หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน - ชีวอัตตาอันไพศาลและเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสรรพสิ่ง

ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน - ชีวอัตตาอันไพศาลและเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสรรพสิ่ง

Ralph Waldo Emerson - The Over Soul* and the Unity of All Beings

          https://youtu.be/0quLEaf3BJM?si=YlBKL_tGV0FSmHyB

          *  "The Over Soul" สามารถแปลได้หลายแบบตามบริบท โดยในเชิงปรัชญา หมายถึง จิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่ครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง หรือ ความเป็นจริงแท้ที่เชื่อมโยงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเข้าด้วยกัน ส่วนในเชิงวรรณกรรม อาจหมายถึง จิตวิญญาณที่เกินขอบเขต หรือ วิญญาณเหนือวิญญาณ

          ** https://en.wikipedia.org/wiki/The_Over-Soul

บทนำ - จัดเวที (INTRO - SETTING THE STAGE)

          อะไรถ้าตวามสัจจริงอย่างลึกที่สุดเกี่ยวกับใครที่คุณเป็น, ไม่ได้คือที่คุณได้แยกเป็นเอกเทศปัจเจก, แต่นั่นคือตัวตนที่แท้จริงของคุณได้เป็นหนึ่งแล้วกับจักรวาลทั้งปวง.   (What if the deepest truth about who you are is not that you are a separate individual, but that your innermost being* is already one with the entire universe.)

          * "Your innermost being" แปลว่า "ตัวตนภายในที่สุดของคุณ" หรือ "แก่นแท้ภายในใจของคุณ" ซึ่งหมายถึงส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจ ความคิด ความรู้สึก และตัวตนของคุณ. 

          ในศตวรรษที่ 19 นักปรัชญาอเมริกันและกวี, ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน ได้เสนอสิ่งนี้อย่างชัดเจนในเรียงความอันมีชื่อเสียงของเขาที่ชื่อ “ชีวอัตตา-จักรวาล.   (In the 19th century the American philosopher and poet Ralph Waldo Emerson1proposed exactly this in his famous essay “The Over-Soul.”)

          1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%9F_%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%94_%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99

          สำหรับเอเมอร์สัน, ทุกบุคคลเป็นมากกว่าแค่มีจิตสำนึกส่วนตัวบรรจุอยู่ในเนื้อหนังและกระดูก; แต่ละชีวอัตตาคือคลื่นหนึ่งที่ยกตัวสูงขึ้น, และกลับคืนลง, ในความไพศาลของมหาสมุทรแห่งจักรวาลของชีวอัตตาอันเป็นเพียงหนึ่งเดียว. ชีวอัตตาจักรวาลนี้ไม่ใช่ความหมายเชิงนัยของบทกวี, มันเป็นเอกะชีวิตของสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งปวง, การปรากฏแห่งสรวงสวรรค์ที่พูผ่านเราและโลกอันยั่งยืน.   (For Emerson, every person is more than just a private consciousness contained in fresh and bone; each Soul1 is a wave rising from, and returning to, the vast ocean of a single universal soul. This Over-Soul is not just a poetic metaphor, it is the living unity of all existence, the divine presence that speaks through us and sustains the world.)

          1 คำว่า "Soul" (โซล) โดยทั่วไปหมายถึง วิญญาณ, จิตวิญญาณ, จิตใจ, หรือแก่นสาร ของความเป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้ยังมีความหมายที่หลากหลาย เช่น เป็นส่วนที่กระตุ้นชีวิต, ความรู้สึกทางศีลธรรมและอารมณ์, หรือแม้กระทั่งหมายถึงบุคคลคนหนึ่งก็ได้

            (ผู้แปล – เนื่องจากทางเวฑานตะ/จากคัมภีร์พระเวทได้มีการแยก กันระหว่าง Soul กับ Spirit ผมจึงใช้คำว่า “ชีวอัตตา”กับคำSoul(คำนี้ยืมมาจาก ท่านนวพร เรืองสกุล-ในการแปลหนังสือชื่อ”มิลินทปัญหา กษัตริย์กรีกถาม-พระเถระตอบ” และผมใช้คำว่าจิตวิญญาณกับ Spirit พอถึงคำว่า”Over-Soul” เลยใช้คำไทยแทนว่า “ชีวอัตตาจักรวาล” ง่ายๆไปเองก่อน จนกว่าจะเจอคำเหมาะๆกว่านี้)

          วิสัยทัศน์ของเอเมอร์สันในชีวอัตตาจักรวาลได้กลายเป็นศิลาฤกษ์แห่งลัทธิเหนือธรรมชาติ, การเคลื่อนไหวที่พยายามจะก้าวข้ามหลักคำสอนที่ติดยึดและลัทธิวัตถุนิยมเชิงเข้มงวด เข้าไปสู่ประสบการณ์รับรู้โดยตรงแห่งสรวงสวรรค์ทวยเทพในธรรมชาติและจิตวิญญาณของมนุษย์.  (Emerson’s vision of the Over-Soul became a cornerstone of transcendentalism2, a movement that sought to move beyond rigid dogmas and materialism into direct experience of the divine in nature and the human spirit.)

          2 https://en.wikipedia.org/wiki/Transcendentalism

          ในวิดีโอนี้, เราจะสำรวจเปิดค้นปรัชญาอันหาญกล้าของเอเมอร์สัน. อย่างไรที่ชีวอัตตาจักรวาลสร้างกรอบใหม่ในความเป็นปัจเจกบุคคล. อย่างไรที่มันละลาย/ยุติขอบเขตปิดกั้นทั้งหลายระหว่างมนุษย์, ธรรมชาติ และพระเจ้า, และทำไมมันยังคงสร้างแรงดาลใจต่อผู้แสวงหาทั้งหลายในความสัจจริงและต่อจิตสำนึกในทุกวันนี้.  (In this video, we’ll explore Emerson’s bold philosophy. How the Over-Soul reframes individuality. How it dissolves the boundaries between human, nature and God, and why it still inspires seekers of truth and consciousness today.)

ชีวิตและโลกของ ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน (THE LIFE AND WORLD OF RALPH WALDO EMERSON)

ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน เกิดปี 1803 ที่ในบอสตัน ในครอบครัวที่ฝังรากลึกอยู่ในจารีตของชนพิวริตัน. แต่ชีวิตของเขากลายเป็นสะพานจากรูปแบบลัทธิศาสน์เก่าข้ามไปสู่วิสัยทัศน์เชิงจิตวิญญาณแบบใหม่. ถูกฝึกฝนมาเป็นเช่นบาทหลวงฝ่ายยูนิแทเรียน4, เอเมอร์สันได้พบว่าตัวเขาเองไม่มีความพึงพอใจกับศาสนาเชิงสถาบัน, ที่เขาได้รู้สึกมักจะจำกัดความศักดิ์สิทธิ์ไว้เพียงตามหลักคำสอนและพิธีกรรมเพียงเท่านั้น. (Ralph Waldo Emerson was born in 1803 in Boston into a family steeped in the Puritan3 tradition. But his life became a bridge from old religious forms to a new spiritual vision. Trained as a Unitarian minister, Emerson found himself dissatisfied with institutional religion5, which he felt too often confined the divine to dogma and ritual.)

3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99

4 "Unitarian minister" แปลว่า "บาทหลวงฝ่ายยูนิแทเรียน" หรือ "ศาสนาจารย์ยูนิแทเรียน" ซึ่งหมายถึง นักบวชหรือผู้นำทางศาสนาในศาสนาคริสต์นิกายยูนิแทเรียน. ยูนิแทเรียน (Unitarian) เป็นนิกายหนึ่งของศาสนาคริสต์ที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว และเน้นความสำคัญของเหตุผลและเสรีภาพทางปัญญา. 

ดังนั้น "Unitarian minister" จึงมีหน้าที่คล้ายกับผู้นำทางจิตวิญญาณในนิกายอื่นๆ เช่น การเทศน์สอน การให้คำปรึกษา และการนำพิธีกรรมต่างๆ ให้กับชุมชนยูนิแทเรียน. บาทหลวงฝ่ายยูนิแทเรียนศาสนาจารย์ยูนิแทเรียนนักบวชยูนิแทเรียน, ผู้นำชุมชนยูนิแทเรียน. 

            5 "institutional religion" แปลว่า สถาบันศาสนา หรือ ศาสนาที่มีการจัดตั้ง โดยหมายถึงระบบความเชื่อ พิธีกรรม และโครงสร้างความเป็นผู้นำที่เป็นทางการในศาสนานั้นๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นระบบ ระเบียบ และมักมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว 

ภายหลังจากตายของภรรยาของเขาและวิกฤติศรัทธา, เขาได้ทิ้งแท่นเทศน์สอนศาสนาเพื่อกลายมาเป็นนักประพันธ์, นักบรรยายสอน, และนักคิดอิสระ. ได้รับอิทธิพลโดยปรัชญาอุดมคติเยอรมัน, ศิลปะจินตนิยมอังกฤษ, และตำราคำสอนทั้งหลายของชาวฮินดูและชาวพุทธ ที่ตอนนั้นเข้ามายังตะวันตก, เขาได้พัฒนาปรัชญาหนึ่งที่จัดวางสวรรค์ไม่ได้อยู่ด้านนอกของเราในสวรรค์ไกลห่างจากเรา แต่เป็นภายในเรา, ในการดำรงอยู่ของชีวอัตตาจักรวาล.  (After the death of his first wife and a crisis of faith, he left the pulpit to become a writer, lecturer, and independent thinker. Influenced by German idealism6, English romanticism7 and Hindu and Buddhist texts then entering the West, he developed a philosophy that placed the divine not outside us in distant heavens but within us, in the living presence of the Over-Soul.)

