ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน - ชีวอัตตาอันไพศาลและเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสรรพสิ่ง
Ralph Waldo Emerson - The Over Soul* and the Unity of All Beings
https://youtu.be/0quLEaf3BJM?si=YlBKL_tGV0FSmHyB
* "The
Over Soul" สามารถแปลได้หลายแบบตามบริบท โดยในเชิงปรัชญา หมายถึง จิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่ครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง
หรือ ความเป็นจริงแท้ที่เชื่อมโยงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเข้าด้วยกัน ส่วนในเชิงวรรณกรรม อาจหมายถึง จิตวิญญาณที่เกินขอบเขต หรือ
วิญญาณเหนือวิญญาณ
** https://en.wikipedia.org/wiki/The_Over-Soul
บทนำ - จัดเวที (INTRO - SETTING THE
STAGE)
อะไรถ้าตวามสัจจริงอย่างลึกที่สุดเกี่ยวกับใครที่คุณเป็น,
ไม่ได้คือที่คุณได้แยกเป็นเอกเทศปัจเจก, แต่นั่นคือตัวตนที่แท้จริงของคุณได้เป็นหนึ่งแล้วกับจักรวาลทั้งปวง. (What if the deepest truth about
who you are is not that you are a separate individual, but that your innermost
being* is already one with the entire universe.)
* "Your
innermost being" แปลว่า "ตัวตนภายในที่สุดของคุณ"
หรือ "แก่นแท้ภายในใจของคุณ"
ซึ่งหมายถึงส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจ ความคิด ความรู้สึก และตัวตนของคุณ.
ในศตวรรษที่
19 นักปรัชญาอเมริกันและกวี, ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน
ได้เสนอสิ่งนี้อย่างชัดเจนในเรียงความอันมีชื่อเสียงของเขาที่ชื่อ “ชีวอัตตา-จักรวาล.” (In the 19th century
the American philosopher and poet Ralph Waldo Emerson1proposed
exactly this in his famous essay “The Over-Soul.”)
สำหรับเอเมอร์สัน,
ทุกบุคคลเป็นมากกว่าแค่มีจิตสำนึกส่วนตัวบรรจุอยู่ในเนื้อหนังและกระดูก; แต่ละชีวอัตตาคือคลื่นหนึ่งที่ยกตัวสูงขึ้น, และกลับคืนลง,
ในความไพศาลของมหาสมุทรแห่งจักรวาลของชีวอัตตาอันเป็นเพียงหนึ่งเดียว.
ชีวอัตตาจักรวาลนี้ไม่ใช่ความหมายเชิงนัยของบทกวี, มันเป็นเอกะชีวิตของสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งปวง,
การปรากฏแห่งสรวงสวรรค์ที่พูผ่านเราและโลกอันยั่งยืน. (For
Emerson, every person is more than just a private consciousness contained in
fresh and bone; each Soul1 is a
wave rising from, and returning to, the vast ocean of a single universal soul. This
Over-Soul is not just a poetic metaphor, it is the living unity of all
existence, the divine presence that speaks through us and sustains the world.)
1
คำว่า "Soul"
(โซล) โดยทั่วไปหมายถึง วิญญาณ, จิตวิญญาณ, จิตใจ, หรือแก่นสาร
ของความเป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้ยังมีความหมายที่หลากหลาย
เช่น เป็นส่วนที่กระตุ้นชีวิต, ความรู้สึกทางศีลธรรมและอารมณ์,
หรือแม้กระทั่งหมายถึงบุคคลคนหนึ่งก็ได้
(ผู้แปล
– เนื่องจากทางเวฑานตะ/จากคัมภีร์พระเวทได้มีการแยก กันระหว่าง Soul กับ Spirit ผมจึงใช้คำว่า
“ชีวอัตตา”กับคำSoul(คำนี้ยืมมาจาก ท่านนวพร
เรืองสกุล-ในการแปลหนังสือชื่อ”มิลินทปัญหา กษัตริย์กรีกถาม-พระเถระตอบ”
และผมใช้คำว่าจิตวิญญาณกับ Spirit พอถึงคำว่า”Over-Soul” เลยใช้คำไทยแทนว่า “ชีวอัตตาจักรวาล” ง่ายๆไปเองก่อน
จนกว่าจะเจอคำเหมาะๆกว่านี้)
วิสัยทัศน์ของเอเมอร์สันในชีวอัตตาจักรวาลได้กลายเป็นศิลาฤกษ์แห่งลัทธิเหนือธรรมชาติ,
การเคลื่อนไหวที่พยายามจะก้าวข้ามหลักคำสอนที่ติดยึดและลัทธิวัตถุนิยมเชิงเข้มงวด
เข้าไปสู่ประสบการณ์รับรู้โดยตรงแห่งสรวงสวรรค์ทวยเทพในธรรมชาติและจิตวิญญาณของมนุษย์. (Emerson’s vision of the Over-Soul became
a cornerstone of transcendentalism2, a
movement that sought to move beyond rigid dogmas and materialism into direct
experience of the divine in nature and the human spirit.)
