เอาไปจากสังคมนี้(we have always been taking, taking, taking from society). แทนที่จะเอาไป, เรามาเคลื่อนย้ายไปจากความรื่นรมย์ในการรับ(instead of taking, let’s move from the joy of getting to the joy of giving).

         อะไรที่ฉันสามารถทำได้ที่ฉันสามารถสร้างสรรค์คลื่นทั้งหลายของความสุข(what is that I can do that I can create waves of happiness). เย้.

         คุณเห็นอะไรมั้ย? คว่ามคิดทมี่ดีมั้ย?(good idea?)


         https://youtu.be/LFy95x1wIFI?si=YEZhVTrFODqYhl-b

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น