6 https://en.wikipedia.org/wiki/Idealism

7https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1

เรียงความและคำบรรยายสอนทั้งหลายของเขาทำให้เจาเป็นหนึ่งของปัญญาชนที่ทรงอิทธิพล, นักคิดที่สร้างแรงดาลใจ, กวี, และนักเคลื่อนไหวทั้งหลายของอเมริกา. ในช่วงวลาหนึ่งเมื่ออเมริกาได้กำลังค้นหาอัตลักษณ์ทางจิตวิญญาณของตนเองแยกออกจากจารีตของยุโรป, เอเมอร์สันได้ให้เสียงต่อลัทธิรหัสยนิยมบ้านเกิดที่ฝังหยั่งรากในธรรมชาติ, ปรีชาญาณปัจเจก, และความเป็นหนึ่งเดียวของทุกสรรพสิ่ง.  (His essays and lectures made him one of America’s most influential intellectuals, inspiring thinkers, poets, and activists. At a time when America was searching for its own spiritual identity apart from European traditions, Emerson gave voice to a homegrown mysticism8 rooted in Nature, Individual intuition, and the unity of all beings.)

8https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4

ชีวอัตตาจักวาล เป็นเช่นจิตวิญญาณจักรวาล (THE OVER-SOUL AS UNIVERSAL SPIRIT)

ในเรียงความปี 1841 ของเขา, ชีวอัตตาจักรวาล, เอเมอร์สันได้ประกาศเปิดเผยว่าเราอาศัยอยู่ในความต่อเนื่อง, ในแผนกแยกหน่วย, ในส่วนทั้งหลาย, ในอนุภาคทั้งหลาย. ขณะเดียวกันในมนุษย์ก็เป็นชีวอัตตาของทั้งปวง. อะไรที่เขาได้หมายถึงคือ ที่ภายใต้ผิวหน้าของความเป็นปัจเจกนั้นได้ทอดวางแก่นแท้ของจักรวาลที่ก้าวข้ามความแบ่งแยกของเรา.  (In his 1841 essay, the Over-Soul, Emerson declared that we live in succession, in division, in parts, in particles. Meantime, within man is the soul of the whole. What he meant is that beneath the surface of individuality lie a universal essence that transcends our separateness.)

ชีวอัตตาจักรวาลเป็นจิตวิญญาณแห่งสรวงสวรรค์แสดงปรากฏให้เห็นในทุกบุคคล, ภูมิพื้นแห่งจิตสำนึกของมันเอง. เอเมอร์สันปฏิเสธความคิดของพระเจ้าอันห่างไกลภายนอก, โต้แย้งค้านแทนที่ว่าทวยเทพสรวงสวรรค์นั้นอยู่ใกล้เหลือเกิน. มันส่องสว่างผ่านไปในจิตของทุกคน, ทุกใจ, ทุกขณะของชีวิต. ในขณะที่แสงของดวงอาทิตย์ถูกถอยร่นเข้าไปในสีสันอันนับไม่ถ้วนกระนั้นก็ยังคงไว้ถึงแหล่งกำเนิดหนึ่ง, ดังนั้นชีวอัตตาจักรวาลได้แสดงตัวมันเองในแต่ละปัจเจกขณะที่ยังคงไร้ซึ่งความแบ่งแยก.  (This Over-Soul is the divine spirit present in every person, the ground of consciousness itself. Emerson rejected the idea of a distant external God, arguing instead that divinity is imminent. It shines through every mind, every heart, every moment of life. Just as the sun’s light is retracted into countless colors yet remains one source, so the Over-Soul expresses itself in each individual while remaining undivided.)

เมื่อเรารู้สึกทึ่งใจในธรรมชาติ, หรือความกระจ่างแจ้งในทันทีทันใดในปรีชาญาณ, เอเมอร์สันได้กบล่าวว่า, เรากำลังสัมผัสความเป็นหนึ่งเดียวที่ลึกยิ่งขึ้นนี้. ชีวอัตตาจักรวาล ไม่ได้ผูกโยงไว้ด้วยอวกาศและเวลา. มันเป็นนิรันดร์, อนันต์, และสัจอัตตา/ตัวตนอันแท้จริงของสรรพสัตว์ทั้งหลาย   (When we feel awe in nature, or sudden clarity in intuition, Emerson said, we are touching this deeper unity. The Over-Soul is not bound by space or time. It is eternal, infinite, and the true self of all beings.)

ปรีชาญาณและเสียงจากภายใน (INTUITION AND THE INNER VOICE)

สำหรับเอเมอรสันแล้ว, หนทางที่จะประสบรับรู้ชีวอัตตาจักรวาลไม่ได้ผ่านหลักสอนที่กำหนดหรือการถ่ายทอดจากผู้อื่นมา, แต่ผ่านปรีชาญาณ/การรับรู้โดยสัญชาตญาณ, การรู้ภายในโดยตรงที่ลัดผ่านเหตุผลและจารีต. เขาเชื่อว่าทุกบุคคลนำติดตัวมาอยู่ภายในพวกเขาประกายแห่งปัญญาสรวงสวรรค์, เสียงภายในที่เชื่อมต่อเรากับความสัจจริงแห่งจักรวาล.  (For Emerson, the way to experience the Over-Soul was not through dogma or secondhand authority, but through intuition, the direct inner knowing that bypasses reason and tradition. He believed every person carries within them a spark of divine wisdom, an inner voice that connects us to universal truth.)

ความคิดนี้เป็นการปฏิวัติขึ้นในวัฒนธรรมซึ่งได้ถูกก่อรูปขึ้นจากอำนาจภายนอกและเทววิทยาอันเข้มงวด.  เอเมอร์สันได้กำลังบอกว่าการเปิดเผย/วิวรณ์ทั้งหลายอันลึกล้ำที่สุดของพระเจ้า ไม่ได้มาจากสถาบันทั้งหลายแต่มาจากภายใน. เมื่อเราฟังต่อมโนธรรม/จิตสำนึกของเรา, เมื่อเราได้เคลื่อนไปโดยความงดงาม, เมื่อเรารู้สึกเมตตากรุณาต่อผู้อื่น, เรากำลังตอบสนองต่อชีวอัตตาจักรวาลที่กำลังพูดกับเรา. เอเมอร์สันมองปรีชาญาณ/การรับรู้โดยสัญชาตญาณเป็นเช่นรูปแบบสูงสุดของความรู้ตรรกะที่เลิศล้ำกว่าและประสบรับรู้เชิงประจักษ์ เพราะว่ามันติดต่อกับเราโดยตรงกับแหล่งชีวิตแห่งความเป็นจริง. ในสัมผัสรู้สึกนี้, ทุกบุคคลได้เกิดเวทย์มนตร์กันไปแล้ว. เราแค่จำเป็นต้องการการปรับยแต่งตัวเราเองให้สอดคล้องต่อเสียงที่อยู่ภายในนี้.  (This idea was revolutionary in a culture shaped by external authority and rigid theology. Emerson was saying that the deepest revelations of God come not from institutions but from within. When we listen to our conscience, when we moved by beauty, when we feel compassion for another, we are responding to the Over-Soul speaking to us. Emerson saw intuition as the highest form of knowledge surpassing logic and empirical observation because it connects us directly to the living source of reality. In this sense, every person is already a mystic. We just need to attune ourselves to the voice within.)

ธรรมชาติเป็นเช่นโฉมหน้าของชีวอัตตาจักดรวาล (NATURE AS THE FACE OF THE OVER-SOUL)

          ชีวอัตตาจักรวาลของเอเมอร์สันไม่ได้จำกัดแต่เพียงมนุษย์. มันได้แสดงให้เห็นอย่างเท่าเทียมกันผ่านโลกธรรมชาติ. ในเรียงความทั้งหลายในยุคเริ่มต้นของเขา, ธรรมชาติ, เจาได้เขียนไว้ว่าทุก ใบไม้, ก้อนหิน, และแม่น้ำ คือการสำแดงประกาศแห่งจิตวิญญาณ. สำหรับเขาแล้ว, โลกธรรมชาติไม่ใช่วัตถุเฉื่อยชา/อยู่นิ่งเฉย, แต่เป็นสัญลักษณ์ที่มีชีวิตของสรวงสวรรค์, สิ่งสะท้อนของความเป็นหนึ่งเดียวแห่งชีวอัตตาจักรวาล.  (Emerson’s Over-Soul was not confine to human beings. It shown equally through the natural world. In his earlier essays, nature, he wrote that every leaf, stone, and river is a manifestation of spirit. For him, the natural world was not inert matter, but a living symbol of the divine, a reflection of the Over-Soul’s unity.)