2 https://en.wikipedia.org/wiki/Transcendentalism
ในวิดีโอนี้,
เราจะสำรวจเปิดค้นปรัชญาอันหาญกล้าของเอเมอร์สัน. อย่างไรที่ชีวอัตตาจักรวาลสร้างกรอบใหม่ในความเป็นปัจเจกบุคคล.
อย่างไรที่มันละลาย/ยุติขอบเขตปิดกั้นทั้งหลายระหว่างมนุษย์, ธรรมชาติ
และพระเจ้า, และทำไมมันยังคงสร้างแรงดาลใจต่อผู้แสวงหาทั้งหลายในความสัจจริงและต่อจิตสำนึกในทุกวันนี้. (In this video, we’ll explore
Emerson’s bold philosophy. How the Over-Soul reframes individuality. How it
dissolves the boundaries between human, nature and God, and why it still
inspires seekers of truth and consciousness today.)
ชีวิตและโลกของ ราล์ฟ วัลโด
เอเมอร์สัน (THE LIFE AND WORLD OF RALPH WALDO EMERSON)
ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน
เกิดปี 1803 ที่ในบอสตัน ในครอบครัวที่ฝังรากลึกอยู่ในจารีตของชนพิวริตัน.
แต่ชีวิตของเขากลายเป็นสะพานจากรูปแบบลัทธิศาสน์เก่าข้ามไปสู่วิสัยทัศน์เชิงจิตวิญญาณแบบใหม่.
ถูกฝึกฝนมาเป็นเช่นบาทหลวงฝ่ายยูนิแทเรียน4,
เอเมอร์สันได้พบว่าตัวเขาเองไม่มีความพึงพอใจกับศาสนาเชิงสถาบัน, ที่เขาได้รู้สึกมักจะจำกัดความศักดิ์สิทธิ์ไว้เพียงตามหลักคำสอนและพิธีกรรมเพียงเท่านั้น.
(Ralph
Waldo Emerson was born in 1803 in Boston into a family steeped in the Puritan3
tradition. But his life became a bridge from old religious forms to a new spiritual
vision. Trained as a Unitarian minister, Emerson found himself dissatisfied with
institutional religion5, which
he felt too often confined the divine to dogma and ritual.)
4 "Unitarian minister" แปลว่า "บาทหลวงฝ่ายยูนิแทเรียน" หรือ
"ศาสนาจารย์ยูนิแทเรียน" ซึ่งหมายถึง
นักบวชหรือผู้นำทางศาสนาในศาสนาคริสต์นิกายยูนิแทเรียน. ยูนิแทเรียน (Unitarian) เป็นนิกายหนึ่งของศาสนาคริสต์ที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว และเน้นความสำคัญของเหตุผลและเสรีภาพทางปัญญา.
ดังนั้น "Unitarian minister" จึงมีหน้าที่คล้ายกับผู้นำทางจิตวิญญาณในนิกายอื่นๆ เช่น การเทศน์สอน
การให้คำปรึกษา และการนำพิธีกรรมต่างๆ ให้กับชุมชนยูนิแทเรียน. บาทหลวงฝ่ายยูนิแทเรียน, ศาสนาจารย์ยูนิแทเรียน, นักบวชยูนิแทเรียน,
ผู้นำชุมชนยูนิแทเรียน.
5 "institutional
religion" แปลว่า สถาบันศาสนา หรือ
ศาสนาที่มีการจัดตั้ง โดยหมายถึงระบบความเชื่อ พิธีกรรม
และโครงสร้างความเป็นผู้นำที่เป็นทางการในศาสนานั้นๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นระบบ
ระเบียบ และมักมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว
ภายหลังจากตายของภรรยาของเขาและวิกฤติศรัทธา, เขาได้ทิ้งแท่นเทศน์สอนศาสนาเพื่อกลายมาเป็นนักประพันธ์,
นักบรรยายสอน, และนักคิดอิสระ. ได้รับอิทธิพลโดยปรัชญาอุดมคติเยอรมัน, ศิลปะจินตนิยมอังกฤษ,
และตำราคำสอนทั้งหลายของชาวฮินดูและชาวพุทธ ที่ตอนนั้นเข้ามายังตะวันตก,
เขาได้พัฒนาปรัชญาหนึ่งที่จัดวางสวรรค์ไม่ได้อยู่ด้านนอกของเราในสวรรค์ไกลห่างจากเรา
แต่เป็นภายในเรา, ในการดำรงอยู่ของชีวอัตตาจักรวาล. (After the death of his first
wife and a crisis of faith, he left the pulpit to become a writer, lecturer,
and independent thinker. Influenced by German idealism6,
English romanticism7 and
Hindu and Buddhist texts then entering the West, he developed a philosophy that
placed the divine not outside us in distant heavens but within us, in the
living presence of the Over-Soul.)
6 https://en.wikipedia.org/wiki/Idealism
เรียงความและคำบรรยายสอนทั้งหลายของเขาทำให้เจาเป็นหนึ่งของปัญญาชนที่ทรงอิทธิพล,
นักคิดที่สร้างแรงดาลใจ, กวี, และนักเคลื่อนไหวทั้งหลายของอเมริกา.
ในช่วงวลาหนึ่งเมื่ออเมริกาได้กำลังค้นหาอัตลักษณ์ทางจิตวิญญาณของตนเองแยกออกจากจารีตของยุโรป,
เอเมอร์สันได้ให้เสียงต่อลัทธิรหัสยนิยมบ้านเกิดที่ฝังหยั่งรากในธรรมชาติ,
ปรีชาญาณปัจเจก, และความเป็นหนึ่งเดียวของทุกสรรพสิ่ง. (His essays and lectures made him
one of America’s most influential intellectuals, inspiring thinkers, poets, and
activists. At a time when America was searching for its own spiritual identity
apart from European traditions, Emerson gave voice to a homegrown mysticism8 rooted
in Nature, Individual intuition, and the unity of all beings.)
ชีวอัตตาจักวาล
เป็นเช่นจิตวิญญาณจักรวาล (THE
OVER-SOUL AS UNIVERSAL SPIRIT)
ในเรียงความปี 1841 ของเขา, ชีวอัตตาจักรวาล, เอเมอร์สันได้ประกาศเปิดเผยว่าเราอาศัยอยู่ในความต่อเนื่อง,
ในแผนกแยกหน่วย, ในส่วนทั้งหลาย, ในอนุภาคทั้งหลาย. ขณะเดียวกันในมนุษย์ก็เป็นชีวอัตตาของทั้งปวง.
อะไรที่เขาได้หมายถึงคือ
ที่ภายใต้ผิวหน้าของความเป็นปัจเจกนั้นได้ทอดวางแก่นแท้ของจักรวาลที่ก้าวข้ามความแบ่งแยกของเรา. (In his 1841 essay, the
Over-Soul, Emerson declared that we live in succession, in division, in parts,
in particles. Meantime, within man is the soul of the whole. What he meant is
that beneath the surface of individuality lie a universal essence that
transcends our separateness.)
ชีวอัตตาจักรวาลเป็นจิตวิญญาณแห่งสรวงสวรรค์แสดงปรากฏให้เห็นในทุกบุคคล,
ภูมิพื้นแห่งจิตสำนึกของมันเอง. เอเมอร์สันปฏิเสธความคิดของพระเจ้าอันห่างไกลภายนอก,
โต้แย้งค้านแทนที่ว่าทวยเทพสรวงสวรรค์นั้นอยู่ใกล้เหลือเกิน. มันส่องสว่างผ่านไปในจิตของทุกคน,
ทุกใจ, ทุกขณะของชีวิต. ในขณะที่แสงของดวงอาทิตย์ถูกถอยร่นเข้าไปในสีสันอันนับไม่ถ้วนกระนั้นก็ยังคงไว้ถึงแหล่งกำเนิดหนึ่ง,
ดังนั้นชีวอัตตาจักรวาลได้แสดงตัวมันเองในแต่ละปัจเจกขณะที่ยังคงไร้ซึ่งความแบ่งแยก. (This Over-Soul is the divine
spirit present in every person, the ground of consciousness itself. Emerson
rejected the idea of a distant external God, arguing instead that divinity is imminent.