          เมื่อเราเดินในป่าไม้หรือจ้องมองดวงดาวทั้งหลาย เราไม่ได้แค่เฝ้าสังเกตวัตถุทั้งหลาย. เรากำลังสัมผัสติดต่อต่อรูปลักษณ์อื่นของชีวอัตตาเดียวกันที่อาศัยอยู่ภายในเรา. ธรรมชาติคือกระจกเงาอันยิ่งใหญ่ที่เรามองเห็นในตัวของเราทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งของทั้งปวง. วิสัยทัศน์ของเอเมอร์สันในที่นี้กังวาลสะท้อนกับทั้งขนบธรรมเนียมพื้นถิ่นทั้งหลายและที่มองเห็นจิตวิญญาณในทุกสรรพสิ่งทั้งหลายและกับปรัชญาตะวันออกทั้งหลายอย่างเช่น เวฑานตะที่สอนถึงอาตมัน, ตัวตน/อัตตาเป็นหนึ่งเดียวกับพรหมัน, จิตจักรวาล.  (When we walk in the woods or gaze at the stars, we are not just observing objects. We are encountering another aspect of the same Soul that dwells within us. Nature is the great mirror in which we see ourselves as part of the whole. Emerson’s vision here resonates with both indigenous traditions that see spirit in all beings and with Eastern philosophies like Vedanta9 which teach that Atman10, the Self is one with Brahman11, the universal spirit.)

            9 https://en.wikipedia.org/wiki/Vedanta

          * ความหมายและที่มา:

  • "เวท" (Veda): หมายถึง ความรู้ หรือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ยุคแรกของอินเดีย 
  • "อันตะ" (Anta): หมายถึง จุดสิ้นสุด หรือบทสรุป 
  • เวทานตะ: เดิมหมายถึง อุปนิษัท ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของพระเวทที่ว่าด้วยปรัชญาและความรู้เกี่ยวกับความจริงอันศักดิ์สิทธิ์ 
  • ภายหลัง คำว่าเวทานตะยังหมายถึงสำนักปรัชญาที่ศึกษาอุปนิษัท และได้พัฒนากลายเป็นปรัชญาหลักของศาสนาฮินดู 

10 https://en.wikipedia.org/wiki/%C4%80tman_(Hinduism)

11 https://en.wikipedia.org/wiki/Brahman

          โดยการจดจำได้ถึงชีวอัตตาจักรวาลในธรรมชาติ, เอเมอร์สันได้เชิญเราให้เข้าไปในจิตวิญญาณเชิงนิเวศอันลึกซึ้งประณีต. โลกไม่ได้แยกขาดไปจากเรา แต่สืบต่อเนื่องกับอัตตา/ตัวตนอันกลึกที่สุดของเรา.  (By recognizing the Over-Souk in nature, Emersion invited us into a profound ecological spirituality. The earth is not separate from us but continuous with our deepest Self.)

ความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งทั้งหมด (THE UNITY OF ALL BEINGS)

          บางทีการกล่าวอ้างอย่างรุนแรงของเอเมอร์สันนี้ ที่ว่าชีวอัตตาจักรวาลคือพรมแดนทั้งหลายอันสัมบูรณ์สุดระหว่างอัตตากับสิ่งอื่น. ทุกชีวอัตตาคือคลื่นยกขึ้นมาจากมหาสมุทรเดียวกัน. ทุกบุคคลคือการแสดงออกของชีวิตอนันต์เดียวกัน. นี้หมายความว่าที่ระดับลึกที่สุด, เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้วซึ่งกันและกันและกับพระเจ้า.  ความเมตตากรุณา จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่หน้าที่ทางศีลธรรมจรรยา, แต่เป็นการตระหนักรู้ถึงความสัจจริงอันลึกล้ำยิ่งขึ้น เมื่อมีความรักต่อกัน, เราอยู่ในความจริงของการรักต่อรูปลักษณ์แห่งตัวเราเอง. (Perhaps Emerson’s most radical claim is that the Over-Soul dissolves all ultimate boundaries between Self and other. Every Soul is a wave rising from the same ocean. Every person is an expression of the same infinite life. This means that at the deepest level, we are already united with one another and with God. Compassion then is not merely moral duty, but the recognition of a deeper truth that when we love another, we are in fact loving another aspect of ourselves.)

          อคติ, โลภ, และความโหดร้ายทารุณ ทั้งหมดอุบัติขึ้นจากมายาภาพของความแบ่งแยกขาดจากกัน, จากการหลงลืมว่าชีวอัตตาเดียวกันที่มีชีวิตอยู่ในทุกสรรพสิ่ง.  ในการที่จะตื่นรู้ต่อชีวอัตตาจักรวาล คือการที่จะตื่นรู้ต่อความเป็นจริงที่ว่า ไม่มีใครได้ถูกปิดกั้นแยกขาดอย่างแท้จริงและนั่นคือปีติสุข และเป็นความทุกข์ของผู้อื่นทั้งหลายที่ไม่สามารถแยกออกจากตันเองชองเราได้. ในสาระประเด็นนี้, ปรัชญาของเอเมอร์สันคาดว่ามีส่วนในความคิดทั้งหลายภายหลังของแนวคิดการมีอยู่ร่วมกันและจิตสำนึกโดยรวม, ความสัจจริงที่ว่าเรามีชีวิตอยู่ในข่ายใยชีวิตหนึ่งเดียวที่ไม่สามารถแบ่งแยกขาดจากกันได้.   (Injustice, greed, and cruelty all arise from the illusion of separateness, from forgetting that the same soul lives in every being. To awaken to the Over-Soul is to awaken to the reality that no one is truly isolated and that the joy and suffering of others are inseparable from our own. In this sense, Emerson’s philosophy anticipates later ideas of interbeing and collective consciousness, the truth that we live in one indivisible web of life.)

กังวานสะท้อนก้องไปกับความคิดสมัยใหม่ (RESONANCES WITH MODERN THOUGHT)

          ถึงแม้ว่าเอเมอร์สันได้เขียนไว้นทศวรรษ ที่ 19, ความคิดของเขาในเรื่องชีวอัตตาจักรวาลของเขา กังวานก้องอย่างแรงกล้ากับการร่วมสมัยของปรัชญา, วิทยาศาสตร์, และความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ. ในด้านจิตวิทยา, แนวความคิดของคาร์ล จุง ในเรื่อง จิตไร้สำนึกส่วนรวม ได้สะท้อนก้องญาณทัศน์ของเอเมอร์สัน ซึ่งภายใต้จิตของปัจเจกบุคคลทั้งหลายนอนอยู่บนพื้นที่แบ่งปันร่วมกัน. (Though Emerson wrote in the 19th century, his idea of Over-Soul resonates strongly with contemporary philosophy, science, and spirituality. In psychology, Carl Jung12’s concept of the collective unconscious13 echoes Emerson’s insight that beneath individual minds lie a shared ground.)

            12https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A5_%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%87

          13 https://en.wikipedia.org/wiki/Collective_unconscious

 

          ในทางฟิสิกส์, การค้นพบถึงความเป็นจริงที่ระดับควอนตัม ว่าคือ เครือข่ายเชื่อมโยงต่อกัน สะท้อนการรับรู้โดยสัญชาตญาณของความเป็นหนึ่งเดียว เช่นเดียวกัน. ในทางนิเวศวิทยา, ทฤษฎีระบบทั้งหลายเผยเปิดให้เห็นว่าโลกเป็นเช่นหนึ่งเดียวไม่อาจแยกขาดออกได้กับชีวอินทรีย์/สิ่งมีชีวิต. ในวัฏจักรทางจิตวิญญาณ, ชีวอัตตาจักรวาลค้นพบคู่ขนานกับพรหมันของเวฑานตะ, ธรรมชาติพุทธะของศาสนาพุทธ, และความลี้ลับของชนคริสเตียนในเรื่องการสถิตอยู่ของจิตวิญญาณ.  (In physics, the discovery that reality at the quantum level is a web of interconnections reflects the same intuition of unity. In ecology, systems theory reveals the earth as a single interdependent organism. In spiritual circles, the Over-Soul finds parallels in Vedanta’s Brahman, Buddhism’s Buddha nature, and mystical Christianity’s indwelling spirit.)

          แม้กระทั่งในการศึกษาทั้งหลายด้านประสาทวิทยาศาสตร์และจิตสำนึก, ที่นักคิดทั้งหลายได้สำรวจค้นหาถึงทฤษฎีปรัชญาจิตวิญญาณ หรือทฤษฎีสารสนเทศบูรณาการ, เราได้ยินเสียงสะท้องก้องทั้งหลายของการตัดสินของเอเมอร์สันที่ว่าจิตสำนึกไม่ใช่เป็นสิ่งปัจเจก/ส่วนตนแต่คือจักรวาล. ชีวอัตตาจักรวาลของเขาจัดสร้างให้ซึ่งสะพานระหว่างวิทยาศาสตร์และความเชื่อทางจิตวิญญาณ, ปัญญาโบราณกับญาณทัศน์สมัยใหม่, ทั้งหมดชี้ไปยังการตระหนักรู้เดียวกัน. ว่าความเป็นจริงนั้นเป็นหกนึ่งเดียวและจิตสำนึกเป็นสายใยที่ผูกมัดมันเอาไว้ด้วยกัน.  (Even in neuroscience14 and consciousness studies, where thinkers explore panpsychism15 or integrated information16 theory, we hear echoes of Emerson’s conviction that consciousness is not personal but universal. His Over-Soul provides a bridge between science and spirituality, ancient wisdom and modern insight, all pointing toward the same realization. That reality is one and consciousness is the thread that binds it.)