It shines through every mind, every heart, every moment of life. Just as the
sun’s light is retracted into countless colors yet remains one source, so the
Over-Soul expresses itself in each individual while remaining undivided.)
เมื่อเรารู้สึกทึ่งใจในธรรมชาติ,
หรือความกระจ่างแจ้งในทันทีทันใดในปรีชาญาณ, เอเมอร์สันได้กบล่าวว่า,
เรากำลังสัมผัสความเป็นหนึ่งเดียวที่ลึกยิ่งขึ้นนี้. ชีวอัตตาจักรวาล ไม่ได้ผูกโยงไว้ด้วยอวกาศและเวลา.
มันเป็นนิรันดร์, อนันต์, และสัจอัตตา/ตัวตนอันแท้จริงของสรรพสัตว์ทั้งหลาย (When we feel awe in nature, or
sudden clarity in intuition, Emerson said, we are touching this deeper unity. The
Over-Soul is not bound by space or time. It is eternal, infinite, and the true
self of all beings.)
ปรีชาญาณและเสียงจากภายใน (INTUITION AND THE INNER VOICE)
สำหรับเอเมอรสันแล้ว, หนทางที่จะประสบรับรู้ชีวอัตตาจักรวาลไม่ได้ผ่านหลักสอนที่กำหนดหรือการถ่ายทอดจากผู้อื่นมา,
แต่ผ่านปรีชาญาณ/การรับรู้โดยสัญชาตญาณ, การรู้ภายในโดยตรงที่ลัดผ่านเหตุผลและจารีต.
เขาเชื่อว่าทุกบุคคลนำติดตัวมาอยู่ภายในพวกเขาประกายแห่งปัญญาสรวงสวรรค์, เสียงภายในที่เชื่อมต่อเรากับความสัจจริงแห่งจักรวาล. (For Emerson, the way to experience
the Over-Soul was not through dogma or secondhand authority, but through
intuition, the direct inner knowing that bypasses reason and tradition. He believed
every person carries within them a spark of divine wisdom, an inner voice that
connects us to universal truth.)
ความคิดนี้เป็นการปฏิวัติขึ้นในวัฒนธรรมซึ่งได้ถูกก่อรูปขึ้นจากอำนาจภายนอกและเทววิทยาอันเข้มงวด. เอเมอร์สันได้กำลังบอกว่าการเปิดเผย/วิวรณ์ทั้งหลายอันลึกล้ำที่สุดของพระเจ้า
ไม่ได้มาจากสถาบันทั้งหลายแต่มาจากภายใน. เมื่อเราฟังต่อมโนธรรม/จิตสำนึกของเรา,
เมื่อเราได้เคลื่อนไปโดยความงดงาม, เมื่อเรารู้สึกเมตตากรุณาต่อผู้อื่น,
เรากำลังตอบสนองต่อชีวอัตตาจักรวาลที่กำลังพูดกับเรา. เอเมอร์สันมองปรีชาญาณ/การรับรู้โดยสัญชาตญาณเป็นเช่นรูปแบบสูงสุดของความรู้ตรรกะที่เลิศล้ำกว่าและประสบรับรู้เชิงประจักษ์
เพราะว่ามันติดต่อกับเราโดยตรงกับแหล่งชีวิตแห่งความเป็นจริง. ในสัมผัสรู้สึกนี้, ทุกบุคคลได้เกิดเวทย์มนตร์กันไปแล้ว.
เราแค่จำเป็นต้องการการปรับยแต่งตัวเราเองให้สอดคล้องต่อเสียงที่อยู่ภายในนี้. (This idea was revolutionary in a
culture shaped by external authority and rigid theology. Emerson was saying
that the deepest revelations of God come not from institutions but from within.
When we listen to our conscience, when we moved by beauty, when we feel
compassion for another, we are responding to the Over-Soul speaking to us.
Emerson saw intuition as the highest form of knowledge surpassing logic and
empirical observation because it connects us directly to the living source of
reality. In this sense, every person is already a mystic. We just need to
attune ourselves to the voice within.)
ธรรมชาติเป็นเช่นโฉมหน้าของชีวอัตตาจักดรวาล (NATURE AS THE FACE OF THE OVER-SOUL)
ชีวอัตตาจักรวาลของเอเมอร์สันไม่ได้จำกัดแต่เพียงมนุษย์.
มันได้แสดงให้เห็นอย่างเท่าเทียมกันผ่านโลกธรรมชาติ. ในเรียงความทั้งหลายในยุคเริ่มต้นของเขา,
ธรรมชาติ, เจาได้เขียนไว้ว่าทุก ใบไม้, ก้อนหิน, และแม่น้ำ
คือการสำแดงประกาศแห่งจิตวิญญาณ. สำหรับเขาแล้ว, โลกธรรมชาติไม่ใช่วัตถุเฉื่อยชา/อยู่นิ่งเฉย,
แต่เป็นสัญลักษณ์ที่มีชีวิตของสรวงสวรรค์, สิ่งสะท้อนของความเป็นหนึ่งเดียวแห่งชีวอัตตาจักรวาล. (Emerson’s Over-Soul was not confine to human beings. It shown equally
through the natural world. In his earlier essays, nature, he wrote that every leaf, stone, and
river is a manifestation of spirit. For him, the natural world was not inert
matter, but a living symbol of the divine, a reflection of the Over-Soul’s
unity.)
เมื่อเราเดินในป่าไม้หรือจ้องมองดวงดาวทั้งหลาย
เราไม่ได้แค่เฝ้าสังเกตวัตถุทั้งหลาย. เรากำลังสัมผัสติดต่อต่อรูปลักษณ์อื่นของชีวอัตตาเดียวกันที่อาศัยอยู่ภายในเรา.
ธรรมชาติคือกระจกเงาอันยิ่งใหญ่ที่เรามองเห็นในตัวของเราทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งของทั้งปวง.
วิสัยทัศน์ของเอเมอร์สันในที่นี้กังวาลสะท้อนกับทั้งขนบธรรมเนียมพื้นถิ่นทั้งหลายและที่มองเห็นจิตวิญญาณในทุกสรรพสิ่งทั้งหลายและกับปรัชญาตะวันออกทั้งหลายอย่างเช่น
เวฑานตะที่สอนถึงอาตมัน, ตัวตน/อัตตาเป็นหนึ่งเดียวกับพรหมัน,
จิตจักรวาล. (When we walk in the woods or gaze at the stars,
we are not just observing objects. We are encountering another aspect of the
same Soul that dwells within us. Nature is the great mirror in which we see
ourselves as part of the whole. Emerson’s vision here resonates with both
indigenous traditions that see spirit in all beings and with Eastern
philosophies like Vedanta9 which teach that Atman10, the Self is one with Brahman11, the universal spirit.)
9
https://en.wikipedia.org/wiki/Vedanta
* ความหมายและที่มา:
- "เวท" (Veda): หมายถึง ความรู้
หรือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ยุคแรกของอินเดีย
- "อันตะ" (Anta): หมายถึง
จุดสิ้นสุด หรือบทสรุป
- เวทานตะ: เดิมหมายถึง
อุปนิษัท
ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของพระเวทที่ว่าด้วยปรัชญาและความรู้เกี่ยวกับความจริงอันศักดิ์สิทธิ์
- ภายหลัง
คำว่าเวทานตะยังหมายถึงสำนักปรัชญาที่ศึกษาอุปนิษัท และได้พัฒนากลายเป็นปรัชญาหลักของศาสนาฮินดู
10 https://en.wikipedia.org/wiki/%C4%80tman_(Hinduism)
11 https://en.wikipedia.org/wiki/Brahman
โดยการจดจำได้ถึงชีวอัตตาจักรวาลในธรรมชาติ,
เอเมอร์สันได้เชิญเราให้เข้าไปในจิตวิญญาณเชิงนิเวศอันลึกซึ้งประณีต.
โลกไม่ได้แยกขาดไปจากเรา แต่สืบต่อเนื่องกับอัตตา/ตัวตนอันกลึกที่สุดของเรา. (By recognizing the Over-Souk in nature, Emersion invited us into a profound
ecological spirituality. The earth is not separate from us but continuous with
our deepest Self.)
ความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งทั้งหมด (THE UNITY OF ALL BEINGS)
บางทีการกล่าวอ้างอย่างรุนแรงของเอเมอร์สันนี้
ที่ว่าชีวอัตตาจักรวาลคือพรมแดนทั้งหลายอันสัมบูรณ์สุดระหว่างอัตตากับสิ่งอื่น.