            14https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C

          15 https://en.wikipedia.org/wiki/Panpsychism

          16 https://en.wikipedia.org/wiki/Integrated_information_theory

นัยสำคัญเชิงจิตวิญญาณการมีชีวิตจากชีวอัตตาจักรวาล (THE SPIRITUAL IMPLICATIONS - LIVING FROM THE OVER-SOUL)

          สำหรับเอเมอร์สัน, ชีวอัตตาจักรวาลไม่ได้เป็นเพียงความคิดเชิงอภิปรัชญา, แต่คือเสียงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกโฉม. ที่จะมีชีวิตจากชีวอัตตาจักรวาล คือที่จะเปลี่ยนถ่ายอัตลักษณ์ของเราจากการแยกขาดตัวตนขนาดเล็กไปสู่ตัวตนขนาดใหญ่ที่รวมถึงสรรพสิ่งทั้งหมด. สิ่งนี้คือการเปลี่ยนแปลงว่าเรากระทำตนอย่างไร, เรารักอย่างไร, เรามองเห็นอย่างไรต่อโลก. มันหมายถึงการไว้วางใจต่อปรีชาญาณ/การรับรู้โดยสัญชาตญานสอดคล้องกับการแสวงหาความสัจจริงภายใน มากไปกว่าการรับรองจากภายนอก.  (For Emerson, the Over-Soul was not just a metaphysical idea17, but a call to transformation. To live from the Over-Soul is to shift our identity from the small separate self to the larger self that includes all beings. This changes how we act, how we love how we see the world. It means trusting intuition over conformity seeking truth within rather than in external approval.)

            17 https://en.wikipedia.org/wiki/Metaphysics

          มันหมายถึงความเคารพธรรมชาติเป็นเช่นญาติ, การจดจำได้ในมันว่าเป็นจิตวิญญาณเดียวกันที่ทำให้เราเคลื่อนไหว. มันหมายถึงการปฏิบัติต่อผู้อื่นไม่ได้เป็นเช่นผู้แปลกหน้า แต่เป็นเช่นการแสดงออกทั้งหลายของชีวอัตตาเดียวกันซึ่งเราแบ่งปัน. เอเมอร์สันเชื่อว่าวิถีนี้ของการมีชีวิตจะนำความปีติและอิสรภาพอย่างลึกล้ำจากมายาภาพ เพราะปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากมายาภาพทั้งหลายชองความแยกขาดจากกันและฝังสมอเราลงไปในความเป็นหนึ่งเดียวชองชีวิตทั้งปวง.   (It means revering nature not as resource but as kin, recognizing in it the same spirit that animates us. It means treating others not as strangers but as expressions of the same soul we share. Emerson believed this way of living brings a deeper joy and freedom because it frees us from the illusions of separateness and anchor us in the unity of all life.)

          ในโลกของการแบ่งแยก, วิสัยทัศน์ของเขายังคงเป็นความเร่งด่วนที่จะบำบัดรักษาความแตกแยกขแองสังคม และบาดแผลทั้งหลายของโลก. เราต้องฟื้นคืนการค้นพบชีวอัตตาจักรวาลนี้ที่ได้รวมเป็นหนึ่งกับเราไปแล้ว.  (In a divide world, his vision remains urgent to heal the fractures of society and the wounds of the earth. We must rediscover the Over-Soul that already united us.)

บทสรุป มหาสมุทรแห่งจิตวิญญาณ (CONCLUSION - THE OCEAN OF SPIRIT)

ชีวอัตตาจักรวาลของราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สันเป็นวิสัยทัศน์ของความเป็นจริงดุจมหาสมุทรหนึ่งเดี่ยวของจิตวิญญาณ ที่ทุกชีวอัตตาอยู่ในนั้นเป็นเช่นคลื่นหนึ่งๆยกตัวขึ้นและลดลงไป, แตกต่างแต่ไม่เคยแยกจากกัน.  มันได้เชื้อเชิญที่จะมองเห็นความศักดิ์สิทธิ์/ พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เป็นเช่นที่ห่างไกลแต่ปรากฏในตัวเราเอง, ในผู้อื่นทั้งหลาย, ในธรรมชาติ, ในทุกลมหายใจและทุกดวงดาว. การที่จะตื่นรู้ต่อความสัจจริงนี้ที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีความเคารพในการเมตตากรุณาและความมีอิสรภาพในการรู้ว่าชีวิตนั้นไหลผ่านเรา เป็นชีวิตเดียวกันซึ่งไหลผ่านไปทุกสรรพสิ่ง.   (Ralph Waldo Emerson’s Over-Soul is a vision of reality as a single ocean of spirit in which every soul is a wave rising and falling distinct yet never separate. It invites to see divinity not as distant but as present in ourselves in others in nature in every breath and every star. To awaken to this truth is to live reverence compassion and freedom knowing that the life flowing through us is the same life flowing through all.)

คำพูดทั้งหลายของเอเมอร์สัน เตือนจำเราว่า ลมหายใจที่ได้แตกต่างของเรา, ภายใต้การดิ้นรนต่อสู้และบางแยกออกจากโลกฺ, มีแค่ชีวอัตตาเพียงหนึ่ง, เป็นอนันต์, เป็นนิรันดร์, ไม่สามารถแบ่งแยกได้. และการที่จะรู้ถึงมัน ที่จะค้นพบว่าเราคือใครอย่างแท้จริง, ในท้ายที่สุดแล้ว, ข่าวสาส์นของเขาเป็นทั้งเรียบง่ายและประณีตลึกซึ้ง. เราไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตอยู่อย่างปิดกั้นตัดขาด, แต่คือสิ่งแสดงออกทั้งหลายของหนึ่งจักรวาลจิตสำนึก, ชีวอัตตาจักรวาล. (Emerson’s words remind us that breath our differenced, beneath the struggles and divisions of the world, there is one soul, infinite, eternal, indivisible. And to know it is to discover who we truly are. In the end, his message is both simple and profound. We are not isolated beings, but expressions of one universal consciousness, the Over-Soul.)

และการที่จะมีชีวิตอยู่ในความสอดประสานกับมันก็คือการมีชีวิตอยู่ในความสดประสานไปกับจักรวาลตัวมันเอง.(And to live in harmony with it is to live in harmony with the universe itself.)

 https://youtu.be/0quLEaf3BJM?si=ZXtK8OtIaehR43yT

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ริชาร์ด วูลฟ์ฟ – “กำแพงภาษีสินค้านำ-เข้า: โกหก และโกหกยิ่งขึ้นทุกที”

 ริชาร์ด วูลฟ์ฟ – “กำแพงภาษีสินค้านำ-เข้า: โกหก และโกหกยิ่งขึ้นทุกที”

Wolff Responds: "Tariffs: Lies and More Lies" Dated August 20, 2025

          https://youtu.be/CHLAppNObPI?si=wQme-7d0ZnDC4WiJ

          ยินดีต้อนรับเพื่อนทั้งหลายสู่อีกรายการหนึ่งของ วูลฟ์ฟ ตอบสนอง.  ผมต้องการที่จะเรียกอันนี้ว่า “กำแพงภาษี: โกหก และโกหกมากขึ้นทุกที.” ประเด็นทั้งหมดของกำแพงภาษีสินค้านำเข้านี้ตั้งแต่ที่มร. ทรัมป์ได้ตัดสินใจการปาโยนสิ่งเหล่านี้ไปที่ทุกประเทศในโลก เป็นบางการกระทำอะไรชนิดที่ฉลาด, เท่, แข็งแกร่ง ซึ่งเขาสามารถและน่าจะเอาไปบีบคอระบบการค้าของโลก.  (Welcome friends to another Wolf responds. I want to call this one “tariffs: lie and more lies.”  The whole issue of tariffs ever since Mr. Trump decided that throwing these at every country in the world was some kind of clever, smart, strong action he could and would take to strangle up the world trade system.)

          มันเป็นงานละครชิ้นที่ดีรึ?  มันเป็น.  ไม่มีใครได้เคยทำนั่นมาก่อน. ฟาดไปทั้งโลกด้วยกำแพง   ภาษีสินค้าขาเข้าทั้งหมดในทันทีทันใด. และกับมากมายของกำแพงภาษีสินค้านำเข้าที่สูงมากเหลือเกินจนมันน่าจะโดยพื้นฐานแล้วนำมาซึ่งการค้าขายระหว่างประเทศที่โดนกำแพงภาษีและสหรัฐอเมริกาไปถึงจุดจบ. มันทำให้มันเป็นไปไม่ได้สำหรับการทำธุรกิจในการวางแผนว่าที่ไหนหรืออย่างไรหรือเมื่อไหร่ที่จะลงทุน เพราะว่าความสามารถในการทำกำไรของแต่ละทางเลือกใดที่พวกเขาอาจแสวงหาได้ต้องไปพึ่งอยู่กับกำแพงภาษีสินค้านำเข้านี้.   (Is it a good piece of theater? It is. No one has ever done that before. Hit the entire world with a tariff all at once. And with many of tariffs so high that it would basically bring trade between the tariff country and the United States to an end. It made it impossible for businesses to plan where or how or when to invest because the profitability of any option they might pursue depends on the tariffs,)

          และ มร. ทรัมป์ไม่ได้แค่สร้างสรรค์พวกมันและปาโยนพวกมันไปที่ประเทศทั้งหลายเท่านั้น, แต่เขาปาไปอย่างเร่งรีบสับสนอลหม่านไปหมด.  พวกมันขึ้นไปวันหนึ่งแล้วลงมาในวันถัดไป. พวกมันถูกเลื่อนออกไป 12 วัน, 20 วัน, แล้วก็ 90 วัน. คุณไม่สามารถหาเหตุผลสาระอะไรกับมันได้เลย. คุณไม่สามารถตามติดไปกับมันได้ตลอด. และคุณก็จะไม่ไปเสี่ยงในการเคลื่อนย้ายการผลิตสินค้าจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยตั้งพื้นฐานเอากับบางอย่างที่สุดจะชักกระตุกฉับพลันดังเช่นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าของมร. ทรัมป์นี้ได้. (And Mr. Trump not only created them and threw them at countries, but he threw them Helter skelters. They went up one day down the next day. They were suspended for 12 days, for 20 days, for 90 days. You couldn’t make sense of it. You couldn’t keep up with it.  And you weren’t going to take the risk of moving production from one place to another based on something that was so herky-jerky as Mr. Trump’s tariffs.)

นั่นคือทำไมที่คุณไม่ได้เห็นการเคคลื่อนย้ายเป็นกลุ่มเป็นก้อนของการผลิตจากส่วนที่เหลือของโลกมายังอเมริกา.  นำเอางานอาชีพทั้งหลายกลับมาเหมือนที่เขาพูดคุยโกหกใหญ่โตเอาไว้. พวกมันจะนำเอาพวกเขาเหล่านั้นกับมา. และเขาก็ไม่ได้นำพวกเขาเหล่านั้นกลับมาได้ในทุกๆเหตุผลที่ดีๆเลย. ไม่มีหนทางใดสำหรับพวกเขาที่จะตัดสินใจได้. แม้ว่าถ้าพวกเขาจะถอนเดิมพันที่ลงไว้ในโรงงานที่พวกเขามีออกมาจากจีน หรือโรงงานที่พวกเขามีในบราซิล, ทำไมต้องย้ายมาที่สหรัฐอเมริกาด้วยล่ะ?  (That’s why you haven’t seen any mass movement of production from the rest of the world to America. Bring those jobs that he talked about lying. Them brought them back. And he hasn’t brought them back for a very good reason. There’s no way for them to decide. Even if they pulled up stakes from the factory they have in China or the factory they have in Brazil, why bring it to the United States?)

ดังที่พวกคุณกำลังได้เห็น/เข้าใจได้ในอีกสองสามชั่วขณะต่อไปนี้, สหรัฐอเมริกาคือสถานที่สุดท้ายที่พวกเขาจะได้ย้ายฐานการผลิตตามที่กำแพงภาษีสินค้านำเข้าเหล่านี้ได้ถูกกำหนดใช้, ปลดการบังคับใช้, เลื่อนการบังคับใช้, ถูกยกอัตราสูงขึ้น, ถูกลดอัตราต่ำลง, และมองไม่เหก็นภาพว่าจะสิ้นสุดจบลงอย่างไร.  มร. ทรัมป์ ดูเหมือนว่าจะรื่นรมย์ในการทำเข่นนั้น. เขาในตอนนี้เอากำแพงภาษีสินค้านำเข้ามาใช้กับประเทศทั้งหลาย เพราะว่าเขาไม่ชอบพวกเขาเหล่านั้น หรือไม่ได้ดำเนินคดีในศาลของพวกตน.  (As you’re going to see in a few moments, the United States is the last place they’d move production as these tariffs get imposed, deposed, postponed, raised, lowered, and no ending sight. Mr. Trump seems to enjoy doing that. He now puts tariffs on countries because he doesn’t like who they are or not prosecuting in their courts.)

ผมหมายความว่า, มันไม่ได้ดูเหมือนจะสร้างความแตกต่างใดๆ.  ดังนั้น, บริษัทไม่สามารถวางแผนงานได้. แต่นั่นเป็นอย่างน้อยที่สุดของการโกหก. เพื่อแสดงให้คุณได้เห็นว่าการโกหกนี้ลงไปลึกอย่างไร, และมากมายหลายชั้นที่มีอยู่ตรงนั้น, ผมกำลังจะเอาคุณผ่านไปอย่างรวดเร็วมากว่า กำแพงภาษีสินค้านำเข้าทำงานตามความเป็นจริงอย่างไร. เราไปกันเลย. (I mean, it doesn’t seem to make any difference. So, no company can plan. But that’s the least of the lying. To show you how deep the lying is, how many layers of lies there are here, I’m going to take you through very quickly how the tariffs actually work. Here we go.)

กำแพงภาษีสินค้านำเข้าคือการโจมตี. นั้นคือทั้งหมดที่พวกมันเป็น. มันเป็นคำว่า tariff ที่ตลกสำหรับเหตุผลทั้งหลายทางประวัติศาสตร์ที่เอามาใช้กับภาษีที่ยึดแปะเข้ากับการนำเข้าสินค้าและบริการทั้งหลาย. สินค้าและบริการหนึ่งนั้นได้ผลิต/ทำที่นอกประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อพวกมันถูกนำเข้ามาที่สหรัฐอเมริกาเพื่อถูกนำมาขาย หรือถูกนำมาใช้ เป็นเหมือนป้อนเข้าสำหรับใช้ผลิตสร้างอะไรบางอย่างในที่นี่ นั่นก็คือสินค้านำเข้า.  (Tariffs are attacks. That’s all they are. It the word tariff is the funny for historical reasons given to a tax that attaches to importing goods and services. A good or a service made outside the United States when it enters the United States to be sold here or be used as an input for producing something here that is an import.)

นั่นคือทำไมคำนี้จึงถูกนำมาใช้. การถูกผลิตทำข้างนอก(ประเทศ)แล้วนำเข้ามาข้างใน(ประเทศ). เอาละ, ใครเป็นผู้จ่าย(ภาษี)มัน?  คำตอบก็คือ, ใครก็ตามที่เป็นผู้นำเข้ามา. ส่วนมากที่สุดที่นำเข้ามาในอเมริกา ถูกสั่งนำเข้ามาโดยบริษัททั้งหลาย, ผู้ประกอบกิจการทั้งหลาย, กิจการนายทุนทั้งหลาย. ผมกำลังจะให้คุณในบางตัวอย่าง.  (That’s the word we use. Produced outside brought inside. A tariff is a tax on that import. Well, who pays it? The answer, whoever does the importing. Most imports in America are brought in by companies, by enterprises, capitalist enterprises. I’m going to give you sone examples.)

ห้างวอลมาร์ทนำเข้าหลายตันของสิ่งของพวกนั้นจากทั่วโลกเพื่อนำมาขายมันที่ในห้างสรรพสินค้าวอลมาร์ทที่มีอยู่ทั่วอเมริกา. ถ้าคุณได้เคยไปที่วอลมาร์ทสักแห่ง, คุณได้มองดูที่ป้าย/ฉลาก, ก็จะเห็นว่าของเล่นนั้นผลิตที่ประเทศไหน? เสื้อเชิร์ตนั่นผลิตที่ไหน? คุณจะเห็นได้ว่าหลักใหญ่จำนวนมหาศาลเลยมาจากนอกประเทศสหรัฐอเมริกา. ความจริงนี้ก็เช่นเดียวกันกับที่ห้างทาร์เก็ต. เป็นความจริงเดียวกับกับอะเมซอน. เป็นความจริงเดียวกันของการเติมลงในช่องว่างของร้านค้าปลีกอื่นๆ.  (Walmart brings in tons of stuff from around the world in order to sell it in Walmart department stores across America. If you’ve ever been to a Walmart, you’ve looked at the label, where is that toy produces? Where is that shirt produced? You’ll see that the vast majority of time it’s from outside the United States. The same is true of Target. The same is true of Amazon3. The same is true of fill in the blank in retail.)

1 https://en.wikipedia.org/wiki/Walmart

2  https://en.wikipedia.org/wiki/Target_Corporation

3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%99_(%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%97)

นี้คือตัวอย่างอีกอันหนึ่ง. รถยนต์อเมริกันทั้งหลาย, คันที่ประกอบขึ้นที่ในดีทรอยต์ หรือในจีน, โดยใช้ชิ้นส่วนทั้งนายนำเข้าจากต่างประเทศ. เสื้อสูบ, แป้นเบรก, โช้คอัพ, อะไรก็ตามที่มันอาจเป็นได้. สิ่งเหล่านั้นเป็นรสินค้านำเข้า เพราะว่ามันคือสินค้าทั้งหลายที่มาจากนอกประเทศแลบะถูกนำเข้ามา ก็จะต้องจ่ายตามกำแพงภาษีสินค้านำเข้า, จ่ายภาษี. และใครล่ะที่ภาษีนี้นำไปให้? ก็ลุงแซม.  (Here’s another example. American automobiles, the ones put together in Detroit or in Ohio, use many import parts. A carburetor, a brake shoe, a shock absorber4, whatever it might be. Those are imports because those are goods that come from outside being imports will have to pay a tariff, a tax. And to whom that the tax go? Uncle Sam.)