ทุกชีวอัตตาคือคลื่นยกขึ้นมาจากมหาสมุทรเดียวกัน. ทุกบุคคลคือการแสดงออกของชีวิตอนันต์เดียวกัน.
นี้หมายความว่าที่ระดับลึกที่สุด, เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้วซึ่งกันและกันและกับพระเจ้า. ความเมตตากรุณา จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่หน้าที่ทางศีลธรรมจรรยา,
แต่เป็นการตระหนักรู้ถึงความสัจจริงอันลึกล้ำยิ่งขึ้น
เมื่อมีความรักต่อกัน, เราอยู่ในความจริงของการรักต่อรูปลักษณ์แห่งตัวเราเอง. (Perhaps Emerson’s most radical claim is that
the Over-Soul dissolves all ultimate boundaries between Self and other. Every
Soul is a wave rising from the same ocean. Every person is an expression of the same
infinite life. This means that at the deepest level, we are already united with
one another and with God. Compassion then is not merely moral duty, but the recognition of a
deeper truth that when we love another, we are in fact loving another aspect of
ourselves.)
อคติ,
โลภ, และความโหดร้ายทารุณ ทั้งหมดอุบัติขึ้นจากมายาภาพของความแบ่งแยกขาดจากกัน,
จากการหลงลืมว่าชีวอัตตาเดียวกันที่มีชีวิตอยู่ในทุกสรรพสิ่ง. ในการที่จะตื่นรู้ต่อชีวอัตตาจักรวาล
คือการที่จะตื่นรู้ต่อความเป็นจริงที่ว่า ไม่มีใครได้ถูกปิดกั้นแยกขาดอย่างแท้จริงและนั่นคือปีติสุข
และเป็นความทุกข์ของผู้อื่นทั้งหลายที่ไม่สามารถแยกออกจากตันเองชองเราได้.
ในสาระประเด็นนี้, ปรัชญาของเอเมอร์สันคาดว่ามีส่วนในความคิดทั้งหลายภายหลังของแนวคิดการมีอยู่ร่วมกันและจิตสำนึกโดยรวม,
ความสัจจริงที่ว่าเรามีชีวิตอยู่ในข่ายใยชีวิตหนึ่งเดียวที่ไม่สามารถแบ่งแยกขาดจากกันได้.
(Injustice, greed, and cruelty all arise from the illusion of
separateness, from forgetting that the same soul lives in every being. To
awaken to the Over-Soul is to awaken to the reality that no one is truly
isolated and that the joy and suffering of others are inseparable from our own.
In this sense, Emerson’s philosophy anticipates later ideas of interbeing and
collective consciousness, the truth that we live in one indivisible web of
life.)
กังวานสะท้อนก้องไปกับความคิดสมัยใหม่
(RESONANCES WITH MODERN THOUGHT)
ถึงแม้ว่าเอเมอร์สันได้เขียนไว้นทศวรรษ
ที่ 19, ความคิดของเขาในเรื่องชีวอัตตาจักรวาลของเขา กังวานก้องอย่างแรงกล้ากับการร่วมสมัยของปรัชญา,
วิทยาศาสตร์, และความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ. ในด้านจิตวิทยา, แนวความคิดของคาร์ล
จุง ในเรื่อง จิตไร้สำนึกส่วนรวม ได้สะท้อนก้องญาณทัศน์ของเอเมอร์สัน
ซึ่งภายใต้จิตของปัจเจกบุคคลทั้งหลายนอนอยู่บนพื้นที่แบ่งปันร่วมกัน.
(Though Emerson wrote in the
19th century, his idea of Over-Soul resonates strongly with
contemporary philosophy, science, and spirituality. In psychology, Carl Jung12’s concept of the collective unconscious13 echoes Emerson’s insight that beneath
individual minds lie a shared ground.)
13
https://en.wikipedia.org/wiki/Collective_unconscious
ในทางฟิสิกส์,
การค้นพบถึงความเป็นจริงที่ระดับควอนตัม ว่าคือ เครือข่ายเชื่อมโยงต่อกัน
สะท้อนการรับรู้โดยสัญชาตญาณของความเป็นหนึ่งเดียว เช่นเดียวกัน. ในทางนิเวศวิทยา,
ทฤษฎีระบบทั้งหลายเผยเปิดให้เห็นว่าโลกเป็นเช่นหนึ่งเดียวไม่อาจแยกขาดออกได้กับชีวอินทรีย์/สิ่งมีชีวิต.