4 https://en.wikipedia.org/wiki/Shock_absorber

ดังนั้น, เมื่อมร. ทรัมป์ได้พูดว่า, “ฉันกำลังจะฟาดจีนด้วยกำแพงภาษีสินค้านำเข้า, “ เขากำลังโกหก. เรา, รัฐบาลอเมริกัน, ไม่สามารถเก็บภาษีผู้คนของประเทศอื่นได้, ก็ไม่ได้มากไปกว่ารัฐบาลจีนเองก็ไม่สามารถเก็บภาษีกับเราได้. นั่นคือที่มันทำงานอย่างไรหรือเคยได้เป็นมา. รัฐบาลอเมริกันสามารถทำได้แค่เพียงเก็บภาษีกับคนอเมริกันทั้งหลาย. และนั่นคืออะไรที่มันเป็น. มันเก็บภาษีเราในฐานะปัจเจกบุคคล. และมันก็เก็บภาษีกิจการทั้งหลาย. มันเก็บภาษีรายได้ทั้งหลายของเรา. มันเก็บภาษีจากผลกำไรทั้งหลายของเรา. นั่นคือที่มันทำงานอย่างไร.  (So, when Mr. Trump says, ‘I’m going to hit China with a tariff,” he is lying. We, the American government, cannot tax the people of another country, no more than the Chinese government taxes us. That’s not how it works or ever has. The American government can only tax Americans. And that’s what it does. It taxes us as individuals. And it also taxes enterprises. It taxes our income. It taxes their profits. That’s how it works.)

ดังนั้น, ตอนนี้เรามาติดตามการกระเด้งไปของลูกบอลกำแพงภาษีสินค้านำเข้านี้กัน. ถ้ามีบางอย่างเข้ามาในสหรัฐอเมริกา, บริษัทที่นำมันเข้ามาในนี้ก็จะเป็นผู้เสียภาษีต่อลุงแซม. มันเป็นบริษัทอเมริกันเอง, เช่นนี้ตลอดเวลาเป็นส่วนใหญ่. ถึงแม้ว่าบริษัทต่างประเทศทั้งหลายพื้นฐานอยู่ในอเมริกาด้วยเช่นกันที่ก็นำสินค้าเข้ามาด้วยเช่นกัน, ใครก็ตามที่นำมันเข้ามา, พวกเขาเป็นผู้จ่ายภาษีให้กับลุงแซม. ดังนั้น, ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดของภาษีของกำแพงภาษีสินค้าขาเข้าทั้งหลายนี้ได้ถูกจ่ายโดยคนอเมริกัน ไปยังวอชิงตัน ดีซี. (So, now let’s follow the bouncing tariff ball. If something comes into the United States, the company that brings it in has to pay a tax to Uncle Sam. It’s an American company, most of the time. Although foreign companies based in America also bring imports, whoever brings it in, they pay the tax to Uncle Sam. So, the vast majority of all tariff taxes are paid by Americans to Washington DC.)

ดังนั้น, พอแค่นี้และเรามาพูดคุยกันในเรื่องการโกหกเกี่ยวกับกำแพงภาษีสินค้าขาเข้า ที่เป็นสิ่งทั้งหลายที่เราได้ทำเพื่อจะเป็นการลงโทษประเทศอื่นกัน. อะไรที่บริษัทอเมริกันทำในการจ่ายให้กับกำแพงภาษีสินค้านำเข้านี้ต่อลุงแซม เพราะว่ามร. ทรัมป์ได้พูดเช่นนั้น?  ถ้าบริษัทนั้นเคยนำเข้ามาในราคา 10,000 ดอลลาร์ต่อชิ้นของอุปกรณ์เครื่องมือนั้น และในตอนนี้เจอกำแพงภาษีสินค้านำเข้า 50%กับมัน, แล้วบริษัทนั้นก็ต้องจ่าย, คุณก็รู้, เอ่อ มูลค่า 10,000 ดอลลาร์, นั่นคือตัวเลขอะไรที่ผมเพิ่งใช้, 10,000 ดอลลาร์เพื่อจะได้เครื่องจักรและอีก 5,000 ดอลลาร์, 50% ของการนั้นต่อลุงแซม. ดังนั้น, ต้นทุน/ค่าใช้จ่ายสุดท้ายต่อบริษัทอเมริกันสำหรับเครื่องจักร 10,000 ดอลลาร์นั่นที่พวกเขาเคยจ่ายใช้เงินไป 10.000 ดอลลาร์ กับมัน ในตอนนี้ได้ถูกทำให้สูงขึ้นไปเป็น 15,000.)  (So, no more let’s talk lying about tariffs being things we do to punish another country. What is the American company do that has to pay a tariff to Uncle Sam because Mr. Trump said so? If that company used to bring in a $10,000 piece of equipment and there’s now a 50% tariff on it, then that company has to pay, you know, uh $10,000 worth, that’s what the number was I just used, $10,000 to get the machine and another $5,000, 50% of that to Uncle Sam. So, the final cost to the American company for the $10,000 machine that they used to spend $10,000 on is now raised to 15,000.)

คนอเมริกันรายไหนที่ต้องการซื้อมันก็จะต้องจ่าย 15,000 ดอลลาร์ แทนที่จะเป็น 10,000, เพราะกำแพงภาษีสินค้านำเข้า.  แต่อะไรที่คณะของทรัมป์พูดก็คือแค่ราคาสินค้าสูงขึ้น. ซึ่งแท้จริงคือฺกำแพงภาษีสินค้านำเข้าได้ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ, เพราะว่าบริษัททั้งหลายที่จ่ายภาษีของฺกำแพงภาษีสินค้านำเข้านั้น, บริษัททั้งหลายที่นำเข้าสินค้า, ก็มักจะส่งผ่านภาระของการที่ต้องจ่ายภาษีของกำแพงภาษีต่อลุงแซม ก็จะยกระดับราคาสินค้าขายปลีกขึ้น นั่นคือที่คุณปและผมต้องจ่ายแทน.  (Any American who want to buy it will have to pay 15,000 instead of 10, because of the tariff. But what Ove just told you means that tariffs raise prices. Tariffs are inflationary5 because the companies that pay the tariff, the importing companies, will usually try to pass off the burden of having to pay that tariff to Uncle Sam by jacking up the retail price that you and I have to pay.)

5 https://en.wikipedia.org/wiki/Inflation

ยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ที่เขาสามารถทำนั่นได้, บริษัทนำเข้าสินค้านั้นก็ยิ่งมากขึ้นในการผลักภาระของกำแพงภาษีนี้ออกไปจากบริษัทที่สั่งสินค้าเข้ามาและ เอาไปใส่ให้กับคนอเมริกันผู้บริโภค. บริษัททั้งหลายทั้งหมดที่กำลังนำเข้าสิ้นค้าจะตอบสนองต่อกำแพงภาษีของมร. ทรัมป์ โดยการยกระดับราคาสินค้าขึ้นมาลงที่เราทั้งหมด. บางรายจะยิ่งทำมากกว่ามัน, บางรายก็จะทำน้อยลงกว่ามัน. จะอะไรก็ตาม, พวกเขาไม่เปลี่ยนย้ายมาลงที่เราก็จะทำร้ายขีดต่ำล่างสุดพวกเขา, คือผลกำไรของพวกเขา, และพวกเขาคือบริษัท, พวกเขาไม่ต้องการเช่นนั้น. ดังนั้น, เย้, เรากำลังโดนถูกโกงโดยกำแพงภาษีสินค้านำเข้าทั้งหลายในรูปของกระบวนการที่สูงขึ้น. (The more he can do that, the more the importing company has passed the burden of the tariff off of the company that imports and on to the American consumer. All companies that are importing will respond to Mr. Trump’s tariffs by jacking up the price to the rest of us. Some will do more of it, some will do less of it. Whatever they don’t shift to us will hurt their bottom line, their profits, and they’re the companies and they don’t want that. So, yeah, we’re going to get screwed by the tariffs in the form of the higher process. Anyone who tells you otherwise is lying to you.)

นี่คืออะไรที่สำคัญมาก. แต่มีอะไรที่, แน่นอนละ, เรียกว่า ความเสียหายที่ทำไปแล้วต่อต่างชาติผู้ที่เราไปนำเข้าสินค้ามาอะไรก็ตามมันกลับกลายเป็นที่บริษัทซึ่งนำเข้าสินค้ามา. ทำไม? เพราะว่าพวกเขาเข้าใจว่าถ้าบริษัทคนอเมริกันที่นำเข้าสินค้าได้ประสบสำเร็จในการยกระดับราคาสินค้าขึ้นในการขายปลีกดังนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องจ่ายเอง, เรากลับต้องจ่ายเอง. เรากำลังที่จะซื้อสินค้าได้น้อยลงกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเพราะกับเราแล้ว ราคาสินค้าที่ได้สูงขึ้นไป. (This is very important. But there is of course damage that is done to the foreigner from whom we import whatever it is the companies are bringing in. Why? Because they understand that if the American importing company is successfully able to jack up the price at retail so they don’t have to pay, we have to pay. We’re going to buy less of those things because for us the price has gone up.)

ดังนั้น, อะไรที่กำลังจะไปเป็นความเจ็บปวดให้กับจีน หรือแคนาดา หรือเม็กซิโก หรือประเทศอื่นที่ส่งสินค้าเหล่านั้นมาที่นี่ จากใครสักรายของเราในอเมริกาเป็นผู้สั่งนำเข้ามา.  อะไรที่ทำร้ายพวกเขาให้เจ็บปวดคือสูญเสียการขายในสหรัฐอเมริกาเมื่อกำแพงภาษีสิรค้าขาเข้าทำให้ราคาสินค้าถูกยกสูงขึ้นและกลายเป็นทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อเป็นต้นทุนการขาย. เราซื้อน้อยลงกับอะไรที่กำแพงภาษีสินค้านำเข้าได้ทำให้มันแพงไปสำหรับเรา. เอาละ, แล้วอะไรที่เป็นกัลป์บบริษัทต่างประเทศทั้งหลายในจีน, ในบราซิล, ในแคนาดา, ในเม็กซิโก, พวกเขาจะทำยังไงถ้าพวกเขาเจ็บปวดที่ยอดการขายสินค้าลดลงในสหรัฐอเมริกา? เอาละ, เรามาว่ากันในเรื่องนี้.  (So, what is going to be hurtful to China or Canada or Mexico or any other country that sends stuff here from whom we in America import. What hurts them is the loss of sales in the United States as the tariff by raising the price being inflationary costs sales. We buy fewer of what the tariff has made more expansive for us. Well, then what will the foreign companies in China in Brazil in Canada in Mex what will they do if they suffer reduced sales in the United States? Here we go.)

เรามามองกันไปเลย, เพราะว่าเรารู้แล้ว, เรามีสถิติและการค้นคว้าวิจัยได้บอกกับเรา.  นี่เป็นสิ่งแรก. ผู้ผลิตต่างทั้งหลายบางประเทศทันทีนั้นที่ได้ค้นพบว่าพวกเขากำลังสูญเสียการขายไปที่ในสหรัฐอเมริกาเพราะกำแพงภาษีสินค้าขาเข้าของมร. ทรัมป์, เขาก็จะทำงานให้หนักมากยิ่งขึ้นกว่าที่พวกเขาเคย, เพื่อที่จะทดแทนที่สูญเสียยอดการขายไปที่ในสหรัยบอเมริกา โดยการเพิ่มการขายของพวกเขาในที่แห่งอื่น. พวกเขาจะใช้เวลามากมายยิ่งขึ้น, พลังงานมากขึ้น, กำลังคนมากขึ้นทั้งชายและหญิง ที่จะค้นหาตลาดนอกประเทศอื่นจากสหรัฐอเมริกา.  (Let’s take a look because we know we have the statistics and the research to tell us. Here’s the first thing. Foreign producers suddenly discovering that they’re losing sales in the United States because of Mr. Trump’s tariffs will be working much harder than they used to, to replace the lost sales in the United States by increasing their sales everywhere else. They will spend a lot of time, a lot of energy, a lot of manpower and woman power to find other markets outside the United States.)

พวกเขาจะจัดตั้งสถาปนาผู้แจกจ่ายกระจายสินค้าที่โน่น. พวกเขาจะกำลังพัฒนาโครงงานโฆษณาที่โน่น. พวกเขาอาจจะเป็นที่โชคดี, และนี้คืออะไรที่พวกเขาเป็นที่มุ่งมั่นเพื่ออยู่, ที่จะทำการขายทั้งหลายแห่งใหม่เพิ่มขึ้นออกไปทั่วโลก. เหนือข้ามและโพ้นเลยไปจากการขายที่พวกเขาสูญเสียไปในที่นี่.  เรื่องยาวขนาดสั้น, ทุกคนทั่วโลกจะกำลังมองหาที่จะสร้างธุรกิจของพวกเขานอกสหรัฐอเมริกา, ออกไปจากประเทศสหรัฐอเมริกา.  (They’ll establish distributors over there. They’ll developing an advertising program over there. They might be lucky, and this is what they’ll be striving for, to make new additional sales abroad. Over and beyond the sales they lose here. Long story short, everybody around the world will be looking to build their business outside of the United States, away from the United States.)

นั่นเป็นอะไรบางอย่างที่เราต้องการรึ? นั่นดีต่อเรารึ? ผมไม่คิดเช่นนั้น. แต่เราไม่ได้แม้กระทั่งเริ่มต้นกันเลย. สมมติว่าบริษัททั้งกหลายข้างนอกโน่นตัดสินใจในหนทางนั้นที่จะถอยห่างจากการสูญเสียยอดขายในสหรัฐเพราะกำแพงภาษีสินค้านำเข้านี้, พวกเขากำลังพยายามที่จะขายให้มากขึ้นกับสินค้าของเขาภายในประเทศทั้งหลายของพวกเขาเอง, ไม่ใช่ส่งออกไปขายนอกประเทศ, แต่ขายในประเทศ.  และอะไรที่พวกเขากำลังจะทำเพื่อโฆษณาการขายต่อผู้คนของพวกเขาเองล่ะ?  เอาละ,พวกเขากำลังจะทำบางอย่างที่น่าจะเหมือนกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของการโฆษณาของพวกเขาในบรรดาประเทศอื่นๆทั้งหลายทั้งหมด พวกเขากำลังพยายามที่จะพัฒนาการขายขึ้นมา.  (Is that something we want? Is that good for us? I don’t think so. But we are not even at the beginning yet. Suppose the companies over there decide that the way to offset lost sales in the US because of the tariff, they’re going to try to sell more of their goods inside their own countries, not export elsewhere, but inside. And what are they going to do for advertising to their own people?  Well, they’re going to do something that would likely be also part of their advertising in all the other countries they’re going to try to develop sales in.)

พวกเขาจำเป็นต้องหาแนวคิดใหม่ขึ้นมา/เหมือนมุกใหม่. และคุณก็รู้ว่าอะไรที่พวกเขากำลังคิดกันออกมา? รับประกันว่ามันบังเกิดขึ้นไปแล้วแน่. พวกเขากำลังที่จะใช้มร. ทรัมป์ไปช่วยพวกเขา. พวกเขากำลังจะบอกต่อผู้คนของพวกเขาเองและต่อทุกแห่งทุกที่ที่พวกเขาโฆษณาว่า, “พวกคุณต้องการที่ฟาดกลับใส่มร. ทรัมป์ที่เป็นต้นเหตุความเดือดร้อนยุ่งยากนี้ทั้งหมด. คุณต้องการที่จะมีหนทางเล็กน้อยหนึ่งที่จะทำนั่น. มันสร้างความรำคาญกับคุณมั้ย? ซื้อสินค้าทั้งหลายของเราสิ. อย่าซื้อสินค้าของอเมริกัน. อย่าซื้อสินค้าสิ่งของของคนอเมริกัน. ซื้อจากเราสิ. ซื้อนี่สิ. มันไม่ใช่แค่ทำให้คุณได้ของสิ่งนี้นะไม่ว่าอะไรที่เราผลิตมาขาย, แต่มันทำให้คุณได้หวดกลับและประกาศต่อมร. ทรัมป์ว่าพวกเราคิดอย่างไรกับเขา.”     (They’ve got to come up with a pitch. And you know what they’re going to think of? Guaranteed it’s already happening. They’re going to use Mr. Trump to help them. They’re going to say to their own people and to everywhere they advertise, “You want to strike a blow against Mr. Trump for causing all the difficulty. You want to have a little way to do that. Does it bother you? Buy our stuff. Don’t buy American stuff. Don’t buy any American stuff. Buy from us. Buy this. It not only gets you this whatever it is we produce, but it lets you do and make a statement about Mr. Trump and what you think of him.”

และในตอนนี้เรามานำมันก้าวไปไกลกันอีกขั้นหนึ่ง. ทุกผู้นำทางการเมืองของทุกประเทศ, ประเทศคอมมูนิสต์, ประเทศทุนนิยม, ยุโรป, เอเซียน, อาฟริกัน, ละตินอเมริกัน, มันไม่สำคัญล่ะ. เพื่อนหรือศัตรู, คุณกำลังที่จะเห็นใจความหลักของการโฆษณาเข้ายึดครองของรัฐบาลนั้น,  ไม่ใช่แค่ขอแงบริษัทการค้าทั้งหลาย, ที่จะเป็นการแอนตี้-อเมริกัน เพราะว่าพวกเขารู้สึกเช่นนั้นกับเรื่องนี้. (And now let’s take it one step further. Every political leader of every country, communist country, capitalist country, Europe, Asian, African, Latin American, it doesn’t matter. In every country, friend or foe, you’re going to see a new advertising thematic take over from the government, not the advertising from the companies, which will be anti-American because of their feeling about all this.)

แต่ในตอนนี้เป็นรัฐบาล, มีอะไรบางอย่างที่มร. ทรัมป์ได้ให้พวกเขาเป็นข้อแก้ตัวใส่จานเงินมา. คุณกำลังมีความยุ่งยากทั้งหลายในประเทศของคุณเองโน่นในอาฟริกา. คุณกำลังมีความยุ่งยากกันในประเทศของคุณเองในละตินอเมริกาหรือยุโรปหรือเอเซีย.  ต้องโทษคนอเมริกัน. กำแพงภาษีสินค้านำเข้าทำร้ายเรา. มร. ทรัมป์กำลังพยายามที่จะแก้ปัญหาทั้งหลายของคนอเมริกันโดยเอาปัญหาเหล่านั้นมาถมใส่เรา. อย่าโกรธที่ฉัน, ประธานาธิบดีของคุณ, ผู้นำของคุณ, นายกรัฐมนตรีของคุณ. ไม่, ไม่, ไม่. อืม, คุณน่าจะสนับสนุนฉันเพราะว่าฉันแอนตี้-อเมริกัน และพวกเขาสมควรได้รับมันเช่นนั้น เพราะว่าพวกเขานำปัญหานี้มาโยนใส่เรา. ความยุ่งยากเดือดร้อนของพวกเขา,พวกเขาได้ทำมันมาเป็นของเรา และเรามาเล่นงานมันคืนกลับไป.  (But now the government is, has something that Mr. Trump gave them on a silver platter an excuse. You’re having difficulties in your country there in Africa. You’re having difficulties in your country in Latin America or Europe or Asia. Blame the Americans. The tariff hurt us. Mr. Trump trying to solve the problems of America dumped those problems on us. Don’t be angry at me, your President, your leader, your Prime Minister. No, no, no. Um, you should support me because I’m anti-American and they deserve it because they brought this problem onto us. Their difficulty, they’ve made it to ours and let’s pay them back.)