ในวัฏจักรทางจิตวิญญาณ, ชีวอัตตาจักรวาลค้นพบคู่ขนานกับพรหมันของเวฑานตะ,
ธรรมชาติพุทธะของศาสนาพุทธ, และความลี้ลับของชนคริสเตียนในเรื่องการสถิตอยู่ของจิตวิญญาณ. (In physics, the discovery that reality at the quantum level is a web
of interconnections reflects the same intuition of unity. In ecology, systems
theory reveals the earth as a single interdependent organism. In spiritual
circles, the Over-Soul finds parallels in Vedanta’s Brahman, Buddhism’s Buddha
nature, and mystical Christianity’s indwelling spirit.)
แม้กระทั่งในการศึกษาทั้งหลายด้านประสาทวิทยาศาสตร์และจิตสำนึก,
ที่นักคิดทั้งหลายได้สำรวจค้นหาถึงทฤษฎีปรัชญาจิตวิญญาณ หรือทฤษฎีสารสนเทศบูรณาการ,
เราได้ยินเสียงสะท้องก้องทั้งหลายของการตัดสินของเอเมอร์สันที่ว่าจิตสำนึกไม่ใช่เป็นสิ่งปัจเจก/ส่วนตนแต่คือจักรวาล.
ชีวอัตตาจักรวาลของเขาจัดสร้างให้ซึ่งสะพานระหว่างวิทยาศาสตร์และความเชื่อทางจิตวิญญาณ,
ปัญญาโบราณกับญาณทัศน์สมัยใหม่, ทั้งหมดชี้ไปยังการตระหนักรู้เดียวกัน.
ว่าความเป็นจริงนั้นเป็นหกนึ่งเดียวและจิตสำนึกเป็นสายใยที่ผูกมัดมันเอาไว้ด้วยกัน.
(Even in neuroscience14 and consciousness studies, where thinkers
explore panpsychism15 or integrated information16 theory, we hear echoes of Emerson’s conviction
that consciousness is not personal but universal. His Over-Soul provides a
bridge between science and spirituality, ancient wisdom and modern insight, all
pointing toward the same realization. That reality is one and consciousness is
the thread that binds it.)
15
https://en.wikipedia.org/wiki/Panpsychism
16
https://en.wikipedia.org/wiki/Integrated_information_theory
นัยสำคัญเชิงจิตวิญญาณ – การมีชีวิตจากชีวอัตตาจักรวาล
(THE SPIRITUAL IMPLICATIONS - LIVING FROM THE OVER-SOUL)
สำหรับเอเมอร์สัน,
ชีวอัตตาจักรวาลไม่ได้เป็นเพียงความคิดเชิงอภิปรัชญา, แต่คือเสียงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกโฉม.
ที่จะมีชีวิตจากชีวอัตตาจักรวาล คือที่จะเปลี่ยนถ่ายอัตลักษณ์ของเราจากการแยกขาดตัวตนขนาดเล็กไปสู่ตัวตนขนาดใหญ่ที่รวมถึงสรรพสิ่งทั้งหมด.
สิ่งนี้คือการเปลี่ยนแปลงว่าเรากระทำตนอย่างไร, เรารักอย่างไร,
เรามองเห็นอย่างไรต่อโลก. มันหมายถึงการไว้วางใจต่อปรีชาญาณ/การรับรู้โดยสัญชาตญานสอดคล้องกับการแสวงหาความสัจจริงภายใน
มากไปกว่าการรับรองจากภายนอก. (For Emerson, the Over-Soul was not just a
metaphysical idea17, but a call to transformation. To live from
the Over-Soul is to shift our identity from the small separate self to the
larger self that includes all beings. This changes how we act, how we love how
we see the world. It means trusting intuition over conformity seeking truth
within rather than in external approval.)