มร. ทรัมป์ไม่ได้บอกคุณเกี่ยวกับอะไรเช่นนั้น. เหมือนการสวมกอด , เหมือนบริษัทโฆษณาห่วยๆราคาถูก, เขาบอกกับเราราวกับว่าผู้คนว่าเป็นสิ่งดีๆทั้งหลายที่กำแพงภาษีสินค้านำเข้านี้อาจจะทำให้. และเขาก็ระมัดระวังไม่เคยเอ่ยไปถึง, ซ่อนมันไว้ตลอดเวลาทั้งหมดของความเลวร้ายทั้งหลายที่มันได้ทำขึ้น. และผมได้แต่แค่เอาพวกมันมาให้คุณเห็นเต็มๆ.  (Mr. Trump doesn’t tell you about any of that. Like a hug, like a cheap advertising agent, he tells us as the people what good things a tariff might do. And he’s careful never to mention, hiding all the time all the bad things. And I’ve just given you a handful of them. There are more.)

เอาละ, นั่นเป็นอะไรประเภทโกหก. ถ้าคุณรู้ว่าบางอย่างก็มีด้านดีของมัน, นั่นก็คืออะไรประเภทหนึ่งของการโกหก. และนั่นคืออะไรกำลังเกิดขึ้นที่นี่. กำแพงภาษีสินค้านำเข้าได้ถูกบอกต่อคุณด้วย ชุดความเท็จที่ทับซ้อนกันหลายชั้น, โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโกหกแบบละเว้น ที่ความสัจจริงของที่ซึ่งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าตรงไปหา, พวกมันทำงานอย่างไร, พวกมันนำไปสู่อะไร, อะไรที่พวกมันสามารถเป็นสาเหตุได้ถู฿กละไว้อย่างระมัดระวัง(ที่จะพูดถึง).  (Well, you know, that’s a kind of lying. If you know that something has its good sides and its bad sides and you’re talking to another person about it and you only tell about the good side, that’s a kind of lying. And that’s what’s going on here. Tariffs have been sold to you with an immense set of layered lies, particularly lies of omission where the truth of where tariffs go, how they work, where they lead, what they can cause is carefully left out.)

และกระนั้นเราก็ได้ถูฏคาดเอาไว้ว่าที่จะสนับสนุนโครงงานกำแพงภาษีสินค้านำเข้า ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ถูกบอกกล่าวว่าครึ่งหนึ่งของความสัจจริงของอะไรที่มันกำลังทำอยู่.  และถ้าผมต้องสรุปว่าอะไรที่มันกำลังทำอยู่ละก็, มันกำลังปิดกั้นสหรัฐอเมริกา. นั่นคืออะไรที่กำลังบังเกิดขึ้น. โลกทั้งปวงกำลังมองดูมาที่สหรัฐอเมริกาดังเช่น ประเทศที่ไร้การควบคุม ที่ไม่มีปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายใดกับประเทศอื่นทั้งหลายที่จะ นั่งลง, คุยกันถึงปัญหาทั้งหลาย, และคิดหาวิธีคลี่คลายหาทางเลือกที่ดีที่สุด.  (And yet we’re supposed to support the tariff program even though we haven’t been told the half of the truth of what it’s doing. And if I had to summarize what it’s doing, it’s isolating the United States. That’s what’s happening. The whole world is looking at the United States as an out-of-control country that no longer interacts with other countries to sit down, talk about problems, and figure out a solution that is the best option.)

ไม่, ไม่, ไม่, ไม่. มันได้ตัดสินใจทั้งหมดด้วยตัวมันเองไม่ได้มีการถกเยงหารืออะไรๆก็ตามเลย. และเราก็จะหวดคุณด้วยกำแพงสินค้านำเข้า. และคุณควรจะไม่ดื้อดึงต่อกำแพงภาษีนี้จะดีกว่า,  เพราะว่าเจาจะหวดคุณให้หนักขึ้นไปอีกด้วยมัน. โว้ว. โว้ว. เรากำลังที่จะยึดแคนาดามาอยู่กับเรา. เรากำลังที่จะยึดกรีนแลนด์. อะไรกันนี่? เรากำลังจะยึดวอชิงตัน ดีซี. (No, no, no, no. It decides all by itself with no discussion whatsoever. And we’re going to hit you with a tariff. And we’re going to hit you with a higher tariff. And you better not replicate the tariff because we’ll hit you hard at it. Whoa. Whoa. We’re going to take Canada with us. We’re going to take Greenland. What is this? We’re going to take Washington DC.)

เรากำลังเฝ้าดูการแตกแยกสลายตามวิถีของโลกทำงาน. และทุกประเทศรู้ดีว่าปัญหาทั้งหลายเริ่มต้นที่ไหน และมันก็อยู่ที่ตรงนี้นี่แหละ. มันคือสหรัฐอเมริกาที่กำลังสูญเสียจักรวรรดิของมัน, กลายเป็นหนึ่งในท่ามกลางประชาชาติทั้งหลายอันมากมาย และไม่ได้เป็นใหญ่โตที่สุดและไม่ได้เป็นแข็งแกร่งที่สุดและไม่ได้เป็นร่ำรวยที่สุดอีกต่อไป.  ยากมากที่จะปรับแก้ต่อการนั้น. ผมเข้าใจนั่นได้. แต่นั่นไม่มีคำแก้ตัวใดและไม่มีเหตุผลใดเพียงพอที่จะไปโจมตีต่อโลกในหนทางที่มร. ทรัมป์ดูเหมือนจะรื่นรมย์ยินดีที่ได้ทำมัน.  (We’re watching a disintegration of the way the world worked. And every country knows where the problems starts and it’s right here. It’s the United States losing its empire, becoming one among many nations and not the biggest and not the toughest and not the richest anymore. Very hard to adjust to that. I get that. But that’s no excuse and no justification for attacking the whole world the way Mr. Trump seems to enjoy doing.)

คุณรู้ดีว่าอะไรคือผลลัพธ์ของการนั้นที่จะเป็น? คือการปิดกั้นสหรัฐอเมริกาเป็นเช่นประเทศอันธพาลที่ส่วนที่เหลือทั้งหมดของโลกจำเป็นต้องร่วมวงเข้าด้วยกันเพื่อที่จะควบคุม. โอ้-ว. นั่นคือที่ที่เรื่องนี้กำลังนำไปสู่. ผู้คนที่ทำตนในสิ่งอะไรเช่นนี้ไม่เคยจบลงด้วยสิ่งดีๆ. และเรากำลังที่จะเป็นเช่นนั้นไม่ว่านานเท่าที่ความประพฤติเยี่ยงนี้จะดื้อดึงตะแบงไปแค่ไหน. (You know what the result of that will be? The isolation of the United States as a rogue nation that the rest of the world needs to band together to control. Oh-o. That’s where this is leading. People who do this kind of thing never end up well. And we are going either as long as this kind of behavior persists.)

ถ้าการแทรกแซงก้าวก่ายทั้งหลายเยี่ยงนี้, กระแทกใจคุณเหมือนเช่นเคย, กรุณาแบ่งปันพวกมันให้กับญาติมิตรอื่นทั้งหลายที่อาจจะสนใจและเรียนรู้บางอย่างให้ด้วย. นั่นคือทำไมผมถึงทำพวกนี้เพื่อที่จะกระตุ้นถกเถียงกัน. เพื่อที่จะทำให้แน่ใจว่าสิ่งทั้งหลายนี้ไม่ได้พูดจากันเปิดเผยที่สาธารณะได้ถูกนำออกมาออกอากาศเพื่อที่เราสามารถคิดเยี่ยงมนุษย์ที่มีเหตุผลเกี่ยวกับปัญหาทั้งหลายและหาหนทางคลี่คลายแก้ไขกันซึ่งเราได้ร่วมกันคดเลือกในกลุ่มชน. และแน่นอน, พวกมันมีค่าใช้จ่ายเป็นเงิน, และถ้าคุณสามารถช่วยออกค่าใช้จ่ายทั้งหลายนี้ให้เราได้. โปรดทราบว่านั่นเป็นสิ่งที่เรายินดีชื่นชมอย่างยิ่ง ขอบคุณ. (If interventions like this strike you as reasonable, please share them with other people. That’s why we make them to stimulate discussion. To make sure that the things not spoken publicly get put out on the air so that we can think like rational human beings about our problems and the solutions we choose among. And of course, if you can help us delay the costs and producing and distributing these videos, that will be enormously appreciated as well. Thank you.)

 https://youtu.be/CHLAppNObPI?si=i6S1nNTExgUFvDJ5