17
https://en.wikipedia.org/wiki/Metaphysics
มันหมายถึงความเคารพธรรมชาติเป็นเช่นญาติ,
การจดจำได้ในมันว่าเป็นจิตวิญญาณเดียวกันที่ทำให้เราเคลื่อนไหว. มันหมายถึงการปฏิบัติต่อผู้อื่นไม่ได้เป็นเช่นผู้แปลกหน้า
แต่เป็นเช่นการแสดงออกทั้งหลายของชีวอัตตาเดียวกันซึ่งเราแบ่งปัน. เอเมอร์สันเชื่อว่าวิถีนี้ของการมีชีวิตจะนำความปีติและอิสรภาพอย่างลึกล้ำจากมายาภาพ
เพราะปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากมายาภาพทั้งหลายชองความแยกขาดจากกันและฝังสมอเราลงไปในความเป็นหนึ่งเดียวชองชีวิตทั้งปวง. (It means revering nature not as resource but as kin, recognizing in it
the same spirit that animates us. It means treating others not as strangers but
as expressions of the same soul we share. Emerson believed this way of living
brings a deeper joy and freedom because it frees us from the illusions of
separateness and anchor us in the unity of all life.)
ในโลกของการแบ่งแยก,
วิสัยทัศน์ของเขายังคงเป็นความเร่งด่วนที่จะบำบัดรักษาความแตกแยกขแองสังคม
และบาดแผลทั้งหลายของโลก. เราต้องฟื้นคืนการค้นพบชีวอัตตาจักรวาลนี้ที่ได้รวมเป็นหนึ่งกับเราไปแล้ว.
(In a divide world, his vision remains urgent to heal the fractures of
society and the wounds of the earth. We must rediscover the Over-Soul that
already united us.)
บทสรุป มหาสมุทรแห่งจิตวิญญาณ (CONCLUSION - THE OCEAN OF SPIRIT)
ชีวอัตตาจักรวาลของราล์ฟ
วัลโด เอเมอร์สันเป็นวิสัยทัศน์ของความเป็นจริงดุจมหาสมุทรหนึ่งเดี่ยวของจิตวิญญาณ
ที่ทุกชีวอัตตาอยู่ในนั้นเป็นเช่นคลื่นหนึ่งๆยกตัวขึ้นและลดลงไป, แตกต่างแต่ไม่เคยแยกจากกัน. มันได้เชื้อเชิญที่จะมองเห็นความศักดิ์สิทธิ์/
พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เป็นเช่นที่ห่างไกลแต่ปรากฏในตัวเราเอง, ในผู้อื่นทั้งหลาย,
ในธรรมชาติ, ในทุกลมหายใจและทุกดวงดาว. การที่จะตื่นรู้ต่อความสัจจริงนี้ที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีความเคารพในการเมตตากรุณาและความมีอิสรภาพในการรู้ว่าชีวิตนั้นไหลผ่านเรา
เป็นชีวิตเดียวกันซึ่งไหลผ่านไปทุกสรรพสิ่ง. (Ralph Waldo Emerson’s Over-Soul is a vision of reality as a single
ocean of spirit in which every soul is a wave rising and falling distinct yet
never separate. It invites to see divinity not as distant but as present in
ourselves in others in nature in every breath and every star. To awaken to this
truth is to live reverence compassion and freedom knowing that the life flowing
through us is the same life flowing through all.)
คำพูดทั้งหลายของเอเมอร์สัน เตือนจำเราว่า ลมหายใจที่ได้แตกต่างของเรา,
ภายใต้การดิ้นรนต่อสู้และบางแยกออกจากโลกฺ, มีแค่ชีวอัตตาเพียงหนึ่ง,
เป็นอนันต์, เป็นนิรันดร์, ไม่สามารถแบ่งแยกได้.
และการที่จะรู้ถึงมัน ที่จะค้นพบว่าเราคือใครอย่างแท้จริง, ในท้ายที่สุดแล้ว, ข่าวสาส์นของเขาเป็นทั้งเรียบง่ายและประณีตลึกซึ้ง.
เราไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตอยู่อย่างปิดกั้นตัดขาด, แต่คือสิ่งแสดงออกทั้งหลายของหนึ่งจักรวาลจิตสำนึก,
ชีวอัตตาจักรวาล. (Emerson’s
words remind us that breath our differenced, beneath the struggles and
divisions of the world, there is one soul, infinite, eternal, indivisible. And
to know it is to discover who we truly are. In the end, his message is both
simple and profound. We are not isolated beings, but expressions of one
universal consciousness, the Over-Soul.)
และการที่จะมีชีวิตอยู่ในความสอดประสานกับมันก็คือการมีชีวิตอยู่ในความสดประสานไปกับจักรวาลตัวมันเอง.(And to live in harmony with it is to live in
harmony with the universe itself.)